Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (คู่มือโสดาบัน)

พุทธวจน (คู่มือโสดาบัน)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-10 00:16:56

Description: พุทธวจน (คู่มือโสดาบัน)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 3​ 5 ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ ยอ่ มไมม่ ี ความสงสัยอย่างนี้ วา่ :- “เพราะอะไรไม่มี อะไรจงึ ไม่มีหนอ; เพราะอะไรดบั อะไรจงึ ดับ; เพราะอะไรไมม่ ี นามรูปจึงไม่มี; เพราะอะไรไม่มี สฬายตนะจงึ ไม่ม;ี เพราะอะไรไม่มี ผัสสะจงึ ไม่ม;ี เพราะอะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี; เพราะอะไรไมม่ ี ตัณหาจึงไมม่ ี; เพราะอะไรไมม่ ี อุปาทานจงึ ไม่มี; เพราะอะไรไม่ม ี ภพจงึ ไม่ม;ี เพราะอะไรไม่มี ชาติจงึ ไม่มี; เพราะอะไรไมม่ ี ชรามรณะจึงไมม่ ”ี ดังนี้.

3​ 6 พุทธวจน ภกิ ษุทั้งหลาย ! โดยทแ่ี ท้ อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ ย่อมมีญาณหย่งั รใู้ นเรื่องนโ้ี ดยไมต่ อ้ งเช่อื ผอู้ ่ืน วา่ :- “เพราะสงิ่ นีไ้ มม่ ี ส่งิ น้จี ึงไม่ม;ี เพราะสิ่งน้ีดับ สิง่ น้จี งึ ดบั ; เพราะวญิ ญาณไมม่ ี นามรูปจึงไมม่ ี; เพราะนามรปู ไมม่ ี สฬายตนะจงึ ไมม่ ี; เพราะสฬายตนะไม่มี ผสั สะจงึ ไมม่ ี; เพราะผสั สะไมม่ ี เวทนาจึงไม่ม;ี เพราะเวทนาไมม่ ี ตัณหาจึงไม่มี; เพราะตณั หาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี; เพราะอปุ าทานไม่มี ภพจึงไม่มี; เพราะภพไมม่ ี ชาตจิ ึงไม่มี; เพราะชาตไิ มม่ ี ชรามรณะจึงไมม่ ”ี ดังนี.้ อรยิ สาวกนนั้ ย่อมรูป้ ระจกั ษ์อยา่ งน้ี วา่ “โลกน้ี ย่อมดับดว้ ยอาการอยา่ งน้ี” ดังน.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 3​ 7 ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อรยิ สาวก ยอ่ มมารปู้ ระจกั ษถ์ งึ เหตุเกิดและความดับแห่งโลก ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ในกาลใด; ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้ ว่า :- “ผู้สมบูรณ์แลว้ ดว้ ยทฏิ ฐิ” ดังนี้บ้าง; “ผู้สมบรู ณแ์ ลว้ ด้วยทัสสนะ” ดังน้บี า้ ง; “ผมู้ าถงึ พระสัทธรรมนี้แล้ว” ดังน้บี ้าง; “ผไู้ ด้เห็นอย่ซู ่ึงพระสัทธรรมน้”ี ดงั นี้บา้ ง; “ผู้ประกอบแลว้ ดว้ ยญาณอนั เปน็ เสขะ” ดังนี้บา้ ง; “ผู้ประกอบแลว้ ดว้ ยวชิ ชาอนั เป็นเสขะ” ดงั นบ้ี ้าง; “ผถู้ ึงซ่งึ กระแสแห่งธรรมแล้ว” ดังนบ้ี ้าง; “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังนี้บา้ ง; “ยนื อยจู่ รดประตแู ห่งอมตะ” ดังนี้บา้ ง, ดงั นี้ แล. นิทาน. ส.ํ ๑๖/๙๒-๙๕/๑๗๘-๑๘๗.

3​ 8 พุทธวจน

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 3​ 9 ๑๔ พระโสดาบนั คอื ผเู้ หน็ ชดั รายละเอยี ด แตล่ ะสายของปฏจิ จสมปุ บาทตลอดทง้ั สาย โดยนยั แหง่ อรยิ สจั ส่ี (เห็นตลอดสาย นยั ทห่ี นึ่ง) ภิกษุทง้ั หลาย ! จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย

4​ 0 พุทธวจน เพราะมชี าตเิ ปน็ ปจั จยั   ชรามรณะ  โสกะปรเิ ทวะทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสทง้ั หลาย  จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น  :  ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทุกข์ท้งั สน้ิ น ้ี ยอ่ มม ี ด้วยอาการอยา่ งน.้ี ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ก็ ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความแก่  ความครำ�่ คร่า  ความมีฟันหลุด  ความมี ผมหงอก ความมีหนงั เหย่ี ว ความส้ินไปแหง่ อายุ ความ แกร่ อบแห่งอินทรียท์ ้งั หลาย ในสตั วนกิ ายน้นั ๆ ของสัตว์ ทง้ั หลายเหลา่ นน้ั ๆ  :  นเ้ี รยี กวา่ ชรา. การจตุ ิ ความเคลอ่ื น การแตกสลาย การหายไป การวายชพี การตาย การท�ำ กาละ การแตกแหง่ ขนั ธท์ ง้ั หลาย  การทอดทง้ิ รา่ ง  การขาดแห่ง อินทรีย์ คือ ชีวิตจากสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย เหลา่ นั้นๆ  :  นเ้ี รียกวา่ มรณะ. ชรานด้ี ว้ ย มรณะนดี้ ้วย ย่อมมีอย่ ู ดังน้;ี   ภิกษุท้งั หลาย  !  น้เี รียกว่า  ชรามรณะ.  ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชรามรณะ  ย่อมมี  เพราะ ความก่อข้ึนพร้อมแห่งชาติ;  ความดับไม่เหลือแห่ง ชรามรณะ  ย่อมมี  เพราะความดับไม่เหลือแห่งชาติ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐน่ันเอง 

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 4​ 1 เป็นปฏิปทาให้ถึงซ่งึ ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ, ได้แก่ส่ิงเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ียงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ก็ ชาติ เป็นอย่างไรเลา่ ? การเกิด  การกำ�เนิด  การก้าวลง  (ส่คู รรภ์)  การ บังเกิด  การบังเกิดโดยยิ่ง  ความปรากฏของขันธ์ทั้ง หลาย  การที่สัตว์ได้ซ่ึงอายตนะทั้งหลาย  ในสัตวนิกาย น้ันๆ  ของสัตว์ท้ังหลายเหล่าน้ันๆ  :  ภิกษุท้ังหลาย  !  นี้เรียกว่า  ชาติ.  ความก่อข้ึนพร้อมแห่งชาติ  ย่อมมี  เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งภพ;  ความดับไม่เหลือ แห่งชาติ  ย่อมมี  เพราะความดับไม่เหลือแห่งภพ;  มรรคอันประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสริฐน่นั เอง  เปน็ ปฏิปทาให้ถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งชาติ,  ได้แก่สิ่ง เหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ  การพูดจา ชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ียงชีวิตชอบ  ความ พากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความต้ังใจมั่นชอบ.

4​ 2 พุทธวจน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ก็ ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? ภกิ ษุทั้งหลาย ! ภพทง้ั หลาย ๓ อยา่ งเหลา่ น้ี คอื กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ  :  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ! นเ้ี รยี กวา่ ภพ. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ภพ ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ อุปาทาน; ความดบั ไม่เหลือแหง่ ภพ ยอ่ มมี เพราะ ความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน; มรรคอันประกอบด้วย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไม่เหลือแห่งภพ,  ได้แก่สิ่งเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตัง้ ใจม่นั ชอบ. ภิกษทุ ั้งหลาย ! ก็ อุปาทาน เป็นอยา่ งไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! อุปาทานทั้งหลาย ๔ อย่าง เหล่าน้ี คือ ความยึดมน่ั ในกาม ความยึดมัน่ ในความเห็น ความยดึ มน่ั ในขอ้ ปฏบิ ตั ทิ างกายและวาจา (ศลี พรต) ความ ยึดมั่นในความเป็นตัวตน  :  ภิกษุท้ังหลาย  !  น้ีเรียกว่า อุปาทาน.  ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอุปาทาน  ย่อมมี เพราะความก่อข้ึนพร้อมแห่งตัณหา;  ความดับไม่เหลือ

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 4​ 3 แหง่ อปุ าทาน ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์แปดอันประเสริฐนัน่ เอง เป็น ปฏิปทาให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน, ได้แก่ สง่ิ เหลา่ น ้ี คอื   ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ การพดู จาชอบ การท�ำ การงานชอบ  การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ ความระลึกชอบ  ความต้งั ใจมัน่ ชอบ. ภิกษุท้งั หลาย ! ก็ ตณั หา เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุท้งั หลาย ! หมู่แห่งตัณหาทั้งหลาย ๖ หมู่ เหลา่ น ้ี คือ  ความอยากในรปู ความอยากในเสยี ง ...ในกลน่ิ ...ในรส ...ในสัมผัสทางกาย ความอยากในธรรมารมณ์: ภิกษุทัง้ หลาย ! น้เี รยี กวา่ ตัณหา. ความก่อขน้ึ พรอ้ ม แหง่ ตณั หา ยอ่ มมี เพราะความก่อขน้ึ พรอ้ มแหง่ เวทนา; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ เวทนา; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา, ได้แก่สิ่งเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ียงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ.

4​ 4 พุทธวจน ภกิ ษุทั้งหลาย ! ก็ เวทนา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ภิกษทุ ้งั หลาย ! หม่แู หง่ เวทนาท้ังหลาย ๖ หมู่ เหลา่ น้ี คอื เวทนาทเ่ี กดิ จากสมั ผสั ทางตา ...ทางห .ู ..ทางจมกู ...ทางล้นิ ...ทางกาย และเวทนาท่ีเกดิ จากสัมผสั ทางใจ : ภิกษุทงั้ หลาย ! น้เี รียกว่า เวทนา. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ ม แห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ เวทนา ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ เวทนา, ได้แก่สิ่งเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ียงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ก็ ผสั สะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุท้ังหลาย ! หมแู่ หง่ ผัสสะทั้งหลาย ๖ หมู่ เหลา่ น้ี คือ สัมผสั ทางตา ...ทางหู ...ทางจมกู ...ทางลนิ้ ...ทางกาย สมั ผสั ทางใจ  :  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ! นเ้ี รยี กวา่ ผสั สะ. ความกอ่ ขนึ้ พร้อมแห่งผัสสะ ย่อมมี เพราะความก่อข้นึ พรอ้ มแหง่ สฬายตนะ; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ ยอ่ มมี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 4​ 5 เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ; มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไม่เหลือแหง่ ผสั สะ, ไดแ้ ก่สิง่ เหลา่ น ี้ คอื   ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตัง้ ใจมน่ั ชอบ. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ก็ สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? จกั ขว๎ ายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชวิ หายตนะ กายายตนะ มนายตนะ : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า สฬายตนะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ ย่อมมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ นามรปู ; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ียงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ.

4​ 6 พุทธวจน ภิกษุทง้ั หลาย ! ก็ นามรปู เป็นอยา่ งไรเลา่ ? เวทนา สญั ญา เจตนา ผสั สะ มนสกิ าร  :  นเ้ี รยี กวา่ นาม. มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย  : นเ้ี รยี กวา่ รปู . นามนด้ี ว้ ย รปู นด้ี ว้ ย ยอ่ มมอี ยอู่ ยา่ งน ้ี : ภกิ ษุ ทัง้ หลาย ! นี้เรยี กวา่ นามรปู . ความกอ่ ขน้ึ พร้อมแห่ง นามรปู ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขนึ้ พรอ้ มแห่งวญิ ญาณ; ความดับไม่เหลือแห่งนามรูป ย่อมมี เพราะความดับ ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู ,  ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คอื   ความเหน็ ชอบ  ความด�ำ รชิ อบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ก็ วญิ ญาณ เปน็ อย่างไรเล่า ? ภิกษุทง้ั หลาย ! หมแู่ หง่ วญิ ญาณทง้ั หลาย ๖ หมู่ เหล่านี้ คือ จักขุวิญญาณ (ผู้รู้แจ้งทางตา) โสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชวิ หาวญิ ญาณ กายวญิ ญาณ มโนวญิ ญาณ (ผู้รู้แจ้งทางใจ)  :  ภิกษุทั้งหลาย  !  นี้เรียกว่า  วิญญาณ. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ วญิ ญาณ ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ สงั ขาร; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ ยอ่ มมี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 4​ 7 เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร; มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ, ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คือ  ความเหน็ ชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตัง้ ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ก็สงั ขารทง้ั หลาย เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สงั ขารทง้ั หลาย ๓ อย่างเหลา่ นี้ คอื กายสงั ขาร (ความปรงุ แตง่ ทางกาย) วจสี งั ขาร (ความปรงุ แตง่ ทางวาจา)  จติ ตสังขาร (ความปรุงแต่งทางใจ)  :  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ! เหล่านี้เรียกว่า  สังขารทั้งหลาย.  ความก่อขึ้นพร้อม แห่งสังขารย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชา; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ียงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ.

4​ 8 พุทธวจน ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม อันเป็นปัจจัย (เหตุ) วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ; มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ เหตแุ หง่ ธรรม อนั เปน็ ปจั จยั วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ; มาร้ทู ว่ั ถงึ ซ่งึ ความดับไมเ่ หลอื แห่งธรรม อันเป็นปัจจัย  ว่าเป็นอย่างน้ีๆ;  มารู้ท่ัวถึงซ่ึงข้อปฏิบัติ เคร่ืองทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็น ปจั จัย  ว่าเปน็ อย่างนๆ้ี ดังน;้ี ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น ว่า :- “ผสู้ มบูรณ์แล้วด้วยทฏิ ฐ”ิ ดงั นบี้ า้ ง; “ผสู้ มบรู ณ์แล้วด้วยทัสสนะ” ดงั นี้บ้าง; “ผู้มาถงึ พระสัทธรรมนแ้ี ล้ว” ดังน้ีบ้าง; “ผู้ได้เหน็ อยซู่ ึง่ พระสัทธรรมน”ี้ ดงั นบ้ี ้าง; “ผูป้ ระกอบแลว้ ด้วยญาณอันเปน็ เสขะ” ดงั นบี้ ้าง; “ผปู้ ระกอบแล้วดว้ ยวชิ ชาอันเปน็ เสขะ” ดังน้บี ้าง; “ผ้ถู งึ ซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว” ดงั นี้บ้าง; “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังนี้บา้ ง; “ยืนอยจู่ รดประตูแหง่ อมตะ” ดังนบ้ี า้ ง, ดังน้ี แล. นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๕๐-๕๑/๘๘-๙๐.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 4​ 9 ๑๕ พระโสดาบนั คอื ผเู้ หน็ ชดั รายละเอยี ด แตล่ ะสายของปฏจิ จสมปุ บาทตลอดทง้ั สาย โดยนยั แหง่ อรยิ สจั ส่ี (เห็นตลอดสาย นยั ทส่ี อง) ภิกษุทง้ั หลาย ! ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่ง ชรามรณะ, รู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกิดขึ้นแห่งชรามรณะ, รู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่ง ชรามรณะ, รู้ทั่วถงึ ซ่ึงขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไม่เหลือแห่งชรามรณะ; ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่ง ชาติ, รู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น แหง่ ชาต,ิ รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาต,ิ รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาต;ิ

5​ 0 พุทธวจน ย่อมรู้ท่ัวถึงซ่ึง  ภพ,  รู้ท่ัวถึงซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น แห่งภพ, รู้ท่วั ถึงซงึ่ ความดบั ไม่เหลือแห่งภพ, รทู้ ัว่ ถงึ ซง่ึ ข้อปฏิบตั เิ ครื่องท�ำ สตั ว์ให้ลถุ งึ ความดบั ไม่เหลือแห่งภพ; ยอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ   อปุ าทาน,  รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แห่งอุปาทาน,  รู้ท่ัวถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่ง อุปาทาน,  รู้ทั่วถึงซ่ึงข้อปฏิบัติเคร่ืองทำ�สัตว์ให้ลุถึง ความดบั ไม่เหลือแห่งอปุ าทาน; ย่อมร้ทู ่วั ถึงซ่งึ   ตัณหา,  ร้ทู ่วั ถึงซ่งึ เหตุให้เกิดข้นึ แห่งตัณหา,  รู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งตัณหา,  รู้ทั่วถึงซ่ึงข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุความดับไม่เหลือ แห่งตณั หา; ย่อมร้ทู ่วั ถึงซ่งึ   เวทนา,  ร้ทู ่วั ถึงซ่งึ เหตุให้เกิดข้นึ แห่งเวทนา,  รู้ท่ัวถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา,  รู้ท่ัวถึงซึ่งข้อปฏิบัติเคร่ืองทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่ เหลือแห่งเวทนา; ยอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ   ผสั สะ, รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ ผสั สะ,  รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ,  รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 5​ 1 ยอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ   สฬายตนะ, รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ สฬายตนะ, รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ, ร้ทู ่วั ถึงซ่งึ ข้อปฏิบัติเคร่อื งทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ แห่งสฬายตนะ; ย่อมรู้ทว่ั ถงึ ซ่ึง  นามรูป, รทู้ ั่วถงึ ซ่งึ เหตุให้เกดิ ขึน้ แห่งนามรูป,  รู้ท่ัวถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งนามรูป, ร้ทู ่วั ถงึ ซ่งึ ข้อปฏิบัติเคร่อื งทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ แหง่ นามรปู ; ยอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ   วญิ ญาณ, รทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แห่งวญิ ญาณ, รทู้ วั่ ถึงซึง่ ความดบั ไม่เหลือแหง่ วญิ ญาณ, ร้ทู ่วั ถึงซ่งึ ข้อปฏิบัติเคร่อื งทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ แหง่ วญิ ญาณ; ยอ่ มรูท้ ่วั ถึงซ่ึง  สังขาร, รทู้ ัว่ ถึงซึ่งเหตุให้เกิดขนึ้ แห่งสังขาร,  รู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสังขาร,  ร้ทู ่วั ถึงซ่งึ ข้อปฏิบัติเคร่อื งทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ แหง่ สงั ขาร.

5​ 2 พุทธวจน ภกิ ษุทั้งหลาย ! ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความแก่ ความคร�่ำ คร่า ความมฟี นั หลุด ความมี ผมหงอก ความมหี นงั เห่ยี ว ความสิ้นไปๆ แหง่ อายุ ความ แก่รอบแหง่ อินทรยี ท์ งั้ หลาย ในสัตวนิกายนัน้ ๆ ของสตั ว์ ท้งั หลายเหล่านัน้ ๆ : น้ีเรยี กว่า ชรา. การจุติ การเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การท�ำ กาละ การแตกแหง่ ขนั ธท์ ง้ั หลาย การทอดทง้ิ รา่ ง การขาด แหง่ อนิ ทรยี   คอื   ชวี ติ จากสตั วนกิ ายนน้ั ๆของสตั วท์ ง้ั หลาย เหลา่ นน้ั ๆ  :  นเ้ี รยี กวา่ มรณะ. ชรานด้ี ว้ ย มรณะนด้ี ว้ ย ยอ่ มมอี ยูด่ ังนี้; ภกิ ษุทั้งหลาย  ! น้เี รยี กวา่ ชรามรณะ. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ชรามรณะ ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแห่งชาต;ิ ความดบั ไมเ่ หลือแห่งชรามรณะ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาติ; มรรคอันประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ, ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คอื   ความเหน็ ชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตั้งใจม่ันชอบ.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 5​ 3 ภกิ ษุทั้งหลาย ! ชาต ิ เป็นอย่างไรเลา่ ? การเกิด การก�ำ เนิด การกา้ วลง (สคู่ รรภ)์ การ บงั เกดิ การบงั เกดิ โดยยง่ิ ความปรากฏของขนั ธท์ ง้ั หลาย การทส่ี ตั วไ์ ดซ้ ง่ึ อายตนะทง้ั หลาย ในสตั วนกิ ายนน้ั ๆ ของ สตั วท์ ง้ั หลายเหลา่ นน้ั ๆ  :  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ! นเ้ี รยี กวา่ ชาต.ิ ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ชาต ิ ยอ่ มม ี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ ภพ;  ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาติ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ภพ;  มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง  เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาต,ิ   ไดแ้ ก่ สง่ิ เหลา่ น ้ี คือ  ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ การพดู จาชอบ การท�ำ การงานชอบ  การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ  ความตัง้ ใจมนั่ ชอบ. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภพ เป็นอย่างไรเลา่ ? ภิกษุทงั้ หลาย ! ภพทง้ั หลาย ๓ อยา่ งเหลา่ น้ี คอื กามภพ รูปภพ อรูปภพ :  ภิกษุทัง้ หลาย  ! นเ้ี รยี กวา่ ภพ.  ความก่อข้ึนแห่งภพ  ย่อมมี  เพราะความก่อข้ึน พร้อมแห่งอุปาทาน;  ความดับไม่เหลือแห่งภพ  ย่อมมี

5​ 4 พุทธวจน เพราะความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน;  มรรคอัน ประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง  เป็นปฏิปทา ให้ถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งภพ,  ได้แก่ส่ิงเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การท�ำ การงานชอบ  การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลึกชอบ  ความตัง้ ใจมน่ั ชอบ. ภิกษุท้งั หลาย ! อปุ าทาน เป็นอยา่ งไรเล่า ? ภิกษทุ ้ังหลาย ! อปุ าทานทง้ั หลาย ๔ อย่าง เหลา่ น ้ี คอื   กามปุ าทาน ทฏิ ฐปุ าทาน สลี พั พตั ตปุ าทาน อตั ตวาทปุ าทาน  : ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ! นเ้ี รยี กวา่ อปุ าทาน. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ อปุ าทาน ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ตณั หา; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา; มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน, ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คือ  ความเหน็ ชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมั่นชอบ.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 5​ 5 ภิกษทุ งั้ หลาย ! ตณั หา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทัง้ หลาย ! หมูแ่ หง่ ตัณหาท้งั หลาย ๖ หมู่ เหล่าน ี้ คอื   รูปตัณหา สทั ทตัณหา คันธตณั หา รสตณั หา โผฏฐพั พตณั หา ธมั มตณั หา : ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นเ้ี รยี กวา่ ตณั หา. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ตณั หา ยอ่ มมี เพราะความ กอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ เวทนา; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ เวทนา; มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งตัณหา,  ได้แกส่ ง่ิ เหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตงั้ ใจมั่นชอบ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เวทนา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! หมูแ่ ห่งเวทนาทง้ั หลาย ๖ หมู่ เหลา่ น ้ี คอื   จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา โสตสมั ผัสสชาเวทนา ฆานสมั ผัสสชาเวทนา ชวิ หาสมั ผสั สชาเวทนา กายสัม- ผัสสชาเวทนา  มโนสัมผัสสชาเวทนา  :  ภิกษุทั้งหลาย  ! น้เี รยี กวา่ เวทนา.  ความกอ่ ข้นึ พรอ้ มแห่งเวทนา ย่อมมี 

5​ 6 พุทธวจน เพราะความก่อข้ึนพร้อมแห่งผัสสะ;  ความดับไม่เหลือ แห่งเวทนา  ย่อมมี  เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐน่นั เอง  เป็น ปฏิปทาให้ถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา,  ได้แก่ ส่ิงเหล่าน้ี  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเล้ยี งชีวิตชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ผัสสะ เปน็ อย่างไรเล่า ? ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! หมู่แห่งผสั สะทง้ั หลาย ๖ หมู่ เหลา่ น้ี คอื จกั ขสุ ัมผสั โสตสมั ผัส ฆานสัมผสั ชิวหาสมั ผัส กายสมั ผสั มโนสมั ผสั   : ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นเ้ี รยี กวา่ ผสั สะ. ความก่อข้ึนพร้อมแหง่ ผัสสะ ย่อมมี เพราะความกอ่ ข้ึน พรอ้ มแหง่ สฬายตนะ; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ;  มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลือแหง่ ผสั สะ, ได้แกส่ ิ่งเหล่าน ี้ คือ  ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตั้งใจม่ันชอบ.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 5​ 7 ภิกษทุ ้งั หลาย ! สฬายตนะ1 เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! จักข๎วายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ : ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ! นเ้ี รยี กวา่   สฬายตนะ.  ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ สฬายตนะ ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ นามรปู ; ความดับไม่เหลือแหง่ สฬายตนะ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู ; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ, ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น้ี คอื ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภิกษุทัง้ หลาย ! นามรปู เป็นอย่างไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสกิ าร : นเ้ี รยี กวา่ นาม, มหาภตู ทง้ั สด่ี ว้ ย รปู ทอ่ี าศยั มหาภตู ทง้ั สด่ี ว้ ย นเ้ี รยี กวา่ รปู , นามนด้ี ว้ ย รปู นดี้ ้วย ย่อมมอี ย่ดู งั น;้ี ภิกษทุ ง้ั หลาย ! นเ้ี รียกวา่ นามรปู . 1. คอื อายตนะภายในท้ัง ๖ และอายตนะภายนอกทั้ง ๖.

5​ 8 พุทธวจน ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ นามรปู ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ วญิ ญาณ; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ; มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู , ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คือ  ความเหน็ ชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจม่ันชอบ. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! วญิ ญาณ เป็นอย่างไรเลา่ ? ภกิ ษุทงั้ หลาย ! หมแู่ หง่ วญิ ญาณทง้ั หลาย ๖ หมู่ เหล่านี้  คือ  จักขุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ  กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ  :  ภิกษุ ท้ังหลาย ! นเ้ี รียกวา่ วิญญาณ. ความก่อขึ้นพรอ้ มแห่ง วิญญาณ ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขึน้ พรอ้ มแห่งสังขาร; ความดับไม่เหลือแหง่ วญิ ญาณ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไม่เหลือแหง่ สังขาร; มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ วญิ ญาณ, ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คอื   ความเหน็ ชอบ ความด�ำ รชิ อบ

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 5​ 9 การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภิกษุท้งั หลาย ! สงั ขารทง้ั หลายเปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารทง้ั หลาย ๓ อย่างเหลา่ นี้ คือ  กายสังขาร  วจีสังขาร  จิตตสังขาร  :  ภิกษุท้ังหลาย  ! เหล่านี้เรียกว่า  สังขารทั้งหลาย.  ความก่อขึ้นพร้อม แหง่ สงั ขาร ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ อวชิ ชา; ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แห่งอวิชชา; มรรคอนั ประกอบด้วยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร, ได้แก่สิ่งเหล่าน้ี  คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภิกษุท้ังหลาย ! ในการใดแล ภิกษุ ย่อมมารทู้ ่ัวถึงซงึ่ ชรามรณะ; มาร้ทู วั่ ถึงซ่ึงเหตุ ใหเ้ กิดข้นึ แห่งชรามรณะ; มารู้ทั่วถงึ ซึง่ ความดบั ไม่เหลอื แหง่ ชรามรณะ; มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ : วา่ เป็นอย่างน้ๆี .

6​ 0 พุทธวจน ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง ชาติ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกดิ ขน้ึ แหง่ ชาต;ิ มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาต;ิ มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับ ไมเ่ หลือแหง่ ชาติ : วา่ เปน็ อย่างนๆี้ . ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง ภพ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกิดข้นึ แห่งภพ;  มาร้ทู ่วั ถึงซ่งึ ความดับไม่เหลือแห่งภพ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับ ไม่เหลือแห่งภพ : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง อุปาทาน; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุ ให้เกิดข้ึนแห่งอุปาทาน;  มารู้ท่ัวถึงซ่ึงความดับไม่เหลือ แห่งอุปาทาน;  มารู้ท่ัวถึงซ่ึงข้อปฏิบัติเคร่ืองทำ�สัตว์ให้ ลถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน : วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี . ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง ตัณหา; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกดิ ขน้ึ แหง่ ตณั หา; มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ตณั หา; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับ ไม่เหลือแห่งตัณหา : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง เวทนา; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกดิ ขน้ึ แหง่ เวทนา; มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ เวทนา;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 6​ 1 มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับ ไม่เหลือแห่งเวทนา : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง ผัสสะ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกดิ ขน้ึ แหง่ ผสั สะ; มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับ ไม่เหลือแห่งผัสสะ : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง สฬายตนะ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุ ให้เกิดขน้ึ แหง่ สฬายตนะ; มารู้ทั่วถงึ ซ่งึ ความดบั ไม่เหลือ แห่งสฬายตนะ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง นามรูป; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกิดข้นึ แหง่ นามรปู ; มารทู้ วั่ ถงึ ซงึ่ ความดับไม่เหลือแหง่ นามรูป; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึง ความดับไม่เหลือแห่งนามรูป : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ย่อมมารทู้ วั่ ถงึ ซงึ่ วิญญาณ; มารทู้ ่วั ถงึ ซึง่ เหตใุ ห้ เกิดขึ้นแหง่ วิญญาณ; มารู้ทว่ั ถงึ ซึง่ ความดบั ไม่เหลอื แห่ง วิญญาณ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึง ความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ : ว่าเป็นอย่างนี้ๆ.

6​ 2 พุทธวจน ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง สังขาร; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุให้ เกดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร;  มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับ ไม่เหลือแห่งสังขาร  :  ว่าเป็นอย่างนี้ๆ. ภิกษทุ ้ังหลาย ! ในกาลนั้น เราเรียกภิกษุนั้น ว่า :- “ผสู้ มบรู ณแ์ ล้วดว้ ยทิฏฐิ” ดังนี้บ้าง; “ผ้สู มบรู ณ์แลว้ ดว้ ยทสั สนะ” ดงั นบ้ี า้ ง; “ผู้มาถงึ พระสัทธรรมนแ้ี ลว้ ” ดังนี้บา้ ง; “ผไู้ ดเ้ หน็ อยู่ซึง่ พระสัทธรรมน้”ี ดังนี้บ้าง; “ผปู้ ระกอบแลว้ ดว้ ยญาณอนั เป็นเสขะ” ดงั น้ีบา้ ง; “ผปู้ ระกอบแล้วด้วยวชิ ชาอนั เปน็ เสขะ” ดงั นีบ้ า้ ง; “ผู้ถึงซ่งึ กระแสแหง่ ธรรมแลว้ ” ดังนบ้ี ้าง; “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังนี้บ้าง; “ยืนอยู่จรดประตูแห่งอมตะ” ดังน้บี า้ ง, ดงั น้ี แล. นิทาน. สํ. ๑๖/๕๑-๕๓/๙๑-๙๓.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 6​ 3 ๑๖ ผรู้ ปู้ ฏจิ จสมปุ บาทแตล่ ะสายโดยนยั แหง่ อรยิ สจั ส่ี ทง้ั ปจั จบุ นั อดตี อนาคต ชอ่ื วา่ โสดาบนั (ญาณวตั ถุ ๔๔) ภิกษุทงั้ หลาย ! เราจกั แสดง ซงึ่ ญาณวตั ถ1ุ ๔๔ อยา่ ง แกพ่ วกเธอทงั้ หลาย. พวกเธอทงั้ หลายจงฟงั ขอ้ ความน้นั จงกระท�ำ ในใจใหส้ ำ�เร็จประโยชน์, เราจกั กลา่ วบดั น.้ี ครน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เหลา่ นน้ั ทลู รบั สนองพระพทุ ธด�ำ รสั แลว้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดต้ รสั ถอ้ ยค�ำ เหลา่ น้ี วา่ :- 1. ญาณวตั ถุ แปลว่า สิ่งซง่ึ เป็นทีก่ ำ�หนดพิจารณาของญาณ ญาณก�ำ หนด พิจารณาสิ่งใด สิ่งนัน้ เรียกวา่ ญาณวตั ถุ เฉพาะในกรณีน้ี หมายถงึ อาการ ๔ อยา่ งๆ ของปฏจิ จสมปุ บาทแตล่ ะอาการ ซึ่งมีอยู่ ๑๑ อาการ; ดังนั้น จึงเรียกวา่ ญาณวัตถุ ๔๔.

6​ 4 พุทธวจน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ก็ ญาณวัตถุ ๔๔ อย่าง เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ญาณวตั ถุ ๔๔ อย่าง  คือ  :- (หมวด ๑) ๑. ญาณ คือ ความรู้ ในชรามรณะ; ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตุให้เกดิ ขน้ึ แห่งชรามรณะ; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดับไมเ่ หลอื แห่งชรามรณะ; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในข้อปฏิบัตเิ ครอื่ งทำ�สตั วใ์ หล้ ถุ ึง ความดับไมเ่ หลอื แห่งชรามรณะ; (หมวด ๒) ๑. ญาณ คอื ความรู้ ในชาต;ิ ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตุให้เกดิ ขึ้นแหง่ ชาติ; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดับไมเ่ หลอื แห่งชาติ; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครื่องท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดับไม่เหลือแหง่ ชาติ;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 6​ 5 (หมวด ๓) ๑. ญาณ คือ ความรู้ ในภพ; ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตุใหเ้ กิดข้ึนแห่งภพ; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดับไม่เหลือแห่งภพ; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในข้อปฏบิ ตั เิ ครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึง ความดับไม่เหลือแหง่ ภพ; (หมวด ๔) ๑. ญาณ คอื ความรู้ ในอปุ าทาน; ๒. ญาณ คือ ความรู้ ในเหตใุ หเ้ กิดข้นึ แหง่ อปุ าทาน; ๓. ญาณ คือ ความรู้ ในความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน; ๔. ญาณ คือ ความรู้ ในขอ้ ปฏิบัติเครื่องทำ�สัตวใ์ ห้ลุถงึ ความดับไมเ่ หลอื แห่งอุปาทาน; (หมวด ๕) ๑. ญาณ คือ ความรู้ ในตัณหา; ๒. ญาณ คือ ความรู้ ในเหตุให้เกดิ ขน้ึ แหง่ ตณั หา; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดบั ไม่เหลอื แหง่ ตัณหา; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในข้อปฏิบตั เิ ครอ่ื งท�ำ สัตวใ์ ห้ลุถงึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งตัณหา;

6​ 6 พุทธวจน (หมวด ๖) ๑. ญาณ คอื ความรู้ ในเวทนา; ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตุให้เกิดขึน้ แหง่ เวทนา; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดับไม่เหลอื แห่งเวทนา; ๔. ญาณ คือ ความรู้ ในข้อปฏิบตั เิ ครื่องทำ�สัตว์ใหล้ ถุ ึง ความดับไม่เหลอื แห่งเวทนา; (หมวด ๗) ๑. ญาณ คือ ความรู้ ในผัสสะ; ๒. ญาณ คือ ความรู้ ในเหตุให้เกดิ ขน้ึ แหง่ ผสั สะ; ๓. ญาณ คือ ความรู้ ในความดับไมเ่ หลอื แหง่ ผสั สะ; ๔. ญาณ คือ ความรู้ ในขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครื่องท�ำ สตั ว์ให้ลุถงึ ความดบั ไม่เหลือแห่งผสั สะ; (หมวด ๘) ๑. ญาณ คอื ความรู้ ในสฬายตนะ; ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตใุ ห้เกิดขนึ้ แหง่ สฬายตนะ; ๓. ญาณ คือ ความรู้ ในความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สฬายตนะ; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในข้อปฏบิ ัติเครอ่ื งทำ�สัตว์ใหล้ ถุ งึ ความดับไมเ่ หลือแหง่ สฬายตนะ;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 6​ 7 (หมวด ๙) ๑. ญาณ คอื ความรู้ ในนามรูป; ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตใุ ห้เกิดขึน้ แหง่ นามรูป; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดับไมเ่ หลือแหง่ นามรปู ; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในข้อปฏิบตั ิเคร่ืองท�ำ สัตว์ใหล้ ุถึง ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ นามรปู ; (หมวด ๑๐) ๑. ญาณ คือ ความรู้ ในวญิ ญาณ; ๒. ญาณ คอื ความรู้ ในเหตุให้เกิดข้นึ แห่งวิญญาณ; ๓. ญาณ คอื ความรู้ ในความดับไม่เหลือแห่งวญิ ญาณ; ๔. ญาณ คือ ความรู้ ในขอ้ ปฏิบัติเครื่องท�ำ สตั ว์ใหล้ ุถึง ความดับไมเ่ หลือแห่งวิญญาณ; (หมวด ๑๑) ๑. ญาณ คือ ความรู้ ในสังขารทง้ั หลาย; ๒. ญาณ คือ ความรู้ ในเหตุใหเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร; ๓. ญาณ คือ ความรู้ ในความดบั ไม่เหลอื แห่งสังขาร; ๔. ญาณ คอื ความรู้ ในข้อปฏิบตั ิเครอื่ งท�ำ สัตว์ใหล้ ถุ ึง ความดบั ไม่เหลอื แหง่ สังขาร;

6​ 8 พุทธวจน ภิกษทุ ้ังหลาย ! เหล่าน้เี รยี กว่า ญาณวตั ถุ ๔๔ อยา่ ง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ก็ ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ความแก่ ความครำ�่ คร่า ความมฟี นั หลุด ความ มีผมหงอก ความมหี นงั เหยี่ ว ความสิน้ ไปๆ แห่งอายุ ความแกร่ อบแหง่ อนิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย ในสตั วนกิ ายนน้ั ๆ ของ สตั วท์ ง้ั หลายเหลา่ นน้ั ๆ  :  นเ้ี รยี กวา่ ชรา. การจตุ ิ ความ เคลอ่ื น การแตกสลาย การหายไป การวายชพี การตาย การท�ำ กาละ การแตกแหง่ ขนั ธท์ ง้ั หลาย การทอดทง้ิ รา่ ง การขาดแห่งอินทรีย์  คอื   ชีวิต จากสัตวนิกายนั้นๆ ของ สตั วท์ งั้ หลายเหล่าน้ันๆ  :  นเ้ี รียกว่า มรณะ. ชรานีด้ ว้ ย มรณะนดี้ ้วย ย่อมมอี ยู่ ดังนี้; ภิกษทุ ั้งหลาย ! น้เี รียกว่า ชรามรณะ.  ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชรามรณะ  ย่อมมี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ชาต;ิ   ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาต;ิ   มรรค อนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทา ให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ,ได้แก่สิ่งเหล่าน้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 6​ 9 คือ  ความเห็นชอบ  ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ การท�ำ การงานชอบ  การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความตง้ั ใจม่นั ชอบ. ภิกษทุ ้ังหลาย ! อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง ชรามรณะ วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี , มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ ชรามรณะ วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี , มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งชรามรณะ ว่าเปน็ อย่างนๆี้ , มารู้ทัว่ ถึงซงึ่ ขอ้ ปฏิบตั ิ เครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ  วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี , ในกาลใด; ในกาลนน้ั ความรนู้ ข้ี องอรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ ญาณในธรรม(ธมั มญาณ).  ดว้ ยธรรมนอ้ี นั อรยิ สาวกนน้ั เห็นแล้ว  ร้แู ล้ว  บรรลุแล้ว  หย่งั ลงแล้ว  และเป็นธรรม อันใช้ได้ไม่จำ�กัดกาล,  อริยสาวกนั้น ย่อมนำ�ความรู้นั้น ไปสนู่ ยั ยะอนั เปน็ อดตี และอนาคต (ตอ่ ไปอกี ) วา่ “สมณะ หรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดตี ได้รู้อย่างยิ่งแล้วซึ่งชรามรณะ,  ได้รู้อย่างยิ่งแล้วซึ่งเหตุ ให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะ,  ได้รู้อย่างยิ่งแล้วซึ่งความดับ ไม่เหลือแห่งชรามรณะ,  ได้รู้อย่างยิ่งแล้วซึ่งข้อปฏิบัติ เครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ;

7​ 0 พุทธวจน สมณะหรอื พราหมณ์เหล่านั้นทุกท่าน  ก็ได้รู้อย่างยิ่งแล้ว เหมอื นอยา่ งทเ่ี ราเองไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ในบดั น.้ี   ถงึ แมส้ มณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ในกาลยืดยาวนานฝ่าย อนาคต จกั รอู้ ยา่ งยง่ิ ซง่ึ ชรามรณะ, จกั รอู้ ยา่ งยง่ิ ซง่ึ เหตใุ ห้ เกิดขึน้ แหง่ ชรามรณะ, จกั รูอ้ ยา่ งยิง่ ซึ่งความดับไม่เหลือ แห่งชรามรณะ, จักร้อู ย่างยง่ิ ซ่ึงข้อปฏิบัติเคร่อื งท�ำ สตั ว์ ใหล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ กต็ าม; สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ นัน้ ทกุ ท่าน กจ็ กั รอู้ ย่างยงิ่ เหมอื นอยา่ ง ที่เราเองได้รู้อย่างยิ่งแล้วในบัดนี้” ดังนี้. ความรู้นี้ของ อรยิ สาวกน้ัน ชื่อวา่ ญาณในการรู้ตาม (อันว๎ ยญาณ). ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ญาณทั้งสอง  คือ  ธัมมญาณ และอัน๎วยญาณเหล่านี้ของอริยสาวก  เป็นธรรมชาติ บริสุทธ์ิ ผ่องใส ในกาลใด; ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ในกาลน้นั เราเรยี กอรยิ สาวกนั้น วา่ :- “ผ้สู มบูรณแ์ ล้วด้วยทฏิ ฐ”ิ ดังนบ้ี า้ ง; “ผู้สมบรู ณ์แลว้ ดว้ ยทสั สนะ” ดังน้ีบา้ ง; “ผมู้ าถงึ พระสทั ธรรมน้ีแล้ว” ดังน้ีบา้ ง;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 7​ 1 “ผ้ไู ดเ้ หน็ อยซู่ ่งึ พระสัทธรรมน้”ี ดังน้บี ้าง; “ผปู้ ระกอบแล้วดว้ ยญาณอันเป็นเสขะ” ดงั นี้บา้ ง; “ผ้ปู ระกอบแลว้ ด้วยวิชชาอันเปน็ เสขะ” ดงั นบ้ี ้าง; “ผูถ้ งึ ซง่ึ กระแสแห่งธรรมแลว้ ” ดงั นีบ้ า้ ง; “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังน้ีบ้าง; “ยืนอยู่จรดประตแู หง่ อมตะ” ดังนบ้ี า้ ง, ดงั นี้ แล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ก็ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? การเกดิ   การก�ำ เนดิ   การกา้ วลง  (สคู่ รรภ)์   การ บงั เกดิ การบงั เกิดโดยยง่ิ ความปรากฏของขันธ์ทงั้ หลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย  ในสัตวนิกายนั้นๆ ของสตั ว์ทัง้ หลายเหลา่ น้ันๆ  : ภิกษทุ ั้งหลาย  ! นีเ้ รียกว่า ชาต.ิ ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ  ย่อมมี  เพราะความ ก่อขึ้นพร้อมแหง่ ภพ;  ความดับไม่เหลอื แห่งชาติ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งภพ;  มรรคอันประกอบด้วย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไม่เหลือแห่งชาติ,  ได้แก่สิ่งเหล่านี้  คือ  ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความต้งั ใจม่ันชอบ.

7​ 2 พุทธวจน ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง ชาติ ว่าเป็นอยา่ งนีๆ้ , มารู้ท่ัวถงึ ซง่ึ เหตุให้เกดิ ขน้ึ แห่ง ชาติ ว่าเปน็ อยา่ งน้ีๆ, มารู้ท่ัวถึง ซงึ่ ความดับไม่เหลอื แห่ง ชาติ วา่ เป็นอยา่ งนี้ๆ, มารู้ทว่ั ถึง ซ่งึ ข้อปฏิบตั ิเคร่ืองท�ำ สัตวใ์ หล้ ุถึงความดับไม่เหลอื แห่งชาติ วา่ เป็นอยา่ งน้ๆี , ในกาลใด; ในกาลนน้ั ความรนู้ ข้ี องอริยสาวกนั้น ช่อื วา่ ญาณในธรรม (ธมั มญาณ). ดว้ ยธรรมนอี้ ันอรยิ สาวกนั้น เห็นแลว้ ร้แู ล้ว บรรลแุ ลว้ หยั่งลงแลว้ และเปน็ ธรรมอนั ใชไ้ ดไ้ มจ่ �ำ กดั กาล, อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ ม น�ำ ความรนู้ น้ั ไปสู่ นยั ยะอนั เปน็ อดตี และอนาคต (ตอ่ ไปอกี ) วา่ “สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ ในกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดีต ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ซง่ึ ชาต,ิ ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ ชาติ, ไดร้ ้อู ย่างยงิ่ แลว้ ซง่ึ ความดับไมเ่ หลือแห่งชาติ, ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไม่เหลือแห่งชาติ; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกท่าน กไ็ ดร้ อู้ ย่างย่ิงแล้ว เหมอื นอย่างทเ่ี ราเองไดร้ ู้อย่างยิง่ แล้ว ในบัดนี้. ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต  จักรู้อย่างยิ่ง  ซึ่งชาติ, จักรู้อย่างยิ่ง  ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชาติ,  จักรู้อย่างย่ิง

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 7​ 3 ซง่ึ ความดับไม่เหลือแห่งชาต,ิ จักรู้อยา่ งย่ิง ซ่ึงขอ้ ปฏิบัติ เครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชาติ ก็ตาม; สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ นน้ั ทกุ ทา่ น กจ็ กั รอู้ ยา่ งยง่ิ เหมอื น อย่างที่เราเองได้รู้อย่างย่ิงแล้วในบัดนี้”  ดังน้ี.  ความรู้น้ี ของอริยสาวกนั้น ชอื่ ว่า ญาณในการรูต้ าม (อัน๎วยญาณ). ภิกษทุ ั้งหลาย ! ญาณทั้งสอง  คือ  ธัมมญาณ และอัน๎วยญาณเหล่าน้ีของอริยสาวก  เป็นธรรมชาติ บรสิ ทุ ธิ์ ผอ่ งใส ในกาลใด; ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ในกาลน้นั เราเรยี กอริยสาวกนนั้ ว่า :- “ผสู้ มบูรณ์แล้วด้วยทฏิ ฐ”ิ ดังนบ้ี ้าง; “ผสู้ มบรู ณ์แลว้ ด้วยทัสสนะ” ดังนบ้ี า้ ง; “ผ้มู าถึงพระสัทธรรมน้ีแลว้ ” ดงั น้ีบ้าง; “ผู้ได้เห็นอยู่ซ่ึงพระสทั ธรรมนี้” ดังนี้บา้ ง; “ผปู้ ระกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ” ดงั นบ้ี ้าง; “ผปู้ ระกอบแลว้ ด้วยวิชชาอนั เปน็ เสขะ” ดงั นี้บา้ ง; “ผูถ้ ึงซง่ึ กระแสแหง่ ธรรมแลว้ ” ดงั นบ้ี ้าง; “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังน้ีบ้าง; “ยนื อยู่จรดประตูแหง่ อมตะ” ดงั น้บี ้าง, ดงั นี้ แล.

7​ 4 พุทธวจน ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ก็ ภพ เป็นอย่างไรเลา่ ? ...ฯลฯ... ภิกษุทงั้ หลาย ! ก็ อปุ าทาน เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ...ฯลฯ... ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ก็ ตณั หา เปน็ อย่างไรเล่า ? ...ฯลฯ... ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ก็ เวทนา เปน็ อย่างไรเลา่ ? ...ฯลฯ... ภกิ ษุทั้งหลาย ! ก็ ผสั สะ เป็นอยา่ งไรเลา่ ? ...ฯลฯ... ภิกษุทัง้ หลาย ! ก็ สฬายตนะ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ...ฯลฯ... ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ก็ นามรปู เป็นอยา่ งไรเล่า ? ...ฯลฯ... ภิกษุทง้ั หลาย ! ก็ วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ...ฯลฯ... (ขอ้ ความนีท้ ่ีละไว้ด้วย ...ฯลฯ... ดังขา้ งบนนี้ มีข้อความเต็ม ดงั ในขอ้ อนั วา่ ด้วย ชรามรณะ และชาติ ขา้ งต้นทกุ ประการ ต่างกันแต่ ชือ่ หวั ขอ้ ธรรม). ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! กส็ งั ขารทง้ั หลาย เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สังขารทงั้ หลาย สามอย่างเหล่าน้ี คอื กายสงั ขาร วจีสังขาร จติ ตสังขาร : ภกิ ษุทั้งหลาย ! เหล่านี้เรียกว่า  สังขารท้ังหลาย.  ความก่อขึ้นพร้อม แหง่ สงั ขาร  ยอ่ มม ี เพราะความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ อวชิ ชา; ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร  ย่อมมี  เพราะความดับ

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 7​ 5 ไม่เหลือแห่งอวิชชา;  มรรคอันประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐน่ันเอง  เป็นปฏิปทาให้ถึงซ่ึงความดับ ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร  ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น ้ี คอื   ความเหน็ ชอบ  ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ  การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ  ความต้ังใจมนั่ ชอบ. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่ง สังขารทั้งหลาย  ว่าเป็นอย่างนี้ๆ,  มารู้ท่ัวถึงซ่ึงเหตุให้ เกดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร  วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ,  มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี , มารทู้ ว่ั ถงึ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ิ เครอ่ื งท�ำ สัตว์ใหล้ ุถงึ ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ว่าเป็น อยา่ งนๆ้ี , ในกาลใด; ในกาลนน้ั ความรนู้ ข้ี องอรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ ญาณในธรรม  (ธมั มญาณ).  ดว้ ยธรรมนอ้ี นั อรยิ สาวกนน้ั เห็นแลว้ ร้แู ล้ว บรรลุแล้ว หยั่งลงแล้ว และเป็นธรรมอัน ใชไ้ ดไ้ มจ่ �ำ กดั กาล, อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มน�ำ ความรนู้ น้ั ไปสู่ นยั ยะอนั เปน็ อดตี และอนาคต (ตอ่ ไปอกี ) วา่ “สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหล่าหนึง่ ในกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดตี ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ซง่ึ สงั ขารทง้ั หลาย, ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ซง่ึ เหตุ

7​ 6 พุทธวจน ใหเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร, ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งสังขาร, ได้รู้อย่างยิ่งแล้วซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ ใหล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สงั ขาร; สมณะหรอื พราหมณ์ เหล่านั้นทุกท่าน ก็ไดร้ ้อู ยา่ งยิง่ แล้ว เหมือนอยา่ งท่ีเราเอง ไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ในบดั น.้ี ถงึ แมส้ มณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใด เหล่าหนึ่ง ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต จักรอู้ ย่างยิง่ ซ่ึง สงั ขารทง้ั หลาย, จกั รอู้ ยา่ งยง่ิ ซง่ึ เหตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร, จกั รูอ้ ยา่ งย่ิงซ่งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งสังขาร, จกั รู้อยา่ งยิ่ง ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่ง สงั ขารกต็ าม; สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ นน้ั ทกุ ทา่ น กจ็ กั รู้ อย่างยิ่ง เหมือนอย่างที่เราเองได้รู้อย่างยิ่งแล้วในบัดนี้” ดงั น.้ี ความรนู้ ข้ี องอรยิ สาวกนน้ั ชอ่ื วา่ ญาณในการรตู้ าม (อัน๎วยญาณ). ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ญาณทั้งสอง คือ ธัมมญาณ และอนั ว๎ ยญาณ เหล่านข้ี องอรยิ สาวก เปน็ ธรรมชาติ บริสทุ ธ์ิ ผอ่ งใส ในกาลใด;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 7​ 7 ภิกษุท้งั หลาย ! ในกาลนน้ั เราเรยี กอรยิ สาวกนนั้ วา่ :- “ผสู้ มบรู ณ์แลว้ ดว้ ยทิฏฐิ” ดงั นีบ้ า้ ง; “ผู้สมบรู ณแ์ ลว้ ดว้ ยทสั สนะ” ดงั นบ้ี า้ ง; “ผ้มู าถงึ พระสัทธรรมนแี้ ลว้ ” ดังน้บี ้าง; “ผู้ไดเ้ ห็นอยูซ่ ่ึงพระสัทธรรมน”้ี ดังนบ้ี ้าง; “ผู้ประกอบแลว้ ด้วยญาณอันเป็นเสขะ” ดงั นบ้ี ้าง; “ผู้ประกอบแลว้ ด้วยวิชชาอนั เป็นเสขะ” ดังนบ้ี า้ ง; “ผถู้ งึ ซง่ึ กระแสแหง่ ธรรมแล้ว” ดงั นี้บา้ ง; “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังนบ้ี า้ ง; “ยืนอยูจ่ รดประตแู หง่ อมตะ” ดงั นบ้ี า้ ง, ดังนี้ แล. นิทาน. สํ. ๑๖/๖๗-๗๑/๑๑๘-๑๒๕.

7​ 8 พุทธวจน

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 7​ 9 ๑๗ ผรู้ ปู้ ฏจิ จสมปุ บาทแตล่ ะสายถงึ “เหตเุ กดิ ” และ “ความดบั ” ทง้ั ปจั จบุ นั อดตี อนาคต กช็ อ่ื วา่ โสดาบนั (ญาณวตั ถุ ๗๗) ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เราจกั แสดง ซง่ึ ญาณวตั ถุ ๗๗ อย่าง แก่พวกเธอท้ังหลาย. พวกเธอท้ังหลายจงฟังความขอ้ นน้ั , จงท�ำ ในใจใหส้ �ำ เร็จประโยชน์, เราจกั กลา่ วบัดน.้ี ครน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหลา่ นน้ั ทลู รบั สนองพระพทุ ธดำ�รสั นน้ั แลว้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดต้ รสั ถอ้ ยค�ำ เหลา่ นว้ี า่ :- ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ก็ ญาณวตั ถุ ๗๗ อยา่ ง เป็นอย่างไรเลา่ ? ญาณวตั ถุ ๗๗ อย่างนน้ั คอื :-

8​ 0 พุทธวจน (หมวด ๑) ๑. ญาณ คอื ความรู้วา่ เพราะมีชาตเิ ปน็ ปัจจยั จงึ มี ชรามรณะ; ๒. ญาณ คือ ความรวู้ า่ เมอ่ื ชาตไิ มม่ ี ชรามรณะ ยอ่ มไมม่ ;ี ๓. ญาณ คือ ความรวู้ า่ แม้ในกาลยดื ยาวนานฝ่ายอดตี เพราะมชี าติเปน็ ปัจจัย จงึ มชี รามรณะ; ๔. ญาณ คอื ความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่อชาตไิ มม่ ี ชรามรณะย่อมไมม่ ี; ๕. ญาณ คอื ความรู้วา่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมชี าตเิ ป็นปจั จยั จึงมีชรามรณะ; ๖. ญาณ คอื ความรู้วา่ แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต เม่อื ชาติไมม่ ี ชรามรณะยอ่ มไม่มี; ๗. ญาณ คอื ความรู้วา่ แม้ ธัมมฏั ฐิติญาณ1 ในกรณนี ้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา; 1. ธัมมัฏฐติ ิญาณ ในกรณีน้ี คอื ญาณเป็นไปตามหลกั ของปฏิจจสมปุ บาท เปน็ กรณีๆ ไป เช่น ในกรณแี ห่งชาติ ดังทีก่ ลา่ วน้เี ปน็ ตน้ .

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 8​ 1 (หมวด ๒) ๑. ญาณ คอื ความรู้ว่า เพราะมีภพเปน็ ปจั จัย จึงมีชาติ; ๒. ญาณ คือ ความรูว้ ่า เมอื่ ภพไม่มี ชาติย่อมไมม่ ;ี ๓. ญาณ คอื ความรู้ว่า แม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดตี เพราะมภี พเปน็ ปจั จัย จงึ มีชาต;ิ ๔. ญาณ คือ ความรวู้ า่ แม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดีต เม่ือภพไม่มี ชาตยิ อ่ มไม่ม;ี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีภพเป็นปจั จัย จงึ มีชาต;ิ ๖. ญาณ คือ ความร้วู ่า แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมื่อภพไมม่ ี ชาติย่อมไม่มี; ๗. ญาณ คอื ความรู้ว่า แม้ ธัมมฏั ฐติ ญิ าณ ในกรณีน้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา;

8​ 2 พุทธวจน (หมวด ๓) ๑. ญาณ คือ ความรู้วา่ เพราะมีอุปาทานเปน็ ปจั จยั จงึ มภี พ; ๒. ญาณ คือ ความร้วู า่ เมื่ออุปาทานไม่มี ภพยอ่ มไม่มี; ๓. ญาณ คือ ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝ่ายอดตี เพราะมอี ปุ าทานเป็นปจั จัย จึงมภี พ; ๔. ญาณ คือ ความร้วู า่ แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝ่ายอดตี เมื่ออุปาทานไมม่ ี ภพยอ่ มไมม่ ี; ๕. ญาณ คือความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมอี ุปาทานเป็นปัจจยั จงึ มีภพ; ๖. ญาณ คือความรู้ว่าแม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมื่ออปุ าทานไมม่ ี ภพย่อมไม่มี; ๗. ญาณ คือ ความรู้วา่ แม้ ธมั มฏั ฐติ ญิ าณ ในกรณีนี้ กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา;

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 8​ 3 (หมวด ๔) ๑. ญาณ คือ ความรวู้ า่ เพราะมตี ัณหาเป็นปัจจัย จึงมี อปุ าทาน; ๒. ญาณ คือ ความรวู้ า่ เมอ่ื ตณั หาไมม่ ี อปุ าทานยอ่ มไมม่ ;ี ๓. ญาณ คอื ความรูว้ า่ แม้ในกาลยดื ยาวนานฝ่ายอดตี เพราะมีตณั หาเป็นปจั จัย จึงมอี ุปทาน; ๔. ญาณ คือ ความรู้วา่ แม้ในกาลยดื ยาวนานฝ่ายอดีต เม่ือตณั หาไม่มี อปุ าทานย่อมไมม่ ี; ๕. ญาณ คอื ความรู้ว่าแมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมตี ณั หาเปน็ ปจั จยั จงึ มีอุปาทาน; ๖. ญาณ คอื ความรู้ว่า แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เม่ือตัณหาไม่มี อุปาทานยอ่ มไม่ม;ี ๗. ญาณ คือ ความรวู้ ่า แม้ ธมั มัฏฐิตญิ าณ ในกรณนี ้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา;

8​ 4 พุทธวจน (หมวด ๕) ๑. ญาณ คอื ความรวู้ า่ เพราะมเี วทนาเปน็ ปัจจยั จึงมี ตณั หา; ๒. ญาณ คอื ความรูว้ า่ เมอื่ เวทนาไมม่ ี ตัณหายอ่ มไม่มี; ๓. ญาณ คือ ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝ่ายอดตี เพราะมเี วทนาเป็นปัจจยั จงึ มีตัณหา; ๔. ญาณ คอื ความร้วู า่ แม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดีต เมอ่ื เวทนาไมม่ ี ตณั หาย่อมไม่ม;ี ๕. ญาณ คอื ความร้วู ่าแมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมตี ัณหา; ๖. ญาณ คอื ความรูว้ ่าแมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝ่ายอนาคต เมอ่ื เวทนาไมม่ ี ตัณหาย่อมไมม่ ;ี ๗. ญาณ คือ ความรู้วา่ แม้ ธมั มัฏฐติ ญิ าณ ในกรณีนี ้ กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา;


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook