Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รู้อัตตาเพื่อละอัตตา

รู้อัตตาเพื่อละอัตตา

Published by Dhammanava, 2021-03-09 14:49:17

Description: หนังสือ รู้อัตตาเพื่อละอัตตา โดย จารุวณฺโณ ภิกฺขุ

Keywords: อาจารย์ต้น,อัตตา,ละอัตตา,จารุวณฺโณ ภิกฺขุ

Search

Read the Text Version

“รู้อตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” 45 ปุจฉา : มีอาการอย่างน้ัน มันเหมือนเราอ่ิม วิสัชชนา : เราก็มาพิจารณา แยก ๆ ๆ ๆ ๆ น่ันแหละ แล้วพิจารณาให้มากทีน้ี ในขณะที่พิจารณาน้ี มันเกิดความรู้ต้ัง มากมายในขณะพิจารณา ความรู้ ไม่รู้ มาจากไหน จากการพิจารณามาก ใครก็ตามท่ีผ่านการพิจารณาที่มาก จะรเู้ ลยวา่ ความรขู้ องจติ นมี่ นั มหี ลายชนั้ หลายขั้น หลายตอน ใครพิจารณา ย่ิงละเอียดมาก ยิ่งเข้าใจมาก ย่ิงเกิด ความรมู้ าก ยง่ิ แจม่ แจง้ มาก ยงิ่ มปี ญั ญา คมกล้ามาก มันอยู่ที่การพิจารณา การทจ่ี ะรแู้ ละเขา้ ใจ ถา้ เราไมพ่ จิ ารณา ไม่ได้ ต้องฝึกคิด ต้องฝึกพิจารณา อย่าเป็นคนนั่งซื่อ ๆ ท่ือ ๆ อย่าเอาแต่ ความสงบ ความสงบมันช่วยอะไรเรา ไมไ่ ดห้ รอก มนั แคส่ งบ แตก่ ารพจิ ารณา จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความรู้ จติ ถา้ มนั มคี วามรู้ อยู่แล้ว มันติดอยู่กับจิตเน่ีย ไปไหน

46 “รู้อตั ตาเพ่ือละอตั ตา” ปุจฉา : ก็ไม่หลง แต่ถ้ามันไม่มีความรู้ แม้สงบ ก็สงบแบบหลง ก็หลงสงบกันไป วิสัชชนา : อีกอย่างก็คือ การดูอารมณ์ อย่างเช่น ปุจฉา : เราโกรธ ต้องให้เห็นความโกรธ ไม่ใช่ วิสัชชนา : ปัดมันออก ใช่ไหมคะ ปุจฉา : ใช่ วิสัชชนา : ส่วนมากจะปัดมันออก ปดั ทา� ไม ปดั มนั ออก แลว้ มันออกไหมล่ะ มันก็วนมาอีก มันไม่ออก มันไม่ออก แต่การรู้มัน ตามความเปน็ จรงิ มนั จะไมม่ กี ารสบื ตอ่ มันจะไม่กระท�าตอบ ถ้ารู้มันตาม ความเปน็ จรงิ ปลอ่ ยใหม้ นั เกดิ ปลอ่ ยให้ มนั ดบั นคี่ อื การปลอ่ ยวางปลอ่ ยแลว้ วาง ใหม้ นั เปน็ ไปตามธรรมดาของมนั ถา้ มนั เกดิ ขน้ึ มาแลว้ เราไมป่ ลอ่ ย เราพยายาม จะผลกั มนั ออก แสดงวา่ ไมว่ าง ไปกระทา� ตอบตอ่ มนั แมแ้ ตใ่ นขนั้ ของการผลกั ออก กต็ าม ยง่ิ เปน็ การไมป่ ลอ่ ยวาง ทนี บ้ี างคน

“รอู้ ตั ตาเพื่อละอัตตา” 47 บอกว่า มันไม่สามารถที่จะวางได้ ท�าอย่างไร ข่มใจไปก่อนใช้อาการของ ความข่มใจไปก่อน แล้วค่อย ๆ รู้กับ อารมณ์ที่มันเกิด มันจะโกรธแค่ไหน ก็ตาม ข่มใจไว้ก่อน เพื่อท่ีจะรู้มัน เพราะการข่มใจเป็นการท�าให้จิต เกดิ การเรยี นรู้ เปน็ ความอดทนอยา่ งหนงึ่ เป็นตบะอย่างหนึ่ง พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงสอนการบา� เพญ็ ตบะในดา้ นขนั ตไิ ว้ ขันติ คืออดทน จะอดทนต่ออะไร ถ้าไม่อดทนต่ออารมณ์ ที่มันมาในด้านที่ไม่ดี ความสุขต้องอดทนไหมล่ะ ไม่เห็นต้อง อดทนเลย แต่ความทุกข์อารมณ์พวกนี้ต้องอดทน การอดทน นั้นคือ ตบะ ถ้าหากเรารู้ว่าอารมณ์ คือ ความโกรธกระทบจิต แลว้ บบี คน้ั จติ จนจติ ทกุ ขท์ รมานกบั ความทกุ ขท์ รมานอยา่ งนนั้ แล้วเราอดทนกับมันได้ ให้เข้าใจเลยว่า ตบะเราจะกล้าแกร่ง มากขึ้น จะกล้าแข็งขึ้น ตบะเกิดตอนน้ีแหละ ไม่ได้เกิดจาก ตอนนงั่ บา� เพญ็ ตบะอะไร มนั เกดิ จากตอนจติ ทก่ี ระทบอารมณ์ แล้วเราสามารถอดทนได้ ตบะก็จะเกิดขึ้น ๆ ๆ แก่กล้า ๆ ๆ ขึ้นเร่ือย ๆ ๆ คร้ังต่อไปมากระทบปึ้ง จิตสงบได้ ไม่คล้อยตาม

48 “ร้อู ตั ตาเพื่อละอัตตา” เดี๋ยวก็เห็นการเกิดดับของอารมณ์ เกิด-ดับ ๆ ๆ จิตจะตาม แนบประกบมสี ตปิ ระกบกบั อารมณ์ประกบๆๆเกดิ ปบุ๊ ดบั ปบ๊ั เกิดปุ๊บ ดับปั๊บ แนบลงไปอีก ลึกลงไปอีก ๆ ๆ จนกระเพ่ือม หน่อยหน่ึง ปั๊บ ดับพรึบ ไม่ทันก่อเกิดเป็นอะไร ดับทันทีแล้ว ทีน้ี จนไม่เกิด ไม่ดับ พอไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีอะไรเกิด ไม่มี อะไรดบั มนั กเ็ กดิ ความวา่ ง ชอ่ งวา่ งตรงนน้ั มนั จะเกดิ ดวงปญั ญา ข้ึนมาท�าการรับทราบอารมณ์ในสภาพการณ์นั้น แล้วมันจะ ท�าให้อารมณ์ขาดการสืบต่อ ไม่มีสันตติสืบต่อในตัวของมัน พอไม่มีการสืบต่อในตัวของมันปั๊บ ความว่างในขณะนั้นเอง มันท�าให้เราเกิดปัญญาช้ีชัดลงไปในสภาพการณ์ท้ังหลาย ธรรมทั้งปวงว่า ส่ิงใดสิ่งหน่ึงเกิดเป็นธรรมดา ส่ิงน้ันท้ังปวง ก็ดับไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน ทั้งปวงนะ ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดส่ิงหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่ิงน้ันท้ังหมดท้ังปวง ยอ่ มดบั ไปเปน็ ธรรมดา คา� วา่ สง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ เกดิ ขนึ้ เปน็ ธรรมดา มันคือส่ิงไหน มันคืออะไร สิ่งใดสิ่งหน่ึงเกิดข้ึนเป็นธรรมดา มันคือสิ่งไหนรู้ไหม ใช่ทุกอย่างที่เกิดกับจิตเรา ทุกอย่างท่ีเกิด กบั ตวั เรา คอื สง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่ จะเปน็ สง่ิ ไหนกต็ ามทเี่ กดิ ขน้ึ กบั ตวั เรา ส่ิงนั้นแหละ จะเป็นอะไรก็ตาม เอาอันนั้นแหละ สิ่งนั้นแหละ

“รู้อตั ตาเพ่อื ละอัตตา” 49 จี้ลงไปว่า มันเกิดเป็นธรรมดา เม่ือมันเกิดเป็นธรรมดา มันก็ ต้องดับเป็นธรรมดา แต่เราไม่ได้ปล่อยให้มันดับตามธรรมดา ของมัน เราพยายามดับมัน ท่ีไม่ธรรมดา หาวิธีจะดับ หาเรื่อง ท่ีจะดับ ไม่ธรรมดานะ ตัวไม่ธรรมดาคือ ตัวเราต่างหาก แตอ่ ารมณพ์ วกนี้ มนั เกดิ มาแลว้ มนั ไมอ่ ยากจะใหด้ บั มนั กด็ บั ตามธรรมดาของมันอยู่แล้ว มันเกิดและดับเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เม่ือมันเกิด มันเกิดเกี่ยวข้องกับเรา ถ้ามันเกิดอยู่ในใจ คนอื่น เราต้องดับไหม แต่ถ้ามันเกิดกับใจเราล่ะ เราอยากจะดับใช่ไหม เนี่ย มันก็ปฏิบัติผิดไง เพราะว่าเรามีตัวตนกับสิ่งน้ัน เพราะ เราไม่อยากให้ตัวเองมีทุกข์ คือปัญหาที่เราต้องแก้ และ ปรบั ปรงุ ตวั เองอยตู่ ลอดเวลา เพราะฉะนนั้ เมอื่ เรารวู้ า่ มนั เกดิ ธรรมดา ดับไปธรรมดา เราก็ต้องปล่อยให้มันเกิดธรรมดา ดับธรรมดา ทั้งดีและไม่ดีใช่ไหม ดีอยากคงไว้ไม่ดีอยากให้ มันหมดไป อันน้ีแหละคือ สิ่งที่เราต้องปรับปรุงตัวเอง ดีก็ดี ปล่อยให้มันดีไป ไม่ดีก็ไม่ดี ก็ปล่อยให้มันไม่ดีไป มันเป็น โลกธรรม โลกธรรมก็มีดี มีไม่ดี มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา นินทาสรรเสริญเป็นเร่ืองของโลก ถ้าเราไปรับ ของโลกมา เราก็หนีจากโลกไม่ได้

50 “ร้อู ัตตาเพ่ือละอัตตา” โลกอยู่เน่ีย ใครก็ตาม เกิดมาในโลกต้องเจอ ต้องมี ตอ้ งนนิ ทา ตอ้ งสรรเสรญิ กนั ไมม่ ที ไ่ี หน ไมม่ กี ารนนิ ทาในโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราไม่รับอารมณ์ของโลกเข้ามาไว้ในใจ เราถงึ จะหนอี อกจากโลกได้ ถา้ เรายงั ไปรบั อารมณข์ องโลกอยู่ เขาจะนนิ ทา กไ็ ปเกบ็ เรอ่ื งของการนนิ ทานน้ั มาเปน็ ปญั หาของ ตวั เอง มาทกุ ข์อยใู่ นใจ แบกรับผลจากคา� พดู ของคนอน่ื ที่เขาพดู ทั้ง ๆ ท่ีตัวเอง ก็ไม่ได้กระท�ามูลเหตุน้ัน แต่ไปน�ามาคิด น�ามา บบี คนั้ ใจตวั เอง มาปรงุ แตง่ เขาหาวา่ เราเปน็ อยา่ งนน้ั เขาหาวา่ เราเปน็ อยา่ งนี้ หาวา่ คนมนั หาวา่ หาอะไรมาว่ากไ็ ดใ้ ชไ่ หมล่ะ มันไม่เห็นเราน่ี มันไม่รู้จักเราน่ี ว่าเราเป็นอย่างไร ก็หามาว่า ว่าเป็นอย่างน้ัน อย่างน้ี จะไปอะไรกับโลก หาสาระแก่นสาร ไมม่ เี ลย มแี ตเ่ รอ่ื งของความแตกสลาย เปลย่ี นแปลง แลว้ กห็ า ความคงท่ีในตัวของมันเองก็ไม่ได้ เม่ือมันหาความคงที่ในตัว ของมันเองก็ไม่ได้ ไปยึดถืออะไรมากนักหนา มีแต่ปล่อยวาง ปลอ่ ยวาง ปลอ่ ยใหม้ นั เกดิ แลว้ กว็ างตามความเปน็ จรงิ เกดิ อะไร ก็เกิดมาสิ ฟ้าดินจะถล่มทลายก็ทลายไปสิ กายจะแตกสลาย ก็แตกสลายไปสิ เป็นธรรมดาที่มันต้องเป็น จิตจะแตกสลาย ก็แตกสลายไปสิ มันจะเจ็บปวดทรมานก็ปวดไปสิ เจ็บไปสิ ทรมานไปสิ ประสาอะไรกับส่ิงที่ไม่ใช่ตัวเรา ก็ปัญญา ก็ฟาด ลงไปตรงน้ีสิ

“ร้อู ัตตาเพอื่ ละอตั ตา” 51 เข้าใจบ่ มันก็ไม่ต้องไปทุกข์มาก แก้ตัวเองมันแก้ง่าย แก้คนอื่นมันแก้ยาก ขนาดจะบอกลูกมันยังยาก บอกตัวเอง ยงั พอบอกได้ ขนาดลกู เราแท้ ๆ คนอนื่ นะ เปน็ คนอน่ื ละนะ่ นะ โอ๊ย...พูดยากมากเลย ลูกกูน่ี ใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม มันเป็นตัว ของเขาไปแล้ว เป็นส่วนหน่ึงที่เขาเป็นไปตามภาวะของเขา เพราะฉะน้ัน แก้ตัวเองดีที่สุด แม่ก็ตาม มีลูกก็อย่าไปควบคุม ว่านี่คือลูกเรา เราจะจัดการมันยังไงก็ได้ มันไม่ได้ มันเป็น ตัวของเขา วางใจไว้ ได้แค่บอก ได้แค่สอน พระพทุ ธเจา้ เองกเ็ หมอื นกนั ทรงไดแ้ คบ่ อก อาตมาเอง ก็ได้แค่บอกได้แค่สอนพวกเรา ในตอนที่มันยังพอทรงธาตุ ทรงขันธ์ อยู่ได้ ก็จะบอกสอนต่อไป แต่พอมันยุติแล้ว ก็ต้องอาศัยคนอื่นมาบอกต่อ น่ีแหละมันมีความส�าคัญมาก อย่าปล่อยให้กาลเวลาท่ีเป็นสาระประโยชน์ผ่านไป เราต้อง ยึดถือสาระประโยชน์ กระท�าประโยชน์เกิดขึ้นในสติปัญญา ของเรา ให้เราได้พ้นไปจากความทุกข์ ตามความมุ่งมาด ปรารถนาแห่งหลักการทางศาสนาท่ีพวกเราได้เข้ามานับถือ และเข้ามาสู่การปฏิบัติในจิตในใจ

52 “รู้อัตตาเพอื่ ละอตั ตา” พุทธศาสนา เปนศาสนาแหงความรูแจง เราก็ตอง เขาไปสูความรูแจง และเปนไปเพ่ือความพนทุกขใน เบื้องหนา เอาล่ะ พอสมควรแก่เวลา เอวัง สาธุ สาธุ สาธุ

“รู้อตั ตาเพอ่ื ละอตั ตา” 53 ปุจฉา วิสัชชนา ถอดความจากการสนทนาธรรม และบรรยายธรรม โดย พระทวีวัฒน์ บุญยืน (จารุวัณโณ) ณ ศูนย์นวดกายสมบูรณ์ รามค�าแหง ๖๕ กรุงเทพมหานคร วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ปุจฉา ท�าไมระบบของจิตมีการค้านกันเองอยู่ตลอดเวลา มนั ไมม่ ตี วั แตท่ า� ไมมนั ทา� ใหร้ สู้ กึ วา่ มตี วั ตน สรา้ งอะไรตอ่ มอิ ะไร เป็นเพราะมันไม่มีตัวมันก็เลยอยากมีตัวหรือเปล่า วิสัชชนา จิตเปนธรรมชาติที่ไมมีตัวตนจริง ที่เรารูสึกวามี ตวั ตนนนั้ เปนเพราะความหลงผดิ ของจติ เองที่ “มคี วามเหน็ ” ขึ้นมาวา เจตสิกที่ปรุงแตงตัวจิตนั้นเปนสิ่งที่ยั่งยืนถาวร เมื่อจิตเห็นวาเจตสิกเปนสิ่งที่ยั่งยืนถาวร เมื่อเจตสิกยั่งยืน ถาวร จิตก็ตองยั่งยืนถาวรดวย นี่คือความเห็นผิดของจิตเอง

54 “ร้อู ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” เพราะเหตุนี้ จิตจึงเกิดทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เขาไป ยึดจับเหลาเจตสิกทั้งหลายวาเปน “อัตตา” อยางตายตัว ตวั ตนจงึ เกดิ มขี ึน้ และกระทาํ ตอบตอสิง่ ตาง ๆ ตามอารมณ ที่สะสมไวในจิตมายาวนาน การที่จิตมันคานกันนั้นถือวา เปนธรรมชาติของจิตอยางหนึ่ง เพราะจิตเปนสังขาร ความเปนสังขารยอมมีความขัดแยงอยูในตัวของมันเอง อยูตลอด หากเราไมเขาใจธรรมชาติขอนี้ เราก็จะหนี ออกจากความขัดแยงของจิตไมได จิตไมไดดีหรือไมดี ที่ดีหรือไมดีนั้นเปนเพียงเจตสิก ที่กําลังปรุงแตงจิตอยู หากเราใชความรูสึกที่เปนอัตตา เขาไปแกไขดีหรือไมดีในขณะนั้น ก็จะกอใหเกิดความ ขัดแยงขึ้นเรื่อย ๆ วิธีปฏิบัติจึงเพียงแคทักจิตขณะนั้นวา ดีหรือไมดีกําลังปรุงแตงจิตเราอยู ดีควรเจริญขึ้น ไมดี ควรละ ทําไดอยางนี้ทุก ๆ คราวก็จะละอัตตาในจิตได ปุจฉา จิตเกิด-ดับได้ทีละขณะอย่างที่เราเรียนกันมาจริงหรือ ทา� ไมบางทเี ราทอ่ งธาตุ หรอื ทา� อะไรจดจอ่ ความคดิ มนั เขา้ มา

“รอู้ ัตตาเพื่อละอตั ตา” 55 แทรกได้อย่างไร แล้วท�าไมมันมีความคิดดีกับไม่ดีคานกันอยู่ ตลอดเวลา ท�าให้บางทียอมรับ บางทีไม่ยอมรับ แม้แต่บางที ทยี่ อมรบั มนั ยงั สรา้ งตวั ตนความอยากไดร้ บั การยอมรบั ขึน้ มา อัตตากับความอยากนี้มันครอบทั้งดีและไม่ดีอีกที วิสัชชนา จติ เกดิ ดบั ทลี ะขณะจรงิ ทมี่ คี วามคดิ อนื่ แทรกเขามา ไดในขณะที่เรากําลงั ตั้งใจจดจออยูนั้น เปนเพราะความคดิ ที่แทรกเขามานั้นเปนความคิดที่อยูเหนือเจตนา ความคิด ที่กําลังจดจออยูเปนความคิดที่อยูในเจตนา ความคิดที่อยูเหนือเจตนาเปนความคิดที่ถูกสะสม ในจติ มายาวนานแลว จงึ สามารถเกดิ ขึน้ แทรกได ความคดิ ที่เปนเจตนาเปนความคิดปจจุบัน ถาไมตั้งเจตนาที่จะคิด ก็จะคิดไมออก หรือเมื่อเจตนาออนลง ความคิดที่อยูเหนือ เจตนาก็จะแทรกเขามา ความคิดที่อยูเหนือเจตนาเกิดจากอัตตาที่ถูกสราง ขึน้ จากความเหน็ ผดิ ความคดิ ปจจบุ นั เกดิ จากเจตนาทีเ่ ปน แรงจูงใจจากเรา

56 “รู้อัตตาเพือ่ ละอตั ตา” ปุจฉา ที่ท่านอาจารย์บอกว่าเวลาที่จิตเกิดทิฏฐิเข้าไปยึดจับ เหล่าเจตสิก มันก็สร้างอัตตาขึ้นมา แต่ความจริงทุกขณะ ที่จิตเกิด-ดับรับรู้อารมณ์เพียงอย่างเดียว แล้วมันสร้างอัตตา ได้อย่างไร หรือเป็นเพราะว่าจิตเห็นว่าเจตสิกเที่ยง ทิฏฐิกับ อวิชชาก็เข้าไปจับด้วย วิสัชชนา เราต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เราพูดถึงคือจิตปัจจุบัน กับจิต ที่มีอัตตา มาแตเดิม จิตปจจุบันเปนจิตที่เกิดจากการที่เรา ศึก าเรียนรูในภาวะปจจุบันมันปรุงแตงใหจิตของเรา ไดเกดิ การรบั รใู นปจจบุ นั นี้ แตจติ ทเี่ ปนอตั ตานทุ ฏิ ฐเิ ปนจติ ที่มาจากอาสวะ ึ่งตัวมันสรางอัตตาขึ้นมาจากสิ่งที่เรา เคยทาํ มาแตกอน ๆ ในวฏั ฏะ ถามวาเปนจติ คนละดวง หรอื จติ ดวงเดียวกัน ในความรู้สึกของคนนะ เอ...ใช่หรือเปล่า เป็น จิตดวงไหนกันแน่ จรงิ ๆ แล้วมนั เกิดจากฐานรากอนั เดียวกนั เหมอื นกบั คนเรา รา่ งกายเรานแี้ หละ เราตอ้ งทา� ความเขา้ ใจใน เรื่องราวของจิต ถ้าเราไม่เข้าใจจะสับสนแยกมันไม่ออก จิตที่เปนอัตตาจะตองถูกทําลายดวยอริยมรรค เทานนั้ สวนมากแลวอตั ตาของจติ จะกระทาํ ตอบตออารมณ

“รอู้ ตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” 57 แตจิตที่เปนปกติจิต คือ จิตปจจุบัน คือเจตนาภายในจิต ทเี่ ราสามารถตงั้ เจตนาไดจงใจได ตอสงิ่ ตาง ๆ ทาํ การตรกึ นกึ ทําการคิด อันนี้คือจิตที่เปนเจตนาของเรา แตมีบางจิต ทเี่ ราไมไดคดิ ไมไดนกึ มนั ผดุ เกดิ ขนึ้ มาเอง นนั่ คอื ทอี่ ยเู หนอื เจตนา นเี้ ปนอตั ตาของจติ ลวน ๆ อตั ตาของจติ ตองอาศยั มรรค ที่อยูเหนือเจตนาเปนตัวทําลาย มรรคที่เปนตัวเจตนาก็ยัง ทําลายมันไมได ฉะนั้นแลวเราจึงไมไดมีหนาที่เขาไปแกไข อัตตาของจิตตัวนี้ เรามีหนาที่เจริญมรรคเพื่อใหมรรค เกิดขึ้นจนอยูเหนือเจตนา แลวมรรคที่เกิดขึ้นอยูเหนือ เจตนาจะไปทําลายอัตตาที่อยูเหนือเจตนาของมันเอง ฉะนั้นมันจะเกิดมาแบบไหนก็ตาม ขอใหเราแยก ใหออกวาเจตนาของเราเปนอยางไร อันที่ผุดเกิดขึ้นไมใช เจตนาจากเรา เมื่อไมใชเจตนาจากเรา มันยอมไมใชเรา อยูแลวโดยปกติ เราก็แยกอยางนี้เลย มันจะมีความคิด แบบเก่า ๆ เดิม ๆ เหมือนกับที่เราเคยท�า เคยพูด เคยคิด เหตุการณ์เหล่านั้นเรื่องราวเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาโดยตัวของ มันเอง อันนี้เราต้องเข้าใจข้อนี้ให้ชัดเจน ต้องชัดข้อนี้เลยนะ ว่าหากไม่มีเจตนาในนั้น นั่นไม่ใช่เราอยู่แล้ว แต่ตัวเจตนานั้น เป็นสภาพอันหนึ่งที่เราใช้เขาอยู่ ใช้ตัวเจตนานี่ เวลาเขา

58 “รอู้ ตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” เกดิ ขนึ้ มาตอบสนองกบั อารมณ เราตองระวงั ตวั เราวาอยามี เจตนารวม รัก าเจตนาเราไวใหดี ถาไปเจตนารวม อัตตา ตัวนี้จะดึงเราเขาไปสูวงจรของมัน เราก็หลงเปนไปตาม อาการของอัตตานี้ อัตตาของเกาคือสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด แมเรา เคยเห็นผิดมากอน เกิดเปนกอนสักกายะขึ้นในกายในจิต ทฏิ ฐนิ ีม้ นั ยงั คงอยูนะ มนั ยงั ตามแทรก ตามครอบงาํ ในขนั ธ ทุกขันธ แมเราจะเรียนรูคําสอนของพระพุทธเจามาวา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ก็ตาม นั่นคือเราเรียนนะแตการเรียนของเรา ยังไมมีกําลังเพียงพอ ยังแคอยูในชั้นของเจตนา ในวัฏฏะ มี กรรมวัฏฏ กิเลสวัฏฏ และวิปากวัฏฏ กรรมวัฏฏเปนเจตนาทั้งหมด วิปากวัฏฏ คือผล อันเกิดจากเจตนา แตกิเลสวัฏฏไมอยูในเจตนาเราเลย เราบังคับมันไดไหม ไมอยากใหกิเลสเกิด มันอยูนอกเจตนา หมดเลย แตสวนที่เปนกรรมวัฏฏ คือตัวการกระทําที่อยูใน เจตนาของเรา เราควบคุมได จะทําบุญเราก็ตั้งเจตนาได จะทํากุศลเราก็ตั้งเจตนาได จะเรียนเราก็ตั้งเจตนาได

“รู้อัตตาเพ่ือละอัตตา” 59 แตอันที่เปนอกุศล อันที่เปนกิเลส ไมเจตนามันยังเกิด นี่คือ อยูนอกจิตเรา อยูนอกเหนือเจตนา พวกนี้เปนกิเลสวัฏฏ ถาเปนกิเลสวัฏฏ ตองทําลายลางดวยอริยมรรค เทานั้น แตถาเปนกรรมวัฏฏ เชน เราเผลอคิดไปดานที่ไมดี เราก็ตั้งเจตนาใหม เห็นไหมมันแกกันไดทันทีเลย แตกิเลส แกอยางนี้ไมได คิดแกไมไดเลย ตองอาศัยอริยมรรค เทานั้นแก เขาใจไหม ปุจฉา พอจะเข้าใจ แต่ยังสงสัยอยู่ดีว่าอัตตาเกิดจากอะไร เพราะจิตมันรู้อารมณ์อย่างเดียว มันสร้างอะไรเองไม่ได้ เจตสิกต่างหากที่ไปปรุงให้เกิดความเห็นผิด คือ มิจฉาทิฏฐิ กับอวิชชา วิสัชชนา เอาอยางนดี้ กี วา รางกายเราสามารถรสู งิ่ ตาง ๆ ดวย ตวั ของมนั เองไดไหม เสนผมสามารถรบั รรู บั ทราบสงิ่ ตาง ๆ ดวยตัวของมันเองไดไหม มันตองอาศัยอยางอื่นใชไหม สิ่งเหลานี้เปนเครื่องบงบอกใหเราไดทราบวาการที่จะ เกิดการรับรูสิ่งใดสิ่งหนึ่งตองมีเหตุปจจัยเขามารองรับ

60 “ร้อู ตั ตาเพ่ือละอตั ตา” ในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นการที่เราจะรูอะไรก็ตาม ไมมีการรู แบบโดด ๆ จะมีปจจัยรวม ทั้งหมดเลย ทีนี้ปจจัยรวมทั้งหมดพอมันเกิดขึ้นเพื่อทําการรับรู หนงึ่ การรบั รู เราไมเคยเขาใจสภาพแหงการรบั รูในขณะนัน้ เมื่อเราไมเขาใจสภาพการรับรูมันจึงเกิดความหลงผิด ถามวาใครเปนผูหลงผิด ผูที่รับรูอยูนั่นแหละที่หลงผิด พอหลงผิดวาสิ่งเหลานั้นเปนจริงเปนจัง จนเกิดความ แกกลาขึ้นมาเปนตัวตน ึ่งความเปนตัวตนมัน งแนนมา ไมรูชาติไหนภพไหน พระพุทธเจาก็ทรงไมสามารถรูไดวา เงอื่ นตนมาจากไหน แตพระองคทรงทราบวามาจากมจิ ฉาทฏิ ฐิ คอื ความเหน็ ผดิ แน แตเงือ่ นตนจรงิ ๆ มาจากไหนเราไมทราบ มันเกิดเปนอัตตาไดแบบที่เรียกวาทันทีทันใดเลย อันที่เรา กําลังเปนอยูในเวลานี้คือปลายเหตุ ตนเหตุมาอยางไรพระองคยังไมทรงทราบเลย พระพุทธเจาจึงทรงบอกวาหาเงื่อนตนไมไดและหาที่สุด ไมได ถาอยากจะทาํ ทีส่ ดุ กค็ อื จดั การตัง้ แตตอนนี้ ตอนทีเ่ รา กําลังเปนอยูในเวลานี้จับเงื่อนตรงนี้ใหถูก คือ เห็นตอนนี้ เขาใจตอนนี้ ทราบตอนนี้ฉะนั้นปจจัยทั้งหลายที่มันเกิด รวมกันเพื่อทําการรับรู ขณะจิตนี้ แลวเราไมเขาใจ

“รอู้ ตั ตาเพือ่ ละอัตตา” 61 ขณะจิตขณะนั้น มันเปนอัตตาไดทันที อาตมาจึงบอกวา ทําไมแคเราลืมตาทั้ง ๆ ที่ยังไมเจตนาเพื่อที่จะกระทําสิ่งที่ เปนบญุ หรอื เปนบาปเลย แคลมื ตา สายตาสมั ผสั กบั รปู วตั ถุ มันเกิดเปนภพทันทีแลว อัตตามันเร็วขนาดนั้น เราไมได สรางภพแตอัตตาในจิตมันสรางภพไว มันเชื่อมตอ มันเกิด การเชื่อมตอ นี้คือสิ่งที่อาตมาเห็นในจิตเอง อ้าว! ท�าไมมันไปเร็ว ขนาดนี้ ทา� ไมมนั ไปเรว็ ขนาดนี้ ทงั้ ๆ ทเี่ รายงั ไมเ่ จตนาเพอื่ ทจี่ ะ กระท�ามัน มันรวดเร็วมาก อาตมาจึงเห็นว่าอาสวกิเลส มนั สรางภพสรางชาตไิ วทกุ ขณะ โดยทีเ่ ราไมรูตวั เราไมเคย ทราบวาเขาสรางไดทุก ๆ ขณะ ตั้งแตลืมตาตื่นนอน แมแต นอนหลบั เขากส็ ราง เขาสรางโดยตวั ของเขา เขาเปนอยางนนั้ อยูแลว เขาทํามาตั้งแตปางไหนก็ไมทราบ อัตตาจึงมีอยู ตลอดเวลา แตแทที่จริงแลวมันไมมีหรอก แตมันมีอยู โดยความที่เราเขาใจวามันมี เพราะเราไมเคยเห็นการดับ หรอื การหายไปของมนั พระพทุ ธเจาจงึ บอกวาหากใครเหน็ การเกิดการดับแมขณะจิตหนึ่ง จะสามารถทําลายความ เห็นผิดตัวนี้ไดวา เปนตน เปนเรา ออกไปได พระองคจึง ใหเราใสใจในการมองตัวนี้

62 “รู้อตั ตาเพ่อื ละอัตตา” ถามว่าเราจะสามารถใส่ใจและมองให้เห็นในตอนนี้ ได้ไหม ไม่ได้หรอก เราต้องอาศัยการฝึก ฝึกไปเรื่อย ๆ ฝึกตามแบบที่พระองค์ทรงสอนให้ฝึก แล้วท�าความเข้าใจ อย่างแบบหยาบ ๆ ก็คือกาย กายก็คือรูป เข้าไปหาจิต ก็คือนาม กายไปหาจิต อย่างนี้สลับกันไป เพราะฉะนั้นถามว่าอัตตาเกิดมาจากไหน เกิดมา ได้อย่างไร ก็เกิดมาจากความไม่รู้นี่เอง ไม่รู้ว่าขณะหนึ่ง แห่งการรับรู้นั้น มันเพียงแค่รับรู้แป๊บเดียวแล้วก็ดับไป เราไม่เห็นว่ามันรับรู้แป๊บเดียวแล้วก็ดับไป เราเห็นแต่ว่า รับรู้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อยู่นั่นแหล่ะ ตาเห็นรูปก็รู้ หูได้ยินเสียงก็รู้ จมูกดมกลิ่นก็รู้ และเห็นดับไหม ไม่เห็นดับไง เราไม่เห็น ค�าว่า เห็น คือ เห็นขณะนั้นเลยนะ เมื่อเราไม่เห็น มันเลยบัง อวิชชาเลยกั้น ไม่ให้เรา ได้ทราบ มันเลยเกิดความหลงผิดว่าเป็นอัตตาหรือเป็นตัวตน วา่ สงิ่ เหลา่ นมี้ อี ยจู่ รงิ มอี ยโู่ ดยถาวร เพราะเจตสกิ ปรงุ แตง่ ตลอด เจตสิกนี้ เราไมอยากจะใหมันปรุงมันก็ปรุง ไมอยากจะให มนั ปรงุ มนั กป็ รงุ มนั ปรงุ โดยตวั ของมนั อยแู ลว เปนสงั ขตธรรม ธรรมทปี่ รงุ แตงโดยตวั ของมนั อยแู ลว ปรงุ แตงรปู ปรงุ แตงนาม ปรุงแตงไดหมด

“รู้อัตตาเพื่อละอตั ตา” 63 การเกดิ มจี ติ ขนึ้ จากการปรงุ แตง่ แลว้ จติ นหี่ ลง เหน็ ผดิ หรอื วา่ หลงผดิ ในสงิ่ ทตี่ วั เองถกู ปรงุ แตง่ ขนึ้ มาวา่ เพราะตวั เอง ยังถูกปรุงแต่งท�าให้ตัวเองด�ารงอยู่ได้ สภาพของจิตนี้เกิดความ หลงผิดในตัวของมันเอง จึงเกิดเปนอัตตาในตัวมันเอง แลวอัตตาตัวนี้ เมื่อมันเห็นวาเจตสิกปรุงแตงมันอยูตลอด เวลา ไมเคยทําใหตัวมันดับไป มันก็เห็นวาเจตสิกนีเ้ ที่ยงแน เพราะมนั ไมเคยเห็นเจตสิกดบั กค็ อื จติ ยงั ไมมปี ญญา เมื่อจิต ยังไมมีปญญาในการเห็นการเกิดการดับของเหลาเจตสิก วามันเปนสิ่งที่ปรุงแตงกันอยู คา� วา่ ปรงุ แตง่ นี้ เราตอ้ งเขา้ ใจวา่ องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แต่ก่อนนี้พระองค์ก็ไม่ทรงทราบเรื่องเหล่านี้ ที่พระพุทธองค์ ทรงทราบ พระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทใช่ไหม ปฏจิ จสมปุ บาท คอื สายเกดิ กบั สายดบั ใชไ่ หม ทนี ปี้ ฏจิ จสมปุ บาท สายเกิดกับสายดับนี้ เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาในครั้งแรก สายแรกคือสายเกิด อวิชชาจนไปถึงทุกข์ โทมนัส อุปปายาส กค็ อื ตวั กอ้ นทกุ ข์ แลว้ สายดบั กค็ อื นโิ รธ จนไปถงึ ความดบั ทกุ ข์ เห็นไหม สายเกิดอย่างนี้ ทีนี้พระพุทธเจ้าทรงอุทานอะไรขึ้นมา

64 “รูอ้ ัตตาเพ่อื ละอตั ตา” “เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแกพราหมณ ผเู พยี รเพงอยู เมือ่ นนั้ พราหมณนนั้ ยอมรคู วามเกดิ ของธรรม ที่มาพรอมกับเหตุ” นั้นหมายถึงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมา ไม่ได้เกิด ขึน้ มาลอย ๆ มนั มเี หตขุ องมนั มเี หตแุ ตป่ างกอ่ น ไมว่ า่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความพอใจ ไม่พอใจ มันมีเหตุของมัน มาแต่ปางก่อน มันมีเหตุของมันมาแต่ก่อนอยู่แล้ว ไม่เคย ผกู ใจเจบ็ กนั มา ไมม่ ที างทจี่ ะผกู ใจเจบ็ กนั ไดอ้ กี ตอ่ ไป แตม่ นั เคยมา แตป่ างกอ่ นหรอื ปางไหนๆกต็ ามมนั ตอ้ งมีซงึ่ เราจะตามยอ้ นกลบั ไปดูเรื่องราวที่ผ่านมาในวัฏฏะมันไม่สามารถย้อนไปได้ ระดับพระพุทธเจ้า พระองค์ยังทรงตรัสว่าหาเบื้องต้น ไมไ่ ดเ้ ลย จดุ เรมิ่ แรกมาจากไหนกย็ งั ไมท่ รงทราบเลย พระองค จึงทรงจับตัวความไมรูมาเปนประเด็นในการตีโจทยหรือ ทําความเขาใจเพื่อที่จะหาคําตอบ เพราะพระองค์ก็ไม่รู้ ในบุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ไม่รู้ จุตูปปาตญาณก็ไม่ทราบ คือความรู้นั้นไม่เคยบอกขึ้นมาทีนี้ ในอาสวักขยญาณถึงจะ ท�าให้พระองค์ทรงเข้าใจเรื่องราวของอวิชชา คือ ความไม่รู้ ตวั ความไมร่ นู้ เี่ องแตทจี่ ะกาํ จดั กต็ องกาํ จดั ตวั ความไมรนู เี่ อง เพราะสิ่งทั้งหมดทั้งมวลที่นําจิตเราไปสูกระแสแหงการ เวียนวายตายเกิด มันก็คือ ตัวความไมรู พระพุทธเจาจึง

“รอู้ ตั ตาเพื่อละอัตตา” 65 ทรงสอนใหเราไดรู รูอะไร รูสิ่งที่จะเปนเหตุปจจัยทั้งมวล ที่นําเราไปสูการเกิด เหตุปจจัยทั้งมวลอยูที่ไหน อยูที่รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เพราะมนั รวมกนั อยู มนั เปน เหตุปจจัย ส่ิงอื่นแม้จะเป็นเหตุปัจจัยได้ก็ยังเป็นของภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส ยังเป็นของภายนอก และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ กิเลสโดยตัวของมัน เป็นสิ่งภายนอก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไมไดเปนกิเลสโดยตัวของมันเอง มันเปน แคสง่ิ ทถี่ กู ประกอบขนึ้ แตความไมรู ไมเขาใจใน รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เลยกอใหเกิดกิเลส แล้วกิเลส อะไรก็ตามท่ีเคยเกิดซ้�า ๆ ซาก ๆ เคยเกิดมาไม่รู้ก่ีภพก่ีชาติ แสนล้านชาติยังน้อยไป พระพุทธเจ้าบอกว่ามันมายาวนาน มากกว่าน้ันเป็นอเนกชาติ นับชาติไม่ถ้วน ฉะนั้นแลว อะไรก็ตามท่ีเคยเกิด ํ้า ๆ าก ๆ มันจึง เกิดไดเองแบบอัตโนมัติ เหมือนกับมันมีตัวตน เหมือนกับ มันมีชีวิตจริง ๆ แทที่จริงแลว เราไมไดมีชีวิตจริง ๆ หรอก ชวี ติ จรงิ ๆ เปนแคภาวะสมมตทิ เ่ี ราหลงผดิ เขาใจวาเรามชี วี ติ จริง ๆ เราไมไดแตกตางจากธรรมชาติท่ัวไปภายนอกเลย ดนิ นา้ํ ไ ลมภายนอก กบั ดนิ นา้ํ ไ ลม ภายในรางกายเรา

66 “รู้อัตตาเพ่ือละอัตตา” ไมไดแตกตางกัน หรือนาม คือตัวเจตสิกเอง เจตสิกก็ไมใช ตัวชีวิต แตมันถูกบอก ถูกทําใหเรารับรู รับทราบ วามันคือ ชีวิต ธรรมดาแล้วร่างกายเรานี้ ถึงคราวแตกสลาย มีใครส่ัง ให้มันต้องแตกสลายไหม แล้วเมื่อเราอยากจะให้มันคงอยู่ เราพยายามจะควบคุมให้มันอยู่ตามความต้องการเราได้ไหม จิตน้ี การที่มันจะปรุงแตงเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา แมเรา ไมบอกใหมันปรุง มันก็ปรุงดวยตัวของมันเองได ไมจําเปน จะตองมีเจตนาจากเราเขาไปปรุง มันก็ปรุงดวยตัวของ มันเองได ใชไหม แตเราไมไดเขาใจในสภาพธรรมชาติ ท่ีมันเปนของตัวมัน ถาเราบอกวาทั้งหมดนี้คือตัวชีวิต ของเรา มนั จะมคี าํ วา “ของเรา” ขนึ้ มา ถาบอกวาชวี ติ นคี้ อื ของเรา เม่ือกายเขาเปนไปตามภาวะของเขา แนนอนวา มนั ยนื ยนั ชดั เจนอยแู ลววาความเปนตวั เราไมไดมอี ยใู นกาย เม่ือจิตเขาปรุงแตงของเขาเองได ก็ยืนยันอยูแลววา เราก็ ไมไดมีอะไรกับตัวจิตน้ันเลย แตท่ า� ไมพระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงบอกวา่ กาย เวทนา จติ ธรรม เป็นเพียงแค่สักแต่ว่าให้เราได้รู้ ได้รู้ว่า น่ีคือกาย น่ีคือเวทนา นค่ี อื จติ นคี่ อื ธรรม รวู้ า่ กายทา� หนา้ ทอ่ี ะไร เวทนาทา� หนา้ ทอ่ี ะไร

“รู้อัตตาเพ่ือละอัตตา” 67 จิตท�าหน้าท่ีอะไร ธรรมมีหน้าท่ีอะไร ใช่ไหม ฉะน้ันกาย มีหน้าท่ีประกอบการรวมตัวกันในฐานะของความเป็นธาตุ โดยฐานะของเขา ในอานาปานบรรพที่เรารู้ก็คือ ธาตุลม ใช่ไหม อิรยิ าปถบรรพ คือการปรุงแตง่ โดยความเป็นอริ ยิ าบท การเคลอ่ื นไหวไปมาใชไ่ หม ปฏกิ ลู สญั ญาพวกนคี้ อื อสภุ บรรพ หรือว่า ธาตุบรรพ ส่ิงเหล่านี้ เราต้องเข้าใจว่าพระองค์ทรง ให้ทราบกายในฐานกายของเรานี้ โดยที่เขาเป็นของเขาอยู่ อย่างนั้น ใหเราทราบในส่ิงที่เขาเปนวาหนาที่ของเขามันมีอยู แคนนั้ เขาปรงุ แตงกนั เขากระทาํ เหตปุ จจยั ในตวั ของเขาถามวา กายที่เราไดมา เขาปรุงแตงนี้ ถามวาใครปรุงแตงใหมีกาย คือภา าทางอภิธรรมปฏิเสธความเปนสัตวบุคคลตัวตน อยูแลวใชไหม นั่นหมายถึงวาไมมีใครปรุงแตง ถาไมมีใคร ปรุงแตงแสดงวาการปรุงแตงนั้นเปนการปรุงแตงเองโดย ธรรมดา โดยตัวของเขาเอง เรียกวาเปนปรากฏการณทาง ธรรมชาตอิ ยางหนง่ึ ทม่ี กี ารรวมตวั กนั แลวสลายตวั รวมตวั กันแลวสลายตัว นี่คือธรรมชาติของสังขาร มีการกอเกิด ในเบอ้ื งตน แปรปรวนในทามกลาง และสลายตวั ไปในทสี่ ดุ

68 “รูอ้ ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” ฉะนั้นลักษณะของสังขารท้ังกายและจิต มีลักษณะ เดียวกันหมด คือ เกิดข้ึนในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และเส่ือมสลายไปในท่ีสุด การท่ีเขาก่อเกิดขึ้นด้วยตัวของเขา ไม่มีบุคคลเข้าไปกระท�าให้ก่อเกิดขึ้นหรือแม้แต่สลายตัว ก็ไม่มีบุคคลเข้าไปกระท�าให้เกิดการสลาย เขาสลายด้วยตัว ของเขาตามปกติ รางกายของเราน้ีแยกกันอยูตลอดเวลา ธาตุดิน นํ้า ไ ลม แยกกันอยูทุก ๆ วัน สลายอยูทุก ๆ วัน ธาตุไ ระเหยออกจากรางกายเราตลอด ธาตุลมก็เขาออก เขาออก ธาตดุ นิ กห็ ลดุ รวงอยตู ลอด ใชไหม ธาตนุ าํ้ กไ็ หลเขา ไหลออกอยูอยางน้ี หากเรามองนะ ถาเราไมมองเราก็จะ ไมเห็น ถาเรามองเราก็จะเห็น ฉะน้ันธรรมะก็เป็นเร่ืองท่ีถ้าเราสนใจเราก็จะรู้ ถ้าเรา สนใจทจี่ ะรเู้ รากจ็ ะเหน็ สง่ิ นนั้ ตามความเปน็ จรงิ บางคนบอกวา่ ก็สนใจอยู่นะพระอาจารย์แต่ท�าไมมันไม่รู้สักที เราก็ตองมา ดูวาองคประกอบของความสนใจของเราน้ันประกอบดวย ความเขาใจแคไหน ในการท่ีจะเขาไปรู เขาไปเห็น การท่ี พระองคทรงบอกวา เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏ แกพราหมณผูเพียรเพง เห็นไหมเพียรเพงนะ ไมใชวา เราเรียนรูมาเราก็ทราบแลววา ดิน นํ้า ไ ลม แตไมเขาไป เพียรเพงดู มันก็ไมรู มันก็ไมเห็น

“รู้อัตตาเพือ่ ละอตั ตา” 69 พราหมณผูเพียรเพง พระพุทธเจาทรงใชคําวา พราหมณผูเพียรเพง จริง ๆ แลวบทธรรมน้ีเปนขอสรุป ใจความของการปฏิบัติทั้งหมดแลว ในความเขาใจของ อาตมา เปนบทสรุปในการปฏิบัติท้ังหมดแลว แทบวา ไมตองไปปฏิบัติขอไหนอีกเลย อยูในน้ีแหละ พุทธอุทาน ของพระองค ทพี่ ระองคทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทนแ้ี หละ “กาลใดแล ธรรมท้ังหลายปรากฏแกพราหมณ ผูเพียรเพง พราหมณนั้นยอมรูความเกิดขึ้นของธรรมน้ัน ที่มาพรอมกับเหตุ” เขาเกิดข้ึนมาพร้อมกับเหตุ เหตุคืออะไร เหตุคืออะไร พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัส แต่มันมีเหตุจึงมีการ ก่อเกิดข้ึน กายเรามีเหตุจึงมีการก่อเกิดข้ึน จิตเรามีเหตุจึงมี การก่อเกิดข้ึน ไม่มีเหตุมันไม่เกิด ทีน้ีการท่ีพระองค์ไม่ทรง ช้ีหรือบอกว่าเหตุน้ันคืออะไร เพราะว่าแม้แต่ตัวเหตุก็อาศัย หลาย ๆ อย่างประกอบกันเพื่อก่อให้เกิดมี จึงระบุไม่ได้ว่า อันนั้นโดยส่วนเดียว สิ่งน้ีโดยส่วนเดียว สิ่งนั้นโดยส่วนเดียว ไม่ได้ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัย พระพุทธเจ้าใช้ค�าว่า “ปจั จยั ” พระองคจ์ งึ ทรงพจิ ารณาอกี ครง้ั หนงึ่ ในปฏจิ จสมปุ บาท ว่า สายเกิดสายดับเป็นอย่างไร

70 “รอู้ ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” สายเกิดสายดับเป็นอย่างไร ตั้งแต่อวิชชาจนถึง ทุกข์ โทมนัส อุปายาส แล้วก็นิโรธ ต้ังแต่การดับไปโดย ไม่เหลือของอวิชชาด้วยวิราคธรรม ธรรมที่ปราศจากราคะ ธรรมท่ีไม่ให้เกิดราคะ ไม่มีราคะ จนไปถึงการดับทุกข์ทั้งปวง ใช่ไหมล่ะ พระองค์ก็อุทานข้ึนมาเป็นคร้ังที่ ๒ ว่า “เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแกพราหมณผูเพียรเพง” อันแรก พราหมณที่เพียรเพงอยู รูวาทุกส่ิงทุกอยางเกิดจากเหตุ ของมันเอง เหตุของมันเองก็ไมมีความยุงเก่ียวกับเรา อยูแลว เพราะมีเหตุของเขาอยูแลว ไมเก่ียวกัน หมายถึงวา เราไมไดมีความเกี่ยวของกับสิ่งท่ีเขาเปนโดยตัวของเขา มาแตไหนแตไรอยูแลว ท้ังกายทั้งจิต การท่ีเราวา มีเราอยู มันเปนความเห็นผิด เปนมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าจึงให้ท�าลายท่ีมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ก็คือมิจฉาทิฏฐินั่นแหละ ให้ท�าลายตรงน้ัน ไม่ได้มาท�าลาย ที่ตัวกาย หรือพูดง่าย ๆ อาตมาจะสอนลูกศิ ยมาตลอดวา เราไมไดมีหนาที่ไปทําลายกิเลส จริง ๆ กิเลสเปนเร่ืองของ มรรคที่เขาจะไปทําลายกันเอง ถามรรคไมเต็มเราจะเขาไป ทําลายอยางไรก็ตาม ทําลายไมไดหรอก เพราะมันเปนสิ่งท่ี มเี หตขุ องเขาโดยตวั ของเขา เพราะกเิ ลสไมไดเกดิ จากตวั เรา

“ร้อู ัตตาเพอื่ ละอัตตา” 71 มันเกิดจากเหตุปจจัย แลวเราแคเขาไปหลงผิดในสภาพ ที่เขาเกิดข้ึนมาในเวลาน้ัน เราแครูไมเทาทัน เราแคหลงไป ชั่วคราวจนติดเปนนิสัย แลวแกนิสัยตัวนี้ของตัวเองไมได กลายเปนนิสัยเสียในตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นแลว การปฏิบัติทั้งหมดนี้ เราแคมา สรางมรรค มรรคท่ีพระองคทรงสอน คือการสรางความรู ความเขาใจ สรางความเห็นใหม สรางความเห็นใหตรง สรางความเหน็ ใหถกู เทานน้ั เอง หนาทขี่ องเรา เพราะฉะนนั้ จงทําหนาที่ของเราใหอยูในขอบเขตของเรา เราอยาไป กาวล้ําเร่ืองของกิเลส เราไมมีทางที่จะไปกําจัดกิเลสไดเลย ตราบใดที่มรรคยังไมเต็ม ฉะน้ันแล้ว งานของเราคืองานสร้างมรรค มรรคก็คือ องค์แห่งความรู้ที่เป็นสติปัญญาท้ังหมด ทีน้ีเมื่อเพียรเพ่งแล้ว ว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุของมัน มันมีเหตุมันจึงเกิด ไม่มีเหตุ มันไม่เกิดหรอก แสดงว่ามันเกิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง เม่ือมันหมดมันก็คือหมดด้วยตัวของมันเอง ไม่เกี่ยวกับเรา สกั อยา่ งเลย เราไมส่ ามารถท�าใหม้ นั หมดไปได้ ถ้าเราสามารถ ทา� ใหม้ นั หมดไปได้ ไมต่ อ้ งมาสอนกนั ใหม้ นั ยงุ่ ยากอยา่ งนห้ี รอก ทุกคนก็ไปท�าเอาเองได้เลย ไปจัดการกันเอาเองเลย กิเลส

72 “ร้อู ัตตาเพอ่ื ละอตั ตา” ของใครของมันใช่ไหมล่ะ เราก็รู้อยู่แล้วมันเกิดในใจเรา เป็นอย่างไร ก็ดับมันไปสิ ปรากฏว่ามันดับได้ไหมล่ะ ดับมา กี่ปีแล้วล่ะ เพราะฉะน้ันเราไม่ต้องไปดับ อาตมาจึงไมไดสอนใหดับกิเลส เหมือนกับเรา ตองการแสงสวาง ตรงน้ีมันมืดเราตองการใหความมืดนี้ หายไป เราไมไดไปไลความมืด เราไมไดกําจัดความมืด ใหออกไป เราแคสรางแสงสวางขึ้นมา ความมืดก็จะหาย ไปเอง ในท�านองเดียวกันน่ีแหละ เมื่อเราเข้าใจในท่อนแรกว่ากิเลสเกิดจากเหตุของมัน พระองค์จึงบอกว่า “เม่ือใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก พราหมณผูเพียรเพงอยู เม่ือนั้น พราหมณน้ันยอมรูความ สิ้นไปแหงปจจัยของธรรมท้ังหลายเหลานั้น” อันนี้คือ พุทธอุทานคร้ังที่ แสดงวาอันแรกรูวามันเกิดจากเหตุ อันที่สองรูความเสื่อมสิ้นดวยตัวของมัน น่ันหมายถึงวา ตัวของมันก็มีความเส่ือมความส้ินโดยตัวของมันอยูแลว กิเลสมีความเส่ือมความส้ินโดยตัวของมันอยูแลว ในเม่ือ กิเลสมีความเส่ือมความสิ้นโดยตัวของมันแลว เราจะไป ทําอะไรไหม ไมตอง แครู รูในขณะน้ัน แตเปนความรูที่เปน ความรูความเขาใจนะ

“รู้อัตตาเพ่อื ละอัตตา” 73 พระพทุ ธเจาจงึ ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทอกี ยาํ้ ไป ยํ้ามา จึงไดอุทานเปนครั้งท่ี วา “เม่ือใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแกพราหมณผูเพียรเพงอยู โดยความที่รูความเกิด ความส้ินของเหตุปจจัย เม่ือน้ัน พราหมณน้ันยอมกําจัดมาร และเสนามารได” นั่นหมายความวาเราเพียงแคทราบ การเกิดการดับดวยตัวของมันเอง กําจัดเสนามารได แตไมใชพราหมณเปนผูไปกําจัดนะ สิ่งที่เพียรเพงดูอยู น้ันแหละ ก็คือ อริยมรรค ธรรม ก็คือ อริยสัจธรรม ที่เปนทุกข เหตุใหเกิดทุกข ความดับไปของทุกข และการเขาไปปฏิบัติ โดยการรูการเกิดของสิ่งที่มาจากเหตุ และความเสื่อมสิ้น เพราะความส้ินไปของปจจัยท่ีกอเกิดมัน พอหมดปจจัย มันก็สิ้นไป แตท่ นี ปี้ รากฏวา่ ในขณะทเี่ ขาเกดิ เขาดบั เขาเกดิ เขาดบั เขาเกิดเขาดับโดยตัวของเขา เราไปหลงยึดในสิ่งเหล่านั้น ด้วยความเคยชิน ความเคยชินน้ี เราจึงต้องมาฝึกตรงน้ี ที่จะฝืน ฝืนเพื่อท่ีจะรู้โดยท่ีไม่ท�าตามไม่คล้อยตาม การท่ีเรา น ไมทําตาม ไมคลอยตาม ในขณะที่มันเกิดข้ึนมา มันจะคอย ๆ ทําใหจิตของเรามีฐานในตัวเอง ฉะน้ัน อาตมาจึงพยายามสอน ใหพวกเราทั้งหลายไดเขาใจเปนบาทเบื้องตน ความเขาใจ

74 “รู้อัตตาเพอื่ ละอตั ตา” มนั จะนาํ ไปสกู ารกระทาํ ตอสงิ่ ทมี่ นั เปนอยอู ยางนนั้ เราตอง เขาใจนะวา ธรรมชาติท้ังกายท้ังจิตมันเปนอยูอยางนั้น เปนอยูโดยตัวของมันเอง พูดอย่างนี้เราจะมองออกได้อย่างไรว่า มันเป็นอยู่ด้วย ตัวของมันเอง มันมีอยู่ด้วยตัวของมัน ถามว่าเวลานี้เรา หายใจไหม ใครเปน็ ผหู้ ายใจ ถา้ เราบอกวา่ เราหายใจ เราสามารถ หายใจเองได้ใช่ไหม เราหายใจเองได้ไหม ไม่ได้ มันหายใจ ของมันเอง ถ้าเราหายใจเองได้ เราก็ไม่อยากให้ลมหายใจหมด อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แต่เราหายใจเองไม่ได้ มันหมดเหตุของมัน มนั กด็ บั สายตา เราเปน็ ผมู้ องไหม เราเปน็ ผเู้ หน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ ไหม สายตามนั มองเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ ของมนั พอหมดเหตปุ จั จยั ทจี่ ะเหน็ มันก็มองเห็นไม่ได้ อายุ ๗๐ ปี ๘๐ ปี ต้องไปลอกต้อตา เพราะปัจจัยมันเร่ิมแทรกเข้ามาแล้ว เราสามารถบอกให้ฟัน มันเกิด แล้วก็คงอยู่ในปากเราอย่างน้ันตลอดไปได้ไหม บทมันจะเกิดมันก็เกิด บทมันจะร่วง มันก็ร่วงของมัน มันมี ปัจจัยของมัน โดยตัวของมัน ถามว่าเราท�าไมส�าคัญมั่นหมาย หรือหลงผิดอยู่ในกายสังขาร เฉพาะกาย กายสังขารเรายัง หลงผิดขนาดนี้ จิตตสังขารพระพุทธเจ้าบอกว่าหลงผิดไป หนักกว่านี้

“ร้อู ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 75 พระพทุ ธเจาทรงตรสั วาหลงกายสงั ขารยงั ไมมโี ท มาก แตถาหลงจติ ตสงั ขารนม่ี โี ท มาก คอื ตวั จติ เพราะยากมาก ที่คนท่ีหลงในจิตวามีตน เปนตน เปนเรา เปนตัวของเราน่ี ยากมากทจี่ ะถอนออกมาจากความเหน็ ผดิ นน้ั ได แตเหน็ วา กายเปนตนยังพอจะถอนได เพราะอะไร เพราะความแก ใกลเขามา มันเร่ิมแสดงความจริงแลววากายนี้ไมใช ของเราแลว มันเสื่อมสลายไปแลว แลวเห็นคนตายอยู ต้ังมากมาย เพราะฉะน้ันจึงมุงไปท่ีจิตวาจิตตองเปนเราแน แลวก็ งลงไปในความรูสึกวาจิตคือเรา เราคือจิต จิตก็ ไมไดตางจากกายนะ ไมไดตางกันเลย เปนธรรมชาติแบบ เดียวกันเลย เพียงแตวามันอยูในช้ันของนาม ไมปรากฏ เปนรูป มีแตอาการปรากฏ ฉะนั้นพระองค์จึงทรงบอกว่า กาย เวทนา จิต ธรรมน้ี ให้เรามีสติเข้าไปทราบในฐานะของกายตามภาวะหรือ บทบาทท่ีเขาเป็น เขาเป็นไปตามภาวะของเขา เขาจะแก่ เขาจะเจ็บ เขาจะตายก็เป็นเร่ืองของเขา เวทนาก็ท�าหน้าที่ ในการแสดงออกถึงความสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ซ่ึงเขาก็ แสดงออกมาตามปัจจัยที่เขาเป็น เขารับทราบมีปัจจัยไหน เขา้ มาตามภาวการณต์ า่ ง ๆ ทางตา หู จมกู ลนิ้ มนั กจ็ ะปรากฏ

76 “รู้อัตตาเพอื่ ละอัตตา” ข้ึนมาเป็นเวทนาชนิดนั้น ๆ ด้วยตัวของมันเอง โดยที่เรา ไม่สามารถท่ีจะไปเปล่ียนมันได้เลย เราอาจจะบอกว่า เราเปลี่ยนมันได้ ถามว่าเปลี่ยนได้ ทุกคราวไหม เปลี่ยนไม่ได้ทุกคราว ทุกข์จะเกิด เราจะไป เปลี่ยนให้มันไม่เกิด เราก็เปล่ียนไม่ได้นะ แต่เราทุเลามัน หรอื บรรเทาความทกุ ขม์ าตลอดทงั้ ชวี ติ แลว้ เราบรรเทามนั ได้ เราก็เลยว่าเรามีความสุขแล้ว เพราะเราบรรเทาทุกข์ได้ เราก็คิดว่าเรามีความสุข พอเราเข้าใจว่าเรามีความสุข สุขเวทนาเป็นขันธ์ ขันธ์เป็นทุกขสัจจะ หากเรายังพึงพอใจ ในขันธ์ แม้จะเป็นสุขอยู่ก็คือยังพอใจในทุกขสัจจะอยู่ ก็คือ การที่เราพอใจในความสุขแสดงว่าเราไม่ต้องการให้ตัวเอง มีความทุกข์ การที่เราไมตองการใหตัวเองมีความทุกข แสดงวาเราไมรูทุกขสัจจะ เพราะเราไมอยากเปนทุกขกับ ความทุกขที่มันกําลังเกิดขึ้นท่ีมันเปนอยู ึ่งพระพุทธเจา ทรงบอกใหเรามองใหเห็น ถาเรามองไมเห็น เราก็จะพลาด ความไมรูก็จะครอบงําเราทันที เราก็จะพลาดจากความรู ตรงน้ี เราจะไมรูเลยวาตัวขันธเปนตัวทุกขอยางไร ฉะน้ัน การทเี่ ราหวงตวั เองไว กค็ อื หวงความทกุ ขนไี้ ว ไวใหตวั เอง ไปเปนผูรับผลในภายภาคหนาอยูตลอด เราจึงมีกรรมวัฏฏ

“ร้อู ตั ตาเพอื่ ละอตั ตา” 77 กระทําตามความรูสึก ความอยาก ความตองการ กระทํา ตามน้ี กิเลสวัฏฏเปนตัวกระตุน วิปากวัฏฏเกิดข้ึนนําสูผล กรรมวัฏฏ์แก้ได้นะ ท�าบาปแก้ด้วยบุญ แต่กิเลส เอาบุญแก้ไม่ได้ เอาความดีไหน ๆ แก้ก็ไม่ได้ แก้ไม่ได้เลย จะท�าบุญจน ... ไหนใครท�าบุญย่ิงกว่าพระเวสสันดรบ้าง สละออกหมดหรือยัง ก็ยังไม่เท่าใช่ไหมล่ะ พระเวสสันดร สิ้นอาสวะหรือยัง ก็ยังไม่สิ้นนะ ชาติสุดท้ายก็ดับเพื่อเกิด ที่ดุสิตเทวโลก เข้าใจนะว่าพระเวสสันดรกับสันดุสิตเทพบุตร เป็นคนละคน ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่มีเหตุปัจจัยเกี่ยวเพ่ือให้ ไปเป็น เพราะว่าอะไร เพราะกรรมวัฏฏ์ท่ีท�า วิปากวัฏฏ์ ก็ส่งผล ใช่ไหม ตราบใดที่ยังไม่สามารถท�าลายกิเลสวัฏฏ์ ที่เกิดวนเวียนอยู่ในหัวใจเรา เกิดมาแต่ละครั้งแต่ละหน วัฏฏ์ คือวนเวียนอยู่ เกิดแล้ว เกิดอีก เกิดแล้ว เกิดเล่า จริง ๆ มันเกิดมาก็เพ่ือให้เราได้รู้แค่เราไม่รู้จัก แต่เราไม่เข้าใจ ฉะน้ันสิ่งที่อาตมาก�าลังจะบอกพวกเรา ก็คือว่า หน้าที่ ของพวกเรากค็ อื เจรญิ มรรคใหเ้ ตม็ กพ็ อ ไมต่ อ้ งไปทา� ลายกเิ ลส ไม่ต้องไปร�าคาญกับกิเลสท่ีมันเกิดขึ้น เพราะมันเกิดอยู่แล้ว จะรา� คาญหรอื ไมร่ า� คาญมนั กเ็ กดิ อยแู่ ลว้ กป็ ลอ่ ยใหม้ นั เกดิ ไป อยา่ ไปทา� ทา่ ทา� ทเี ปน็ นกั ธรรมะ จะกา� จดั กเิ ลสละ่ วนั นี้ แลว้ ใช้

78 “รู้อัตตาเพือ่ ละอัตตา” รูปแบบทั้งหมดที่เราฝึกมา เรียนมา รับทราบมา ได้ยินมา แล้วไปจัดการกับมัน ได้ไหม ได้ช่ัวคราว แล้วดีใจว่าวันนี้ชนะ มันแล้ว วันต่อไปเป็นอย่างไร มันซัดเราคืนได้เหมือนกันนะ เห็นไหมล่ะ เราไปมัวแต่จัดการกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเป้าหมาย ที่เราจะต้องท�าจริง ๆ เราละเลยมรรคที่เราจะต้องเจริญขึ้น หรือสร้างขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่าให้สร้างความเห็นถูกขึ้นมาคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิน้ีจะแก้ทุกอย่างได้เลย เพราะถ้า ความเห็นเราถูก ทุกอย่างจะถูกไปหมดเลย อาตมาจึงเน้น ตัวนี้มากเพราะเป็นประธานในการประพฤติปฏิบัติท้ังหลาย แต่อาตมาจะไม่พูดสัมมาทิฏฐิในชั้นกุศลธรรมนะ เพราะ พวกเรามีกันเต็มบริบูรณ์อยู่แล้วในช้ันกุศล อาตมาจะเน้น สัมมาทิฏฐิในช้ันของปัญญาหรือโลกุตตระ คือจะยกใจเรา ข้ึนสู่โลกุตตระ เราจะตองสามารถเห็นความทุกข เห็นเหตุ ใหเกิดทุกข เห็นความดับไปของทุกข และเห็นวิธีปฏิบัติ เพอื่ ทจ่ี ะเขาไปดบั ทกุ ขใหได เพราะฉะนนั้ การทอ่ี าตมาสอนมา ทั้งหมดก็เพื่อใหเห็นอริยสัจทั้ง ประการ ่ึงมันเกิดอยู ตลอดเวลา แมแตเวลานี้ก็ยังเกิดอยู เห็นไหมละ ไมเห็น แตบางคนที่กําหนดรูก็จะเห็น ก็จะเขาใจ

“รูอ้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 79 สิ่งใดก็ตามที่เกิดข้ึนอยู่สิ่งนั้นก็เรียกว่าทุกข์ ไม่ใช่ กเิ ลส ตวั เราทเ่ี กดิ ขน้ึ มาแลว้ เรยี กวา่ เปน็ ตวั ทกุ ข์ ไมใ่ ชก่ เิ ลสนะ กายกับใจเราท่ีก่อเกิดมาเป็นมนุษย์น้ีไม่ใช่กิเลส ทั้งตัวเรา ไมใชกิเลสเลย จริง ๆ แลวจะทําอยางไร มันไมมีกิเลส ใครคิดวารางกายเปนกิเลส หรือใครคิดวาจิตเปนกิเลส เหน็ ไหม ในเมอื่ มนั ไมมกี เิ ลสแลว เราจะปฏบิ ตั เิ พอ่ื ละกเิ ลสทาํ ไม น่งั อยขู ณะนมี้ กี เิ ลสไหม มีอยทู ่ีไหน เราบอกวากิเลสอยูที่ใจ ลองดูเขาไปในใจตอนน้ีสิ มีกิเลสไหม ถามวามันมีอยูที่ไหน เมอื่ มนั ยงั ไมไดปจจยั มนั กไ็ มเกดิ ใชไหม มนั ไมไ่ ดป้ จั จยั เพอ่ื จะ ก่อเกิด มันก็เกิดไม่ได้ มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา น่ันหมายถึงว่า การท่ีเราทราบและเขาใจวากิเลส ไมไดมีอยูตลอดเวลาจึงเปนผลดีกับเรา เปนผลดีอยางมาก เปนผลดีอยางไร เพราะวาเราจะไดเขาใจเหตุปจจัยเมื่อ มันกอเกิด เมื่อเราไดเขาใจในธาตุปจจัยท่ีมันกอเกิด พระพุทธองคทรงตรัสวากายกับใจเปนทุกข เม่ือกายกับใจ เปนทุกข กายกับใจจึงไมใชกิเลส ขันธ จึงเปนของควร กําหนดรู ไมใชเปนของควรละ เปนของควรกําหนดรู เหตุใหเกิดขันธ คืออะไร ความไมรู ความไมรูเปนเหตุ ใหเกิดขันธ ความไมรูในอะไรจึงกอใหเกิดขันธ

80 “รู้อตั ตาเพอื่ ละอตั ตา” ก็ไมรูขันธ นั่นแหละ ไมรูขันธ น่ันแหละจึงกอใหเกิด ขันธ ทําไมพระพุทธเจาถึงทรงพยายามเนนสอนเร่ือง ขนั ธ ใหเราไดรอู ยตู ลอดเวลา ตรงนแ้ี หละ มนั จะไปไถถอน ความไมรู พอไถถอนความไมรูออกไป เราแทบจะไมได ไปมองหนากเิ ลสเลยวาเปนอยอู ยางไร คอื มนั จะไมโผลหนา เขามาใหเห็นเลยขณะท่ีเรารูเรื่องของขันธ อยู เราก็จะ รูแตวา น่ีคือรูปขันธนี่คือเวทนาขันธ นี่คือสัญญาขันธ น่ีคือ สงั ขารขนั ธ นคี่ อื วญิ ญาณขนั ธ หากเรากาํ หนดรอบรขู นั ธ อยตู ลอดเวลา อยเู รอ่ื ย ๆ อยบู อย ๆ กเิ ลสแทรกไมได เพราะ มีความรูกําหนดรูอยูในนั้น แตเม่ือใดก็ตามท่ีเราไมไดกําหนดรู มันไดปจจัย กอเกิดที่จะแทรกเขามาในขันธภาวะใดภาวะหน่ึง ไมวา จะเปนรูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ มันสามารถแทรกเขามาได เม่ือไดปจจัย กอเกิดมันข้ึน มันก็จะเกิดข้ึนมาได กิเลสเกิดจากความไมรู นั้นเอง ไมรูขณะที่เราไมไดกําหนดรูนะ ทีน้ีบางคนก็บอกวา เราก็ตองกําหนดรูอยูตลอด แทบไมตองทําอะไรในชีวิต ประจําวันของเรา มันไมใชอยางน้ัน อาตมากําลังจะสอน กําลังจะบอกเราก็คือวา เราตองปลอยใหมันเกิด และตอง

“รูอ้ ตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” 81 ปลอยใหมันเกิดเพ่ือที่เราจะตองรู เราแคเขาใจในขณะท่ี มันเกิดข้ึนมาและเราก็รู และเราก็แยกออกวา อะไรคือขันธ อะไรคือส่ิงที่เกิดมาเพื่อทําใหเราหลง ส่ิงต่าง ๆ ภายนอกไม่ได้ท�าให้เราทุกข์นะ แต่ส่ิงท่ีอยู่ ในตัวเรานี้แหละท�าให้เราทุกข์ ขันธ์น้ีแหละท่ีท�าให้เราทุกข์ ถ้าเราได้ยินข่าวว่าภูเขาไฟระเบิด รู้สึกตกอกตกใจไหม ท่ีอยู่ นอกตัวเรา อยู่นอกประเทศเรานี้ แต่ถ้าสิวอยู่หน้าเรา จะแตกล่ะ ย่ิงสิวหัวช้างนี่รีบจัดการมันทันทีเลย อยู่ไม่เป็นสุข อาตมาก�าลังจะบอกว่า สิ่งท่ีอยู่ในตัวเราทั้งหมดไม่ใช่กิเลส แต่ถ้าเราหลงมัน หรือเราไม่รู้มันตามความเป็นจริง มันจะก่อ ให้เกิดกิเลส ฉะนั้น การอธิบายอย่างนี้ไม่แน่ใจว่าท�าให้เรา จับประเด็นได้ไหม ได้อยู่นะ เพราะอาตมาก็ไม่แน่ใจ แต่อาตมารู้สึกเบาใจมากที่พวกเราซึ่งมีความรู้ทางด้าน อภิธรรมมา ท�าให้อาตมาสอนได้ง่ายขึ้น น่ีคือผลดีที่พวกเรา ได้ศึกษาพระธรรมค�าสอนมา กายเป็นท่ีตั้งแห่งความทุกข์ เม่ือกายเป็นท่ีต้ังแห่งความทุกข์ หากเรารู้ว่าทุกข์โดยความ เป็นทุกข์ ขอให้จิตเรารู้จริง ๆ ว่ากายนี้คือตัวทุกข์โดยความ เป็นทุกข์ของมัน เม่ือมันเป็นทุกข์โดยตัวของมัน การที่

82 “รู้อตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” ความทุกข์เกิดข้ึนมาจากส่ิงที่มันต้องเป็นทุกข์อยู่แล้ว ถือว่า เปน็ เรอ่ื งผดิ ปกตขิ องมนั ไหม เปน็ เรอื่ งธรรมดา พระพทุ ธเจา้ จงึ บอกวา่ มนั เปน็ ธรรมดา ความเปน็ ธรรมดานเ่ี องเปน็ สจั ธรรมท่ี เราจะตอ้ งเขา้ ใจ แลว้ ตอ้ งเขา้ ใจนะ แลว้ ตอ้ งเขา้ ไปถงึ ในใจดว้ ย เพราะแค่ความเข้าใจในช้ันภายนอกนี่ยังผิวเผินอยู่ ถ้าเข้าใจ ไปถึงในใจ มันจะเข้าใจไปตลอดสาย ฉะนน้ั เมอ่ื เรารคู้ วามทกุ ขโ์ ดยความเปน็ ตวั ทกุ ขอ์ ยแู่ ลว้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การท่ีเรารู้จักยอมรับ ความทกุ ขท์ ม่ี นั เปน็ ตวั ความทกุ ขข์ องมนั อยอู่ ยา่ งนน้ั ได้ นนั้ คอื การละสมุทัย เหตุให้เกิดความทุกข์ เพราะเราจะไม่รู้สึก เป็นทุกข์กับอาการทุกข์ที่จะเกิดข้ึน แต่หากเม่ือใดก็ตาม ที่เราไม่รู้จักทุกข์โดยความเป็นทุกข์ในตัวของมัน เมื่อมีทุกข์ เกิดขึ้น เรายอมรับไม่ได้ พอเรายอมรับไม่ได้ สมุทัยจะเกิด อาตมาแปลคา� วา่ สมทุ ยั คอื สงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มาพรอ้ มกบั ความทกุ ข์ ไม่รู้จะแปลถูกหรือแปลผิด แต่แปลในแง่ท่ีอาตมาจะท�าให้ พวกเราได้ท�าความเข้าใจว่า หากไม่มีทุกข์ สมุทัยจะไม่มี เด็ดขาด เช่ือไหม ถ้าไม่มีทุกข์ สมุทัยจะไม่มี ฉะนั้นการท่ี พระพุทธองค์ทรงบอกให้เรารู้จักทุกข์ เพื่อก�าหนดรู้สมุทัย หรือละสมุทัยน่ันเอง

“รู้อัตตาเพ่อื ละอตั ตา” 83 สมุทัยคือสิ่งที่เกิดข้ึนมาพร อมกับความทุกข เมอื่ สมทุ ยั เกดิ ขนึ้ มาพรอมกบั ความทกุ ข เมอ่ื เรายอมรบั ทกุ ขได สมุทัยจะถูกละไปในตัว หากเรายังยอมรับทุกขไมได สมุทัย จะยังมีอยู สิ่งที่กอใหเกิดทุกข แตอยาลืมนะ สมุทัยไมใช ตวั กเิ ลส มนั เปนแคเหตใุ หเกดิ ทกุ ข แตตวั มนั ไมไดเปนกเิ ลส คือตัวตัณหา ไมใชกิเลส เราพูดงาย ๆ เพราะกิเลสอยูท่ี ความไมรู คือ อวิชชา แท้ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้บอก ใหเ้ ราดบั ตณั หา เพราะตณั หาเปน็ หว่ งโซก่ ลาง ๆ อยู่ คอื เวทนา ก่อให้เกิดตัณหา ตัณหาก่อให้เกิดอุปาทาน ตัณหาจะอยู่ ช่วงกลาง ๆ ของห่วงโซ่ของปฏิจจสมุปบาท แต่ตัวให้ดับ พระพุทธเจาทรงใหดับอวิชชา ฉะนั้นแลวเหตุแหงความทุกข ไมใชกิเลส แตสามารถเปนเหตุใหเกิดทุกขได ถาเราไมรูจัก ยอมรับความทุกข เมื่อเรายอมรับความทุกขไดก็เทากับ ละสมุทัยได เมื่อเราละสมุทัยได นิโรธก็ปรากฏ เพราะอะไร เพราะนโิ รธคอื ความดบั ไปของเหตนุ นั้ เอง เมอื่ นโิ รธปรากฏแลว บคุ คลผเู ขาไปกาํ หนดรทู กุ ขและยอมรบั บคุ คลผยู อมรบั ไดแลว ก็ละสมุทัยไปในตัว เม่ือละสมุทัยไปในตัวก็เกิดเปนนิโรธ ไปในตัว บุคคลน้ันก็ไดชื่อวาเปนผูเจริญมรรค

84 “รอู้ ัตตาเพ่ือละอตั ตา” เมื่อเราเจริญมรรคอยู่บ่อย ๆ อยู่เร่ือย ๆ อยู่สม�่าเสมอ อยู่เนือง ๆ มรรคก็จะแก่รอบขึ้นมา เรียกว่าโคจรอยู่ในจิตเรา ตลอดเวลา เห็นอะไรก็ตามด้วยตา ด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยล้ิน ด้วยกาย ด้วยใจ เราก็รู้ได้เลยว่า นี้คือทุกขสัจจะ นี้คือ สมุทยสัจจะ นี้คือนิโรธสัจจะ น้ีคือมรรคสัจจะ ทุกขสัจจะ ใหรู สมุทัยใหละ นิโรธทําใหแจง มรรคใหเจริญขึ้น เราก็จะ ไมมีความสงสัยเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ นอกจากว่าเราจะไป สร้างความสงสัยจากสิ่งที่เราก�าลังปฏิบัติอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือไม่ถูก เอ...มันจะส�าเร็จผล หรือไม่ส�าเร็จผล อันนี้คือ วจิ ิกจิ ฉาสงั โยชน์ สงั โยชนท์ ีม่ นั แทรกขนึ้ มา หากจะมองตามหลัก ท่ีพระองค์ทรงตรัส แทที่จริงแลว พระองคทรงตองการใหเรา ละสงั โยชนตวั นน้ี เี่ อง เพราะฉะนนั้ เมอ่ื มตี วั สงั โยชนขนึ้ มาแทรก ทเี่ ปนความลงั เลสงสยั รบี รทู นั ทเี ลยวานคี้ อื สงั โยชนเกดิ ขน้ึ แลว เมอ่ื เรารวู านคี้ อื สงั โยชนเกดิ ขน้ึ แลว สงั โยชนนแ้ี หละจะตอง ถกู ประหาน(ละ) ดวยกาํ ลงั ของอรยิ มรรค แตเราดบั ความสงสยั ไมไดนะ มีแตมรรคเทาน้ันที่จะเขาไปทําลาย ฉะน้ันวิธีเจริญ คือรูทุกขไปเร่ือย ๆ รู ยอมรับทุกข แลวกล็ ะสมทุ ยั ไปเรอื่ ย ๆ แลวกน็ โิ รธ ทาํ ใหเกดิ กบั จติ อยเู รอื่ ย ๆ ก็เจริญมรรคอยูเร่ือย ๆ เพราะมรรคจะไปทําลายวิจิกิจฉา สังโยชน แลวก็สักกายทิฏฐิ เกี่ยวโยงกัน ทั้งสักกายทิฏฐิ

“รูอ้ ตั ตาเพ่อื ละอัตตา” 85 และวิจิกิจฉา แลวก็สีลัพพตปรามาส เก่ียวโยงกันหมดเลย เพราะเปนกิเลสตัวเดียวกัน ฉะนั้นเม่ือละสักกายทิฏฐิได วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาสก็จะถูกละไปดวยโดยอัตโนมัติ ทันที ขณะแหงมรรคจิตท่ีกําหนดรอบรูในขันธ โดยสภาพ ของการรูน้ัน เห็นชัด เขาใจ เขาใจชัดในขันธท่ีเกิดแลวดับ เกิดแลวดับ เกิดแลวดับ ๆ ๆ ๆ โดยเปนส่ิงที่ประจัก ตอ สิ่งที่เขากําลังมองอยู กําลังเห็นอยู ประจัก ตอจิตตอใจ ประจัก ตอสติปญญาท่ีเขาสรางขึ้นมาเพื่อรับรู ก็คือ เรอ่ื งใดกต็ ามทป่ี ระจกั กบั จติ เรา เชน หนงึ่ ความคดิ เกดิ ขนึ้ มันก็จะมีสัญญาขันธ อยู ในนั้น วิญญาณขันธ ก็รับรู เวทนาขันธก็ปรากฏ รูปขันธเปนที่ต้ังแหงการเกิดข้ึนของ นามขันธ ฉะนั้นการท่ีเขาเกิดปรากฏในขณะหนึ่งความคิดน้ัน มันดึงขันธท้ัง มาไวใน ความคิดนั้นหมด ทั้งรูป ทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยูในนั้นท้ังหมดเลย เมอ่ื เราทราบการเกดิ ของ ความคดิ และทราบการดบั ของ ความคิด แลวเพียรเพงดูรูอยูอยางน้ัน ก็คือเรากําลัง เปนพราหมณผูเพียรเพงอยู ยอมรูวาส่ิงเหลาน้ีเกิดมาจาก สง่ิ น้ี เรยี กวาเหตอุ นั นเี้ กดิ ขน้ึ อนั นจี้ งึ เกดิ ขนึ้ มนั กไ็ ปสหู ลกั ของ อทิ ปั ปจจยตา วาเพราะสง่ิ นม้ี ี สงิ่ นจ้ี งึ มขี น้ึ เพราะความเกดิ ขน้ึ

86 “รอู้ ตั ตาเพ่ือละอตั ตา” ของส่ิงน้ี ส่ิงนี้จึงเกิดขึ้น เพราะส่ิงนี้ไมมี ส่ิงน้ีก็ไมมี เพราะความดบั ของสงิ่ นี้ สง่ิ นกี้ ด็ บั สงิ่ นี้ คอื สงิ่ ไหน กข็ นั ธ ใชไหม เพราะฉะน้ันสรุปรวมแลว การปฏิบัติเปนเพียงแค เราเขาใจขันธ ใหถองแท เทานั้นเอง ถาเราเขาใจขันธ ถองแทแลว กําลังของอริยมรรคก็จะคอย ๆ เต็มบริบูรณ ในใจเรา แลวมรรคก็จะทําลายสังโยชนเอง ในวธิ กี ารของอาตมา อาตมาจะใหทองธาตุ พจิ ารณา รางกาย ขั้นตอน ทองขันธ และจับดูขันธ เกิดดับ ทีอ่ าตมาวางหลกั การนี้ไวก็เพราะวา อาตมาทราบอธั ยาศัย ในจิตของพวกเราน้ี วามีความสายแสไปตามอารมณ อยูตลอดเวลา ก็เลยพยายามจะหาหลักยึดเพื่อเปนอุบาย การทองธาตุเพื่อใหขอมูลกับจิตและใหความรู กับจิต การพิจารณารางกาย ข้ันตอนเพื่อใหจิต เกิดความเขาใจชัดเจนในขันธโดยไมตองสงสัย ในรูปขันธอีก ก็จะเกิดเปนสมถะ ความสงบใจ รองรับ และ ใหทองขันธ เพ่ือทราบวาอาการที่เกิดปรากฏ ทางดานของนาม (ทางรูปเรารูอยูแลวในเรื่อง

“ร้อู ตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” 87 ของกาย) ทางนามนี้ สง่ิ นน้ั คอื ขนั ธอะไร ขนั ธไหน ทเ่ี กดิ พอเราทราบเรอ่ื งของขนั ธแลววาขนั ธไมใช กิเลส การเกิดข้ึนของขันธไมวาจะเกิดข้ึนมา ในรูปแบบใดก็ตาม มันไมใชกิเลส ทั้งดีและไมดี มันไมใชกิเลส เมื่อมันไมใชกิเลสก็ไมใชสิ่งท่ีเรา ตองละ บางคนบอกว่าแล้วความคิดที่มันไม่ดีเกิดขึ้น เราไม่ละ มนั หรอื วา่ ไงละ่ ทนี ี้ พระพทุ ธเจา้ ทรงบอกวา่ ใหล้ ะบาปทง้ั ปวง เจริญกุศลให้ถึงพร้อม น้ีไม่ใช่มาละความคิดที่ไม่ดีที่เกิดข้ึน นห้ี รอื ความคดิ ในดา้ นอกศุ ลเกดิ ขน้ึ ความคดิ ในดา้ นประทษุ รา้ ย ว่าร้าย กล่าวร้าย มุ่งร้าย ต้องละมันไหม ท�าไมไม่ต้องละ เพราะถาเราไมละ มันก็ดับในตัวของมันเองอยูแลวใชไหม เม่ือธรรมชาติมันดับในตัวของมันเอง เราจึงไมตองเขาไป ดับมัน เปนเพียงแคในขณะท่ีมันเกิด เราสามารถอดทนดู ไดไหมละ อดทนดูความจริงท่ีมันจะเกิดแลวมันจะดับ ในตัวของมันไดไหม ตรงน้ีสําคัญ เม่ือเราสามารถรูได โดยท่ีไมเขาไปทําอะไรกับมัน แลวทราบความจริง มันจะ เกิดปญญาขึ้นมา ปญญานี้พระพุทธเจาตรัสวาปญญา ที่เห็นความเกิดและความดับน้ี คือปญญาอันชําแรกกิเลส

88 “รู้อตั ตาเพอ่ื ละอตั ตา” นน่ั หมายถึง ว่าในขณะใดก็ตามทเี่ ราเห็นการเกิด แม้ความคดิ ที่มันไม่ดี อย่าเพิ่งไปรีบละมันนะ ความโกรธ ความโมโห ความฟุ้งซ่าน ความร�าคาญ อย่าไปละมัน อย่างเช่นเม่ือเช้าน้ี อาตมาปลุกพระตี ๓ พระบอกว่า ง่วง ง่วงแล้วเขาก็ถามว่า พระลูกศิษย์ : พระอาจารย์ ผมง่วงแล้วจะท�า อย่างไร พระอาจารย์ : แล้วปกติท่านท�าอย่างไร พระลูกศิษย์ : ผมก็โยนิโสมนสิการ พระอาจารย์ : โยนิโสของท่านคืออะไร พระลูกศิษย์ : ผมก็หาองค์ธรรมมาพิจารณา พระอาจารย์ : แล้วองค์ธรรมที่ท่านน�ามาพิจารณา คืออะไร พระลูกศิษย์ : ก็อริยสัจ ๔ พระอาจารย์ : แล้วท�าไมท่านไม่รู้จักดูความง่วงล่ะ พระลูกศิษย์ : ความง่วงน้ีเราต้องละมัน มันเป็น นิวรณ์ พระอาจารย์ : ท่านเอาความง่วงไปใส่นิวรณ์ได้ อย่างไร เพราะตัวของนิวรณ์ท่ีแท้

“รูอ้ ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” 89 คือ ถีนมิทธะ ไม่ใช่ตัวความง่วง ถีนะ คือ ความหดหู่ท้อแท้ มันเกิดในจิต มิทธะ คือความอ่อนแอทางใจ ใจเรา มันอ่อนแอ มันหดหู่ มันไม่มีก�าลัง มันก็เลยส่งผลทางกาย กายเป็น ทุกขสัจจะ มันแค่ส่งผล มันเป็นผล ทางกายท่ีท�าให้เกิดความง่วง พระลูกศิษย์ : อ้าว … ท่ีพระอาจารย์พูดมาก็เป็น โยนิโสแล้ว พระอาจารย์ : ก็ใช่น่ะสิ เป็นโยนิโส ท�าในใจให้ แยบคาย จิตเขาตื่น พระลูกศิษย์ : ผมไม่เคยเห็นจิตมันอ่อนแอ จิตมี ก�าลังน้อย มันไม่มีก�าลัง พยายาม ฝืนแล้วก�าจัดความง่วงโดยการหา องค์ธรรมอ่ืนมาแก้ พระอาจารย์ : อันน้ีแก้ผิดจุด คือ เหตุมาจากไหน เราต้องแก้มันตรงนั้น แก้ตรงนั้นเลย คอื โยนโิ สมนั อยตู่ รงนนั้ เลย เอาเรอ่ื งนนั้ มาโยนิโส เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะ

90 “รู้อัตตาเพื่อละอตั ตา” บอกท่านให้เข้าใจนะว่า เม่ือท่าน สามารถแยกประเด็นของความ ง่วงเหงาหาวนอนออกได้ว่า ความ ง่วงเหงาหาวนอนนั้นอะไรเป็น ทุกขสัจจะ อะไรเป็นสมุทยสัจจะ อะไรเป็นนิโรธสัจจะ อะไรเป็น มรรคสัจจะ เอาความง่วงน้ีแหละ เป็นบาทฐานในการพินิจพิจารณา ท่านก็ท�ากันเลยตอนนั้น เขาก็ปฏิบัติได้ในเวลานั้น นนั่ หมายถงึ วา่ ธรรมะจรงิ ๆ แลว้ ปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ลย ไมต่ อ้ งรอเวลา ไม่ต้องคอยหารูปแบบหรือหาวิธีการอะไร เพียงแต่ว่าใช้ ความเข้าใจในหลักการให้ถูกต้องกับส่ิงท่ีมันเกิด ไม่ใช่ว่า ง่วงนอนเกิดขึ้นมา ต้องรีบออกไปท่องธาตุเพื่อให้หายง่วง ไม่ใช่ เราต้องเข้าใจความง่วง แยกให้มันออกก่อน ไม่ง้ัน ความไม่รู้ในข้อนี้ มันก็จะพลาดในการที่จะท�าความแยบคาย ในการรู้ ความแยบคายมันบอกไม่ได้หรอกว่าคือ แบบไหน อย่างไร เขาเรียกว่าเป็นความฉลาดเฉพาะบุคคล ความ แยบคายน้ี ทุกคนมีความฉลาดในตัวเองอยู่แล้ว ท�างานมาได้

“รอู้ ตั ตาเพ่อื ละอัตตา” 91 ขนาดน้ี เรียนจบมาได้ขนาดน้ี เอาตัวรอดมาได้ขนาดนี้ ใช้ความฉลาดท้ังนั้นแหละ ใช่ไหม แต่ฉลาดในด้านอะไรล่ะ ทีน้ีเราก็ใช้ความฉลาดเหล่านั้นมาใช้กับธรรมะบ้างสิ เอาตัวรอด จากสิ่งท่ีมันก�าลังบีบคั้นจิตใจเราอยู่นี่ ให้มันถูก ให้มันตรง ให้มันตรงกับเหตุของมันน่ันแหละ พูดง่าย ๆ ถ้าเราไม่ท�า ตรงกับเหตุของมัน ก็ไม่มีทางแก้มันได้ เม่ือเราแก้มันไม่ได้ มันก็จะฝังแน่นและครอบง�าใจของเราอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นในหลักการน้ี อาตมาจึงพยายามสอนใหไดรู และเขาใจเร่ืองของขันธ และก็ดูการเกิดการดับของ ขนั ธ โดยเฉพาะอาการทางนาม นามทเ่ี กดิ มาแตละครงั้ ๆ เปนขันธชนิดไหน ก็ใหทราบขันธชนิดน้ัน ตามความเปนจริง ของมัน เมื่อเรารูอยูแลววาการเห็นการเกิดดับเปนปญญา เพ่ือความชําแรกกิเลส เราจะชําแรกกิเลส เราก็ตองชําแรก โดยการเห็นการเกิดดับ ดีเกิดข้ึนก็เห็นการเกิดดับของ ความดี ไมดีเกิดขึ้นก็เห็นการเกิดการดับของความไมดี เราตองเหน็ ทงั้ สองดาน ไมใชวาจติ ดจี งึ จะสามารถพจิ ารณา ธรรมได จติ ไมดไี มอยากจะพจิ ารณา ไมใชนะ เราอยาลมื วา จติ จะดกี ต็ าม ไมดกี ต็ าม มนั กค็ อื จติ เพราะจติ กค็ อื สกั แตวาจติ มนั เปนไดทงั้ สองดาน มนั ไมใชวาจะตองใหมดี านดดี านเดยี ว

92 “รู้อตั ตาเพื่อละอตั ตา” ถามีดานดีดานเดียวแลว จิตดานท่ีไมดีปรากฏขึ้นมาแลว เราจะยอมรับมันไมไดทันที เพราะเราจะยอมรับแตในดาน ท่ีดี แลวเราจะหลงเปนความดีในจิตของตนเอง พอเรา หลงเปนความดีในจิตของตัวเอง ความดีท่ีเราหลงเปน มนั จะไปปฏเิ สธดานทมี่ นั ไมดี เมอ่ื ปฏเิ สธดานทไ่ี มดี ดานทไ่ี มดี นี้แหละ มันจะคอยเปนปรปก กับความดีในใจเราอยูตลอด เวลา ฉะนนั้ พระพทุ ธเจาจงึ ทรงบอกใหเปนกลาง อยาอยใู น ายดีหรือ ายไมดี ความเปนกลางจึงสามารถรับรูได ท้ังสอง าย ไมโอนเอนไปใน ายไหน เม่ืออยูเปนกลางได และทราบทงั้ สอง าย จงึ เหน็ การเกดิ การดบั ของทงั้ สอง ายได เมื่อเห็นการเกิดการดับของทั้งสอง ายได ปญญาอันเห็น การเกิดการดับน้ันแหละจึงเปนปญญาอันชําแรกกิเลส พอจับประเด็นตรงนี้ไดไหม ก็จบแลว ปญญาอันชําแรก กิเลสก็ถึงแลว ใครมีอะไรสงสัยจะถามอีกไหม ปุจฉา ตอนถนี ะเกดิ มนั เซอื่ งซมึ ทอ้ ถอยจรงิ ๆ ถา้ ขนั ธอ์ น่ื เกดิ ยังก�าหนดได้เพราะว่าซ้อมมาแล้ว และก็มีความยอมรับได้

“รอู้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 93 แต่พอถึงถีนะเกิดมันไม่ไหว จะบอกว่าถีนะเป็นสังขารขันธ์ ความจา� ถนี ะเปน็ สญั ญาขนั ธ์ มนั ไมม่ าเลย มนั งว่ งอยา่ งเดยี วเลย วิสัชชนา พระอาจารย์ : นิวรณ์เป็นเคร่ืองกั้น ความอ่อนแอ ของใจ ทอ้ แทห้ ดหู่ ตามทเี่ ราเรยี นมา พระพุทธเจ้าให้แก้อย่างไร ตามหลัก ที่เราเรียนมา สร้างก�าลังทางใจขึ้น อย่างไร วิธีการสร้างก�าลังทางใจ ศิษย์ : ๑. มนสกิ ารใหม้ ากซงึ่ สญั ญาทท่ี า� ให้ เกิดความง่วง ๒. ตรึกในธรรมที่ได้ฟังได้เรียน มาแล้วให้มาก ๓. สาธยายธรรมท่ีได้ฟังได้เรียน มาแล้วให้มาก ๔. ยอนหูท้ังสองข้างและลูบตัว ด้วยฝ่ามือ ๕. ลุกข้ึนและลูบนัยน์ตา ลูบหน้า ด้วยน�้า เหลียวดูทิศท้ังหลาย แหงนดูดาว

94 “รอู้ ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” ๖. ท�าไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือก�าหนดความสว่างไว้ในใจ เหมอื นกนั ทง้ั กลางวนั และกลางคนื ท�าใจให้เปิดให้สว่าง ๗. เดนิ จงกรมสา� รวมอนิ ทรยี ์ มจี ติ ใจ ไม่คิดไปภายนอก ๘. ถา้ ยังละไมไ่ ด้ควรทา� สีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้ เหล่ือมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกข้ึนเป็นนิตย์ เมอ่ื ตน่ื ควรรบี ลกุ ขน้ึ ดว้ ยใจตงั้ วา่ เราจะไมป่ ระกอบความสขุ ในการ นอนและการเคลิ้มหลับอีก พระอาจารย์ : วิธีการท่ีอาตมาใช้อยู่เสมอในการ แก้ไขความง่วง ตั้งแต่พรรษาท่ี ๒ มา อาตมาไม่เคยถูกความง่วงครอบง�า จติ เลย แตพ่ รรษาแรกหนกั หนว่ งมาก ในการต่อสู้มัน หนักหน่วงอย่างไร เขาเรียกว่าง่วงมากนัก ไปเดินจงกรม ไปเดนิ จงกรมเพอ่ื จะเอาชนะความงว่ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook