อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ 89 ปุจฉา : ก็เลยหาต่อว่า “แล้วกามตัณหาอยู่ท่ีไหน” ปรากฏว่าก็อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา วิสัชนา : ใช่ พอใจในขันธ์ คือต้องการให้ขันธ์มี ความสุข เป็นกามฯ เมื่อพอใจให้ขันธ์มีความสุขน่ีเป็น กามตัณหา ไม่ให้ขันธ์กระทบกับความทุกข์ หรือไม่อยาก ให้ขันธ์ประสบกับความทุกข์เป็น ภวตัณหา คือต้องการ ให้เป็นอย่างนั้น แล้วก็ต้องการให้ขันธ์พ้นออกจากความทุกข์ โดยความไม่รู้ ไม่รู้ คือ พยายามจะหาทุกส่ิงทุกอย่างป้องกัน ไม่ให้ขันธ์รับการกระทบอยู่เรื่อย ๆ น้ีเป็น วิภวตัณหา ปุจฉา : หลังจากนั้นก็พิจารณาเห็นว่า อวิชชา ก็มา ด้วยกันท้ังหมด ท�ำไมเพ่ิงคิดออก วิสัชนา : ใช่ มันก็จะค่อย ๆ ออกทีละเปลาะ ๆ อย่างนี้แหละ มันจะเกิดรู้ เกิดรู้ไป ต่อยอดไปเร่ือย ๆ ๆ ๆ ปุจฉา : หลังจากนั้น ก็รู้สึกว่ามีความสงบมาเพ่ิมข้ึน วันละนิด วันละนิด วิสัชนา : น่ีคือความสงบที่แท้ เพราะฉะน้ัน ความสงบ ทแี่ ท้ คอื ความสงบทเี่ กดิ จากการทำ� ลายเหตขุ องความไมส่ งบ ไม่ใชค่ วามสงบโดยเราไมไ่ ดท้ ำ� ลายเหตขุ องมัน แต่เราไปสรา้ ง ความสงบข้ึนกลบ เป็นความสงบท่ีเป็นมิจฉา แต่ความสงบ
90 อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ ที่เราพูดถึง เป็นความสงบที่เกิดจากการก�ำหนดรู้ในอริยสัจ เป็นความสงบที่แท้ เป็นสัมมาสมาธิ ปุจฉา : เพิ่งจะเร่ิมต้นศึกษา คือว่า การแยกธาตุ การก�ำหนดรู้ขันธ์เกิด-ดับเป็นข้ันเป็นตอนน้ัน แต่ว่าวันน้ี ที่ได้ฟังประสบการณ์ของท่านอาจารย์อธิบายว่า การท่ีจะ ละสักกายทิฏฐิคือ ตอนแรกท่ีก�ำหนดแยกธาตุแยกขันธ์ แต่ก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริง จนกระท่ังมารู้ทีหลังว่า การพิจารณาการเกิด-ดับนั้นเกิดผลเยอะ ที่ได้ฟังในวันน้ี วสิ ชั นา : เคยลองทำ� มากอ่ นหนา้ นไ้ี หม เคยทำ� มาไหม ปุจฉา : ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นพิจารณาการเกิด-ดับ วิสัชนา : การพิจารณาธาตุ หรือ พิจารณาแยกธาตุ ธาตุ ๔ เป็นทุกขสัจจะ การเข้าไปพิจารณาธาตุ คือ การเข้าไป รู้ทุกขสัจจะน่ันเอง ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเข้าไปรู้ตอนที่ มีทุกข์ ที่อาตมาเคยบอกว่าไม่ต้องไปรอให้มีทุกข์ ถ้าเรามา พิจารณาธาตุ ธาตุก็คือทุกขสัจจะโดยธรรมชาติอยู่แล้ว การเข้าไปพิจารณา คือ การเข้าไปรู้ทุกข์ในธาตุตัวนี้ เป็นการ รู้อริยสัจในชั้นของการก�ำหนดรู้สัจจะ เรียกว่า สัจจญาณ อยู่ในชั้นของสัจจญาณ
อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ 91 ปจุ ฉา : ขออนญุ าตถามเกยี่ วกบั เรอื่ งการปฏบิ ตั ธิ รรม แบบโพธิปักขิยธรรม เพ่ิงศึกษาและท�ำอยู่ ควรจะไปเพ่งหรือ เน้นในจุดไหน ในบทไหน หรือในบทอย่างที่ท่านอาจารย์ พูดถึงว่า มรรคมีองค์ ๘ ซ่ึงเป็นบทสุดท้าย วสิ ชั นา : จรงิ ๆ มรรคมอี งค์ ๘ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ลำ� ดบั สดุ ทา้ ย พระพุทธเจ้าตรัสเป็นอันดับแรก แต่เขาเรียงตามองค์ธรรม ว่าหมวดธรรม ๘ ข้อ มีมากที่สุดเอาไว้ทีหลัง เริ่มจาก หมวด ๔ ก่อน สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ จะเรียงจากน้อยไปมาก ๔, ๕, ๗, ๘ คือ มรรคมีองค์ ๘ มีหลายข้อ จึงจัดไปไว้หลัง แต่ที่จริงแล้ว ให้ท�ำมรรค ๘ ก่อน คือเราต้องเข้าใจว่าการจัด หมวดธรรม ไม่ใช่เรียงการปฏิบัติธรรม เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสว่า สัมมาทิฏฐิ เป็น ปุพพังคมา คือ ธรรมท่ีเข้าถึงก่อน ทำ� กอ่ น เปน็ เรอ่ื งทตี่ อ้ งสรา้ งขนึ้ มากอ่ นธรรมขอ้ อน่ื เปน็ สำ� คญั ปุจฉา : ไม่ใช่ ก ข ค ง ... ฮ วิสัชนา : ใช่ เขาเรียงตามหมวดธรรมเท่านั้นเอง หมวดธรรม ๔ ข้อ หมวดธรรม ๕ ข้อ หมวดธรรม ๗ ข้อ หมวดธรรม ๘ ขอ้ เทา่ นน้ั เอง เขาเรยี กวา่ เปน็ การทำ� สงั คายนา
92 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ ร้อยเรียงไว้ในหมวดธรรมน้ัน แต่แท้ท่ีจริงแล้วถ้าเราพิจารณา อริยสัจ ๔ โพธิปักขิยธรรมจะอยู่ในนั้นท้ังหมด อยู่ครบหมด ไม่ต้องกลัวว่าโพธิปักขิยธรรมจะหายไปไหน อยู่ในขณะท่ีเรา ก�ำหนดรู้อริยสัจ ๔ นั่นแหละ ถ้าเราพิจารณาแยกธาตุ ๔ จนช�ำนาญ รู้เร่ืองของ ธาตุ ๔ อย่างชัดเจน น่ันคือสัจจญาณในทุกขสัจจะถูกรอบรู้ ด้วยปัญญาอันแจ้งชัด ในขณะที่เราพิจารณาอยู่น้ันปัญญา จะท�ำให้เราก�ำหนดหมายในกายสังขารน้ี โดยความเป็นธาตุ และไม่สงสัยในสิ่งท่ีมันเป็น กายน้ีจะต้องเป็นธาตุแน่นอน ไมเ่ ปลย่ี นแปลงไปเปน็ อยา่ งอน่ื นคี่ อื ความจรงิ ทจ่ี ติ จะตอ้ งเกดิ การยอมรบั ในช้ันของสัจจญาณ ในความจรงิ ของทกุ ขสัจจะน้ี ฉะน้ัน ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีทุกข์ก็จริง แต่ก็คือ ก้อนธาตุนั่นแหละ เป็นตัวท่ีแสดงออกหรือเป็นท่ีต้ังของ ความทกุ ข์ กต็ อ้ งแสดงอาการทต่ี อ้ งทกุ ขโ์ ดยสจั จะ มนั เปน็ ธาตุ ธาตุ เรียกว่าเค้ามูลเดิม หรือส่ิงท่ีทรงอยู่ในตัวของมัน เช่น ดิน ทรงไว้ซึ่งความแข้นแข็ง น้�ำ ทรงไว้ซ่ึงความเหลว เอิบอาบ ไฟ ทรงไว้ซึ่งความร้อนและอบอุ่น ลม ทรงไว้ซึ่งความพัดไปมา
อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ 93 เมื่อมันเป็นธาตุโดยการทรงสภาพแห่งความเป็น อยา่ งนนั้ ของมนั โดยประกอบดว้ ยองค์ ๔ หรอื ธาตุ ๔ ประการ มันจะแสดงสัจจะ ธาตุคือตัวธรรมะ ตัวความจริง สัจจะนี่คือ ความจรงิ ในธรรมะนนั้ อกี ความจรงิ นจี่ ะแสดงออกมาคอื ตวั ทกุ ข์ พระพุทธเจ้าตรัสถึง ทุกขสัจจะ จึงชี้ไปท่ีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นทุกขสัจจะ เป็นความจริงท่ีเราจะต้อง เข้าไปก�ำหนดรู้ ถา้ เรม่ิ จากรปู กห็ มายถงึ วา่ อาตมาตอ้ งการใหท้ ำ� ลาย สักกายทิฏฐิ เพราะสักกายทิฏฐิจะเกี่ยวโยงกับรูปทั้งหมด มรี ปู เปน็ ตวั เกาะตดิ ของจติ จติ จะเกาะตดิ กบั รปู มรี ปู จติ จะเกดิ รว่ มรบั ในการเปน็ ไปตามภาวะของกาย มจี ติ โดด ๆ อยา่ งเหลา่ พรหมท้ังหลายท่ีไม่มีรูป (อรูปพรหม) มีจิตโดด ๆ ก็ท�ำอะไร ไม่ได้ พรหมท�ำอะไรไม่ได้ แค่อยู่ในภาวะของการเสวย แต่ถ้า มกี ายนนั้ ทำ� ได้ เทวดามกี าย เทวดาทำ� ได้ เทวดากท็ ำ� ความดไี ด้ แต่พอไปเป็นพรหม เสร็จแล้ว มีแต่จิต เรียกว่า อรูปพรหม มีแต่จิต เขาท�ำอะไรไม่ได้จนกว่าก�ำลังของฌานจะเสื่อมและ หมดเอง จึงจะมาสู่ภาวะแห่งความมีกาย นามตัวนั้นก็จะมา เกาะอยกู่ บั กาย แลว้ อาศยั กายเปน็ ตวั สรา้ งกรรม กระทำ� กรรม ส่วนที่เป็นกุศล อกุศล ก็ว่ากันไป ในท�ำนองนี้
94 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ ทีน้ีมนุษย์เรา มีทั้งกาย มีท้ังใจ คือมีท้ังรูป มีทั้ง นามพร้อม เพราะฉะนั้น สติและปัญญาก็ต้องอาศัยกาย คือ จติ นเ้ี ป็นผู้สรา้ งข้นึ เพราะถา้ มีนามอย่างเดยี วมนั สร้างปญั ญา ไม่ได้ รู้ทุกข์ไม่ได้ เพราะทุกข์ใดก็ตามท่ีกระทบกาย ก็จะ ส่งผลไปให้จิตได้รับรู้ จิตจะเกิดร่วมหรือรับรู้ความทุกข์น้ัน พร้อมกับกาย เม่ือจิตรับรู้พร้อมกับกายแล้ว จิตมีความไม่รู้ ในตัวจิต จึงเอาความทุกข์น้ันมาเป็นผลทางใจหรือทางนาม มาเปน็ ผลสำ� หรบั ตวั เอง แลว้ ปรงุ แตง่ ความทกุ ขน์ น้ั ใหเ้ พมิ่ เตมิ ข้ึนไปอีก การปรงุ แตง่ ในชนั้ ของนามหรอื ตวั จติ เองทไ่ี ปปรงุ แตง่ น่ี สืบเน่ืองจากความไม่รู้ ซึ่งมีอยู่ในจิตอยู่แล้ว เมื่อการปรุงแต่ง ใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการปรุงแต่งในชั้นกุศลสังขาร เช่น เกดิ ความไมส่ บายใจ เออ้ ... ไปทำ� บญุ หนอ่ ยเพอื่ ใหไ้ ดส้ บายใจ อันน้ีก็คือ กุศลสังขาร กุศลสังขารที่ประกอบไปด้วยความไม่รู้ จะสืบต่อไปเป็นภพภพที่ดี คือการเกิดแล้วเกิดอีก เราก็ วนเวียนอยู่อย่างน้ีเพราะเรามีความไม่รู้อยู่ เพราะฉะนนั้ การรกู้ ายโดยความเปน็ ธาตุ แลว้ เมอ่ื เรา ทราบชัดในความเป็นธาตุ จิตซ่ึงเกิดร่วมกับกายอยู่จะเริ่ม เอะใจ เริ่มชะงัก ผู้พิจารณากายโดยความเป็นธาตุ ย�้ำ ๆ ซ้�ำ ๆ จนจิตเข้าไปรู้ไปเห็นในเร่ืองที่ผู้นั้นพิจารณาอยู่ จิตจะเริ่ม
อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 95 ตั้งค�ำถามกับตัวเอง ตัวเราคือ ดิน น้�ำ ไฟ ลม เหรอ อะไร ประมาณน้ี ซง่ึ เกดิ กบั อาตมาเอง เอะ๊ ... ตวั เราคอื ดนิ นำ�้ ไฟ ลม แล้วเม่ือตัวเรา คือดิน คือน้�ำ คือไฟ คือลม สภาพของจิตท่ีเคย ยึดอยูห่ รอื เกาะอยู่กบั รูปโดยความยดึ ถอื ว่าเป็นตวั เอง จะเร่ิม ถอยห่างออกมา เริ่มหดตัวออกมา พอมันหดตัวออกมา จิตจะท�ำการพิจารณาโน้มตามส่ิงที่เราต้ังความคิดในเรื่อง ของธาตุไว้ จิตก็จะคิดเรื่องของธาตุอยู่บ่อย ๆ แล้วก็ท�ำลาย ความเห็นผิดในกาย แต่สักกายทิฏฐิยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่ว่าการท�ำลายสักกายทิฏฐิในชั้นของรูปในการ พิจารณาธาตุ เป็นการท�ำลายในชั้นของโลกิยะอยู่ ยังไม่เสร็จ สมบูรณ์ดีพอ ส่ิงท่ีจะท�ำให้เกิดสักกายทิฏฐิในชั้นของนาม คือ อารมณ์ เม่ืออารมณ์มากระทบจิต ในชั้นของกายน่ีเรา พิจารณาเป็นธาตุ ๔ ดิน น้�ำ ไฟ ลม ได้ แต่ในช้ันของอารมณ์ เราเป็นเพียงแค่เห็นส่ิงที่มากระทบจิตนั้น เกิด-ดับเท่าน้ัน เราท�ำอะไรมากกว่าน้ีไม่ได้เลย ดูมันเกิดมันดับ ถ้าใคร มาน่ังดูการเกิด-ดับทางจิต พร้อมกับพิจารณาทางกายอยู่ คือ ถ้าสามารถท�ำได้พร้อมกัน คือพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้�ำ ไฟ ลม พร้อมกับการดูการเกิด-ดับไปด้วย ถ้าใครสามารถ ท�ำได้พร้อมกัน ซ่ึงจริง ๆ สามารถท�ำได้ แต่ถ้ายังท�ำไม่ได้
96 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ ก็ยึดอยู่กับการพิจารณากายไปก่อน พอถึงจุดที่ท�ำได้แล้ว ลองท�ำดู จะเห็นสภาพของจิตท่ีมีการพิจารณาธาตุรองรับ พรอ้ มกบั เหน็ อารมณท์ ม่ี ากระทบเกดิ - ดบั ไดอ้ ยา่ งตดิ ตอ่ เนอื่ งกนั และจะท�ำให้เกิดการสนุกในการดู เป็นส่ิงที่เรียกว่าเพลินด้วย เพลินในการท่ีจะรู้การเกิดการดับน้ัน ในโอกาสนี้ก็มาถึงช่วงเวลาสุดท้าย ที่พวกเราได้ตั้งใจ มารับฟังการอธิบายธรรมะจากอาตมา จะขออ�ำนวยอวยพร ให้กับพวกเราทุกคน ขออำ� นาจพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบนั ดาลให้ บญุ กศุ ลทเี่ กดิ จากการถวายภตั ตาหารเพล บญุ กศุ ลทเ่ี กดิ จาก การรับฟังธรรมเทศนา บุญกุศลที่เกิดจากการแสดงธรรมของ อาตมา ขอบญุ ทง้ั หมดทงั้ มวลเหลา่ นี้ จงเปน็ มหนั ตเดชานภุ าพ อ�ำนวยอวยพร ตอบสนองให้ญาติโยมทุกท่านเป็นผู้ประสบ ความสุขความเจริญ จงเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รู้แจ้ง แทงตลอดในธรรมค�ำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ้นทุกข์ เข้าถึงพระนิพพาน ปิดอบายภูมิให้ได้อย่างถาวร ให้ได้ทุกท่าน เทอญ. สาธุ สาธุ สาธุ
อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 97 เชิงอรรถ ๑อริยสัจ ๔ คือ การก�ำหนดรู้ทุกข์, การละเหตุเกิด แห่งทุกข์, การท�ำให้แจ้งซึ่งความดับทุกข์ และการอบรม มรรคมีองค์ ๘ ให้เจริญ, ท่ีมา : ที.สี. (ไทย) ๙/๒๔๘/๘๕. (อยู่ในหนังสือหน้า ๔) ๒อวิชชา, พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุ ความไม่รู้ ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา น้ีเรียกว่า ‘อวิชชา’ และด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลจึงช่ือว่า ‘ตกอยู่ในอวิชชา’, ที่มา : สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๗/๖๐๒. (อยู่ในหนังสือหน้า ๖) ๓สัมมาทิฏฐิ คือ ความรู้ในทุกข์ (ความทุกข์) ความรู้ ในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธ (ความดับแห่งทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์), ท่ีมา : ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕. (อยู่ในหนังสือหน้า ๑๑) ๔๓ รอบ ๑๒ อาการ หมายถึง สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ เกิดขึ้นเวียนไปในอริยสัจ ๔ ข้อ ข้อละ ๓ รอบ (๔ x ๓ = ๑๒) รวมเป็น ๑๒ อาการ ดังนี้ ก. (๑) น้ีทุกข์ (๒)
98 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ ทุกข์นี้ควรก�ำหนดรู้ (๓) ทุกข์น้ีก�ำหนดรู้แล้ว ข. (๑) น้ีสมุทัย (๒) สมุทัยนี้ควรละ (๓) สมุทัยนี้ละแล้ว ค. (๑) น้ีนิโรธ (๒) นิโรธนี้ควรท�ำให้แจ้ง (๓) นิโรธนี้ท�ำให้แจ้งแล้ว ง. (๑) น้ีมรรค (๒) มรรคนี้ควรท�ำให้เจริญ (๓) มรรคนี้ท�ำให้เจริญแล้ว, ท่ีมา: วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓. (อยู่ในหนังสือหน้า ๑๒) ๕ธัมมัสสวนสูตร ว่าด้วยการฟังธรรม มีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑. ได้ฟังส่ิงที่ยังไม่เคยฟัง ๒. เข้าใจชัดสิ่งท่ี ไดฟ้ งั แลว้ ๓. บรรเทาความสงสยั เสยี ได้ ๔. ทำ� ความเหน็ ไดต้ รง ๕. จิตของผู้ฟังธรรมย่อมเล่ือมใส, ท่ีมา: องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๐๒/๓๔๔. (อยู่ในหนังสือหน้า ๕๓) ๖ธมั มทุ ธจั จะ หรอื ธรรมธุ จั จ์ ความฟงุ้ ซา่ นดว้ ยสำ� คญั ผิดในธรรมคือ ความฟุ้งซ่านเนื่องจากเกิดวิปัสสนูปกิเลส อย่างหน่ึงอย่างใดข้ึนแล้วส�ำคัญผิดว่าตนบรรลุธรรมคือ มรรคผลนิพพาน จิตก็เลยคลาดเขวออกไปเพราะความ ฟุ้งซ่านน้ัน ไม่เกิดปัญญาที่จะเห็นไตรลักษณ์ได้จริง, ท่ีมา : สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรม พทุ ธศาสน์ฉบบั ประมวลศพั ท,์ พมิ พค์ รงั้ ที่๓๑,(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จ�ำกัด, ๒๕๖๑), หน้า ๑๖๙. (อยู่ในหนังสือหน้า ๖๐)
บันทึกข้อความ
บันทึกข้อความ
“ถ้ำเรำเข้ำใจหลักอริยสัจ สักกำยทิฏฐิจะถูกท�ำลำยไปทุก ๆ ขณะ ท่ีเรำก�ำหนดรู้อยู่นั้น ไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้องกลัว ว่ำ กิเลสท่ีเป็นควำมโลภ โกรธ หลง จะละได้หรือละไม่ได้ มันจะค่อย ๆ ละของมันโดยอัตโนมัติ จิตที่ฉลำดจะรู้เองในกำรที่จะละ” จารุวณฺโณ ภิกฺขุ
สถำนศึกษำธรรม ในควำมดูแลของ จำรุวณฺโณ ภิกฺขุ สถำนศึกษำธรรม ดอยธรรมนำวำ บ้านป่ารวก หมู่ที่ ๘ ต�าบลนางแล อ�าเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พุทธอุทยำน ดอยเวียงเกี๋ยงวนำ บ้านเขียะ หมู่ท่ี ๕ ต�าบลศรีดอนชัย อ�าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ท่ีพักสงฆ์ปำนำโสกฮัง บ้านหนองดินด�า หมู่ที่ ๓ ต�าบลหนองสามส ี อ�าเภอเสนางคนิคม จังหวัดอ�านาจเจริญ ท่ีพักสงฆ์ปำนำหนองพี่ บ้านโนนสูง หมู่ท่ี ๔ ต�าบลนาเวียง อ�าเภอเสนางคนิคม จังหวัดอ�านาจเจริญ ธรรมนำวำ Dhammanava
ทุกขมีไว ใหมองเห็น และเรียนรู ไตรตรองดู ความเปนจริง สิ่งท้ังหลาย เมื่อรูทัน พลันเกิดสุข ทุกขมลาย เหตุสลาย มองไมเห็น เปนตัวตน คนธรรมดา รูทันทุกข ฉุกไดคิด เพียรพินิจ พิจารณา หาเหตุผล เห็นความจริง เกิดและดับ กับทุกคน คลายกังวล ปญญาพิศ จิตปลอยวาง อริยสัจ คือธรรมจริง อันประเสริฐ เปนธรรมเลิศ แหงปวงธรรม นําสวาง ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค จักนําทาง ใจกระจาง วางจากทุกข สุขนิรันดร วชิราโณ ภิกฺขุ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116