Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อริยสัจ ๔ ทำคนธรรมดาให้เป็นอริยะ

อริยสัจ ๔ ทำคนธรรมดาให้เป็นอริยะ

Published by Dhammanava, 2021-03-16 10:48:44

Description: อริยสัจ ๔ ทำคนธรรมดาให้เป็นอริยะ โดย จารุวณฺโณ ภิกฺขุ

Keywords: อริยสัจ ๔,อาจารย์ต้น

Search

Read the Text Version

อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ 39 ในตอนน้ีเลยว่า กายเรามีทุกข์ ใจเราเป็นทุกข์ กายกับใจ ต้องเป็นทุกข์ กายกับใจนี้ต้องเป็นทุกข์ กายกับใจน้ีต้อง เป็นทุกข์ กายกับใจนี้ต้องเป็นทุกข์ เวลาทุกข์มากระทบปึ้ง กำ� หนดไวแ้ ลว้ วา่ ออ๋ มนั ตอ้ งเปน็ ทกุ ข์ นี่ ตรงนจี้ ะไดป้ ระโยชน์ อ๋อ มันเป็นทุกข์ ก็ถูกอยู่แล้วท่ีต้องเป็นทุกข์ ความทุกข์ เกิดข้ึนมาตามธรรมดาของมัน การท่ีเรามองเห็นความทุกข์ ที่เกิดข้ึนมาตามธรรมดาอย่างนี้ ท�ำให้ได้เข้าใจในส่ิงหนึ่งที่เรา พยายามยึดมาตลอด ว่าท่ีแท้แล้วเรายึดก้อนทุกข์ไว้ พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ “ในโลกนไ้ี มม่ อี ะไรเกดิ ขน้ึ หรอก นอกจากทกุ ขเ์ ทา่ นนั้ ทเี่ กดิ ขน้ึ ” ตอนแรกกย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจ วา่ จะทกุ ข์ อะไรเกิดขึ้น “ไมม่ ีอะไรตง้ั อยูห่ รอก มแี ตท่ ุกข์ตงั้ อยู่ ไม่มีอะไร ดบั ไปหรอก มแี ตท่ กุ ขด์ บั ไป” ความมงุ่ หมายของคำ� นี้ ตอนแรก อาตมาไม่เคยเข้าใจเลย พอมาพิจารณาในข้อน้ี จึงมาเข้าใจ จริง ๆ ว่าอุปาทานขันธ์ทั้งหมดเป็นก้อนทุกข์ ตั้งอยู่ก็คือทุกข์ ต้ังอยู่ เป็นอยู่ก็คือทุกข์เป็นอยู่ ด�ำเนินไปก็คือทุกข์ด�ำเนินไป แล้วก็ถึงความเสื่อมสิ้น แล้วดับ ก็คือทุกข์น่ันแหละดับ นอกจากทกุ ขไ์ มม่ อี ะไรเกดิ นอกจากทกุ ขไ์ มม่ อี ะไรดบั แต่เราไปส�ำคัญมั่นหมายในตัวอุปาทานขันธ์น้ีมากเกินไป อุปาทานขันธ์ก็ให้อุปาทานในตัวของมัน จะทุกข์แค่ไหนก็ให้

40 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ เปน็ อปุ าทานในตวั ของมนั แตอ่ ยา่ ไปอปุ าทานในอปุ าทานขนั ธ์ การที่เราจะไม่อุปาทานในอุปาทานขันธ์ได้ ก็ต้องมองเห็นว่า มันคือทุกข์ ถ้ามองเห็นขันธ์ว่าเป็นสุข จะท�ำให้เราหลุดพ้น ได้ไหม ก็มีแต่อยากจะอยู่กับขันธ์ อยากจะติด อยากจะรักษา อยากจะประคับประคอง อยากจะหวงแหน ไม่อยากจะหนี ออกจากมัน แล้วก็เป็นอย่างน้ัน เพราะเราชอบในค่าของ ความสุข เม่ือเราชอบในค่าของความสุข จะต้องปฏิเสธ ความทุกข์ไว้อยู่แล้วโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อใดก็ตามท่ีเราต้ังจิต กำ� หนดรแู้ ลว้ วา่ มนั ตอ้ งทกุ ข์ มนั ตอ้ งทกุ ข์ มนั ตอ้ งทกุ ข์ จะทกุ ข์ ทางกายหรือทุกข์ทางใจ เราตั้งท่าไว้แล้ว เวลาทุกข์เกิดขึ้น จะไมป่ ฏเิ สธ แตจ่ ะรตู้ ามความเปน็ จรงิ วา่ ถกู ตอ้ งแลว้ ทต่ี อ้ งทกุ ข์ เพราะขันธ์นี้เป็นทุกข์โดยตัวของมันอยู่แล้ว การหยั่งทราบ ในข้อนี้ จิตของเราจะค่อย ๆ พัฒนาหรือว่าสร้างตัวปัญญา ข้ึนมา ลกู ศษิ ยบ์ างคนมาแบบไรส้ ติ ไรป้ ญั ญา ไรก้ ารพจิ ารณา ทางด้านเหตุผล ทุกข์ใจแบบมาร้องไห้ฟูมฟาย อาตมาก็ บอกว่า มันต้องทุกข์อย่างนั้นแหละโยม อ้าว ท่านไม่มีวิธี ที่จะแก้ไขได้หรือ ไม่หรอก ความทุกข์ที่เกิดข้ึนน้ัน ถูกต้อง ตามธรรมดาของมนั อยแู่ ลว้ การทเี่ ราไมต่ อ้ งการอยากจะทกุ ข์

อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ 41 ต่างหากที่มันผิดจากธรรมดา เพราะทางด้านสัจจะก�ำหนด ไว้แล้วว่า กายกับใจนี้ต้องทุกข์ เมื่อโยมเกิดความทุกข์ ก็แสดงว่า โยมน้ันเป็นไปตามหลักธรรมชาติอยู่แล้วโดยปกติ โยมคนนเ้ี รมิ่ งงเลย ทำ� ไมทา่ นอาจารยไ์ มช่ ว่ ยแกไ้ ขอะไรใหบ้ า้ ง จะไปแก้ได้อย่างไร ความจริงมีอยู่อย่างไร ก็ยอมรับความจริง ทมี่ อี ยอู่ ยา่ งนน้ั สิ จากขอ้ นแี้ หละทเ่ี ขากำ� ลงั ทกุ ขอ์ ยใู่ นเวลานนั้ ก็เร่ิมมองตามที่อาตมาก�ำลังบอก เขาก็เร่ิมเอะใจ เริ่มใส่ใจ เริ่มสนใจ จากน้ันก็ปฏิบัติแล้วก็เป็นลูกศิษย์ของอาตมาจนถึง ทุกวันนี้ อยู่ท่ีเชียงราย บางทีหลาย ๆ คนอาจไม่เข้าใจว่า การปฏิบัติในการรู้ อริยสัจ ๔ สามารถใช้ได้ทุกสภาพการณ์ แม้จิตเราก�ำลัง เศรา้ หมองอยู่ หรอื แม้จติ เรากำ� ลังวุ่นวายอยู่ จติ เราจะไมม่ สี ติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความสงบอะไรเลยในเวลานั้นก็จริง แต่การ ที่เราต้ังการเรียนรู้ว่า น้ี คือทุกข์ สติก็มาแล้ว หมายถึงว่า เราไม่ได้มีสติไว้ก่อนหรอก คือทุกคนไม่ได้มีสติไว้ก่อนในใจ สติเราไม่สามารถให้มันอยู่และต้ังไปตลอดแบบราบเรียบ (อารมณ์) ทุกอย่างมา ก็มาชนกับสติ แล้วก็ถูกรู้ด้วยสติ แล้วก็ ดับไป ไม่ใช่อย่างน้ัน สติมักจะเกิดข้ึนมาทีหลังเสมอ สติท่ีมี อยู่ก่อนน้ัน เป็นสติที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ไม่ใช่สติจากธรรมชาติ

42 อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ สติท่ีเป็นธรรมชาติ คือ สติท่ีถูกกระทบแล้วเข้ามา รู้อาการที่กระทบน้ันว่าคืออะไร ต้ังอยู่อย่างไร แล้วดับไป อยา่ งไร นนั่ คอื สตติ ามสภาพธรรมทเ่ี ปน็ จรงิ เมอื่ ใดกต็ ามทเ่ี รา พยายามก�ำหนดให้สติเป็นไปในตัวเราอยู่ตลอดทุกอิริยาบถ เม่ือน้ันเราจะถูกครอบง�ำด้วยตัวสติน้ันแหละ แล้วถ้าขาดสติ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละจะน�ำมาซ่ึงความทุกข์ให้กับเรา โดยที่ เราไม่มีสติรู้เท่าทันในเวลานั้น แต่ถ้าเราฝึกอยู่อย่างน้ี อาตมา เช่ือว่าเราจะมีสติรู้เท่าทัน เมื่อเรามีสติรู้เท่าทัน เม่ือนั้นแหละ สติจะไปดึงตัวปัญญา หรือว่าไปพัฒนาตัวปัญญา ไปสร้าง ปัญญาข้ึนมาให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ มนุษย์เรามีธรรมชาติเหมือนกันหมด คือ กายกับใจ กายกบั ใจมธี รรมชาตเิ ปน็ อนั เดยี วกนั ทางกายกค็ อื เปน็ ธาตุ ๔ ดิน น�้ำ ไฟ ลม เรามีจิตซ่ึงท่ีเป็นธรรมชาติอันเดียวกันในช้ัน ของนามก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีใคร มคี วามแตกตา่ งกันในทางด้านภาวะกายกบั ใจน้ี เพราะฉะนั้น สรรพชวี ติ ทกุ ชวี ติ เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั คอื ในชนั้ ของความ มีอยู่ทางด้านสัจจะ คือ ทุกข์ ฉะน้ันแล้ว เม่ือใดก็ตามท่ีเรามี ธรรมชาติอันเดียวกันอย่างน้ี เข้าใจกันอย่างนี้ ธรรมชาติ เหลา่ น้ีกายดบั สลายเปน็ ดนิ นำ�้ ไฟลมจติ ดบั สลายจะกลายเปน็ อากาศธาตุ จริง ๆ มันจบอยู่แค่น้ี

อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ 43 มิจฉาทิฏฐิ : เห็นกายกับใจว่าเป็นตน แต่เน่ืองด้วยบุคคลไปเห็นกายกับจิตน้ันว่าเป็นตน เพราะความเห็นชนิดน้ัน ไม่ได้ปล่อยให้กายดับไปเป็น ดิน น�้ำ ไฟ ลม โดยภาวะปกติของมัน จึงไปสร้าง ดิน น้�ำ ไฟ ลม ใหม่ ด้วยกุศลสังขาร อกุศลสังขาร แล้วไปสร้างภาวะ แห่งจิตเข้าไปประกอบร่วม นามมีหน้าท่ีในการเกิดร่วมกับ รูป กายเป็นอย่างไร นามก็ไปรับทราบภาวะทางกาย โดยการเกิดร่วม จิตเองก็เกิดร่วมกับจิตที่ปรุงแต่งตัวเอง เม่ือจิตปรุงแต่งตัวเอง ก็จะเกิดร่วมการรับรู้ในสิ่งท่ีจิต ปรุงแต่งข้ึน บางอย่างบางเรื่อง เราปรุงแต่งเรื่องบางเรื่อง ข้ึนมา คือคิดไปสารพัดตามที่เราเข้าใจเอาเองบ้างในบางเรื่อง ซึ่งความจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างท่ีเราคิด แต่เราคิดของเรา เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นเอาเอง แล้วเรา ก็ทุกข์เพราะความเข้าใจอย่างน้ันเอาเอง ก็คือเราไปรับ ผลทางการคิดอย่างน้ันด้วย บรรดานามทั้งหลายเกิดร่วมกับรูป เกิดร่วมกับ ตัวนามด้วยตัวของนามเอง ส่ิงเหล่าน้ีไม่ได้ดับไปตามภาวะ ธรรมชาติ มันถูกความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิน้ีพยายามก่อตัว และสร้างตัวให้ไปสู่ภพอยู่เสมอ การที่ระบบของขันธ์ซึ่งมี

44 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ ความเห็นผิดแทรกอยู่ในน้ัน สร้างระบบภพชาติและน�ำเรา ไปสู่ภพโดยไม่หยุดไม่หย่อน เป็นเพราะเราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ในขันธ์น้ี ในตัวเราน้ี เพราะฉะนั้น หากเราก�ำหนดท้ังภาวะ ทางกายและทางใจไว้ทางด้านอริยสัจ ๔ เราจะไม่หลงและ ไม่ท�ำให้มิจฉาทิฏฐินี้เจริญข้ึน เพราะถ้าเราไม่ก�ำหนดรู้ทุกข์ ในตัวเรา แม้จะท�ำบุญในชั้นกุศลธรรม บ�ำเพ็ญศีล บ�ำเพ็ญ สมาธิ เจริญปัญญา เหล่านี้เป็นชั้นของกุศลธรรมไม่ใช่ชั้น ของโลกุตตระ เราท�ำอย่างดี ปฏิบัติอย่างดี แม้มีชีวิตอยู่ร้อยปี โดยไม่ทราบความทุกข์ทางด้านสัจจะ เราก็ไม่สามารถท�ำการ ตรัสรู้และดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง กุศลธรรมท้ังหมดก็อ�ำนวย ประโยชน์อยู่ในความเป็นไปในภพ ก็รักษาเราไว้ในวัฏฏะ ก็เฝ้าวัฏฏะกันต่อไป เม่ือใดก็ตามท่ีเราเห็นชัดแล้วว่า การเกิดเป็นทุกข์ ก็ต้องปฏิเสธการเกิด แต่การปฏิเสธโดยส่วนเดียวยังไม่หยุด การเกดิ ใหก้ บั เรา การปฏเิ สธนน้ั เปน็ การสรา้ งความไมต่ อ้ งการ เพื่อไม่ให้ตัณหานอนเน่ืองในการพอใจเพื่อท่ีจะเกิด การที่ เราท�ำไว้อย่างน้ี คือ ก�ำหนดไว้ว่าการเกิดเป็นความทุกข์และ ไม่พอใจ เราก็จะเริ่มเข้ามาหาวิธีการท่ีจะเข้าไปสู่การดับ

อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ 45 ทีน้ีเราก็ทราบอยู่แล้วว่า กายเป็นธาตุ ๔ ดิน น�้ำ ไฟ ลม แน่ ไปเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ จิตดับเป็นอากาศธาตุแน่ ไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้แน่ เราจะเห็นว่า ความเห็นในกาย ในจิตของเรา ท่ีเราส�ำคัญม่ันหมายในตัวเราทั้งหมดนี้เอง ตัวความเห็นน้ีจะเกิดเป็นก้อนอัตตา ซ่ึงจะติดตามเรามาอยู่ โดยตลอด ซ่ึงก้อนอัตตานี้ อาตมาใช้ค�ำว่าเป็นเช้ือแห่งภพ จะเปน็ ลกั ษณะ ... สมมตวิ า่ ตรงนเ้ี ราเหน็ กานำ้� ใบน้ี เราเหน็ นำ้� อยู่ในนี้ไหม เราไม่ได้เห็น แต่เรารู้ได้ไหมว่าในน้ีต้องมีน้ำ� หรือ อาจจะไม่มีก็ได้ เราก็จะคิดเป็น ๒ อย่าง มีกับไม่มี ในกายกับ จิตเรา เราเห็นกายกับจิตอย่างน้ี แล้วในตัวจิต อาตมาจะอธิบายเร่ืองจิตเหมือนกับ กานำ�้ ใบน้ี แลว้ มธี รรมชาตอิ นั หนงึ่ อยภู่ ายในกานำ้� น้ี ตวั กานำ้� น้ี เหมอื นกบั เปน็ อตั ตาในภายใน เขาเรยี กวา่ เปน็ ตวั อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ทเี่ ราตามเหน็ วา่ มตี วั มตี นหรอื วา่ อะไรสกั อยา่ งตอ้ งเปน็ เราแน่ ๆ อาตมาเปรยี บอยา่ งนนั้ เพราะเปน็ ธรรมชาตทิ อี่ าตมาไดเ้ หน็ มา เห็นความเจิดจ้า เห็นความผ่องใส เห็นความสะอาดสะอ้าน ของจิต เห็นทุกอย่างท่ีเป็นสิ่งที่มันไม่มีกิเลส ไม่มีมลทิน แต่ตัวมันยังมีอยู่ เราไม่รู้เลยว่าในตัวมันมีอะไร ไม่เคยคิดเลย แลว้ ก็ไม่เคยรูจ้ ักเลย เรามัวแตป่ ระคองรักษาตัวน้ีไว้ พยายาม

46 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ ทจ่ี ะไมใ่ หม้ นั แปดเปอ้ื น พยายามไมใ่ หม้ นั มกี เิ ลสเขา้ มาเจอื ปน เราจะพิจารณาธรรมเพื่อขัดเกลาดวงจิตดวงน้ีให้ผ่องใสอยู่ ตลอดเวลา และเรากร็ บั รรู้ บั ทราบความผอ่ งใสสะอาดบรสิ ทุ ธิ์ หมดจดของจติ อยา่ งนนั้ เสมอ แตม่ อี ยภู่ าวะหนง่ึ ทเ่ี กดิ เรยี กวา่ มีสิ่งหน่ึงที่พยายามบอกเรา โดยท่ีเราไม่รู้ว่ามันคือใคร ในคราวที่อาตมาเดินขึ้นไปบนภูเขาในพรรษาที่ ๓ แล้วเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก ใจหน่ึงท่ีข้ึนไปบนภูเขาเพราะ ตั้งสัจจะไว้ว่าจะต้องขึ้นไปทุกวัน แต่วันน้ันเจอฝนตก พอเจอ ฝนตกปบ๊ั จติ ขา้ งในบอกวา่ กลบั เถอะ ฝนมนั ตก ขนึ้ ไปลำ� บาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าขึ้นไปต้องล�ำบาก พอก�ำลังจะหันกลับปุ๊บ เกิดค�ำถามข้ึนมาในใจว่า ตัวท่ีบอกว่าให้กลับเถอะนี่เป็นใคร ความตงั้ ใจแรกเราบอกใหข้ นึ้ แตพ่ อไปถงึ จดุ หนงึ่ ทบ่ี อกใหก้ ลบั มนั คอื อะไร กเ็ ลยจอ่ ลงไปดู กย็ งั ไมเ่ หน็ เพราะมนั ยงั ไมป่ รากฏ ก็เลยเดินขึ้นไปเพื่อให้มันแสดงอาการปรากฏ เดินขึ้นไปต่อ ลื่นบ้าง ฝนก็กระหน�่ำลงมาบ้าง แล้วก็ไถลลงเขา ก็พยายาม จะขน้ึ ไปตอ่ เรากเ็ หน็ อาการทางจติ ขนึ้ มาบอกวา่ กลบั เถอะ ๆ จะข้ึนไปท�ำไม ขึ้นไปก็ล�ำบาก มันจะคอยบอกเราอยู่ภายใน อยู่ตลอดเวลา อาตมาต้องการจะทราบตัวนี้ ซึ่งแต่ก่อนก็ ไม่เคยเอะใจ ไม่รู้จะพิจารณาอะไรแล้ว ก็เลยจับตัวนี้ข้ึนมา เป็นเครื่องพิจารณา

อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ 47 พยายามขึ้นไปจนถึงยอดเขาตรงที่ตัวเองได้ท�ำ กระต๊อบไว้ เพ่ือท�ำการภาวนาอยู่ตรงนั้น พอไปถึงแล้วปั๊บ เห็นตัวนี้เด่นชัดขึ้นมาเป็นก้อน มันสว่าง เจิดจ้า ผ่องใส ในตัวมัน ไม่มีความเศร้าหมอง แต่เหมือนกับมีเสียงออกมา จากตัวน้ีแหละ จิตน่ีเป็นเรื่องท่ีแปลกมาก เวลาเราคิด เราจะได้ยินเสียงความคิดตัวเอง เอ๊ะ ... หูต้องฟังเสียงใช่ไหม ถามว่าจิตมีหูหรือถึงได้ยินเสียงตัวมันได้ หรือแม้เราจ�ำเสียง คนอื่นไว้ แล้วมันคิดขึ้นมาในภายใน ก็เป็นเสียงของคนอื่น อยู่ในใจเรา มันคืออะไร นี่แหละมันน�ำมาสู่ค�ำตอบอยู่ตรงนี้ ท้ังหมด เขาเรียกว่าอัตตาท่ีมันท�ำหน้าท่ีของมัน ที่มัน เป็นเองของมัน ท่ีมันคอยส่ังการและควบคุม อันน้ียังเป็นเช้ือ แห่งภพอยู่ พออาตมาจอ่ ลงไปแลว้ ไปเหน็ ไอต้ วั นป้ี บ๊ั เทา่ นนั้ แหละ พอเห็นมัน จิตก็เลยเข้าไปพิจารณาว่ามันคืออะไร พอเข้าไปรู้ ว่ามันคืออะไร กระแสแห่งความรู้ก็พุ่งเข้าไปในตัวน้ี มันก็เลย แตกออกเหมอื นกบั เปลอื กไขท่ ปี่ รแิ ตกรา้ วออกมา พอแตกรา้ ว ออกมาปุ๊บ มันก็กระจายออกมาเป็นผุยผง พอจิตแตกสลาย ออกมาเป็นผุยผง เลยเห็นธรรมชาติข้างในเผยตัวออกมา เหมือนกับไอน้�ำ คืออุปมาอุปไมยว่าเหมือนกับไอน�้ำท่ีเป็น

48 อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ ไอระเหย พอระเหยออกมาปุ๊บ สัมผัสกับอากาศ มันก็ หายไปเลย ตัวหุ้มห่อในจิตพังทลายไป ทนี เ้ี หมอื นกบั ความรสู้ กึ วา่ เราตาย เหมอื นกบั เราไมม่ ี ชีวิต เหมือนกับทุกอย่างดับไปหมด เหมือนกับตัวตนทั้งหมด ท่ีเรารับรู้รับทราบภายในตัวเราถูกท�ำลาย เหมือนกับคนตาย จริง ๆ ตอนนั้น แต่ไม่ใช่ตายโดยการเจ็บปวดหรือทุรนทุราย อย่างน้ัน ตายโดยท่ีว่าจิตท่ีเราเคยยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา มาตลอดมันดับ มันท�ำลาย ไม่มีเหลือเศษเส้ียวเศษซาก พอที่จะให้ยึดจับได้ว่านี้คือจิต นั่นหมายถึง จิตมันดับใน เวลาน้ัน ดับแบบถาวร ดับโดยไม่เหลือ จิตที่ดับน้ีคืออัตตา ของจิต แต่ระบบของจิตท่ีเป็นนาม ๔ ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้ก่อ กันมาเป็นตัวอัตตาในภายใน ตัวน้ีแหละทั้งหมดท่ีอาตมา พยายามอธิบายพยายามถ่ายทอดออกมาให้พวกเราได้เข้าใจ ในเร่ืองของรู้อัตตา คือตัวน้ีน่ีเอง สติปัญญาในอริยสัจ ๔ จะละสักกายทิฏฐิ ส่วนของอัตตาตัวน้ี เราไม่ต้องไปก�ำจัดมัน เพราะ เปน็ เร่อื งของมรรคเบ้ืองบนท่จี ะเข้าไปแก้ เราจะแก้ในชนั้ ของ สักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นด่านแรกที่เราต้องให้ความสนใจ

อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ 49 ท่ีพูดถึงหมายถึง ความเห็นท่ีเราเห็นกายกับจิตว่า เป็นตนนี่เอง ที่จะเป็นตัวสร้างภพ สร้างชาติ สร้างวัฎฏะ เมื่อใดก็ตามท่ีเรารู้และเข้าใจธรรมชาติข้อนี้ แล้วก็ท�ำลาย ความเหน็ ผดิ ในขอ้ นไี้ ด้ ภพชาตทิ ง้ั หมดกถ็ กู ทำ� ลายลง เราไมไ่ ด้ ไปท�ำลายภพชาติท่ีอื่น ท�ำลายอยู่ในน้ี อยู่ในความเห็นที่เรา เห็นผิดอยู่น้ี แม้ความเห็นผิดจะก่อตัวขึ้นมาเป็นตัวอัตตา ท่ีเหนียวแน่นแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่เกินสติปัญญาของเราที่เรา จะสามารถเข้าไปแทงทะลุมันได้ สติปัญญาที่แทงตลอด ในเรอ่ื งของอรยิ สจั ๔ เทา่ นน้ั จงึ จะสามารถทำ� ลายกอ้ นอตั ตา เหล่าน้ีได้ทั้งหมด แล้วไม่ต้องไปท�ำสมาธิในช้ันของฌาน เพราะคนที่มีฌานก็ไม่สามารถท�ำลายอัตตาชนิดน้ีได้ ต้องท�ำลายด้วยปัญญา ทางด้านอริยสัจ อาตมาจึงบอกว่า บุคคลผู้พิจารณาอริยสัจอยู่เสมอ จะเกิดญาณ ญาณจะท�ำให้เกิดอนุโลมญาณท่ีคล้อยตาม อริยสัจ อนุโลมญาณจะสร้างโคตรภูญาณ โคตรภูญาณ จะท�ำกิจในการท�ำพระนิพพานให้แจ้ง พอพระนิพพานแจ้งแล้ว ปฐมฌานจะเกิดข้ึนมารองรับจิตเองอัตโนมัติ โดยท่ีคน ๆ นั้น ไม่ต้องบ�ำเพ็ญขึ้นมาก็จะมีปฐมฌานเองอัตโนมัติ เพราะ ปฐมฌานจะท�ำหน้าที่ของสัมมาสมาธิรองรับแล้วก็ตัดอาสวะ

50 อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ ในปฐมฌานที่รองรับนี้จะเป็นฌานท่ีแนบแน่นกับจิตโดยท่ี ไม่พรากออกจากจิต แล้วจะรองรับจิตไปในทุกท่ีตลอดเวลา ๒๔ ชวั่ โมง ถา้ เราจะเจรญิ เปน็ ชนั้ ของทตุ ยิ ฌานขน้ึ มาในนนั้ กไ็ ด้ แตท่ ตุ ิยฌานจะไม่เป็นอัธยาศัยในจิต ตัวปฐมฌานน้ีจะรองรับ หมายถึงในขณะนั้นถ้าเราอาศัยปฐมฌานเป็นบาทฐาน เพื่อสร้างทุติยฌาน ทุติยฌานก็จะถูกเจริญขึ้น แต่จะไม่ได้ คงอยู่ตลอด ก็จะดับไป แต่ตัวปฐมฌานน้ีจะไม่ดับ จะเกิด ร่วมกับจิตไปในทุก ๆ ขณะ เพราะฉะน้ัน จิตพระโสดาบัน รับอารมณ์ใดก็ตาม จะรับอารมณ์น้ันด้วยก�ำลังของ ปฐมฌานด้วย แม้จะเป็นผู้ประมาทอย่างแรงกล้า ก็ไม่ถือเอา ภพที่ ๘ ความแตกต่างของอริยบุคคลกับปุถุชน พระโสดาบนั จรงิ ๆ ไมใ่ ชบ่ คุ คลผพู้ เิ ศษ แตเ่ ปน็ ชาวบา้ น ช้ันดีตรงที่ว่าจิตของเขามีปฐมฌานรองรับ ประกอบด้วย อริยมรรคที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นชาวบ้านช้ันดี ชนดิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ความทกุ ขข์ องบคุ คลผนู้ นั้ ทเ่ี ปรยี บ ประดุจด่ังภูเขาแท่งทึบจะหมดหายไป เหลือเพียงความทุกข์ เท่ากับก้อนหินเพียงแค่ ๗ ก้อน ซึ่งเป็นสัจจะที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จะสามารถรับรู้รับทราบได้ และเข้าใจได้ในขณะนั้น

อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 51 ความที่บุคคลก�ำจัดทุกข์ของตนเองท่ีเปรียบประดุจ ด่ังภูเขาแท่งทึบให้สิ้นไปเหลือเพียงแค่ทุกข์ท่ีเหมือนกับ ก้อนหิน ๗ ก้อนน้ี พระพุทธเจ้าเรียกว่า น่ีแหละคือชาวบ้าน ชนั้ ดที ป่ี ระเสรฐิ กวา่ คนทว่ั ๆ ไป ไมใ่ ชป่ ถุ ชุ น แตเ่ ปน็ อรยิ บคุ คล หรืออริยชนท่ีจะเที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้ในภายภาคหน้า พระโสดาบันซึ่งยังมีสังโยชน์อีก ๗ ยังมีข้อผิดพลาด ตามก�ำลังของสังโยชน์ท่ียังครอบง�ำใจอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เขาย่อมเที่ยงแท้ เป็นนิยตบุคคล แต่ปุถุชนจะประพฤติตนดีแค่ไหนก็ตาม ก็ยังไม่เที่ยงแท้ พระองค์จึงตรัสกับอุคคาหมานปริพาชกซึ่งอยู่ในลัทธิอื่น ถูกสอนมาว่า บุคคลผู้จะบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีและเป็น บุคคลผู้สมบูรณ์แบบในกุศลธรรมท้ังปวง คนนั้นจะต้อง เป็นคนที่มีกายกรรมดี ไม่กระท�ำทางกายในด้านอกุศล วจกี รรมดี มโนกรรมดี เลยี้ งชพี ดว้ ยความบรสิ ทุ ธ์ิ ๔ ประการน้ี จะท�ำให้บุคคลน้ันบริสุทธิ์หมดจดและเป็นผู้สมบูรณ์แบบ ดว้ ยกศุ ลธรรม อคุ คาหมานปรพิ าชกกเ็ ลยเอาเรอ่ื งนมี้ าสนทนา กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า หากเธอยังยึดถือในช้ันกุศล ธรรมอยอู่ ยา่ งนน้ั กค็ อื สมบรู ณแ์ ลว้ ไมต่ อ้ งไปทำ� อะไรอยา่ งอน่ื

52 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ มากกว่านี้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่า คิดดี พูดดี ท�ำดี ใช้ชีวิตในทาง ที่ดี ไม่เบียดเบียนคนอ่ืน สบายแล้ว ไม่ต้องไปท�ำอะไร อย่างอื่น พระองค์จึงตรัสอีกว่า หากยึดถือความเห็นอย่างนี้ แสดงว่าเด็กทารกดีกว่า เพราะเด็กทารกไม่ไปท�ำร้ายใคร ถ้าบอกว่าวาจาไม่เป็นโทษ เด็กทารกก็ดีกว่า เพราะ เด็กทารกไม่รู้จักค�ำด่า ถ้าบอกว่าคิดในทางไม่ดี เป็นความไม่ดี ก็เด็กทารก ไม่รู้จักการคิด ร้ายหรือดีเขาก็ไม่รู้ ถ้าบอกว่าเล้ียงชีวิตชอบ เด็กทารกเลี้ยงชีวิตชอบ ดีกว่า เพราะมีแค่การด่ืมนมเท่าน้ันเองในการเล้ียงชีพ การท่ีเธอมีความคิดยึดถือในชั้นกุศลธรรม ยังไม่ ชอื่ วา่ เปน็ ผมู้ กี ศุ ลธรรมทส่ี มบรู ณแ์ บบ ยงั ไมใ่ ชบ่ คุ คลผสู้ มบรู ณ์ และยังไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หมดจด เป็นเพียงแต่ท�ำดีกว่าเด็กทารก แบเบาะเท่าน้ันเอง พระองค์ตรัสอย่างน้ี ฉะน้ันแล้วพระพุทธศาสนาของเรา แม้จะพูดถึง ช้ันกุศลก็ตาม แต่ไม่ได้ให้เรายินดีอยู่เพียงแค่กุศลนั้น ให้ท�ำ ช้ันกุศลในชั้นที่เป็นประโยชน์ แต่ไม่ให้ยินดีในนั้น พระองค์ ทรงให้พัฒนาจิตใจทางช้ันปัญญา เพราะปัญญาเท่าน้ันที่จะ

อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ 53 ท�ำให้เราพ้นทุกข์ และตัวปัญญา คือ ปัญญาในการแทงตลอด อริยสัจ ๔ น้ี อาตมาจึงรวบรวมหลักของอริยสัจ ๔ ลงสู่ทุกข์ ตัวเดียวที่จะต้องเป็นเครื่องก�ำหนดรู้ที่ง่ายท่ีสุด เพราะว่า ทุกข์เม่ือถูกรู้ สมุทัยก็ต้องถูกรู้ เมื่อสมุทัยถูกรู้ แสดงอาการ ของความดับตัวของสมุทัยนั้นก็จะเป็นนิโรธ นิโรธก็จะเป็น ของท�ำให้แจ้งข้ึนมา และเม่ือใดก็ตามที่เรารู้ทุกข์ ละสมุทัย ท�ำนิโรธให้แจ้ง ก็เป็นมรรคในคราวคร้ังน้ัน เพราะฉะนั้น ทุกข์จึงเป็นตัวยืนในการที่เราต้องเข้าไปปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามหลักอริยสัจ ๔ โดยที่ไม่ต้องไปแสวงหาทางอ่ืน หรือ เรามีรูปแบบต่าง ๆ ไว้ในใจ ก็ใช้รูปแบบนั้นประมวลเข้ามาสู่ การก�ำหนดรู้และเรียนรู้อริยสัจ ๔ นี้ ให้ถูกต้องตรงตาม หลักความจริงท่ีพระพุทธเจ้าตรัสให้เราได้รู้ ถ้าเราท�ำตาม ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสให้รู้ ก็จะเป็นความรู้ขึ้นมา การอธิบายธรรมะในแง่น้ี ท�ำให้พวกเราทั้งหลาย ได้อานิสงส์๕ ในชั้นของการฟังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาจจะ ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง หรือเร่ืองใดก็ตามท่ีฟังแล้วยังไม่ เข้าใจชัด เราก็จะได้เข้าใจส่ิงน้ันชัด แล้วก็สามารถตรองตาม ให้เห็นจริงได้ จิตของผู้ฟังก็ย่อมจะผ่องใส ถ้าสามารถเข้าถึง หลักการน้ี

54 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ ตอบค�ำถาม การอธิบายธรรมที่อาตมาอธิบายมาน้ียังเป็นแง่มุม ของอาตมา พวกเราหากมีข้อธรรมใดท่ีจะถาม อาตมาก็จะ เปิดโอกาสให้ถามในความไม่เข้าใจในอริยสัจ หรือไม่เข้าใจ ในหลักธรรมข้อไหน ท่ีจะเกี่ยวโยงอันจะน�ำไปสู่การปฏิบัติ ก็ต้ังค�ำถามขึ้นมาได้ ปุจฉา : ท่านอาจารย์ ในตัวของอัตตานุทิฎฐิ ก็ยัง จัดเป็น สัพเพ สังขารา ทุกขา อยู่ คือตัวเขาก็เกิด-ดับด้วย ไหมคะ หรือว่าเขามีอยู่แล้ว วิสัชนา : โดยปกติ อัตตวาทุปาทาน คือ ความถือมั่น ในตัวตน ตอนน้ันอาตมาก็ไม่เคยเห็นการเกิด-ดับของ อัตตาน้ี คือ ตัวอัตตาแท้ ๆ ไม่ใช่ตัวที่เกิดร่วมกับอารมณ์ จิตที่เกิดร่วมกับอารมณ์ส่วนมากเป็นจิตปกติ ธรรมชาติของ จิตปกติจะเกิด-ดับ แต่อัตตาจะไม่ค่อยแสดงการเกิด-ดับ ให้เห็น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราไม่รู้การเกิด-ดับ ความไม่รู้ ท้ังหมดจะไปรวมตัวในการสร้างอัตตาในจิต หมายถึงว่า เราให้ทาน รักษาศีล ท�ำสมาธิ เจริญปัญญา สิ่งเหล่าน้ีจะ เข้าไปสร้างอัตตาในจิตโดยท่ีเราไม่รู้ตัว เราจึงจะไม่ค่อยเห็น

อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 55 การเกิดการดับของมัน เราจะเห็นแต่สภาพอารมณ์ท่ีมา กระทบจิตและจิตเกิดร่วม น้ันคือจิตปกติ จิตปกติน้ันคือ ตัวเราขณะนี้ แต่อัตตาน้ันเป็นส่ิงท่ีถูกสร้างมาจากความ เห็นผิด การที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงจิตที่เกิด-ดับ คือตรัสถึง จิตปกติ ส่วนอัตตวาทุปาทาน ความเห็นในจิตว่าเป็นตนตัวน้ี ไม่ได้เห็นจิตขณะนั้นตามความเป็นจริง จึงไปสร้างความเป็น ตัวตนในจิตข้ึน ซ่ึงเป็นอัตตานุทิฎฐิ ท�ำให้เราต้องตามเห็น ตัวตนในจิตอยู่เสมอ จิตปกติท่ีเราเห็นการเกิด-ดับน้ัน ถ้าเราเห็นการ เกิด-ดับ มันจะยังไม่ไปสร้างอัตตาในจิต แต่ถ้าเราไม่เห็น การเกิด-ดับ มันจะไปสร้างอัตตาตัวนี้ขึ้น สะสมข้ึน สะสม ขนึ้ เปน็ กอ้ น กอ้ นนแ้ี หละทน่ี ำ� ไปสภู่ พ เรยี กวา่ เปน็ ตวั ตนทไ่ี ปสู่ การเกิด ถ้าไม่มีตัวตนนี้ในจิต ก็ไม่มีตัวตนไปเกิด อย่างไร ก็ตาม พระโสดาบันแม้จะมีตัวตนอยู่ ก็ไปเกิดไม่เกินภพท่ี ๗ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อไม่เกินภพที่ ๗ ภพสุดท้ายเขาจะถึง การสนิ้ อาสวะ คอื ตวั อตั ตาเหลา่ นจ้ี ะทำ� ลายตวั มนั เอง เนอ่ื งจาก ไม่มีเช้ือที่จะสืบต่อตัวมันเองแล้ว เพราะที่สุดแห่งอริยมรรค จะต้องผลักดันให้จิตน้ีดับตัวเอง คือ รู้แจ้งพระนิพพาน

56 อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ อัตตวาทุปาทานเกิด เพราะไม่เห็นจิตเกิด-ดับ เม่ือใดก็ตามท่ีเรารู้แจ้งพระนิพพาน เม่ือน้ันตัวน้ี จะค่อยดับตัวของมันเอง อัตตวาทุปาทานจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะเราไม่เห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับ ของจิตเป็นทุกขสัจจะ หรือสมุทัยสัจจะ ... ทุกขสัจจะ เม่ือจิต เป็นทุกขสัจจะ ในขณะแห่งหนึ่งความคิดเกิดขึ้น เราเห็น ความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ วา่ นคี้ อื ทกุ ข์ ถา้ เราไดก้ ำ� หนดรวู้ า่ นคี้ อื ทกุ ข์ เราจะเห็น การท่ีเราก�ำหนดรู้ความคิด ไม่ใช่ว่าไม่ให้เราไม่มี ความคิด แต่ท�ำให้เรารู้จักความคิดว่า ความคิดน้ีเป็นช้ันของ ทุกขสัจจะ จะได้กิจในสัจจญาณ อย่างน้อยก็ได้สร้างญาณ ข้ึนมา ญาณ คือ การรู้ตามความเป็นจริง ว่าสัจจญาณ เป็นอย่างไร แล้วเราจะได้รู้ว่า กิจจญาณท่ีปฏิบัติต่อความคิดนั้น ปฏิบัติอย่างไร ให้รู้ เราได้ก�ำหนดรู้แล้วหรือไม่แล้ว ก็ข้ึนอยู่ กับการที่เราได้รู้จักความคิดที่เกิดขึ้นน้ัน ปัญหาคือเวลา เรามคี วามคดิ ขน้ึ มา แลว้ ไปคดิ ตอนใกลจ้ ะนอนหลบั ความคดิ จะหมนุ แลว้ ทำ� ใหเ้ รานอนไมห่ ลบั เราอยากจะดบั ความคดิ นนั้ ไมอ่ ยากใหค้ วามคดิ นนั้ เกดิ การทเ่ี รารสู้ กึ เปน็ ทกุ ขก์ บั ความคดิ ที่เกิดขึ้น โดยท่ีไม่ก�ำหนดรู้อริยสัจ ว่าน่ีคือทุกข์ มันจะไป

อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ 57 เพ่ิมตัณหา ไปสร้างความไม่รู้ (อวิชชา) ท่ีความไม่รู้นั้นจะไป สร้างอัตตวาทุปาทานข้ึน คือ ตัวอัตตาของจิตอีกชั้นหน่ึง นั่นหมายถึงว่า เขาจะสร้างตัวตนของความทุกข์ชนิดนี้ให้เรา มีทุกข์อีกในคร้ังต่อไปแบบน้ี ลักษณะน้ี เมอ่ื ใดกต็ ามทเี่ รานอนไมห่ ลบั สกั ที ความคดิ จะวนอยู่ ในหวั กค็ อื ทำ� ใหเ้ ราไดท้ กุ ขอ์ กี อยบู่ อ่ ย ๆ อยเู่ รอื่ ย ๆ เพราะเรา ไม่เข้าใจ พอเราได้เข้าใจแล้วว่า นี้คือทุกข์ นี่คือเหตุของ ความทุกข์ น้ีคือความดับทุกข์ นั่นหมายถึง เราต้องรู้ว่า ความคิดนี้มาจากมูลเหตุอะไร เม่ือรู้ว่ามีเหตุอย่างนี้ ก็เลยคิด อย่างนี้ ก็ถูกต้องแล้ว เพราะมีเหตุของมัน มันต้องคิดอย่างน้ี แล้วท�ำให้เราได้รับผลทางความทุกข์ คือการนอนไม่หลับ ก็ถูกต้องแล้ว อริยสัจท�ำลายสักกายทิฏฐิ เมอ่ื เราเรม่ิ รจู้ กั ยอมรบั ในแตล่ ะชน้ั แตล่ ะชน้ั แตล่ ะชนั้ มาอย่างนี้ สังเกตดี ๆ ครั้งต่อไปเราจะไม่ทุกข์เพราะความคิด พวกน้ี แล้วความคิดจะสั้นลง จะไม่รบกวนในขณะที่เรา นอนหลับ เพราะเราจะมีความเข้าใจในความคิดน้ัน แล้วจะ ท�ำให้เราหลับเม่ือไหร่ไม่รู้ ซ่ึงอาจารย์จรบอกว่า ตอนแรก

58 อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ ก็ไม่เชื่อ จึงลองไปท�ำดู แรก ๆ ใช้เวลานาน เพราะเป็นการ สร้างความเข้าใจ คือยังไม่เข้าใจมาก ก็ต้องยุ่งยากหน่อย ว่าความคิดชนิดน้ีเป็นอะไร มาจากเหตุอะไร แล้วการดับไป เป็นอย่างไร ออ้ ...เมอ่ื ยงั ไมห่ มดเหตุกย็ งั ไมด่ บั มนั กย็ งั หนว่ งเหนยี่ ว ขน้ึ มาสรา้ งความคดิ ออ้ ... ถกู ตอ้ งแลว้ เมอ่ื ยงั คดิ อยู่ เรากห็ ลบั ไม่ได้ มันก็ต้องหลับไม่ได้อยู่ดี เป็นเรื่องธรรมดา จากนั้น เขาหลบั ตอนไหนไมร่ ู้ กำ� ลงั คดิ อยเู่ รอ่ื งพวกนี้ หลบั ไปตอนไหน ไม่รู้ วันแรกก็ใช้เวลานาน วันที่ ๒ ก็ส้ันลงอีก พอเร่ิมเข้าใจ วันที่ ๓ สั้นลงอีก วันที่ ๔ ส้ันลงอีก นอกจากมีบางครั้งท่ี กระทบแรง ๆ กอ็ าจจะใชเ้ วลานานอกี อยเู่ หมอื นกนั การเรยี นรู้ ลักษณะอย่างน้ีเหมือนกับว่าเราไม่ได้ปฏิบัติอะไร แต่จริง ๆ คือการปฏิบัติ ถ้าเราสามารถเข้าใจหลักการนี้และสามารถ เทียบเคียงเป็นกับอาการทางอารมณ์ ท่ีเกิดกับชีวิตของเรา จงจ�ำไว้ว่า ทุก ๆ ขณะแห่งชีวิตความเป็นอยู่ ความเป็นไป การด�ำรงชีพท้ังหมด เราสามารถรู้อริยสัจ ๔ ได้ทุก ๆ ขณะ ทุก ๆ คราว เพราะอริยสัจ ๔ แสดงอาการ และแสดงตัวของมันอยู่ตลอด เพราะว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็ปรากฏอยู่ในเวลานี้

อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ 59 ก็คือทุกข์ปรากฏ หรือว่าทุกข์ต้ังอยู่น่ันเอง ทีนี้ ตัวทุกข์น้ีซึ่งมี สมุทัยมาจากภพก่อน จะน�ำไปสู่การดับสลายตามภาวการณ์ ก่ีปีก็ว่ากันไป แต่ความเห็น เราจะต้องล้างมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดว่าเป็นตนออกให้ได้ โดยการรู้จักความทุกข์น้ี จะไปทำ� ลายความเปน็ อตั ตาในชนั้ ของสกั กายทฏิ ฐิ พระพทุ ธเจา้ ตรัสว่า “บุคคลผู้จะท�ำลายสักกายทิฏฐิได้ จะต้องท�ำลาย โดยการเหน็ อรยิ สจั บคุ คลจะทำ� ลายสกั กายทฏิ ฐโิ ดยทไ่ี มเ่ หน็ อริยสัจ แล้วบอกว่าตนเองท�ำลายสักกายทิฏฐิได้ ก็เหมือน กับว่ายังไม่ได้สร้างตัวเรือน แต่สร้างหลังคาแล้ว คือหลังคา ต้องต้ังอยู่บนเสาเรือน แต่เสาเรือนไม่มี แล้วบอกว่าบ้านเรา สร้างเสร็จ มีหลังคาอย่างดี” พระองค์ตรัสอย่างนี้ แสดงว่า อริยสัจน้ีเป็นพ้ืนฐาน เป็นรากฐาน พระองค์ ตรัสว่า เป็นอาทิพรหมจริยา - เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ สมณพราหมณ์เหล่าใดก็ตามผู้เข้ามาสู่ศาสนานี้ ย่อมเข้ามา เพื่อท่ีจะรู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับของทุกข์ รู้วิธี ปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าไปดับทุกข์ น่ันหมายถึง หลักของอริยสัจนี้ เป็นหลักท่ีเราสามารถท�ำได้ ท�ำได้ทันที ท�ำได้เลย ท�ำได้ แทบจะไม่ต้องรอเวลาอะไร

60 อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ ปุจฉา : จิตท่ีพิจารณาอยู่เร่ือย ๆ นี้ ธัมมวิจัยหนักเข้า เมื่อต่ืน ไม่หยุด กลายเป็น อุทธัจจะ ธัมมุทธัจจะ มันก็ หมุนติ้วไปเร่ือย ๆ อย่างนี้ ไม่สามารถหยุด วิสัชนา : ถ้าเป็นขั้นของธัมมุทธัจจะ๖ ท�ำไปเลย ให้มันเป็นธัมมุทธัจจะไปอยู่เร่ือย ๆ เพราะธัมมุทธัจจะนี้ จะเรว็ มาก เรว็ กวา่ วธิ อี นื่ มนั กำ� ลงั คน้ หา สรา้ งความรู้ มนั กำ� ลงั วิจัย สร้างความรู้ หาความรู้ ท�ำให้เกิดความรู้ มันจะไม่หยุด นั่นคือเราต้องอ�ำนวยประโยชน์ให้กับจิต ให้มันท�ำหน้าท่ี ของมัน ถ้าเราไปห้ามมัน จะท�ำให้เกิดการชะงัก ซึ่งจะเป็น สักพักหน่ึง ไม่ได้เป็นตลอด พอถึงจุดความรู้ของมันพอแล้ว มันจะหยุด จะมาอยู่กับการเสวยผล ในช่วงของการแสวงหา ความรู้ มนั ก็จะค้นหา มนั ก็จะหมุน จิตมันจะหมุนหา หมนุ หา ทุกอย่างมันจะน�ำมาสู่การพิจารณา ปุจฉา : ไม่ได้นอนเลย วิสัชนา : ต่างกันกับการไม่นอนของคนทั่วไป การไม่นอนอย่างน้ีเขาเรียกว่า จิตตื่น ถ้าจิตต่ืน ก็ให้มันต่ืน เพราะเป็นช่วงท�ำความเพียรของจิต เราไม่ได้ท�ำความเพียร แตจ่ ิตทำ� ความเพยี รในตวั ของจติ เอง ถ้าจติ ได้ท�ำความเพยี รเอง อยา่ งทอี่ าตมาเคยบอกวา่ ตอนแรกนจี่ ติ มนั คนุ้ เคยตอ่ อารมณ์

อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ 61 ก็ต้องโอนตามอารมณ์ โน้มตามอารมณ์ เอนตามอารมณ์ แต่เม่ือเราฝึกจิตให้มาหัดคุ้นเคยกับการรู้อริยสัจ จิตจะ คล้อยตามอริยสัจ พอคล้อยตามอริยสัจ ก็ไม่คล้อยตาม อารมณ์แล้ว พอจิตไม่คล้อยตามอารมณ์ จิตก็จะเข้าไปรับรู้ อารมณ์ด้วยหลักของอริยสัจ พอจิตรู้อารมณ์ด้วยหลักของ อริยสัจแล้ว จิตก็จะท�ำหน้าที่ในการละ การคลาย การวาง อาตมาใช้ค�ำเรียกว่า จิตจะปฏิวัติตัวของจิตเอง ตอนนั้นเรา แทบไม่ต้องท�ำอะไรเลย มันท�ำของมัน แล้วการท�ำของจิต จะท�ำแบบตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทุกอย่างจะหมุนอยู่กับความรู้ จิตจะหาความรู้มาสู่จิตเอง ปุจฉา : ลักษณะการพิจารณาของจิตท่ีท่านอาจารย์ กล่าวตอนแรก เป็นช่วงโคตรภู ด้วยใช่ไหม วิสัชนา : ใช่ จิตลักษณะอย่างนี้จะเกิดขึ้นประมาณ ๑ เดือน หรือ ๒ เดือนน่ีแหละ เดี๋ยวสุดท้ายมันจะถึงตัว ของมนั ถงึ จดุ อมิ่ จะเปน็ ทำ� นองน้ี ไมต่ อ้ งกลวั จติ จะไมไ่ ดห้ ลบั ปุจฉา : โยมก็ไม่ได้รังเกียจ วสิ ชั นา : ไมต่ อ้ งกลวั คนเราหลบั มานานแลว้ ตนื่ บา้ ง ก็ดี แต่ไม่เข้าใจไง ว่าท�ำไมเป็นอย่างนี้ จิตมันหมุนเข้าไป

62 อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ ในธรรมะอยู่ตลอดเวลา เราควรจะให้เวลากับมันในเวลาน้ี ไม่ต้องไปขัด ให้เขาท�ำของเขาไป ธรรม คือ สภาพท่ีทรงไว้ซึ่งความจริง ค�ำว่า ธรรม เพ่ือให้เข้าใจตรงกัน เรียกว่า สิ่งท่ีทรงไว้ ซ่ึงความเป็นจริง ธรรมชาติ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่มีอยู่จริง ตามความเป็นจริงของมัน เพราะฉะน้ัน การเกิดข้ึนของส่วน สังขตะ กค็ อื สงิ่ ท่เี ป็นตัวกายตัวใจเรานี้ พระพุทธเจา้ ไม่ได้ตรสั สงั ขตะตวั อน่ื ตวั อน่ื กเ็ ปน็ สงั ขตะโดยทไ่ี มใ่ ชต่ วั ทกุ ข์ เปน็ สงั ขตะ ในส่วนท่ีเป็นส่วนของสังขาร แต่ในสังขตะที่เป็นตัวเราคือ ตัวปัญหา คือมีทุกข์อยู่ในน้ี ตัวนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัส เมื่อดับตัวน้ีได้แล้วก็ไม่มีการเกิดอีกในท่ีไหน ๆ การเวียนว่าย ตายเกิดจึงเป็นแค่ความหลงของก้อนสังขารที่มีอยู่ในเวลานี้ น่ีเอง ถ้าก้อนสังขารเหล่านี้มันรู้เม่ือไหร่ ก็ดับตัวเองเมื่อน้ัน ดับได้ จิตมันก็ดับตัวของมันเองได้ ตัวอัตตาตัวนี้ถึงแม้จะถูก สรา้ งขนึ้ ดว้ ยกำ� ลงั ของมจิ ฉาทฏิ ฐกิ ต็ าม เมอื่ สตปิ ญั ญาบรบิ รู ณ์ เพยี งพอ มนั กจ็ ะทำ� ลายเมอ่ื นนั้ เราจงึ ไมต่ อ้ งไปกลวั วา่ เราจะไป ทำ� ลายกเิ ลสแบบนนั้ แบบน้ี หรอื วา่ ไมอ่ ยากใหก้ เิ ลสมนั มี หรอื เป็นผู้ไม่อยากจะมีกิเลส หรือพยายามจะก�ำจัดกิเลส

อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ 63 อาตมาเช่ือว่าพวกเราไม่สามารถก�ำจัดกิเลสได้ แตเ่ ราสามารถสรา้ งความเหน็ ถกู กำ� หนดรอู้ รยิ สจั มสี ตปิ ญั ญา ในทุก ๆ คราวท่ีรับกระทบจากอายตนะต่าง ๆ จากภายนอก เข้ามาสู่ภายใน แล้วเราก็ให้อริยสัจเวียนรอบในจิต ไม่ต้อง ไปถามหรอก กิเลสตัวนั้นตัวนี้มันจะถูกละ จู่ ๆ มันก็จะหาย ไปเอง กิเลสไม่รู้มันถูกละเม่ือไหร่ มันหายไปต้ังแต่เมื่อไหร่ บอกให้มันเกิด มันก็ไม่เกิด จะพยายามให้มันมี มันก็ไม่มี แต่ก่อนมีได้ทุกคราว แต่ตอนนี้ไม่เกิด มันคืออะไร จึงเข้าใจ ธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้เที่ยงแท้ในการท่ีจะ เขา้ สพู่ ระนพิ พาน คอื ดบั ตวั ตนทงั้ หมด ตวั ขององคธ์ รรมตา่ ง ๆ ในอริยมรรค ในโพธิปักขิยธรรม ท้ังหมดเหล่านี้เป็นเคร่ือง รองรับจิตของผู้ปฏิบัติในขณะท่ีปฏิบัติน้ันอยู่แล้ว เราไม่ต้อง มัววุ่นวายที่จะไปแก้กิเลสตัวนั้นตัวน้ี ความโลภ ความโกรธ ความหลง อาตมาว่าไม่ต้องไปยุ่งกับมันหรอก อย่าไปยุ่ง กับมันเลย เพราะเราโลภ เราโกรธ เราหลง อยู่แล้วแหละ เพียงแต่ว่าเม่ือไหร่ก็ตามที่เรารู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความ ดับทุกข์ รู้วิธีปฏิบัติในขณะที่โลภ ที่โกรธ ที่หลง อยู่น่ันแหละ ยิ่งจะท�ำให้เราเกิดสติ เกิดปัญญา ในการรู้ทุกข์ รู้โทษในส่ิงที่ เป็นอยู่ในเวลาน้ัน

64 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ นค่ี อื ประสบการณท์ างการปฏบิ ตั ทิ อ่ี าตมาไดป้ ฏบิ ตั มิ า แล้วน�ำมาบอกพวกเราในแง่มุมท่ีอาจจะตรงกับปริยัติ หรือ ไม่ตรงกับปริยัติ อาตมาก็ไม่แน่ใจ ปุจฉา : ท่ีท่านอาจารย์ได้อธิบายมา ตัวสภาวะธรรม ของท่านอาจารย์เอง ตรงกับพระไตรปิฎกที่ว่า ลูกไก่จิก เปลอื กไขอ่ อกมา ทา่ นไดแ้ สดงลกั ษณะนวี้ า่ ออกจากอวชิ ชาได้ เหมือนเป็นลูกไก่ท่ีค่อย ๆ ทยอยจิก จิก จิกเปลือกไข่ วิสัชนา : บางคนก็อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ ก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าการปฏิบัติของแต่ละคน เขาเรียกว่าการสะสมมา ไม่เหมือนกัน อย่างโยมจี๊ด ยังมาถามอาตมาเลยว่า ของโยม ท�ำไมมันเป็นแบบเรียบ ๆ ไปแบบเนียน ๆ ไม่มีอะไรพิสดาร อย่างนี้ ซ่ึงการท�ำลายสักกายทิฏฐิคร้ังแรกท่ีเกิดข้ึนในจิต การพดู ในทำ� นองนี้ เปน็ การพดู ในชนั้ เอาความจรงิ มาบอกพวกเรา ซ่ึงอาตมาไม่เคยรู้ว่า การท�ำลายสักกายทิฏฐิ เขาท�ำลายกัน อย่างไร ก่อนหน้าที่จะมารู้น่ี ไม่เคยรู้หรอก ก็พยายามจะ ท�ำลายสักกายทิฏฐินั่นแหละ โดยการพิจารณาธาตุว่า ถ้าเรา พิจารณาธาตุ สักกายทิฏฐิต้องถูกท�ำลาย แต่ปรากฏว่า พิจารณาธาตุมากเท่าไหร่ ก็ได้แค่ความสงบ สักกายทิฏฐิ

อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ 65 ไม่ได้ถูกท�ำลาย เม่ือมาเห็นขันธ์ ๕ เกิด-ดับ การเห็นการ เกิด-ดับจึงไปท�ำลายตัวสักกายทิฏฐิเอง การรู้ธรรมเห็นธรรม เป็นความชัดเจนทุก ๆ ข้ัน ทุก ๆ ตอน ทุก ๆ ขณะ แตก่ อ่ นกเ็ คยคดิ วา่ เราปฏบิ ตั ใิ นชน้ั ของพระรตั นตรยั ยินดีในพระรัตนตรัย ยึดถือในพระรัตนตรัยได้แล้ว เอาละ รู้แล้ววา่ อานิสงส์คอื ไมต่ กอบายภูมิ มีสวรรค์เป็นที่ไป พอแลว้ คลา้ ย ๆ กบั วา่ อนุ่ ใจแลว้ มพี ระรตั นตรยั ยดึ ในจติ สามารถเหน็ พระรัตนตรัยกับจิต จิตกับพระรัตนตรัยเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน เหน็ ความแนบแนน่ เหน็ ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งใจกบั พระรตั นตรยั ไม่ขาดสาย เห็นชัดอย่างน้ัน อ�ำนาจพระรัตนตรัย เป็นอ�ำนาจ ทางธรรมชาติ ไม่ใช่อ�ำนาจที่ลึกลับที่เราเข้าถึงไม่ได้ จริง ๆ เราเข้าถึงได้ เราก็สบายใจแล้ว เออ...ไม่สู่ภพต่�ำ สบายแล้ว แต่พอจิตละสักกายทิฏฐิเท่าน้ันแหละ ภพต่าง ๆ มนั ไมส่ นเลย ความคดิ ตา่ ง ๆ ทห่ี มนุ เวยี นไปสภู่ าวะของโลกยิ ะ ทั้งหลายทั้งปวง มันตัดขาด ตัดรอบจากจิตหมด จิตจะโน้ม ไปสู่การท�ำพระนิพพานให้แจ้งในเวลานั้น จะมุ่งเอาให้มัน เสร็จส้ินในคืนนั้น แต่ปรากฏว่าไม่ส�ำเร็จหรอก เพราะว่า ก�ำลังอริยมรรคมันได้เท่าน้ัน ก็ส่งผลได้เท่าน้ัน แต่อย่างน้อย เราก็ได้เข้าใจ ได้รู้จักข้อปฏิบัติในช้ันที่เราคาดคะเน ส่ิงต่าง ๆ

66 อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ แต่ก่อนเคยคาดคะเนว่า พระนิพพานต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างน้ี แต่พอปรากฏจริง ๆ น่ี สิ่งที่คาดคะเน มันไม่ถูกสักเส้ียวหน่ึงเลย จริง ๆ คาดไป คะเนไป ไม่ถูก เพราะฉะนนั้ การทำ� ลายสกั กายทฏิ ฐิ อาตมาบอกเลย ว่า ถ้าเราเข้าใจหลักอริยสัจ สักกายทิฏฐิจะถูกท�ำลายไป ทุก ๆ ขณะ ท่ีเราก�ำหนดรู้อยู่นั่น ไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้อง กลัวว่ากิเลสท่ีเป็นความโลภ โกรธ หลงน่ีจะละได้หรือละ ไม่ได้ มันจะค่อย ๆ ละของมันโดยอัตโนมัติ จิตท่ีมันฉลาด จะรู้เองในการที่จะละ ปุจฉา : สมมติว่า ของจริงก็คือ เราสะสมมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดในกาย ในรูป ในนาม มาตลอดท้ังสังสารวัฏ แต่การที่เราเพ่ิงจะมีความรู้เข้าไปรู้ ท่านอาจารย์ว่ามันยาว แค่ไหนคะ อย่างสมมติว่า สาวกต้องใช้กี่กัปป์ ๆ อย่างน้ี เราพัฒนากันมาเท่าไหร่จึงจะสามารถท่ีจะมีปัญญาบ้างที่จะ เข้าไปรู้บ้าง วิสัชนา : เราเรียนรู้กันมาว่าต้องอย่างน้อยแสนกัปป์ เราสามารถค�ำนวณตัวเองได้ไหมว่าแสนกัปป์นั้นอะไรเป็นตัว รับรอง ประกันให้เราได้ทราบว่าเราได้แสนกัปป์แล้ว

อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ 67 ใชก้ ารเทยี บเคยี ง ไมต่ อ้ งใชญ้ าณชนดิ พเิ ศษหยง่ั ทราบ เพราะว่า ธรรมะ หรือ สัจจะ หรือว่าค�ำสอนพระพุทธเจ้า เป็นค�ำสอนที่ตรวจสอบได้ วัดผลได้โดยที่ไม่ต้องใช้ญาณ แตใ่ ชค้ วามรเู้ ทยี บเอา ความรทู้ พี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั สอน พระองค์ ตรัสว่า - การเกิดเป็นมนุษย์ - ได้พบพระพุทธศาสนา ไดพ้ บหรอื ยงั ...พบแลว้ จรงิ หรอื เปลา่ แนใ่ จนะวา่ ไดพ้ บ พระพุทธศาสนาจริง พระพุทธศาสนาอยู่ท่ีไหน ถ้าได้พบจริง อยู่ท่ีใจก็ผิด อยู่ที่ปัญญาการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาอยู่ท่ีนั่น เพราะพระพุทธศาสนาทั้งหมดก็คือ ผลอันเกิดจากการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร อริยสัจ ๔ นั่นแหละ คือผลของการ ตรัสรู้ ปัญญาของการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรา ได้พบพระพุทธศาสนา คือ ได้พบอริยสัจ ๔ ตราบใดที่ยังมี อรยิ สจั ๔ ตราบนนั้ ยงั มพี ระพทุ ธศาสนา เพราะศาสนาพทุ ธ คอื ศาสนาแหง่ ความรู้ แลว้ คำ� วา่ พทุ ธะ คอื รอู้ รยิ สจั ๔ จงึ จะเปน็ พทุ ธะ ถา้ เราไมร่ อู้ รยิ สจั ๔ เราไมไ่ ดพ้ บพระพทุ ธศาสนา แลว้ ท่ี ผ่านมาพบแล้วหรือยัง ที่พูดถึงอยู่นี่ พบในช้ันของต�ำราหรือ ค�ำสอน ก็ใช้ได้ ถือว่าได้พบอยู่

68 อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังค�ำสอนในทางพระพุทธ- ศาสนา ... ได้ฟังแล้ว หรือฟังค�ำสอนคนอื่นอยู่ อาจจะเป็น ค�ำสอนท่ีคนอ่ืนพูดออกมาในแง่ของพระพุทธศาสนา คือ พดู ผา่ นคำ� วา่ พระพทุ ธศาสนากไ็ ด้ เพราะตวั ค�ำสอน บางทเี รา อาจจะยงั แยกไมอ่ อกใชไ่ หม ขอ้ เทจ็ ขอ้ จรงิ แตก่ ไ็ มเ่ ปน็ ไรหรอก ไม่ถือว่าเป็นปัญหา อนุโลมได้ว่า จิตใจเรามุ่งมาที่ค�ำสอนของ พระพุทธเจ้า เรียกว่า ฟังค�ำสอนของพระพุทธศาสนา - ต้องการจะโน้มน�ำหลักค�ำสอนนั้นไปสู่การปฏิบัติ - มีความเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นโดย ไม่ทอดธุระ เพราะบางคนที่เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา แล้วเฉยก็มี ไม่อยากจะโน้มน�ำไปสู่การปฏิบัติก็มี หากมีข้อน้ี มีใจอยากจะปฏิบัติ มีใจอยากจะพ้นทุกข์ มีใจอยากจะออก จากวัฏฏะ มีใจท่ีไม่ต้องการจะเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า องค์ประกอบเหล่าน้ี ยังไม่ถึงแสนกัปป์ มีความเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นโดยไม่ทอดธุระ ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย ไม่วางธุระ คือ เอาใจใส่ มีอุตสาหะ พากเพียรพยายาม ได้ไม่ได้ก็พากเพียรอยู่อย่างนั้นแหละ สู้กันไปจนตายกันข้างหนึ่ง นั่นแหละเขาเรียกว่ากัปป์ที่ หน่ึงแสนครบ

อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ 69 ความอุตสาหะเป็นคุณสมบัติของการบรรลุธรรม อาตมาแทบจะไม่เช่ือเลยว่า การปฏิบัติธรรมต้องเอา ชีวิตเข้าแลก แต่อาตมาก็ต้องเช่ือเพราะมันเคยเกิดข้ึนกับ อาตมาเอง เปน็ ลกั ษณะของการเอาชวี ติ เขา้ แลกจรงิ ๆ อาตมา เดินจงกรมน่ี เคยเจอภาวะของค�ำถามข้ึนมาในใจ เป็นช่วง หัวเล้ียวหัวต่อของชีวิตที่เรียกว่าธาตุขันธ์จะแตกสลาย ในขณะท่ีปฏิบัติ แต่ก่อนครูบาอาจารย์บอกว่าธรรมมันอยู่ ฟากตาย เฮ้อ ... มันเป็นอย่างน้ันเลยหรือ ธรรมอยู่ฟากตาย เม่ืออาตมาได้มาสู่ข้ันการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการ อดนอน หรอื วา่ อดอาหาร และกท็ ำ� ความพากเพยี รอยอู่ ยา่ งนนั้ ในขณะท่ีเราท�ำนั้น เราไม่รู้ว่าธาตุขันธ์อยู่ในภาวการณ์ใด มีอยู่คร้ังหนึ่งขณะที่เดินจงกรมอยู่ เกิดอาการปวดขึ้นมา ในปอด ตอนนั้นอาตมาเป็นวัณโรคปอด แล้วเกิดปวด อยู่ในปอดน้ี ปวดหนักข้ึน หนักขึ้น หนักข้ึน ลมหายใจ ก็ตีบแคบลง ตีบแคบลง มันหายใจไม่ค่อยได้ ปวดหนักข้ึนปุ๊บ เราต้ังความเพียรเอาไว้แล้วว่า จะเดินจงกรมถึงเวลา ๑๑ โมง เราจะไม่หยุด ตอนน้ันประมาณ ๑๐ โมงคร่ึง ก็ฝืนเดินไป เดินไปประมาณสัก ๕ นาทีเท่านั้นแหละ ในปอดมันดังปึ๊ด จากนั้นก็อ่อนยวบลงไป ไม่มีแรง ใจก็เต้นแรง ๆ แล้วบีบตัว

70 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ หัวใจยังบีบตัว แล้วก็รู้สึกว่าลมหายใจมันจะหมด จากน้ัน ก็เลยมาต้ังค�ำถามข้ึนมาว่า เราควรจะหวงกาย หรือเราควร จะทอดท้ิงกายให้ตายไปเลย คิดอย่างนั้นตอนน้ัน จากน้ันก็เลยพยายามพยุงตัวเองขึ้นไปบนกุฏิ คิดว่า คงจะไม่ไหวแล้ว แต่ในใจลึก ๆ บอกว่า ยังไม่อยากตายตอนนี้ ยังหวงอยู่ เมื่อใจมันบอกว่า ไม่อยากตาย แต่ภาวะของกาย มันหายใจไม่ได้ มันส้ันลง ลมหายใจมันสั้นลง ๆ ๆ ๆ ส้ันปั๊บ แลว้ ขาดความรสู้ กึ ไมร่ บั รเู้ ลย พอขาดความรสู้ กึ ปบ๊ั เหมอื นกบั ตกลงไปในหลุมอากาศหรืออะไร ตกจากท่ีสูง ล่ิว ๆ ๆ ๆ ลงไป ปุ๊บ ก็ไปปรากฏตัวเองยืนอยู่บนฝั่ง แล้วก็มอง อันนี้ จะเป็นภาพนิมิต มอง ๆ ไป เห็นคนที่อยู่ในแม่น้�ำ เพราะ เรายืนอยู่บนฝั่ง เหมือนกับเรายืนอยู่บนแม่น้�ำโขงอะไร ประมาณนี้ แล้วฝั่งคนท่ีอยู่ในน�้ำ ก็มองไปจนสุดสายตา ยังไม่เห็นเลยว่าอีกฝั่งหน่ึงอยู่ที่ไหน แต่คนที่อยู่ในน�้ำน้ัน แออัดยัดเยียดกันเต็มไปหมด ก็เลยสงสัยว่า เอ...ท�ำไมคน ไปอยู่ในน�ำ้ อยา่ งนั้น ท�ำไมไม่ข้นึ มาบนฝัง่ มองหาคนอย่บู นฝ่ัง ก็ยังมองไม่เห็น เอ...ท�ำไมคนอยู่แต่ในน�้ำ ท�ำไมไม่ข้ึนมา จึงตะโกนเรียกว่า ขึ้นมา ขึ้นมาบนฝั่งสิ ก็ไม่มีใครข้ึนมา กง็ งอยู่ คนกแ็ ออดั ยดั เยยี ดดำ� ผดุ ดำ� วา่ ยกนั อยอู่ ยา่ งนน้ั บางคน

อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ 71 ก็กอดคอกัน บางคนก็เหยียบกันอยู่ในน้�ำนั้น ทีน้ีก็เลยเกิด ภาษา ค�ำพูดค�ำหน่ึงขึ้นมาว่า “นี่แหละคือทะเลทุกข์” ก็เลย เกิดความรูส้ ึกวา่ ทะเลทกุ ข์ พอมองวา่ ทะเลทุกข์เทา่ นัน้ แหละ จึงมองเห็นคนในโลกน้ีทั้งหมด ในวัฏฏะสงสารท้ังหมด เหมือนกับทะเลทุกข์ ที่คนมาอาศัยอยู่ เกิด-ตาย เกิด-ตาย เกิด-ตาย ตรงนี้น่ีเองท�ำให้อาตมาได้เข้าใจในหลาย ๆ อย่าง ด้วยในเวลาน้ัน แต่ตอนน้ันก็ไม่รับรู้เร่ืองกายแล้ว เดินไปเจอสะพานแห่งหนึ่ง ซ่ึงเป็นสะพานที่มี แสงสว่างจ้า ออกสีทอง ๆ เป็นสะพานท่ีม่ันคงแข็งแรง มีความรู้สึกว่า อยากจะเดินไปบนสะพานนี้เพื่อข้ามไปอีก ฝั่งหน่ึง แต่ไม่รู้ว่าฝั่งน้ันไปที่ไหน พอเดินไปอยู่ที่หน้าสะพาน ไปยืนอยู่ปั๊บ ก�ำลังจะก้าวเดินไปเท่านั้นแหละ มีพระธุดงค์ ๓ รูป ปรากฏพรึบข้ึนอยู่ต่อหน้ามากั้นไว้ แล้วก็บอกว่า “ท่านจะเข้าไปไม่ได้” อาตมาก็บอกว่า “เอ้า ท�ำไมจะเข้าไป ไม่ได้ ก็สะพานดูแข็งแรง มีความมั่นคง มีความปลอดภัย ก็น่าจะเดินไปได้” ก็คิดว่าอย่างน้ัน พระธุดงค์ก็บอกว่า “ท่านน่ะ ไปไม่ได้หรอก ก�ำลังท่าน ยังอ่อนอยู่” ตอนน้ันเราไม่รู้ว่าก�ำลังเราอ่อน เหมือนกับว่า เรายังมีก�ำลังอยู่ เรายังแข็งแรงอยู่ อาตมาก็เลยบอกว่า

72 อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ “ผมจะเข้าไป” พระอีกรูปหนึ่งก็บอกว่า “ไปไม่ได้ บอกว่า ไปไมไ่ ด้ กไ็ ปไมไ่ ดส้ ”ิ ทา่ นวา่ อยา่ งน้ี อาตมากเ็ ดนิ ทะลพุ ระนน้ั ไปเลย พอเดินทะลุไปปุ๊บ ก้าวข้ึนไปก้าวแรกก็ลื่นตก ล่ืนตก แตม่ อื ยงั จบั ราวสะพานไวอ้ ยู่ พอตกไมท่ นั เทา่ ไหร่ กม็ คี นทอี่ ยู่ ขา้ งลา่ งกระโดดขนึ้ มาเกาะขา ดงึ เราลงไปขา้ งลา่ งอกี คนหนงึ่ ปีนข้ึนมากอดเอวไว้ คนหน่ึงดึงขาลงไป เราก็ไม่สามารถที่จะ หน่วงราวสะพานไว้ได้อีก รู้สึกว่ามันหนักมาก แต่ทีน้ีเรา ไม่อยากจะลงไปข้างล่างนี้เลย เพราะรู้ว่ามันเป็นทะเลทุกข์ ไม่อยากจะลงไปเลย ท�ำอย่างไรหนอ ในขณะท่ีมือหลุดออกมาปั๊บ ก็นึกถึงค�ำว่า “พุทโธ” กเ็ กดิ แสงสวา่ งจา้ ขน้ึ มา พอเกดิ แสงสวา่ งจา้ ขน้ึ มา คนทดี่ งึ เรา กห็ ายไป แลว้ กก็ ลบั มายนื อยบู่ นฝง่ั เหมอื นเดมิ เหน็ พระธดุ งค์ ๓ รูป ท่านก็พูดว่า “ก็บอกแล้วว่า ข้ามไปไม่ได้ มานี่” แล้วพระธุดงค์ ๓ รูป ก็นั่งเรียงกันอยู่ ท่านเอาจานมาหน่ึงใบ มปี ู ๑ ตวั วางไวใ้ นจานนน้ั ทา่ นกแ็ กะกระดองปอู อก แลว้ ทา่ น ก็บอกว่า “กระดองปูน่ีของพวกผม พวกผมนี่เสร็จกันแล้ว พวกผมส�ำเร็จแล้ว” ท่านว่าอย่างนี้ “เหลือแต่ของท่าน เอาไปกิน ถ้าท่านกินตัวน้ี ท่านก็จะมีแรง แล้วข้ามไปได้” เอ ... อย่างไรกันแน่ เราก็ไม่เข้าใจปริศนาธรรมข้อน้ัน

อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 73 อาตมาหยิบเอาปูนี้ขึ้นมาเพ่ือกิน พอกินเข้าไป ก็เกิด ฟื้นข้ึนมารับรู้ท่ีกาย พอฟื้นขึ้นมา อาการเจ็บปวดในกาย หายไปหมด มานั่งพิจารณาว่า ปูมี ๘ ขา ต้องเป็น มรรค ๘ แน่นอน ท่ีว่าก�ำลังยังอ่อนอยู่ ก็คือก�ำลังวิปัสสนาของอาตมา ยังอ่อน เข้าใจว่าอย่างน้ัน อาตมาเทียบให้ฟังว่า ท�ำไมเราจะต้องปฏิบัติ ด้วยความทุกข์ คือ มันทุกข์มาก ทุกข์จนถึงเรียกว่า ... มีอยู่ ครั้งหน่ึงท่ีเดินจงกรมแล้ว ด้วยความที่เป็นโรคปอดอยู่ เป็นประจ�ำ พรรษาท่ี ๓ ไปอยู่ที่ป่าแล้วมันชื้น อาการหอบหืด มันขึ้น อากาศท่ีจะแลกเปล่ียนข้างในกับข้างนอกมันไม่ได้ ก็เกิดอาการเดินไปเดินมา เดินไปเดินมาน่ี มันเกิดอาการมึน อยู่ท่ีหัว มึนไปมึนมา มึนไปมึนมา ก็ฟุบ ฟุบลงไปกับทางเดิน จงกรม นอนอยู่บนทางจงกรมโดยที่ท�ำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นแล้ว บางทีบางคนจะกลัว จะหยุดการปฏิบัติ จะหยุดการภาวนา แต่ในขณะนั้นจิตของเรามุ่งที่จะเข้าไปรู้ทุกข์ ก�ำหนดรู้ทุกข์ไว้ อย่างเดียว นี้คือทุกข์ นี้คือทุกข์ น้ีคือทุกข์ ตรงนี้ท�ำให้อาตมา ผ่านพ้นในแต่ละครั้งมาได้ ถ้าอาตมาตาย ก็คงจะไม่ได้มาพูด ให้พวกเราฟัง ตายไม่ได้ตอนน้ัน แต่ถึงจุดที่จะต้องกล้า ที่จะ สละชีวิตเพ่ือปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ตรงน้ีส�ำคัญ

74 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ อาตมาจึงบอกว่า เป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังค�ำสอน ได้โน้มน�ำค�ำสอนไปปฏิบัติ ต้องอุตสาหะด้วย หากใครมีคุณสมบัติเหล่าน้ี อาตมาเช่ือว่า คน ๆ น้ันสามารถ เข้าถึงธรรมอันเป็นท่ีส้ินทุกข์ในชาตินี้ได้ อย่างน้อยเที่ยงแท้ ต่อพระนิพพาน แล้วก็ปิดอบายภูมิให้ได้อย่างถาวร น่ันคือ คุณสมบัติของบุคคลผู้นับถือพระพุทธศาสนาท่ีพึงจะได้ เป็นเบือ้ งต้น แล้วอาตมาเช่ือว่า พวกเราซ่ึงสร้างพนื้ ฐานในจติ มาอย่างดีแล้ว หากเจริญหลักปฏิบัติ ข้อปฏิบัติในแง่มุม บางแง่มุมท่ีอาจจะผิดพลาดแล้ว ได้รับค�ำแนะน�ำจากอาตมา หรือท่านอาจารย์โถย หรือหลวงพ่อเป ซึ่งจะช่วยกันบรรยาย ธรรมะใหแ้ กพ่ วกเรา เพราะเราจะไดฟ้ งั ธรรมมะจากแงม่ มุ ตา่ ง ๆ ในการปฏบิ ตั จิ รงิ ของแตล่ ะทา่ น อาจจะเปน็ ตวั ชว่ ยเสรมิ ธรรมะ ที่เราปฏิบัติอยู่ ให้เกิดองค์ประกอบท่ีสมบูรณ์ ความสมบูรณ์ ในหลักธรรมนี้เอง จะช่วยให้เราพัฒนาจิตไปในเส้นทางของ อริยมรรคได้เป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งท่ีอาตมาเช่ือมาตลอดก็คือ ส่ิงที่เอามาสอนน้ี สามารถท�ำให้เกิดผลทางด้านการปฏิบัติได้จริง อะไรก็ตาม ที่ไม่เกิดผลทางด้านการปฏิบัติ อาตมาจะตัดสิ่งน้ันออก ไม่ให้ มเี ขา้ มาภายในวถิ กี ารปฏบิ ตั ิ จะตอ้ งใหส้ ง่ิ ทเี่ กดิ ผลในดา้ นการ

อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 75 ปฏิบัติเท่าน้ัน และคนท่ีเข้ามาสู่การปฏิบัติน้ี ทุกคนต้องเค้น ให้ได้ผลน้ันตามท่ีต้องการ เอาจริง ๆ คนเราถ้าจะปฏิบัติ อย่ามาปฏิบัติเพียงแค่ ทำ� ไปเปน็ ชวั่ ครงั้ ชว่ั คราวเขา้ คอรส์ อาตมาไมท่ ำ� ปฏบิ ตั กิ ป็ ฏบิ ตั ิ ไปตลอดชีวิต เข้าใจไหม เพราะอาตมามองว่า ภพชาติ ของพวกเรานั้นมันมากเกินกว่าท่ีจะมานั่งรีรอ เอาไว้พบ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป มันไม่มีความจ�ำเป็น เราอาจจะมี ความคิดอย่างน้ีมาแต่ภพก่อนก็ได้ เราเจอพระพทุ ธเจา้ มาไมร่ กู้ พี่ ระองคแ์ ลว้ เรากบ็ อกวา่ ไม่ทันพระองค์นี้ เอาพระองค์ต่อไป หรือพอไปถึงพระองค์ ตอ่ ไป กบ็ อกวา่ ไมท่ นั พระองคน์ ้ี เอาพระองคต์ อ่ ไปอกี แตเ่ วลา ท่ีเรามีความทุกข์ ถามว่ามีใครช่วยเราได้บ้าง เทวดาช่วยเรา ได้ไหม พระพรหมช่วยเราได้ไหม จริง ๆ แล้ว ความทุกข์เป็นส่ิงท่ีเราต้องรับผิดชอบ ตวั เราเอาเอง เมอื่ เราจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบตวั เราเอาเอง เราเทา่ นน้ั ท่ีจะแก้ไข แล้วก็ดับทุกข์ด้วยตัวของเราเอง จึงไม่ต้องไปรีรอ อะไรจากใคร ความสุขไม่ใช่เครื่องล่อ และล่อให้เราอยู่ใน วัฏฏะที่ยืดยาวนานมานี้ แล้วก็มอบความแก่ ความเจ็บ

76 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ ความตาย ให้กับเรามาไม่รู้ก่ีภพกี่ชาติ แล้วบางคนไม่ใช่แค่ แก่ เจ็บ ตาย ความทุกข์ในเรื่องบางเร่ืองท่ีบีบคั้นใจ ท่ีเรียกว่า ทรมานแทบปางตายก็มี ในขณะท่ีมีชีวิตอยู่ แล้ววิถีจิต อย่างน้ันจะท�ำให้วิถีจิตของเขามาตกอยู่ในฝ่ายของอกุศล เพราะคนท่ีอยู่ในวิถีของความทุกข์นั้น เขาไม่มีทางคิดเป็น กุศลได้เลย เขาจะอยู่แต่กับความทุกข์ ความเศร้าหมอง จิตท่ีอ่อนแอ อ่อนก�ำลัง จิตอย่างนี้เป็นจิตฝ่ายอกุศลทั้งน้ัน แต่ไม่ได้หมายถึงว่า อกุศลคือปัญหา ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ อกุศล ความดีที่แท้จริงไม่ใช่กุศล ที่อาตมาพูดถึงก็คือ สิ่งที่ เราเห็นผิดทั้งหลายท้ังปวงต่างหาก คือส่ิงที่เราต้องมาแก้มัน ทุกอย่างเป็นภาวะปกติ กิเลสก็เป็นภาวะปกติ ไม่ใช่ เร่ืองเสียหาย แต่ความเห็นท่ีเราเห็นผิด คือ ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่เห็นความดับไปของทุกข์ และ ไม่เห็นวิธีปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ นี่คือแก่นของศาสนา แล้วประโยชน์ท่ีเราจะได้รับ คือ ประโยชน์จากการท่ีเราได้ ปฏิบัติในหลัก อริยสัจ ๔ แล้วเราก็จะได้รับผลอันน้ัน แล้วมันต้องได้ มันต้องได้ จริง ๆ มันต้องได้ และต้องท�ำได้ และท�ำให้ได้

อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ 77 เพราะอาตมาไม่อยากจะให้พวกเราไปประสบใน สิ่งท่ีมันยากล�ำบากแบบอาตมา อาตมาจึงพยายามจะอธิบาย ธรรมะทกุ แงม่ มุ เพอื่ ใหเ้ ราไปถงึ จดุ นน้ั เพราะบางคนกำ� ลงั จติ ไมถ่ งึ บางคนบอกวา่ ไปอสี านเตรยี มตวั ไวเ้ ลยวา่ รอ้ น ทกุ ขม์ ไี ว้ ก�ำหนดรู้อยู่ตรงนั้น เด๋ียวจะมีให้รู้อยู่ตลอด อยู่ตรงนั้น จ�ำไว้ ความร้อนไม่ใช่กิเลส ไม่ต้องไปวิตกกังวล แต่ร้อนแน่ ๆ อีสาน ร้อนมาก ๆ ร้อนแบบไม่มีเคร่ืองบรรเทา ไม่มีแอร์ ปจุ ฉา : ยงั ไมค่ อ่ ยชดั เจนในเรอื่ งตณั หาเกา่ ตณั หาใหม่ ถ้าเราก�ำหนดรู้ทุกข์อย่างเดียวพอเพียงไหม หรือว่าต้องเห็น ตัณหาเก่า เห็นตัณหาใหม่ วิสัชนา : ในช้ันของการท่ีจะมารู้ทุกข์อย่างเดียว ก่อนที่จะมารู้ทุกข์อย่างเดียว เราต้องเรียนรู้ เขาเรียกว่า ทุกข์ท่ีมีมาจากตัณหาในภพก่อน เหตุให้เกิดทุกข์ท่ีมีอยู่ ด้วยแรงอุปาทานเดิมท่ีมันยึดถือไว้ เพราะบางคร้ังบางคราว เรายดึ ถอื บางเรอ่ื งบางราวไวใ้ นใจ หมายความวา่ เราตอ้ งเรยี นรู้ เรื่องพวกนี้ให้ชัดก่อน ก่อนท่ีจะมาก�ำหนดรู้ทุกข์ตัวเดียว การก�ำหนดรู้ทุกข์ตัวเดียว คือ เป็นการก�ำหนดด้วย พ้ืนฐาน ที่เรารู้รายละเอียดในความเป็นไปเป็นมาของมัน มากอ่ นแลว้ เมอื่ ความรเู้ หลา่ นเ้ี ปน็ เครอื่ งรองรบั การกำ� หนดรู้

78 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ ตัวทุกข์ตัวเดียว การที่รู้ตัวทุกข์ตัวเดียว คือท�ำให้ง่ายแล้ว แต่การเรียนรู้เราต้องใส่ใจในรายละเอียด ว่าทางมาทางไป ของความทุกข์ในแต่ละครั้ง เป็นทุกข์ชนิดไหน ทุกข์ที่มีมาจากตัณหาอันมีมาในภพก่อน ตัณหา อันมีมาในภพก่อน เราแก้ได้ไหม เพราะมันล่วงมาแล้ว แล้วก็ ส่งผลมาเป็นความทุกข์แล้ว ซ่ึงก็คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความไม่ได้ดั่งใจหมาย ความ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งน้ัน ความคับแค้น ความเศร้าโศก ความเสยี ใจ ความทกุ ขต์ า่ ง ๆ นานาประการ สง่ิ เหลา่ นแี้ กไ้ มไ่ ด้ เมอ่ื แกไ้ มไ่ ดก้ อ็ ยา่ ไปแก้ แตใ่ หเ้ ปน็ ตามภาวะทมี่ นั เปน็ เมอ่ื เรา ปล่อยให้เป็นไปตามภาวะท่ีมันเป็น เราระวังเพียงแค่ว่า ตัณหาท่ีมันเกิดมาพร้อมกับความทุกข์น้ี ท�ำอย่างไรที่ตัณหา ที่เกิดมาพร้อมกับความทุกข์นี้จะไม่เป็นมูลเหตุในการสร้าง ตณั หาใหม่ ตรงนี้ เมอื่ เราเขา้ ใจขอ้ นช้ี ดั เจน เรารทู้ กุ ขต์ วั เดยี วได้ เพราะเราจะรู้ในรายละเอียดในอาการเหล่านี้ ปุจฉา : เพราะว่าการที่เรามีตัวตนอยู่ พอเราได้รับทุกข์ เราก็อยากจะปฏิเสธหรือ ถ้าเราพอใจ เราก็อยากจะเอา วิสัชนา : อันนั้นคือ ความคุ้นเคย เราคุ้นเคยกับการ ปฏเิ สธกบั ความทกุ ขม์ าโดยตลอด จติ เมอ่ื คนุ้ เคยกบั การปฏเิ สธ

อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ 79 กับความทุกข์ จึงท�ำการปฏิเสธได้โดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่รู้ว่า การปฏิเสธแต่ละคร้ังก็คือตัณหาในแต่ละคราวคร้ังนั้น ๆ ทีน้ี เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า การปฏิเสธคือการสร้างตัณหา เมื่อเราอยากจะละตัณหา ก็อย่าไปปฏิเสธ เม่ือเรา ไม่ปฏิเสธน่ันแหละ ตัณหาก็ถูกละอัตโนมัติ แต่ตัณหาที่มา พร้อมกับความทุกข์คืออยากจะเข้าไปดับ ไปละ ไปให้มันคลาย หรืออยากจะหนีออกจากมัน อันนี้ให้ก�ำหนดรู้ไว้ เพื่อทราบ การเกิดว่า นี้ตัณหาเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะทุกข์ตัวนี้มันดึง ใหต้ ณั หาเขา้ มากระทำ� ตอบ พอมนั ดงึ ขนึ้ มา เรากร็ แู้ ลว้ วา่ นค่ี อื ตณั หาเกดิ ขน้ึ ตณั หาตง้ั อยู่สว่ นจะดบั หรอื ไมด่ บั คอ่ ยๆตดิ ตาม ดผู ลวา่ จะดบั ในชว่ งไหน เวลาไหน พอเรารคู้ วามสนิ้ กระบวนการ ของมัน ก็เห็นการดับ พอเห็นการดับในแต่ละคราวได้ นั่นคือ การท�ำนิโรธให้แจ้งในคราวคร้ังนั้น แล้วก็รู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำ� นโิ รธให้แจ้ง ก็เปน็ มรรคอยใู่ นเวลาน้นั แลว้ มรรคจะคอ่ ย ๆ สะสมโคจรอยู่ในจิตของเราจนเต็มรอบ แล้วก็เพียงพอ เมื่อมรรคเต็มรอบและเพียงพอ ก็จะไปตัดตามก�ำลังที่มัน ตัดได้ สักกายทิฏฐิ ก่อนเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ต้องตัดตัว สักกายทิฏฐิ ก่อนอันดับแรก ไม่ว่าจิตดวงไหนก็ตามที่จะ เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล ต้องตัดสักกายทิฏฐิ นี้ก่อนเสมอ

80 อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ เพราะฉะน้ัน ทุกข์เกิดก็คือ ทุกขสัจจะเกิดมา พร้อมกับเหตุ ก็คือสมุทัยสัจจะ ทุกข์ดับก็คือเป็นนิโรธสัจจะ เหตุนั้นดับไปพร้อมกับความทุกข์ ก็เป็นนิโรธสัจจะอยู่ในนั้น การรู้ทุกข์ ไม่สร้างเหตุเพ่ิม แล้วก็ท�ำความดับน้ันให้แจ่มแจ้ง อยู่เสมอก็เป็นมรรค ซ่ึงเป็นการสรุปผลมาจากการเรียนรู้ ความเข้าใจในช้ันของทุกข์ท่ีเป็น สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ โดยรายละเอียดที่อธิบายตั้งแต่แรก การรู้ทุกข์ ในแต่ละคราว แต่ละคราว แต่ละคราว จึงประกอบไปด้วย องค์ความรู้เหล่านี้รับรองอยู่เสมอ ความเห็นของเราจึงเป็น ความเห็นที่แจ่มแจ้งอยู่ตลอด ไม่มีอะไรปิดบังแล้ว ปุจฉา : การรู้ทุกข์น่ีความจริงไม่ยาก เพราะว่า นอกจากเราต้องละเอียดยิบ ๆ ๆ วิสัชนา : ค�ำว่า ไม่ยาก กับแต่ก่อนท่ีเราไม่มารู้น่ีเป็น อย่างไร ปุจฉา : ใช่ วิสัชนา : อ้าว ... ใช่นี่คืออะไร ปุจฉา : แต่ก่อนไม่รู้ ก็รู้บ้าง วิสัชนา : รู้น้ัน รู้ทุกข์แบบไหน

อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 81 ปุจฉา : รู้แบบยังเป็นตัวตน วิสัชนา : การท่ีเรามาก�ำหนดรู้น้ีคือทุกข์ มันไม่มี ตัวตนอย่างไร ปุจฉา : เพราะมีสภาวะท่ีมันเกิดข้ึนมาเฉย ๆ วิสัชนา : มันไม่มีการเกิดร่วม ปุจฉา : หมายความว่า ถ้าเผื่อมันเกิดของมันเอง เป็นธรรมชาติท่ีเกิดผัสสะขึ้นมา เม่ือมีเหตุมันก็เกิดขึ้น วสิ ชั นา : น่ันคอื ผลจากการที่เราไดก้ ำ� หนดรทู้ างด้าน อรยิ สจั สง่ิ เหลา่ นเี้ ปน็ สนั ทฏิ ฐโิ ก (เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง) ในตวั เรา ไดเ้ ลย เพราะฉะนน้ั ธรรมะของพระพทุ ธเจา้ ตอ้ งเปน็ สนั ทฏิ ฐโิ ก ในตรงน้ี รู้ชัดในตนเอง การรู้ชัดในตนเองน่ีเองท�ำให้เราได้ เข้าใจแล้วว่า ธรรมะท่ีพระพุทธเจ้าตรัสนั้นเม่ือน�ำมาสู่การ ปฏิบัติ จะได้ผลในเวลานั้น วัดผลได้ วัดผลอย่างนี้ ไม่ใช่หลง เข้าข้างตัวเอง ไม่ใช่การหลงเข้าข้าง เราจะไปหลงเข้าข้าง ความทุกข์ได้อย่างไร มันหลงเข้าข้างไม่ได้ นอกเสียจากเรา ไมร่ จู้ กั ทกุ ขน์ น่ั แหละคอื หลงเขา้ ขา้ ง เขา้ ใจวา่ เรายงั มคี วามสขุ อยู่ได้กับธาตุขันธ์อันน้ี ซึ่งธาตุขันธ์ก็แค่แสดงความสุขใน บางคราว เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความสุข มันก็มีความสุข ชาวบา้ นเราใชช้ วี ติ อยกู่ บั กามสขุ ทง้ั หลาย พระพทุ ธเจา้ กต็ รสั วา่

82 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ ชาวบ้านคือผู้บริโภคกาม ก็บริโภคไป เพราะนั่นคือความสุข ในชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งไม่ผิดอะไร การทเ่ี ราตอ้ งบรโิ ภคกาม โดยการทเี่ รารจู้ กั ทกุ ข์ รเู้ หตุ ในการเกิดทุกข์ ในขณะท่ีบริโภคกามนั้น จะท�ำให้เราไม่ได้ ติดอยู่ในกามด้วยอ�ำนาจของตัณหา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กาม แต่ปัญหาอยู่ที่ตัณหา พระพุทธเจ้าให้ละตัณหา ไม่ได้ให้ ละกาม บางคนยงั ไมท่ นั เทา่ ไหรเ่ ลย จะละกามมาเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ มาท�ำลักษณะเคร่งครัดขึ้นมา เป็นอยู่อย่างสันโดษ อยู่อย่าง ผู้ไม่ครองเรอื น บางทีกไ็ ปไมร่ อดเหมือนกัน ไมป่ ฏบิ ัตใิ นฐานะ ท่ีตัวเองควรจะปฏิบัติ นางวิสาขา : อริยบุคคลผู้บริโภคกาม เราดูนางวิสาขา เป็นตัวอย่างอย่างชัดเจนเลย เป็นผู้ บริโภคกามแต่เป็นอริยบุคคลที่บริโภคกาม นางไม่เคยหยุด ในการท่ีจะแสวงหากามมาบริโภค สร้างงานสร้างการ สร้าง ทรัพย์สิน สร้างเงินทอง แต่ทั้งหมดท่ีสร้างมาน้ัน นางก็สละ ออกเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา และนางก็ไม่เคยที่จะ ส้ินสุดในการกระท�ำอย่างน้ัน พึงพอใจท่ีกระท�ำอย่างนั้น อยู่เสมอ เป็นจิตของอริยบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ 83 แตเ่ ปน็ เครอ่ื งยนื ยนั ใหเ้ ราไดท้ ราบวา่ เราไมต่ อ้ งหนอี อกจากกาม ขนาดนน้ั เรากอ็ ยกู่ บั กาม เรากบ็ รโิ ภคกามนน่ั แหละ เพราะวา่ กามใหค้ วามสขุ ใชไ่ หม แตก่ ารทก่ี ามใหค้ วามสขุ ไมไ่ ดห้ มายถงึ ว่าเราจะต้องมาหลงติดอยู่กับตรงน้ี คือเราอย่าไปสร้าง ความอยาก หมายถึง อย่าใชค้ วามอยากเพอ่ื ใหก้ ามนัน้ เปน็ ไป ตามทเี่ ราตอ้ งการ จะเปน็ ไปตามทตี่ อ้ งการกต็ าม หรอื ไมเ่ ปน็ ไป ตามที่ต้องการก็ตาม ก็ไม่ต้องไปมีปัญหาอะไรกับมัน เหมือนอย่างนางวิสาขา พยายามไปติดต่องานกับ พระเจ้าปเสนทิโกศล พอนางคาดหวังมาก คือตั้งตัณหาไว้มาก ตวั กามนนั้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ปญั หา แตต่ ณั หาทเ่ี ขาตงั้ ตง้ั ความอยากไว้ มากว่างานต้องส�ำเร็จ พอไม่ส�ำเร็จปุ๊บ ผิดหวังทันทีเลย สีหน้าเศร้าสร้อย เศร้าโศกเสียใจ เดินผ่านบุพพาราม ก็คิดว่า จะเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าสักหน่อยเผื่อใจจะเบิกบานข้ึน พระพุทธเจ้าเห็นก็ตรัสถามว่า “วิสาขาเป็นอย่างไร ท�ำไม สีหน้าเศร้าสร้อย ดูเหมือนเป็นทุกข์” นางวิสาขาก็บอกว่า “ข้าพระองค์ไปติดต่องานมา แต่งานไม่ส�ำเร็จ ไม่เป็นไปตาม ท่ีต้องการ ก็เลยรู้สึกผิดหวัง พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าก็ตรัส ว่า “การงานที่ไม่เป็นไปตามอ�ำนาจ ก็เป็นทุกข์อย่างนี้แหละ วิสาขา” ฟังธรรมแค่นี้ นางวิสาขาก็ได้สติกลับคืนมา แล้วก็ ไม่มีทุกข์แล้ว

84 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ “การงานที่ไม่เป็นไปตามอ�ำนาจ ก็เป็นทุกข์อย่างน้ี แหละ” พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ทุกขสัจจะนั่นแหละ รู้ทุกขสัจ เพราะรู้ทุกข์ปั๊บ มันหายแล้ว มันไม่ได้เป็นแล้ว เป็นผู้รู้แล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ตัณหาต่างหากเป็นผู้สร้างทุกข์ ในความหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสก็คือ เม่ือเรารู้อยู่แล้วว่า การงานที่ไม่เป็นไปตามอ�ำนาจ ก็ต้องเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ อยแู่ ลว้ จะไปทกุ ขเ์ พม่ิ จากทกุ ขท์ เ่ี กดิ ทำ� ไม ไปสรา้ งความทกุ ขเ์ พม่ิ อยากให้มันได้ การอยากให้มันได้ ก็ทุกข์อยู่อย่างน้ันแหละ แต่พอไม่อยาก ก็ไม่ไปสร้างทุกข์ใหม่ อย่างนี้ ทุกข์แล้วก็แล้ว ดับลงไป จบกันไปแต่ละคราว บางทีเรามองข้อปฏิบัติผิด เราพยายามที่จะไป เหมือนกับเป็นผู้ไม่มีกาม ผู้ไม่อยากจะแสดงออกถึงทาง ด้านกาม เหมือนกับว่ากามเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ แท้ที่จริง กามเป็นส่ิงท่ีเราต้องการ แต่ตัณหาต่างหากท่ีพระพุทธเจ้า ตรัสว่าควรท่ีจะละ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 85 การท�ำมรรคให้เจริญ คือ การรอบรู้ในอริยสัจ ๔ ฉะนั้นแล้วพระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอ จงเจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบูรณ์ เพราะพวกเธอเข้ามาสู่ ศาสนานี้ ถา้ เธอไมเ่ จรญิ ศลี สมาธิ ปญั ญา ใหบ้ รบิ รู ณ์ ไมร่ อบรู้ ในอริยสัจ ๔ เธอจะไม่ได้รับผลอะไรเลยในศาสนานี้ ชาวบ้าน เขาบริโภคกาม พวกเธอไม่ได้เป็นผู้บริโภคกาม ไม่มีความสุข จากการบริโภคกามเหล่าน้ัน เข้ามาสู่ศาสนาก็ไม่ได้มี ความสุขจากผลแห่งการปฏิบัติ ไม่สัมผัสกับรสแห่งพระธรรม ไม่สัมผัสกับความสุขในธรรมะแห่งศาสนานี้ เธอจะพลาด จากประโยชน์ทั้ง ๒ ประการ นั่นคือกามของชาวบ้าน คือประโยชน์ท่ีเขาควรจะ ได้รับ พอเข้าใจไหมข้อนี้ ทีน้ีเราไม่ทันไร จะมาท�ำท่ารังเกียจ กามอย่างน้ี มาศึกษาธรรมะ พอรู้ว่ากามมีทุกข์ มีโทษ มที กุ ขจ์ รงิ มโี ทษจรงิ แตใ่ หร้ ทู้ กุ ขใ์ นชนั้ ของอรยิ สจั จะ แตไ่ มใ่ ช่ รู้โดยการปฏิเสธมัน ให้รดู้ ว้ ยช้ันของอรยิ สจั จะวา่ มันต้องทุกข์ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าพยายามจะวางหลักการให้เราปฏิบัติ โดยทางสายกลาง แตเ่ พราะเราไมเ่ ขา้ ใจธรรมของพระพทุ ธเจา้ จึงไม่อยู่ในทางสายกลาง เราไปเกาะติดในข้อปฏิบัติต่าง ๆ

86 อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงส่งผลให้เราพลาด แล้วก็ไม่ เข้าถึงผล ปฏิเสธอย่างหนึ่ง ยินดีอีกแบบหน่ึง ซึ่งท�ำให้ จิตของเราไม่เท่ียงตรงต่อสัจจะท่ีเป็นอยู่แล้วในข้อน้ี พอมา เรมิ่ กำ� หนดรทู้ กุ ข์ เราจะเหน็ ความแตกตา่ งไดช้ ดั เจน ซงึ่ บางที เหมือนกับสงสัยว่า ... ท�ำไมท่านอาจารย์สอนแค่น้ี ไม่มีอะไร อย่างอ่ืนสอนเลยหรือ ลองไปท�ำดูใช่ไหม ลองไปท�ำดูสิ จะได้ ผลเลย จะรู้เลย จะเข้าใจเลยในทันที ไม่ใช่เพียงแค่มาคิดว่า แค่นี้หรือ อย่างน้ี การท�ำมรรคให้เจริญ ปุจฉา : โยมลองมาบ้างแล้ว ได้เห็นผลมาบ้างแล้ว แต่โยมไม่ค่อยแน่ใจว่า สมุทัย อันที่ ๒ น่ี จะต้องละอย่างไร แต่ว่าถ้าเผ่ือแค่ก�ำหนดรู้ทุกข์นี้ มันก็หยุด หายไปบ้างแล้ว วิสัชนา : ใช่ ๆ สมุทัยจะถูกละไปโดยอัตโนมัติ เป็นตามที่อาตมาอธิบายแบบเม่ือกี้น้ีว่า ทุกข์ถ้าถูกรู้ สมุทัย ก็จะถูกรู้ไปด้วย แล้วการท่ีสมุทัยถูกรู้ ก็จะละสมุทัยท่ีจะ น�ำมาสู่ภพใหม่ สมุทัยท่ีจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และเม่ือสมุทัย ถูกละ ก็เป็นนิโรธในทุก ๆ ขณะ มรรคก็จะเจริญในจิตเรา อยู่ทุก ๆ ขณะ

อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ 87 มรรคจะเจริญในจิตอยู่ทุก ๆ ขณะ เป็นเพียงแต่ว่า บางครง้ั เราไมร่ วู้ า่ การทำ� อยา่ งนคี้ อื มรรค เราจงึ ไมไ่ ดเ้ จรญิ ขนึ้ ถา้ เรารวู้ า่ นคี่ อื มรรค เรากจ็ ะเจรญิ ขน้ึ อยเู่ รอื่ ย ๆ สรา้ งความเหน็ ที่ถูกต้องอย่างนี้อยู่เร่ือย ๆ เสมอ ๆ เพราะฉะน้ัน การรู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ แล้วก็รู้วิธีปฏิบัติเพื่อที่จะ เข้าไปดับทุกข์ คือการรู้ว่ามรรคคือข้อนี้แหละ คือการรู้ทุกข์ น่ีแหละคือข้อมรรค เราย่ิงอยากจะให้มีทุกข์ทีนี้ แต่ไม่ได้เป็น ผู้สร้างทุกข์ให้กับตัวเอง แต่ทุกข์จะมีมา ก็มีมาเลย เพราะเรา จะได้ท�ำมรรค หรือเจริญมรรคขึ้น เพราะมรรคจะท�ำให้เรา ได้เห็นความจริงในช้ันของทุกขสัจจะนี้เอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้ก�ำหนดว่า น้ีทุกข์ แค่นี้ พระพทุ ธเจ้ายงั ไมไ่ ด้ตรสั ขอ้ อ่ืน แคร่ ูว้ ่า นท้ี กุ ข์ อาสวะของเขา ย่อมถูกละ ถูกคลาย ถูกดับไปโดยล�ำดับ อาสวะย่อมถึง ความส้ินไป แค่บอกว่าน้ีทุกข์น่ี อาสวะนอนเน่ืองไม่ได้แล้ว ยิ่งน้ีเหตุให้เกิดทุกข์ รู้ชัดเข้าไปอีก ก็ย่ิงท�ำลายอาสวะ น้ีคือ ความดับทุกข์ ก็ถูกท�ำลายไปอีก ก็เจริญข้ึนอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ อาสวะก็จะถูกท�ำลายในทุก ๆ คราว มันก็จะละไป หมดไป ดับไป สิ้นไป ตามก�ำลังแห่งการก�ำหนดรู้ในทุก ๆ คราว

88 อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ ปุจฉา : เวลาที่ก�ำหนดรู้ทุกข์ในขณะท่ีก�ำลังท�ำงาน อยู่อย่างหนึ่ง และรู้ว่าไม่อยากท�ำ แล้วนึกข้ึนได้ว่านี่เป็น วิภวตัณหา ซึ่งขณะนั้นก็ก�ำหนดรู้ทุกข์อยู่แล้ว เพ่ิงรู้ว่านี่เป็น วิภวตัณหา ทั้ง ๆ ท่ีควรรู้จักมันมาต้ังนานแล้ว แต่วันน้ีเพิ่งชัด ขนึ้ มาในใจวา่ ใชเ่ ลย เราจะกำ� หนดวา่ นท้ี กุ ขอ์ ยู่ หรอื จะกำ� หนด ว่า นี้สมุทัย คะ วิสัชนา : ใช่ การก�ำหนดไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ ให้มันไม่มี คือมันมีเพ่ือให้เราได้ก�ำหนดรู้มัน ก็หมายถึงว่า มันจะต้องมีจึงจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ตัณหาทั้ง ๓ ที่เกิดมา พรอ้ มกบั ความทกุ ข์ จงึ เปน็ ตณั หาทเี่ ราตอ้ งรไู้ ว้ แตต่ ณั หาใหม่ มันจะเป็นตัวถูกละ ตัวนี้มันจะไม่ได้ถูกสร้าง คือการละ ตัณหาใหม่ทุก ๆ คราวเมื่อก�ำหนดรู้ตัณหาน้ี เพราะฉะน้ัน วิภวตัณหา ถ้าเราแยบคายชัดเจน เราก็จะเห็นความละเอียด ของมัน มันจะพัฒนาเป็นความละเอียด มันเนียน ๆ อยู่ใน ตัวน้ัน เขาเรียกว่าจิตมันละเอียดขึ้นจึงไปเห็นวิภวตัณหาได้ ปุจฉา : อีก ๒ วันต่อมาก็เห็น ภวตัณหา ท่ีจริงน่าจะ รู้จักมาต้ังนานแล้ว เพราะเรียนมา วิสัชนา : รู้ตามต�ำราตามตัวหนังสือ ไม่รู้ตัวอาการจริง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook