Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สร้างภูมิคุ้มใจ

สร้างภูมิคุ้มใจ

Published by Sarapee District Public Library, 2020-11-01 08:08:00

Description: สร้างภูมิคุ้มใจ
โดย พระไพศาล วิสาโล

Keywords: ธรรมะ,พระไพศาล วิสาโล

Search

Read the Text Version

พระไพศาล วสิ าโล

พระไพศาล วสิ าโล

คํ า ป ร า ร ภ อันตรายไม่ได้มีอยู่นอกตัวเราเท่านั้น หากยังอยู่ใน  ตวั เราดว้ ย อันตรายประการหลังมิได้มีแค่เชื้อโรคเท่านั้น ที่ส�ำคัญกว่าน้ันคือ อารมณ์อกุศล เช่น ความโกรธ ความ พยาบาท ความเศร้า ความหดหู่ ความรู้สึกผิด ความ อาลัยอาวรณ ์ เป็นต้น อารมณ์เหล่านี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า “อันตรายที่ปกปิด” หากครอบง�ำใจเรา ไม่เพียงท�ำให้เรา กนิ ไมไ่ ดน้ อนไมห่ ลบั  แตอ่ าจท�ำใหถ้ งึ กบั ลม้ ปว่ ยหรอื พกิ าร หรือท�ำร้ายตนเอง  ยังไม่ต้องพูดถึงการพูดหรือท�ำในสิ่ง ท่ไี มส่ มควร จนเกดิ เรอื่ งเดอื ดเน้อื รอ้ นใจตามมา เชื้อโรคนั้นหากเข้าสู่ร่างกายเรา ย่อมมิอาจท�ำ อันตรายได้ง่าย เพราะเรามีระบบภูมิคุ้มกันที่คอยป้องกัน ร่างกายเอาไว้ ในท�ำนองเดียวกัน จิตใจเราก็มีภูมิคุ้มกันท่ี คอยรักษาใจไม่ให้เพลี่ยงพลำ้� ต่ออารมณ์อกศุ ล แตท่ กุ วนั นี้

ผคู้ นสว่ นใหญม่ ภี มู คิ มุ้ ใจตำ�่ มาก เพราะมวั ใสใ่ จกบั สงิ่ นอกตวั จนลมื ดแู ลจติ ใจของตน ในขณะทม่ี คี วามรมู้ ากมายในเรอื่ ง นอกตัว แต่เรื่องชีวิตจิตใจนั้น กลับมีความรู้น้อยมาก ย่ิง รอบตวั เตม็ ไปดว้ ยสงิ่ กระตนุ้ เรา้  อารมณอ์ กศุ ลตา่ งๆ กเ็ กดิ ขน้ึ งา่ ย และสามารถคกุ คามจติ ใจไดต้ ลอดเวลา ผลคอื ผคู้ น มีความทุกข์มากข้ึน แม้ชีวิตจะสะดวกสบายกว่าแต่ก่อน กต็ าม การสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายน้ันส�ำคัญก็จริง แตย่ งั ไมเ่ พยี งพอ เราจำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ใหแ้ กจ่ ติ ใจ ด้วย ชีวิตจึงจะประสบความสุขและความเจริญงอกงาม ภูมิคุ้มกันในร่างกายน้ันช่วยให้อายุยืนยาวก็จริง แต่หาก ขาดภูมิคุ้มกันในจิตใจแล้ว ชีวิตก็ตกต�่ำย�่ำแย่ได้ง่าย อายุ ยืนยาวจะมีประโยชน์อะไรหากเต็มไปด้วยความทุกข์และ ความเส่ือมทราม ในท�ำนองเดียวกันมีความรู้มากมาย ในทางวิชาชีพ แต่ไม่เคยเรียนวิชาชีวิตเลย ก็ยากที่จะมี ความสุขได ้ แม้มีความสามารถในการควบคุมส่ิงต่างๆ ให้ มาปรนเปรอตน แต่เม่ือเกิดปัญหาชีวิต กลับพาจิตใจออก 3 พระไพศาล วิสาโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ จากความทุกข์ไม่ได้ เข้าท�ำนอง “ความรู้ท่วมหัว เอาตัว ไม่รอด” จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันมาเรียนรู้วิชาชีวิต ให้มากข้ึน เพ่ือมีสติปัญญาฝ่าฟันอุปสรรคท้ังหลายท่ีผ่าน เข้ามาในชีวิต ขณะเดียวกันก็รักษาใจมิให้ “อันตรายที่ ปกปดิ ” มาเบยี ดเบียนท�ำร้ายได้ หนงั สอื เลม่ นปี้ ระกอบดว้ ยคำ� บรรยาย ๒ บท บทแรก “สร้างภูมิคุ้มใจ” ปรับปรุงจากค�ำบรรยายท่ีโรงพยาบาล กรุงเทพภูเก็ต เม่ือวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘ ส่วนบทหลัง “วิชาชีวิต” มีท่ีมาจากคำ� บรรยายแก่คณะครูและเจ้าหน้าที่ โรงเรียนวรรณสว่างจิต ณ วัดป่าสุคะโต เม่ือวันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ ชมรมกัลยาณธรรมมีความประสงค์ท่ีจะ พมิ พค์ ำ� บรรยายทง้ั  ๒ บทเพอ่ื แจกเปน็ ธรรมทานในโอกาส ขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้ายินดีอนุญาตและขออนุโมทนาในกุศล จรยิ าน ี้ ขอขอบคณุ ทกุ ทา่ นทม่ี สี ว่ นรว่ มในการจดั ทำ� หนงั สอื น ้ี ตง้ั แตเ่ ตรยี มตน้ ฉบบั  ดำ� เนนิ การจดั พมิ พ ์ รวมทง้ั ทำ� ภาพ ปกและภาพประกอบทง่ี ดงามชว่ ยใหห้ นังสือนา่ อ่านยง่ิ ขึ้น     ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ 4

คํ า นํ า จ า ก ช ม ร ม กั ล ย า ณ ธ ร ร ม ตามธรรมชาตคิ นเรายอ่ มไมม่ ใี ครชอบความทกุ ข ์ ความ  ล�ำบาก ความผิดหวัง ฯลฯ รวมความแล้ว โลกธรรมฝ่าย อนฏิ ฐารมณน์ ย้ี อ่ มไมเ่ ปน็ ทปี่ รารถนาของใคร นค้ี อื มมุ มอง ของคนในโลกท่ีไม่มีวันสมปรารถนาได้ และสร้างความ ทุกข์ให้ทุกชีวิตมาไม่รู้ก่ียุคสมัย นับเป็นบุญของพวกเราที่ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดท้ รงคน้ พบทางพน้ ทกุ ข์ และน�ำธรรมมาเปิดเผยให้ชาวโลกมีแสงสว่างทางด�ำเนิน ชีวิต และท่านผู้รู้ครูบาอาจารย์ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมา ท่านสอนเรารู้จักวางใจให้ฉลาด และให้เข้าใจสัจธรรมท่ี 5 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ เราจะตอ้ งประสบทกุ สงิ่ ในอนั เราไมป่ รารถนานนั้  แตเ่ ราจะ วางใจไมใ่ หท้ กุ ขก์ ไ็ ดแ้ ละยงั สามารถใชม้ นั มาเปน็ ประโยชน์ ในการฝกึ จติ ใจใหเ้ หน็ ธรรมและพฒั นาศกั ยภาพแหง่ มนษุ ย์ ได้มากมาย หนงั สอื เลม่ นแ้ี ตเ่ ดมิ ตงั้ ใจเลอื กเรอ่ื ง “วชิ าชวี ติ ” เรอื่ ง เดียว แต่เนื่องจากมีเนื้อหาส้ันเกินไปส�ำหรับหนังสือหน่ึง เล่ม จึงรวมเร่ือง “สร้างภูมิคุ้มใจ” ซึ่งทีมงานได้ส่งงาน เรียบเรียงจากค�ำบรรยายของพระอาจารย์มาเพ่ิมเติม เมื่อได้อ่านกันแล้วพวกเราก็ชอบมาก เพราะเนื้อหาสาระ นอกจากสอดคล้องกับเรื่องวิชาชีวิตแล้ว ยังเติมเต็ม อธิบายความหมายของวิชาชีวิตได้อย่างเห็นภาพชัดเจน และท�ำให้เราทุกคนรู้สึกรักและเห็นคุณค่าของความทุกข์ ความล�ำบากความไม่สมปรารถนาต่างๆ ได้อย่างสนิทใจ ข้ึน เพราะท่ีแท้ส่ิงต่างๆ เหล่านี้มีคุณค่าในการเป็นวัคซีน ทางใจและเพ่ิมภูมิคุ้มกันจิตใจให้มีสมรรถนะท่ีสามารถมี ความสุขสงบได้แม้ในภาวะท่ีน่าจะทุกข์ มันช่างเป็นข่าวดี ส�ำหรับทุกคนจริงๆ ท่ีพระอาจารย์เมตตาช้ีแนะอย่างแจ่ม แจง้ ไวใ้ นเน้ือหาทั้งสองเรอ่ื งนแ้ี ล้ว 6

ในนามชมรมกัลยาณธรรม ขอกราบนมัสการ ขอบพระคณุ ในความเมตตาของพระอาจารยไ์ พศาล วสิ าโล ท่ีอนุญาตให้ได้สร้างธรรมทานอันมีคุณค่าทางจิตใจเป็น ของขวญั ทางปญั ญาแกเ่ พือ่ นผูใ้ ฝ่ธรรม ในวาระรับศกั ราช ใหม ่ ๒๕๕๙ และทา่ นไดเ้ มตตาตรวจทานเนอ้ื หาใหถ้ กู ตอ้ ง สมบูรณ์ ขอบคุณน้องอ้อม-น้องแอ้มที่ช่วยถอดความ ค�ำบรรยายด้วยความศรัทธา ขอบคุณน้อง Lolutayee ทชี่ ว่ ยวาดภาพประกอบงดงามอยา่ งรวดเรว็ ทนั ใจ ขอบคณุ “คนข้างหลัง” ผู้มุ่งมั่นงานรูปเล่มจนส�ำเร็จทันเวลา และ ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้งานธรรมอันน่า ภูมิใจน้ีส�ำเร็จประโยชน์ด้วยดี ขอขอบคุณทุกท่านที่มีนาม เอย่ ถงึ อยใู่ นหนงั สอื น ี้ ทกุ ทา่ นลว้ นเปน็ แบบอยา่ งอนั ธรรมะ ได้อาศัยอธิบายความให้เห็นจริงชัดเจน ซึ่งนี้คือเสน่ห์ของ หนังสือหรืองานบรรยายของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล อยแู่ ลว้  ทท่ี า่ นสามารถอธบิ ายธรรมทยี่ ากใหก้ ลายเปน็ งา่ ย ทำ� ใหค้ นรนุ่ ใหมผ่ สู้ นใจธรรมสามารถทำ� ความเขา้ ใจไดง้ า่ ย นำ� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ไดจ้ รงิ  เชน่ ตวั อยา่ งในสาระธรรม ของหนังสือเล่มน้ี จะช่วยให้ทุกท่านย้ิมรับกับความทุกข์ และเข้าใจถึงวิชาชีวิต มีภูมิคุ้มกันจิตใจ ไม่ต้องกลัวทุกข์ กนั อีกแลว้ 7 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ขอนอบน้อมถวายอานิสงส์แห่งธรรมทานนี้เพ่ือ เป็นพุทธบูชา และถวายเป็นอาจริยบูชาแด่พระอาจารย์ ไพศาล วสิ าโล พระผยู้ นื หยดั ประกาศธรรมนำ� ความรม่ เยน็ ในจิตใจมาสู่ทุกรูปนามอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยและ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากของขวัญอัน ทรงคุณคา่ ทางจติ ใจ เปน็ มงคลรบั ศกั ราชใหม ่ ๒๕๕๙ น้ี ขออ�ำนวยพรให้ทุกท่านมีชีวิตท่ีสงบร่มเย็นเป็นสุข ดว้ ยอำ� นาจแหง่ ธรรมอนั คมุ้ ครองดแี ลว้ แกผ่ ปู้ ระพฤตธิ รรม ทกุ ทา่ นตลอดไป ดว้ ยความเคารพและปรารถนาดีอย่างย่ิง ทพญ.อัจฉรา กลิน่ สุวรรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม 8

ส า ร บั ญ ๑๑ ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ๔๙ วิ ช า ชี วิ ต



ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ คนเราทุกคนล้วนปรารถนาความสุข อยากให้ชีวิต  ปราศจากทุกข์ หรืออย่างน้อยก็ไกลจากความทุกข์ แต่ ความสขุ จะเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร หลายคนปรารถนาใหท้ กุ สง่ิ ทุกอย่างท่ีเกดิ ข้ึนกบั เราราบรืน่ ไร้อุปสรรค ไมม่ สี ิ่งใดมา กระทบ อนั จะทำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ขห์ รอื ความเจบ็ ปวด แต่ ความเป็นจริงก็คือว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่รอบตัวเราและ ตลอดชวี ติ ของเรา จะมแี ตส่ ง่ิ ทรี่ าบรน่ื  ถกู อกถกู ใจ หรอื ก่อใหเ้ กิดความสุขสบายแต่ฝ่ายเดียว (จาก MP3 รวมธรรมฟงั สบาย ชดุ  ขยายใจให้ใหญข่ นึ้ )

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ คนเราทุกคนอยากมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ การทเ่ี ราจะมสี ขุ ภาพดไี ดน้ นั้  ไมไ่ ดเ้ ปน็ เพราะวา่ โลกรอบ ตวั เราไมม่ เี ชอ้ื โรค เนอื่ งจากในความเปน็ จรงิ  ไมว่ า่ เราอยู่ ที่ใด เชื้อโรคก็แพร่กระจายหรือแทรกซมึ ไปทุกท่ ี ยิ่งกว่า นน้ั ในรา่ งกายคนเรามเี ชอื้ โรคอยไู่ มน่ อ้ ยเลย คนประมาณ ๑ ใน ๓ ของประชากรโลก หรอื มากกวา่ สองพนั ลา้ นคน มเี ชอ้ื วัณโรคอยู่ในรา่ งกาย  ในสมยั หนงึ่ เราเคยเชอ่ื หรอื หวงั กนั วา่  จะสามารถ ปราบเชอื้ โรคใหห้ มดไปจากโลกนไี้ ด ้ มกี ารผลติ ยาฆา่ เชอ้ื มาพ่นตามท่ีต่างๆ หรือแม้กระทั่งน�ำมาถูตัว ทาผิว เช็ด โต๊ะเก้าอี้ หรือล้างภาชนะ สมัยที่อาตมาเป็นนักเรียน มี ครทู า่ นหนง่ึ  ทา่ นจะนำ� นำ้� ยาเดต็ ตอลมาถโู ตะ๊  เกา้ อ ้ี และ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ของท่านทุกเช้า เพราะท่าน รักษาอนามัยมาก แต่ไม่ว่าท่านจะท�ำอย่างไรก็ไม่เคย ก�ำจัดเช้ือโรคที่เกาะตามโต๊ะและเกา้ อ้ีไดห้ มดส้ิน โลกที่ไร้เช้ือโรคเป็นโลกที่ไม่มีจริง แต่คนเรา สามารถมชี วี ติ อยเู่ ปน็ ปกตไิ ดโ้ ดยไมเ่ จบ็ ปว่ ย ทเี่ ปน็ เชน่ นน้ั เพราะเรามีภูมิคุ้มกันในร่างกาย ถ้าหากไม่มีภูมิคุ้มกัน 12

ในร่างกาย เราคงจะป่วยด้วยโรคต่างๆ มากมายท่ีอยู่ รอบตัวเรา เชน่  หวดั  อหวิ าตกโรค วณั โรค ไขร้ ากสาด ดังน้ันถ้าไม่อยากเจ็บป่วยก็ต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ แก่รา่ งกาย  ทงั้ โดยวิธีธรรมชาติและโดยการฉดี วัคซีน นอกจากภูมิคุ้มกันร่างกายแล้ว เราจ�ำเป็นต้อง มีภูมิคุ้มกันจิตใจด้วย เราจึงจะมีความสุข หรือห่างไกล ความทกุ ขอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ  นเี้ ปน็ วธิ เี ดยี วเทา่ นน้ั  เพราะเปน็ ไป ไม่ได้เลยที่โลกรอบตัวเราจะราบร่ืน เลิศเลอ เพอร์เฟ็ค เดินทางไปไหนรถไม่ติด ท�ำงานไม่มีอุปสรรค ทุกคน ล้วนท�ำดีกับเรา รู้ใจเราหมด มีแต่คนชมไม่มีคนต�ำหนิ ไมม่ คี นวพิ ากษว์ จิ ารณ์ ไมม่ คี ำ� วา่ ขาด ไมเ่ จอคำ� วา่ พรอ่ ง เดี๋ยวนีห้ ลายคนอธิษฐานวา่  ขอให้ไม่รจู้ กั ค�ำว่าไม่มี ไม่มี ค�ำวา่ พร่อง ไมม่ ีค�ำว่าขาด แตใ่ นความเปน็ จริง ไม่วา่ จะ ทำ� อยา่ งไร คำ� วา่ ไมม่ กี ต็ อ้ งเกดิ ขนึ้ กบั เราจนได ้ ไมม่ ที าง หนีพ้น เหมือนกับที่เราต้องเจอรถติดในกรุงเทพฯ เป็น ประจ�ำ ทงั้ ท่ีเราอยากให้ถนนโลง่   เป็นไปไม่ได้เลยท่ีโลกน้ีจะปราศจากส่ิงท่ีกระทบ จิตใจ ไม่ว่าจะเป็นคำ� พูด หรอื การกระทำ� ของผูค้ น หรอื 13 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ จากข้อมูลข่าวสาร อย่างไรก็ตามแม้โลกรอบตัวเราจะ เต็มไปด้วยสิ่งท่ีสามารถเสียดแทงหรือเข้ามากระทบทาง ตา หู จมูก ล้ิน กาย แต่เรายังสามารถมีความสุขได้ หากว่าเรามีภูมิคุ้มใจ หรือมีภูมิต้านทานความทุกข์ ในจิตใจ  ภูมิคุ้มกันร่างกายส�ำคัญอย่างไร ภูมิคุ้มกันจิตใจ ส�ำคัญยิ่งกว่า เพราะหากขาดภูมิคุ้มกันจิตใจแล้ว แม้ รา่ งกายไมเ่ จบ็ ปว่ ย แตพ่ อเจออะไรนดิ หนอ่ ย กท็ กุ ขท์ นั ที คนทกุ วนั นจี้ ำ� นวนไมน่ อ้ ย มรี า่ งกายปกตดิ  ี ไมเ่ จบ็ ไมป่ ว่ ย แตพ่ อมสี วิ  ผวิ แหง้  ผมแตกปลายเทา่ นน้ั  กท็ กุ ขแ์ ลว้  เวลา โหลดถ่ายภาพตนเองลงเฟสบุ๊ค แล้วรู้สึกไม่สวย ก็ทุกข์ แล้ว บางคนโหลดภาพที่ตนเองเห็นว่าสวยที่สุดแล้ว แต่ เพื่อนดันไม่กดไลค์ ก็ทุกข์อีก หรือเจอคอมเม้นท์ในทาง ลบก็ย่ิงทุกข์หนัก น่าแปลกไหม คนสุขภาพดี มีชีวิตท่ี สะดวกสบาย แต่ท�ำไมยังทุกข ์ จนกนิ ไม่ได ้ นอนไมห่ ลับ แมม้ ชี วี ติ ทป่ี กตสิ ขุ  เงนิ เดอื นดมี หี นา้ มตี า แตก่ ลบั นอนไม่หลับด้วยเร่ืองเล็กๆ น้อยๆ เช่น เจอรถปาดหน้า กด็ ่า เจอรถตดิ กข็ ุ่นมวั  เครียด รุ่มรอ้ น ทัง้ ๆ ทีอ่ ยูใ่ นรถ 14

ติดแอร์เย็นฉ�่ำด้วยซ้�ำ ท้ังหมดนี้เกิดข้ึนได้ท้ังท่ีร่างกาย สขุ ภาพด ี มเี งนิ ทองมากมาย แตเ่ ปน็ เพราะไมม่ ภี มู คิ มุ้ กนั จิตใจ ในทางตรงข้าม ถ้ามีภูมิคุ้มกันจิตใจ แม้เจ็บป่วย จติ ใจกย็ ังเป็นปกตไิ ด ้ ยงั ยมิ้ ได้ และมคี วามสขุ อกี ด้วย อาจารย์ก�ำพล ทองบุญนุ่ม ท่านพิการต้ังแต่คอ ลงมา มีเพียงมือท่ีขยับได้บ้าง แต่สีหน้าของท่านกลับ ยม้ิ แยม้ แจม่ ใส มคี วามสขุ กวา่ คนทส่ี ขุ ภาพดอี าการครบ ๓๒ ดว้ ยซำ�้  เพราะทา่ นมภี มู คิ มุ้ กนั จติ ใจ ชว่ ยใหจ้ ติ ใจทา่ นไกล จากความทุกข์ แม้กายพิการแต่ใจเบิกบาน จนกระทั่ง หลายคนทมี่ สี ขุ ภาพด ี รา่ งกายปกต ิ กย็ งั อจิ ฉาทา่ น อยาก มคี วามสขุ เหมอื นอยา่ งอาจารยก์ ำ� พล แมจ้ ะตอ้ งแลกดว้ ย การมรี ่างกายพิการกย็ อม ภูมิคุ้มกันจิตใจส�ำคัญมาก แต่คนเรามักจะมอง ขา้ ม หลายคนปรารถนาความสขุ ในจติ ใจ แตส่ งิ่ ทเี่ ขาคดิ คือพยายามเรียกร้อง คาดหวัง และควบคุมสิ่งแวดล้อม รอบตัว เพ่ือให้ถูกใจตน อยากให้มีคนมาชม แต่ห้ามด่า นะ หรือว่าท�ำงานก็ต้องประสบแต่ความส�ำเร็จนะ ห้าม ล้มเหลว เดินทางไปไหนรถอย่าติดนะ ถ้าติดจะมีโกรธ 15 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ที่คิดแบบน้ีก็เพราะไม่เห็นความส�ำคัญของการสร้าง  ภูมิคุ้มกันจิตใจ คิดแต่จะควบคุมหรือเรียกร้อง  สงิ่ แวดลอ้ มภายนอก ใหเ้ ปน็ ไปตามใจตนทกุ อยา่ ง ซง่ึ   เปน็ ไปไมไ่ ด้ เช่นเดยี วกบั การคาดหวงั ให้โลกรอบตัวเรา ไม่มีเช้ือโรค เพื่อเราจะได้มีสุขภาพด ี ไม่เจ็บไม่ป่วย น่ัน ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญา เราต้องยอมรับความจริงว่า โลกรอบตัวเราเต็มไปด้วยเชื้อโรค แต่ส่ิงหน่ึงท่ีเราท�ำได้ คือสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดี จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย ในท�ำนองเดียวกัน เราจะเรียกร้องให้โลกรอบตัวเรา ราบรื่น เลศิ เลอ เพอรเ์ ฟ็คน้นั  เปน็ ไปไมไ่ ด ้ แตเ่ รากย็ ัง สามารถมีความสขุ ไดถ้ า้ เรามภี ูมคิ ้มุ กนั จิตใจ  พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เมื่อมือไม่มีแผล จะจับต้อง ยาพิษก็ได้ ยาพิษไม่สามารถท�ำอันตรายได้” แต่เม่ือใด ก็ตามที่มือมีแผล จับต้องยาพิษ เมื่อน้ันแหละอันตราย จะเกิดขึ้นกับชีวิต ทุกวันน้ี บ่อยครั้งที่เราต้องเจอ ต้อง  สมั ผสั กบั สง่ิ ทม่ี โี ทษเสมอื นยาพษิ  แตถ่ า้ ใจเราเปน็ ปกติ  ไม่มีแผล มันก็ท�ำร้ายใจเราไม่ได้ แต่คนทุกวันน้ี กลับ ไมค่ อ่ ยใสใ่ จจติ ใจของตวั เอง ปลอ่ ยใหใ้ จมแี ผล ดงั นนั้ เมอ่ื มอี ะไรมากระทบก็เป็นทุกขไ์ ด้ง่าย เหมอื นกับว่าเปิดช่อง ให้ยาพิษเข้ามาท�ำร้ายตัวเอง 16

ความทกุ ขส์ ามารถเขา้ มากระทบกระแทกจติ ใจเรา ผ่านทางตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ ไม่วา่ เราจะปิดตา อย่างไร เราก็ต้องเจอภาพท่ีไม่น่าพอใจ ถึงเราจะปิดหู บ่อยคร้ังเพียงใด ก็ต้องเจอค�ำที่ไม่ถูกใจเรา เช่นเดียว กับมือเรา ร่างกายเรา ไม่ว่าจะมีผิวหนังที่ดีเพียงใด ก็ ไม่สามารถป้องกันเช้ือโรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างไร มันก็ยังเล็ดลอดเข้ามาได้ แต่เราก็ไม่เจ็บป่วย เพราะมี 17 พระไพศาล วิสาโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ภูมิคุ้มกันท่ีดี ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ต้องเจอเหตุการณ์หรือ สิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นลบ ไม่ว่ารูป รส กล่ิน เสียง สมั ผสั  หรอื แมก้ ระทง่ั ความรสู้ กึ นกึ คดิ  กไ็ มจ่ ำ� เปน็ วา่ เรา จะต้องทุกข์ แม้ตาเห็นภาพท่ีไม่งดงาม น่าเกลียด ชวน สยดสยอง แม้ได้ยินเสียงต่อว่าด่าทอ แม้ร่างกายสัมผัส กบั ความรอ้ น หรอื หนามแหลม แตใ่ จไมท่ กุ ข ์ เราสามารถ ท�ำได ้ ถ้ามีภมู คิ ุม้ กันจติ ใจ  ภูมิคุ้มกันจิตใจสร้างได้อย่างไร ก็ต้องย้อนกลับ ไปดทู ภี่ มู คิ มุ้ กนั รา่ งกาย ทำ� ไมเราจงึ มภี มู ติ า้ นทานอหวิ า- ตกโรค ไทฟอยด์ และโรคอ่ืนๆ อีกหลายชนิด นั่นเป็น เพราะเราได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งก็คือเช้ือโรคอ่อนๆ เรา มีภูมิต้านทานโรคไทฟอยด์ เพราะร่างกายเราได้รับเชื้อ ไทฟอยด์อ่อนๆ ตอนที่มีการฉีดวัคซีน ท�ำให้ร่างกาย มีความคุ้นเคย และรู้จักกับเช้ือโรคเหล่านี้ พอเช้ือโรค เหล่าน้ีเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง ภูมิคุ้มกันก็ท�ำงานทันที จดั การมนั ไมใ่ ห้ทำ� รา้ ยรา่ งกายเราได ้ นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังมีภูมิคุ้มกันท่ีเกิด ขน้ึ เองโดยไมไ่ ดต้ งั้ ใจ เชน่ เดก็ ทเ่ี ลน่ กบั ดนิ กบั ทราย หรอื เล่นน�้ำคลอง การได้สัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในดินและน�้ำ 18

ทำ� ใหเ้ ดก็ เหลา่ นม้ี ภี มู คิ มุ้ กนั รา่ งกายทเี่ ขม้ แขง็  จงึ ไมค่ อ่ ย เจ็บป่วย ไม่ค่อยแพ้นั่นแพ้น่ี ต่างกับเด็กที่ไม่ค่อยเจอ เช้ือโรค ถูกเล้ียงดูในสภาพแวดล้อมท่ีไกลจากเช้ือโรค สัมผัสกับเชื้อโรคน้อยมากเพราะพ่อแม่อนามัยจัด เขา จะมีภูมิคุ้มกันน้อยมาก ร่างกายจึงไม่แข็งแรง เป็นโรค แปลกๆ ได้ง่าย เช่น โรคมือ เท้า ปาก หรือแพ้อะไร ตอ่ อะไรมากมาย อนั ทจี่ รงิ ทพี่ อ่ แมท่ ำ� ไปเชน่ นนั้ กเ็ พราะ  ความรกั ลกู  แตห่ ารไู้ มว่ า่ กำ� ลงั ทำ� ใหล้ กู ขาดภมู คิ มุ้ กนั ท ่ี เขม้ แขง็ ในรา่ งกาย เดย๋ี วนฝ้ี รงั่ เรม่ิ รณรงคใ์ หเ้ ดก็ มาเลน่ กับดินกับทราย ถ้าเด็กเนื้อตัวมอมแมมถือว่าดี ถึงกับ มีบริษัทผงซักฟอกออกมารณรงค์ว่า “dirt is good” หมายความว่า ถ้าเด็กได้เจอฝุ่นหรือความมอมแมม เป็นเรื่องดี เพราะท�ำให้เด็กสัมผัสกับเชื้อโรคอ่อนๆ ใน ธรรมชาตติ ง้ั แต่เล็ก จะทำ� ให้ไม่ปว่ ยงา่ ย  การสัมผัสกับเช้ือโรคช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่าง  กายฉนั ใด การสมั ผสั กบั ความทกุ ขก์ ท็ ำ� ใหเ้ รามภี มู คิ มุ้ กนั   จติ ใจ หรอื ภมู ติ า้ นทานความทกุ ขฉ์ นั นน้ั  คนเราจะมภี มู ิ ต้านทานความทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อเจอความทุกข์บ่อยๆ จะมี ภมู ติ า้ นทานความยากลำ� บาก กต็ อ้ งเจอความยากลำ� บาก 19 พระไพศาล วิสาโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ บ่อยๆ หากเจอความยากล�ำบากบ่อยๆ ต้ังแต่เล็ก พอโต ขน้ึ กจ็ ะรสู้ กึ วา่ ความยากลำ� บากเปน็ เรอ่ื งธรรมดา เพราะ ว่าคนุ้ เสยี แล้ว  ถา้ เราอยากใหล้ กู เราเปน็ คนเขม้ แขง็ ในจติ ใจ ตอ้ ง ชวนใหไ้ ปเจอความทกุ ขย์ ากหรอื ความลำ� บาก อยา่ สบาย เกนิ ไป เพราะถา้ สบายเกนิ ไป จะออ่ นแอ ไมใ่ ชอ่ อ่ นแอ  ทางรา่ งกายเทา่ นน้ั  แตย่ งั ออ่ นแอทางจติ ใจดว้ ย นเ่ี ปน็ เร่ืองที่น่าห่วงมาก พ่อแม่ท่ีไม่ตระหนักในเรื่องนี้ จะไม่รู้ ตัวเลยว่าก�ำลังพาลูกไปมีชีวิตที่เส่ียง ถ้าอนามัยจัดก็มี ชวี ติ ทอ่ี อ่ นแอ ถ้าสขุ สบายมากเกนิ ไปกอ็ อ่ นแอ ออ่ นไหว ง่าย เม่ือเจอความยากล�ำบาก เจออะไรกระทบก็ทุกข์ ไม่ไหว ใจไม่สู้ เด๋ียวน้ีแค่จะให้เก็บท่ีนอนเอง ล้างถ้วย ล้างชามเอง ก็ไม่เอาแล้ว เพราะรู้สึกว่าล�ำบาก ในทาง ตรงข้ามการสัมผัสกับความยากล�ำบากบ่อยๆ ท�ำให้เกิด ความเข้มแข็งในจิตใจ จิตใจมีภูมิต้านทานความยาก ลำ� บากเพราะคนุ้ เคยกับมัน  เม่ือประมาณ ๔-๕ ปีก่อน รายการสารคดีคน ค้นฅน ได้ไปสัมภาษณ์คุณยายคนหนึ่งชื่อย่ายิ้ม อยู่ท่ี 20

จงั หวดั พษิ ณโุ ลก ทา่ นเปน็ คนทร่ี กั สนั โดษมาก สมยั กอ่ น ครอบครัวของย่าย้ิมขึ้นไปท�ำไร่ท�ำนาบนเขา ภายหลัง ทุกคนกลับเข้าสู่เมืองหมด เหลือแต่ย่ายิ้มอยู่บนเขาคน เดยี ว หมบู่ า้ นทใี่ กลท้ สี่ ดุ อยหู่ า่ งไปประมาณ ๘ กโิ ลเมตร บางวันข้าวสารหมด แต่ย่ายิ้มลงมาเอาข้าวไม่ได้เพราะ ฝนตกหนัก ท่านก็กินกลอยกินเผือก  ทุกวันพระ ย่าย้ิม จะเดินกระย่องกระแย่งลงมาจากเขา เพ่ือมาจ�ำศีลที่วัด วันรุ่งขึ้นก็ขนข้าวสาร ขนของแห้งเดินข้ึนเขา มีคนถาม ย่าย้ิมว่า เดินลงเขาไปวัดไม่เหน่ือยหรือ ทางก็ยาก ลำ� บาก ไกลกไ็ กล ยา่ ยมิ้ ตอบวา่  “กม็ นั เคยเสยี แลว้ หนา” ยา่ อยคู่ นเดยี ว มดื คำ่� เจบ็ ปว่ ยจะท�ำอยา่ งไร ไมม่ ใี ครดแู ล ย่ายิ้มตอบว่า “ถ้าเป็นอะไร มันก็เคยเสียแล้วหนา” บางช่วงย่ายิ้มไม่มีข้าวกินเพราะฝนตกหนัก ลงมาเอา ข้าวสารไม่ได้ ต้องขุดหัวกลอยมากิน อย่างน้ีจะอิ่มหรือ ยา่ ยิม้ ตอบว่า “กม็ นั เคยแลว้ หนา” เป็นเพราะคุ้นเคยกับความยากล�ำบาก ความยาก ล�ำบากจึงท�ำอะไรย่ายิ้มไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าย่าย้ิมมีภูมิ ต้านทานความทุกข์เต็มท่ีเลย ไม่ว่าเจออะไร ล�ำบากแค่ ไหน ย่าย้ิมก็ย้ิมได้ตลอดเวลาไม่เคยทุกข์เลย เพราะว่า 21 พระไพศาล วิสาโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ “มันเคยแลว้ หนา” มองในแง่พุทธศาสนา ย่ายิ้มมีขันติสูงมาก ขันติ คือความอดทน ซ่ึงเป็นภูมิคุ้มใจที่ส�ำคัญอันหน่ึงท่ีเรา ควรจะม ี ขนั ตไิ มไ่ ดเ้ กดิ จากการสวดมนตภ์ าวนา แตส่ ว่ น หน่ึงเกิดจากการที่เราเจอความทุกข์ ความยากล�ำบาก อย่เู สมอ ท�ำใหจ้ ติ ใจเข้มแขง็ อดทน ตอนแรกอาจจะต้อง อดทน กดั ฟันส้ ู แต่พอนานไปก็ไมต่ ้องอดทนแลว้  กลาย เปน็ เรอ่ื งธรรมดาทที่ �ำไดอ้ ยา่ งสบาย เหมอื นกบั ทช่ี าวนา ชาวไร ่ ตากแดด เกย่ี วขา้ ว เขากไ็ มร่ สู้ กึ วา่ ตอ้ งกดั ฟนั อะไร เพราะชนิ กับมนั เสียแล้ว ปญั ญาในทางพทุ ธศาสนา  หมายถงึ การเขา้ ใจชวี ติ   เขา้ ใจธรรมดาหรอื ความจรงิ ของชวี ติ   รวมทง้ั เขา้ ใจวา่ ความทกุ ขเ์ ปน็ ธรรมดาของชวี ติ 22

ขนั ต ิ เปน็ ธรรมเบอื้ งตน้ ของการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ให้ กับจิตใจ และถ้าสร้างตั้งแต่เด็ก เด็กก็จะอดทนเข้มแข็ง ตั้งแตเ่ ลก็  หรือถึงแม้วา่ ตอนเดก็ ๆ จะสบาย แตพ่ อโตขึ้น เหน็ ความสำ� คญั ของการฝกึ ตนใหค้ นุ้ กบั ความยากลำ� บาก กย็ งิ่ ด ี แมแ้ ตพ่ ระกต็ อ้ งฝกึ อยเู่ สมอ ธรรมเนยี มอยา่ งหนง่ึ ของพระสมัยก่อน คือการธุดงค์ ธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดิน แต่หมายถึงการฝึกจิตให้ลดละกิเลส ด้วยการออกไป เจอกับความยากล�ำบาก เช่น ฉันอาหารวันละมื้อ นอน โคนไม ้ หรอื ไมน่ อนเลยกม็  ี โดยอยใู่ นอริ ยิ าบถนง่ั  ยนื  เดนิ เท่านั้น นี่เป็นวิธีการหรืออุบายเสริมสร้างความเข้มแข็ง ในจติ ใจ ชว่ ยใหฝ้ ึกการปลอ่ ยวางไปในตวั นอกจากขันติแล้ว ธรรมอีกข้อหนึ่ง ท่ีส�ำคัญมาก ในการสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจ เรียกว่ามีหน้าท่ีนี้โดยตรง เลยก็คือสติ พระพุทธเจ้าเปรียบสติเหมือนกับทหารยาม ท่ีเฝ้าประตูเมือง เมืองจะสุขสงบได้ ก็เพราะมีทหารยาม ท่ีเข้มแข็ง ใส่ใจ ระแวดระวัง ไม่เผลอปล่อยให้ศัตรูลอบ เขา้ เมอื งได ้ พระพทุ ธเจา้ เปรยี บจติ ของเราเหมอื นกบั เมอื ง เมืองนี้ช่ือว่าจิตตนคร สมเด็จพระสังฆราชทรงนิพนธ์ หนังสือเล่มหน่ึงช่ือว่า “จิตตนคร” หนังสือเล่มน้ันพูดถึง 23 พระไพศาล วิสาโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ การปอ้ งกนั รกั ษานครคอื จติ ใหป้ ลอดภยั  ตวั ละครตวั หนงึ่ ท่ีสำ� คญั มากคือสติ  คนเราทุกวันนี้ไม่ค่อยทุกข์กายมากเท่ากับทุกข์ใจ เปน็ ความทกุ ขท์ เี่ กดิ จากการปลอ่ ยใหอ้ ารมณต์ า่ งๆ เขา้ มา ท�ำร้ายจิตใจ เช่น ความเศร้า ความเสียใจ ความโกรธ ความขุ่นเคือง ความเบ่ือ ความรู้สึกผิด ความคับแค้น อารมณเ์ หลา่ นเี้ ขา้ มาครองใจเราเมอ่ื ไร กท็ กุ ขท์ นั ท ี และ 24

มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เว้นแม้กระท่ังคนรวย ผู้มี อ�ำนาจ แม้มีทรัพย์สินเงินทองมหาศาล อยู่ในปราสาท คฤหาสน์ที่ย่ิงใหญ่ หรือว่ามีบริษัทบริวารมาก ก็ยังหนี ไมพ่ น้ ความทกุ ขใ์ นจติ ใจ ซง่ึ เกดิ จากการทใ่ี จขาดสต ิ หรอื สตอิ ่อนแอ ทำ� ใหอ้ ารมณ์ตา่ งๆ เข้ามาเล่นงานจิตใจได้ ผู้คนมักไม่ให้ความส�ำคัญกับการสร้างสติ เพราะ คิดว่าตนเองมีสติอยู่แล้ว คือเข้าใจไปว่าถ้าไม่เป็นบ้า ไม่ เปน็ ลม หรอื ไมเ่ มามาย เปน็ อยา่ งทเี่ ปน็ อยทู่ กุ วนั นกี้ ถ็ อื วา่ มีสติแล้ว แตส่ ติท่ีเรามีน้ันใช้การได้เฉพาะในเวลาปกต ิ เหตกุ ารณร์ าบรน่ื  แตท่ นั ทที เ่ี กดิ เหตกุ ารณไ์ มป่ กตขิ น้ึ มา  ไม่ราบรืน่  สตทิ ี่เรามีกม็ กั รับมอื กับเหตุการณเ์ หล่านน้ั   ไม่ได้ ส่ิงท่ีตามมาคือความเครียด ความหงุดหงิด เช่น พอรถตดิ ขนึ้ มากเ็ ครยี ดแลว้  หรอื วา่ เพอื่ นไมม่ าตามนดั ก็ หงุดหงิดกระวนกระวาย เพื่อนไม่กดไลค์ก็ทุกข์แล้ว ยัง ไม่ต้องพูดถึงคอมเมน้ ท์ท่ีเป็นลบ ในชีวิตของคนเรา จะเจอเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอยู่ เนืองๆ เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง รับรู้ข้อมูล ขา่ วสาร กจ็ ะเจอสง่ิ ทกี่ ระทบใจอยบู่ อ่ ยๆ แตถ่ า้ มสี ตไิ วพอ 25 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ พอจิตกระเพ่ือม ขุ่นมัว หรือหงุดหงิดข้ึนมา สติจะบอก หรอื เตอื นใหเ้ รารตู้ วั  สตยิ งั ทำ� หนา้ ทอี่ กี อยา่ งคอื  ชว่ ยถอน  จติ ออกจากอารมณน์ น้ั  สตจิ งึ มคี วามสำ� คญั มาก ในการ ชว่ ยใหเ้ รารบั มอื กบั ภาวะทไี่ มป่ กติ จนใจกลบั มาเปน็ ปกติ สมยั ทหี่ ลวงพอ่ พธุ  ฐานโิ ย ยงั เปน็ พระหนมุ่ อย่ ู ทา่ นเลา่ ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งท่านไปจ�ำพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี วนั หนงึ่ ทา่ นออกไปบณิ ฑบาต เหน็ โยมผหู้ ญงิ คนหนงึ่ ยนื อยู่กบั ลูกชายอายุประมาณ ๕ ขวบ กำ� ลงั รอใส่บาตรอยู่ ขณะทท่ี า่ นเดนิ ใกลจ้ ะถงึ  เดก็ เหน็ ทา่ นกพ็ ดู ขน้ึ มาวา่  “มงึ บ่แม่นพระดอก” แปลว่ามึงไม่ใช่พระหรอก ไม่เคยมีใคร พดู เชน่ นกี้ บั ทา่ นมากอ่ นเลย พอไดย้ นิ ทา่ นจงึ รสู้ กึ ไมพ่ อใจ แตแ่ ลว้ ทา่ นกไ็ ดส้ ติ รถู้ งึ ความขนุ่ มวั  ความไมพ่ อใจทเี่ กดิ ขึ้น จากน้ันก็มีความคิดแวบขึ้นมาว่า “เออ จริงของมัน เราไมใ่ ชพ่ ระหรอก เพราะถา้ เราเปน็ พระเราตอ้ งไมโ่ กรธ ซ”ิ  ปรากฏวา่ ความโกรธดบั วบู  แลว้ ทา่ นกเ็ ดนิ ไปรบั บาตร ด้วยอาการปกต ิ ไม่มีความโกรธเดก็ เหลืออยเู่ ลย เมอื่ ทา่ นพดู ถงึ เหตกุ ารณน์ ใ้ี นภายหลงั  ทา่ นจะบอก วา่ เดก็ คนนเ้ี ปน็ อาจารยข์ องทา่ น คอื ทำ� ใหท้ า่ นเหน็ ใจของ ตนเอง จะเรยี กวา่ เปน็ อาจารยท์ ใ่ี หก้ ารบา้ นทา่ นในการฝกึ 26

ดูใจก็ได้ เม่ือเด็กพูดจาต่อว่าท่าน ท่านไม่พอใจ แต่มีสติ รู้ทัน พอมีสติรู้ทันปุ๊บ ก็เปิดช่องให้โยนิโสมนสิการ คือ ความฉลาดคดิ  คดิ ถกู  คดิ เปน็  ผดุ ขนึ้ มา ตอนทคี่ ดิ ไดว้ า่ “เออ จริงของมัน เราไม่ใช่พระหรอก เพราะถ้าเราเป็น พระเราต้องไม่โกรธซิ” อันนี้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ คือความคิดแยบคายที่ท�ำให้มองส่ิงต่างๆ ในทางที่เป็น กุศลหรือแง่บวก แต่ถ้าไม่มีโยนิโสมนสิการ ก็อาจเกิด ความคิดข้ึนมาว่า “มึงมาพูดอย่างนี้กับกูได้อย่างไร กู เป็นพระนะ” หากคิดแบบนี้ก็จะย่ิงโกรธมากกว่าเดิม อยา่ งนเ้ี รยี กวา่  อโยนโิ สมนสกิ าร แตถ่ า้ คดิ เปน็  คดิ ฉลาด เพราะมีสติ ความโกรธก็ท�ำอะไรได้ยาก ที่ครองใจอยู่ ก็หลุดไป ที่เคยยึดเอาไวก้ ป็ ลอ่ ย  มนี กั ศกึ ษาป ี ๔ คนหนงึ่ อยคู่ ณะสงั คมวทิ ยา มหา- วทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์ ปสี ดุ ทา้ ยตอ้ งไปฝกึ งานทต่ี า่ งจงั หวดั นักศึกษาคนน้ีอยากไปฝึกงานกับสมัชชาคนจน ซ่ึงเป็น องคก์ รชาวบา้ นทภี่ าคอสี าน แตอ่ าจารยอ์ ยากใหไ้ ปทำ� งาน กับหน่วยงานราชการ ก็มีการโต้เถียงกันอยู่นาน จน สุดท้ายก็สรุปว่าไปฝึกงานกับองค์กรที่ท�ำงานกับชาวเขา ท่ีจังหวัดเชียงใหม่ ทีแรกนักศึกษานึกว่าไปท�ำงานกับ 27 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ เอ็นจีโอหรือองค์กรชาวบ้าน แต่พอไปถึงเชียงใหม่ จึง ได้รู้ว่าอาจารย์ให้ไปท�ำงานกับกรมประชาสงเคราะห์ นักศึกษารู้สึกว่าอาจารย์ไม่ท�ำตามท่ีตกลงไว้ ก็โกรธ อาจารย์ คืนน้ันนอนไม่หลับ ครุ่นคิดด้วยความไม่พอใจ วันรุ่งข้ึนอาจารย์ท่ีปรึกษาอีกคนหนึ่งมา ถึงแม้จะเป็น คนละคนกันแต่นักศึกษาก็ยังโกรธอยู่ จึงต่อว่าอาจารย์ อาจารย์พยายามชี้แจง แต่นักศึกษาก็ไม่ลดละ อย่างไร กต็ ามอาจารยไ์ มไ่ ดโ้ กรธนกั ศกึ ษา ขณะทน่ี กั ศกึ ษาก�ำลงั ต่อว่าอาจารย์อยู่น้ัน อาจารย์ก็เรียกช่ือนักศึกษาแล้ว พูดว่า “คิ้วเธอผูกเป็นโบว์เลยนะ” พออาจารย์พูดแค่นี้ นักศึกษาก็รู้ตัวทันทีว่าก�ำลังโกรธ พอรู้แค่นี้ความโกรธ ก็หลุดไปเลย เป็นเพราะการทักของอาจารย์ นักศึกษาจึงเห็น ความโกรธของตัว ส่ิงที่ช่วยให้เห็นความโกรธคืออะไร คือสติ สติเป็นเหมือนตาใน ท�ำให้เห็นอารมณ์ที่เกิดข้ึน ในใจ พอนักศึกษารู้ว่าตัวเองโกรธ จนหน้าน่ิวค้ิวขมวด ความโกรธก็หายไป ท�ำให้เขาคนน้ีเห็นอานิสงส์ของสติ ตอนหลังเม่ือนักศึกษาคนนี้เรียนจบ จึงไปบวช ทุกวันนี้ ยังไม่สึกเลย ผา่ นมา ๑๐ กวา่ พรรษาแลว้ 28

คนเราเวลาโกรธจะไม่รู้ตัวว่าก�ำลังโกรธ และยิ่ง เราโกรธมากเท่าไร ก็ยิ่งครุ่นคิด ยิ่งปรุงแต่งในเรื่องลบ เรอ่ื งรา้ ย ซงึ่ ทำ� ใหย้ งิ่ โกรธมากขนึ้  ลองสงั เกตด ู เวลาเรา โกรธใคร เชน่  โกรธเพอื่ น หรอื แมก้ ระทงั่ โกรธครู่ กั  ทแี รก อาจไมพ่ อใจเพยี งแคเ่ รอ่ื งเดยี ว แตพ่ อโกรธแลว้ กไ็ ปขดุ คยุ้ เรอื่ งไมด่ ขี องเขาในอดตี ขน้ึ มา ทง้ั ทบ่ี างเรอ่ื งกจ็ บไปแลว้ ขออภยั กนั ไปเรยี บรอ้ ยแลว้ กย็ งั ไปขดุ ขน้ึ มา จติ นกึ เหน็ แต่ การกระทำ� ทไ่ี มด่ ขี องเขา ยงิ่ ทำ� ใหโ้ กรธมากขน้ึ  ตอนนน้ั 29 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ เจา้ ตวั ไมร่ วู้ า่ กำ� ลงั โกรธ และทไ่ี มร่ วู้ า่ โกรธกเ็ พราะไมม่ สี ติ แตท่ นั ทที ม่ี สี ตขิ นึ้ มา ความโกรธจะหลน่ วบู ไปเลย แตต่ อ้ ง เปน็ สตทิ ไี่ ว ทเ่ี ขม้ แขง็  และตอ้ งเปน็ สตทิ เี่ หน็ โดยฉบั พลนั ไม่ใชแ่ คอ่ ยากจะให้ความโกรธหายไปเทา่ น้ัน หลายคนเวลาโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ แต่รู้แบบรู้  ประเดยี๋ วเดยี วแลว้ กโ็ กรธใหม ่ เปน็ เพราะสตไิ มเ่ ขม้ แขง็ เห็นได้ไม่ชัด ความรู้สึกตัวไม่ได้เกิดข้ึนพร้อมพร่ัง หรือ ไม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม โกรธปุ๊บ ก็รู้ตัวช่ัวขณะ สองขณะ แล้วก็โกรธใหม่ เหมือนรถที่ก�ำลังแรง แตะ เบรคคร้ังเดียวยังไมห่ ยดุ  ตอ้ งแตะเบรคหลายครง้ั  แตส่ งิ่ ท่ีหลายคนพยายามท�ำก็คือพยายามห้ามความโกรธ พยายามตดั  ซง่ึ ไมส่ �ำเรจ็ หรอื ไมค่ อ่ ยไดผ้ ล เคยมคี นถาม หลวงปดู่ ลู ย ์ อตโุ ล ซงึ่ เปน็ ลกู ศษิ ยห์ ลวงปมู่ นั่ รนุ่ แรกๆ วา่ ทำ� อยา่ งไรจงึ จะตดั ความโกรธใหข้ าด หลวงปทู่ า่ นตอบวา่ “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทัน มันก็ ดบั ไปเอง” ถามว่ารูท้ นั ดว้ ยอะไร ร้ทู นั ด้วยสติ  นอกจากสติแล้ว อีกส่ิงที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มใจ ได้เป็นอย่างดีคือ สมาธิ เวลาโกรธมากๆ ให้ลองเอาจิต 30

มาก�ำหนดจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าลึกๆ หายใจ ออกยาวๆ ให้จิตแนบแน่นอยู่กับลมหายใจ ท�ำเช่นน้ี สัก ๕-๑๐ คร้ัง จะพบว่าความโกรธทุเลาลง ไม่ใช่แต่ ความโกรธเท่านั้น ความเจ็บปวดก็สามารถทุเลาลงด้วย เวลาท่ีเราเจ็บปวดนั้น เราไม่ค่อยตระหนักว่าจิตของเรา มันก็ทุกข์ไปพร้อมๆ กับกาย โดยเฉพาะเม่ือเวลาไม่มีสติ จิตที่ทุกข์ จิตที่มีโทสะ จิตที่เป็นลบเพราะความปวด จะ ยิ่งกลับไปซ�้ำเติมความทุกข์กายให้มากขึ้น คนที่ปวด มกั จะคดิ วา่ ตนเองแคป่ วดกาย ไมไ่ ดต้ ระหนกั วา่ ใจกป็ วด ดว้ ย แตถ่ า้ ทำ� ใหใ้ จปวดนอ้ ยลง กจ็ ะพบวา่ ความทกุ ขจ์ าก ความปวดกจ็ ะบรรเทาลงดว้ ย หรอื พดู อกี อยา่ งหนงึ่ กค็ อื ว่า ถา้ ท�ำให้ใจไมท่ กุ ข์ ความปวดก็จะทเุ ลาลง  คุณหมออมรา มลิลาเคยเล่าว่าไปเย่ียมคนไข้ คนหนงึ่  เปน็ อาจารยแ์ พทยอ์ าย ุ ๔๐ กวา่  เปน็ มะเรง็ ระยะ สุดท้าย มะเร็งลามถึงกระดูกแล้ว ปวดมาก มอร์ฟีนเอา ไม่อยู่ หมอให้มอร์ฟีนทุก ๓ ชั่วโมง แต่คนไข้ขอทุก ๒ ชั่วโมง และตอนหลังก็ขอทุกช่ัวโมง หมอบอกให้ไม่ได้ เพราะว่าให้เต็มท่ีแล้ว ตอนท่ีคุณหมออมราไปเย่ียมนั้น คนไขน้ อนไมไ่ ดเ้ พราะปวดมาก ตอ้ งนง่ั งอกอ่ งอขงิ  ตวั ซดี 31 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ปากซีด เหงอื่ เมด็ โตๆ ผุดออกมาเตม็ ตัว ในเม่ือยาเป็นท่ีพ่ึงไม่ได้ คุณหมออมราจึงชวน คนไขท้ ำ� สมาธงิ า่ ยๆ เนอ่ื งจากคนไขไ้ มเ่ คยท�ำมากอ่ น จงึ สอนใหห้ ายใจเขา้ ก�ำหนดพุท หายใจออกกำ� หนดโธ คุณ หมออมราคิดว่าคนไข้คนนี้ไม่เคยท�ำสมาธิมาก่อน หาก ท�ำได้เพียง ๕ นาทีก็เก่งแล้วเพราะว่าความปวดบีบคั้น มาก มีทุกขเวทนาแรงกล้า แต่พอผ่านไป ๕ นาทีเขาก็ ยังนั่งได้ ผ่านไป ๑๐ นาทีก็ยังสมาธิอยู่ และยิ่งนั่งนาน ข้ึนก็ย่ิงดี ตัวก็เริ่มผ่อนคลาย ที่เคยเกร็งก็ค่อยๆ หายไป ปรากฏวา่ นง่ั ไดถ้ งึ  ๔๕ นาท ี พอลมื ตาขน้ึ  หนา้ ตาผอ่ งใส ปากเป็นสีชมพู เหง่ือหายไปเลย ความปวดทุเลาลงมาก จนคนไข้ก็แปลกใจวา่ มนั หายไปไดอ้ ยา่ งไร  ทเี่ ปน็ เชน่ นกี้ เ็ พราะเมอื่ จติ มสี มาธอิ ยกู่ บั ลมหายใจ จดจ่ออยู่กับลมหายใจ มันจะลืมความปวดไปเลย ความ ปวดยังมีอยู่แต่จิตไม่รับรู้ เพราะจิตไปอยู่กับลมหายใจ ธรรมชาติของจิตนั้นรับรู้ได้แค่อารมณ์เดียว เหมือนกับ มีมือเดียว ถ้าจะคว้าแก้วบนโต๊ะก็ต้องปล่อยของที่อยู่ใน มือก่อน คนเราเวลาไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ จิตก็จะเกาะอยู่ 32

กบั ความปวด แตพ่ อดงึ จติ มาทลี่ มหายใจกต็ อ้ งวางความ ปวดลง แลว้ มาจบั อยทู่ ล่ี มหายใจ ทำ� ใหไ้ มร่ สู้ กึ ปวด เรยี ก ว่าลืมปวด พวกเราบางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์นี้ คือ นงั่ ทง้ั คนื  แตไ่ มร่ สู้ กึ ปวดหรอื เมอื่ ยเลย เพราะวา่ ใจก�ำลงั จดจ่ออยู่กับไพ่ที่ก�ำลังถือในมือ ไม่ใช่ว่าไม่ปวด ไม่เมื่อย แตจ่ ติ ไมร่ บั รคู้ วามปวดเนอื่ งจากมวั จดจอ่ อยกู่ บั ไพ ่ แตถ่ า้ ปวดมากๆ อย่างเป็นมะเร็ง ไพ่ก็ไม่สามารถช่วยได้ แต่ การมีสมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจช่วยได้ ประการแรก เป็นเพราะสมาธิช่วยให้ลืมปวด ประการท่ีสอง เม่ือจิต มสี มาธจิ ะสง่ ผลใหส้ ารบางตวั ในรา่ งกายหลง่ั ออกมา ชว่ ย ลดความปวดได้ เช่นเอนโดรฟีน โดพามีน เป็นการลด ความปวดทางกายจริงๆ ไม่ได้แค่คิดเอา หรอื วา่ ลืมปวด นีเ่ ปน็ อานสิ งสข์ องสมาธทิ ี่ช่วยลดความปวด  อานิสงส์อย่างแรกของสมาธิที่เกิดขึ้นทันทีคือ ท�ำให้ใจไม่ทุกข์ สมาธิช่วยให้ใจสงบ ไม่มีโทสะเพราะ  ถูกทุกขเวทนาหรือความปวดรุมเร้า ส่ิงที่เกิดคู่กันก็คือ เม่ือเราท�ำสมาธิ จิตจะวางความปวดลงและมาอยู่กับ 33 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ลมหายใจซึ่งเบาและสบาย ความปวดกายมีอยู่ แต่ท�ำ อะไรจิตใจไม่ได้ เพราะว่าจิตตอนน้ันแน่วแน่อยู่กับลม หายใจ สมาธิเปน็ ภมู ิคมุ้ กนั จิตใจอย่างหนงึ่   คนสมัยน้ีปวดนิดหน่อยก็กินยาระงับปวด กินยา อะไรต่อมิอะไรมากมาย มีคุณหมอในโรงพยาบาลแห่ง หน่ึงในกรุงเทพฯ เล่าว่าคนไข้เดี๋ยวน้ีแค่ปวดนิดหน่อยก็ ขอยาแลว้  แสดงวา่ มีภมู ติ า้ นทานความเจบ็ ปวดต่�ำมาก เพราะไม่เคยคิดที่จะทนกับความปวด เจอความปวด นิดหน่อยก็ขอยา พอถึงจุดหน่ึงยาเอาไม่อยู่ก็ไม่รู้จะท�ำ อย่างไร เพราะจิตใจไม่เคยถูกฝึกให้มีภูมิคุ้มกันเลย ทุก วันนี้ยาระงับปวดไม่ว่าจะดีเลิศเพียงใด ก็มีข้อจ�ำกัด คน ที่เป็นมะเร็งจะรู้ดีว่าพอถึงจุดหน่ึงแล้วยาเอาไม่อยู่ ถึง จดุ นนั้ ใจสำ� คญั มาก ใจทม่ี สี ต ิ ใจทมี่ คี วามรสู้ กึ ตวั  ใจทมี่  ี สมาธนิ แี่ หละ จะชว่ ยใหเ้ รารบั มอื กบั ความเจบ็ ปว่ ยและ  ทกุ ขเวทนาได้ นอกจากสมาธิแล้ว สติก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ เพราะเจ็บปวดได้ มีคนไข้คนหน่ึงปวดมากเพราะเป็น มะเร็งล�ำไส้ ยาเอาไม่อยู่ ทรมานมาก แต่มีช่วงหนึ่ง 34

ต้ังสติได้ เพราะเคยฝึกสติมาก่อน ก็เลยเอาสติมาใช้ใน ยามนี้ เขาพูดด้วยส�ำนวนของเขาว่า สติดึงจิตมาไว้ที่ หัวไหล่ และมาดูความปวดที่ท้อง ความปวดยังมีอยู่แต่ จิตไม่ปวดแล้ว จิตไม่ทุกข์แล้ว เพราะจิตแยกออกจาก กาย สติท�ำหน้าท่ีดึงจิตออกจากความปวด มาเป็นผู้ดู ไม่ใช่ผ้เู ป็น อย่างที่หลวงพ่อค�ำเขียน สวุ ัณโณ อาจารย์ ของอาตมาพดู เสมอวา่  “เหน็  อยา่ เขา้ ไปเปน็ ” สตชิ ว่ ยให้ จติ เหน็  โดยไมเ่ ขา้ ไปเปน็  เชน่  เหน็ ความปวดแตไ่ มเ่ ปน็ ผู้ ปวด พอทำ� เชน่ น ้ี ใจกส็ งบ ความปวดยงั มอี ย ู่ แตใ่ จสงบ แตพ่ อไมม่ สี ต ิ จติ กเ็ ขา้ ไปเกาะทกี่ าย เกาะทคี่ วามเจบ็ ปวด พูดอีกอย่างคือจิตไปรวมกับกาย ก็ปวดทรมานอีก ต้อง ตง้ั สตใิ หด้  ี ดงึ จติ ออกมา มาดคู วามปวด อนั นเ้ี รยี กวา่   ใช้สติรบั มือความปวด จนท�ำให้จิตสงบ สตกิ บั สมาธนิ นั้ ทำ� งานคนละแบบ สมาธทิ ำ� ใหจ้ ติ   แนว่ แนอ่ ยกู่ บั สงิ่ ใดสงิ่ หนงึ่ จนลมื ความปวด สว่ นสตนิ น้ั   ใชด้ คู วามปวด แตไ่ มเ่ ขา้ ไปเปน็  สตนิ อกจากชว่ ยบรรเทา ทกุ ขเวทนาทางกายแลว้  ยงั ชว่ ยลดทกุ ขเวทนาทางใจดว้ ย เมื่อเกิดผัสสะที่ท�ำให้เกิดความทุกข์ใจ เช่น ได้ยินค�ำพูด ท่ีไม่ถูกใจ เห็นการกระท�ำท่ีไม่ถูกใจ เกิดความขุ่นเคือง 35 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ หงุดหงิดขึ้นมา ถ้าเรามีสติรู้ทันอารมณ์เหล่านั้น ใจก็จะ วางความหงุดหงิดขุ่นมัวลงทันที หรือถอนจิตออกจาก ความโกรธ พาจิตกลบั คืนสูค่ วามปกตไิ ด้ นอกจากขันติ สติ สมาธิแล้ว อีกสิ่งที่ส�ำคัญอีก อย่างหนึ่งคือ ปัญญา ปัญญาในท่ีนี้ไม่ได้หมายถึงคิด เกง่  หรอื รมู้ าก ปญั ญาในทางพทุ ธศาสนา หมายถงึ การ  เขา้ ใจชวี ติ  เขา้ ใจธรรมดาหรอื ความจรงิ ของชวี ติ  รวมทงั้   36

เขา้ ใจวา่ ความทกุ ขเ์ ปน็ ธรรมดาของชวี ติ  ดงั เชน่ ทกี่ ลา่ วไว้ ในบทสวดมนต์อภณิ หปัจจเวกขณว์ ่า “เรามคี วามแก่เปน็ ธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้ เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความ ตายเปน็ ธรรมดา จะลว่ งพน้ ความตายไปไมไ่ ด ้ เราจกั ตอ้ ง พลดั พรากจากของรกั  ของชอบใจทงั้ หลาย” ถา้ จติ ใจเปดิ รับความจริง และตระหนักถึงความจริงน้ีอย่างแจ่มแจ้ง เรียกว่ามีปัญญา ท�ำให้เวลาเจ็บปวดก็ไม่ทุกข์ ทุกข์กาย แตใ่ จไมท่ กุ ข ์ เพราะเหน็ วา่ เปน็ ธรรมดา เวลาเปน็ สวิ  ผวิ แหง้  ผมแตกปลาย กร็ สู้ กึ วา่ เปน็ ธรรมดา ไมท่ กุ ขท์ รมาน กับมัน เวลาแก่ชรา ผิวหนังเห่ียวย่น หรือผมหงอกก็ ไม่ทุกข์ ไม่กลุ้มใจ เพราะตระหนักถึงความจริงของชีวิต วา่ ไม่มใี ครทไ่ี มแ่ ก่ คนที่เวลาเจ็บเวลาป่วย แล้วกลุ้มใจว่าท�ำไมต้อง เป็นเรา บางทีวิตกกังวลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ เป็น เพราะไม่เห็นหรือไม่ตระหนักถึงความจริงของชีวิต และ ไม่มีสติด้วย เพราะถ้ามีสติ จะไม่กังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด และจะรู้ทันใจท่ีทุรนทุราย ไม่ปล่อยให้ความทุรนทุราย มาครอบงำ� จติ  คนทท่ี กุ ขเ์ พราะคดิ วา่ ทำ� ไมตอ้ งเปน็ ฉนั   37 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ แสดงว่าสติอ่อน ปัญญาก็ไม่แก่กล้า หรือว่ามีอวิชชา ดว้ ยซ้ำ�   ถา้ มปี ญั ญาเหน็ ความจรงิ ของชวี ติ  กจ็ ะไมห่ วน่ั ไหว ต่อโลกธรรม ๘ ประการ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เพราะมัน เป็นของคู่กัน ไม่มีใครที่ได้รับแต่คำ� สรรเสริญอย่างเดียว ค�ำนนิ ทากเ็ ป็นส่วนหนึ่งของชวี ติ ดว้ ย เมอ่ื เจอคนวิพากษ์ วจิ ารณ ์ ใจกไ็ มท่ กุ ข ์ เพราะรวู้ า่ เปน็ ธรรมดา พระพทุ ธเจา้ ตรัสว่า ไม่มีใครเลยที่ไม่ถูกนินทา แม้อยู่เฉยๆ ก็ยังถูก นินทา ถ้าเราเห็นความจริงข้อน ้ี เราก็จะไม่หวั่นไหวเม่ือ มีคนต�ำหนิหรือตอ่ ว่า  ความพลัดพรากความสูญเสียก็เช่นกัน เมื่อเกิด ขนึ้  ถา้ เราตระหนกั วา่ เปน็ ธรรมดาของชวี ติ  เปน็ ของคกู่ นั มีแล้วก็ต้องหมด ได้ก็ต้องเสีย เจอก็ต้องจาก พบก็ต้อง พราก เจอแลว้ ไมม่ คี ำ� วา่ จากยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด ้ พบแลว้ ไมม่ ี คำ� วา่ พรากกไ็ มเ่ คยเกดิ ขนึ้  มกี บั หมดเปน็ ของคกู่ นั  ดงั นน้ั เวลามกี ไ็ มเ่ หลงิ  ไมด่ ใี จ ถา้ ดใี จกม็ สี ตริ ทู้ นั  เรยี กวา่ ไมย่ นิ ดี และเมอื่ เสยี มนั ไปกม็ สี ตริ ทู้ นั  ไมย่ นิ รา้ ย ใจเปน็ ปกต ิ ทจี่ รงิ 38

ถา้ มปี ญั ญาตงั้ แตแ่ รก ตอนทมี่ กี ร็ แู้ ลว้ วา่ เดย๋ี วกห็ มด ตอน ท่ไี ดก้ ร็ วู้ ่าอกี ไม่นานตอ้ งเสยี ไป ครน้ั ถงึ เวลาทห่ี มด ต้อง เสยี จรงิ ๆ หรือถึงเวลาทต่ี ้องพลดั พรากกไ็ มท่ ุกข์  เมื่อมีค�ำต่อว่าด่าทอเกิดขึ้น มีความสูญเสียพลัด พรากปรากฏแกเ่ รา กไ็ มไ่ ดแ้ ปลวา่ เราจะตอ้ งทกุ ขเ์ สมอไป ถา้ เรามปี ญั ญา ปญั ญาจะคมุ้ ครองใจไมใ่ หท้ กุ ข์ และหาก มปี ญั ญาถงึ ขน้ั ทไ่ี มเ่ พยี งแตเ่ หน็ ความจรงิ วา่ ความเจบ็ ปวด เป็นธรรมดาโลก แต่ยังเห็นกระท่ังว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช ่ เราเจ็บ ไม่ใช่เราป่วย เป็นเพียงแค่กายที่เจ็บ แค่กาย  ที่ป่วย ถ้ามปี ญั ญาจนถงึ ขน้ั น ้ี ใจกจ็ ะไม่ทุกขเ์ ลย มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร ไป ผ่าตัดเอานิ่วในไตออก พอผ่าเสร็จสักพัก ก็บอกหมอ ว่าค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว คือท่านจะกลับวัดที่ สิงห์บุรีแล้ว หมอและพยาบาลก็ตกใจ เพราะว่าบางคน ที่ผ่าตัดน้อยกว่าท่าน เขายังบ่นเจ็บปวด แต่หลวงปู่ ไมแ่ สดงอาการปวดเลย จงึ ถามหลวงปวู่ า่ ไมร่ สู้ กึ ปวดเลย หรือ หลวงปู่ท�ำอย่างไรถึงไม่เจ็บ หลวงปู่บุดดาตอบว่า “ร่างกายของหลวงปู่ก็เหมือนกัน ท�ำไมมันจะไม่เจ็บ แต่ 39 พระไพศาล วิสาโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ จติ ใจตา่ งหากท่ีไม่ไดเ้ จ็บปว่ ยไปกบั ร่างกายด้วย” คนส่วนใหญ่เวลาปวดไม่ได้เห็นว่าท่ีปวดนั้นคือ รา่ งกายปวด แตก่ ลบั ไปสำ� คญั วา่ ฉนั ปวด ใจกเ็ ลยปวดตาม ไปด้วยเลย แต่เมื่อมีปัญญาเห็นว่าที่จริงแล้วมีแต่กาย กับใจ ไม่มีเรา เมื่อความปวดเกิดข้ึน ก็มีแต่ร่างกายที่ ปวด ส่วนใจไม่ทุกข์ เหมือนอาจารย์ก�ำพลท่ีได้ปฏิบัติ ธรรมด้วยการเจริญสติตามค�ำแนะน�ำของหลวงพ่อ ค�ำเขียน ที่ว่า เม่ือพลิกมือไปมา ก็ให้เห็นว่า ที่พลิกน้ัน เป็นรูป เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ก็ให้เห็นว่าที่คิดนั้นเป็น นาม ท่านก็พิจารณาจนกระท่ังเห็นอย่างแท้จริงว่า ทั้ง  เนอ้ื ทงั้ ตวั มแี ตร่ ปู กบั นาม ไมม่ ตี วั เราของเราเลย ทำ� ให้ เหน็ ตอ่ ไปวา่  ทพ่ี กิ ารนนั้ คอื กายพกิ าร ใจไมไ่ ดพ้ กิ ารดว้ ย ความรู้สึกว่าฉันพิการมันหมดไป เห็นว่ากายพิการอย่าง เดยี ว พอเหน็ เชน่ นท้ี า่ นวา่ จติ ลาออกจากความพกิ าร ลา  ออกจากความทุกข์เลย อีกคราวหนึ่ง หลวงปู่บุดดาได้รับนิมนต์ให้ไปฉัน ท่ีบ้าน มีพระไปฉันด้วยกันหลายรูป ปรากฏว่าอาหาร เปน็ พษิ  พระทกุ รปู อาเจยี นอยา่ งหนกั  เกอื บทง้ั หมดนอน 40



ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ หมดแรง แตห่ ลวงปบู่ ดุ ดายงั นงั่ คยุ กบั โยมได ้ คยุ ไปสกั พกั ทา่ นกค็ วา้ กระโถนมาอาเจยี น อาเจยี นเสร็จท่านกค็ ยุ กับ โยมตอ่  ไมแ่ สดงอาการออ่ นเพลยี เลย ภายหลงั กม็ คี นถาม หลวงปวู่ า่  หลวงปไู่ มเ่ ปน็ อะไรหรอื  นง่ั คยุ กบั โยมเหมอื น กับว่าไม่มีอะไรเกิดข้ึน ท่านตอบว่า “ร่างกายเราน้ีมัน สกั แตว่ า่ เทา่ นน้ั  ธาต ุ ๔ มนั ถกู ยาเมา ยาเบอ่ื  มนั กแ็ สดง อาการต่างๆ นานา ส่วนจิตใจมันไม่ได้ถูก เลยไม่เป็น อะไร เหตเุ พราะกายกบั ใจมนั คนละเรอื่ ง รวมกนั ไมไ่ ด”้   ถา้ มปี ญั ญาเหน็ ความจรงิ ขนั้ พนื้ ฐานวา่  ทจี่ รงิ แลว้   ไมม่ ตี วั ฉนั  มแี ตก่ ายกบั ใจ เวลาปวดกเ็ หน็ ไดช้ ดั วา่  กาย ปวดแต่ใจไม่ได้ปวดด้วย เพราะไม่รู้สึกว่าฉันปวด อันนี้ เรียกว่ามีปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิต ว่าไม่มีตัวฉัน มีแต่รูปกับนาม ปัญญาน้ีจะช่วยรักษาใจได้เป็นอย่างดี คือปวดแค่ไหนใจก็ไม่ทุกข ์ อย่างหลวงพ่อค�ำเขียนก็เป็น อีกตวั อย่างหนงึ่ วาระสุดท้ายของหลวงพ่อค�ำเขียนนั้นอัศจรรย์  มาก ตอนทที่ า่ นจะมรณภาพ ทา่ นหายใจไมค่ อ่ ยออกแลว้ เพราะกอ้ นเนอ้ื ทค่ี อขยายตวั  จนกระทงั่ ปดิ หลอดลม ปกติ 42

คนเราเวลาหายใจไมไ่ ดจ้ ะทรุ นทรุ ายมาก แตห่ ลวงพอ่ ยงั ปกต ิ สงบ ขอตวั ไปเขา้ หอ้ งน้�ำ ถา่ ยหนกั  ลา้ งหนา้  ลา้ ง มอื  แลว้ ขนึ้ มาบนเตยี ง ขณะทล่ี กู ศษิ ยก์ �ำลงั ชว่ ยกนั ท�ำให้ กอ้ นเนอ้ื ยบุ  เพอ่ื ใหท้ า่ นหายใจไดส้ ะดวกขน้ึ  แตก่ ไ็ มส่ ำ� เรจ็ ทา่ นเหน็ วา่ ปว่ ยการ ไมม่ ปี ระโยชน ์ จงึ บอกใหพ้ ระผดู้ แู ล เลิกท�ำได้แล้ว แต่ท่านพูดไม่ได้ จึงขอกระดาษ ดินสอ แลว้ เขยี นวา่  “พวกเรา ขอใหห้ ลวงพอ่ ตาย” เขยี นเสรจ็ ก็ ยื่นกระดาษให้ลูกศิษย์ แล้วก็หลับตา นอนน่ิง สักพักคอ ก็ตก ลมหายใจก็หยุด ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยท่ีท่านไม่มี อาการทุรนทุรายหรือเป็นทกุ ข์เลย  ส�ำหรับหลวงพ่อค�ำเขียน ทุกขเวทนาท่ีเกิดข้ึน ก็ สกั แตว่ า่ เกดิ กบั กาย แตว่ า่ ใจไมไ่ ดท้ กุ ขด์ ว้ ย พอถงึ เวลาจะ ตาย กไ็ ปอยา่ งสงบ ทา่ นมสี ตริ ตู้ วั ตลอดจนวนิ าทสี ดุ ทา้ ย กว็ า่ ได้ ทง้ั นเี้ พราะทา่ นมปี ญั ญามองเหน็ วา่  ทกุ ขเวทนา  ทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ กบั กายเทา่ นนั้ เอง สว่ นใจไมไ่ ดท้ กุ ขด์ ว้ ย  ใจจึงสงบ อาตมาเช่ือว่าท่านไม่ได้คิดหรือรู้สึกว่าท่าน ก�ำลังตาย เป็นแต่กายกับใจเท่านั้นท่ีแตกดับไป พูดอีก อยา่ งคอื  ทา่ นมองเหน็ วา่  ไมม่ ใี ครตาย มแี ตค่ วามตาย  หรือความแตกดับเท่าน้ันท่ีเกดิ ข้นึ   43 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ คนท่ฉี ลาดเพราะผ่านวชิ าชีวติ มา  จะรเู้ ลยว่าไมม่ ีความทกุ ข์อะไรทเ่ี ราผา่ นไปไมไ่ ด้ ไมว่ า่ จะอกหกั   เสยี โฉมหรอื อะไรกต็ าม  ความทกุ ขท์ เี่ กดิ ขน้ึ   เปน็ ของชว่ั คราว  สกั วนั หนงึ่   เรากจ็ ะยมิ้ ได้ หลวงพ่อค�ำเขียนเป็นตัวอย่างท่ีแสดงให้เราเห็น ว่า ถ้ามีปัญญาเป็นเคร่ืองรักษาใจ แม้กระท่ังความตาย กไ็ มส่ ามารถทำ� อะไรจติ ใจได ้ จติ ใจกเ็ ปน็ ปกต ิ นบั ประสา อะไรกบั คำ� ตอ่ วา่ ดา่ ทอ งานการลม้ เหลว เงนิ หาย รถถกู ขโมย  พวกนเี้ ปน็ เร่อื งเลก็ นอ้ ยมาก  แต่ส�ำหรับพวกเรา เม่ือเกิดเหตุการณ์เหล่านี ้ ข้ึน ก็ควรเอาเหตุการณ์เหล่าน้ีมาเป็นเครื่องฝึกใจเรา  โลกธรรมฝ่ายลบ คือเส่ือมยศ เสื่อมลาภ นินทา และ  ทุกข์ เช่น ความเจ็บป่วย การพลัดพรากจากสิ่งท่ีรัก  การประสบกับสิ่งท่ีไม่รัก ล้วนมีประโยชน์ ผู้คน 44

ส่วนใหญ่มักจะกลัวสิ่งเหล่านี้ ไม่อยากให้มันเกิด แต่ ส�ำหรับชาวพุทธแล้ว ในเมื่อมันเกิดข้ึนแล้ว ก็ต้องรู้จัก ใช้ประโยชน์จากมัน หรอื หาประโยชน์จากมนั ใหไ้ ด้  หาประโยชนจ์ ากมนั ดว้ ยการใชม้ นั เปน็ การบา้ น  ฝกึ ใจใหเ้ ขม้ แขง็  ฝกึ ใจใหม้ ภี มู ติ า้ นทานความทกุ ข ์ มภี มู ิ ต้านทานความยากล�ำบาก มีภูมิต้านทานความล้มเหลว เดก็ จำ� นวนไมน่ อ้ ยไมม่ ภี มู ติ า้ นทานความลม้ เหลว เพราะ วา่ ชวี ติ ราบรนื่  ประสบความสำ� เรจ็ มาตลอด คนทปี่ ระสบ  ความสำ� เรจ็ มาตลอดนน้ั  จะกลวั ความลม้ เหลวมาก เจอ  ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียวก็อาจเสียศูนย์ได้ เช่น บางคนชวี ติ ในวยั เดก็ ราบรน่ื  เรยี นกไ็ ดค้ ะแนนดี แตแ่ ลว้ วันหนึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ อาจจะเคยสอบได้ ที่หนึ่งมาตลอด แล้ววันหนึ่งสอบได้ท่ี ๓ หรือสอบตก หรืออาจจะเคยได้ทุกอย่างท่ีตัวเองต้องการเพราะพ่อ แม่ให้ทุกอย่าง แล้ววันหน่ึงพบว่าแฟนท้ิง ก็เสียใจจน คลมุ้ คลงั่ เลยกม็ ี ทฆ่ี า่ ตวั ตายกไ็ มน่ อ้ ย ทไี่ ปฆา่ คนอน่ื ตาย ก็เยอะเพราะเสียศูนย์ น่ีเรียกว่าไม่มีภูมิต้านทานความ ล้มเหลวหรือความผิดหวัง เพราะว่าเจอแต่ความส�ำเร็จ ความสมหวงั มาตลอด  45 พระไพศาล วสิ าโล

ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม ใ จ ในทางตรงข้าม ถ้าเราเจอความไม่สมหวัง เจอ ความล้มเหลว ให้เรามองว่าส่ิงเหล่านี้มีประโยชน์ ช่วย ฝึกใจเราให้เรามีภูมิต้านทานมากขึ้น เหมือนกับเด็กใน ชนบททไ่ี ดส้ มั ผสั เชอ้ื โรคในดนิ ในนำ�้  ทำ� ใหเ้ ขาเขม้ แขง็ ขนึ้ คนเราจะมีพัฒนาการทางจิตใจได ้ ก็ต้องเจอเรื่องพวกนี้ บอ่ ยๆ เพราะมนั จะสอนเราใหม้ คี วามเขม้ แขง็  เวลามคี น ต่อว่าด่าทอ เผลอโกรธข้ึนมา ก็ลองใช้ความโกรธเป็น เครอื่ งฝกึ สตขิ องเรา คอื ใหม้ สี ตริ ทู้ นั ความโกรธ เวลาปวด เม่ือย ก็อย่าเอาแต่บ่น เช่น เม่ือเจอแดดร้อน ถ้าเราบ่น เราก็ขาดทุนเพราะต้องทุกข์ทั้งกายและใจ แต่แทนที่เรา จะบ่น ลองใช้มันมาเป็นการบ้านฝึกสติ คือเห็นใจท่ีบ่น หรือใช้สติดูกายว่าเป็นอย่างไรเม่ือเจอความร้อนหรือ ความเจ็บปวด หรือใช้สตดิ คู วามร้อนความปวดก็ได ้ เวลาเจบ็ ปว่ ยนน้ั เปน็ โอกาสด ี ทเ่ี ราจะไดฝ้ กึ สตปิ ฏั - ฐาน ๔ อย่างน้อยก็ ๓ ข้อแรก ฝึกดูกาย ฝึกดูใจ ฝึก ดูเวทนา ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าป่วยทุกทีก็ต้อง  ฉลาดทุกที ฉลาดตรงที่ได้เห็นความจริงของสังขารว่า มันไม่เท่ียงเลย และไม่อยู่ในบังคับบัญชาของเราได้เลย รวมท้ังเตือนใจไม่ให้ประมาทในชีวิต ใช้ความเจ็บป่วย 46

เพ่ือเพ่ิมพูนปัญญา รวมท้ังใช้ส่ิงที่ขัดอกขัดใจเราให้เกิด ประโยชน์ มองให้ดี สิ่งที่ขัดอกขัดใจเรานั้นสามารถขัดใจ  เราใหส้ ะอาดได ้ อะไรกต็ ามทที่ ำ� ใหเ้ รารสู้ กึ ขดั อกขดั ใจ  นน้ั  สามารถขดั กเิ ลสเราใหเ้ บาบาง ขดั อตั ตาใหเ้ ลก็ ลง  ได้ด้วยเช่นกัน แทนที่จะปล่อยให้มันมาสร้างความ ขนุ่ เคอื งใหเ้ รา หรอื ทำ� ใหเ้ รารสู้ กึ ตดิ ขดั  กใ็ ชม้ นั เพอื่ ขดั ใจ เราให้สะอาดแทน  ดังน้ันถ้าเรามีปัญญา ไม่ว่าเร่ืองร้ายเพียงใดเกิด ขน้ึ กบั เรา สญู เสยี คนรกั  ทรพั ยส์ มบตั ถิ กู โกง เจบ็ ปว่ ยดว้ ย โรคร้าย เราก็สามารถเปล่ียนมันให้เป็นของดี นอกจาก จะไม่ทุกข์เพราะสิ่งเหล่าน้ีแล้ว ยังได้ประโยชน์จากมัน ด้วย ท�ำให้ใจเราเข้มแข็ง ท�ำให้เรามีภูมิคุ้มกันในจิตใจ มากข้ึน และหากมีภูมิคุ้มกันจิตใจ เหตุการณ์เลวร้าย ท้ังหลายก็ไม่สามารถท�ำให้เราทุกข์ใจได้เลย จิตใจมีแต่ ความปกติสุขและสงบเย็น พูดง่ายๆ คือ อยู่ที่ไหนใจก็ ไร้ทุกข ์ เป็นสุขไดใ้ นทุกสถานการณ์ 47 พระไพศาล วสิ าโล



วิ ช า ชี วิ ต ช่วงน้ีเป็นช่วงโรงเรียนปิดเทอม แต่นักเรียนจ�ำนวน ไม่น้อยยังไม่หยุดเรียน ต้องไปเรียนพิเศษหรือกวดวิชา เพ่ือเตรียมตัวสอบโอเน็ต พอสอบเสร็จ โรงเรียนก็เปิด เทอมพอดี นักเรียนต้องไปเรียนต่อ เป็นเช่นน้ีอยู่ปีแล้ว ปีเล่า จนกระท่ังเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว นักเรียนเหล่านั้น ก็ยังต้องเรียนอีกหลายปี ตรากตร�ำกับการท�ำรายงาน และการสอบ กว่าจะได้รับปริญญา พอจะมีวิชาไปท�ำมา หากินได้ก็อกี หลายปี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook