ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร สีละวา คอื ผมู้ ศี ีล คนท่ีจะเจริญในทางปฏบิ ตั ิได ้ ก็ ต้องมศี ลี สมบรู ณ์ แลว้ ก็มี ทัสสะเนนะ สัมปันโน ในที่น้ี ท่านจะใช้ค�ำว่า ศีล (จริยะ) คู่กับ ทัศนะ (ปัญญา) ซึ่งทั้งสองจะช�ำระซ่ึงกัน และกัน ท่านเปรียบเหมือนกับมือสองข้างชำ� ระซึ่งกันและกัน หรือเหมอื นกบั การหลอมทอง ปญั ญาน้เี หมอื นกบั ทอง ศลี นี้ เหมือนกับเบ้าหลอม เวลานายช่างทอง เขาจะสกัดเอาส่ิง สกปรกออกจากทอง เขาก็จะต้องเอาทองมาเทใส่เบ้าหลอม 50 แล้วใส่เตาเผา ให้ร้อนจนสนิมแยกชั้นลอยข้ึนมา แล้วก็ ตั ก เ อ า ส ่ ว น ค ร า บ ส นิ ม ท่ี ไ ม ่ ส ะ อ า ด อ อ ก ก็ จ ะ ไ ด ้ ท อ ง ท่ี มี เนื้อบริสุทธิ์ ก็แบบเดียวกัน ศีลกับปัญญาจะช�ำระซึ่งกัน และกนั ถ้าเราทำ� ไดอ้ ย่างน้ีแล้ว ก็จะ กาเมส ุ วิเนยยะ เคธัง วเิ นยยะ กค็ ือ ก�ำจัด กาเมส ุ เคธงั คอื ความใครใ่ นกาม ความใคร ่ ความ ก�ำหนัด อันน้ีส�ำคัญเป็นอันดับแรก กามน้ีเป็นกามฉันทะ เปน็ อปุ สรรคหรอื เปน็ นวิ รณต์ วั ส�ำคญั ถา้ เราก�ำจดั กามฉนั ทะ ได ้ ออกจากกามได ้ เรากไ็ มต่ อ้ งมานอนเกดิ นอนตายกนั อกี
ธรี ปัญโญ นะ ห ิ ชาต ุ คัพภะเสยยงั ปนุ ะเรตีติ 51 คัพภะเสยยัง คือพวกท่ียังต้องอาศัยมานอนเกิด ในครรภ์ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นอะไรที่อยู่ในครรภ์ พวกนอี้ ีก ชอ่ื วา่ ยังไมพ่ น้ จากกามภพ ปนุ ะเรตตี ิ มาจาก ปนุ ะ แปลวา่ อกี เอต ิ แปลวา่ มา รวมท้ังหมดแปลว่า ไม่ต้องมาเกิดแบบนอนในครรภ์ คือ มาเกดิ ในกามภพอีก เราปฏิบัติได้อย่างน้ี มีสติ มีเมตตาเป็นต้น อยู่ใน พรหมวิหาร เราก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้ายังไม่สามารถก�ำจัด สาเหตุของทุกข์ได้ทั้งหมดทีเดียว ก็ไปเกิดเป็นพรหมบ้าง ในชน้ั สทุ ธาวาสบ้าง แลว้ ก็รอนพิ พานในที่น้ัน การแสดงพระสูตรน้ี ท่านเร่ิมตรัสตั้งแต่ต้น บอก รายละเอียด และข้ันตอนของการปฏิบัติ ไปจนถึงขั้นสูงสุด สามารถเป็นอิสระพ้นจากกามได้ ไม่ต้องมานอนเกิดอีก ตอ่ ไป นบั เปน็ การแสดงพระสตู รสน้ั ๆ ใชค้ ำ� งา่ ยๆ แตว่ า่ รวม เนื้อความไว้ท้ังหมดในแง่ของการปฏิบัติ ถ้าเราเข้าใจอรรถะ แลว้ เรากเ็ อาไปเจรญิ สกิ ขา เอาไปเจรญิ เมตตา และสามารถ น�ำไปเจริญภาวนาดา้ นอนื่ ๆ ต่อไปไดอ้ ีก
ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร สำ� หรบั ตอนจบของพระสตู รนี้ พระปา่ เหลา่ นน้ั ได้กลบั ไปท่ีป่านั่น แล้วท�ำตามค�ำแนะน�ำของพระพุทธองค์ สวด พระสูตรน้ีและแผ่เมตตาออกไป เหล่าเทวดาก็พากันรักใคร่ ปกปักรักษา ภิกษุปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำในพระสูตรน้ี เจริญ เมตตาภาวนา แล้วใช้เมตตาเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนา ตอ่ กไ็ ดบ้ รรลพุ ระอรหนั ตก์ นั ทกุ รปู ภายในไตรมาสนนั้ นนั่ เอง ออกพรรษาดว้ ยการปวารณาที่บรสิ ทุ ธิ์ หวังว่าการอธิบายเน้ือความในพระสูตรนี้คงจะเป็น 52 ประโยชนแ์ กญ่ าตโิ ยมทม่ี าปฏบิ ตั ธิ รรมในวนั น ้ี ไมม่ ากกน็ อ้ ย ขอบุญกุศลท่ีพวกเรามาร่วมกันปฏิบัติในวันนี้ จงเป็นพลว ปัจจัย เป็นอุปนิสัยตามส่งให้พวกเราได้สัมผัสผลของกิจ ที่ ค ว ร ศึ ก ษ า แ ล ะ ข อ ง เ ม ต ต า ท่ี ไ ด ้ เ จ ริ ญ เ กิ ด ป ั ญ ญ า เ ห็ น โทษภัยในสังสารวัฏ และสลัดพ้นจากความทุกข์ สัมผัส ความสุขในพระนิพพาน ต่อกาลอันไม่เนิ่นช้าโดยทั่วกัน ทกุ ท่านทกุ คน เทอญฯ
เวลาเรามีสต ิ เราไมไ่ ด้ละทกุ ข ์ แต่ละวปิ ลาสท่เี ปน็ เหตใุ ห้ ไปเท่ยี วจับทกุ ขม์ าเปน็ สขุ มาเป็นเรา ทกุ ข์มันกเ็ ป็นของมนั อยู่อยา่ งนัน้ แหละ เพียงแต่มันไม่ใช่เราอกี ตอ่ ไป เม่อื นน้ั เมตตากจ็ ะเกดิ ขน้ึ ภายในใจอย่างไม่มีประมาณ แผไ่ ปในเพอื่ นสรรพสตั วท์ งั้ หลาย ผู้เคยเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารน้รี ่วมกนั มายาวนาน
ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร กรณยี เมตตสูตร สตู รว่าดว้ ยการเจริญกจิ คือไตรสกิ ขา และอานุภาพแห่งเมตตา 56 กะระณยี ะมตั ถะกุสะเลนะ ยันตงั สันตงั ปะทัง อะภสิ ะเมจจะ กจิ นน้ั ใดอันพระอริยเจ้า ผ้บู รรลุบทอนั ระงบั กระท�ำแลว้ กิจนั้นอันกุลบตุ รผฉู้ ลาดในประโยชนพ์ งึ กระท�ำ สกั โก อุช ู จะ สุหชุ ู จะ กลุ บตุ รนนั้ พงึ เปน็ ผกู้ ลา้ หาญ ซอื่ ตรง และซอื่ ตรงอยา่ งดดี ว้ ย สวุ ะโจ จัสสะ มุท ุ อะนะตมิ านี เป็นผู้ท่วี ่างา่ ย อ่อนโยน ไม่ดูหม่ินผอู้ ่นื สนั ตุสสะโก จะ สุภะโร จะ เปน็ ผ้สู นั โดษ เล้ียงง่าย อัปปะกิจโจ จะ สัลละหกุ ะวตุ ติ เปน็ ผู้มกี จิ ธุระน้อย ประพฤติตนเปน็ ผูเ้ บากายเบาจิต
ธีรปญั โญ สันตนิ ทร๎ ิโย จะ นปิ ะโก จะ มีอินทรยี อ์ นั สงบระงับ มีปัญญารักษาตน อปั ปะคพั โภ กุเลส ุ อะนะนุคทิ โธ เป็นผไู้ มค่ ะนอง ไม่ติดพันในสกลุ ทง้ั หลาย นะ จะ ขทุ ทัง สะมาจะเร กญิ จิ เยนะ วญิ ญู ปะเร อุปะวะเทยยุง วญิ ญชู นตเิ ตียนชนเหลา่ อน่ื ไดด้ ้วยการกระท�ำอนั ใด 57 ไม่พงึ กระท�ำการอนั นั้นเลย (พงึ แผไ่ มตรีจิตไปในหมสู่ ัตว์ว่า) สุขโิ น วา เขมิโน โหนต ุ สพั เพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา ขอสัตวท์ งั้ หลายทั้งปวงจงเป็นผมู้ ีสุข มีความเกษม มีตนถงึ ความสุขเถิด เย เกจิ ปาณะภูตตั ถิ สตั วม์ ีชีวติ ทง้ั หลาย (ทง้ั ห้าขนั ธ์, ขนั ธเ์ ดียว และสข่ี นั ธ)์ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา ทงั้ ที่เปน็ ผู้ยังมคี วามสะดงุ้ (มตี ัณหา) หรือผู้ท่มี ั่นคง (ไม่มีตัณหา) รวมท้งั หมดไม่มเี หลือ
ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร ทีฆา วา เย มะหันตา วา ที่เป็นสตั วล์ ำ� ตัวยาว หรอื ใหญ่ มชั ฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา หรอื ปานกลาง หรือสั้นกด็ ี ทัง้ ในสตั วล์ �ำตัวละเอียด หรอื สัตว์ลำ� ตวั หยาบ ทฏิ ฐา วา เย จะ อะทฏิ ฐา ทงั้ ท่ไี ดเ้ ห็นแล้ว หรือมิได้เห็นกด็ ี เย จะ ทเู ร วะสนั ติ อะวิทูเร 58 เป็นผ้อู ยใู่ นทไี่ กล หรอื ที่ใกล้กด็ ี ภูตา วา สัมภะเวส ี วา เป็นผทู้ เี่ กดิ แล้ว หรอื ก�ำลงั หาท่ีเกดิ อยูก่ ็ดี สพั เพ สตั ตา ภะวันต ุ สขุ ติ ัตตา ขอสตั วท์ ้งั ปวงเหล่าน้นั จงเปน็ ผมู้ ตี นถงึ ความสขุ เถดิ นะ ปะโร ปะรัง นกิ ุพเพถะ สัตว์อนื่ อยา่ พงึ ข่มเหงหลอกลวงสตั ว์อ่ืน นาติมญั เญถะ กตั ถะจิ นงั กญิ จิ อย่าพงึ ดหู มน่ิ อะไรๆ เขาในทไ่ี รๆ เลย
ธรี ปัญโญ พ๎ยาโรสะนา ปะฏิฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทกุ ขะมิจเฉยยะ ไมค่ วรปรารถนาทกุ ขแ์ ก่กันและกัน เพราะความกร้วิ โกรธและความคุม้ แค้น มาตา ยะถา นยิ งั ปตุ ตงั อายสุ า เอกะปุตตะมะนรุ กั เข มารดาถนอมปกป้องลูกคนเดียวผเู้ กดิ ในตน ดว้ ยยอมสละแมช้ ีวิตตนไดฉ้ ันใด เอวมั ปิ สัพพะภเู ตส ุ มานะสัมภาวะเย อะปะรมิ าณัง พงึ ตง้ั ใจเจริญเมตตา โดยไมม่ ปี ระมาณในสตั ว์ท้งั ปวง 59 แม้ฉันน้นั เมตตญั จะ สัพพะโลกัสม๎ งิ มานะสัมภาวะเย อะปะรมิ าณัง บุคคลพึงตัง้ ใจเจรญิ เมตตา โดยไม่มที ี่สดุ ไมม่ ปี ระมาณ แผไ่ ปในสรรพสตั ว์โลกทั้งปวง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ ทัง้ ทิศเบ้ืองบน ทศิ เบ้ืองต่�ำ และทิศเบ้ืองขวาง อะสัมพาธัง อะเวรงั อะสะปตั ตงั ไม่มีขอบเขต ไมม่ ีความคดิ ปองรา้ ย ไม่มคี วามเปน็ ศัตรู ตฏิ ฐญั จะรัง นสิ ินโน วา สะยาโน วา ผู้เจรญิ เมตตาอยา่ งนี้ จะยนื เดิน นง่ั หรือ นอน ก็ตาม
ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร ยาวะตัสสะ วคิ ะตะมทิ โธ ตราบเทา่ ทีค่ วามง่วงเหงาครอบง�ำไม่ได้ เอตงั สะติง อะธิฏเฐยยะ พงึ ตง้ั สตคิ ือเจรญิ เมตตานน้ั ไว้ พ๎รัห๎มะเมตัง วหิ ารงั อธิ ะมาหุ บัณฑิตทง้ั หลายกล่าวเมตตาวหิ ารธรรมนี้วา่ เปน็ พรหมวิหารในพระศาสนานี้ 60 ทิฏฐญิ จะ อะนปุ ะคัมมะ สลี ะวา บุคคลผ้นู ัน้ ย่อมไม่ตกไปในมิจฉาทฏิ ฐ ิ คือความเห็นผดิ ว่าเปน็ ตวั เป็นตน (สกั กายทิฏฐิ) เป็นผูม้ ศี ีล ทสั สะเนนะ สัมปนั โน ถงึ พร้อมแลว้ ด้วยการรูเ้ หน็ ตามความเปน็ จริง (สัมมาทฏิ ฐใิ นโสดาปตั ติมรรค) กาเมส ุ วเิ นยยะ เคธงั ก�ำจัดความยินดีในกามท้งั หลายได้ นะ ห ิ ชาตุ คพั ภะเสยยงั ปนุ ะเรตตี ิ ฯ ยอ่ มไมเ่ ขา้ ถึงซงึ่ ความนอนเกดิ ในครรภอ์ กี โดยแทท้ เี ดยี วแล
ธรี ปัญโญ พระพทุ ธเจ้าท่านสละ วัง ออกมาแสวง วิเวก หรือพวกเรากำ� ลังสละ วเิ วก กลบั เขา้ ไปสรา้ ง วัง 61
เมตตากปรณพุ ียพเมภตาตคสูตปรฏปิ ทา วตั ร ๑๕ สิกขา ๓ ออกจากกามเป็นอานิสงส์ วัตร ๑๕ ๑. สกั โก* เปน็ ผอู้ าจหาญ (ไมเ่ กยี จครา้ น สามารถชว่ ยเหลอื เพื่อนสพรหมจารีในกิจทงั้ ปวง จารติ ศลี ไวยยาวัจจมัย บญุ กริ ยิ า) สทั ธา วริ ยิ ะ กายกมั มญั ญตา จติ ตกมั มญั ญตา ๒. อุชู เป็นผู้ตรง (ทางกายวาจา, ไม่โอ้อวด, อารัมมณู- ปนิชฌาน, จิตตสกิ ขา ตรงด้วยสมถะฯ) กายอุชกุ ตา อุชุกตา เอกคั คตา 62 ๓. สหุ ชุ ู เปน็ ผซู้ อ่ื ตรงดว้ ยด ี (ทางใจ, ไมม่ มี ายา, ลกั ขณ-ู ปนิชฌาน, ปัญญาสิกขา ซ่อื ตรงด้วยวิปสั สนาฯ) จติ ตอชุ กุ ตา อชุ ุกตาพละ (วิปสั สนา) ปัญญา ๔. สุวะโจ เป็นผู้ว่าง่าย (รับค�ำของผู้อื่นแล้วกระท�ำตาม ชอ่ื วา่ อยใู่ กลต้ อ่ การบรรล)ุ อโทสะ ๕. มุทุ เป็นผู้อ่อนโยน (ไม่โอนอ่อนในกิจการของคฤหัสถ์ แข็งกร้าวเสีย แต่อ่อนโยนในวัตรปฏิบัติในกิจของสงฆ์ และในเพอื่ นสหธรรมิก) กายมุทุตา มทุ ตุ า ๖. อะนะตมิ าน ี เปน็ ผไู้ มเ่ ยอ่ หยง่ิ (ไมด่ หู มน่ิ ผอู้ นื่ ดว้ ยวตั ถุ แห่งความดหู มิ่น มชี าตโิ คตรเปน็ ตน้ ) จิตตมุทตุ า มุทตุ าพละ * สกั โก โดยสรุป คือ ปธานยิ งั คธรรม ๕ (ศรัทธา, อาพาธน้อย, ไม่โอ้อวด, เพียรละอกศุ ล เจริญกศุ ล, ปัญญา)
ธรี ปญั โญ ๗. สนั ตสุ สะโก เปน็ ผยู้ นิ ดดี ว้ ยของๆ ตน - สเกน ตสุ สโก, 63 ของท่ีมีอยู่ - สนฺเตน, ด้วยอาการสม่�ำเสมอ - สเมน (สันโดษ ๑๒) อโลภะ ๘. สภุ ะโร เปน็ ผเู้ ลย้ี งงา่ ย (ไดข้ องทรามหรอื ประณตี นอ้ ย หรอื มาก มหี นา้ ผอ่ งใส ยงั อตั ภาพใหเ้ ปน็ ไปฯ) อโลภพละ ๙. อปั ปะกจิ โจ เปน็ ผมู้ กี จิ นอ้ ย (ไมใ่ หค้ วามสำ� คญั ในกจิ อนื่ นอกจากสมณกจิ บำ� เพ็ญสมณธรรม) กายปาคุญญตา จติ ตปาคญุ ญตา ๑๐. สัลละหุกะวุตติ** เป็นผู้มีความประพฤติเบากายเบาจิต (มีจีวรเปน็ ปีก มีบาตรเปน็ ทอ้ ง มีบรขิ ารนอ้ ย ฯ) กายลหตุ า จิตตลหุตา อโลภะ ๑๑ สนั ตนิ ทรฺ โิ ย เปน็ ผมู้ อี นิ ทรยี ส์ งบ (เปน็ ผสู้ ำ� รวมอนิ ทรยี ์ มีอนิ ทรยี ไ์ มฟ่ ุ้งซา่ น มีใจสงบ) สตินทรีย์ ๑๒. นิปะโก เป็นผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน (ตามรักษาศีล พจิ ารณาปจั จัย ๔ รสู้ ัปปายะ ๗ ฯ) สาตถกสมั ปชญั ญะ สปั ปายสมั ปชญั ญะ (ปรหิ ารปญั ญา) ๑๓. อัปปะคัพโภ เป็นผู้ไม่คะนองกายวาจา (เว้นจากการ คะนองกาย ๘, วาจา ๔, ทางใจหลายฐานะ) กายปสั สทั ธ ิ จิตตปสั สทั ธิ ** สัลละหกุ ะวุตติ คอื เบากายเบาจติ เพราะมีสลั เลขธรรม (เครอ่ื งขดู เกลา) หรอื ธุดงควตั ร (ธุต = ขจดั ขดั เกลา)
ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร ๑๔. กุเลสุ อะนะนุคิทโธ เป็นผู้ไม่ติดพันในสกุลท้ังหลาย (ไม่เศรา้ โศก ไม่รา่ เรงิ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ร่วมด้วย) ตัตตรมชั ฌัตตตา ๑๕. นะ จะ ขุททัง สะมาจเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง เป็นผู้ไม่ประพฤติทุจริตแม้เล็กน้อย อะไรๆ ซ่ึงเป็นเหตุให้ท่านผู้รู้เหล่าอ่ืนติเตียนได้ (ขุททะ คือบาปธรรม ได้แก่ ไม่ประพฤติทุจริต ๓ แม้จ�ำนวน นอ้ ยหรอื ขนาดเล็กน้อย) หริ ิพละ โอตตัปปะพละ 64 สกิ ขา ๓ ๑๖. สขุ ิโน วา เขมโิ น โหนตุ สัพเพ สตั ตา ภะวนั ตุ สุขิตตั ตา .... พึงแผไ่ มตรีจติ ไปในหมสู่ ัตว์วา่ “ขอสัตว์ท้งั หลายทง้ั ปวงจงเปน็ ผู้มสี ุข .... เมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา (อปั ปมญั ญา) .... เอตงั สะติง อะธฏิ เฐยยะ พรฺ๎ หั มฺ๎ ะเมตัง วหิ ารงั อธิ ะมาหุ ผู้ทีเ่ ข้าไปต้ังเมตตาสติอยา่ งนน้ั ทา่ นเรียกว่าอยดู่ ้วยพรหมวิหาร
ธรี ปัญโญ ๑๗. ทิฏฐิญจะ อะนุปะคมั มะ บคุ คลผนู้ นั้ ยอ่ มไมต่ กไปในมจิ ฉาทฏิ ฐ ิ คอื ความเหน็ ผดิ วา่ เป็นตัวเป็นตน (สักกายทิฏฐิ) ปัญญา สลี ะวา เป็นผมู้ ศี ีล วริ ตี ๑๘. ทสั สะเนนะ สมั ปนั โน ถงึ พรอ้ มแล้วดว้ ยการรูเ้ หน็ ตามความเป็นจรงิ ปัญญา (สัมมาทฏิ ฐิในโสดาปตั ตมิ รรค) ออกจากกามเป็นอานสิ งส์ 65 กาเมส ุ วเิ นยยะ เคธัง นะ หิ ชาต ุ คพั ภะเสยยงั ปุนะเรตตี ิ ฯ ก�ำจัดความยนิ ดีในกามทง้ั หลายได ้ ย่อมไมเ่ ขา้ ถึงซึ่งความนอนในครรภ์ (คือการเกิดอกี ) โดยแท้ทเี ดียวแล เนกขมั มะ (การออก) บรรพชาออกจากกาม ฌานออกจากนิวรณ์ วิปัสสนาออก จากวิปัลลาส อริยมรรคออกจากกิเลสเป็นสมุจเฉท นิพพาน ออกจากสงั ขาร กศุ ลกรรมบถออกจากอกศุ ลกรรมบถทง้ั ปวง
ก ร ณี ย เ ม ต ต สู ต ร สทั ธา สติ หิริ โอตตปั อโลภะ อโทสะ ตตั ตระ สวมัาจมาา กสัมัมมมันา อสามั ชมีวาะ วริ ต ี ๓ กายปสั จติ ตปสั กายลหุ จติ ตลหุ กรณุ า มุทิตา อัปปมญั ญา ๒ โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ปญั ญนิ ทรีย ์ ๑ กายมุทุ จิตตมทุ ุ 66 กกมั ามยัญ กจัมิตมตญั ปกาคายุญ ปจาิตคตญุ ปัญญา กายชุ กุ จิตตุชกุ โสภณเจตสิก ๒๕
ธีรปัญโญ กรณียมตั ถกุสเลน... ๑ ๑๑ ๑๕ ๗/๘ ๔ ๑๔ สกั โก* สตินทรีย์ นะ จะ ขทุ ทงั ... สนั ตุส/ สุวโจ กุเลสุ สุภโร อนนคุ ทิ สี ล วา สีลวา ๑๓ อปั ป คพั โภ อปั ป มัญญา สขุ โิ น วา เขมิโน โหตุ... ๑๐ เมตตา จ สัพพโลกสั มงิ ๑๒ สลั ลหุ กวตุ ติ ทัสสเนน สมั ปันโน นิปโก ๕ 67๖ มทุ ุ อนตมิ านี ๑ สัก โก ๙ อปั ป กิจโจ ๒ ๓ อุชุ สุหุชุ กรณียเมตตสตู ร วตั ร ๑๕ สกิ ขา ๓ องคธ์ รรม * สักโก นอกจาก สัทธา แล้ว ยงั ตอ้ งรวม วิรยิ ะ ในมหากศุ ล ญาณสมั ปยตุ ตจิต ดว้ ย
กรณปียิดเทมตา้ ตยสูตร คนเรา มีสองตาฉันใด ความรัก ก็มีสองตาฉันนั้น คือมี ท้งั รกั แบบตัณหา และ รักแบบเมตตา เมตตา เป็น รักแบบเปิดตา มีเสกขาที่เป็นผลของการได้ ใกล้ชิดกลั ยาณมติ ร ท่ีจะพฒั นาไปสู่ตาปัญญา สอู่ ิสระในทสี่ ดุ ... มีมุทติ า ตาเยน็ เปน็ คู่ ตัณหา เป็น รักแบบปิดตา เพราะถูกมานะเบียดและ โมหะบังไว ้ ผลกลายเป็นตาข่ายมดั ดักสัตวไ์ ว้ใหเ้ วยี นว่าย วนไป 68 ในวัฏสงสาร...มีอจิ ฉา ตารอ้ นเปน็ คู่ รกั แบบตณั หา เปน็ รกั ด้อยพฒั นา รักแบบศรทั ธาและเมตตา เปน็ รกั ทก่ี ำ� ลังพฒั นา สว่ นรกั แบบปญั ญาและอเุ บกขา เปน็ รกั ทพี่ ฒั นาแลว้ เปน็ ตาที่สาม ตาตรงกลางที่เข้าใจความเป็นไปของสัตว์ท่ีเป็นไปตาม กรรมของตน เม่อื เราทำ� ดีท่สี ุดแล้วกว็ างเฉยไดด้ ว้ ยปญั ญา เมตตา มีตาปัญญา ที่มีกัลยาณมิตร (พระพุทธเจ้า) มา ใกลช้ ดิ ชว่ ยเปดิ ตาให ้ [เมต คือมติ รทม่ี าคอยนำ� ] แต่ตัณหา ตาปัญญาถูกปิดไว้ด้วย โมหะ (ห) มีมานะ มาคอยขัด (ณ) กลางตา [ณห มาแทรกปิดตาไว้] เป็นธุลีใน ดวงตา นอกจากจะระคายตาแล้วยังต้องหลั่งน้�ำตาด้วยความ ทุกขอ์ ีกดว้ ย [คือ ั บนตา]
ธรี ปัญโญ รักตัณหา มอี วชิ ชาเปน็ เหตุ มีทกุ ข์เปน็ ผล 69 รักศรทั ธาและเมตตา มปี ญั ญาเป็นเหตุ มสี ุขและพน้ ทุกข์ เปน็ ผล รกั ทแี่ ทจ้ รงิ จงึ เกดิ จากการเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซง้ึ ถงึ ความไมง่ าม ตามธรรมชาติของสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ต่างก็ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ไม่มีอิสระในตัวเอง น่ีแหละจึงเป็นรักเมตตา ปรารถนาดี หวัง ให้สรรพสัตว์มีความสุข มีอิสระ พ้นจากทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง รัก เมตตา จึงน�ำไปสู่การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิต แต่รัก ตัณหา เป็นการปฏิเสธความจริงของชีวิต ดังน้ันตรงกันข้ามกับ ความเข้าใจของคนท่ัวไป (การเข้าใจ)ความไม่งามต่างหาก ที่น�ำ ไปส่คู วามรักที่แท้ ความไม่งาม คอื ความรกั รักเมตตา อยู่ตรงหน้า อสภุ ะ รักราคะ ซอ่ นอย่ ู กระจก*หลัง รักเมตตา ปฏิบตั ิ ย่งิ ชัดจัง รกั ราคะ กระจกพัง กห็ ลงั่ นำ้� ตา ฯ * กระจก คือ นิจจวิปลาส สุขวปิ ลาส และอตั ตวิปลาส
ประวัตยิ อ่ พระมหากีรต ิ ธีรปัญโญ พระมหากีรติ ฉายา ธีรปัญโญ ชื่อเดิม นพ.กีรติ ศรีวัฒนา เกิดเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ อ. พนัสนิคม จ. ชลบุรี เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาท่ี รร. สาธิตจุฬา รุ่น ๒๐ เรียน 70 เตรยี มอดุ มศกึ ษา รนุ่ ๔๕, แพทยจ์ ฬุ าฯ รหสั ๒๗ รนุ่ ๔๐, จ บ แ พ ท ย ศ า ส ต ร ์ บั ณ ฑิ ต ( เ กี ย ร ติ นิ ย ม อั น ดั บ ๑ ) จ า ก จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ปี ๒๕๓๓, ได้ American Board of Pediatrics จาก Children Hospital of Michigan ปี ๒๕๓๗ โดยได้รับรางวัลงานวิจัยดีเด่น เร่ือง การตรวจคัดกรองเด็กท่ีได้รับพิษสารตะก่ัวโดยวิธี เจาะตรวจปลายนวิ้ , จบ Pediatric Endocrinology จาก Children Hospital Medical Center Cincin- nati Ohio ปี ๒๕๔๐ โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงของ gene ในคนไข ้ diabetes insipidus ทมี่ ผี ลตอ่ การผลติ
ฮอร์โมน Vasopressin, นับเป็นแพทย์ไทยคนแรกที่จบ 71 Pediatric Endocrinology Sub Board จากประเทศ อเมริกา ช่วงท่ีเรียนท่ีอเมริกา ปี ๒๕๓๗ ได้พบพระอาจารย์ ชยสาโร เจา้ อาวาสวดั ปา่ นานาชาต ิ (พระชาวองั กฤษ ลกู ศษิ ย์ หลวงปชู่ า) และไดเ้ ขา้ รว่ ม backpack retreat (กรรมฐาน แบกเป้ท่องป่า) ร่วมกับคณะนักเรียนไทยเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ ในช่วงเวลาท่ีได้ใกล้ชิดกับพระป่าสายกรรมฐานนี้ ได้เกิดความสงบ และความเข้าใจหลายๆ อย่าง กลับมา เมืองไทยปี ๒๕๔๑ จึงได้เดินทางไปขอฝึกปฏิบัติ บวชเป็น ผา้ ขาวและสามเณรทวี่ ดั ปา่ นานาชาต ิ จ. อบุ ลราชธาน ี และได้ อปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษทุ วี่ ดั หนองปา่ พง ในวนั ท ่ี ๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยมีพระราชภาวนาวิกรม (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมฺโม) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์ชยสาโรเป็น พระกรรมวาจาจารย์ ฝึกอบรมท่ีวัดป่านานาชาติอยู่ ๕ ปี แล้วออกมาช่วยเป็นรองเจ้าอาวาสที่วัดป่าสว่างบุญ (วัดป่า บุ ญ ล ้ อ ม ) อ . ส ว ่ า ง วี ร ะ ว ง ศ ์ จ . อุ บ ล ร า ช ธ า นี ร ะ ห ว ่ า ง นี้ ได้ปฏิบัติหน้าท่ีเป็นพระธรรมทูตท่ีประเทศอเมริกา และนิวซีแลนด์ อยู่ ๓ ปี ทุกๆ ปี ต้ังแต่ ๗ ปีที่ผ่านมา
จะเดินทางไปประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพ่ือท�ำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษส�ำหรับครูบาอาจารย์ พระมหาเถระสายวัดหนองป่าพงที่ไปเทศน์หรือสอนกรรม- ฐานท่ีน่ัน สอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค ปัจจุบันก�ำลัง เรียนบาลีไวยากรณ์แบบด้ังเดิมหลักสูตรพระไตรปิฎก ๙๐๐ ช่ัวโมง อยู่ที่วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ รวมเวลา อยู่ในสมณเพศ ถงึ ปจั จบุ นั ได้ ๒๐ พรรษา 72 ผลงานหนงั สอื • วถิ ีวิเวก หนังสอื ธรรมะคัดสรรสน้ั ๆ สองภาษา ประกอบภาพวถิ ชี ีวิตพระปา่ โดยมลู นิธิธมั มครี ี • ทำ� วัตรสวดมนต ์ วัดปา่ บุญลอ้ ม • บทสวดมหาสติปัฏฐานสูตรและคำ� แปล ฉบบั สองภาษา • วันพระ เนกขัมมะ และมรณภัย โดย ชมรมกลั ยาณธรรม • สูตรหายใจ รวมพระสตู รส�ำหรบั ผรู้ กั การสวด • กรณียเมตตสตู ร โดยชมรมกัลยาณธรรม • เขียนบทความธรรมะประจ�ำลงในวารสารรายเดือน ชื่อโพธิยาลัย ของวัดจากแดง
“รักตัณหา เปน็ รกั ตอ้ งโทษ โปรดการรอเสพเสวย รักเมตตา เปน็ รักตอ้ งทำา นำากรณยี ะไม่ละเลย” Fwacwewb.koaonkla: ykaannalatyaamn.actoamm
Search