ขใหยใ้ หาญย่ขใ้ึนจ พระไพศาล วสิ าโล
ขใหยใ้ หาญย่ขใึ้นจ พระไพศาล วสิ าโล
ค ํ า ป ร า ร ภ น�้ำพริกไม่ว่าเผ็ดร้อนเพียงใด หากเทลงแม่น้�ำ ก็จืดจางลง อย่างรวดเร็ว ฉันใด ความทุกข์ไม่ว่ารุนแรงแค่ไหน หาก สมั ผัสกับใจท่กี วา้ งใหญ่ กย็ อ่ มเบาบางลงฉนั นน้ั เราไม่อาจควบคุมหรือบงการให้มีแต่ส่ิงดีๆ เกิดข้ึน กบั เรา แมร้ ะมดั ระวงั หรอื ท�ำดที สี่ ดุ แลว้ กย็ งั มเี หตรุ า้ ยหรอื ส่ิงไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับเราอยู่น่ันเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรา ท�ำได้ก็คือ ดูแลรักษาใจให้เข้มแข็งมั่นคง รวมทั้งขยายใจ ของเราให้ใหญ่ขึ้น ประหนึ่งแม่น้�ำที่สามารถละลายน้�ำพริก หรือพิษทง้ั หลายให้เจอื จางลง ใจของเรานน้ั สามารถขยายใหญข่ นึ้ ไดห้ ากไมถ่ กู รดั รงึ ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือความยึดติดในตัวตน คนที่คิดถึง แต่ตนเอง จิตใจจะคับแคบ และมีความสุขได้ยาก ต่อเม่ือ
นึกถึงผู้อื่นอยู่เสมอ จิตใจจึงจะขยายใหญ่ และมีความสุข ได้ง่ายขึ้น เพราะเห็นความทุกข์ของตนเองเป็นเร่ืองเล็กลง ย่ิงให้ก็ย่ิงมีความสุข ท�ำให้เห็นชัดว่า ความสุขมิได้เกิดจาก การมีการเสพเท่าน้ัน ท่ีประเสริฐและยั่งยืนกว่านั้นคือ ความสขุ ที่เกดิ จากการให้และการเกื้อกลู ผอู้ นื่ นอกจากการขยายใจใหใ้ หญข่ นึ้ ดว้ ยเมตตากรณุ าแลว้ ความสุขอันประเสริฐยังเกิดได้จากการฝึกจิตให้รู้จักนิ่ง และปลอ่ ยวาง ไมว่ งิ่ พลา่ นหาความทกุ ขม์ าใสต่ วั และไมเ่ กบ็ อารมณ์อกศุ ลมาท�ำร้ายจิตใจ จะท�ำเชน่ นั้นได้ต้องอาศัยสติ คอื ความระลกึ ร ู้ เพอื่ ปลดปลอ่ ยใจจากความคดิ และอารมณ์ อกุศลทั้งหลาย สติยังช่วยให้เห็นความจริงของกายและใจ อันเป็นข้ันตอนส�ำคัญสู่การเกิดปัญญา จนเห็นว่าแท้จริง แล้วตัวกูของกูน้ันเป็นมายาภาพท่ีจิตปรุงแต่งข้ึนเอง ผลท่ี
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ้ึ น 4 ตามมาคือการคลายความยึดม่ันในตัวกูของกู จนหมดส้ิน ซ่ึงความเห็นแก่ตัว ถึงตอนนั้นจิตก็จะแผ่กว้างอย่างไร้ ขอบเขตราวท้องฟ้า เพราะไม่มีสิ่งรัดรึงอีกต่อไป เป็นภาวะ ท่ีสขุ และสงบเยน็ อยา่ งแทจ้ รงิ หนังสือเล่มเล็กน้ีประกอบด้วยค�ำบรรยายสองบท หลงั ทำ� วตั รเยน็ ทวี่ ดั ปา่ สคุ ะโต คณุ หมออจั ฉรา กลน่ิ สวุ รรณ์ แห่งชมรมกัลยาณธรรมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอน�ำไป พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน ข้าพเจ้ายินดีอนุญาต และขอ อนุโมทนาในกุศลจริยาของชมรมกัลยาณธรรม ซึ่งท�ำงาน เผยแผธ่ รรมอยา่ งจรงิ จงั ตลอดเวลาหลายปที ผ่ี า่ นมา หวงั วา่ หนงั สอื เลม่ นจี้ ะมสี ว่ นชว่ ยผอู้ า่ นในการเสรมิ สรา้ งคณุ ภาพจติ เพอื่ การเข้าถงึ ความจรงิ และความสขุ ท่ีประเสริฐยิ่ง วสิ าขปุณณมี ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ค ํ า น ํ า ข อ ง ช ม ร ม ก ั ล ย า ณ ธ ร ร ม ทุกข์ คืออริยสัจข้อแรกท่ีเราต้องรู้ ไม่มีใครหนีพ้นได้ แต่ผู้ท่ี พัฒนาจิตดีขึ้นไปตามล�ำดับ ก็ย่อมมีวิธีรับมือกับทุกข์ โดย ไมเ่ ปน็ ทกุ ขไ์ ด ้ ทา่ นผมู้ ปี ญั ญาเหลา่ นน้ั มไิ ดแ้ ตกตา่ งจากเราทา่ น ในการพบเจอส่ิงอันไม่พึงปรารถนา พลัดพรากจากส่ิงอันเป็น ที่รัก และอีกสารพัดรูปแบบของความทุกข์ แต่ท่านก็เพียงแต่ เหน็ วา่ มนั มอี ย่ ู ไมเ่ ขา้ ไปเปน็ อะไรกบั มนั ทา่ นจงึ ไมไ่ ดเ้ ดอื ดรอ้ น หรือบอบช้�ำทางใจเหมือนปุถุชนชาวโลกท่ียังไม่เข้าใจวิธีวางใจ และยงั ไม่สามารถปล่อยวางความยดึ ติดถือมนั่ ต่างๆ “ขยายใจให้ใหญ่ข้ึน” เป็นธรรมเทศนาของพระอาจารย์ ไพศาล วิสาโลเร่ืองแรกท่ีคัดสรรมาเสนอในเล่มนี้ ซ่ึงได้จุด ประกายแห่งสัมมาทิฏฐิและโยนิโสมนสิการในการรับมือกับ ปญั หาและความทกุ ขต์ า่ งๆ ทเ่ี ราทา่ นจะตอ้ งประสบเปน็ ธรรมดา ส่ิงส�ำคัญท่ีพระอาจารย์ชี้ให้เห็นคือ ส่ิงท่ีเราประสบนั้น ไม่ว่า มันจะยาก จะหนัก หรือไม่พึงประสงค์เพียงไร มันไม่ส�ำคัญ เท่ากับใจของเราวางท่าทีต่อปัญหาและอุปสรรคข้อขัดข้องน้ัน
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข้ึ น 6 อยา่ งไร ถา้ จติ ใจของเรากวา้ งขวางมอี าณาเขตขยายใหญอ่ อกไป ด้วยคุณธรรมความดีและความเข้าใจโลกและชีวิตได้มากเท่าไร อุปสรรคหรือปัญหาต่างๆ ก็เป็นเพียงแค่เกลือหยิบมือเดียวที่ ไม่อาจท�ำให้น้�ำในแม่น้�ำหรือมหาสมุทรเค็มได้ คือไม่อาจท�ำให้ ใจทฝี่ กึ ดีแลว้ เป็นทกุ ข์ได้ ยังมีธรรมเทศนาที่น่าสนใจมากอีกเร่ืองหน่ึงท่ีได้น�ำมา รวมไว้ในเล่มเดียวกันน้ี คือ “ฝึกใจให้น่ิง ฝึกจิตให้วาง” ซ่ึง พระอาจารยท์ า่ นเปรยี บเทยี บการทำ� งานของ “กาย” และ “จติ ” ไว้อย่างชัดเจนและคมคายมาก ท�ำให้เราเห็นการท�ำงานของ รูปนามได้ในภาพรวมไม่ยากเลย แม้จะไม่รู้ค�ำบาลี ศัพท์เฉพาะ ทางวชิ าการ ทกุ คนกส็ ามารถเขา้ ใจตวั ตนไดม้ ากขน้ึ เขา้ ใจปญั หา ทางออกทางแก้ ของการท�ำงานร่วมกันที่บางคร้ังขัดแย้ง ไม่ลงตัวของกายและจิต ซึ่งท่านได้แนะน�ำไว้อย่างเป็นข้ันตอน ถือเป็นงานบรรยายที่สุนทรีย์ อ่านแล้วก็อดจะอมยิ้มไม่ได้ ในความช่างเปรียบของท่าน และท�ำให้เราได้ย้อนถามตัวเองว่า เราดูแลกายและใจของเราดีพอหรอื ยงั ถึงแม้ธรรมะจะเป็นเรื่องที่ต้องค่อยศึกษาท�ำความเข้าใจ ไปตามล�ำดบั อกี ทง้ั หลายคนกก็ ลวั คำ� วา่ “ธรรมะ” เกรงวา่ เรา ยังไมม่ ีปญั ญาพอท่ีจะเปิดใจรับหรอื ดูเปน็ เร่ืองสูงเกนิ ไปส�ำหรับ เราในวัยเวลานี้ แต่ส�ำหรับท่านท่ีมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโลมาบ้างแล้ว เร่ืองธรรมะก็จะไม่ใช่ เรอ่ื งยากอกี ตอ่ ไป นบั เปน็ โชคดขี องคนไทยและชาวพทุ ธ ทเ่ี รามี
7 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล ครบู าอาจารยอ์ ยา่ งพระอาจารยท์ ส่ี ามารถถา่ ยทอดธรรมะทยี่ าก ให้กลายเป็นเรื่องง่ายและสามารถประยุกต์เข้ากับสภาพสังคม ปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน ท่านสามารถน�ำปัญหาและเร่ืองราว ตวั อยา่ งจรงิ ทีน่ า่ สนใจมาเช่อื มร้อยกบั ธรรมเปน็ เนอื้ เดียวกนั ได้ โดยเราไม่ทันรู้ตวั เลยว่าหมอก�ำลังป้อนยาให้เรา และเป็นยาที่มี สรรพคุณแก้ทุกข์ได้จรงิ ในนามชมรมกัลยาณธรรม พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติและ มีความสุขที่ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ให้เผยแผ่งาน ธรรมที่มีคุณภาพและมีเสน่ห์ชวนศึกษาของพระอาจารย์ สืบเน่ืองตลอดมา ในเดือนพฤษภาคม เป็นครบรอบเดือนเกิด ของท่านพระอาจารย์ครบ ๕ รอบอายุวัฒนมงคล พวกเรา จึงด�ำริจัดพิมพ์หนังสือน้ีเพ่ือน้อมถวายเป็นอาจริยบูชา ด้วย ความเคารพศรัทธาในปฏิปทาและจริยาวัตรของพระอาจารย์ เหนือเศียรเกล้า ขอสรรพมงคลจงบังเกิดแด่ พระมหาเถระ ผู้เป็นพระธรรมดา ผู้ไม่เป็นอะไรกับอะไร และท�ำได้ทุกอย่าง ไปได้ทุกท่ี มีเมตตาทุกเมื่อ เพ่ือประกาศธรรมแห่งความพ้น ทุกข์ ขอขอบคุณศิลปินใจบุญ “เซมเบ้” ส�ำหรับภาพวาดที่สื่อ ความด้วยจิตบริสุทธ์ิของผู้ให้ และชมรมฯ หวังว่าทุกท่านจะ ได้รับประโยชน์และยิ้มรับความทุกข์ได้ง่ายข้ึน เม่ืออ่านหนังสือ เล่มนจ้ี บลง กราบอนโุ มทนาและขอบพระคุณทุกท่าน ทพญ. อจั ฉรา กลิ่นสุวรรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม
ส า ร บ ั ญ ๑๑ ข ย า ย ใ จ ใ ห้ ใ ห ญ่ ข ้ึ น ๓๓ ฝึ ก ใ จ ใ ห้ นิ่ ง ฝึ ก จ ิ ต ใ ห้ ว า ง
ความทกุ ขใ์ นชวี ติ คนเรา เหมอื นกบั เกลอื คอื วา่ จะเค็มหรือจะจืดข้ึนอยู่กับภาชนะที่ใส่น�้ำด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเป็นน้�ำแก้วหน่ึง หรือจะเป็น ล�ำน้ำ� สายหน่ึง
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ้ึ น มีพระหนุ่มรูปหนึ่ง อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในแต่ละวันจะ มีเร่ืองท่ีขุ่นเคืองไม่พอใจอยู่เสมอ เวลานั่งสมาธิหากได้ยิน เสยี งคนพดู คยุ กนั เสยี งดงั กไ็ มพ่ อใจ บางทกี ต็ บะแตกตอ่ วา่ คนท่ีพูดคุยกัน เวลากวาดใบไม้ก็บ่นว่าใบไม้เยอะ กวาดไป ก็หงุดหงิดไป บางทีก็ต่อว่าเพ่ือนหาว่าเพ่ือนกินแรง ไม่ว่า จะท�ำอะไร ถา้ มอี ะไรทีไ่ มถ่ กู ใจกจ็ ะโมโหงา่ ย แมแ้ ตบ่ างทใี ช้ ปากกาแล้วเขียนฝืดก็ขว้างปากกาท้ิง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ อยู่ในสายตาของหลวงพอ่ ตลอด
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ขึ ้ น 12 วนั หนง่ึ หลวงพอ่ จงึ บอกใหพ้ ระหนมุ่ นไี้ ปเอาเกลอื จาก ในครวั มาหอ่ หนงึ่ และใหไ้ ปรนิ นำ�้ มาแกว้ หนงึ่ แลว้ ใหโ้ รยเกลอื ลงไปในแก้วน�้ำน้ัน สักพักหลวงพ่อก็ให้พระหนุ่มชิมน�้ำใน แกว้ นน้ั ด ู พระหนมุ่ บอกวา่ เคม็ มาก หลวงพอ่ จงึ พาเดนิ ไปที่ ล�ำน้�ำหน้าวัด แล้วให้พระหนุ่มเอาเกลือท่ีเหลือโรยลงไปใน ลำ� นำ้� นนั้ แลว้ ใหช้ มิ นำ้� นนั้ ดอู กี ท ี หลวงพอ่ ถามวา่ เปน็ อยา่ งไร พระหนุ่มบอกว่าจืด ตอบไปก็งงไปว่าหลวงพ่อต้ังใจจะบอก อะไรแกต่ น หลวงพอ่ ใหเ้ วลาพระหนมุ่ คดิ สกั พกั แตพ่ ระหนมุ่ กค็ ดิ ไม่ออก ทา่ นจงึ เฉลยวา่ ความทุกข์ในชีวติ คนเรา เหมือนกับ เกลือ คือว่าจะเค็มหรือจะจืดข้ึนอยู่กับภาชนะท่ีใส่น้�ำด้วย ขนึ้ อยกู่ บั วา่ เธอจะเปน็ นำ�้ แกว้ หนง่ึ หรอื จะเปน็ ลำ� นำ้� สายหนงึ่ แล้วให้พระหนุ่มลองพิจารณาดูว่าความทุกข์ที่ผ่านเข้ามา ในชีวิตของเราเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ ส่ิงท่ีไม่ถูกใจเรา ไมเ่ ปน็ ไปดง่ั ใจเรา จะวา่ ไปกเ็ หมอื นกบั เกลอื แตจ่ ะเคม็ หรอื จดื กข็ นึ้ อยกู่ บั ภาชนะทใี่ สน่ ำ�้ ดว้ ย ความทกุ ขก์ เ็ ชน่ กนั จะจดื หรอื จะเค็มข้นึ อยู่กับใจของเรา ว่าใจของเราเหมือนแก้วน�้ำเล็กๆ หรอื เหมอื นกบั ล�ำนำ้� ซง่ึ มขี นาดตา่ งกันมาก
13 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตามหากเรามีความ ขุ่นเคืองหรือมีความทุกข์มากนั้นแสดงว่าใจเราเล็ก ใจเรา แคบเหมือนกับแก้วน�้ำหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าสิ่งท่ีมา กระทบเรา หรือเกิดข้ึนกับเราจะท�ำให้เราเจ็บปวดหรือไม่ ขนุ่ เคอื งหรอื ไมน่ น้ั ขนึ้ อยทู่ ใี่ จเราดว้ ย ไมไ่ ดข้ นึ้ อยกู่ บั ทสี่ งิ่ ที่ มากระทบเทา่ นนั้ ใบไมจ้ ะเยอะ เพอื่ นรว่ มงานจะไมน่ า่ รกั หรอื ดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ แต่มันท�ำให้เราทุกข์ไม่ได้ หาก ใจเราใหญเ่ หมอื นแมน่ ำ้� หรอื ลำ� นำ้� พดู งา่ ยๆ วา่ สขุ หรอื ทกุ ข์ นั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพจิตของเรา ไม่ได้ข้ึนอยู่กับว่าส่ิงท่ีมา กระทบหรือเกิดขึ้นกับเราน้ันเป็นอย่างไร ใจท่ีเล็กกับใจที่ กว้างใหญ่นั้น ส่งผลให้เราเป็นคนทุกข์ง่ายหรือไม่ คนที่ ใจแคบใจเลก็ คดิ ถงึ แตต่ วั เอง เมอ่ื เจออะไรมากระทบกท็ กุ ข์ ไปหมด โกรธ ไม่พอใจไปหมด แต่คนท่ีใจกว้างใหญ่ แม้ จะมเี ร่ืองรา้ ยเร่ืองใหญ่เกดิ ขนึ้ กร็ สู้ กึ ปกติ เฉยๆ ได้ มีผู้หญิงคนหน่ึงเล่าว่า บ่ายวันหนึ่งมีรถแท๊กซ่ีมา จอดอยู่หน้าบ้านของเธอ ซ่ึงอยู่ในซอย พอเห็นรถแท็กซ่ี มาจอดหนา้ บา้ น เธอรสู้ ึกไมพ่ อใจขนึ้ มาทันท ี รู้สึกว่าหากมี รถในบ้านจะเขา้ จะออกจะท�ำอย่างไร พอมองไปท่ีรม่ ไม้กย็ ่งิ
15 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล ไม่พอใจว่านั่นเป็นต้นไม้ที่พ่อปลูกไว้เพื่อให้ร่มเงาหน้าบ้าน ไม่ใช่ท่ีท่ีจะให้ใครมาจอดเพื่ออาศัยร่มเงา แต่สักพักเธอ ก็ได้สติ เพราะมาคิดทบทวนใหม่ว่าตอนน้ีเราก็ยังไม่มีธุระ จะออกจากบ้าน ถนนหรือซอยน้ันก็เป็นของสาธารณะมี ขนาดกวา้ งพอสมควร ถา้ จะเขา้ -ออก กค็ งจะไมล่ ำ� บาก เธอ คดิ ดว้ ยวา่ คนขบั คงเหนอื่ ย อากาศรอ้ น พอเหน็ รม่ เงาจงึ มา จอดพกั พอเธอนกึ ถงึ คนขบั แทก็ ซค่ี นนน้ั ทคี่ งจะรอ้ น เพราะ อากาศอบอา้ ว และไดม้ าอาศยั รม่ เงาหนา้ บา้ นของเธอเปน็ ท่ี ดับร้อน เธอก็รู้สึกดีข้ึน และย่ิงรู้สึกดีขึ้นอีกเม่ือเห็นคนขับ แท๊กซ่ีเอาข้าวมากิน เธอดีใจว่าต้นไม้ที่พ่อปลูกได้ให้ร่มเงา แกค่ นทร่ี อ้ น คนขบั แทก๊ ซอ่ี าจจะเหนอ่ื ย ยงั ไมไ่ ดก้ นิ ขา้ วเลย ตงั้ แตเ่ ชา้ ไดม้ าอาศยั รม่ เงาของตน้ ไมท้ พี่ อ่ เธอปลกู ไว ้ ไดใ้ ช้ ประโยชน ์ ดับทุกข์ เธอจงึ ดีใจ ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปจากทีแรกที่เธอรู้สึก ไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าน่ีเป็นบ้านของฉัน หน้าบ้านของฉัน ซงึ่ ทจี่ รงิ เปน็ ถนนสาธารณะ แตพ่ อไปนกึ เองวา่ ถนนหนา้ บา้ น นี้เป็นของฉันก็เลยเกิดความไม่พอใจทันทีท่ีมีรถแท๊กซ่ีมา จอด และยิ่งไม่พอใจเมื่อนึกว่าต้นไม้ของพ่อฉัน ปลูกไว้
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ึ้ น 16 เพ่ือให้ร่มเงากับลูกๆ แต่พอเธอกลับมาคิดอีกมุมหน่ึงมอง ถึงความรู้สึกของคนขับแท็กซี่ว่า เขาคงร้อน เหนื่อย หิว ความรสู้ กึ ของเธอกเ็ ปลย่ี นไป เกดิ ความเหน็ ใจความเมตตา ขน้ึ มาและสงิ่ ทตี่ ามมาคอื ความสขุ ความดใี จทเี่ ขาไดด้ บั ทกุ ข์ โดยอาศัยร่มเงาหน้าบ้านของเธอ คนบางคนเม่ือเจอเหตุ การณ์นี้ จะโมโหไม่พอใจ อาจจะเดินไปต่อว่าคนขับแท๊กซ่ี แตค่ นบางคนกลบั รสู้ กึ ดใี จ อนั นเี้ ปน็ เพราะคณุ ภาพจติ หรอื มุมมอง เธอดูอยู่สักพัก คนขับแท๊กซ่ีกินข้าวเสร็จและขับรถ ออกไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นท่ีหน้าบ้านของเธอ รถจะเข้าจะ ออกก็ไม่มีปัญหา เธอจึงคิดได้ว่าเม่ือสักครู่เรากังวลไปเอง ว่าหากรถจะเข้าจะออกจะท�ำอย่างไร ท่ีจริงเป็นการกังวลไป ล่วงหน้า เพราะแท๊กซ่ีอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ไปแล้ว เธอกังวล เพราะไปคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดข้ึน คนเราก็ทุกข์เพราะเหตุนี้ เหมือนกัน อะไรบางอย่างยังไม่เกิดขึ้นเลยแต่กังวลไปล่วง หน้าแล้ว เป็นเพราะว่าใจไปอยู่กับอนาคต มองข้ามปัจจุบัน ไป
17 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล คนเราจะทุกข์หรือสุข อยู่ท่ีมุมมอง ซ่ึงมีส่วนท�ำให ้ ใจเราเล็กหรือแคบ หรือท�ำให้ใจเรากว้างใหญ่ ถ้าเราคิดถึง แตต่ วั เอง ทำ� ใหใ้ จเราคบั แคบ เชน่ คดิ วา่ บา้ นของฉนั ถนน ของฉัน ต้นไม้ของพ่อฉัน แต่ถ้าเราคิดถึงคนอ่ืน ก็ท�ำให้ ใจเรากว้างข้ึน ในทางกลับกัน ถ้าใจเราก็แคบ เราก็คิดถึง ตวั เองอยเู่ สมอ แตถ่ า้ ใจเรากวา้ งเราจะคดิ ถงึ คนอนื่ ๆ ไดง้ า่ ย เวลาเจอเหตุการณ์อะไรแล้วทุกข์ ลองนกึ ดูวา่ เป็นเพราะเรา คิดถึงแต่ตัวเองหรือเปล่า หรือเอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง คนทมี่ คี วามยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั กขู องก ู กจ็ ะทกุ ขไ์ ดง้ า่ ย เมอ่ื มีคนพูดกับเราแม้เพียงให้ค�ำแนะน�ำ เราก็ไม่พอใจเสียแล้ว หากวา่ เรามตี วั กขู องกสู งู หรอื มอี ตั ตาแรง จะคดิ วา่ มาแนะนำ� ฉันท�ำไม เธอล่ะท�ำดีแค่ไหน ค�ำแนะน�ำของเพ่ือนกลายเป็น สิ่งท่ีมากระแทกอัตตา เพราะเรารู้สึกว่าท�ำให้เราขายหน้า เสียหน้า หรือแสดงว่าเรายังดีไม่พอ ยังมีข้อบกพร่อง ตัวอัตตานี้ไม่ชอบให้มีส่ิงใดมาเตือนว่าฉันยังมีข้อบกพร่อง ยังไมด่ พี อ แต่ถ้าคนท่ีรู้ทันอัตตา หรือคนที่มีอัตตาน้อย เขาจะ ขอบคณุ ทมี่ คี นมาทกั ทว้ งแนะนำ� เพราะทำ� ใหเ้ ขาเหน็ หนทาง
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ึ้ น 18 ในการปรับปรุงงานให้ดีขึ้น ดังนั้นคนท่ีมีอัตตาตัวตนน้อย เวลามีคนมาแนะนำ� ทกั ทว้ งหรือต่อวา่ จะไมไ่ ดน้ ึกวา่ เขามา ว่ากู ท�ำให้กูเสียหน้า แต่จะพิจารณาว่าสิ่งท่ีคนพูดมาถูก หรือไม่ จริงหรือไม่ มีประโยชน์หรือเปล่า การมองแบบน้ี ท�ำให้ใจไม่ทุกข์ และได้ประโยชน์ด้วย การมองแบบน้ีทาง พทุ ธเรยี กวา่ ธรรมาธปิ ไตย ไมไ่ ดห้ มายถงึ การปกครองแบบ ธรรมะแต่หมายถึงคนท่ีตัดสินใจโดยเอาธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะในทนี่ ห้ี มายถงึ ความจรงิ ความถกู ตอ้ ง ความด ี เชน่ เม่ือมีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ ต่อว่า ก็น�ำมาพิจารณาว่าท่ีเขา พูดมาน้ันถูกหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ เรียกว่าเอาธรรมะ เปน็ ใหญ ่ ความถกู ตอ้ งเปน็ ใหญ ่ ความจรงิ เปน็ ใหญ่ แต่หากคนท่ีถูกต่อว่าด่าทอ แล้วคิดแต่ว่าเขาว่ากู เขาหกั หนา้ ก ู นเี่ รยี กวา่ เอาตวั ตนเปน็ ใหญห่ รอื อตั ตาธปิ ไตย พอคดิ แบบนแ้ี ลว้ กจ็ ะมองไมเ่ หน็ อะไรนอกจากความรสู้ กึ ทว่ี า่ เขาว่ากู กลายเป็นจิตท่ีคับแคบ อัตตาเป็นเหมือนกรงท ่ี ขงั จติ เอาไว ้ ไมส่ ามารถจะมองอะไรพน้ จมกู ของตวั เองได ้ แต ่ ถ้ามีธรรมาธิปไตยหรือเอาธรรมะเป็นใหญ่ ใจก็จะแผ่กว้าง มองพิจารณาถงึ ความจรงิ ได้
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ้ึ น 20 อนั นไี้ มไ่ ดข้ ดั แยง้ กบั สงิ่ ทพี่ ดู ไวเ้ มอื่ วนั กอ่ นๆ วา่ คนเรา ตอ้ งรจู้ กั หมนั่ มองตน อยา่ สง่ จติ ออกนอก หมนั่ มองตนไมไ่ ด้ หมายความวา่ คดิ ถงึ แตต่ นเองหรอื เอาตนเองเปน็ ศนู ยก์ ลาง ทจี่ รงิ ถา้ หมนั่ มองตนดๆี จะทำ� ใหอ้ ตั ตาตวั ตนมาครอบงำ� จติ ไม่ได้ ท�ำให้ความเห็นแก่ตัวน้อยลง จิตก็แผ่กว้างข้ึน และ สามารถมองเหน็ หรอื นกึ ถงึ คนอนื่ มองจากมมุ ของคนอน่ื ได้ พอเรามองจากมุมของคนอื่นหรือนึกถึงคนอื่น ท�ำให้เรามี ความสขุ ไดง้ า่ ย มองแบบนบ้ี อ่ ยๆ ทำ� ใหอ้ ตั ตาตวั ตนเราเลก็ ลง เป็นการช่วยดัดนิสัยของเราได้ด้วย คนบางคนแม้จะ นกึ ถงึ แตต่ วั เอง แตจ่ ติ ใจกส็ ามารถแผก่ วา้ งออกไปได้ หาก รู้จักฝึกฝนตนเช่นการให้ทาน ถ้าให้ทานถูก ให้ทานเป็นจะ ชว่ ยทำ� ใหม้ คี วามเหน็ แกต่ วั นอ้ ยลง นกึ ถงึ ผอู้ นื่ มากขน้ึ เพราะ เวลาให้ทาน หากเราน้อมใจนึกถึงประโยชน์ของผู้อ่ืนว่าคน ที่ได้รับของจากเราจะมีความสุข คลายจากความทุกข์ พอ เราคิดแบบน้ีบ่อยๆ ท�ำให้จิตใจเรามีเมตตากรุณามากข้ึน ทานเป็นเครื่องฝึกอย่างหน่ึง ท�ำให้ความเห็นแก่ตัวน้อยลง และตรงนแี้ หละทเ่ี ป็นบุญ
21 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล คนไปเขา้ ใจวา่ การใหท้ าน ถา้ ทำ� บอ่ ยๆ จะไดบ้ ญุ คอื โชคลาภ ความรำ่� รวย สงิ่ เหลา่ นน้ั ไมส่ ำ� คญั เทา่ กบั การทชี่ ว่ ย ลดอตั ตาตวั ตน ความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ตรงนเ้ี ปน็ บญุ ทป่ี ระเสรฐิ กวา่ เพราะถา้ มบี ญุ แบบน ี้ เวลาเจออะไรมากระทบจะไมโ่ กรธ ง่าย ขัดเคืองง่าย ในขณะที่บางคนท่ีได้โชคได้ลาภแล้ว มคี วามเหน็ แกต่ วั มากขนึ้ ความยดึ ตดิ ถอื มน่ั มากขนึ้ เสยี นดิ เสียหน่อยก็ทุกข์ หรือถึงแม้ไม่เสียก็ทุกข์ เพราะรู้สึกว่ายัง ไดน้ อ้ ยไป อยากไดม้ าก อยากไดอ้ กี ซง่ึ ท�ำใหจ้ ติ ใจรมุ่ รอ้ น ตรงข้ามกับคนท่ีมีความยึดม่ันถือม่ันน้อยลง และพอใจใน สิ่งท่ีเขาได้มาได้ง่ายขึ้น เวลาเขาได้ แม้คนอื่นจะมองว่าเขา ได้น้อย แต่เขากลับมองว่าได้แค่นี้ก็มากแล้ว เพราะคนอ่ืน ไดน้ อ้ ยกวา่ ไดอ้ ะไรมากจ็ ะรสู้ กึ พอใจ โชคด ี เพราะมองเหน็ คนอ่นื ทไี่ ด้น้อยกว่า เราก็จะร้สู ึกเลยว่าเราโชคดี พอใจแลว้ แตน่ เ่ี ราใหท้ านกนั ไมเ่ ปน็ ใหท้ านแลว้ อยากไดโ้ นน่ นี่ เป็นผลตอบแทน ถวายเงินวัด ก็อยากถูกหวยรวยเบอร์ ถวายสบิ อยากไดร้ อ้ ย ถวายรอ้ ยอยากไดล้ า้ น อยา่ งนคี้ วาม เห็นแก่ตัวก็มากข้ึน จิตก็ยิ่งคับแคบลง จุดมุ่งหมายของ การให้ทาน เพื่อช่วยเหลือเก้ือกูลผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพระ
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ึ้ น 22 คนยากไร้ หรือสัตว์เดรัจฉาน ก็ควรได้รับประโยชน์จาก ทานของเรา และขณะเดียวกันก็ลดความยึดมั่นถือมั่นใน ส่งิ ของน้ัน รวมทงั้ ลดความยึดมั่นถือมัน่ ในตนเองดว้ ย พระสารบี ตุ รเคยกลา่ ววา่ บณั ฑติ เมอ่ื ใหท้ านแลว้ ยอ่ ม ไมห่ วังอปุ ธสิ ุขหรอื ภพใหม ่ อุปธสิ ุขหมายถึงโลกยี สุข สุขที่ เกิดจากการเสพ เกิดจากการครอบครอง หรือการได้รับ กามสุข อุปธิหมายถึงกิเลสหรือโลกียสุข ส่วนภพใหม่ หมายความว่าท�ำบุญแล้วก็อยากไปเกิดเป็นเทวดา เศรษฐี คนสวย คนหล่อในชาติหน้า เหล่านี้ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิต เมอ่ื ใหท้ าน พระสารบี ตุ รยงั กลา่ วตอ่ ไปวา่ บณั ฑติ เมอื่ ใหท้ าน แลว้ กม็ ุง่ ก�ำจัดกิเลสและการไมเ่ กดิ ภพ ซง่ึ หมายถงึ นพิ พาน นน่ั เอง เพราะรวู้ า่ การไปเกดิ แมเ้ ปน็ เทวดา แมเ้ ปน็ พระเจา้ จักรพรรดิก็ยงั ทุกข์ เคยมีอุบาสกสมัยพุทธกาลท่านหนึ่งเป็นคนท่ีใฝ่ใน การทำ� บญุ มากและเขา้ ถงึ ธรรม เมอื่ ใกลจ้ ะตาย มเี ทวดามา บอกว่าใหต้ ั้งจติ อธิษฐานว่าตายแลว้ จะไดไ้ ปเกิดเป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ปรากฏว่าคหบดีท่านน้ีปฏิเสธ เพราะรู้ว่าเป็น
23 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล พระเจ้าจักรพรรดิก็ยังทุกข์และไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ย่อมต้อง มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา ต่อให้เป็นจักรพรรดิสักวัน กต็ อ้ งเปน็ อยา่ งอื่นแทนเพราะไมม่ อี ะไรจรี งั ทา่ นนอ้ มจติ มงุ่ นิพพาน เพราะประเสริฐกว่าการเป็นอะไรท้ังสิ้นแม้กระทั่ง จกั รพรรด ิ การจะนพิ พานไดน้ นั้ กต็ อ้ งวางทงั้ หมด แมก้ ระทงั่ ความยดึ มน่ั ตวั กขู องก ู เรยี กวา่ อตั ตวาทปุ าทาน คอื อปุ าทาน ในความเชือ่ วา่ มอี ัตตา อัตตา เป็นเหมอื นกรงที่ขงั จิตเอาไว ้ ไมส่ ามารถจะมองอะไรพ้นจมกู ของตัวเองได้ แตถ่ ้ามีธรรมาธปิ ไตยหรอื เอาธรรมะเปน็ ใหญ่ ใจก็จะแผก่ ว้างมองพจิ ารณาถึงความจริงได้
25 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล อัตตาท่ีจริงแล้วไม่มี แต่มนุษย์เราไปหลงเชื่อว่ามี ดังน้ันส่ิงที่เราควรท�ำไม่ใช่การละอัตตา แต่ละความยึดม่ัน ในอัตตา หรือละความยึดมั่นในความเช่ือว่ามีอัตตา ดังน้ัน การท่ีเราพูดว่าละอัตตา ท่ีจริงยังไม่ค่อยถูกต้อง แต่พูด เช่นน้ันท�ำให้เข้าใจง่าย เพราะอะไรท่ีไม่มีต้ังแต่แรก ตัวตน ไม่มีต้ังแต่แรก แล้วจะละได้อย่างไร แต่ว่าเราต้องละความ ยดึ ม่นั หรือความเชอื่ วา่ มอี ัตตา วตั ถปุ ระสงคข์ องการใหท้ านคอื เพอ่ื กำ� จดั กเิ ลส ความ เหน็ แกต่ วั ใหน้ อ้ ยลง หรอื คดิ ถงึ ผอู้ น่ื มากขน้ึ มเี มตตากรณุ า นอกจากการใหท้ านใหส้ งิ่ ของแลว้ การสละเวลาไปชว่ ยเหลอื ผู้อ่ืนก็เรียกว่าเป็นทานก็ได้ แต่ทางพุทธศาสนาเรียกว่าศีล ศลี ไมไ่ ดห้ มายถงึ การไมท่ ำ� ชวั่ แตห่ มายถงึ การทำ� ความดดี ว้ ย การสอนศีลหา้ ในเมืองไทย เราเนน้ แตก่ ารไมท่ �ำ เช่นศีลขอ้ ทห่ี นง่ึ ไมฆ่ า่ สตั ว ์ แตท่ จี่ รงิ แลว้ ศลี ขอ้ ทหี่ นงึ่ ยงั รวมถงึ ความ มีเมตตากรุณาเอ้ือเฟื้อต่อสัตว์อื่นด้วย ศีลข้อที่สองการ ไม่ลักขโมยนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหน่ึงด้านบวกคือ การมีสัมมาอาชีวะ ศีลข้อที่สามการไม่ประพฤติผิดในกาม น้ันเป็นด้านลบ ต้องมีด้านบวกตามมาคือความพอใจใน
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ึ้ น 26 คู่ครองของตัวด้วย คือถ้าไม่พอใจแล้ว จะยากมากในการ รกั ษาศลี ขอ้ ทสี่ ามไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เพราะถา้ ยงั อยากไดค้ นนน้ั คนน ี้ ในทสี่ ดุ ก็ต้องไปละเมิดของรกั คนรักของคนอ่นื เรยี ก ว่าผิดประเวณี ศีลข้อท่ีส่ีการไม่พูดปดเป็นคร่ึงหน่ึงของศีล อกี ครงึ่ หนงึ่ เปน็ ดา้ นบวกคอื การพดู คำ� สตั ย ์ หรอื การมคี วาม ซอ่ื สตั ย์ สตั ย์จรงิ ศลี ขอ้ ทห่ี า้ การไมด่ มื่ นำ�้ เมา อกี ครงึ่ หนงึ่ ของศีลข้อน้ีคือการมีสติสัมปะชัญญะ ด้านบวกของศีล ท้ังห้านี้บางคร้ังเราเรียกว่าเบญจธรรม เราคงคุ้นกับค�ำว่า เบญจศีล-เบญจธรรม แต่ท่ีจริงแล้วเบญจธรรมก็เป็น ส่วนหน่ึงของเบญจศีล เพราะการท�ำความดี ไม่ว่าจะ เป็นความเมตตากรุณาเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ การมีสัมมาอาชีวะ ความพอใจในคคู่ รองของตวั ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ หรอื การ มสี ตนิ ถ้ี อื วา่ สว่ นหน่ึงของศีล เม่ือเราพูดถึงการเสียสละเวลาเพ่ือช่วยเหลือผู้อื่นซ่ึง จดั วา่ เปน็ ศลี ได ้ เมอื่ เราทำ� แลว้ ความเหน็ แกต่ วั กจ็ ะนอ้ ยลง ทั้งๆ ท่ีเดิมทีอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่ แต่ไปท�ำเพราะ คนอื่นชวน ขัดไม่ได้ แต่พอท�ำไปแล้วจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มากขึ้น มีนักธุรกิจคนหนึ่งค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองมาก
27 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล ด่าว่าลูกน้องเป็นประจ�ำโดยใช้ถ้อยค�ำท่ีรุนแรง เจออะไร ไม่พอใจก็ตวาดใส่ทันที มีช่วงหน่ึงเขาไปเป็นจิตอาสาให้กับ เด็กที่ถูกทอดท้ิงท่ีบ้านปากเกร็ด อายุตั้งแต่ ๓ เดือนไป จนถงึ ๙ ขวบ บางคนโชคดมี พี อ่ แมบ่ ญุ ธรรมมารบั ไปเลยี้ ง ตงั้ แตเ่ ดก็ บางคนกวา่ จะมคี นรบั ไปเลย้ี งกโ็ ตอาย ุ ๗-๘ ขวบ จงึ ตอ้ งการจติ อาสาไปชว่ ยดแู ลเพราะมเี จา้ หนา้ ทไ่ี มเ่ พยี งพอ ภรรยาของนกั ธรุ กจิ คนนไ้ี ปเปน็ จติ อาสาเพราะมเี วลาวา่ ง ก็ ชวนสามีไปด้วย ตอนแรกสามีก็ไม่อยากไปเพราะใส่ใจเรอื่ ง ธรุ กจิ มากกวา่ เปน็ หว่ งงานมากกวา่ แตเ่ สาร-์ อาทติ ยพ์ อมี เวลาว่างบ้างจึงลองไปพร้อมกับภรรยา หลังจากไปได้ ตอ่ เนอื่ งไมก่ เี่ ดอื น นสิ ยั ใจคอของเขาเปลยี่ น ลกู นอ้ งบอกวา่ เจ้านายใจเย็นมากข้ึน พูดดีกว่าเดิม นักธุรกิจคนน้ีพบว่า นสิ ยั ตนเองเปลย่ี นไปเพราะตอ้ งมาดแู ลเดก็ การดแู ลเดก็ เลก็ จะมาเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ ต้องนึกถึงเด็กด้วย เวลาเด็ก งอแงตอ้ งอดกล้ันเพราะเด็กยังเล็กหรือมีภูมิหลังไม่ดี เช่น ถูกพ่อแม่ท้ิงขาดความอบอุ่น ก็ต้องเข้มแข็งอดทน พูดดี กบั เดก็ การทำ� เชน่ น ้ี พยายามทำ� ดกี บั เดก็ อดทน อดกลน้ั เมตตาต่อเด็กท�ำให้นิสัยของเขาเปลี่ยน ท�ำให้ใจเย็น มากขน้ึ คิดถึงคนอ่ืนมากขึ้น ไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ส่งผล
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ขึ้ น 28 ต่อการท�ำงาน พอลูกน้องท�ำงานไม่ถูกใจ เขาก็นึกถึงมุม ลูกน้องมากขึ้น เช่นอาจมีปัญหาหรือข้อจ�ำกัดต่างๆ กลาย เป็นว่าจากเดิมที่ชอบด่าว่าลูกน้องก็ใจเย็นมากขึ้น เดิมมอง แต่มุมของตัวเองก็มองมุมของคนอื่นมากขึ้น ใจก็ใหญ่ข้ึน กวา้ งขนึ้ สง่ิ ทต่ี ามมาคอื ความสุข เม่ือกอ่ นมอี ะไรมากระทบ นดิ หนอ่ ย ลกู นอ้ งทำ� ไมถ่ กู ใจกโ็ กรธ ตอนหลงั เจอเรอ่ื งราว หนกั ๆ ก็ไม่ทุกข์รอ้ นมาก ตง้ั สติได้ไวขนึ้ ให้เราตระหนักไว้ว่า ความทุกข์ของคนเราไม่ได้เกิด จากว่ามีอะไรมากระทบเรา หรือมีเหตุการณ์ใดเกิดข้ึนกับ เราเท่านั้นอันน้ันเป็นรอง แต่สิ่งส�ำคัญคือคุณภาพจิตของ เรา มมุ มองของเราดว้ ย คนสว่ นใหญเ่ วลาทุกข ์ โดยเฉพาะ ทกุ ขใ์ จกจ็ ะไปโทษสง่ิ ตา่ งๆ รอบตวั โทษคคู่ รอง เพอ่ื นรว่ ม งาน นักการเมือง ภาวะเศรษฐกิจ แต่ลืมมองตัวเองว่าใจ ของตัวเองกม็ ีส่วน ถา้ ใจเลก็ ใจแคบหรือคิดถงึ แตต่ วั เองแค่ เรื่องนิดๆ หน่อยๆ ก็ท�ำให้ทุกข์ได้ แต่ถ้าใจที่กว้างใหญ่ มคี วามเหน็ แกต่ วั นอ้ ย ยดึ ตดิ ถอื มนั่ นอ้ ย แมเ้ จอเรอื่ งใหญๆ่ มากระทบกย็ งั สงบได ้ ถา้ เรามใี จทใ่ี หญ ่ นกึ ถงึ คนอนื่ เราจะ โกรธยาก อจิ ฉานอ้ ยลง
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข้ ึ น 30 หลายคนพอพบว่าเพ่ือนได้โบนัสหรือเงินเดือน มากกว่าตัวเอง หรือได้รับรางวัล เลื่อนขั้นมากกว่าตัวเอง ก็ไม่พอใจ ไม่ใช่แค่ไม่พอใจเจ้านาย แต่ไม่พอใจเพื่อนด้วย เพราะความอิจฉา บางทีก็ค่อนแคะว่าเขาท�ำงานน้อยกว่า กลายเป็นเกลียดชังหรือหาข้อต�ำหนิ แต่ถ้าหากมองในมุม ของเขาบา้ ง หรอื เปน็ คนทรี่ จู้ กั มอง โดยนกึ ถงึ คนอน่ื กอ็ าจ จะคิดว่าเขามีความจ�ำเป็นต้องใช้เงิน เช่นพ่อแม่ป่วย ลูก ก�ำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินเยอะ หรือว่าเขา ก�ำลังผ่อนบ้าน เวลามองจากมุมของเขาว่าเขาจ�ำเป็นต้อง ใช้เงิน ดังน้ันการที่เขาได้โบนัสเงินเดือน เป็นเรื่องน่ายินดี จะไดม้ คี วามเดอื ดรอ้ นเรอื่ งเงนิ นอ้ ยลง เมอื่ นกึ ถงึ มมุ ของเขา ประโยชนท์ เ่ี ขาจะไดร้ บั กจ็ ะเหน็ ใจเขา ความอจิ ฉากจ็ ะนอ้ ยลง ซงึ่ สง่ ผลดกี บั ตวั เราเอง เพราะใจเราสงบเยน็ ความสมั พนั ธ์ ของเรากบั เขากจ็ ะดขี น้ึ เพราะเรามมี ทุ ติ าจติ ซง่ี เปน็ สง่ิ สำ� คญั ท่ปี ัจจบุ นั ท�ำได้ยาก นอกจากเมตตากรุณาแล้ว เราต้องมีมุทิตาจิตด้วย เมตตา นนั้ ควรใชใ้ นยามทผ่ี อู้ น่ื อยใู่ นสภาพปกต ิ เราปรารถนา ให้เขาได้พบกับความสุขความเจริญ เวลาเขาทุกข์เราก็มี
31 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล กรณุ า คอื อยากชว่ ยใหเ้ ขาหลดุ จากทกุ ข ์ เวลาเขาไดด้ เี รากม็ ี มุทิตา ยินดีในความดีของเขา เวลาเขามีความทุกข์และเรา ช่วยเต็มที่แล้วยังช่วยไม่ได้ และหากพยายามช่วยต่อไป จะเกนิ เลย เรากต็ อ้ งมอี เุ บกขา เชน่ กรณขี องลกู ถา้ เราชว่ ย ถึงจุดหน่ึงแล้วต้องหยุดเพราะอาจจะเป็นความผิดพลาด ได ้ เชน่ การท�ำการบา้ น หรอื ลกู ลมื สมดุ ไวท้ โี่ รงเรยี น ครจู ะ ลงโทษ บางทแี มร่ กั ลกู มากกโ็ กหกแกต้ า่ งใหล้ กู วา่ ลกู ท�ำการ บ้านแล้วแต่ลืมไว้ท่ีโรงเรียน หรือโกหกว่าลูกป่วยท�ำให้ลูก รอดตัว แต่การท�ำเช่นน้ีกลายเป็นผลเสียกับลูก เพราะลูก ควรจะรับผดิ ชอบต่อการกระท�ำที่ไม่ถูกต้องของตนเอง แต่ พอไปแก้ต่างให้ลูกพ้นผิดก็จริงแต่ท�ำให้ลูกเสียนิสัย หรือ เสยี คน ดงั นน้ั สง่ิ ทค่ี วรทำ� คอื อเุ บกขาหรอื วางเฉย ใหล้ กู รบั ผิดชอบต่อการกระท�ำของเขา รวมถึงการท่ีเราไปช่วยใคร กต็ าม เมอื่ ชว่ ยเตม็ ทแ่ี ลว้ กต็ อ้ งอเุ บกขา แตถ่ า้ เขาไดด้ เี ราก็ ต้องมีมุทิตา ส่ิงเหล่านี้ช่วยฝึกใจเราให้มีความทุกข์น้อยลง ไมว่ ่ามีอะไรมากระทบ เรากต็ อ้ งตง้ั สติมจี ติ ปกตใิ ห้ได้
ฝึ ก ใ จ ใ ห ้ น่ิ ง ฝึ ก จ ิ ต ใ ห ้ ว า ง ชีวิตคนเราประกอบด้วยกายกับใจ อันน้ีเป็นความจริงท่ีรู้ กันอยู่ แต่ถ้ามองให้ดี กายกับใจนับว่าเป็นการรวมตัวที่ น่าพิศวง เพราะว่ากายกับใจมีลักษณะตรงข้ามกัน เหมือน กอ้ นหนิ กบั อากาศ เหมอื นไฟกบั นำ้� ซงึ่ มคี ณุ สมบตั ติ รงขา้ ม กัน เช่น กายมีลักษณะเป็นดุ้นเป็นก้อน มีน�้ำหนัก ชั่งตวง วัดได้ ส่วนใจน้ันไม่มีน้�ำหนัก ไม่กินพ้ืนท่ี พยายามช่ังตวง วัดอย่างไรก็ท�ำไม่ได้ แม้แต่สิ่งท่ีจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น อย่าง ไฟฟ้า ความร้อน หรือเสียงก็ยังวัดได้ แต่ว่าใจนี้ ท�ำอยา่ งไรกช็ ั่งตวงวดั ไมไ่ ด้
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข้ ึ น 34 รา่ งกายเปน็ สงิ่ ทเี่ คลอ่ื นไหวไดช้ า้ เขยอ้ื นขยบั ไปไดท้ ี ละน้อย แม้จะว่ิงอย่างเร็วก็ยังเคล่ือนตัวได้แค่ทีละก้าว แต่ ใจสามารถเดนิ ทางหรอื แลน่ ไปไดร้ วดเรว็ มาก แคก่ ะพรบิ ตา ใจกไ็ ปถงึ สดุ ขอบฟา้ ไปถงึ กน้ บงึ้ ของมหาสมทุ ร ไมว่ า่ จะนกึ ไปไกลแคไ่ หนกส็ ำ� เรจ็ ไดด้ ว้ ยใจ ระยะเวลาและระยะทางไมใ่ ช่ ปญั หาของใจ ในขณะทกี่ ายเคลอ่ื นไหวไปไดท้ ลี ะกา้ วเทา่ นนั้ กายชอบอยนู่ ง่ิ ๆ ถา้ ไมต่ อ้ งท�ำอะไรเลยกจ็ ะชอบมาก ถา้ ไมต่ อ้ งออกไปทำ� มาหากนิ กอ็ ยากจะนงั่ เลน่ นอนเลน่ อยู่ เฉยๆ เป็นวันๆ ยิ่งสมัยนี้มีสิ่งอ�ำนวยให้กายท�ำเช่นนั้นได้ จะกินอะไรก็ไม่ต้องเดินไปที่ร้านหรือแม้แต่เดินไปที่ครัว เพราะเด๋ียวน้ีมีดีลิเวอร่ีมาส่ง นั่งอยู่กับบ้าน อยู่หน้าจอ โทรทศั นห์ รอื คอมพวิ เตอร ์ กม็ กี นิ จนอมิ่ หนำ� สำ� ราญ เพราะ มีคนเอาอาหารมาสง่ ถึงที่ แต่ใจไม่ชอบอยู่นิ่ง อยู่น่ิงไม่เป็น ท่องเท่ียวไปโน่น นนี่ น่ั สารพดั แมเ้ ราจะพยายามทำ� ใหใ้ จอยนู่ งิ่ ๆ มนั กไ็ มย่ อม จึงเปรียบใจเหมือนกับลิง อยู่น่ิงไม่เป็น แต่ท่ีจริงลิงยังมี บางเวลาทอ่ี ยนู่ งิ่ ๆ ได ้ เชน่ เวลาจอ้ งมองดคู น วา่ คนกำ� ลงั ทำ�
35 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล อะไร กินอะไรอยู่ เก็บอาหารไว้ท่ีไหน ซ่อนของกินอย่างไร มันจะน่ังจ้องดูอยู่นิ่งๆ จนสามารถลงไปขโมยของกินได้ อยา่ งลงิ ทวี่ ดั ท�ำเชน่ นเี้ ปน็ ประจำ� แตว่ า่ ใจนงิ่ อยา่ งนนั้ ไดย้ าก มักจะทอ่ งเท่ียวหรอื เดินทางซอกซอนไปทุกสารทศิ กายเวลาเจอของร้อน ของแหลม เช่น เมื่อมือถูก เปลวไฟ ถกู นำ�้ รอ้ น หรอื ถกู หนามแหลม พอสมั ผสั ปบุ๊ มอื จะรบี ชักออกมาทันทโี ดยเราไม่ตอ้ งสั่ง เวลามีฝุ่น หรือของ แปลกปลอมเข้าตา ตาจะรีบกระพริบหรือหลับตาทันทีเพื่อ ปอ้ งกนั ตนเอง ไมว่ า่ จะเกดิ อะไรขน้ึ กายจะรบี ถอยหน ี ออก จากสง่ิ ท่ีเป็นภยั คกุ คามทนั ทโี ดยเราไม่ตอ้ งส่ัง แต่ว่าใจกลับตรงกันข้าม เมื่อถูกความโกรธเผาลน หรือถูกความเคียดแค้นกรีดแทง แทนท่ีมันจะรีบสลัดหรือ ถอยห่าง กลับย่ิงจมแช่อยู่ในอารมณ์น้ัน หรือวิ่งเข้าหา ดว้ ยซำ�้ เวลาโกรธใคร ใจจะนกึ ถงึ คนๆ นน้ั หรอื นกึ ถงึ คำ� พดู และการกระทำ� ของเขาอยบู่ อ่ ยๆ แมจ้ ะรสู้ กึ เจบ็ ปวด แตก่ ย็ งั ไม่ยอมหยุด ครุ่นคิดซ�้ำแล้วซ้�ำเล่า จนกระทั่งกินไม่ได้นอน ไมห่ ลับ หรอื ถึงกับเจบ็ ปว่ ยก็มี
37 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล จะวา่ ไปแลว้ กายฉลาดกวา่ ใจ เมอื่ เจอภยั คกุ คาม มนั จะรบี หน ี รบี ถอยหา่ ง แตใ่ จกลบั วง่ิ เขา้ หา ยง่ิ โกรธยงิ่ เกลยี ด ยง่ิ กงั วลเรอ่ื งอะไร ใจกย็ งิ่ หมกมนุ่ ครนุ่ คดิ อยกู่ บั สง่ิ นน้ั ทง้ั ท่ี ย่ิงคดิ ก็ยง่ิ ทุกข์ กายชอบอยู่นิ่งๆ ให้ท�ำงานอะไรก็ไม่อยากท�ำ ให้ ไปแบกนั่นแบกน่ี ถ้าเลี่ยงได้ก็เล่ียง ถ้าจ�ำต้องแบกก็จะรีบ ปลอ่ ยรบี วางทนั ทที ม่ี โี อกาส ถา้ ใหไ้ ปแบกหนิ หนกั ๆ แบกได้ ประเดยี๋ วเดยี วกายกจ็ ะปลอ่ ยทนั ท ี แตใ่ จกลบั ไมเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั จะใหใ้ จปลอ่ ยวางอะไรสกั อยา่ งเปน็ เรอ่ื งยากมาก ทงั้ ๆ ทน่ี า่ จะเปน็ เรอื่ งงา่ ย กแ็ คว่ าง แคป่ ลอ่ ยเทา่ นน้ั เวลากายแบกโตะ๊ แบกเกา้ อ ้ี ไมต่ อ้ งมใี ครสง่ั ใหว้ าง ถา้ ทนไมไ่ หวกายมนั ปลอ่ ย เอง ปลอ่ ยแลว้ กร็ สู้ กึ สบาย แตใ่ จกลบั ชอบแบก ทงั้ ๆ ทท่ี กุ ข์ ทั้งๆ ที่เหนื่อยก็ยังแบกอยู่นั่นเอง ปากก็บอกว่าทุกข์ แต่ ใจไม่ยอมปล่อยวาง จะให้ใจปล่อยให้วางกลายเรื่องยาก อยา่ งยงิ่ ดงั นั้นการปล่อยวางจึงเป็นส่ิงทต่ี อ้ งฝกึ ใจนั้นเราต้องฝึกให้รู้จักปล่อยวาง ส่วนกายต้องฝึก ให้ท�ำงาน เพราะว่าถ้าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ กินอย่างเดียว
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ึ้ น 38 รา่ งกายกแ็ ย่ เกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็ เดย๋ี วนมี้ โี รคมากมายทเี่ กดิ จากชีวิตท่ีสะดวกสบาย น่ังๆ นอนๆ ทั้งวัน เช่นโรคอ้วน โรคหวั ใจ โรคเบาหวาน โรคความดนั โรคพวกนเ้ี กดิ เพราะ ไม่คอ่ ยได้บริหารกาย มีการศึกษาวิจัยพบว่าสุขภาพจะดีได้ ต้องเดินวันละ หน่ึงหมื่นก้าว ซ่ึงเท่ากบั ระยะทางที่เดินไปกลับวัดป่าสุคะโต กับบ้านท่ามะไฟหวาน สุขภาพจะดีต้องให้กายได้ออกก�ำลัง สมำ่� เสมอ แมก้ ายไมช่ อบ อยากนง่ั อยากนอน กต็ อ้ งฝกึ เขา ดว้ ยการเดนิ วงิ่ วา่ ยนำ้� หรอื ยกนำ้� หนกั สว่ นการฝกึ ใจนนั้ ตรงกันข้าม เราต้องฝึกใจให้รู้จักนิ่ง แทนท่ีจะปล่อยให้มัน ทอ่ งเท่ียวเพ่นพ่าน ไปโน่นน่ีน่ัน ซ่ึงมีแต่นำ� ความทุกข์มาให้ เพราะเวลาใจท่องเที่ยวไปไหน มันไม่ได้ไปเปล่าๆ มักเอา ความทุกข์กลับมาให้เราด้วย แต่ถ้าเราฝึกใจให้รู้จักนิ่ง เรา จะพบความสงบ ยงิ่ ใจนง่ิ แบบตน่ื ร ู้ ไมใ่ ชน่ ง่ิ แบบหลบั จติ อยู่ กบั เนอื้ กบั ตวั จะรสู้ กึ โปรง่ เบา สงบเยน็ เปน็ สขุ เมอื่ ฝกึ จติ ให้ อยกู่ บั เนอ้ื กบั ตวั ไมเ่ พน่ พา่ นไปไหน จติ กจ็ ะมกี ำ� ลงั ทำ� งาน ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
39 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล คนเมอื งทนี่ งั่ ทำ� งานอยใู่ นหอ้ งแอร ์ มกั จะอยใู่ นทา่ นง่ั วนั ละสบิ กวา่ ชวั่ โมง ไหนจะนงั่ กนิ ขา้ ว นงั่ รถไปทำ� งาน ถงึ ที่ ทำ� งานแลว้ กย็ งั นง่ั ทง้ั วนั ไมค่ อ่ ยไดเ้ ดนิ ไมค่ อ่ ยไดอ้ อกแรง กาย แม้กระท่ังเดินขึ้นบันได เพราะใช้ลิฟท์ แต่กลับรู้สึก เหน่ือยล้าและเพลียมาก ท้ังน้ีเป็นเพราะใจไม่ได้พัก ใจวุ่น ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เพราะวุ่นกับงาน คนส่วนใหญ่เวลา ทำ� งาน ใจกลบั ไปทำ� อยา่ งอนื่ ไมไ่ ดท้ ำ� งานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย เคยมีการศึกษาวิจัยพบว่าคนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับงาน ประจำ� วนั เพยี ง ๑ ชว่ั โมงครง่ึ หรอื ๒๐ เปอรเ์ ซน็ ตข์ องเวลา ทำ� งาน อกี ๖ ชวั่ โมงครงึ่ ปลอ่ ยใจลอยไปกบั เรอื่ งอนื่ หรอื ฝนั กลางวนั นกั เรยี นนกั ศกึ ษากเ็ ชน่ กนั ใจลอยไปประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเวลาท่ีเรียน เวลาที่ใจลอยไปโน่นมาน่ี ก็ไมไ่ ด้ไปเปล่าๆ แตย่ งั เอาความทกุ ข์กลบั มาดว้ ย ดังน้ันเราจึงควรฝึกใจให้รู้จักนิ่ง ไม่ใช่นิ่งแบบหลับ นง่ิ แบบหลง นง่ิ แบบไมร่ เู้ นอ้ื รตู้ วั แตใ่ หน้ งิ่ แบบรตู้ วั อยเู่ สมอ เป็นการฝึกให้มีสติ ฝึกให้จิตอยู่กับเนื้อกับตัว จะท�ำให้จิต มีพลัง ส่วนร่างกายก็ต้องฝึกต้องเคี่ยวเข็ญให้ออกไปเดิน ออกไปวงิ่ ออกไปวา่ ยนำ�้ ออกไปทำ� สวนขดุ ดนิ ทำ� งานทใ่ี ช้
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ขึ้ น 40 แรงกาย จงึ จะชว่ ยใหร้ า่ งกายแขง็ แรง มพี ลานามยั ถา้ เรารกั กาย ต้องฝึกให้กายท�ำงาน ออกก�ำลังกายอยู่เสมอ และถ้า เรารกั ใจกต็ อ้ งฝกึ ใหใ้ จอยนู่ ง่ิ ๆ ไมใ่ ชว่ ง่ิ เพน่ พา่ นไปทกุ สารทศิ หรือฝึกให้ใจอยู่กับกาย ถ้าเราท�ำเช่นน้ีได้ ใจจะมีพลังและ มคี วามสุข เรียกว่ามสี ุขภาวะ การฝึกใจ นอกจากฝึกให้รู้จักนิ่งแล้ว ยังควรฝึกให ้ รู้จักวางด้วย การวางน้ันดูเหมือนจะเป็นเร่ืองง่าย เพราะ ไมต่ อ้ งทำ� อะไรเลย ไมเ่ หมอื นการแบก แตพ่ อเราบอกใครให้ ปลอ่ ยวาง เขามักจะบอกวา่ พดู ง่ายแตท่ ำ� ยาก การปลอ่ ยวางมสี องอยา่ งทส่ี ำ� คญั คอื ปลอ่ ยวางอดตี และปล่อยวางอนาคต ปล่อยวางอดีตท่ีผ่านไปแล้ว ไม่ว่า จะเป็นเหตุการณ์ท่ีเจ็บปวดหรือสนุกสนานเพลิดเพลิน ถ้า เราไม่ปล่อยไม่วาง ใจเราก็จะทุกข์ นึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่ดี กร็ สู้ กึ เจบ็ ปวด นกึ ถงึ ความสญู เสยี กเ็ ศรา้ นกึ ถงึ ของทีห่ าย ไปก็เสียดาย นึกถึงคนที่ท�ำร้ายเราก็โกรธแค้น หรือแม้แต่ นกึ ถงึ เหตกุ ารณท์ น่ี า่ พงึ พอใจ นกึ ถงึ ความสขุ ทอี่ ยกู่ บั คนรกั อยู่กับพ่อแม่ ได้ไปเท่ียวนั่นเท่ียวน่ี บางทีก็ท�ำให้เป็นทุกข์
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข้ึ น 42 เสียใจ เพราะว่าปัจจุบันเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ไม่มีโอกาส สนุกสนานอย่างน้ันอีกแล้ว เกิดความอาลัยอาวรณ์ แม้ว่า จะมคี วามสขุ อยบู่ า้ งแตก่ เ็ จอื ไปดว้ ยทกุ ข ์ บางทอี าลยั อาวรณ์ จนไม่เป็นอันท�ำงาน หรือยอมรับไม่ได้กับความจริงใน ปัจจุบัน เพราะทุกวันน้ีไม่มีเขาแล้ว ไม่มีความสุขแบบน้ัน อกี แลว้ เมอื่ นกึ อยา่ งนน้ั กเ็ กดิ ความขดั เคอื งใจ ทนไมไ่ ดก้ บั ปัจจุบัน คดิ แตจ่ ะย้อนกลับไปอดตี ซึ่งกเ็ ปน็ ไปไมไ่ ด้ อกี อยา่ งหนง่ึ ทต่ี อ้ งฝกึ ใจ คอื ปลอ่ ยวางอนาคต หรอื ส่ิงท่ียังมาไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นงานการที่ยังค้างคาอยู่ ภาระท่ี รออยู่ข้างหน้า หน้ีท่ียังไม่ได้ช�ำระ หรือการตรวจสุขภาพ ท่ียังไม่รู้ผล รวมทั้งการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของลูกซึ่งยัง ไมป่ ระกาศผล เดย๋ี วนพ้ี อ่ แมเ่ ครยี ดเรอ่ื งผลสอบของลกู มาก ไม่ใช่แค่ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนมัธยม แต่ เป็นผลสอบเข้าโรงเรียนอนุบาล บางทีลูกยังไม่ได้สอบเลย จะสอบอาทิตย์หน้า พ่อแม่ก็วิตกกงั วลแล้ว อย่างนี้เรียกว่า ทกุ ขเ์ พราะใจหมกมนุ่ อยกู่ บั อนาคต มนั ยงั มาไมถ่ งึ แตก่ ไ็ ป แบกมนั เอาไวอ้ ยา่ งเตม็ ท ่ี เรยี กวา่ แบกอนาคต ความทกุ ขใ์ จ ๘๐-๙๐ เปอรเ์ ซน็ ต ์ หรอื อาจจะ ๑๐๐ เปอรเ์ ซน็ ตข์ องคน
43 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล ทั้งโลก มาจากทุกข์เพราะวางอดตี และวางอนาคตไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลไม่ควรตามคิดถึงส่ิงท่ี ลว่ งไปแลว้ ดว้ ยอาลยั และไมพ่ งึ พะวงกบั สงิ่ ทยี่ งั ไมม่ าถงึ ” ถา้ เราไมป่ ลอ่ ยวาง เรากท็ กุ ข ์ พวกเรานง่ั อยบู่ นศาลา อยสู่ บายๆ อยา่ งมากกแ็ คเ่ มอ่ื ย แตพ่ อนกึ ถงึ อดตี นกึ ถงึ อนาคต กเ็ กดิ ความเศร้า โกรธ วิตกกังวล เรียกว่าเกิดความเดือดเนื้อ รอ้ นใจ ซง่ึ เกดิ จากการปรงุ แตง่ ของจติ พดู ภาษาธรรมกค็ อื เม่ือมี อุทธัจจะ คือความฟุ้งซ่าน กุกกุจจะ คือความเดือด เนอื้ รอ้ นใจ วติ กกงั วล กต็ ามมา ถา้ ไมอ่ ยากเดอื ดเนอ้ื รอ้ นใจ หรือเป็นทุกข์ ก็ควรฝึกใจให้รู้จักหยุดปรุงแต่งหรือรู้จักวาง อยา่ นกึ ถงึ อดตี หรอื อนาคตพรำ่� เพรอื่ ควรนกึ ถงึ เมอื่ ตอ้ งการ ทบทวนอดีตหรือประเมินสิ่งท่ีท�ำไปแล้ว หรือเม่ือต้องการ วางแผนส�ำหรับอนาคต การฝึกใจให้ปล่อยวางเป็นเร่ืองส�ำคัญ เพราะใจเป็น ที่มาของความทุกข์ ความทุกข์ท้ังปวงท่ีเกิดขึ้นในใจเรานั้น ลว้ นเกดิ จากความยดึ ตดิ เชน่ ยดึ ตดิ อดตี ทผ่ี า่ นไปแลว้ ยดึ ตดิ อนาคตทย่ี งั มาไมถ่ งึ หรอื ยดึ ตดิ สง่ิ ทป่ี รงุ แตง่ ขนึ้ มา เชน่
45 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล อยู่ในกุฏิคนเดียวในเวลากลางคืนก็กลัว ผวา เพราะนึกไป ต่างๆ นานาสารพัด นึกถึงสัตว์ร้าย งู คนที่อาจมาท�ำร้าย หรอื นกึ ถงึ ผ ี พอใจปรงุ แตง่ กต็ วั เยน็ ขนลกุ ใจเตน้ เรว็ ทง้ั ที่ ไมม่ อี ะไรเลยไมว่ า่ ในกฏุ หิ รอื นอกกฏุ ิ แตเ่ ปน็ เพราะความกลวั ทเี่ กดิ จากความคดิ ปรงุ แตง่ ถา้ คดิ ปรงุ แตง่ ประเดยี๋ วประดา๋ ว ก็ไม่เป็นไร เหมือนกับลมท่ีพัดผ่าน มาแล้วก็ไป แต่พอคิด ฟุ้งปรุงแต่งแล้วใจยึดเหน่ียวเอาไว้ ไม่ยอมวาง ก็เลยกลัว ไม่ใช่กลัวอะไร กลัวสงิ่ ทจ่ี ติ ปรุงแตง่ เอง อนั นเี้ รยี กวา่ ยดึ ตดิ สง่ิ ทป่ี รงุ แตง่ มนั ไมใ่ ชอ่ ดตี ไมใ่ ช ่ อนาคต แต่เป็นสิ่งท่ีปรุงแต่งจากเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใน ปจั จบุ นั เชน่ มเี สยี งลมพดั เสยี งใบไมไ้ หว กน็ กึ วา่ ผ ี มเี สยี ง ดงั กรอบแกรบอยรู่ อบกฏุ ิ กป็ รงุ แตง่ วา่ เปน็ เสยี งคน ทงั้ ทอ่ี าจ เป็นเสียงหนูเดินเพ่นพ่าน ในป่าเวลากลางคืนเสียงดังฟัง ชัดมาก อยู่ไกลก็เหมือนกับอยู่ใกล้ เสียงสัตว์เล็กๆ ก็นึก วา่ เปน็ สัตว์ใหญ ่ บางทีนกึ วา่ เป็นเสยี งหมกี ็ม ี สมัยก่อนเม่ือ สามสิบกวา่ ปีกอ่ น เขตอุบาสิกายังเปน็ ปา่ ยงั ทบึ กฏุ ิไม่ค่อย มี หลวงพ่อท่านหน่ึงได้ยินเสียงเหมือนสัตว์ใหญ่เดินขึ้น บันไดกุฏิของท่าน ท่านนึกว่าเป็นเสียงหมีเพราะเสียงดัง
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ข ้ึ น 46 ฟังชัด ท่านนอนไม่หลับเลย ปิดประตูแน่นหนา วันรุ่งขึ้น ถงึ รวู้ า่ สตั วท์ ข่ี นึ้ กฏุ ขิ องทา่ นไมใ่ ชห่ ม ี แตม่ นั คอื หน ู ทรี่ เู้ พราะ ตอนหลงั เหน็ สบทู่ วี่ างบนระเบยี งกฏุ ทิ า่ นกระเดน็ ไปอยรู่ มิ ปา่ มีรอยหนแู ทะดว้ ย การแบกท�ำให้ทุกข์ การยึดท�ำให้ทุกข์ หลวงพ่อชา สภุ ทั โท ทา่ นสรปุ ไวด้ มี ากวา่ “ทกุ ขม์ เี พราะยดึ ทกุ ขย์ ดื เพราะ อยาก ทกุ ขม์ ากเพราะพลอย ทกุ ขน์ อ้ ยเพราะหยดุ ทกุ ขห์ ลดุ เพราะปลอ่ ย” ปลอ่ ยอะไร ปลอ่ ยความคดิ ปรงุ แตง่ หรอื สง่ิ ท่ียึดว่าเป็นตัวกูของกู ปล่อยท่ีไหน ปล่อยท่ีใจเรา ค�ำถาม คอื ทง้ั ๆ ทท่ี กุ ขแ์ ตท่ ำ� ไมยงั ยดึ อย ู่ ไมย่ อมปลอ่ ย นน่ั กเ็ พราะ ความหลง เพราะความไมร่ ู้ คอื ไมร่ ตู้ วั เมอื่ ไมร่ ตู้ วั กเ็ ลยแบก เอาไว ้ ทง้ั ทแ่ี บกแลว้ เปน็ ทกุ ข ์ ยดึ แลว้ เปน็ ทกุ ข ์ เชน่ พอนกึ ถงึ คนทท่ี ำ� รา้ ยเรา กร็ สู้ กึ โกรธ รอ้ นผา่ ว เปน็ ทกุ ข ์ เวลานกึ ถงึ ของท่ีหาย ก็เสียดายหรือเสียใจ แต่ก็ยังนึกคิดไม่หยุด ไมย่ อมวาง นน่ั เปน็ เพราะไมร่ ตู้ วั ไมร่ ตู้ วั วา่ โกรธ ไมร่ ตู้ วั วา่ เสียใจ ไม่รู้ตวั ว่าเศรา้
47 พ ร ะ ไ พ ศ า ล ว ิ ส า โ ล แปลกนะ อารมณ์เหล่าน้ีเกิดขึ้นที่ใจเรา แต่เรากลับ ไม่รู้ตัว เพราะตอนที่เกิดอารมณ์เหล่าน้ี ใจมันจมเข้าไปอยู่ กบั อารมณน์ นั้ จนหลงตวั ลมื ตนไปเลย จะรตู้ วั ไดก้ ต็ อ้ งออก มาจากอารมณเ์ หลา่ น ี้ เมอ่ื ออกมาแลว้ กจ็ ะเหน็ มนั เหน็ แลว้ ก็จะรู้ ถ้าเข้าไปอยู่ในอารมณ์มันก็มืด เหมือนกบถูกกะลา ครอบ จะมืดแปดด้านเลย คนเราจะรู้จักอะไร ต้องออกมา จากส่ิงนั้น เห็นสิง่ นั้น เราจะรู้จักศาลาน้ีได้ เราต้องออกมา จากศาลา เดินห่างออกมาหน่อย จึงจะเห็นรูปลักษณ์ของ ศาลานี้ ถ้าอยใู่ นนีจ้ ะเห็นไมช่ ัด อารมณก์ เ็ หมอื นกนั เราจะรจู้ กั มนั กต็ อ่ เมอ่ื ออกจาก อารมณ์นั้น ไม่ใช่แค่รู้จักมันเท่านั้น แต่ยังรู้ตัวด้วย เพราะ ถา้ ยงั อยใู่ นอารมณเ์ หลา่ นนั้ เรากจ็ ะหลง ถกู อารมณเ์ ลน่ งาน จนไมร่ เู้ นื้อรู้ตวั แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ใจเราเจอความโกรธซ้�ำแล้ว ซำ้� เลา่ แตไ่ มเ่ คยรทู้ นั มนั เลย โดนมนั หลอกใหห้ ลงอยเู่ รอื่ ยไป ไมเ่ หมอื นกบั รา่ งกายเรา ถา้ มนั เจอไฟทเี ดยี ว จะจำ� ไดอ้ ยา่ ง แม่นย�ำ เด็กทารกทีแรกไม่รู้จักไฟหรือน�้ำร้อน แต่พอมือ
ข ย า ย ใ จ ใ ห ้ ใ ห ญ่ ขึ ้ น 48 ถูกไฟ หรือถูกน�้ำร้อน เขาจะจ�ำได้เลยว่านี่คืออะไร และจะ ระวงั ตวั ตอ่ ไปถา้ เจอนำ้� รอ้ นเดอื ดๆ หรอื เจอเปลวไฟ เขาจะ ไมย่ อมเขา้ ใกลห้ รอื ถกู ตอ้ ง ถา้ เราดงึ นวิ้ ของเขาไปสมั ผสั กบั น�้ำเดือดหรือเปลวไฟ เขาจะไม่ยอม จะต่อต้าน ทั้งนี้เพราะ กายมันจำ� ได้ว่า นีค้ อื อันตราย ท�ำใหเ้ จบ็ ปวด ทำ� ใหท้ ุกข์ ในท�ำนองเดียวกัน เวลามีเชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย ถ้าเป็นการเข้ามาคร้ังแรก เราจะป่วย เพราะภูมิคุ้มกันใน รา่ งกายเราไมร่ จู้ กั เนอ่ื งจากไมเ่ คยเจอมากอ่ น แตถ่ า้ รา่ งกาย เราเจอมนั ครง้ั ทีส่ อง จะไม่ลม้ ปว่ ยอกี แลว้ เพราะภมู ิคุม้ กัน ในร่างกายเราจ�ำได้ จะเข้าไปเล่นงานเชื้อโรคเหล่าน้ีทันที ไข้ทรพิษเป็นตัวอย่างท่ีชัดเจน ถ้าเจอมันคร้ังแรกแล้ว ไม่ตาย ต่อไปจะไม่ป่วยด้วยโรคนี้อีก หวัดก็เช่นกัน คนท่ี ไม่เคยเจอเช้ือหวัด หากเจอครั้งเดียวก็อาจตายได้ ชาว พน้ื เมอื งในอเมรกิ าใตล้ ม้ ตายเปน็ เบอื เมอ่ื ตดิ ตอ่ กบั ชาวยโุ รป ท่ีเข้ามาสมัยโคลัมบัส ก็เพราะติดเชื้อหวัดจากชาวยุโรป เขาไมม่ ภี มู คิ มุ้ กนั เลยจงึ ตายเพราะโรคนก้ี นั มากมาย ขณะที่ คนยุโรปไม่เป็นอะไร เพราะมีภูมิคุ้มกัน พวกเราก็เช่นกันมี ภมู คิ มุ้ กนั โรคหวดั จงึ ไมเ่ ปน็ อะไรหากเจออกี แตท่ ล่ี ม้ ปว่ ยก็
Search