Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ อธิบายสมาส ตัทธิต

หนังสือ อธิบายสมาส ตัทธิต

Published by ptlalong, 2020-07-08 07:37:08

Description: หนังสือ อธิบายสมาส ตัทธิต

Search

Read the Text Version

คาํ ช้แี จง ความรเู กย่ี วกบั การยอ คาํ ตอหรอื คําหมาย ระหวางคําสองคําก็ดี ยอ คําหนาบางหลงั บา งกด็ ี เปน ลักษณะของสมาส มที ัง้ ในสํานวนไทย และบาลี เชน คําวา 'สูกรเปโต' แปลเปนสมาสไทยวา 'เปรตหมู' การตั้งวิเคราะหก ค็ ือการขยายความวา เปรต-เหมอื น-หมู, เปรต- มหี วั เหมือน-หมู หรือหัวของเปรต เหมอื นหัวของหมู ในภาษาไทยกม็ ี คําวา หมีหมู นกเคาแมว ลกู เศรษฐี ไปบา น ดังนีเ้ ปน ตน การเรียน รวู าคําไหน เปนสมาสและเปนสมาสอะไร ซอ นความมายอะไรไว สาํ หรัยตัทธซิ ่งึ ใชป จจยั ตอ ทายศัพท แทนกิรยิ าหรอื นามน้ันมแี ต ในภาษาบาลแี ละภาษาไทยทีใ่ ชธ าตแุ ละปจจัย สําหรบั แปลความหมายของ ศัพท สําหรับภาษาไทยไมม ปี จ จยั แมม ที ่ีใชก เ็ พราะติดมาจากภาษาเดมิ ภาษาไทยวา ชาวสยาม คําวา'ชาว' ใชป จจัยในตทั ธติ นนั้ ลงแทน เปนวิธียอ คําดว ยปจจัย มีท่ีใชมากในภาษาบาลี ฉะน้นั จงึ ตองศึกษา ใหรูดี ท้งั วิธียอ และวธิ ีกระจาย คือ วเิ คราะห พระอมรมุนี๑ (จับ ติ ธมฺโม ป.ธ. ๙) วดั โสมนสั วหิ าร รบั ภาระ อธิบายสมาส และ พระมหาลัภ ปย ทสฺสี ป.ธ. ๘ วัดบรมนวิ าส อธบิ ายตทั - ธิตทําใหความรูส องอยา งนก้ี วางขวางยง่ิ ข้นึ อํานวยประโยชนแ กก ุลบุตร ผูศึกษาวชิ านี้ตามสมควร ฉะน้ัน จึงขออนโุ มทนาในกศุ ลกรรมนีด้ ว ย. พระอมราภริ ักขติ มหากุฏราชวทิ ยาลยั ๒ สงิ หาคม ๒๔๘๙ ๑. ปจ จุบนั เปน สมเดจ็ พระวันรัต.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาที่ 1 อธบิ ายสมาส พระธรรมวราลงั การ (จับ ิตธมโฺ ม ป.ธ. ๙) วดั โสมนัสวหิ าร เรียบเรียง คําพูดในภาษาหนง่ึ ๆ มีทงั้ คําพูดพสิ ดาร คือพูดอยางเตม็ ความ มีทงั้ คาํ พดู ยอ คอื พดู อยา งสัน้ แตเขาใจความหมายกนั ไดเ นือ้ ความมาก และชดั เจน ในภาษาไทยเรา ก็มีความยอ เชนนั้นเหมือนกัน เชน รถเทยี มดวยมา ยอมเปนรถมาเปนตน แมใ นภาษาบาลี ก็มคี าํ ยอ ดุจเดียวกัน ถายอ นามศพั ทตง้ั แต ๒ ศัพทข ้นึ ไป ใหเ ขา เปนบท เดียวกัน เรียกวา สมาส แปลวา ศัพทท ย่ี อเขา คอื ยอ ใหส น้ั เพื่อ ใชวภิ ัตตใิ หนอมลงบา ง เพอื่ จะใหเ น้ือความเขากันในทางสัมพันธ คื อื ไมใ หเขาใจเขวไปวา เน้อื ความน้นั ๆ แยกไปเขา กันบทอ่ืน ถงึ แมวา เม่ือเขาสมาสกันแลว วิภัตตจิ ะไมล บกด็ ี แตมีประโยชนใ นอนั ทจ่ี ะทําความแนนอนลงไปวาศพั ทนน้ั เปน อันเดียวกัน จะแยกจากกนั ไปเปนอยางอ่ืนไมไ ด และบางคราวใหม เี นอ้ื ความพเิ ศษขนึ้ ก็มี เชน พหพุ พหิ ิสมาส ทานนยิ มใหแ ปลวา มี ขา งหนา ดงั อ.ุ วา กตกจิ ฺโจ แปลวา ผมู กี จิ อนั ทาํ แลว ดังนี้ และ อุ. วา ทูเรนทิ าน (วัตถ)ุ มีนทิ านในทไี่ กล สมาสมีประโยชนด งั กลาวน้ี ฉะนั้น ทา นจึง ไดจัดไวเปน ไวยากรณประเภทหน่ึง ในบรรดาบาลีไวยากรณทัง้ หลาย. วิเคราะหแ หงสมาส นามศัพทที่ยังไมประกอบดวยวิภตั ติ เรยี ก ศพั ท เชน มหนตฺ

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนาที่ 2 ศพั ท ปุริสศพั ท เปน ตน สวนทีป่ ระกอบดว ยวิภัตติแลว เรียกวา บท เชน มหนฺโต เปนบทหนึ่ง ปุรุโส เปนบทหนง่ึ เมอ่ื กาํ หนด ความตางแหงคาํ วา ศัพทและบท ไดดงั น้ีแลว พึงกําหนดคาํ วาวิเคราะห ตอ ไป. วิเคราะหแ หง สมาสน้นั ตอ งประกอบพรอมดวยลักษณะดังนี้ ก. อนบุ ท บทนอ ย ทเ่ี รียงไวหนาบทปลง. ข. บทปลงคอื บทสมาส ท่ยี ออนุบทน้นั เขาเปนอนั เดยี วกนั . อุทาหรณ มหนฺโต ปุริโส มหาปรุ โิ ส. มหนโฺ ต กด็ ี ปรุ ิโส กด็ ี เปน บททยี่ ังแยกกันอยู จงึ จดั เปนอนบุ ท แตล ะบท ๆ, เม่ือเอา มหนฺโต และ ปรุ ิโส มายอ มใหเขากนั เปน มหาปรุ โิ ส คําวา มหาปรุ ิโส ในวิเคราะหนจ้ี งึ เรียกวา บทปลง หรอื บทสมาส คือสาํ เร็จรปู เปน บทสมาส. โดยนัยน้ี วิเคราะหห น่ึง ๆ จึงมีท้ังอนบุ ทและบทปลง แตอนบุ ท (นอกจากทวนั ทวสมาส) ยอมมี ๒ บท และมี ชือ่ เรยี กตา งกัน ตามทอี่ ยหู นาหรือหลัง อนุบททอี่ ยหู นา เรียกวา บุพพบท ทอ่ี ยหู ลงั เรยี ก อุตตรบท เหมอื นอยาง มหนโฺ ต ปรุ โิ ส ทั้ง ๒ น้ี มหนโฺ ต อยหู นา เรยี กบุพพบท ปรุ โิ ส อยหู ลงั เรียก อุตตรบท พงึ กาํ หนดอนุบทซ่ึงแยกเปนบพุ พบทและอตุ ตรบท และ บทปลง ตามทบ่ี รรยายมาฉะนี้. สมาสนี้ เมื่อวาโดยกจิ คือการกระทาํ หรือรูปสาํ เร็จของวิเคราะห มี ๒ คอื :-

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาท่ี 3 ๑. ลตุ ตสมาส สมาสที่ลบวิภตั ติ. ๒. อลตุ คสมาส สมาสที่ไมไดลบวภิ ัตติ. ก. ลตุ ตสมาส ไดแ กบ ทปลงหรอื บทสาํ เรจ็ ของสมาส ซ่ึงทา น ลบวภิ ตั ติแลว เพื่อจะใชว ิภตั ตใิ หน อยลง ถึงแมจะมีก่ีบทก็ตาม เม่ือ เขาสมาสกันแลว ใชวิภัตตแิ ตบ ทเดยี วเฉพาะบทหลงั เทา นน้ั เชน นีล อปุ ปล นลี ุปปฺ ล. ข. อลตุ ตสมาส ไดแกบทสาํ เรจ็ ของสมาส ซึ่งเมือ่ เขาสมาส แลว คงวิภตั ตไิ ดต ามเดิม ถงึ แมจะนาํ ไปใชในประโยคคําพูดใน วิภตั ติอะไรกต็ าม ก็คงใชว ิภตั ตทิ ่ีตอกันไวเ ดมิ น้ันคงท่ี เปน แต เปลยี่ นวภิ ตั ติบทหลังไปเทานั้น เชน อรุ สโิ ลมสฺส (พรหฺมณสสฺ ) ปุตโฺ ต บุตรของพราหมณผูมขี นทอ่ี ก คาํ วา อรุ สโิ ลมสฺส เปน อลตุ ตสมาส คอื สฺมึ วภิ ตั ติ ที่ อรุ ซึง่ แปลงเปน สิ ตามแบบมโนคณะ ยงั คงอยู เม่ือเขากับ โลมศพั ทแลว นาํ ไปใช สสฺ วิภตั ติ กค็ งใชลงที่บทหลัง คือ โลม เทา น้ัน อรุ สิ คงไวตามเดมิ . รปู สาํ เร็จของสมาสเกี่ยวดวยการันตเปนทีฆะ บทหนา ของสมาส ถามี อา. อ.ี อู การรนั ตี เมอ่ื เขา สมาสกันแลว ตองรสั สะบาง คงไวตามเดมิ บา ง ดังกฎเกณฑตอไปน:ี้ - อา การันต ก. ถา เปน บทคุณ คือ วิเสสนะ เดิมเปน อะ การนั ต แจกได ทัง้ ๓ ลงิ ค เมือ่ เปนวิเสสนะของบทท่ีเปน อติ ถีลิงค เปน อา การันต เขา สมาสแลวตองรัสสะใหส ้นั ตามสภาพเดมิ ของศพั ทน ้นั เชน อฺ ตรา

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ที่ 4 อติ ถฺ ี อฺ ตรติ ถฺ ี หรอื อฺตรอิตถฺ ี หญิงคนใดคนหน่ึง ปฏมิ ณฑฺ ติ า อติ ฺถี ปฏมิ ณฑฺ ิติตถฺ ี หรือ ปฏิมณฺฑติ อติ ฺถี หญิงผูป ระดับแลว . อฺตรา เปนสัพพนาม เดิมเปน อฺ ตร เปน บทวิเสสนะ ปฏิมณฺฑิตา เปน คุณศพั ท ท้งั ๒ นเ้ี มอ่ื เปนวิเสสนะของ อิตถฺ ี ซึ่ง เปนอติ ถลี งิ ค จงึ เปน อาการนั ตไปตามตัวประธาน เวลาเขาสมาสแลว ตองรสั สะใหเปน อยา งเดมิ เสยี . ข. อา การันต ท่ีเปนบทนามนาม อิตถลี งิ ค เขาสมาสแลว ไม ตองรัสสะ เชน := กฺ าน สหสสฺ  กฺ าสหสฺส พันแหง นางสาวนอย. ตาราน คโณ ตาราคโณ หมูแหง ดาว. อี การนั ต ก. อี การนั ต ท่สี าํ เรจ็ มาจาก อี ปจ จัย ในตทัสสตั ถติ ทั ธติ เชน เสฏ ี สปิ ฺป หตถฺ ี และ ณี ปจจัยในนามกติ ก เชน โยคี โยธี เวธี เปนตน ตอ งรัสสะ เปน อิ อยางนี้ :- เสฏโิ น ปตุ โฺ ต เปน เสฏปิ ุตโฺ ต บุตรแหงเศรษฐ.ี โยคิโน วตฺต เปน โยคิวตตฺ  วตั รแหง โยคี. ข. อี การนั ต ท่ีเปนบทนามนามมาเดมิ หรอื ทสี่ าํ เรจ็ จาก ปจ จยั อน่ื เชน ส.ี ตาวี. และ น.ี ซง่ึ เปน เคร่อื งหมายอิตถลี ิงค ท้งั ปุ. และ อติ ฺ. เมอื่ เขาสมาสแลวคงไวต ามเดิม ไมต อ งรสั สะ เชน ปุ. ตปสสฺ โิ น กิจฺจ ตปสฺสกี จิ จฺ  กจิ ของผมู ีความเพียร. เมธาวิโน สขุ  เมธาวสี ุข สุขของคนมปี ญญา.

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 5 อติ ฺ. อติ ฺถี เอว รตน อติ ถฺ รี ตน แกวคอื หญงิ . นทยิ า ตรี  นทตี รี  ฝง แหง แมนํา้ . เภริยา สทฺโท เภรีสทโท เสียงแหง กลอง. ภิกฺขุนนี  สลี  ภกิ ฺขนุ ีสลี  ศลี ของภกิ ษุณ.ี อู การันต อู การนั ตนี้ แมท ั้งศัพทเดมิ และศัพทท่สี าํ เร็จมาจากปจจัย กค็ ง ไวต ามเดมิ ทั้ง ๒ ลิงค ไมตองรัสสะ เชน :- ป.ุ กตฺู จ กตเวที จ กตฺ ูกตเวที ชนท้ังกตญั ูท้งั กตเวท.ี อติ ฺ. วธุยา สทโฺ ท วธูสทฺโท เสียงแหงหญิงสาว. บทสําเร็จของสมาสเนื่องดวยสนธิ เวลาเขา สมาสกันแลว เพื่อจะใหอักษรใหนอ ยลงอีก ควรสนธิ บทท่ีสนธิกันไดตามวธิ ีสนธินน้ั ๆ จะอาํ นวยให ดังใหอ ุทาหรณต อไปนี้:- ก. เพ่อื ไพเราะ เชน อุ. เทวาน อินฺโท เทวานมินโฺ ท ผเู ปน จอมแหงเทวดา. ข. เพอ่ื ใชอ กั ษรใหน อย เชน อ.ุ ปจฺ อนิ ทฺ ฺริยานิ ปจฺ ินทฺ ฺรยิ  อนิ ทรีย ๕. ยังมบี ทสนธอิ ีกอยา งหน่ึง ท่ีมีขอบงั คับใหใชในเวลาเขาสมาส กนั แลว คือสัญโญคะ การซอ นอกั ษร กก็ ารซอนอักษรนี้ มีกฎอยวู า ถ า บทหลงั เปนพยัญชนะที่ ๒ ในวรรคท้ัง ๕ คอื ตัว ข ฉ  ถ ผ ตองซอนอกั ษรที่ ๑ ในวรรคนนั้ ๆ เขา ขางหนา ใหเปน ตัวสะกดบท หนาเสมอไป ดงั น:้ี -

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาที่ 6 ก วรรค ปุ ฺสสฺ เขตฺต ปุฺกฺเขตฺต นาแหง บญุ . จ วรรค วฑฒฺ มานกา ฉายา ยสสฺ  สา วฑฒฺ มานกจฉฺ ายา (เวลา) เวลามเี งาเจริญอยู. ฏ วรรค เสฏ ีโน าน เสฏ ฏิ  าน ตําแหนง แหงเศรษฐ.ี ต วรรค สารีปตุ ฺโต เถโร สารีปุตฺตตเฺ ถโร พระสารบี ตุ รเถระ. ป วรรค มหนฺต ผล มหปผฺ ล ผลใหญ. สมาสมชี ือ่ ๖ อยาง ๑. กมั มธารยะ ๒. ทคิ ุ ๓. ตัปปรุ ิสะ ๔. ทวนั ทวะ ๕. อัพยยภี าวะ ๖. พหพุ พิห.ิ ๑. กมั มธารยสมาส นามศัพทท่มี วี ิภตั ตแิ ละวจนะเสมอกันทง้ั ๒ บท บทหนึ่งเปน ประธาน คอื เปนนามนาม อกี บทหนงึ่ เปนวิเสสนะ คือเปนคณุ นาม หรอื เปน คุณนามท้ัง ๒ บท มบี ทอื่นเปนประธานตางหาก ท่ียอ เขา เปน บทเดยี วกนั ช่ือกัมมาธารยสมาส ๆ นน้ั มวี ธิ อี ยู ๖ อยา ง ตาม รปู ขอคุณนามท่ีทา นยอมเขา คอื วิเสสนบพุ พบท ๑ วเิ สสนุตตรบท ๑ วิเสสโนภยบท ๑ วเิ สสโนปมบท ๑ สมั ภาวนบพุ พบท ๑ อวธารณ- บพุ พบท๑.

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 7 กัมมธารยสมาสน้ี เปนทัง้ สมาสนาม และสมาสคุณ วิธใี ด เม่อื สําเร็จรูปวเิ คราะห มีตวั ประธานในบทปลงนั้น เชน วิเสสน- บุพพบท อ.ุ มหนโฺ ต ปรุ โิ ส=มหาปรุ โิ ส คาํ วาบรุ ุษเปนประธานในบท ปลงได ไมต อ งหาบทอ่ืนมาเปนประธานอกี ทอดหน่ึง. วเิ สสนตุ ตร- บท อุ. สตโฺ ต วเิ สโส=สตตฺ วเิ สโส คําวา สัตวเปนประธานในวิเคราะห ได. สัมภาวนบุพพบท อ.ุ ขตตฺ ิโย (อห) อิติ มาโน=ขตตฺ ยิ มาโน คําวามานะเปนนามนาม เปน ประธานในรปู วเิ คราะหได. อวธารณ บุพพบท อุ. พุทโฺ ธ เอว รตน= พุทธฺ รตน คําวา รตนะเปน นามนาม เปนประธานในรปู วิเคราะหได ไมต อ งใชบ ทอ่นื เปนประธาน กัมม- ธารยะดังวามาน้ี เปน สมาสนาม. สว นวิธที เี่ ม่อื อนุบทและบทปลงของสมาส ไมม ีศัพทเปน ประ- ธาน ตองหาศัพทอ นื่ มาเปนประธาน จึงเปน สมาสคณุ เพราะสาํ เร็จ รูปแลว เปน วเิ สสนะคือคุณบทของศัพทอืน่ เชน วิเสสโนภยบท อุ. อนโฺ ธ จ พธิโร จ=อนธฺ พธโิ ร อนธฺ และ พธิร ทัง้ ๒ ศัพท เปนคุณนาม เปน ประธานในตวั เองไมได ตองหาศัพทอ นื่ มาเปน ประธานใหเหมาะสมกันดบั วเิ คราะหน้ัน คือ ใหล งิ คว จนะวิภัตติ อยางเดียวกนั ทงั้ ใหรูปความเหมาะกนั เชนคําวา ทงั้ บอดทัง้ หนวก ใชศ พั ทอ ่ืนนอกจากสตั วแ ละมนษุ ยแลว วัตถุอ่ืนจะเปน อยางน้ันไม ได ตอ งหาศัพทซ่งึ เพงเอามนุษยห รอื สัตว ซ่งึ เปน ผบู อดและหนวก ได นอกจากนั้นตองระวังใชล งิ ค วจนะ วภิ ตั ติ ใหต รงกนั อีก ฉะนั้น วิเสสโนภยบท จึงเปน สมาสคุณ. สวนวิเสสโนปมบท เปน สมาส

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ท่ี 8 คุณก็ได เปนสมาสนามก็ได เพราะสมาสนี้ เมอื่ บทวเิ สสนะมีบทอื่น เปน อปุ มาเปรียบเทียบในรปู วิเคราะห บทอปุ มานนั้ ถาอยขู างหนา เรยี กวา อปุ มาบุพพบท ถา อยขู างหลงั เรียกวา อปุ มานุตตรบท เชน อุ. กาโก อวิ สโู ร=กากสูโร สรู เปน คณุ เมื่อเปน คณุ อยูใ นรปู วิเคราะหเ ชนน้ี กเ็ ปนสมาสคณุ , ถาบทหนึง่ เปนประธาน บทหนึง่ เปน อุปมาวเิ สสนะ คือเปนวิเสสนะโดยเปน เครอื่ งเปรยี บ อุ. นโร สีโห อวิ =นรสีโห นระเปน ประธาน สีหะเปน วิเสสนะ โดย เปนเคร่ืองเปรยี ง มปี ระธานในตัวเสร็จ ไมตองหาบทอื่นมาเปน ประธานอกี จงึ เปน สมาสนาม รวมความวา กัมมธารยสมาสทเ่ี ปน วเิ สสนบุพพบท, วเิ สสนตุ ตรบท, สมั ภาวนบุพพบท, อวธารณ- บุพพบท, เปน สมาสนามอยา งเดียว, วิเสสโนภยบท เปนสมาสคณุ อยา งเดยี ว, สว นวเิ สสโนปมบท เปนไดทงั้ สมาคุณและสมาสนาม. ๑. วเิ สสนบุพพบท สมาสนี้ มีบทวิเสสนะ คือคุณนามอยูขางหนา บทนามนาม อยขู างหลงั บทวเิ สสนะในรปู วิเคราะห ตองมลี ิงค วจนะ วิภตั ติ เสมอกับตัวประธาน เชน นีล อุปปฺ ล= นีลปุ ปฺ ล, นีล เปน วิเสสนะ อปุ ฺปล เปนประธาน เม่ือเขาสมาสกันแลว เมอ่ื มสี ระทีจ่ ะพึงตอ กนั โดยวิธสี นธิได ก็ควรตอกนั โดยวธิ ีสนธเิ สยี ดว ย เพือ่ ความสละสลวย เชน ตวั อยางน้ี ถาสําเร็จรูปเปน นีลอปุ ปฺ ล โดยไมไดต อดว ยวิธสี นธิ อกี ตอหน่ึง กไ็ มสละสลวยในเชิงอักษร เพราะฉะนัน้ ทานจึงนิยม ตอดวยวธิ สี นธอิ กี ในเมอ่ื มีวธิ ีท่จี ะทําใหในสมาสทุกแหง เมอื่ เชน นี้

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ที่ 9 คาํ กจ็ ะสละสลวยขึ้น เชน นลี ุปปฺ ล เปนตน. ศพั ทว เิ สสนะบางคาํ เม่อื เปล่ียนสมาสแลว ก็เปลี่ยนไปบา ง เชน มหนโฺ ต ปรุ ฺโส เปน มหา- ปรุ โิ ส เพราะ มหนฺต ศพั ท เมอื่ เขา สมาสแลว ทา นแปลงเปนมหา เชน มหนฺต วน=มหาวน, มหนตฺ ี ธาน=ี มหาธานี เปน ตน และเปน มห กม็ ี เชน มหนตฺ  ผล มหปฺผล บทวเิ สสนะบางอยา ง เมอื่ เขา สมาสแลว เหลือไวแตอักษรหนาตัวเดยี ว เชน กจุ ฉฺ ิตา ทิฏิ=กทุ ิฏิ สนโฺ ต ปรุ ิโส=สปปฺ ุรโิ ส (ซอ น ปฺ ดวยวธิ ีสนธิ) ปธาน วจน= ปาวจน (ทีฆะ อะ ท่ี ป เปน อา) มีขอ ความสังเกตในสมาสน้ี คือ :- ๑. เมื่อเขา สมาสแลว ถาเปน บททสี่ นธิได ก็ควรสนธิกัน ดวย (ขอ นใี้ ชในสมาสทัว่ ไป). ๒. แปลงบทวิเสสนะในบทปลงเปน อยางอ่ืน. ๓. เหลอื บทวเิ สสนะไวแ ตอ กั ษรหนา คาํ เดยี ว. ๒. วเิ สสนตุ ตรบท สมาสนม้ี ีบทวิเสสนะอยขู า งหลัง บทประธานอยูขา งหนา รปู วเิ คราะหต อ งประกอบวเิ สสนะดว ยลิงคว จนะวิภัตติ ใหเสมอกบั บท ประธานเทา นน้ั . เมือ่ นักเรียนเหน็ ศพั ทสองศพั ทเขา สมาสกนั อยู ก็ ควรพิจารณาใหเหน็ วา ศพั ทไ หนเปนคณุ นาม ศัพทไ หนเปน นามนาม เชน สตฺตวิเสโส ควรแปลและสงั เกตคาํ แปลใหรูชดั วา คํา สตตฺ เปน อะไร วเิ สส เปน อะไร ก็สงั เกตไดวา สตฺต เปน บทนามนาม ในที่นี้ บทไหนอยขู างหลงั กจ็ ะเห็นไดวา สตฺต ซง่ึ เปน

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาท่ี 10 นามนาอยูข างหนา วิเสส ซึ่งเปน คณุ นามอยูขา งหลัง เชนนี้แลว ก็จะเขาใจไดวา เมือ่ วเิ สสนะอยขู า งหลัง บทประธานคือนามนามอยู ขา งหนา กต็ องเปนสมาสนี้ คือวิเสสนุตตาบท. ๓. วเิ สสโนภยบท สมาสน้ี ทัง้ ๒ บทเปน คุณคอื วิเสสนะ ไมม ีบทประธานอยใู น อนุบทและบทปลงคอื บทสําเรจ็ แหงสมาส ตัวประธานเปน บทอ่ืน ตา งหาก ดงั ตวั อยา งวา อนฺโธ จ วธโิ ร จ=อนธฺ วธโิ ร ดังน้ี เราจะเห็นไดวา ใน อุ. น้ี ทงั้ ๒ บทเปน คณุ นามเหมอื นกนั เพราะ คําวา อนธฺ (บอด) วธริ (หนวก) ไมใ ชนามนาม เปน เพยี ง บทแสดงลักษณะอาการซึ่งตงั้ อยใู นฐานะเปน คณุ ศัพท จะเกณฑให เปนนามนามไมได และ อ.ุ วา ขโฺ ช จ ขชุ โฺ ช จ=ขชฺ ขชุ ฺโช นีก้ ็เปน วิเสสนะทงั้ ๒ บท เพราะคาํ วา ขฺช (กระจอก) ขชุ ชฺ (คอม) ไมใ ชนามนาม เวลาแปลตองหานามนามบทอ่นื ทีม่ ีลิงควจนะ เสมอกนั มาเปนตวั ประธานตางหาก คําวากระจอกและคอ มเปนคุณนาม แสดงลกั ษณะอาการเทาน้ัน เพราะสมาสนี้ ท้ัง ๒ บทตา งเปนคุณนาม ดว ยกนั เชน น้ี ทานจึงใหนามวา วเิ สสโนภยบท แปลวามบี ทท้ัง ๒ เปนวิเสสนะ. สมาสน้ี มีขอควรจาํ ดังน:้ี - ก. อนบุ ท เปน วิเสสนะทงั้ ๒ บท. ข. ในเวลาตัง้ วิเคราะห ใช จ ศพั ทท แี่ ปลวา 'ท้งั ' ควบกันไปกับ อนุบทน้นั ๆ

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาท่ี 11 ค. เวลาแปล ตองหาอัญญบทอื่นมาเปน ประธาน. ๔. วเิ สสโนปมบท สมาสนแ้ี บง เปน ๒ คอื อุปมาบพุ พบท มบี ทอุปมาอยูขางหนา อุปมานตุ ตรบท มบี ทอปุ มาอยขู างหลัง ๑ เปน ไปทงั้ สมาสนามและ สมาสคณุ ในบทปลงแหงวเิ คราะห มศี ัพทเ ปนคุณคอื วิเสสนะอยูดว ย ในที่เชนน้ัน เปนสมาสคุณ เชน สงฺข อิว ปณฑฺ ร=สงขฺ ปณฑฺ ร ขาวเพยี งดังสังข คําวาขาวเปนคุณนาม บอกลักษณะของศัพทอืน่ ซ่งึ ปรากฏในคําพูดหรอื ประโยคนั้น ๆ และคําวา สงฺขปณฺฑรนี้ บอก ลักษณะอาการของส่ิงน้นั วาขาวเหมือนสงั ข ซง่ึ ในตัวอยางนี้ ทานใช ศัพทว า ขีร นํา้ นม ตองแปลวา น้าํ นมขาวเพียงดังสงั ข. ถา ในบทปลงแหง รูปวเิ คราะหเ ปนนามนาม ซ่งึ ใชเ ปนประธาน เสร็จอยูในตัว ไมตอ งหาบทอนื่ มาเปนประธาน ในทเ่ี ชน นั้นตอ งเปน สมาสนาม เชน าณ จกขฺ ุ อิว=าณจกขฺ ุ ญาณเพยี งดงั จกั ษเุ ปน ตน . บทสมาสซ่ึงเปน วิเสสโนปมบทนี้ บางบทอาจเปนสมาสอนื่ ได อกี เชน กากสโู ร ถาแปลวากากลา (คอื ใชสรู เปน วเิ สสนะของกาก) เปน วเิ สสนตุ ตรบท, ถาแปลวา กลากวา กา (คือใชส รู เปนคณุ ของนาม- นามบทใดบทหนึ่ง เชน นโร หรอื สโี ห ที่มคี วามกลาย่งิ กวากา) เปนปญ จมีตัปปรุ สิ สมาส ถาเปนคุณของประเทศคือหมายความวา ประ เทศมีกากลา ก็เปนสัตตมพี ุหพพหิ ิ แมบทอนื่ ๆ กพ็ ึงเทียบเคียงกับ สมาสอืน่ อนั เปน ได โดยนยั น้.ี ๕. สมั ภาวนบุพพบท สมาสนี้ บทหนา เวลาต้ังวิเคราะหประกอบดวย อติ ิ (วา ) บท

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ที่ 12 หลงั เปนประธาน เวลาเขาสมาสแลว อิติศัพททา นลบเสยี ยงั คงเหลอื แต ๒ บท ซง่ึ อาจเขาใจไปในความเปนสมาสอน่ื เชนตัปปุรสิ ะหรือ ทวันทวะได แตม ีขอ ควรสังเกตอยบู างอยาง เชน สมาสน้ี บทหลัง อนั เปน ประธานนน้ั ทานมักใชศ พั ทซ งึ่ ในทางสัมพันธจ ะไดสรปู อิติ เขา ได เชน ศพั ทวา สมฺมต วจน มาโน สฺา เปนตน อนั จะเชอื่ ม อิตศิ ัพทเ ขาไดส นิท ดังภาษาไทยวา สมมตวิ า ... คาํ วา ... ความ สําคัญวา ... ความรูวา ... เปน ตน เมอ่ื เห็นบทหลงั ในสมาสเชน นนั้ แลว พงึ พิจารณาบทหนา จะเขากับคําวา \"วา \" คือ อติ นิ ัน้ ไดหรือไม ถา เหน็ วาเขากนั ไดแลว พงึ เขา ใจเถดิ วา สมาสเชน นีเ้ ปน สมั ภาวนบุพพบท ดังตัวอยางท่ีทานแสดงไววา ขตฺติฑย (อห) อิติ มาโน=ขตฺติยมาโน มานะวา (เราเปน) กษตั รยิ  แตบางคร้งั อาจแปลเปล่ยี นรูปไปเปน ตปั ปุริสะได การทจี่ ะแปลอยางไร โดยวิธีของสมาสไหน จะเหมาะ น้นั และแตผูศ ึกษาจะคิดแปลใหเ ขารปู กับประโยคนน้ั ๆ เถิด เมอื่ ได ความชัดแลวเปนอันไมผัดหลกั สมาสเลย. ๖. อวธารณบุพพบท อวธารณบุพพบทนี้ ยอนามบทเขา ดวยกัน ในเมื่อนาม นั้นเปนช่ือเรียกแทนกันได หรือวา มีคุณคาเทากัน ทา นประกอบ เอว ศพั ทกบั บทหนา เพ่อื หา มเน้ือความอื่นเสยี วา ไมใชส ง่ิ อน่ื ทา นให แปล เอวศพั ทว า คือ เชนแสงสวา งคือปญญา ไมไดหมายเอาแสงสวาง ือืน่ หมายเอาแสงสวางคือปญ ญา ตอ งตงั้ วิเคราะหวา ปฺา เอว

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 13 อาภา=ปฺาภา เอวศัพทในวเิ คราะหน้ี ก็เพอื่ จะหามเสยี วาแสดงสวาง ในทน่ี ีค้ ือปญญาน่งั เอง ไมใ ชแ สงประทีปหรือแสงจันทรแสดงอาทิตย เปนตนเลย ในสมาสนี้ บางครงั้ บทสาํ เรจ็ อาจมีความหมายคลายคลงึ กับสมาสอ่ืน เชนตปั ปรุ สิ ะบางอยาง เชน ปฺ าภา อาจแปลวาแสงสวาง แหง ปญญาก็ได ถาแปลวา แสงสวางแหง ปญญา ตองเปนฉัฏฐีตปั ปปรุ ิสสมาส แตผ ศู ึกษาพึงสังเกตวา ศัพทท ี่ตอ กันอยสู องศัพท มอี รรถทจี่ ะเรียก ช่ือแทนกนั ไดหรอื ไม มคี ณุ คา เทา กันหรอื ไม ถาอาจเรยี กชือ่ แทนกัน ได และมคี ุณคาเทากัน กเ็ ปน อวธานบุพพบท กมั มธารยะ แน ถงึ แมจะแปลเปนรูปสมาสอ่ืนไปกไ็ มดเี ทาสมาสน้ี เชน บทวา พทุ ฺธรตน ควรแปลเปนรูปสมาสน้ีวา คตนะคือพระพทุ ธเจา จะแปลวา พระพทุ ธเจา เปน รตนะ ใหเ ปนวเิ สสนุตตรบทก็พอจะได แตมีผิดนิยมอยูท ่ีลงิ คไ ม เสอมกัน แตถาแปลเปนวกิ ตกิ ตั ตาเขากับกิรยิ าวามวี าเปน ทา นอนุญาต แตก็สอู วธารณะไมได ฉะนน้ั ควรสนั นษิ ฐานวา ถา ศัพททเี่ รยี กแทน กนั ไดมีคาเทากันแลว ควรเปนอวธารณะแท. วธิ วี างวิเคราะหก ัมมธารยะซง่ึ เปนอทุ าหรณด ังแสดงมาน้ี เพือ่ เปน การสะดอกและงา ยในการศกึ ษา สวนทีน่ กั ปราชญใชใ นคมั ภรี  ศพั ทศาสตร ทานวางไวเปน การยืดยาว มี จ ศพั ท ซึ่งแปลวา ดวย มี ต ศพั ท ซง่ึ แปลวา นัน้ อิติ ศัพทซึง่ แปลวา เพราะเหตุนัน้ อยูดวย เม่อื เขาสมาสกันแลว จ ศพั ท ต ศัพทและอิติศัพท ลบท้ิงเสยี ดึง อ.ุ ในแบบวา มหนฺโต จ โส ปุรโิ ส จาต=ิ มหาปรุ โิ ศ บุรษุ นั้นดว ย เปนผู ใหญด วย เหตุนน้ั ชื่อวา บรุ ุษผใู หญ ดังนี้ เปน อุ. ในวเิ สสนบพุ พบท

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ที่ 14 สว นกมั มธารยะอน่ื อกี ๕ อยา ง ก็ดาํ เนินตามแบบนี้ เปน แตประกอบ วิเสสนะไวห นา ไวหลังเทานั้น สวน ต ศพั ทเ รยี งไวห นาบทหลงั ใช ลงิ คเ หมือนกบั ตวั ประธาน เชนอวธารณะวา สทฺธา เอว จ ต ธนจฺ าติ=สทฺธาธน ทรพั ยน น้ั ดว ย คอื ศรทั ธาดวย เหตนุ ัน้ ชือ่ วา ทรัพยค ือศรทั ธา แตเ พอ่ื ไมใ หก ารแปลวิเคราะห ยืดยาว ควรใชต าม แบบบาลไี วยากรณ ซง่ึ เปนแบบสะดวกในการตัง้ วิเคราะหแ ละแปล วิเคราะหเ ปนอยา งดี เพราะบทปลงของวิเคราะหแปลความเทากนั จะตั้งวเิ คราะหแ บบในคมั ภรี ศ พั ทศาสตรห รอื แบบบาลไี วยากรณ กแ็ ปล เหมอื นกนั . ๒. ทคิ สุ มาส แทจริง สมาสนี้ ก็คือกมั มธารยะ อยา งวิเสสบุพพบทนัน้ เอง แตท ี่ทา นใหเรยี กตา งกนั ออกไปวา ทิคุ นั้น เพราะนยิ มบทหนา เฉพาะ แตป กติสังขยาอยา งเดยี ว และสังขยานัน้ กใ็ ชแตสงั ขยาคุณเทานนั้ คือ ตัง้ แตเอก ถงึ อฏนวตุ ิ ถา จะสมาสกับสงั ขยานาม ตอ งเปน ตปั ปรุ สิ ะ กบั ปรณู สงั ขยสเปนกมั มธารยะ ทิคสุ มาสนี้มวี ิธีอยู ๒ อยาง คอื :- ก. สมาหารทิคุ ไดแ กทิคุท่ีทา นรวมความของศพั ทท ม่ี เี นื้อความ เปน พหุวจนะใหเปน เอกวจนะนปสุ กลิงค คือใชสงั ขยาตง้ั แต ทฺวิ ถงึ อฏนวติ เปนบทหนา ของบทนามนาม เมอ่ื สําเร็จรปู คงเปนเอกวจนะ นปสุ กลิงคอ ยา งเดยี ว. ข. อสมาหารทคิ ุ ไดแกท คิ ทุ ีท่ า นไมทําอยา งนน้ั คือคงไวตาม เดมิ นามศัพทจ ะมีวจนะอยา งใด มลี ิงคอยางใด ก็คงไวอ ยางน้ัน

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 15 เปนแตล บวภิ ัตติทส่ี ังขยาเสยี เทานน้ั หรอื จะคงไวอยางอลุตตสมาส ก็ได. ดังจะไดแ สดงอุทาหรณพ อเปนเคร่อื งสังเกต คือ:- สมาหาระ อุ. ตโย โลกา=ติโลก โลกสาม. บทวา โลกา เดิม เปนพหวุ จนะ ตโย ก็เปน พหุวจนะเหมือนกนั เม่อื เขาสมาสกนั แลว ตโย คงรปู เปน ติ ตามเดมิ คือเปนเหมือนเมอื่ คร้งั ไมไดแจกวภิ ตั ติ โลก ศัพท ตามปกติเปนปุ. แตเ มอื่ เขาสมาสกับสังขยา ซึง่ อยูขาง หนาแลว โลก ศัพทกต็ อ งเปลี่ยนไปเปน นป.ุ เอกวจนะ ตามกฎของ สมาหารทิคุ ถงึ แมเขา กบั สังขยาอ่ืน ๆ ก็คงเปน เชน น้นั เหมอื นกัน เชน อุ. จตสโฺ ส ทสิ า เปน จตทุ ทฺ ิส (ซอ น ท ตามแบบสนธ)ิ ปฺจ อินทฺ ิริยานิ เปน ปฺจินทฺ ฺรย (เขา สนธิอีกชัน้ หนงึ่ ). อสมาหาระ ไดแกทคิ ทุ ไี่ มไ ดทาํ อยา งนนั้ คอื ไมไ ดน ยิ มบท ปลงใหเ อกวจนะ นป.ุ คงไวตามรปู ของศัพทห ลังอนั เปน ประธาน เดิมเปน ลงิ คใดวจนะใด ก็คงไวอยางนัน้ อุ. วา เอโก ปคุ ฺคโล=เอก- ปุคคฺ โบ บคุ คลผูเดยี ว ขอ นเ้ี ปนแตเ อาเอกศพั ทต อกบั ปุคฺคล และ ลบวภิ ัตตทิ เี่ อกศัพทเสียเทา น้นั ปคุ ฺคล คงลิงคและวจนะไดตามเตมิ ไมเปลี่ยนแปลง แมบทอน่ื ๆ ซ่ึงเขาสมาสดว ยวธิ ีนแ้ี ลว กเ็ ปน ตาม รูปนนั้ เชน :- จตตฺ าโร มคฺคา เปน จตุมคคฺ า มรรคสี่ ท. จตสโฺ ส ทิสา เปน จตุทฺทิสา ทิศสี่ ท. ขอ พึงเขาใจก็คือ ทคิ สุ มาสนคี้ ลายกับ วิเสสนบุพพบท กัมมธารยสมาส แปลกแตวิเสสนะ ทิคุสมาส นิยม ศพั ทค ือปกติสงั ขยาคณุ เทานน้ั ถา เปน ศพั ทอน่ื นอกจากสงั ขยาคุณแลว ตอ งเปน วเิ สสนบพุ พบท สวนสงั ขยานาม เมอ่ื เขา สมาสตองเรยี งไวขาง

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนา ที่ 16 หลงั นามนาม และมีสงั ขยาน้ันเปน ประธาน การตอสงั ขยานามนี้ ตอ ดวยวธิ ี ตัปปรุ สิ สมาส ดังจะอธิบายตอ ไป. ๓. ตัปปรุ สิ สมาส สมาสน้ี ทา นยอนาศพั ทท ม่ี ีทตุ ยิ าวภิ ตั ตเิ ปนตน จนถึงสัตตมี- วภิ ัตติเปน ท่ีสุด เขา กับเบือ้ งปลาย ซ่ึงเปนนามนามบา ง คณุ นามบา ใหเน่ืองเปนอนั เดยี วกนั ชื่อตปั ปุรสิ สมาส มี ๖ อยา ง คอื ทุตยิ า- ตปั ปุริสะ ๑ ตตยิ าตัปปรุ ิสะ ๑ จตตุ ถีตัปปรุ ิสะ ๑ ปญ จมีตปั ปุริสะ ๑ ฉัฏฐตี ปั ปรุ สิ ะ ๑ สตั ตมีตัปปุริสะ ๑. การที่ไมมปี ฐมาตัปปุรสิ ะ ก็ เพราะ ถาทงั้ ๒ บทเปน ปบมาวภิ ัตติดวยกัน ไมม อี ายนบิ าตใหเนือ่ ง ถงึ กนั ก็ตอ งเปนอยา งสมาสอื่น เชน กมั มธารยะ หรือ ทวันทวะ เปนตน ฉะนัน้ ปฐมาตปั ปุรสิ ะจงึ ไมมี. กต็ ัปปรุ ิสะนี้ จะสังเกตใหเขา ใจวา เปน ตัปปุรสิ ะอะไร ในเมื่อเราเห็นศัพทส มาสกันอยู ซึง่ บอก ลักษณะวาเปนตปั ปุรสิ ะ ไมใ ชล กั ษณะแหง สมาสอืน่ แลว พึงแปลบท หลังใหเนือ่ งกบั อายตนิบาตของบทหนา ตงั้ แต ซึ่ง, ส,ู ยงั , ส้ิน, จนถึง ใน, ใกล, ที่, คร้นั เมอ่ื , ในเพราะ, เมือ่ เห็นเช่ือมกนั ไดดว ย อายตนบิ าตตวั ไหน ในวภิ ตั ติอะไรแลว พงึ ทราบเถิดวา เปนตัปปรุ สิ ะนั้น. อนงึ่ เมือ่ ๒ บทบอกลกั ษณะตัปปรุ สิ ะอยู แตแ ปลอายตนิบาต ความไมกนิ กัน เชน อ.ุ อสฺสรโถ จะแปลเปน สมาหารทวันทวะ ก็ ผิดลักษณะ เพราะไมเปนเอกวจนะนปสุ กลงั ค จะเปน อสมาหาร- ทวันทวะกไ็ มได เพราะเปน เอกวจนะ ฉะน้ัน ควรใหเ ปนตปั ปุริสะ แลวไลเ ลยี งอายตนิบาตของศัพทหนา อสฺส ใหตอกบั ศัพทหลัง รโถ

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 17 จะแปลวา รถของมาก็ไมได เพราะมา ไมไ ดเปน เจาของรถ จะแปลวารถ ในมาก็ไมไ ด รถใกลมา ทม่ี า ความก็ยงั ไมส นทิ เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ ยอมใหใ ชบ ทอนื่ ในรูปวิเคราะห เพ่อื ใหอายตนบิ าต คอื การตอ เชื่อม กันสนิท คําทีเ่ พมิ่ มาในรูปวเิ คราะหน ้ี เมือ่ เขาสมาสแลวใหลบเสีย เรียกวา มชั เฌโลป คอื ลบทามกลาง แมใ นสมาสอืน่ ก็มคี าํ ทีเ่ ติมแลว ลบเสยี เหมอื กัน คําท่ีเตมิ เพ่ือใหค วามเต็มในรปู วิเคราะหเชนนี้ ถึง แมจ ะลบเสยี ในเมื่อเขาสมาสแลว กด็ ี เจาของแหง ภาษาหรอื ผูที่เขาใจ ภาษาน้นั ยอ มรูความหมายกันไดอยา งชดั เจน ดงั ภาษาไทยเรา คําวา รถมา กเ็ ชนกัน เปนคําพดู ท่ียังไมเต็มความ แตเ ขาใจกันไดว า รถอนั เทียมดวยมา ฉะนนั้ ศพั ทวา อสฺสรโถ จึงมศี ัพททีเ่ ปน มชั เฌโลป อยูดว ย ความจึงเขากนั สนิท ในที่นีต้ อ งใช ยตุ ฺต ซงึ่ แปลวา เทียม แลว เขาทามกลาง ประกอบวภิ ตั ติ วจนะ ลิงค ใหเหมือนกับ รโถ อนั เปน ตวั ประธาน ดงั น้ี อสฺเสน ยุตโฺ ต รโถ=อสสฺ รโถ รถอนั เขา เทยี มแลว ดว ยมา . จะแสดงอุทาหรณแหง ตปั ปุรสิ ะ เพอ่ื เปนเคร่ืองประกอบความ เขา ใจของนักศกึ ษาโดยสังเขป. ทุตยิ าตัปปุริสะ สุข ปตโฺ ต สขุ ปฺปตฺโต (ปุรโิ ส) บุรษุ ถึงแลว ซ่ึงสุข. วสิ งฺขาร คต วิสงขฺ ารคต (จติ ฺต) จติ ถงึ แลวซ่ึงวสิ งั ขาร. ตติยาตปั ปรุ สิ ะ โมเหน (สมปฺ ยตุ ตฺ ) จติ ตฺ  โมหจิตตฺ  จติ สัมปยตุ แลว โดยโมหะ.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ที่ 18 ยนฺเตน (ยุตโฺ ต) รโถ ยนฺตรโถ รถประกอบแลว ดวยเครื่องยนต. จตตุ ถตี ัปปุรสิ ะ มตตสสฺ ภตฺต มตกภตฺต ภัตรเพ่อื ผตู าย. คิลานสสฺ เภสชชฺ  คลิ านเภสชฺช ยาเพอ่ื คนไข. ปญ จมตี ปั ปุรสิ ะ อคฺคมิ หฺ า ภย อคคฺ ภิ ย ภยั แตไ ฟ. พนธฺ นา มุตโฺ ต พนธฺ นมตุ ฺโต (สตโฺ ต) สัตวพ นแลว จากเครอ่ื งผูก. ฉฏั ฐตี ัปปรุ สิ ะ เสฏ โิ น ปุตโฺ ต เสฏิปตุ ฺโต บตุ รของเศรษฐ.ี อคฺคสิ ฺส ขนโฺ ธ อคฺคิกฺขนฺโธ กองแหง ไฟ. สัตตมตี ปั ปุริสะ รเู ป สฺ า รปู สฺ า ความสําคญั ในรูป. สสาเร ทุกฺข สสารทุกฺข ทกุ ขในสงสาร. คาเม อาวาโส คามาวาโส วดั ใกลบ าน. สมาสอกี อยางหน่งึ มี น ปฏเิ สธนาม ทีท่ า นสอนใหแปลวา \"มิใช\" เรียกอภุ ยตัปปุริสะบาง เรียก น บพุ พบทกัมมธารยะบาง วิธเี ขา สมาส ถา ศพั ทท ี่อยหู ลัง น ขนึ้ ตน ดวยพยัญชนะ คอื มตี ัว พยญั ชนะข้ึนหนา ใหแปลง น เปน อ เชน น พรฺ าหมฺ โณ=อพฺราหมฺ โณ (อย ชโน ชนน้ี) มใิ ชพ ราหมณ. ถา ศพั ททอี่ ยูหลัง น ขน้ึ ตนดว ยสระ คอื มสี ระขนึ้ หนา ใหแปลง

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนาที่ 19 น เปน อน เชน น อสฺโส=อนสฺโส (อย สตฺโต สัตวน ี)้ มิใชม า เปนตน น ปฏิเสธในสมาสน้ีแปลกจาก น บพุ พบทพหุพพหิ ิ น ในทนี่ ้ี ปฏิเสธนาม ซ่ึงจะแปลวา สงิ่ นี้ มใิ ชส ิง่ นัน้ น ในพหุพพหิ ิ ปฏเิ สธ คุณ และกริ ยิ า ทแ่ี ปลวา ไมมี เชน ไมม ีบุตร เปน ตน . ๔. ทวันทวสมาส สมาสทยี่ อนามตงั้ แต ๒ บทข้ึนไป ใหเ ปน บทเดยี วกัน เรยี กทวนั - ทวะมี ๒ อยา ง คอื สมาหาระ อสมาหาระ เหมอื นกับทิคุสมาส แปลกแตใ นทน่ี เ้ี ปน นามนามลวน ในรูปวเิ คราะหใช จ ศัพทซ ึ่งแปลวา ดว ย เขาประกอบ. ก. สมาหาระ อุ. ดังนี้ สมโถ จ วิปสฺสนา จ=สมถวปิ สสฺ น สมถะดว ย วิปสสนาดวย ชื่อสมถะและวิปสสนา. เม่อื สาํ เร็จแลว แปลวา และ ในระหวางศพั ทสมาส สวน ทิคสุ มาส ในวิเคราะห บทหนาในสงั ขยา บทหลังเปนนามนาม ทง้ั ไมม ี จ ศพั ทเขา ประกอบ. ข. อสมาหาระ อุ. ดงั นี้ จนฺทมิ า จ สุริโย จ=จนทฺ ิมสรุ ิยา พระจันทรดวย พระอาทิตยด ว ย ชอ่ื พระจนั ทรแ ละพระอาทิตย ท. สมโณ จ พรฺ าหฺมโณ จ=สมณพฺราหมฺ าณา สมณะดว ย พราหมณด วย ชอื่ สมณะและพราหมณ ท. เพ่ือเขาใจงาย สมาสน้ี กเ็ ทากบั บวกนามนามตัง้ แต ๒ บท ขึน้ ไป ใหเ ปนบทเดยี วกนั ใชวิภุตติบทเดียวกนั แมจะต้ังวเิ คราะห ทลี ะกบ่ี าทก็ได ต้ังแต ๒ ขึน้ ไปแลวเปน ใชไ ด แมบ ทสงั ขยาท่ีเปน นามนาม ก็ใชส มาสน้ไี ดเ หมือนกนั แตโดยมากศัพทสงั ขยานั้น

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ที่ 20 เขาสมาสกับบทอนื่ มากอน แลวมาตง้ั เปนสมาสนี้ทหี ลัง เชน อ.ุ ปุริสสต จ อติ ถฺ สี หสสฺ  จ=ปรุ ิสสติตฺถสี หสสฺ  (สมาหาระ) รอยแหง บรุ ษุ ดวย พนั แหงสตรีดวย ชื่อรอยแหงบรุ ุษและพันแหงสตรี. มีสมาสชนิดหนึ่ง แฝงอยูก บั ทวันทวะ อสมาหาระนี้ เวลาเขา สมาสแลว ลบเสยี บทหน่ึง คงไวแตบ ทเดียวกม็ ี ทา นเรยี กวา เอกเสส- สมาส เชน อ.ุ อปุ าสโก จ อปุ าสกิ า จ=อปุ าสกา อบุ าสกดว ย อุบาสิกดว ย ช่อื อบุ าสกและอุบาสกิ า ท. อุบาสกกบั อุบาสิกา เมอ่ื พูดถึงอุบาสกในกิจบางอยาง กอ็ าจ หมายความอุบาสิกาดวย เหมอื นภาษาไทยเชนพูดวา รับประทาน หมาก กห็ มายความถงึ พลูดวย ฉะนนั้ เอกเสสสมาสน้ี บทปลงแม ศพั ทเดียวก็ตองเปนพหุวจนะ เชน สารีปุตฺโต จ โมคฺคลฺลาโน จ= สารีปตุ ตฺ า พระสารีบุตรดว ย พระโมคคลั ลานะดวย ชอ่ื พระสารบี ุตร และพระโมคคัลลานะ ท. ขอ น้คี วรสังเกตวาศัพทไหนเปนเอกเสสสมาส หรือวา หมายเฉพาะบทที่เหลืออยบู ทเดียว กค็ วรดศู ัพททเี่ หลือเปนของสิ่ง เดยี วหรอื คน ๆ เดียว แตเ ปน พหุวจนะ หรอื ขางตน ของเนื้อความบอก ชื่อมาแลว หลายอยาง ภายหลงั พดู อยา งเดยี ว และเปน พหุวจนะ หรอื วาของบางอยางเปน ของคูกันอยู จะแยกจากกนั กข็ าดความประสงคไ ป แตทา นใชเ พียงบทเดียว ก็รูก นั ไดตามนิยมของภาษา เชน ภาษาไทย เราพดู วา กนิ หมาก กค็ งหมายความวาไมใ ชก ินหมากอยา งเดยี ว คงกนิ พลู ปูน ดวย และบางคราวในภาษาไทยเรา ใชพหวุ จนะใหรูก็มี แต พหุวจนะของเราไมไดใชคาํ วา ทั้งหลาย เสมอไป ใชค ําอื่นกม็ ี เชน วา

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนาท่ี 21 พวก เหลา เปน ตน แทนพหวุ จนะ หมายถึงของหลายส่งิ หรือคนหลาย คน เชน นาย ก. กบั นาย ข. เปน พวกเดยี วกันมกั ทําอะไรรว มกัน เที่ยวดวยกัน เราจะเรยี กนาย ก. นาย ข. เพียงคนเดยี วก็ไดโ ดยวธิ ี เอกเสส คอื พูดวาพวกนาย ก. มาดังน้ี กค็ งหมายความถึงนาย ข. มา ดวย เหมอื นคําบาลีวา สารปี ตุ ฺตา ก็เลง็ ถึงพระโมคคลั ลานะดวย เพราะทานเปน อคั รสาวกดวยกัน ฉะนัน้ เอกเสสสมาสทจี่ ะเปน ได ก็ ตอ งเปน บทท่คี ูก ัน มกั จะรวมกนั เสมอ มฉิ ะนัน้ ก็รคู วามหมายไดย าก. ๕. อัพยยภี าวสมาส สมาสนี้ ใชอ พั ยยศพั ทเขาสมาสกันนามอืน่ แตอ ัพยยศัพทท่ี นาํ มาใชนั้นเฉพาะอุปสัคกบั นบิ าต เวลาเขา สมาสแลวตัวอพั ยยศพั ท เปน ตัวประธานอยูขา งหนา และเปนนปสุ กลิงคเอกวจนะ และอปุ สัค กบั นบิ าตท่นี ํามาใชน ัน้ เลอื กใชเฉพาะท่ีมเี นอื้ ความเปน ตัวประธานได เวน ตวั ท่ีมีเนื้อความอันจะเปน วเิ สสนะของบทอืน่ ได และตัวท่เี ขา สมาส อ่นื ได เชน น ศพั ท สห ศัพทเปนตน ถึงแมว า อัพยยศัพทเขา สมาสอ่ืนได เชน น บุพพบท กัมมธารยะ หรือ อุภยตปั ปุริสะ และ พหพุ พหิ ิบางอยาง คือ น บพุ พบท สห บุพพบท พหุพพหิ ิ และตวั อพั ยยศพั ทมลี ักษณะเปนวิเสสนะของบทอ่ืน เชน อนุเถโร พระเถระนอย อันเปน วเิ สสนบุพพบท กัมม. ก็ดี ถงึ กระน้นั ก็มีขอที่ จะพึงสงั เกตไดวา เปนอัพยยภี าวสมาสน้ี ดว ยลกั ษณะ ๔ อยางคอื :- ๑. อปุ สคั หรือ นบิ าต อยูขา งหนา .

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 22 ๒. อปุ สัค หรอื นบิ าต เปน ตวั ประธานในบทปลง. ๓. บทหลังตอ งเปนนปสุ กลงิ ค. ๔. บทหลงั ตอ งเปนเอกวจนะ. เมื่อพรอ มดวยลกั ษณะ ๔ อยา งนแ้ี ลว พงึ เขา ใจเถิดวา เปน อพั ยยีภาวสมาสแท กแ็ ลอัพยยภี าวสมาสน้ี แบง เปน ๒ อยางตามชือ่ ของอพั ยยศัพท คือ :- ๑. อปุ สคคฺ ปุพพฺ ก มอี ุปสคั อยูขางหนา ๒. นิปาตปุพฺพก มีนิบาตอยูข างหนา การตัง้ วิเคราะหในสมาสนี้ รูปวเิ คราะหทา นใชนามศัพทอนื่ ที่ มีเนือ้ ความคลา ยคลงึ กันกับอพั ยยศพั ท ทจ่ี ะนาํ มาเปน บทปลง และ เรียงไวขางหลัง บทเดียวบาง หลายบทบา ง ถาบทเดยี วไดความ เทากับอพั ยยศพั ทกใ็ ชบ ทเดียว ถา ไมไดความก็ใชห ลายบท จนได ความเทากันกบั บทปลง ไมใชแ ตบทนามอยางเดียวเทา นนั้ ทใี่ ชใ น รูปวเิ คราะห แมบ ทกริ ิยาก็ใชป ระกอบกบั อุปสัคในรปู วิเคราะหได เมอ่ื เขา สมาสคงไวแ ตอุปสัค. อนึง่ ถา อพั ยยศัพทน้ัน ๆ มงุ ความเปนตัวประธานได ก็ใช อพั ยยศัพทน นั้ เปน ตวั ประธานในรูปวเิ คราะห เรียงไวข างหลัง แต เม่ือเขาสมาสแลว กลบั ไปไวข า งหนา. ตอ นจ้ี ะแสดง อุ. แหง อพั ยย-ี ภาวสมาสท้ัง ๒ นั้นเปน ลาํ ดับไป. อุปสคคฺ ปุพพก มีวิธวี เิ คราะห ๒ คอื :- ก. อยา งท่ีใชน ามอ่นื บทเดียวเปนประธานในรูปวิเคราะห อุ.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาท่ี 23 นครสฺส สมปี = อปุ นคร ที่ใกลเ คียงแหงเมือง ชือ่ ใกลเ มอื ง. สมีป เปนนาม มเี น้ือความเหมือนกบั อุป ซง่ึ เปน อปุ สัค จงึ นํามาใชแทน ในรูปวเิ คราะห. ทรถสสฺ อภาโว=นทิ ทฺ รถ ความไมมแี หงความกระวน กระวาย ช่ือความไมม ีความกระวนกระวาย. อภาโว เปนนามมีเนื้อ ความเหมอื น นิ อปุ สัค จงึ นํามาใชแทนกนั ในรปู วเิ คราะห. ข. อยา งท่ใี ชใ นรปู วเิ คราะห เชน วาต อนุวตฺตตีติ อนวุ าต (ย วตฺถุ สิ่งใด) ยอ มไปตามซ่ึงลม เหตนุ ัน้ (ต วตถฺ ุ สิง่ น้นั ) ชอ่ื วา ตามลม วตตฺ ติ มีอนเุ ปนบทหนา ใชแทนอนุในรูปวิเคราะห สําเรจ็ แลว คงไวแ ตตัวอปุ สคั . อตตฺ าน อธวิ ตตฺ ตีติ อชฺฌตตฺ  (สิง่ ใด) ยอ มเปน ไปทบั ซงึ่ ตน เหตนุ ้ัน (ส่งิ นั้น) ชอื่ วาทับตน. (เอา อธิ เปน อชฺฌ แลว สนธกิ ับ อตตฺ เปน อชฌฺ ตฺต ตามกฎของสมาสน้ี เปน นปสุ กลงิ ค จึงเปน อชฺฌตฺต). นปิ าตปุพฺพก มวี ิธีเคราะห ๓ อยา งคือ :- ก. อยางทีม่ ีนามอืน่ บทเดยี ว ใชแ ทนนบิ าต เชน วฑุ ุฒาน ปฏปิ าฏิ=ยถาวุฑฺฒ ลาํ ดับแหง คนเจริญแลว ท. ชอื่ วาตามคนเจริญ, คําวา ปฏิปาฏิ เปนนามนาม แปลวา ลาํ ดบั มเี นื้อความคลา ยกับ ยถา ทเ่ี ปนนบิ าต ในที่นแ้ี ปลวาตาม คือคําวา ลําดับ กห็ มายความ วาตามนนั่ เอง ฉะนน้ั จึงใชแ ทนกันได แมศัพทอืน่ ๆ ทีเขา สมาสกบั ยถา ก็ตัง้ วิเคราะหอ ยางนี้เหมอื นกนั เชน:- สตตฺ ิยา ปฏปิ าฏ=ิ ยถาสตฺติ ตามความสามารถ. พลสสฺ ปฏปิ าฏ=ิ ยถาพล ตามกาํ ลงั .

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนา ท่ี 24 สทธฺ าย ปฏิปาฏ=ิ ยถาสทธฺ  ตามศรทั ธา. ปสาทสสฺ ปฏปิ าฏิ=ยถาปสาท ตามความเลอื่ มใส. ข. อยา งมบี ทอนื่ หลายบท ใชแ ทนนิบาต จึงใชค วามเทากับ นบิ าตในบทปลง เชน :- ชีวสสฺ ยตฺตโก ปรจิ ฺเฉโท=ยาวชวี  กาํ หนดเพียงใดแหง ชีวิต ชือ่ เพียงไรแหงชีวิต. ปรจิ ฺเฉท แปลวา กําหนด เปนนามยงั ไมไ ดค วาม เทากับ ยาว นิบาต อนั แปลวาเพียงไร จงึ ตองใช ยตตฺ ก ท่แี ปลวา เพยี งใด เปนวเิ สสนะของ ปรจิ เฺ ฉท ในรปู วเิ คราะหดว ย แมศพั ท อืน่ ๆ ท่ีมลี กั ษณะอยางน้ีกเ็ หมือนกนั เชน กาลสสฺ ตตฺตโก ปรจิ เฺ ฉโท =ตาวกาล เพยี งนนั้ แหง กาล (ชั่วกาล). ค. อยา งทีใ่ ชน บิ าตอันมเี นือ้ ความเปนประธานในรปู วิเคราะหไ ด แตเ รียงไวขางหลงั เวลาขา งสมาสแลว เรยี งไวข างหนา เชน:- ปาการสฺส ติโร=ติโรปาการ ภายนอก แหงกําแพง. นครสฺส พหิ=พนนิ คร ภายนอก แหงเมือง. เคหสฺส อนฺโต=อนฺโตเคห ภายใน แหง เรอื น. ภตฺตสฺส ปจฺฉา=ปจฺฉาภตฺต กายหลงั แหง ภัตร. สมาสน้ี คาํ แปลคลายฉฏั ฐตี ปั ปุรสิ สมาส แตต างกนั ที่สมาสน้ี บทนามเขาสมาสกับอัพยยศพั ท และตัวนิบาตเปนประธาน อยูขา งหนา บทบาทนามอยขู า งหลงั , เดิมจะเปน ลิงคใดกต็ าม เมอ่ื เขาดวยวิธีสมาส น้แี ลว สําเรจ็ เปน นปสุ กลิงค เอกวจนะ อยางเดยี ว.

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาที่ 25 ๖. พหุพพหิ ิ สมาสน้ี มบี ทอน่ื เปน ประธาน ไมมีประธานในบทปลง ตอ งหา บทอื่นมาเปนประธาน รปู สําเรจ็ ในบทปลงเปนเพียงคุณนาม ฉะนน้ั พหุพพหิ สิ มาสน้ี จงึ เปนสมาสคณุ ทานแจกสมาสน้ีเปน ๖ อยา ง ตาม วิภัตติของ ย ศัพท ทนี่ ํามาใชในรปู วเิ คราะห ต้ังแต ทตุ ยิ าวิภตั ติ จนถึง สตั ตมีวิภัตติ คือ :- ๑. ทุตยิ า พหพุ พิหิ ๒. ตติยา พหุพพหิ ิ ๓. จตุตถี พหพุ พหิ ิ ๔. ปญจมี พหพุ พหิ ิ ๕. ฉฏั ฐี พหุพพหิ ิ ๖. สตั ตมี พหพุ พหิ ิ ในวเิ คราะหแ หงสมาสเหลา น้ี บทประธานและบทวิเสสนะ มี วภิ ตั ติวจนะและลิงคเสมอกนั แปลกแตบทสัพพนาม คือ ย ศพั ท ที่ นํามาประกอบในรูปวเิ คราะห ซึง่ ตองประกอบวิภัตตไิ ปตามชื่อของ สมาส คอื จะเปนทุติยา กต็ องประกอบ ย ศพั ทเปนทตุ ิยาวภิ ัตตเิ ปนตน และประกอบลิงคของ ย ศพั ทนัน้ ตามบทประธาน ซ่ึงจะนาํ มาใชใน บทปลงของวเิ คราะห ซึง่ เรียกวาอญั ญบท สวนปฐมาพหพุ พหิ ิ ไม คอ ยมใี ช เพราะมเี น้ือความเหมือนกัมมาธารยะบางอยาง ดังท่ีทาน แสดงอทุ าหรณไวในสัททสารัตถชาลนิ ีวา กากสูโร คนกลา เพยี งดงั กา สีหสูโร คนกลาเพียงดงั สีหะ ท้ัง ๒ ศพั ทนี้ เปน ปฐมาพหพุ พิหิ แต

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ท่ี 26 สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงเห็นวา ทงั้ ๒ ศพั ท ควรเปนกมั มธารยะ ฉะนน้ั จงึ ไมไดท รงจัดปบมาพหุพพิหิ ไวในแบบเรยี นบาลไี วยากรณน .ี้ บัดนีจ้ ะอธบิ ายเฉพาะพหพุ พิหิ ๖ อยา ง ท่ที รงเรียงไวเปนแบบเรียนในหนังสอื บาลไี วยากรณนต้ี อ ไป. ๑. ทตุ ิยาพหุพพหิ ิ ทตุ ยิ าพหุ พพหิ ิ น้ี ทา นประกอบ ย ศพั ทใ นรปู วเิ คราะหเ ปนทตุ ิยา- วภิ ตั ติ บทประธานและวิเสสนะ ประกอบเปนปฐมาวิภัตติ มีลิงค วจนะ เสมอกัน สว นบทสําเร็จ ซึ่งใช ต ศัพทเ ขาขางหนาเปน ปฐมา- วิภัตติ มีลงิ คแ ละวจนะตามอญั ญบท ทีจ่ ะนาํ มาใชเปน ประธาน ของ บทสาํ เรจ็ แหงวเิ คราะห แมพหพุ พิหอิ ื่นกเ็ ชนเดยี วกนั เชน:- รฬุ ฺหา ลตา ย โส รฬุ ฺหลโต (รุกโฺ ข) ลตา เปนอติ ถลี ิงค รฬุ หฺ อันเปน วเิ สสนะ กต็ องเปน อิตถีลิงคดวย จึงเปน รุฬหฺ า สวน ย ศัพท ตองประกอบเปน ทตุ ยิ าวิภตั ติ ถา ในพหุพพิหอิ น่ื มตี ติยา พหพุ พหิ เิ ปน ตน ตอ งประกอบ ย ศัพทดวยวิภตั ตินั้น ๆ ตามพหพุ พหิ ิ นนั้ ๆ แตใ นสมาสน้คี วรสงั เกตวา ย ศพั ทเปนทุติยาวิภตั ติในรูป วิเคราะห จะแปลอายตนิบาตเปน ซ่ึง สู ยงั ส้นิ อยางใดอยาง หนึง่ กไ็ ด คงเปน ทตุ ิยาพหพุ พิหิทัง้ น้ัน เชน เม่ือเราเห็นศัพทว า สมฺปตตฺ ภิกฺขุ ถา เปนประธาน ไมเปน คณุ ของบทอื่น ก็ตองเปน วิเสสนบุพพบท ถาเปน สมาสคุณ คือเปนคณุ ของบทอ่นื เชน อาวาโส จะตอ งแปลเปนพหพุ พหิ ิวา อาวาสมภี ิกษุถงึ พรอมแลว เมื่อแปลเชนน้ี แลว กต็ อ งคิดหาวิเคราะห ของศัพทว า สําเรจ็ มาจากพหพุ พิหิอะไร

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนา ที่ 27 เราตอ งเอาศัพทนก้ี ระจายออกไปวา ภกิ ษุถงึ พรอมแลว ดงั น้ีแลว ตอ น้คี วรหาอายตนบิ าตของ ย ศพั ท ตง้ั แต ซึง่ สู ฯลฯ ในเพราะ. เมอ่ื เห็นวา คําวา พรอมแลวตอ เขากับอายตนิบาตของ ย ศัพทตัวใด เหมาะและเขากนั สนทิ กค็ วรตดั สนิ ในเถิดวา ถาอายตนบิ าตนนั้ อยูใ น วภิ ตั ตใิ ด กเ็ ปนพหุพพิหินน้ั ในท่นี ี้ คําวา สมปฺ ตฺตา ถงึ พรอ มแลว เขา กบั ซึง่ ไดสนทิ คือ \"ถึงพรอ มแลว ซง่ึ อาวาสใด\" บทปลง ก็ตอ งเปน โส สมปฺ ตฺตภิกฺขุ อาวาสนั้นมภี กิ ษถุ งึ พรอมแลวดังน,ี้ วิธหี าพหุพพหิ วาจะเปน พหุพพิหอิ ะไรกต็ องตนหาอายตนบิ าตของ ย ศัพท ตงั้ แตทตุ นิ าวภิ ตั ติเปน ตนไปจนถึงสตั ตมีวภิ ัตติ คาํ ใดเหมาะเขา กนั สนิทกบั บทคณุ คือวิเสสนะของตวั ประธานในรปู วเิ คราะห อายตนบิ าต คาํ นัน้ ก็เปน หลกั ตดั สินไดวา เปนพหุพพหิ ินัน้ ๆ ตอ ไปนีจ้ ะยกอทุ าหรณ สําหรบั พหพุ ิหติ ั้งแตตตยิ าพหุ พิหิ เพือ่ เปนเคร่อื งประกอบความรูของ นกั ศกึ ษาโดยสงั เขป. ๒. ตตยิ าพหุพพิหิ สมาสนี้ ย ศพั ทประกอบดวยตติยาวภิ ัตติ เพือ่ แปลอายตนิบาต ของวิภัตตินี้ใหเ ขา กันกบั ตวั วิเสสนะในรูปวิเคราะห ดงั อุ. ชิตานิ อินฺทฺรยานิ เยน โส=ชิตินทฺ รฺ โิ ย สมโณ อนิ ทรีย ท. อนั สมณะใด ชนะแลว สมณะนน้ั ช่อื วามอี นิ ทรียอ นั ชนะแลว. ใน อ.ุ น้ี รูป วิเคราะหเ ปนพหวุ จนะนป.ุ และมีลกั ษณะเปนกมั มวาจก จึงสันนิษฐาน ไดวา เยน ท่ีเปน ตติยาวิภตั ติ ตองแปลวา อัน จงึ จะเขากบั ชิตานิ สนิท. อกี อยางหนึ่ง ในพหุพพิหนิ ้ี ตวั วเิ สสนะในรูปวเิ คราะหเ รียงไว

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาท่ี 28 หลังบา งกไ็ ด เชน อคฺคิ อาหโิ ต เยน โส=อคฺยาหโิ ต พฺราหมฺโณ ไฟอันพราหมณใ ดบชู าแลว พราหมณน ัน้ ช่ือวา มีไฟอันบูชาแลว . อุ. นี้ ในบทปลงเปน อคยฺ าหโิ ต ตามแบบสนธิ ในตตยิ า- พหพุ พิหนิ ้ี ใชอายตนิบาตคือ อัน เปนพ้นื เพราะวิเสสนะในรปู วเิ คราะห ใชก ิริยากติ กที่เปน กัมมวาจก. ๓. จตุตถีพหพุ พิหิ ในสมาสนี้ ย ศัพทประกอบดว ยจตุตถวี ิภัตติ สวนรูปวเิ คราะห นอกนั้นคงอยางเดมิ แตใ นสมาสนี้ มอี ายตนบิ าตซ่งึ แปลวา แก เพือ่ อนั เปนผรู ับจากกริ ิยาในรูปวเิ คราะห ไมใชเ ปน ผทู ําเอง ฉะน้นั ตอ งมี อญั ญบท คือบทอืน่ เขา มาแปลเปนผูทํา แตไ มต อ งเขยี นไวในรปู วิเคราะห พอใหเ หมาะกันวา กริ ิยาเชน นนั้ ใครทาํ ให ดัง อ.ุ ทนิ ฺโน สงุ โฺ ก ยสฺส โส=ทนิ นฺ สงุ ฺโก ราชา สวย (นาคเรหิ อนั ชาวเมอื ง ทั้งหลาย) ถวายแลว แดพระราชาใด พระราชาน้ัน ช่ือวามีสวยอัน ชาวเมอื งท้ังหลายถวายแลว . ในอุทาหรณนี้ เม่ือเห็นศัพทวา ทนิ นฺ - สุงโฺ ก ถาเปน วเิ สสนะของราชา ตอ งเปน จตุตถีพหพุ พิหิแน เพราะ พระราชาเปนผูร บั สว ย ไมใ ชผูเสียสวย ตองหาศัพทอ่ืนซึง่ เปนผเู สยี สว ยเขามาแปลดวย จึงจะไดค วามถูกตอง ถา แปลวา สวยอัน พระราชเสยี แลว ไมถูกตามความหมาย เมื่อจะแปลเปน ผเู สียสวย ตอ งเปนตตยิ าพหุพพิหิ อันเปน คณุ บทของผทู ํา. แมว ิเคราะหแ หง ศพั ท อื่น ๆ ก็เชน เดียวกนั ย ศพั ทในสมาสนเ้ี ปน ผูรับเทาน้ัน ตอ งหาผู ทาํ ซ่งึ ประกอบดวยตติยาวภิ ตั ตมิ าแปลเพ่มิ ใหเ หมาะสมกับกิรยิ ากติ ก

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาท่ี 29 ที่เปน กรรมอนั เปน วเิ สสนะของประธานในรูปวิเคราะหน น้ั ๆ ถา วิเสสนะไมใชกรรมกิรยิ า ไมม ผี ทู าํ กไ็ มตอ งนํามาใช เชน อ.ุ สชฺ าโต สเ วโค ยสสฺ โส=สชฺ าตสเวโค ชโน ชนมคี วามสังเวชเกดิ แลว . ๔. ปญ จมพี หุพพหิ ิ สมาสนี้ ย ศพั ทป ระกอบดว ยปญจมีวิภัตติ มอี ายตนบิ าตวา แต จาก, โดยมาก ตวั วเิ สสนะในรปู วิเคราะหมักใชก ิรยิ ากิตก ทจ่ี ะตอ ง แปล ย ศพั ทใหร ับกนั ได เชน ไป, ออก, ตก, เปน ตน เพอ่ื ใหความ เชือ่ มกบั ย ศัพทท่ีเปน ปญจมีวภิ ัตติ อนั แปลวา จาก, แต, ไดส นิท ดัง อ.ุ นคิ ฺคตา ชนา ยสมฺ า โส=นคิ คฺ ตชโน คาโม ชน ท. ออก ไปแลว จากบานใด บานนนั้ ชื่อวามชี นออกไปแลว , วโี ต ราโค ยสฺมา โส=วตี ราโค ภกิ ฺขุ ราคะไปปราศแลว จากภกิ ษใุ ด ภิกษุนั้นชอื่ วา มี ราคะไปปราศแลว. ย ศพั ทในรูปวิเคราะหท ง้ั ๒ น้ี เปน ที่ไปปราศ ซง่ึ เรยี กวา อปาทาน ในทางสมั พนั ธ. ๕. ฉัฏฐีพหุพพิหิ สมาสน้ี ย ศพั ทป ระกอบดว ยฉัฏฐวี ภิ ัตติ ใชอ ายตนิบาตวา แหง, ของ, โดยมาก ย ศัพทในรูปวิเคราะหเปนเจาของแหง ตวั ประธานใน รปู วเิ คราะหน้นั ย ศพั ทเน่อื งกบั ตัวประธาน ไมเ นื่องกบั วเิ สสนะ ดัง อุ. ขีณา อาสวา ยสฺส โส=ขณี าสโว ภกิ ฺขุ อาสวะ ท. ของภกิ ษุ ใดสนิ้ แลว ภกิ ษนุ ัน้ ชื่อวา มรอาสวะสิ้นแลว. สนฺต จิตฺต ยสสฺ โส= สนฺตจติ ฺโต ภกิ ขฺ ุ จติ ของภิกษุในสงบแลว ภกิ ษนุ น้ั ชอื่ วามีจิตสงบแลว. อกี อยา งหน่ึง วเิ สสนะอยหู ลงั ตวั ประธานก็ได เชน หตฺถา ฉินฺนา

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนาที่ 30 ยสสฺ โส=หตฺถจฉฺ นิ โฺ น ปุรโิ ส มือ ท. ของบรุ ุษใดขาดแลว บรุ ษุ นน้ั ชอื่ วา มมี ือขาดแลว . อนึง่ ในฉฏั ฐพี หพุ พิหิน้ี ในรูปวเิ คราะหป ระกอบดว ยอุปมาก็มี เรียก ฉฏั ฐอี ปุ มาพหพุ พิหิ วิธตี ั้งวเิ คราะหตองประกอบเจา ของแหง สิง่ ท่นี าํ มาอุปมาเปน ฉฏั ฐีวิภัตติ ตัวอุปมาเปนปฐมาวิภัตติ มี อวิ ศัพทตอทา ย ตวั ประธานในรูปวิเคราะหอยูข างหลงั เม่อื สมาสกนั เขา แลว ตัวอปุ มาและ อวิ ศพั ทล บทง้ิ เสีย คงไวแ ตตัวเจาของแหงส่งิ นัน้ ดงั นี้ สุวณฺณสฺส วณโฺ ณ อิว วณฺโณ ยสสฺ โส=สวุ ณณฺ วณโฺ ณ ภควา วรรณะของพระผูมีพระภาคใด เพยี งดงั วรรณะแหงทอง. สวุ ณณฺ สสฺ เปนเจาของ วณฺโณ ตัวอปุ มาทีม่ ี อิว อยขู างหลงั วณฺโณ ตวั อุปมา และอวิ ทานลบเสีย คงไดแต สวุ ณณฺ ซึง่ เปนเจา ของตัวอปุ มาเทา น้ัน จึงเปน สุวณฺณวณฺโณ รปู ศัพทเชนน้ี ถา ประธานในบทสมาสเอง ไมใ ชคุณบทของศพั ทอ นื่ กต็ อ งเปน ฉัฏฐตี ัปปรุ สิ ะ แมอุทาหรณ อื่น เมือ่ นักศึกษาเหน็ ศัพทมีรูปเชนน้ี และเปน คุณของบทอนื่ แลว ก็เปนฉฏั ฐอี ุปมาพหุพพิหิ เชน อุ. วา พพฺ หมฺ ุโน สโร อวิ สโร ยสสฺ โส=พรฺ หฺมสโร ภควา เสยี งของพระผูมพี ระภาคใด เพียงดงั เสียง แหง พรหม พระผูม ีพระภาคนั้น ชอ่ื วามเี สยี งเพยี งดงั เสียงแหงพรหม. สกู รสฺส สีส อวิ สีส ยสสฺ โส=สกู รสีโส เปโต ศรี ษะของเปรตใด เพียงดังศีรษะแหงสกุ ร เปรตนั้นช่อื วามีศรี ษะเพียงดงั ศีรษะแหงสุกร. ถาเขาเปนวิเสสนบุพพบทอีก ลบ สสี ี เสยี คงไวแ ต สูกรเปโต กไ็ ด.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาที่ 31 ๖. สตั ตมพี หพุ พิหิ สมาสน้ี ย ศัพทป ระกอบสัตตมีวิภตั ติ เนื่องกันไดทัง้ ตวั ประธาน และตวั วเิ สสนะ สดุ แลว แตเนือ้ ความจะบงั คับใหเปน ไป เมอื่ ความเขา กบั ตัวไหนเหมาะกวา กค็ วรแปลใหเ ขา กบั ตวั นั้น อายตนบิ าตท่ีใชม าก ก็คอื ใน, ท่ี, เปนตน ดัง อ.ุ วา สมปฺ นฺนานิ สสฺสานิ ยสนฺ ิ ยสฺมึ โส สมปฺ นฺนสสโฺ ส ชนปโท ขา วกลา ท. ในชนบทใด ถงึ พรอ มแลว ชนบทนัน้ ช่ือวา มขี า วกลาถึงพรอ มแลว , (ถา ตัวประธานในวเิ คราะห ตา งลงิ คกนั กบั บทประธานของบทปลง กต็ อ งเปล่ียนรปู ใหเ หมอื นประ- ธานของบทปลง) บางแหงตวั ประธานในวเิ คราะหเปน อิตถลี งิ ค เมือ่ จะปลงใหเปนวเิ สสนะของ ปุ. ทานลง ก เขาขา งทายบา ง ดังน้ี:- พหู นทิโย ยสมฺ ึ โส=พหนุ ทิโก ชนปโท แมน า้ํ ท. ใน ชนบทใด มาก ชนบทนนั้ ชือ่ วา มแี มนา้ํ มาก. นที ศพั ท เดิมเปน อติ ถลี ิงค เมื่อเปนวเิ สสนะของชนบทอนั เปน ปลุ งิ ค ทา นใชลง ก เขา ขา งทาย. ในตวั อยางท่ีแสดงมาแลว ตั้งแต ทุติยา ถงึ สตั ตมี พหพุ พหิ ิ นี้ ตวั ประธานของบทปลงเปน ปุล ิงค อยา งเดียว เมอื่ จะใหเปนลงิ ค อ่ืน ก็ตอ งประกอบ ย ศัพทและ ต ศัพท ใหม ลี งิ คตรงกนั เชน :- สนฺต จติ ฺต ยาย สา=สนฺตจติ ฺตา ภิกขฺ นุ ี จติ ของภกิ ษุณใี ด สงบแลว ภกิ ษุณนี นั้ ชอื่ วา มจี ติ สงบแลว. พหูนิ ธนานิ ยสฺมึ ต=พหธุ น กุล ทรพั ย ท. ในสกลุ ใด มาก สกลุ นน้ั ชอ่ื วา มที รพั ยม าก.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนาท่ี 32 พหุพพหิ ิเหลา นี้ รูปวิเคราะห ตวั วิเสสนะและตัวประธาน มลี งิ ค วจนะ วิภัตติ เสมอกัน แปลกแต สพั พนาม คือ ย และ ต ที่ เลง็ ถึงตวั ประธานของบทปลงแหงสมาส ทานจงึ เรยี กสมาสเหลานีว้ า ตลุ ยาธกิ รณพหพุ พหิ ิ และพหพุ พหิ เิ หลานี้ มีเนอ้ื ความไมป ฏิเสธ ท่ี มีเนอื้ ความปฏเิ สธ ทานตั้งวเิ คราะหอีกวิธีหนึง่ ตางหาก เรยี ก น บพุ พบท พหพุ พหิ ิ. น บุพพบท พหพุ พิหิ สมาสน้ี มี น ปฏิเสธเนื้อความท่ีเปน คุณ ซง่ึ เล็งความวาคนน้ี ไมม ีสง่ิ น้ัน แปลกจาก น บพุ พบทกมั มาธารยะ ท่ีปฏเิ สธนาม อันเลง็ ความวา ส่ิงน้ี ไมใชส่ิงนัน้ เปนตน น บพุ พบท พหุพพิหินี้ ทา น สอนใหแ ปลตามพยัญชนะวา ม.ี ..ไมม ี หรือวามี... หามไิ ด แปลเอา ความวา ไมม .ี .. ฯ ในรปู วิเคราะหใหกริ ิยาอาขยาต ซง่ึ ประกอบดว ย น ปฏิเสธ คอื นตฺถิ เรียงไวในอันดับที่ ๑ ถดั จากนั้นใช ต ศพั ท ประกอบดวย ฉัฏฐวี ภิ ตั ติ คือ ตสสฺ เรยี งไวเ ปน อนั ดับที่ ๒ ถดั นนั้ ไปเรียงบทประธานไวเปนที่ ๓ และมี อติ ิ ศัพท ตอ ทายบทนามนามนน้ั ดงั อุ. วา นตถฺ ิ ตสฺส สโมติ อสโม ผเู สมอ ไมมีแกทา น (หรอื จะโยควา ตสสฺ ภควโต แดพ ระผมู พี ระภาคนน้ั ก็ได) เหตุนน้ั (ทา น) ชื่อวามีผูเสมอหามิได. นตถฺ ิ ตสสฺ ปุตฺตาติ อปตุ ฺตโก (ลง ก ตอทา ย) บุตร ท. ของเขา ไมมี เหตุน้ัน เขา ชอื่ วามีบุตรหามไิ ด.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนา ที่ 33 ภนิ นาธิการณพหพุ พิหิ พหุพพิหิ ในรปู วเิ คราะห บทท้งั หลายมีวภิ ัตติตางกัน เชน บทหนา ใช ทุติยา, บทหลังใช ปฐมา, เปนตน และจะต้งั วิเคราะห อยาง น บพุ พบท พหพุ พหิ ิ ซงึ่ ใช ต ศัพท และ อติ ิ ก็ได ใชต ง้ั อยาง ตุลยาธิกรณพหุพพหิ ิ มี ย ต รับกันกไ็ ด จะแสดง อุ. ไวท ง้ั ๒ อยา ง แตท่ีควรกําหนดไวกค็ อื รปู วิเคราะหทา นใชนามท้ัง ๑ ๒ บท อนั แปลก จากตลุ ยาธกิ รณ ทม่ี ีบทหนึง่ เปน ประธาน บทหนง่ึ เปนวิเสสนะ อน่งึ รปู วิเคราะหในสมาสนี้ บางคราวท้งั ๒ บท มีเน้อื ความเชอื่ มกันไม สนทิ จะใชก ริ ิยาอาขยาตเปน มัชเฌโลปเขา ประกอบในเวลาแปลบา งก็ ได ดัง อุ. ตอไปนี้ อุรสิ โลมานิ ยสสฺ โส=อุรสโิ ลโม (อลุตตฺ ) พรฺ าหมฺ โณ ขน ท.ท่ีอก ของพราหมณใด (อตถฺ ิ มีอยู) พราหมณ นัน้ ช่อื วามขี นท่อี ก. เอกรตฺตึ วาโส อสฺสาติ เอกรตฺติวาโส ความอยู ของชนนน้ั สนิ้ คนื เดียว เหตุนั้น ชนนัน้ ชื่อวา มคี วามอยสู ้ินคืน เดยี ว. วเิ คราะหหลังนีใ้ ช ต ศพั ทม ี อติ ิ ตอ ทาย. พงึ สงั เกตไดอีก อยางหน่ึง ในวเิ คราะห ท่ีทา นยกเปน อ.ุ ในท่นี ้ี คอื ถา ใช ย ต รบั กัน ไมต อ งมี อติ ิ ศพั ท ตัง้ วิเคราะหอยา งพหุพพิหิ ธรรมดา ดัง อ.ุ วา อสิ หตเฺ ถ ยสสฺ โส=อสหิ ตโฺ ถ โยโธ, มณิ กณเิ  ยสฺส โส=มณิกณฺโ นาคราชา (ดแู ปลในแบบเรยี น). วิธตี ้ังวเิ คราะหอ ยางหพุวจนะ ในพหพุ พิหสิ มาส จะตั้งเปนพหุวจนะ เพือ่ ใหเปนคุณบทของตัว ประธานท่ีเปนพหวุ จนะบางกไ็ ด ตอ งประกอบ ย ศพั ทและ ต ศพั ท

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ที่ 34 ใหเ ปน พหุวจนะ สวนในรปู วิเคราะหจะใชเอกวจนะ หรอื พหวุ จนะ ก็ได แลว แตเ นอื้ ความจะบงถงึ วา อยางไหนควร อัญญบทคอื ประธาน ของบทปลงตอ งเปน พหุวจนะแท ทง้ั ตลุ ยาธิกรณะ และภินนาธกิ รณะ ดัง อ.ุ วา กต กสุ ล เยหิ เต=กตกุสลา กุศล อนั ชน ท. เหลา ใดทาํ แลว ชน ท. เหลานัน้ ชื่อวา มกี ศุ ลอนั ทําแลว, อาวธุ า หตเฺ ถสุ เยส เต= อาวุทธหตฺถา โยธา (ดูแปลในแบบเรยี น). นตฺถิ เตส ปุตตฺ าติ= อปตุ ตฺ กา บตุ ร ท. ของเขา ท. ไมมี เหตุน้ันเขา ท. ชือ่ วา มีบตุ รหามิได. สรูปตลุ ยาธกิ รณพหพุ พหิ ิ วเิ คราะหพหพุ พหิ ิ ทกุ ๆ วิเคราะห อาจแยกไดเ ปน ๒ ประโยค คอื :- ๑. ประโยค ย ๒. ประโยค ต ๑. ในประโยค ย มบี ทวิเสสนะและบทประธานอยูขางหนา ย และบทวิเสสนะนั้น ตองประกอบดวยลงิ ควจนะวิภัตตใิ หเ สมอกนั กับ บทประธานเสมอไป สว นการเรียง จะเรียงไวขางหนา บทประธาน ดุจ วเิ สสนะบพุ พบทกไ็ ด, จะเรียงไวขางหลงั บทประธาน ดุจวเิ สสนุตตร- บทกไ็ ด สุดแตจะเหมาะ ถัดนน้ั ไปจึงเอา ย ศพั ทป ระกอบดว ย ทตุ ิยาวภิ ัตตเิ ปน ตน มาเรยี นตอ , พงึ กําหนดงาย ๆ วา ต้ังแตบทตนจน ถึง ย ศัพทท ป่ี ระกอบดวยทตุ ยิ าวภิ ัตติเปนตน เปนประโยค ย กแ็ ล ย ศัพทน ี้เอง ทแี่ สดงใหรูไดแนน อนวา เปน พหพุ พิหอิ ะไรในประเภท ของตลุ ยาธกิ รณพหุพพหิ ิ ๖ อยาง เพราะเมือ่ ย ศพั ทประกอบดวย

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนาที่ 35 วภิ ัตตใิ ด วิภัตตินนั้ กเ็ ปน ชอื่ ของพหุพพิหนิ ้ัน เชน ย ศพั ทประกอบ ดวยทตุ ยิ าวภิ ัตติ ก็เรียกวา ทุติยาพหุพพิหิ, ย ศพั ทประกอบดว ยตติยา- วิภตั ติ ก็เรยี กวา ตตยิ าพหุพพหิ ,ิ ย ศพั ทป ระกอบดวยจตุตถวี ภิ ัตติ ก็ เรยี กวา จตตุ ถีพหพุ พหิ ิ, ฯลฯ ย ศัพทประกอบดวยสตั ตมีวิภัตติ ก็เรยี ก วา สตั ตมพี หุพพิห.ิ อนึง่ ย ศัพท เปน วเิ สสนสพั พนามอาจแจกไดท งั้ ๓ ลิงค เหมอื น กันกับ ต ศพั ท เพราะฉะน้ัน จึงควรกาํ หนดไวใหแ มนยาํ วา ย ศพั ท กบั ต ศพั ทน นั้ ใชโ ยคนามนามตวั เดียวกัน คือ ถา ย ศัพทโยคนามนาม บทใด ต ศพั ทก ็โยคนามนามบทนน้ั จะตางกันกว็ ิภัตติเทาน้นั เพราะ ย ศพั ทป ระกอบดว ยวิภตั ตอิ นื่ นอกจากปฐมาวิภตั ติ มที ุตยิ าวิภตั ตเิ ปน - ตน จนถึงสัตตมวี ภิ ตั ติ สว น ต ศัพท คงประกอบดวยปฐมาวภิ ัตตเิ สมอ ไป สว นวจนะและลิงคตองใหเ สมอกันทัง้ ย และ ต แตใ นแบบบาลี ไวยากรณต อนนี้ ทั้ง ย ทั้ง ต ประกอบดว ยปฐมาวิภัตติ ๒. ในประโยค ต กม็ ีแต ต ศัพทป ระกอบดว ยปฐมาวิภัตติ (คอื โส) และบทปลง ซ่งึ เปน บทสมาสเทา นัน้ เพราะฉะนั้น ประโยค ต จึงมีเฉพาะแต ต ศัพทท ปี่ ระกอบดวยปฐมาวิภัตติ และบทปลง รวม ๒ บทเทาน้ัน. อนึง่ บทปลงทีเ่ ปนพหพุ พิหสิ มาสนเี้ ปนสมาสคณุ ฉะนน้ั จงึ ตอ ง หานามนามบทอื่นมาเปนประธาน บทนามนามที่นํามาใชเ ปนประธาน นี้ กส็ ําคญั เหมอื นกัน เพราะเปนหลักทีจ่ ะใหใชบทปลงแสดงลกั ษณะ ไดถ กู ตอง ดงั น้ัน เม่อื พบ ต ศพั ทห รอื บทปลง เปน ลิงค วจนะ

ประโยค๑ - อธิบายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธติ - หนาที่ 36 วภิ ตั ตอิ นั ใด จึงควรหานามนามทเี่ ปน ลิงควจนะวิภัตตนิ ้นั ใหตรงกัน. สมาสทอ ง สมาสตามที่แสดงมาแลว เปนแตชน้ั เดียว คือต้งั วเิ คราะหชน้ั เดยี ว เปน สมาสเดียว สมาสบางอยา งมสี มาสอ่นื เปนทองมากอนกม็ ี การที่จะทราบวา สมาสไหนเปนสมาสใหญ สมาสไหนเปนสมาสทอ ง นนั้ ทางท่ีแนน อนทีส่ ดุ กจ็ งลอกต้ังวิเคราะหดู เม่ือสมาสไหนต้งั วิเคราะหก อ น สมาสนั้นแลชื่อวาสมาสทอง สวนสมาสทตี่ งั้ ทีหลงั ที่สดุ ช่ือวา สมาสใหญ แตเมื่อจะสังเกตตามคาํ แปลเขากํากับดว ยไดก็ยิง่ ดี และ พงึ สังเกตดังนี้:- เวลาแปลเนอ้ื ความ ถา แปลท่ตี อ งของสมาสใดกอน สมาสนน้ั ยอมเปนสมาสใหญ คือสมาสตัวต้ัง สว นสมาสตอ ๆ ไป เปน ทอ ง ถามสี มาสทอ งหลาย ๆ ชน้ั กใ็ หแปลไปตามลําดับของเนื้อความทีจ่ ะ อาํ นวยใหแ ปล เวลาตัง้ วิเคราะห ใหต้งั วเิ คราะหสมาสทแ่ี ปลที่หลัง กอ น เปรียบเหมอื นเอาของทซ่ี อนกนั ไว วางซอ นกนั หลาย ๆ ชั้น เวลาซอนกซ็ อนตามลาํ ดับขน้ึ มาจากถงึ อันบนท่สี ดุ เวลานาํ ออกก็ตอ ง ยกลงไปตามลาํ ดบั ตงั้ แตอันบนจนถงึ อนั ลางทสี่ ดุ ฉันใด สมาสทอง ก็ ฉนั นั้น เวลาตง้ั วิเคราะห ก็ตอ งต้ังสมาสท่ีแปลทหี่ ลังทีส่ ดุ กอ น เหมอื น ของอันแรกท่ีวางลง เวลาแปล ตองแปลสมาส ทต่ี ั้งวิเคราะหหลังที่ สุดกอ นตามลาํ ดบั จนถึงสมาสทีต่ ั้งกอนทีส่ ดุ ลง ดงั อุ. น้ี :- ๑. คนโฺ ธ จ มาลา จ=คนฺธมาลา ของหอมดวย ระเบยี บ ดว ย ช่อื วาของหอมและระเบยี บ ท. (อ. ทวนั ทวะ)

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ท่ี 37 ๒. ตา อาทโย เยส ตานิ=คนธฺ มาลาทนี ิ วตถฺ นู ิ มนั ท. (ตา คนฺธมาลา ของหอมและระเบียบ ท. เหลา นัน้ ) เปน ตน ของวัตถุ ท. เหลา ใด วัตถุ ท. เหลา น้นั ช่อื วามขี องหอมและระเบยี บเปนตน. ตอนนเ้ี ปนฉัฏฐีตลุ ยาธกิ รณพหุพพหิ ิ มที วนั ทวสมาสเปนทอ ง. ๓. คนธฺ มาลาทีนิ หตเฺ ถสุ เยส เต=คนธฺ มาลาทหิ ตฺถา มนสุ ฺสา (วตั ถุ ท.) มขี องหอมและระเบยี บเปนตน (มี) ในมือ ท. ของมนษุ ย ท. เหลาใด มนษุ ย ท. เหลาน้ัน ช่อื วา มวี ัตถมุ ขี องหอมและระเบียบเปน ตน ในมอื . สมาสนเี้ ปน ฉัฏฐภี นิ นาธกิ รณพหุพพหิ ิ มที วันทวะและ ฉัฏฐตี ลุ ยาธิกรณพหุพพหิ เิ ปนทอ ง ใน อุ. นจ้ี ะพึงเหน็ ไดวา เวลาตั้ง วเิ คราะห ตงั้ ไปตามลาํ ดับเลข ๑,๒,๓. แตเวลาแปลตอ งแปลยอ นลําดับ คอื แปลคําวา มีวัตถุ เปน สมาสท่ี ๒ ตอ ไปจงึ แปลสมาสที่ ๑ วาของ หอมและระเบยี บ, แตต ัวอยางน้ี สมาสที่ ๓ และท่ี ๒ เมื่อแปลคําแรก ใชแตคาํ วา มีข้ึนกอน เชน สมาสที่ ๓ แปลคําวามีข้ึนตน คาํ วา ในมอื ซึง่ เปน สมาสเดยี วกนั อยตู อนทาย และสมาสที่ ๒ คําวา มีขึ้นตน คําวา เปนตน อยหู ลงั ถึงกระน้นั ก็เปน เพราะความนยิ มของภาษา จะแปล ใหต ดิ ตอ กันไปทเี ดยี วกจ็ ะเสยี ความ แตเ ม่ือยกคําวา มีข้นึ แปลตน แลว ก็เปน อนั วา แปลกอ นอยูนนั่ เอง วธิ ีต้งั วิเคราะหแ ละแปลสมาสทอง ดัง กลาวมานี้ เปนแตพอเปนเครอื่ งสังเกตประการหนึ่ง เทา นั้น เพราะ บางสมาสไมเขา ในเกณฑน้กี ย็ ังมอี ยู บางสมาสตัง้ กอนแปลกอ น ตง้ั หลัง แปลหลังก็มี เพราะฉะน้ันจะต้ังขอ สังเกตไวอกี อยางหน่ึง คือ :- บาง

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนาท่ี 38 สมาสทม่ี นี าม ๒ บท หรอื หลายบท มีวิเสสนะ เปน อยางเดียวกัน ตอ ง เขา สมาสบทนามนามเสียกอน แลว เขาสมาสวิเสสนะทหี ลงั แลวจงึ ตอกบั สมาสอ่ืนตอ ไป แปลกแ็ ปลบทนามนาม อนั ตอกันน้นั กอ น แลว แปลสมาสทเ่ี ปน วเิ สสนะทหี ลงั ดัง อ.ุ ตอไปนี้ :- ๑. ธมโฺ ม เอว จกฺก=ธมฺมจกฺก จักรคอื ธรรม เปน อวธารณ- บุพพบท กัมมธารยสมาส. ๒. ปวร ธมมฺ จกฺก=ปวรธมฺมจกฺก จักรคอื ธรรมอนั บวร ตอน นต้ี ้ังกอนแปลกอ นตามลาํ ดบั เลข แมส มาสอนื่ ๆ ท่บี ทนามนามตัง้ แต ๒ ข้นึ ไป มคี ณุ ศัพทร ว มกนั ก็ตองตั้งตามนยั น้ี วิธตี อสมาสชนิดนี้ เหมอื นเอาของหอ รวมกันบาง เฉพาะอยา งบาง มาซอ นกัน ส่ิงใด จะตองหอรวมกัน จําตอ งหอ เสยี กอ น แลวจึงนาํ มาซอ นกนั ภายหลัง เวลานําออกบางคราวกน็ าํ ออกดว ยวธิ ีแกห อ เสียกอน แลว นําออกเปน ลาํ ดบั ไป ฉนั ใด สมาสบางอยา งท่ีจะตองรวมนามนามเสียกอ นแลว ตอ วิเสสนะทหี ลังกฉ็ นั นน้ั เวลาแปลก็แปลไปตามความของสมาส เล็งเนื้อ ความเปนเกณฑ ดัง อุ. นี้ ซ่งึ มีตวั อยา งขางตน คอื :- ปวตตฺ ิต ปวรธมมฺ จกฺก เยน โส=ปวตฺตติ ปวรธมฺมจกโฺ ก (ภควา) จกั รคือธรรมอนั บวร อันพระผูม ีพระภาคใด ใหเ ปนไปแลว พระผมู ี พระภาคนั้น ชื่อวา มจี กั รคือธรรมอันบวรอนั ใหเปนไปแลว . ตตยิ าพหุพ พหิ ิ มี อว. กมั ม. และ วิ. บพุ พ. กัมม. เปน ทอ ง นเี้ ปนวธิ รี วมนาม นาม ๒ บท คือ ธมมฺ กับ จกฺก เขา เสยี กอ น แลวตอ ปวร เขา ทีหลงั แลวจึงตอ ปวตฺติต อันเปนสมาสใหญเ ขาในที่สดุ ตามวธิ ีน้ี. ปวตตฺ ติ -

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ท่ี 39 ปวรธมฺมจกโฺ ก น้ี จะตองวเิ คราะหอ ยางวิธีแรกก็ได อยางนี้ :- ๑. ปวโร ธมโฺ ม=ปวรธมโฺ ม. ๒. ปวรธมฺโม เอว จกกฺ = ปวรธมมฺ จกกฺ . ๓. ปวตฺตติ  ปวรธมฺมจกกฺ =ปวรธมฺมจกฺก. เวลาแปล ตอ งยอ นลาํ ดบั ไปอยางวธิ ีที่หน่ึง. เพราะฉะนัน้ วธิ ี ต้งั วิเคราะหและแปลสมาสทอ ง ตองแลวแตเนอ้ื ความเปนเกณฑ โดย มากตามทก่ี ลา วมาแลว ท้ัง ๒ วิธี กพ็ อเปน เครื่องนาํ ทางใหน ักศกึ ษา เขาใจโดยยอ ๆ เทาน้นั . บางสมาสมีสมาสทเ่ี ปนประธานอยูหนา บาง สมาสมสี มาสทเ่ี ปน ประธานอยูหลัง เอาแนนอนไมไ ด แลวแตค วาม นิ ิยมของภาษา บดั นีจ้ ักแสดงลกั ษณะตา ง ๆ ของสมาสทอ ง พรอมทง้ั อ.ุ มาประกอบดว ย ดงั น้ี:- ก. อยางวิธที ่ีซอ นของทีละสิ่งเปนลําดบั ข้ึนไป เวลายกออกตอง ยกแตอนั บนลงมาฉนั ใด การตง้ั วเิ คราะหแบบนก้ี เ็ หมือนกนั คอื ตงั้ ไป ตามลําดบั เวลาแปลตองยอ นลําดับมา เชน :- ๑. มหนตฺ  ปาฏหิ ารยิ = มหาปาฏิหาริย ปาฏหิ าริย ใหญ ชอ่ื มหาปาฏหิ าริย ว.ิ บุพพ. กัมม. ๒. มหาปาฏหิ ารยิ สฺส กรณ=มหาปาฏิหาริยกรณ (าน ท)่ี เปน ท่ีทําซง่ึ มหาปาฏิหาริย ฉัฏฐตี ัปปรุ สิ ะ. ๓. มหาปาฏหิ าริยกรณ าน= มหาปาฏหิ าริยกรณฏ าน ทเี่ ปน ที่ทําซ่ึงมหาปาฏิหารยิ  เปน . วิ. บุพพ. กมั ม. มี ฉัฏฐตี ปั ปุรสิ ะ และ วิ. บพุ พ. กมั ม. เปนทอ ง.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตัทธิต - หนา ที่ 40 ข. ของหลายอยาง ทีห่ อรวมกันบา ง ของสิ่งเดียวบา ง ทีน่ ํามา ซอ นกัน ตองหอ ของทคี่ วรหอ เสยี กอ นแลว ซอนกันฉนั ใด การตงั้ วเิ คราะหสมาสทอ งบางอยางก็เชนนน้ั คอื ควรเขาสมาสนามทเ่ี นื่องกนั โดยเน้ือความเสียกอ น แลว นาํ มาเขาสมาสกบั บทอืน่ ๆ ตอ ไป เชน:- ๑. พาโล ปรุ ิโส=พาลปุริโส บรุ ษุ โง. ๒. ปณฑฺ ิโต ปุรโิ ส=ปณฺฑติ ปุรโิ ส บรุ ุษฉลาด. ๓. พาลปรุ โิ ส จ ปณฺฑติ ปรุ โิ ส จ พาลปุรสิ ปณฺฑติ ปรุ สิ า. (อามาหารทวันทวะ) บุรษุ ผโู งแ ละผูฉลาดทั้งหลาย. ใน อุ. น้ี เราจะเห็นไดในขอ ๑ วา พาล ศัพทเปนคณุ ของ ปุริส ตองเขา กนั เสียกอ น และในขอ ๒ ปณฺฑติ ศพั ท เปนคุณของ ปรุ ิส กต็ องเขากันเสยี กอ น แลว จงึ มาตอ กันในขอ ๓ เวลาแปลก็ตองแปล ขอ ๑ กอน แลว จึงแปลขอ ๒ ขอ ๓ ตอ ไป เพราะการแปละสมาสทอ ง บางสมาส ขึ้นบทหนากอ นก็มี ข้ึนบททามกลางกอนกม็ ี ข้ึนบทหลังกอ น กม็ ี แลวแตเนอ้ื ความจะบง ใหเ หน็ ไปทางไหน ดกี วา ถกู วากัน เทาน้ัน. ค. การเขา สมาสและแปลตอ งสงั เกตความเปนสาํ คญั ขอน้ีบาง คราวตงั้ วิ. กอ น แปลทหี ลังกม็ ี ตงั้ ทหี ลังแปลกอ นกม็ ี ต้งั กอน แปลกอน ตง้ั ทหี ลงั แปลทีหลังกม็ ี แลว แตเ นื้อความอันเช่ือมกนั เปน หลกั ขอนีผ้ ูศึกษาตองวิจารณใหดีใหถ ูกตอ งตามหลกั แหง คาํ แปลเนอ้ื ความ และตัง้ วเิ คราะหดําเนินตามหลักของสมาสน้นั แลว นํามาเขา สมาสทองใหถ กู ตองตามคําแปลและหลกั สมาส อาศัยความชํานาญทัง้ ๒ ทาง คอื ภาษาอยาง ๑ หลกั สมาสอยา ง ๑ รวมกนั จงึ จะต้ังวิเคราะหแ ละ

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ท่ี 41 แปลสมาสทองใหถูกตอ งได และการที่จะอบรมความชํานาญใหเกิดมี ขน้ึ ได ก็จําตองใชค วามสังเกตจากอาการเหลานี้ คอื :- ๑. เมือ่ เหน็ ศพั ทสมาสต้ังแต ๒ สมาสข้ึนไปเปนวิภตั ตเิ ดยี วกนั อยู ตองแยกศพั ทเ หลา น้ันออกแปลความเฉพาะศัพทก อ น เมอื่ แปล ศัพทเหลา นั้นไดหมดแลว กต็ ดิ ตอศัพทเ หลา นั้นเขาดว ยกนั วา จะควร ตอ ดวยวิธขี องสมาสไหนบา ง และใชวธิ ีของสมาสไหนตอตรงไหน จึงจะเหมาะ และถูกตอ งตามความหมายในคําน้ัน ๆ. ๒. เมื่อเหน็ บทสมาสซึง่ ท้ังหมอนนั้ มเี น้ือความไมกินกนั คือจะ แปลใหเ ปนสมาสอะไรกไ็ มไดความ ในท่เี ชน น้ี จาํ ตองใชศ พั ทเ ปน โลป คือเมือ่ เขา สมาสแลวตองลบเสีย แตศ พั ทท จี่ ะหามาใชนั้น ตอง เลือกใหเหมาะใหมเี นอ้ื ความเชือ่ มกันไดสนิท และถกู ตามลกั ษณะของ สมาสนน้ั ๆ ดว ย. ตอไปนี้จะไดยกตวั อยา งสมาสทอง ตามท่ที านใชโดยมารในธัมม- ปทัฏฐกถา มาตั้งเพ่ือประดับความรูของผูศ ึกษาตามสมควร. ๑. สลุ ภติโณทกโคจโร ทโี่ คจรมีหญา และนํา้ อนั หาไดงาย. ก. ตณิ จฺ อทุ กจฺ =ตโิ ณทก หญาและนํ้า สมาหาระ ทวนั ทวะ. ข. สุลภ ตโิ ณทก ยสฺมึ โส=สลุ ภตโิ ณทโก (โคจโร ทโี่ คจร) มหี ญา และน้ําอันหาไดงาย สตั ตมพี หุพพหิ ิ. ค. สลุ ภติโณทโก โคจโร=สลุ ภตโิ รทกโคจโร วิ. บุพพ. กมั ม. มี ทวนั ทวะ และ สตั ตมีพหุพพิหิ เปนทอง.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนา ท่ี 42 ๒. ปกขฺ หตโอกจกฺขปุ  สปฺปก ุณิภาวกุฏโรคามิเภโท (ครกุ า- พาโธ อาพาธหนัก) ตา งดวยความเปนผูมขี างขางหนง่ึ อนั ลมขจดั แลว และความเปนผูมีตาขางเดยี ว และความเปน ผูเสอื กไสไปดว ยตงั่ (เปลี้ย) และความเปนคนงอ ย และโรคมีโรคเรือ้ นเปนตน . ในตวั อยา งนม้ี ศี พั ทสมาสยดื ยาว จําเปนตอ งแยกออกเปนศพั ท ๆ แลวหาวธิ ที ่ีเนื่องกันแกศพั ทนน้ั ๆ บางศพั ทตองใชม ชั เฌโลปเขา ประ กอบดว ย เชน ภาวศัพทมีอยูคําเดียว แตเวลาแปลตองใหภ าวศัพท ถงึ ๔ ศัพท ทาํ เปนมัชเฌโลปเสีย ๓ ศพั ทจ ึงจะไดค วาม แลว ตัง้ วิเคราะห แยกเปนตอน ๆ ไป ดงั น้ี :- ก. เอโก ปกโฺ ข=เอกปกฺโข ขา งขางหน่ึง. ว.ิ บพุ พ. กมั ม. ข. เอกปกฺโข หโต ยสฺส โส=ปกขฺ หโต ขา งขางหน่ึง ของ บุคคลใด (วาเตน อันลม) ขจดั แลว บคุ คลนัน้ ช่ือวา มีขางขางหนงึ่ อนั ลมขจดั แลว. ฉัฏฐพี หุพพิหิ, ปุพพโลป. ค. ปกขฺ หตสฺส ภาโว ปกขฺ หตภาโว ความเปน แหงบคุ คลผูม ี ขา งขางหน่ึงอนั ลมขจัดแลง . ฉัฏฐตี ปั ปุรสิ ะ. ตอนน้ี รวมความไดตอนหน่ึง เหมือนหอ ของไวห อ หนง่ึ กอน แลวซอนกันทีหลงั . ฆ. เอก จกฺขุ ยสสฺ โส=เอกจกฺข.ุ ตาขา งเดยี ว ของบุคคลใด (อตถฺ ิ มีอย)ู บคุ คลนน้ั ชอ่ื วามตี ามขางเดียว. ฉฏั ฐพี หุพพหิ .ิ ง. เอกจกฺขสุ สฺ ภาโว เอาจกขฺ ภุ าโว ความเปน แหง บคุ คล ผมู ี ตาขางเดยี ว.ฉัฏฐีตปั ปรุ ิสะ.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาท่ี 43 นี้รวมความไดอ กี ตอนหนึ่ง. จ. ปฌน สปฺป=ป สปปฺ  ผเู สอื กไสไปดวยตง่ั . ตตยิ าตัปปุรสิ ะ ฉ. ป สปฺปสฺส ภาโว=ปสปปฺ ภาโว ความเปน แหงบคุ คลผเู สอื ก ไสไปดวยต่ัง. ฉัฏฐีตปั ปรุ สิ ะ. น้ไี ดเนือ้ ความอกี ตอนหน่งึ . ช. กณุ สิ ฺส ภาโว=กณุ ิภาโว ความเปน แหงบุคคลผงู อ ย. ฉฏั ฐ-ี ตปั ปุรสิ ะ. ฌ. กฏุ   โรโค=กฏุ  โรโค โรคชือ่ กฏุ ฐะ (โรคเรอ้ื น) วิ. บพุ พ. กมั ม. ขอ นี้ กฏุ  เดิมเปน ศพั ทนาม เปน นปุ เมอ่ื มาเปนชื่อของโรค ซงึ่ เปน ป.ุ กค็ งไวตามเดิม อยาง สาวตถฺ ี นาม นคร สําหรับนาม นามทีใ่ ชเปนบทวิเสสนะน้นั ถา ใชเปนวิเสสนะของนามนามบทใด ก็ ตองประกอบใหม ีวิภัตติและวจนะเหมอื นนามนามบทนั้น สว นลิงคใ ห คงไวตามเดิม เพราะทานนิยมใชต างลิงคกันไดใ นท่ีซงึ่ ศพั ทเดมิ มรี ูปอยู อยางนน้ั นอกจากจะเปนศพั ทคุณ จงึ เปลี่ยนไปตามตัวประธาน นไี้ ด เนอ้ื ความอีกตอนหนึ่ง ตอ นจี้ ะไดร วมเนือ้ ความเหลานั้นเขาดวยกัน. ญ. ปกขฺ หตภาโว จ เอกจกฺขุภาโว จ ป สปปฺ ภาโซ จ กุณิภาโว จ กฏุ  โรโค จ=ปกฺขหตเอกจกขฺ ุป สปปฺ ก ณุ ภิ าวกุฏ โรคา ความ เปนแหง บ.ุ ..และโรคเรือ้ น ท. อสมาหาระ ทวันทวะ ตอนนี้ลบ ภาวะ เสยี ๓ ศพั ท. ฏ. ปกขฺ หตเอกจกขฺ ุป สปปฺ ก ณุ ิภาวกุฏโรคา อาทโย เยส

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนา ที่ 44 เต=ปกฺขหตเอกจกขฺ ุปสปปฺ กุณภิ าวกุฏ โรคาทโย (อาพาธา) ความ เปน ...และโรคเรื้อน เปนตน แหง อาพาธ ท. ใด อาพาธ ท. นน้ั ชอ่ื วามีความเปน ...และโรคเรอ้ื น เปน ตน. ฉฏั ฐพี หพุ พิห.ิ ฐ. ปกขฺ หต...โรคาทหี ิ เภโท=ปกฺขหต...โรคาทเิ ภโท (อาพาธ หนัก) ตาง โดยอาพาธมีความเปน ...และโรคเรื้อนเปน ตน . ตติยาตัป- ปุริสะ มีสมาสตา ง ๆ ดงั ทตี่ ้งั มาแลว นัน้ เปน ทอ ง และตอนน้ี เภโท เปน คุณของ ครกุ าพาโธ ซงึ่ เปน ประธาน อนั แปลวา อาพาธหนกั อันตา งโดยอาพาธมีความเปนผ.ู ..และโรคเรอื้ น เปน ตน. ๓. ยสวิโลปเสนปตฏิ านาทอิ จฉฺ ินนฺ าทโิ ก (อปุ สัค) มกี าร ถอดยศและลดตําแหนงเสนาบดี เปน ตน ๆ. ก. ยสสฺส วิโลโป=ยสวิโลโป การถอดยศ. ฉัฏฐตี ปั ปรุ สิ ะ. ข. เสนาปติสสฺ าน=เสนาปติฏ าน ตาํ แหนงแหง เสนาบดี ฉฏั ฐตี ปั ปรุ ิสะ. ค. เสนาปติฏ าน อาทิ ยสฺส ต= เสนาปตฏิ านาทิ (าน) ตําแหนง มีตาํ แหนง แหงเสนาบดี เปน ตน. ฉฏั ฐีพหุพพิหิ. ฆ. เสนาปตฏิ านาทึ อจฉฺ นิ นฺ =เสนาปตฏิ  านาทิอจฺฉนิ นฺ  การ ลดซง่ึ ตาํ แหนงมตี ําแหนงแหงเสนาบดเี ปนตน (อจฉฺ นิ นฺ  ใชเ ปนนาม) ทตุ ิยาตัปปรุ ิสะ. ง. ยสวโิ ลโป จ เสนาปตฏิ านทอิ จฺฉนิ ฺนฺจ=ยสวโิ ลป... อจฉฺ ินฺน การถอดยศและ... เปนตน . สมาหารทวันทวะ. จ. ยสวโิ ลป...อจฺฉนิ นฺ  อาทิ ยสสฺ โส=ยสวโิ ลปเสนาปติฏ-

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาท่ี 45 านาทิอจฉฺ ินนฺ าทโิ ก (อปุ สคโฺ ค อุปสัค) มกี ารถอดยศและ ลดตาํ แหนง มตี ําแหนง แหง เสนาบดีเปนตน . ฉฏั ฐพี หพุ พิหิ มีสมาสทอ งด่ังแสดงมา. ในขอ น้ี เมอ่ื แปลโดยพยัญชนะ ตองแปลวา เปน ตนติดตอ กันอยู ๒ ครง้ั เพราะมอี าทศิ ัพทอยู ๒ ศพั ท แตถ า แปลเอาความทาน นยิ มใหแ ปลวา อปุ สคั มกี ารถอดยศและลดตําแหนงมีอาทวิ าตําแหนง เสนาบดีเปนตน. สหบพุ พบท พหพุ พหิ ิ สมาสทใ่ี ชม าก ในหนงั สอื ทั้งปวงอกี อยา งหน่ึง คอื สหบพุ พบท พหุพพพหิ .ิ สมาสนีใ้ ช สห ศัพท เปนบทหญา มรี ปู เปน อพั ยยีภาวะ แปลกแตม ีบทอื่นเปนประธาน และเปนได ๓ ลิงค ไมเ ปน เฉพาะ นปสุ กลงิ คเ หมอื นในอพั ยยภี าวะ ฉะนัน้ จึงเรยี ก สหบพุ พบท พหุพพิหิ แตในรูปวิเคราะหใชอ ยา งอพั ยยภี าวะ คือใชก ริ ิยาอาขยาตเปนเครื่อง ประกอบเน้ือความ ในรูปวิเคราะหให สห ศพั ท ซ่ึงแปลวา กบั และ บทนามทจ่ี ะตอกบั สห ศพั ทใ ชป ระกอบตติยาวิภัตติ ซึง่ จะตองแปลวา ดว ย...เมอ่ื เขาสมาสแลว คงไวแลว ส ที่ สห เขากับบทนามทีป่ ระกอบ ตติยาวภิ ัตตินน้ั กริ ิยาอาขยายกล็ บเสยี ทา นนิยมใหแ ปลวา เปนไป กับดวย.. ไมไ ดแปลวา มี เหมอื นพหพุ พิหิอ่นื ๆ แตถึงอยางนั้น เวลาแปลอยางเอาความ คือแปลโดยอรรถทา นกแ็ ปลวา มีไดเหมือนกัน เชน คําวา สธน กลุ  ตระกูลมที รพั ยเปน ตน ฉะน้ัน สมาสนี้ จงึ อยูใ น ประเภทพหุพพหิ ิดว ย.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลไี วยากรณี สมาสและตทั ธติ - หนาที่ 46 ตัวอยางวเิ คราะห สห ภรยิ าย โย วตตฺ ตตี ิ สภริโย (ปุริโส) บรุ ษุ ใด ยอ ม เปน ไปกับดวยภรยิ า เหตุนั้น บรุ ษุ น้ัน ชอ่ื วาเปน ไปกับดวยภรยิ า (คือมภี รยิ า). สห สามเิ กน ยา วตตฺ ตตี ิ สสฺสามกิ า (อิตฺถี) หญงิ ใดยอมเปน ไปกับดว ยสามี เหตนุ ั้น หญงิ นน้ั ช่ือวา เปนไปกับดวยสามี (คอื มีสาม)ี สห โภเคน ย วตตฺ ตตี ิ สโภค (กลุ ) ตระกูลใด ยอ ม เปน ไปกบั ดว ยโภคะ เหตุนนั้ ตระกลู นัน้ ช่อื วาเปน ไปกับดว ยโภคะ (คอื มีโภคะ). ในรูปวเิ คราะหของสมาส ใช ย ศพั ท ขางหนากิริยาอาขยาต คือ วตตฺ ติ เม่ือเขาสมาสแลวลบทงิ้ เสยี อิติ ศพั ททแ่ี ปลวา เหตนุ ้ัน ตอ ขา งหลัง วตฺตติ เมือ่ นักศึกษาเห็นศัพทน ามอันมี ส อักษรอยขู า ง หนา และศพั ทนามนัน้ เปน คุณบทของนามอน่ื พงึ เขาใจวา คําน้ัน เปน สห บุพพบทพหพุ พิหิ ส อักษรนั้น มาจาก สห ศพั ท กต็ ัง้ วเิ คราะห และแปลดาํ เนินตามลกั ษณะของสมาสน้ี และเวลาแปลเรยี งความบาง แหงบางศพั ท จะแปลคาํ แปลวา เปนไปกับดว ย วา มี บา งก็ได. สมาสทม่ี บี ทอื่นเปนประธาน สมาสทม่ี ีบทอ่นื เปนประธาน ไดแกกัมมธารยะบางอยา ง ตัป- ปรุ ิสะบางอยาง ดังกลาวแลวขางตน และพหุพพิหทิ ง้ั สนิ้ มีวิธีแจกดว ย วิภัตติ ตามการันตของตน ตามลิงคข องบทประธาน ดังตัวอยาง ตอไปน:้ี -

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตทั ธิต - หนาที่ 47 กมั มธารยะ สตี สมฏโ ปเทโส ประเทศ ท้งั เย็นทง้ั เกลยี้ ง สตี สมฏา ภมู ิ แผน ดนิ \" สตี สมฏ าน ที่ \" ตัปปุริสะ คามคโต ปรุ โิ ส บรุ ุษ ไปแลวสบู า น คามคตา อิตถฺ ี หญิง \" คามคต กลุ  ตระกลู \" พหพุ พหิ ิ รฬุ หฺ ลโต รกุ โฺ ข ตนไม มเี ครอื วลั ยข นึ้ แลว รฬุ หฺ ลตา สาลา ศาลา \" รฬุ ฺหลต ฆร เรอื น \" ตอ นี้ไปจะไดตั้งวเิ คราะห และบอกชือ่ สมาสตามทีม่ อี ทุ าหรณ ใหผูศึกษาตอบในหนงั สือแบบเรียน (ขอ ๑๐๑) นนั้ เพือ่ ประดับ ความรขู องผูศึกษา. ๑. มหนโฺ ต นาโค=มหานาโค นาคใหญ ว.ิ บุพพ. กมั ม. ๒. ตโย ทณฺฑา=ตทิ ณฺฑ ไม ๓ อนั สมาหาระทิคุ. ๓. อรฺ คโต=อรฺคโต ไปแลวสปู า ทุติยาตัปปรุ ิสะ.

ประโยค๑ - อธบิ ายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธติ - หนา ท่ี 48 ๔. ทาสี จ ทาโส จ=ทาสที าส ทาสแี ละทาส สมาหาระทวันทวะ. ๕. ปาการสฺส ตโิ ร=ติโรปาการ ภายนอกแหงกาํ แพง นิบาตปุพพกะ. อพั ยยีภาวะ. ๖. กณฺหานิ เนตฺตานิ ยสสฺ โส=กณฺหเนตฺโต (ราชา พระราชา) มี ตาดํา ฉัฏฐตี ลุ ยาธิกรณพหุพพิหิ. ๗. ิโต เปโม ยสมฺ ึ โส=ติ เปโม มคี วามรักตั้งอยู สัตตมีพหพุ พิหิ. ๘. วนสฺส สมปี =อปุ วน ท่ีใกลเคียงแหง ปา อุปสคั คปพุ พกะ. อัพยยีภาวะ. ๙. นโร จ นารี จ=นรนาริโย นระและนารี ท. อสมาหาระทวันทวะ. ๑๐. สงฆฺ สฺส ทาน= สงฆฺ ทาน ทานเพ่ือสงฆ จตตุ ถีตัปปุรสิ ะ. ๑๑. ปจฺ อนิ ทฺรยิ าน=ิ ปฺจินฺทรฺ ยิ านิ อนิ ทรยี  ๕ ท. อสมาหาระทิคุ. ๑๒. ปรุ โิ ส อตุ ตฺ โม=ปุริสุตตฺ โม บุรษุ สงู สุด วเิ สสนุตตร. กัมม. ๑๓. ปฺ า เอว ธน=ปฺาธน ทรพั ย คือ ปญญา อว. กมั ม. ๑๔. กต กุสล เยน โส=กตกุสโล มีกศุ ลอนั ทาํ แลว ตตยิ าพหพุ พิหิ. ๑๕. วเน รุกโฺ ข=วนรกุ ฺโข ตน ไมใ นปา สัตตมตี ปั ปรุ ิสะ. ๑๖. ปาปา รหโิ ต=ปาปรหิโต (ปรุ โิ ส บุรษุ ) ผูเ วนแลวจากบาป ปญ จมตี ปั ปรุ ิสะ. ๑๗. ปุ  อติ ิ สมฺมต=ปุ ฺสมฺมต สมมตวิ าบุญ สมั ภาวน. กมั ม. ๑๘. ทนิ โฺ น ยโส ยสสฺ โส=ทินยฺ โส มียศอนั ทา นใหแลว จตุตถี พหพุ พพิ ิ. ๑๙. มหิฬาย มุข อิว มขุ  ยสฺส โส=มหฬิ ามุโข มหี นา เพยี งดงั หนา

ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณี สมาสและตัทธิต - หนา ท่ี 49 แหง ชางพัง ฉัฏฐีอุปมาพหพุ พิหิ. ๒๐. คหฏโ  จ ปพฺพชโิ ต จ=คหฏ ปพพฺ ชิตา คฤหสั ถและบรรพชิต ท. อสมาหาระ ทวนั ทวะ. ๒๑. พุทฺโธ สีโห อิว=พทุ ธฺ สโี ห พระพทุ ธเจาเพียงดงั สีหะ วิเสสโน- ปมบท ชนดิ อุปมานตุ ตรบท. ๒๒. คมกิ สสฺ ภตฺต=คมิกภตตฺ  ภัตรเพอื่ ผไู ป จตุตถีตปั ปรุ ิสะ. ๒๓. เคหสสฺ อนฺโต=อนโฺ ตเคห ภายในแหง เรอื น นปิ าตปุพพกะ อพั ยยีภาวะ. ๒๔. ธฺราสิ มแี ลว ในแบบ. ๒๕. นิโครฺ ธสฺส ปริมณฑฺ ล อวิ ปรมิ ณฑฺ ล ยสสฺ โส=นโิ ครฺ ธ- ปรมิ ณฑฺ โล มีปรมิ ณฑลเพยี งดังปริมณฑลแหงตนนโิ ครธ ฉฏั ฐี อุปมาพหุพพิหิ. ๒๖. นิกฺขนตฺ า กเิ ลสา ยสมฺ า โส=นกิ กฺ ิเลโส มกี เิ ลสออกแลว ปญจมี พหุพพิห.ิ (ลบ ขนตฺ คงไวแต นิ อปุ สัค). ๒๗. ทโี ฆ ชงโฺ ฆ แขง ยาว วิเสสนบพุ พ. กมั ม. ๒๘. ทฆี า ชงฺฆา ยสสฺ โส=ทฆี ชงฺโฆ มแี ขงยาว ฉัฏฐีพหุพพิห.ิ ๒๙. อนธฺ วธิโร มีแลวในแบบ. ๓๐. อนโฺ ธ จ วธิโร จ=อนธฺ วธิวา คนบอดและคนหนวก ท. อสมาหาระ ทวันทวะ. ๓๑. ขตฺตยิ มาโน มแี ลว ในแบบ. ๓๒. ขตตยิ สสฺ มาโน=ขตตยิ มาโน มานะแหงกษัตริย ฉัฏฐตี ัปปุริสะ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook