39 11.4 มีคุณลกั ษณะสามารถเช่ือมโยงระหวา่ งขอ้ มูลภายในเล่มที่บนั ทึกในลกั ษณะ ต่าง ๆ เช่น ตวั หนงั สือ ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ดนตรี และสามารถเช่ือมโยงกบั แหล่งเอกสาร ภายนอกเมื่อเชื่อมตอ่ ระบบอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต สรุปไดว้ า่ ประโยชน์ของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ไดแ้ ก่ เป็ นส่ือท่ีรวมเอาจุดเด่น ของสื่อแบบต่าง ๆ มารวมอยใู่ นส่ือตวั เดียว คือ สามารถแสดงภาพ แสง เสียง ภาพเคล่ือนไหว และ การมีปฏิสัมพนั ธ์กับผูใ้ ช้ ช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดพฒั นาการเรียนรู้และเขา้ ใจเน้ือหาวิชาได้เร็วข้ึนมี ความสามารถในการออนไลน์ผา่ นเครือข่ายและเชื่อมโยงไปสู่โฮมเพจและเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ อีกท้งั ยงั สามารถอา้ งอิงในเชิงวชิ าการได้ สนบั สนุนการเรียนการสอนแบบหอ้ งเรียนเสมือน ห้องสมุดเสมือน และห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และมีความทนทาน และสะดวกต่อการเก็บบารุงรักษา ลดปัญหาการ จดั เกบ็ เอกสารยอ้ นหลงั ซ่ึงตอ้ งใชเ้ น้ือที่หรือบริเวณกวา้ งกวา่ ในการจดั เก็บ สามารถรักษาหนงั สือหา ยากและตน้ ฉบบั เขียนไม่ใหเ้ สื่อมคุณภาพ แนวคดิ เกยี่ วกบั การสร้างหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) หลกั การและแนวคิดท่ีนามาใชใ้ นการสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) 1. หลกั การเรียนรู้แบบรอบรู้ บลูม (Bloom. 1976 : 1) ไดก้ ล่าววา่ คนทุกคนหรือเกือบ ทุกคนสามารถเรียนรู้วิชาใด ๆ ไดถ้ ึงระดบั หรือเกณฑ์ท่ีกาหนด ถา้ จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้ เหมาะสมกบั แต่ละบุคคลและให้เวลาสาหรับการเรียนวชิ าน้นั ๆ มากเพียงพอแก่ความสามารถที่จะ เรียน และในระหวา่ งท่ีเรียนผเู้ รียนจะไดร้ ับความช่วยเหลือ และแกไ้ ขขอ้ บกพร่องในการเรียนอยา่ ง ทนั ท่วงที 2. ทฤษฎีการเสริมแรงของสกินเนอร์ ให้ความเห็นไวว้ า่ “ครูที่ไม่มีเวลาท่ีจะใช้แรง เสริมแก่นกั เรียน ทาให้นกั เรียนขาดความสนใจในการเรียน” ดงั น้นั จึงถือวา่ ส่ิงสาคญั ในการสอน คือ การเสริมแรง และการเลือกแรงเสริมเป็ นส่ิงหน่ึงท่ีครูจะตอ้ งใช้การพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคานึงถึงความเหมาะสมกบั ผูเ้ รียน ซ่ึงสามารถแบ่งชนิดของแรงเสริมได้ 3 ประเภท (สุรางค์ โคว้ ตระกูล. 2546 : 287) 1) คือ การให้ความสนใน และคาชม 2) การอนุญาตให้นกั เรียนประกอบ กิจกรรมท่ีนกั เรียนชอบหรือตอ้ งการ 3) การใหร้ างวลั 3. ทฤษฎีและแนวคิดของ ธอร์นไคด์ (Thorndike) นกั จิตวิทยาชาวอเมริกนั เป็ นผนู้ า ทฤษฎีหลกั การเรียนรู้ของทฤษฎี กล่าวถึง การเช่ือมโยงระหวา่ งสิ่งเร้า (Stimulus) กบั การตอบสนอง (Response) โดยมีหลกั การเบ้ืองตน้ ว่า การเรียนรู้เกิดจากการเช่ือมโยงระหวา่ งสิ่งเร้าและการตอบสนอง โดยแสดงในรูปแบบต่าง ๆ จนกว่าจะเป็ นที่พอใจท่ีเหมาะสมท่ีสุด ซ่ึงเรียกวา่ การลองผิดลองถูก ซ่ึงมี กฎการเรียนรู้ตามทฤษฎีเช่ือมโยง ประกอบดว้ ยกฎ 3 ขอ้ (แสงเดือน ทวสี ิน. 2545 : 136 - 138) ดงั น้ี
40 3.1 กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) กฎน้ีกล่าวถึงสภาพความพร้อม ของผูเ้ รียนท้งั ทางร่างกายและจิตใจ ความพร้อมทางร่างกาย หมายถึง ความพร้อมทางวฒุ ิภาวะและ อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกาย ทางดา้ นจิตใจ หมายถึง ความพร้อมท่ีเกิดจากความพึงพอใจเป็ นสาคญั ถา้ เกิดความพึงพอใจย่อมนาไปสู่การเรียนรู้ ถา้ เกิดความไม่พอใจจะทาให้ไม่เกิดการเรียนรู้ หรือ ทาใหก้ ารเรียนรู้หยดุ ชะงกั ไป 3.2 กฎแห่งการฝึ กหัด (Law of Exercise) กฎน้ีกล่าวถึงการสร้างความพร้อม ของผเู้ รียนท้งั ทางร่างกายและจิตใจ ความพร้อมทางร่างกาย หมายถึง ความพร้อมทางวุฒิภาวะ และ อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกาย ทางดา้ นจิตใจ หมายถึง ความพร้อมที่เกิดจากความพึงพอใจเป็ นสาคญั ถา้ เกิดความพึงพอใจย่อมนาไปสู่การเรียนรู้ ถา้ เกิดความไม่พอใจจะทาให้ไม่เกิดการเรียนรู้ หรือ ทาใหก้ ารเรียนรู้หยดุ ชะงกั ไป 3.2.1 กฎแห่งการใช้ (Law of Used) เม่ือความเขา้ ใจหรือเรียนรู้แลว้ มีการกระทา หรือนาส่ิงท่ีเรียนรู้น้นั ไปใชบ้ ่อย ๆ จะทาใหก้ ารเรียนรู้น้นั คงทนถาวร 3.2.2 กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused) เม่ือเกิดการเขา้ ใจหรือเรียนรู้แลว้ ไม่ไดก้ ระทาซ้าบ่อย ๆ จะทาให้การเรียนรู้น้นั ไม่คงทนถาวร หรือในที่สุดท่ีเกิดการลืมจนไม่เรียนรู้ อีกเลย 3.3 กฎแห่งผลท่ีไดร้ ับ (Law of Effect) กฎน้ีกล่าวถึงผลท่ีไดร้ ับเม่ือแสดงพฤติกรรม การเรียนรู้แลว้ ว่าถ้าได้รับผลที่พึงพอใจ ผูเ้ รียนยอ่ มอยากจะเรียนรู้อีกต่อไป แล้วถ้าจะทาให้การ เช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้ากบั การตอบสนองความมนั่ คงถาวร ตอ้ งการให้ผูเ้ รียนไดร้ ับผลท่ีพึงพอใจ ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั ความพงึ พอใจของแต่ละบุคคล 3.4 หลกั การไฮเปอร์ลิงค์ (Hyper Link) การเชื่อมโยงกนั ระหวา่ งท่ีหน่ึง ไปยงั อีก ท่ีหน่ึง โดยรูปแบบของตาแหน่งท่ีจะใชเ้ ป็นไฮเปอร์ลิงคน์ ้นั จะแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ 3.4.1 ใชข้ อ้ ความเป็นลิงค์ เรียกวา่ Hypertext เม่ือเรานา Mouse ไปคลิกที่ขอ้ ความ ท่ีเป็นเช่ือมโยง กจ็ ะเกิดการเปลี่ยนแปลงข้ึน ซ่ึงการเปล่ียนแปลงจะเป็ นอยา่ งไร น้นั ข้ึนอยกู่ บั ผเู้ ขียน โปรแกรมเป็ นคนกาหนดรูปแบบ อาจจะเป็นการลิงคไ์ ปยงั หนา้ อื่นหรือเป็ นการลิงคไ์ ปแคบ่ างส่วนก็ได้ 3.4.2 ใชร้ ูปภาพเป็นลิงค์ เรียกวา่ Hypermedia เม่ือเรานา Mouse ไปคลิกท่ีรูปภาพ ที่เป็นลิงค์ กจ็ ะเกิดการเปลี่ยนแปลงข้ึน ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงจะเป็ นอยา่ งไร ก็ข้ึนอยูก่ บั ผูเ้ ขียนโปรแกรม เป็นคนกาหนดรูปแบบ ซ่ึงอาจจะเป็นการลิงคไ์ ปยงั หนา้ อื่น หรือ เป็นการเช่ือมโยงไปเพียงบางส่วนก็ได้ จึงอาจกล่าวไดว้ า่ หลกั การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) น้นั ควรอาศยั หลกั การ ออกแบบการเรียนการสอนเพื่อให้กระบวนการสอนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีหลกั การและแนวคิด ที่นามาใช้ พอสรุปไดด้ งั น้ี 1) ยดึ หลกั การเรียนรู้แบบรอบรู้ 2) สอนโดยการรับอยา่ งมีความหมาย เพื่อให้
41 ผเู้ รียนเกิดความเขา้ ใจ และเกิดความคิดรวมยอดของเน้ือหา สามารถนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ 3) ใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในการเรียน และสามารถเรียนไดต้ ลอดเวลาที่ตอ้ งการ หลกั การตรวจสอบและประเมินผล (Testing & Evaluation) ก่อนจะนาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ไปใชใ้ นการเรียนการสอน จะตอ้ งมีข้นั ตอน (พพิ ษิ ณ์ สิทธิศกั ด์ิ. 2545 : 55) ดงั น้ี 1. ข้นั ตรวจสอบ หมายความถึง การตรวจสอบในแต่ละข้นั ตอนของการออกแบบ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ในข้นั ตอนน้ี อาจจะทดสอบการทางานของโปรแกรมเพ่ือหา ขอ้ ผดิ พลาดที่เรียกวา่ BUG ซ่ึงอาจเกิดจากสาเหตุต่อไปน้ี 1.1 รูปแบบคาส่ังผิดพลาด (Syntax Error) เกิดจากการใชค้ าสั่งไม่ถูกตามขอ้ กาหนด เองภาษาท่ีใชเ้ ขียนโปรแกรม 1.2 แนวคิดผิดพลาด (Logical Error) เกิดจากผูเ้ ขียนโปรแกรมเข้าใจข้นั ตอน การทางาน ความคลาดเคล่ือน เช่น สูตรท่ีกาหนดผดิ ตวั แปรผดิ พลาด เป็นตน้ นอกจากน้ี หลงั จากตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาดและปรับปรุงแกไ้ ขหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) แลว้ อาจนาโปรแกรมที่ไดไ้ ปใหค้ รูผสู้ อน หรือผเู้ ชี่ยวชาญตรวจความถูกตอ้ งของเน้ือหา และ ความเหมาะสมท่ีปรากฏบนจอภาพอีกคร้ังหน่ึง ซ่ึงอาจจะมีการแกไ้ ขโปรแกรมในบางส่วน แลว้ นาไป ทดสอบกบั ผเู้ รียนซ่ึงเป็นข้นั ทดลองใชต้ อ่ ไป 2. ข้นั ทดลองใช้ จาเป็ นตอ้ งมีการทดสอบก่อนที่จะนาไปใชง้ านเพ่ือเป็ นการตรวจสอบ ความถูกตอ้ งในการใชง้ านของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) (กรองกาญจน์ อรุณรัตน.์ 2546 : 40) 2.1 ทดลองหน่ึงต่อหน่ึงนาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่ไดไ้ ปใชก้ บั ผูเ้ รียน แบบหน่ึงต่อหน่ึง จานวน 3 คน โดยใช้ผูเ้ รียนที่ไม่ใช่กลุ่มตวั อยา่ งเพ่ือทดสอบการส่ือความหมาย ลาดบั ข้นั ของการนาเสนอความเหมาะสมของวธิ ีเสนอเน้ือหา วา่ เหมาะสมกบั ผเู้ รียนหรือไม่ โดยการ สงั เกตพฤติกรรมของผเู้ รียนและสอบถามจากผเู้ รียนนาขอ้ มูลท่ีไดไ้ ปปรับปรุงแกไ้ ข แลว้ จึงนาไปใช้ ในข้นั ตอ่ ไป 2.2 ทดลองกลุ่มเล็ก นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่ไดป้ รับปรุงแกไ้ ขใน ข้นั ตอนท่ีผา่ นมาแลว้ ไปทดลองใชก้ บั ผเู้ รียน จานวน 3 คน โดยผสู้ อนจะแนะนาการใชใ้ นช่วงแรก เม่ือจบใหผ้ เู้ รียน ทาแบบทดสอบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจที่มีต่อหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) หลงั จากน้นั จึงนาแบบสอบถามที่ไดม้ าวิเคราะห์ เพ่ือตรวจสอบระดบั ความพึงพอใจวา่ อยูใ่ นเกณฑ์ ท่ีผวู้ ิจยั กาหนดไวห้ รือไม่ และคอยสังเกตพฤติกรรมของผูเ้ รียนในขณะท่ีใชห้ นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) วา่ เป็นอยา่ งไรจดบนั ทึกไวเ้ พื่อนาไปปรับปรุงแกไ้ ขใหเ้ หมาะสมต่อไป 2.3 ทดลองกลุ่มใหญ่ เป็ นการนาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ท่ีไดจ้ ากการ สร้างมาจากกลุ่มทดลองกลุ่มเลก็ ไปใชก้ บั ผเู้ รียนจานวน 6 คน ท่ีเป็ นกลุ่มตวั อยา่ ง โดยมีจุดประสงค์
42 เพ่ือตรวจสอบความสามารถของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ก่อนนาไปทดลองใช้จริงใน ลกั ษณะของการมีปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างผูเ้ รียนกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่ใช้ ผูส้ ร้าง หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ตอ้ งคอยสังเกตพฤติกรรมของผูเ้ รียน และให้คาแนะนาเกี่ยวกบั วิธีการใชห้ นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ในตอนแรก เช่น อะไรเป็ นสาเหตุใหผ้ ูเ้ รียนไดร้ ับความ ลาบากในการเรียน เป็ นต้น หลงั จากน้นั จึงวิเคราะห์ตามวิธีทางสถิติ ว่าไดต้ ามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ หรือไม่ ถา้ ไม่ไดต้ อ้ งปรับปรุงแกไ้ ข แลว้ จึงนาไปทดสอบกบั ผูเ้ รียนใหม่ จนกวา่ จะไดต้ ามเกณฑ์ท่ี กาหนด การปรับปรุงแกไ้ ขในข้นั ตอนน้ี จะกระทาจนกวา่ จะไดโ้ ปรแกรมซ่ึงเป็ นที่พอใจของทุกฝ่ าย แลว้ จึงนาไปใชง้ าน เพ่ือใหก้ ารนาไปใชง้ านอยา่ งมีประสิทธิภาพ ควรมีการจดั ทาคู่มือประกอบการ ใชบ้ ทเรียนดว้ ย คู่มือการใชเ้ ครื่องมือ จะบอกถึง ชื่อโปรแกรม ภาษาท่ีใชไ้ ฟล์ต่าง ๆ หน่วยความจา เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่จะใชโ้ ปรแกรมน้ีได้ หรืออุปกรณ์อื่นที่ตอ้ งใช้ร่วม ข้นั ตอนการใช้โปรแกรม เริ่มต้งั แตก่ ารเปิ ดโปรแกรมเป็นตน้ ไป คาส่งั ต่าง ๆ ท่ีตอ้ งใชก้ บั โปรแกรม 3. ข้นั ประเมินผล มีความมุ่งหมายเพื่อการประเมินผลหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยใหผ้ ูเ้ รียนแสดงความคิดเห็น โดยใช้แบบสอบถามเป็ นแบบทดสอบ และการประเมินผลความ พึงพอใจของผูเ้ รียนในข้นั น้ีเป็ นการนาเอาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ไปทดลองใชก้ บั ผูเ้ รียน เพื่อประเมินผลหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่ไดส้ ร้างข้ึนมา วา่ มีประสิทธิภาพมากนอ้ ยแค่ไหน เพือ่ ใหไ้ ดห้ นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่มีคุณภาพ หลกั การตรวจสอบและประเมินผลหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) เร่ิมจากข้นั ตรวจสอบ เพ่ือตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาดและปรับปรุงแกไ้ ขหนงั สือ ข้นั ทดลองใช้ โดยทดลองกบั กลุ่มเล็ก ทดลอง กลุ่มใหญ่ และการประเมินผล ข้นั ตอนการสร้างหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) การสร้างหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) มีข้นั ตอนในการสร้าง ดงั น้ี 1. วเิ คราะห์ความตอ้ งการของระบบ จากการวิเคราะห์ความต้องการของระบบและเพื่อแก้ปัญหาของระบบที่ได้ ทาการศึกษามาน้นั ทาใหส้ ามารถสรุปความตอ้ งการไดด้ งั น้ี 1.1 ตอ้ งการให้โปรแกรมสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีความเรียบง่าย และลดความยงุ่ ยากในการใชง้ านโปรแกรมของผใู้ ชท้ ว่ั ไป 1.2 ตอ้ งการให้โปรแกรมสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สามารถรองรับ การทางานภาษาไทย เพ่อื อานวยความสะดวกใหแ้ ก่ผใู้ ชง้ าน 1.3 โปรแกรมสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีฟังกช์ นั การทางานที่ครบถว้ น สมบูรณ์ ตามมาตรฐานของเครื่องมือการสร้างเอกสาร
43 1.4 ตอ้ งการให้ผูใ้ ช้งานสามารถสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) กาหนด รูปแบบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ไดเ้ องตามรูปแบบที่ผใู้ ชต้ อ้ งการ 1.5 โปรแกรมสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สามารถทางานบนเครื่อง คอมพิวเตอร์ไดเ้ ท่าน้นั 2. วเิ คราะห์ข้นั ตอนการดาเนินงาน 3. วเิ คราะห์ขอ้ มูลนาเขา้ แหล่งขอ้ มูลและการจดั เกบ็ ขอ้ มูล สรุปขอ้ มูลนาเขา้ ไดด้ งั น้ี 3.1 ขอ้ มูลนาเขา้ ประกอบดว้ ย 1) ขอ้ ความหรือตวั อกั ษร สาหรับเพ่ิมขอ้ มูลลงใน หนงั สือ 2) ไฟลร์ ูปภาพ สาหรับแทรกภาพลงไปในหนงั สือ 3) ไฟล์มลั ติมีเดีย สาหรับแทรกมลั ติมิเดีย ลงไปในหนงั สือ 3.2 การจดั เก็บขอ้ มูล 1) บนั ทึกไฟล์งานนามสกุลตามโปรแกรมสร้างหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) 2) ไฟลน์ ามสกลุ .exe หรือ .opf หมายถึง นามสกุลไฟลข์ องโปรแกรมสร้าง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) (ข้ึนอยู่กับโปรแกรมสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)) 3) ไฟล์นามสกุล .exe หมายถึง นามสกุลไฟล์ที่บนั ทึกเพ่ือให้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สามารถเปิ ดอ่านไดบ้ นเคร่ืองคอมพวิ เตอร์เคร่ืองอื่น ๆ 4. การวเิ คราะห์ผลลพั ธ์ Output 4.1 แสดงหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ท่ีมีลกั ษณะรูปเล่มหนงั สือ ท่ีสามารถ เปิ ดอา่ นบนเคร่ืองคอมพวิ เตอร์และทาการเปิ ดหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) พลิกกลบั ไปมาได้ 4.2 แสดงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่แต่ละหน้าประกอบด้วยข้อมูล ขอ้ ความหรือตวั อกั ษร ขอ้ มูลรูปภาพ ขอ้ มูลมลั ติมีเดีย และเสียง 4.3 แสดงหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ในรูปแบบของเอกสาร โดยการพิมพ์ ออกทางเคร่ืองพิมพ์ สรุปไดว้ า่ การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีข้นั ตอนในการสร้าง ดว้ ยวเิ คราะห์ ความตอ้ งการของระบบ วิเคราะห์ข้นั ตอนการดาเนินงาน วิเคราะห์ขอ้ มูลนาเขา้ แหล่งขอ้ มูลและ การจดั เก็บขอ้ มูล สรุปขอ้ มูลนาเขา้ การวเิ คราะห์ผลลพั ธ์ แนวคิดเกยี่ วกบั การฝึ กอบรม การฝึกอบรมมีความสาคญั ต่อการพฒั นาบุคลากร องคป์ ระกอบสาคญั ประการหน่ึงท่ีช่วยให้ การจดั ฝึ กอบรมบรรลุผลก็คือ การเลือกเทคนิคการฝึ กอบรมอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม ท้งั น้ีเพราะเทคนิค การฝึกอบรมจะมีส่วนช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้หรือเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตามท่ีตอ้ งการ
44 ความหมายของการฝึ กอบรม มีนกั วชิ าการหลายทา่ นใหค้ วามหมายของการฝึกอบรม ไวด้ งั น้ี สุพิน ฟองจางวาง. (2551 : 1) กล่าวว่า การฝึ กอบรม คือ กระบวนการในอนั ที่จะทาให้ ผูเ้ ขา้ รับการฝึ กอบรมเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ ทศั นคติ และความชานาญ ในเร่ืองหน่ึงเรื่องใด และ เปลี่ยนพฤติกรรมไปตามวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ กู๊ด. (Good. 1973 : 33 อา้ งถึงใน ฉัตรพงศ์ พีระวราสิทธ์ิ. 2549 : 11) สรุปความหมาย ของการฝึกอบรมไวว้ า่ การฝึกอบรม หมายถึง กระบวนการใหค้ วามรู้ และฝึ กทกั ษะแก่บุคคลภายใต้ เงื่อนไขบางประการ แต่ยงั ไมเ่ ป็นระบบเหมือนกบั การศึกษาในสถาบนั ทว่ั ไป สมชาย กิจบรรยง และอรจรีย์ ณ ตะกว่ั ทุ่ง. (2550 : 2) กล่าวว่า การฝึ กอบรม หมายถึง กระบวนการท่ีจะทาให้ผูเ้ ขา้ รับการฝึ กอบรมเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ ความชานาญ และทศั นคติที่ดี เกี่ยวกบั เรื่องใดเร่ืองหน่ึง จนกระทงั่ ผูเ้ ขา้ รับการฝึ กอบรมเกิดการเรียนรู้หรือเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ไปตามวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมอยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จากความหมายของการฝึ กอบรมขา้ งตน้ พอสรุปได้วา่ การฝึ กอบรม หมายถึง กระบวนการ สร้างเสริมสมรรถนะของบุคคลในองค์กรให้มีการพฒั นา เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบตั ิงาน ใหอ้ งคก์ รบรรลุเป้าหมายท่ีกาหนด วตั ถุประสงค์ในการฝึ กอบรม การฝึ กอบรมเป็ นการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในการทางานเฉพาะอยา่ ง อาจจาแนก วตั ถุประสงคใ์ นการฝึกอบรมได้ 4 ประการ เรียกยอ่ ๆ วา่ KUSA ดงั น้ี 1. เพอื่ เพ่ิมพูนความรู้ (Knowledge: K) ใหม้ ีความรู้ หลกั การ ทฤษฎี แนวคิดในเร่ืองท่ี อบรมเพื่อนาไปใชใ้ นการทางาน 2. เพ่ือเพ่ิมพูนความเขา้ ใจ (Understand: U) เป็ นลกั ษณะท่ีต่อเน่ืองจากความรู้ กล่าวคือ เม่ือรู้ในหลกั การและทฤษฎีแลว้ สามารถตีความ แปลความ ขยายความ และอธิบายใหค้ นอ่ืนทราบได้ รวมท้งั สามารถนาไปประยกุ ตไ์ ด้ 3. เพ่ือเพ่ิมพูนทกั ษะ (Skill: S) ทกั ษะคือความชานาญหรือความคล่องแคล่วในการ ปฏิบตั ิอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงไดโ้ ดยอตั โนมตั ิ เช่น การใชเ้ ครื่องมือต่าง ๆ การขบั รถ การข่ีจกั รยาน เป็นตน้ 4. เพ่ือเปลี่ยนแปลงเจตคติ (Attitude: A) เจตคติหรือทศั นคติ คือความรู้สึกที่ดีหรือ ไม่ดีต่อส่ิงต่าง ๆ การฝึ กอบรมมุ่งให้เกิดหรือเพิ่มความรู้สึกที่ดี ๆ ต่อองคก์ าร ต่อผบู้ งั คบั บญั ชาต่อ เพ่ือนร่วมงาน และต่องานท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบ เช่น ความจงรักภกั ดีต่อบริษทั ความภาคภูมิใจต่อ สถาบนั ความสามคั คีในหมู่คณะ ความรับผิดชอบต่องาน ความเอาใจใส่ต่องาน (รักงานไม่เบ่ือ ไม่เซ็ง) ความกระตือรือร้น เป็นตน้
45 สรุปไดว้ า่ การฝึ กอบรม มีวตั ถุประสงค์เพ่ือ เพิ่มพูนความรู้ เพื่อเพ่ิมพูนความเขา้ ใจ และ เพือ่ เปล่ียนแปลงเจตคติ ความสาคญั ของการฝึ กอบรม การฝึ กอบรมมีความสาคญั เป็ นอยา่ งมาก เป็ นการส่งเสริมให้บุคลากรในองคก์ ารพฒั นา ศกั ยภาพของตวั เองในการทางานให้กบั องค์การ ซ่ึงความสาคญั ของการฝึ กอบรมน้นั มีหลายอย่าง ดว้ ยกนั เพ่ือให้มองเห็นภาพความสาคญั ของการฝึ กอบรมได้ชดั เจนย่ิงข้ึน จึงขอแยกอธิบายเป็ น รายขอ้ (สุภาพร พิศาลบุตร และยงยทุ ธ เกษสาคร. 2545 : 1 - 2) ดงั น้ี 1. สภาพแวดลอ้ มในการทางานของแต่ละองค์การมกั จะมีความแตกต่างกนั จึงเป็ น การยากท่ีสถาบนั การศึกษาต่าง ๆ สามารถท่ีจะผลิตบุคลากรไดต้ รงกบั สภาพขององคก์ ารต่าง ๆ ได้ อยา่ งเหมาะสม ดงั น้นั เพ่ือเป็ นการป้องกนั ปัญหา (Preventive) ที่จะเกิดกบั บุคลากรที่เพิ่งจะเริ่มตน้ งานใหม่ ทางองคก์ ารจึงมีความจาเป็ นตอ้ งฝึ กอบรมก่อนเร่ิมตน้ ปฏิบตั ิงาน (Pre-service Training) อาจจดั ในรูปแบบของการปฐมนิเทศ (Orientation) หรือการให้คาแนะนาการทางาน (Induction Training) เพอื่ ใหบ้ ุคลากรใหม่ทราบถึงกฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การปฏิบตั ิงาน 2. ความเปลี่ยนแปลงทางดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ท้งั ภายในประเทศและ ต่างประเทศเป็ นไปอยา่ งไม่หยดุ ย้งั การเปล่ียนแปลงภายในมกั เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเป็ นส่วนใหญ่ 3. การฝึกอบรมเป็ นการช่วยเสริมสร้างและพฒั นาความรู้ให้แก่บุคลากรโดยสามารถ ท่ีจะนาความรู้ที่ไดร้ ับจากการศึกษาในสถาบนั มาผสมผสานกบั ความรู้ท่ีไดจ้ ากการฝึ กอบรมในระหวา่ ง การทางาน แลว้ นาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิงานใหม้ ีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน 4. ในขณะที่บุคลากรปฏิบตั ิงานไดร้ ะยะหน่ึง จะเริ่มเกิดความเคยชินกบั การปฏิบตั ิงาน ความคิดสร้างสรรคใ์ หม่ ๆ กจ็ ะตามมา 5. ก่อใหเ้ กิดความคล่องตวั ในการสับเปล่ียนโยกยา้ ยตาแหน่งหนา้ ที่ และช่วยลดอตั รา การเขา้ ออกของบุคลากร 6. เสริมสร้างใหบ้ ุคลากรมีทศั นคติท่ีดีต่อองคก์ ารและมีความผกู พนั จงรักภกั ดีต่อองคก์ าร 7. เป็ นการช่วยสร้างขวญั และกาลังใจ ทาให้บุคลากรมีความมนั่ คงในอาชีพและ มีโอกาสกา้ วหนา้ ตามสายงาน 8. เป็นการช่วยสนบั สนุนให้บุคลากรไดร้ ับการศึกษาตลอดชีพ อยา่ งต่อเนื่อง ซ่ึงตรง กบั ธรรมชาติของมนุษยเ์ รา สรุปไดว้ า่ การฝึกอบรมมีความสาคญั เป็ นอยา่ งมาก เน่ืองจากเป็ นการส่งเสริมใหบ้ ุคลากร ในองคก์ ารพฒั นาศกั ยภาพของตวั เองในการทางานใหก้ บั องคก์ าร ซ่ึงความสาคญั ของการฝึ กอบรม น้นั มีหลายอยา่ งดว้ ยกนั เพอ่ื ใหม้ องเห็นภาพความสาคญั ของการฝึกอบรมไดช้ ดั เจนยง่ิ ข้ึน
46 รูปแบบของการฝึ กอบรม การฝึ กอบรมแต่ละหลกั สูตรยอ่ มมีรูปแบบการจดั หรือการรวมกลุ่มแตกต่างกนั ข้ึนอยูก่ บั วา่ ตวั ของวิทยากรจะนาเสนอในลกั ษณะใดแก่ผูเ้ ขา้ อบรม ซ่ึงสามารถแบ่งเป็ น 2 ประเภท (วิโรจน์ ลกั ขณาอดิศร. 2550 : 72 - 73) ไดด้ งั น้ี 1. การฝึ กอบรมแบบ On the Job Training: OJT ก็คือ การฝึ กการปฏิบตั ิงานจริง โดย มีผชู้ านาญงานน้นั เป็นครูฝึก คอยดูแลการฝึกงานของผเู้ ขา้ รับการฝึ กอบรม ซ่ึงการฝึ กอบรมแบบ On the Job Training จะไมเ่ นน้ การเรียนทฤษฎีมากนกั แต่มุ่งเนน้ ไปในทางฝึกปฏิบตั ิ ทาใหก้ ารฝึ กอบรม แบบน้ี มีความสามารถในการสร้างความรู้ความเขา้ ใจ เหมาะกบั การปฏิบตั ิงานโดยตรงเพราะเห็นผล ในระยะส้ันค่อนขา้ งชดั เจน ตน้ ทุนต่า แต่ก็ไม่ควรที่จะใหม้ ีจานวนผเู้ ขา้ รับการฝึ กอบรมมากเกินไป เพราะอาจจะทาใหเ้ กิดการดูแลของผฝู้ ึกสอนไม่ทวั่ ถึง เกิดการบกพร่องในการปฏิบตั ิงาน ทาให้ Cost of Quality สูงข้ึน และ Productivity ต่าลงได้ 2. การฝึกอบรมแบบ Off the Job Training เป็นการฝึกอบรมที่เนน้ ความรู้ ความเขา้ ใจ โดยการจดั ฝึกอบรมอยา่ งเป็ นทางการ ไม่ใช่การเรียนรู้แบบปฏิบตั ิงานจริง ซ่ึงการฝึ กอบรมประเภท น้ีจะใหค้ วามรู้ผเู้ ขา้ อบรมไดม้ ากกวา่ การอบรมแบบ On the Job Training เพราะผเู้ ขา้ อบรมสามารถ เรียนรู้ไดอ้ ย่างเต็มที่ แต่อาจจะเกิดปัญหาในเร่ืองของการประยุกต์ใช้ เพราะความรู้เชิงทฤษฎีที่ได้ บางคร้ังไมส่ ามารถนาไปใชใ้ นการปฏิบตั ิงานไดท้ ้งั หมด หากผูเ้ ขา้ อบรมไม่มีทกั ษะในการประยุกต์ ความรู้เขา้ กบั การทางาน หรือมีทศั นคติต่อการฝึ กอบรมว่า เป็ นการพกั ผ่อนผ่อนคลาย ก็จะทาให้ การฝึกอบรมน้นั ไม่มีประสิทธิผลเทา่ ที่ควร การฝึ กอบรมแต่ละหลกั สูตรยอ่ มมีรูปแบบการจดั หรือการรวมกลุ่มแตกต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั วา่ ตวั ของวิทยากรจะนาเสนอในลกั ษณะใดแก่ผูเ้ ขา้ อบรม ซ่ึงสามารถแบ่งเป็ น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ การฝึกอบรมแบบ On the Job Training: OJT และการฝึกอบรมแบบ Off the Job Training แนวทางการอบรม การอบรมในปัจจุบนั น้ี จะเนน้ เรื่องใกลต้ วั มากข้ึน แตกตา่ งกบั ในสมยั ก่อนที่จะนิยมอบรม หรือถ่ายทอดความรู้ในเร่ืองของสภาพแวดลอ้ มและส่ิงท่ีองคก์ ารตอ้ งการจากบุคลากร ซ่ึงจะเห็นได้ จากหนงั สือ ตารา และส่ือต่าง ๆ ท้งั ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ที่ไดแ้ นะนาใหบ้ ุคคลรู้จกั การ สารวจตวั เอง ไม่ใช่การปรับเปล่ียนสภาพแวดลอ้ ม ปรับบุคคลอื่นใหเ้ ขา้ กบั ตวั เอง แต่ให้บุคคลได้ รู้จกั การคน้ หาตวั เองใหพ้ บ วอลเลซ ดี. วตั เทิลส์ (Wallace D. Wattles. 2007 : 61 - 187) โดยแนวทางท่ีถือวา่ เป็นกระแสและไดร้ ับความนิยมสูงสุด คงไม่พน้ หนงั สือเร่ือง The Secret ที่ไดร้ ับการแปลเป็ นภาษาต่าง ๆ มากกมาย จดั เป็ นหนงั สือ ท่ีมีคากล่าวอา้ งจากบุคคลมีชื่อเสียงเป็ น จานวนมาก ไดย้ นื ยนั ถึงส่ิงที่ไดป้ ระสบมา จึงสามารถสรุปใจความจากหนงั สือ The Secret ไดว้ า่ ให้ มนุษยน์ ้นั เห็นคุณค่าของการ เชื่อ ขอ รับ และมีความคิดที่แน่วแน่ ก็จะสามารถประสบความสาเร็จ
47 ไดด้ งั ใจปรารถนา เม่ือมีผูท้ ี่สนใจศาสตร์ดา้ นน้ีเพ่ิมมากข้ึน จึงมีการศึกษาคน้ ควา้ ในเชิงลึก หนงั สือ ที่ไดช้ ่ือวา่ เป็ นตาราเล่มแรกเก่ียวกบั ศาสตร์ดา้ นน้ี คือ หนงั สือที่ช่ือวา่ The Science of Getting Rich หรือในชื่อภาษาไทยวา่ ศาสตร์แห่งความร่ารวย เขียนโดย Wallace D. Wattles สามารถสรุปไดด้ งั น้ี 1. ความมง่ั คงั่ ร่ารวยเกิดจากมโนภาพ นนั่ คือความคิด ความคิดเป็ นบ่อเกิดทาให้ทุก สิ่งทุกอยา่ งในโลกถูกสร้างข้ึน จากความปรารถนาที่อยากมี อยากทา อยากเป็ น แรงปรารถนาน้ีจะ แทรกซึมทะลุทะลวงเขา้ ไปในทุกช่องวา่ งของความคิด ความคิดท่ีไดจ้ ะถูกนามาวาดเป็ นมโนภาพ เพ่ือเสกสรรป้ันแต่งสิ่งใด ๆ ให้เกิดข้ึน มนุษยว์ าดมโนภาพสิ่งต่าง ๆ ข้ึนไดจ้ ากความคิด โดยความคิด ที่กล่าวถึงน้ีเกิดจากความปรารถนาท่ีเขามี เป็นมูลเหตุทาใหส้ ิ่งซ่ึงเขาเฝ้าครุ่นคิดถูกสร้างข้ึนในที่สุด 2. การเพ่ิมความสมบูรณ์พูนสุขกาจดั ความคิดเร่ืองการแก่งแยง่ แข่งขนั หรือเปรียบเทียบ จาไวว้ า่ ตอ้ งสร้างส่ิงน้นั ดว้ ยตนเอง ไม่ใช่เพ่อื แข่งขนั กบั ส่ิงที่เคยถูกสร้างมาแลว้ จากคนอ่ืน 3. ความมงั่ คง่ั ร่ารวยกาลงั เดินทางมาหามองสิ่งที่มีคุณค่าให้มากกว่ามูลค่า จงให้ ของท่ีมีคุณค่าแก่ทุกคน มากกว่าที่รับมาจากเขา และความอยากจะกระตุน้ ให้มีทุกอย่างที่สามารถ นามาใชส้ อยเพ่ือการดารงชีวติ เพ่ือชีวติ ท่ีสมบูรณ์พนู สุข 4. ความกตญั ญูรู้คุณความกตญั ญูรู้คุณเพียงอย่างเดียว สามารถทาให้มองตรงไปยงั สิ่งท่ีตอ้ งการไดท้ ้งั หมด และปกป้องไม่ให้ตกไปอยู่ในความคิดผิด ๆ ท่ีวา่ ทุกอยา่ งในโลกน้ีมีจากดั ความกตญั ญูของจิตใจ ยกย่องสรรเสริญดว้ ยความขอบคุณต่อผูม้ ีพระคุณ นบั เป็ นการปลดปล่อย อยา่ งหน่ึง ซ่ึงจะพุง่ ตรงไปยงั ส่ิงที่ต้งั มน่ั ไว้ ขณะเดียวกนั จะส่งผลใหเ้ กิดปฏิกิริยาตอบสนอง นาส่ิงที่ ตอ้ งการกลบั มาหา คุณค่าของการกตญั ญูไม่ไดอ้ ยู่ท่ีการไดส้ ิ่งของต่าง ๆ เขา้ มาในชีวิต เพ่ือใหช้ ีวิต มีความสุขยิง่ ข้ึนในอนาคตเพียงอยา่ งเดียว ทวา่ หากปราศจากความกตญั ญูรู้คุณ จะไม่มีวนั พึงพอใจ สิ่งต่าง ๆ ท่ีมีอยไู่ ดเ้ ลย 5. คิดในแนวทางตายตวั รู้จกั การสร้างภาพของส่ิงที่ตอ้ งการให้ชดั เจนและแน่นอน ในมโนภาพ เม่ือใดก็ตามที่พยายามแสดงออกถึงส่ิงที่ตอ้ งการ สิ่งท่ีเกิดจากความคิด ส่ิงน้นั จะถูก ทาให้เป็ นไปในแนวทางท่ีสอดคลอ้ งกนั มีจุดมุ่งหมายที่ชดั เจนแน่นอน ไม่สั่นคลอน และมีความ เชื่อมน่ั ต่อส่ิงที่ทาอยเู่ สมอ 6. ปฏิบตั ิตามแนวทางตายตวั นาความคิดท่ีไดท้ ้งั หมด มาลงมือทาเดี๋ยวน้ี และตอนน้ี กระทาอยา่ งจริงจงั โดยไมม่ ีขอ้ อา้ งใด ๆ 7. การกระทาท่ีทรงประสิทธิภาพจงทาทุกวนั ให้สาเร็จท้งั หมด เท่าที่ทาให้สาเร็จลุล่วง ไดใ้ นวนั น้นั ๆ ทาอยา่ งเตม็ ท่ีทุก ๆ วนั 8. จงสร้างให้มากข้ึนอานาจของความคิดที่ยงั ไม่ก่อตวั เป็ นรูปร่าง ทาทุกสิ่งโดยมี ความศรัทธาที่ยดึ มน่ั วา่ เราเป็นบุคคลที่มีนิสัยรักความกา้ วหนา้ และกาลงั ใหค้ วามกา้ วหนา้ แก่ทุกคน จงภูมิใจสิ่งที่ตนเองไดก้ ระทาอยู่
48 9. ฝึกนิสัยรักความกา้ วหนา้ ทางานท้งั หมดที่ทาได้ ทุกวนั และทาแต่ละอยา่ งให้สาเร็จ ลุล่วงสมบูรณ์แบบ ใส่พลงั แห่งความสาเร็จและจุดมุง่ หมายท่ีจะมงั่ คงั่ ร่ารวยลงไปในทุกอยา่ งที่ทา สรุปไดว้ ่า การอบรมมีแนวทางแตกต่างกนั แต่มีวตั ถุประสงค์หลกั เป็ นถ่ายทอดความรู้ ในเรื่องของสภาพแวดลอ้ มและสิ่งท่ีองคก์ ารตอ้ งการจากบุคลากร ซ่ึงจะเห็นไดจ้ ากหนงั สือ ตารา และส่ือต่าง ๆ ท้งั ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ที่ได้แนะนาให้บุคคลรู้จกั การสารวจตวั เอง ไมใ่ ช่การปรับเปลี่ยนสภาพแวดลอ้ ม ปรับบุคคลอื่นใหเ้ ขา้ กบั ตวั เอง ประเภทให้ ผู้เข้ ารับการอบรมมีส่ วนร่ วม การอบรมมีส่วนร่วม มีเทคนิคที่ใช้ในการฝึ กอบรมไดแ้ ก่การประชุมกลุ่มย่อย เป็ นการ แบ่งผูเ้ ขา้ รับการฝึ กอบรมเป็ นกลุ่มยอ่ ยจากกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อยละ 2 - 6 คน เพื่อพิจารณาประเด็น ปัญหา อาจเป็ นปัญหาเดียวกนั หรือต่างกนั ในช่วงเวลาที่กาหนด มีวิทยากรคอยช่วยเหลือทุกกลุ่ม แต่ละกลุ่มตอ้ งเลือกประธานและเลขานุการของกลุ่มเพ่ือดาเนินการ แลว้ นาความคิดเห็นของกลุ่ม เสนอต่อท่ีประชุมใหญ่ 1. การประชุมแบบฟอร์ม เป็ นเทคนิคท่ีใชก้ บั การประชุมกลุ่มใหญ่ ซ่ึงเปิ ดโอกาสให้ ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการฝึ กอบรม โดยการซกั ถามแสดงขอ้ เท็จจริง ปรึกษาหารือแสดงความคิดเห็นกบั วทิ ยากร 2. การประชุมเชิงปฏิบตั ิการ เป็ นรูปแบบของการฝึ กอบรมที่ส่งเสริมให้ผเู้ ขา้ รับการ อบรมเกิดการเรียนรู้ท้งั ดา้ นทฤษฎีและปฏิบตั ิ สามารถนาส่ิงท่ีไดร้ ับไปปฏิบตั ิงานในสถานการณ์จริง ที่ผเู้ ขา้ อบรมปฏิบตั ิอยู่ ลกั ษณะ ของการประชุมเชิงปฏิบตั ิงานจะแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน คือ 2.1 เป็ นการให้ความรู้ของวิทยากร เพ่ือเพิ่มพูนความรู้ความเขา้ ใจให้แก่ผูเ้ ขา้ รับ การอบรม ใหส้ ามารถแกไ้ ขขอ้ ขดั ขอ้ งในการทางาน กาหนดแนวทางในการปฏิบตั ิและปรับปรุงงาน 2.2 เป็ นการปฏิบตั ิการของผูเ้ ขา้ รับการอบรมท่ีจะหารือ อภิปราย ให้ไดแ้ นวทาง แกป้ ัญหาหรือวิธีการปฏิบตั ิงาน โดยอาจจะดาเนินการท้งั กลุ่มใหญ่หรือแบ่งเป็ นกลุ่มยอ่ ย ซ่ึงการ ดาเนินการของส่วนท่ีสอง จะอาศยั หลกั วชิ าการหรือหลกั การท่ีวทิ ยากรไดบ้ รรยายหรืออภิปรายมา ใชป้ ระกอบเป็ นแนวทาง 3. การระดมสมอง เป็นการประชุมกลุ่มเล็กไม่เกิน 15 คน เปิ ดโอกาสให้ทุกคนแสดง ความคิดเห็นอย่างเสรีโดยปราศจากขอ้ จากัดหรือกฎใด ๆ ในหัวขอ้ ใดหัวขอ้ หน่ึงหรือปัญหาใด ปัญหาหน่ึง โดยไม่คานึงวา่ จะถูกหรือผดิ ดีหรือไมด่ ี ความคิดหรือขอ้ เสนอทุกอยา่ งจะถูกจดไวแ้ ลว้ นาไป กลน่ั กรองอีกช้นั หน่ึง ด้งั น้นั พอเริ่มประชุมตอ้ งมีการเลือกประธานและเลขานุการของกลุ่มเสียก่อน 4. การสัมมนา เป็ นการประชุมของผูท้ ี่ปฏิบตั ิอย่างเดียวกันหรือคล้ายกนั แล้วพบ ปัญหาเหมือน ๆ กนั เพ่ือร่วมกนั แสดงความคิดเห็นหาแนวทางปฏิบตั ิในการแกป้ ัญหาทุกคนที่ไป
49 ในการสมั มนาตอ้ งช่วยกนั พูดช่วยกนั แสดงความคิดเห็น ปกติจะบรรยายให้ความรู้พ้ืนฐานก่อนแลว้ แบ่งกลุ่มยอ่ ย จากน้นั นาผลการอภิปรายของกลุ่มยอ่ ยเสนอที่ประชุมใหญ่ 5. การสาธิต เป็ นการแสดงให้ผเู้ ขา้ รับการฝึ กอบรมไดเ้ ห็นการปฏิบตั ิจริงซ่ึงการกระทา หรือปฏิบตั ิจริง จะมีลกั ษณะคลา้ ยการสอนงาน การสาธิตนิยมใชก้ บั หวั ขอ้ วิชาท่ีมีการปฏิบตั ิ เช่น การฝึกอบรมเกี่ยวกบั การใชเ้ คร่ืองมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ นาฏศิลป์ และขบั ร้อง ตารางท่ี 2.2 การเปรียบเทยี บการพฒั นากบั การฝึ กอบรม การพฒั นา การฝึ กอบรม 1. พฒั นาไดท้ ้งั นามธรรมและรูปธรรม 1. ใชไ้ ดเ้ ฉพาะกบั คนหรือสตั ว์ 2. พฒั นาไดท้ ุกเรื่อง 2. เกี่ยวกบั การทางานหรือปฏิบตั ิอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง 3. เพ่ือเพ่ิมพนู ในเรื่องทวั่ ๆ ไปโดยส่วนรวม 3. เพ่ือเพ่ิมพนู ความสามารถในการปฏิบตั ิงานเฉพาะเรื่อง 4. ใชร้ ะยะเวลาต่อเน่ืองยาวนาน 4. ส่วนใหญ่ใชร้ ะยะเวลาส้นั ๆ สรุปไดว้ า่ การอบรมมีเทคนิคที่ใชใ้ นการฝึกอบรม ไดแ้ ก่ การประชุมแบบฟอร์ม การประชุม เชิงปฏิบตั ิการ การระดมสมอง การสมั มนา และการสาธิต ประโยชน์ของการฝึ กอบรม ชลิต จงสาราญ. (2555 : 1) กล่าววา่ ประโยชน์ของการฝึกอบรมใน 3 ส่วนหลกั คือ 1. ระดบั องคก์ ารหรือหน่วยงาน การฝึกอบรมมีประโยชน์ในระดบั องคก์ าร ดงั น้ี 1.1 เพิ่มผลผลิตขององคก์ าร ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม 1.2 ลดค่าใชจ้ า่ ยดา้ นแรงงาน 1.3 สร้างขวญั และกาลงั ใจใหแ้ ก่พนกั งาน 1.4 ลดความสูญเสียวสั ดุอุปกรณ์และค่าใชจ้ ่ายตา่ ง ๆ 1.5 แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ขององคก์ าร ทาใหข้ ่าวสารภายในองคก์ ารดีข้ึน 1.6 ทาใหก้ า้ วหนา้ สามารถแข่งขนั กบั ผอู้ ื่นได้ องคก์ รบรรลุเป้าหมายตามท่ีวางไว้ 2. ระดบั ผบู้ งั คบั บญั ชา 2.1 ช่วยเพมิ่ ผลผลิตในส่วนงานของตนใหส้ ูงข้ึน 2.2 ลดเวลาในการสอนงานและลดเวลาในการพฒั นาพนกั งาน 2.3 ลดภาระในการปกครองบงั คบั บญั ชา 2.4 ช่วยใหพ้ นกั งานตระหนกั ในบทบาท หนา้ ที่และความรับผดิ ชอบของตน 2.5 สร้างความสมั พนั ธ์อนั ดีระหวา่ งผบู้ งั คบั บญั ชากบั พนกั งาน
50 3. ระดบั พนกั งานหรือตวั ผูเ้ ขา้ รับการอบรมเอง การฝึกอบรมมีประโยชน์ ดงั น้ี 3.1 เพมิ่ ความรู้ความสามารถเป็นการเพ่ิมคุณคา่ ใหแ้ ก่ตนเอง 3.2 ลดการทางานผดิ พลาดหรืออุบตั ิเหตุ 3.3 ทาใหม้ ีทศั นคติที่ดีต่อการปฏิบตั ิงาน เพ่ือนร่วมงานและองคก์ าร 3.4 เพ่ิมโอกาสความกา้ วหนา้ ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ความกา้ วหนา้ ในตาแหน่งหนา้ ที่ และรายไดเ้ พมิ่ ข้ึน หรือโอกาสในการเปลี่ยนงาน 3.5 ลดเวลาในการเรียนรู้งาน 3.6 สร้างความรู้สึกที่ดีใหแ้ ก่ตนเอง 3.7 มีความกวา้ งขวางข้ึน การปฏิบตั ิงานสะดวกข้ึน 3.8 ความรู้กวา้ งขวาง ก้าวทันต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ และสังคม ที่เปล่ียนไป สรุปไดว้ ่า ประโยชน์ของการฝึ กอบรมใน 3 ส่วนหลกั คือ ระดบั องค์การหรือหน่วยงาน ระดบั ผบู้ งั คบั บญั ชา และระดบั พนกั งานหรือตวั ผเู้ ขา้ รับการอบรมเอง กระบวนการในการจัดฝึ กอบรม ไดม้ ีผูใ้ ห้องคป์ ระกอบหรือกระบวนการในการฝึ กอบรมไวห้ ลายรูปแบบซ่ึงผเู้ ขียนไดจ้ ดั ตวั อยา่ งไวแ้ ลว้ ในตอนทา้ ย แต่โดยภาพรวมแลว้ จะตอ้ งประกอบดว้ ยข้นั ตอนต่าง ๆ (สถาบนั พฒั นา ขา้ ราชการพลเรือน. 2555 : 1) คือ 1. การมองปัญหาท่ีเกิดข้ึนโดยการคน้ หาปัญหา 2 วธิ ี คือ 1.1 ช้ีเฉพาะเจาะจงปัญหาที่พบเห็นหรือปัญหาท่ีเกิดข้ึนแลว้ 1.2 สารวจเพ่ือหาปัญหา โดยคาดว่าจะเกิดปัญหาในการปฏิบตั ิงานอย่างไรบา้ ง ในอนาคตจากสภาพการณ์ในปัจจุบนั ข้นั ตอนน้ี คือ หาปัญหาก่อนที่จะเกิด 2. หาทางแกไ้ ขปัญหา ซ่ึงมี 2 วธิ ี คือ 2.1 แกไ้ ขโดยการปรับปรุงนโยบาย โครงสร้างหรือวธิ ีอื่น ๆ 2.2 แกไ้ ขโดยการฝึกอบรม 3. ดาเนินการจดั โครงการฝึกอบรม โดยมีข้นั ตอน คือ 3.1 คน้ หาความจาเป็นในการจดั ฝึกอบรม 3.2 วางแผนการฝึกอบรมโดยการจดั โครงการฝึกอบรม 3.3 การบริหารโครงการฝึกอบรมและการอานวยการ 3.4 ประเมินผลการฝึกอบรมและวเิ คราะห์ผล 3.5 คน้ หาความจาเป็นในการฝึกอบรมใหม่
51 สาหรับตวั อยา่ ง กระบวนการฝึกอบรมและความสมั พนั ธ์ของแต่ละข้นั ตอนดงั ภาพท่ี 2.2 การหาความจาเป็ นในการฝึ กอบรม ออกแบบโครงการและหลกั สูตรการฝึกอบรม ดาเนินการจดั ฝึกอบรม ประเมินผลการฝึ กอบรม ภาพที่ 2.2 กระบวนการฝึกอบรมและความสมั พนั ธ์ของแตล่ ะข้นั ตอน สรุปได้ว่า กระบวนการในการจดั ฝึ กอบรม ประกอบด้วยการหาความจาเป็ นในการ ฝึ กอบรม ออกแบบโครงการและหลกั สูตรการฝึ กอบรม ดาเนินการจดั ฝึ กอบรม และประเมินผล การฝึ กอบรม ข้ันตอนในการกาหนดวตั ถุประสงค์ในการฝึ กอบรม กริช อมั โภชน์. (2545 : 2) ได้เสนอแนะข้ันตอนในการกาหนดวตั ถุประสงค์ในการ ฝึกอบรมไวพ้ อสรุปได้ ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 ทบทวนปัญหาที่เป็ นความจาเป็นในการฝึกอบรม ข้นั ท่ี 2 ระบุบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จะตอ้ งเขา้ รับการฝึกอบรม ข้นั ท่ี 3 ระบุภารกิจและพฤติกรรมที่เป็ นปัญหา ข้นั ที่ 4 ระบุถึงวตั ถุประสงค์ข้นั สูงสุด หรือพฤติกรรมตามอุดมคติซ่ึงตอ้ งการให้เกิดข้ึน กบั บุคคลหรือกลุ่มบุคคลในข้นั ท่ี 2 (ตวั อยา่ ง เช่น จากการพิจารณาในข้นั ที่ 1 จนถึงข้นั ท่ี 3 วา่ เจา้ หนา้ ที่ ของงานฝึ กอบรมไม่สามารถปฏิบตั ิภารกิจ ในการกล่าวแนะนา หลกั สูตร หวั ขอ้ วิชา วิทยากร รวมท้งั กล่าวขอบคุณวิทยากร ฯลฯ ต่อผูเ้ ขา้ รับการฝึ กอบรมไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ดงั น้ันวตั ถุประสงค์ ตามอุดมคติ ในข้นั ที่ 4 จึงไดแ้ ก่ การท่ีเราต้องการให้เจา้ หน้าท่ีของงานฝึ กอบรมสามารถ กล่าว แนะนาและขอบคุณ วทิ ยากรไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เป็นตน้ )
52 ข้นั ที่ 5 ระบุถึงสิ่งสนบั สนุนที่จะทาให้สามารถบรรลุวตั ถุประสงค์ข้นั สูงสุดตามข้นั ท่ี 4 กล่าวคือ เป็นการพจิ ารณาถึงสภาพแวดลอ้ มหรือองคป์ ระกอบอ่ืนท่ีจะสนบั สนุนให้การฝึ กอบรม บรรลุวตั ถุประสงคไ์ ด้ เช่น วทิ ยากรท่ีมีความสามารถ ภูมิหลงั ท่ีดีของผทู้ ี่จะเขา้ อบรม หรือนโยบาย ท่ีสนบั สนุนการจดั ฝึกอบรมในเรื่องท่ีเป็นปัญหาดงั กล่าว ข้นั ท่ี 6 ระบุถึงส่ิงที่เป็ นอุปสรรคต่อการดาเนินงานฝึ กอบรมให้บรรลุวตั ถุประสงค์ ตามอุดมคติใน ข้นั ท่ี 4 กล่าวคือ เป็ นการพิจารณาถึงสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ เช่นเดียวกนั ในข้นั ที่ 5 ว่ามีอะไรบา้ งที่เป็ นอุปสรรคหรือขดั ขวางต่อการดาเนินการฝึ กอบรม ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ตาม อุดมคติ เช่น มีงบประมาณจากดั ระยะเวลาอบรมมีจากดั เป็นตน้ ข้นั ที่ 7 กาหนดวตั ถุประสงค์ในการฝึ กอบรมที่เป็ นไปได้ ข้ึน หลงั จากท่ีไดพ้ ิจารณา ถึงวตั ถุประสงค์ตามอุดมคติ ประกอบกบั ส่ิงสนบั สนุนตามข้นั ที่ 5 และสิ่งที่เป็ นอุปสรรคตามขอ้ 6 แลว้ อยา่ งไรก็ตาม ในบางกรณีวตั ถุประสงค์ตามอุดมคติอาจจะ เป็ นวตั ถุประสงค์ท่ีเป็ นไปไดก้ ็ได้ ถา้ หากวา่ มีส่ิงสนบั สนุนทุกอยา่ ง และไม่มีส่ิงท่ีเป็นอุปสรรคต่อวตั ถุประสงคต์ ามอุดมคติเลย ข้นั ที่ 8 กาหนดวตั ถุประสงคป์ ระกอบ ซ่ึงหมายถึง วตั ถุประสงคท์ ่ีเรามิไดค้ าดหวงั มา ก่อน แต่คาดว่าจะเป็ นผลพลอยได้ จากการฝึ กอบรม เช่น การฝึ กอบรมจะช่วยให้ผูเ้ ขา้ อบรมซ่ึงมา จากต่างหน่วยงานกนั เกิดความรู้จกั คุน้ เคยกนั และช่วยใหเ้ กิดการ ประสานงานในอนาคต เป็นตน้ วตั ถุประสงคใ์ นการฝึ กอบรมที่เป็ นไปไดต้ ามข้นั ท่ี 7 และวตั ถุประสงคป์ ระกอบตามข้นั ที่ 8 จะเป็นวตั ถุประสงคข์ องโครงการ ฝึกอบรม ซ่ึงอาจจะไดห้ ลายขอ้ และในการเขียนวตั ถุประสงคน์ ้นั เรามกั จะเอาวตั ถุประสงคป์ ระเภทท่ีเป็นไปไดเ้ ขียนไวใ้ นลาดบั แรก และวตั ถุประสงคป์ ระกอบเขียน ไวใ้ นลาดบั สุดทา้ ย การจัดระดับความสาคญั ของภารกจิ ทเ่ี ป็ นปัญหาในการฝึ กอบรม เมื่อเราทราบถึงภารกิจต่าง ๆ ที่เป็ นปัญหา ซ่ึงเป็ นความจาเป็ นในการฝึ กอบรมแลว้ น้ัน เน่ืองจากมกั จะมีหลายภารกิจ ท่ีควรจดั ฝึ กอบรมเพื่อเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผูเ้ ขา้ อบรม ดงั น้นั ถา้ เราทราบถึงระดบั ความสาคญั ของแต่ละภารกิจ ดงั กล่าว เสียก่อนท่ีจะกาหนดหวั ขอ้ วชิ าท่ีควรจดั ฝึ กอบรม ก็จะทาให้เรามีเคร่ืองช่วยในการตดั สินใจ กาหนดหัวขอ้ วิชา ในหลกั สูตร ฝึ กอบรมได้ อยา่ งเหมาะสม กล่าวคือ ช่วยในการกาหนดวา่ ควรจะมีหวั ขอ้ วิชาใดบา้ ง ใชร้ ะยะเวลาเท่าใด ลาดบั ก่อน-หลงั อยา่ งไร ท้งั น้ี เพื่อให้ผูบ้ ริหารงานฝึ กอบรมสามารถใชท้ รัพยากรในการฝึ กอบรมไดอ้ ยา่ ง คุม้ ค่า ท้งั ในดา้ นของ เงิน เวลา สถานท่ี วสั ดุอุปกรณ์ ตลอดจนค่าเสียโอกาสของบุคลากรท่ีเก่ียวขอ้ ง และตวั ผเู้ ขา้ อบรมเอง วิลเลี่ยม อาร์ แทรซ่ี. (William R. Tracy. 1971 : 86 - 95) นกั วชิ าการทางดา้ นการพฒั นา บุคคลได้ ใหแ้ นวคิดเกี่ยวกบั หลกั เกณฑท์ ่ีสามารถนามาใชใ้ นการจดั ลาดบั ความสาคญั ของภารกิจ ท่ีเป็นความจาเป็นในการฝึกอบรมไว้ ดงั น้ี
53 1. หลกั ความจาเป็ นมูลฐาน เป็ นการพิจารณาวา่ ภารกิจท่ีคาดว่าจะจดั อบรมน้นั เป็ น ความจาเป็ นข้นั พ้ืนฐาน ท่ีผูป้ ฏิบตั ิงาน จะตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ หรือทศั นคติที่เหมาะสม จนสามารถปฏิบตั ิไดเ้ สียก่อน จึงจะสามารถปฏิบตั ิงาน ในหนา้ ท่ีของงาน ในตาแหน่งน้นั ๆ ได้ เช่น ผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ที่หวั หนา้ งานทุกคน จะตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจ เก่ียวกบั หลกั การบริหารงานเบ้ืองตน้ ไม่วา่ จะเป็ นหวั หนา้ งานใดก็ตาม ดงั น้นั หากภารกิจใดเป็ นความจาเป็ นข้นั มูลฐานมาก ก็ควรจะมี ความสาคญั สูง ท่ีจะตอ้ งนามาเป็น หวั ขอ้ วชิ าในการฝึกอบรม 2. หลกั ความยากง่ายในการเรียนรู้ เป็ นการพิจารณาวา่ ภารกิจน้นั ๆ บุคลากรสามารถ ท่ีจะเรียนรู้ดว้ ยตนเองไดย้ าก หรือง่ายเพียงใด หากเป็ นภารกิจที่ยากในการที่บุคลากรจะสามารถเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง หรือเรียนรู้จากการปฏิบตั ิงาน (ท่ีเรียกวา่ On the Job Training) ไดก้ ็สมควรจะตอ้ งจดั การ ฝึกอบรมอยา่ งเป็นทางการได้ และจดั วา่ ภารกิจน้นั ๆ มีระดบั ความสาคญั สูง 3. หลกั ความสาคญั เป็ นการพิจารณาว่าภารกิจน้ัน ๆ มีความสาคญั ต่อความสาเร็จ และความสมบูรณ์ของงานที่ปฏิบตั ิ มากนอ้ ยเพยี งใด ซ่ึงถึงแมภ้ ารกิจดงั กล่าวจะไม่จาเป็ นตอ้ งปฏิบตั ิ บอ่ ย ๆ กต็ าม แต่ถา้ หากไม่สามารถปฏิบตั ิได้ ก็จะทาใหง้ านเสียหาย บกพร่องอยา่ งมาก ดงั น้นั จะถือ วา่ เป็นภารกิจที่มีความสาคญั มาก 4. หลกั ความถ่ีในการปฏิบตั ิ เป็ นการพิจารณาว่าหากภารกิจใดซ่ึงเป็ นความจาเป็ น ในการฝึ กอบรม มีความถ่ีในการปฏิบตั ิ คือ ตอ้ งปฏิบตั ิบ่อย ๆ ก็เหมาะสมในอนั ที่จะจดั การฝึ กอบรมข้ึน แต่ในทางตรงกนั ขา้ ม หากภารกิจใดมีความถ่ีในการปฏิบตั ิน้อย ก็ย่อมมีความจาเป็ นหรือความ เร่งด่วนในการจดั การฝึกอบรมนอ้ ยเช่นกนั 5. หลกั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งค่าใชจ้ า่ ยกบั ผลประโยชนห์ รือความคุม้ ค่า เป็ นการพิจารณา เปรียบเทียบระหวา่ งการใชท้ รัพยากรต่าง ๆ ในการจดั ฝึ กอบรม ไดแ้ ก่ เวลา เงิน วสั ดุอุปกรณ์ สถานที่ และบุคลากร ตลอดจนค่าเสียโอกาส ท่ีผูเ้ ขา้ อบรม ควรจะไดป้ ฏิบตั ิงานต่าง ๆ กบั ผลประโยชน์ที่ไดร้ ับ จากการจดั ฝึ กอบรมเพ่ือทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผูเ้ ขา้ อบรมในการปฏิบตั ิภารกิจ ที่เป็ นความจาเป็ นในการฝึ กอบรมแล้วว่ามีความคุม้ ค่ามากน้อยเพียงใด หากมีความคุม้ ค่าในอนั ท่ีจะฝึ กอบรม เรื่องของภารกิจน้นั ๆ มาก ก็จดั ภารกิจน้นั ให้มีระดบั ความสาคญั ในอนั ที่จะจดั การ ฝึ กอบรมสูง 6. หลกั ศกั ยภาพในการท่ีจะสาเร็จตามวตั ถุประสงค์ เป็ นการพิจารณาถึงพ้ืนฐาน ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ความพร้อม และแรงจูงใจ ของผูท้ ่ีจะเขา้ รับการอบรมเกี่ยวกบั ภารกิจ น้นั ๆ วา่ มีโอกาสท่ีจะสนบั สนุนให้บรรลุ วตั ถุประสงคข์ องการ ฝึ กอบรมไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด ท้งั น้ี เพราะความสาเร็จตามวตั ถุประสงคใ์ นการฝึกอบรมใดกต็ าม ยอ่ มจะตอ้ งมีส่วนสัมพนั ธ์กบั ศกั ยภาพ ด้งั เดิมของผเู้ ขา้ อบรมอยา่ งแน่นอน
54 7. หลกั คุณภาพ เป็ นการพิจารณาวา่ การฝึ กอบรมในภารกิจน้นั ๆ จะช่วยให้บุคลากร ส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยมีการ ปฏิบตั ิงาน ท่ีมีคุณภาพดียิ่งข้ึน มากกวา่ จะช่วยให้คนท่ีปฏิบตั ิงานต่ากวา่ มาตรฐานบางคนปฏิบตั ิงานให้ดีย่ิงข้ึน หลกั ขอ้ น้ีให้ความสาคญั กบั การฝึ กอบรมเกี่ยวกบั ภารกิจ ซ่ึงจะช่วยให้คนส่วนใหญ่ปฏิบตั ิงานได้ดียิ่งข้ึน มากกว่าจะมุ่งฝึ กอบรมบุคลากรเพียงบางคน ซ่ึงจะทาใหเ้ สียเวลาและค่าใชจ้ ่ายโดยไมค่ ุม้ ค่า 8. หลกั ความบกพร่องของภารกิจ เป็ นการพิจารณาถึงความบกพร่องของภารกิจ ซ่ึงเป็ นความจาเป็ นในการฝึ กอบรม วา่ มีมากน้อยเพียงใด หากภารกิจน้นั ๆ มีการปฏิบตั ิบกพร่อง บอ่ ย ๆ ยอ่ มมีความจาเป็นเร่งด่วนที่จะทาการฝึกอบรมมากกวา่ ภารกิจท่ีมีการปฏิบตั ิบกพร่องนอ้ ย 9. หลกั การเกี่ยวกบั ช่วงเวลาคงอยูข่ องพฤติกรรมท่ีเรียนรู้ เป็ นการพิจารณาวา่ หลงั จาก การฝึกอบรมแลว้ ผผู้ า่ นการฝึกอบรม จะสามารถรักษาการเรียนรู้ หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจาก การฝึกอบรมคงอยไู่ ปเป็ นระยะเวลานานสักเท่าใด หากการฝึ กอบรม ในเร่ืองของภารกิจใดสามารถ ทาให้ผูผ้ า่ นการฝึ กอบรมมีพฤติกรรมท่ีเปลี่ยนแปลงอยไู่ ดเ้ ป็ นระยะเวลายาวนาน ยอ่ มมีคุณค่ากว่า การฝึกอบรมท่ีทาใหผ้ ผู้ า่ นการอบรมมีพฤติกรรมเปล่ียนแปลงอยไู่ ดเ้ พียงช่วงระยะเวลาส้ัน 10. หลกั ความจาเป็ นในการฝึ กอบรมเพิ่มเติม เป็ นการพิจารณาว่าภารกิจใดบา้ งที่เมื่อ ไดท้ าการฝึ กอบรมไปแลว้ ก็ยงั มีความจาเป็ นจะตอ้ งจดั ฝึ กอบรมเพ่ิมเติมให้อีก จึงจะทาให้กลุ่มบุคลากร เป้าหมายสามารถปฏิบตั ิงานตามภารกิจหรือหน้าที่น้นั ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ท้งั น้ี เพราะโดยปกติ ภารกิจใดท่ีไดจ้ ดั การฝึ กอบรมไปแลว้ และผูผ้ ่านการฝึ กอบรมสามารถกลบั ไปปฏิบตั ิงานไดท้ นั ที โดยไม่จาเป็ นตอ้ งฝึ กอบรมในเร่ืองน้นั ๆ อีกย่อมมีคุณค่ากวา่ การฝึ กอบรมในภารกิจที่จะตอ้ งมีการ ฝึกอบรมเพิ่มเติมอีก เพราะจะทาใหส้ ิ้นเปลืองทรัพยากรเพ่มิ ข้ึน สรุปไดว้ า่ ภารกิจท่ีเป็นความจาเป็นในการฝึกอบรม ประกอบดว้ ย หลกั ความจาเป็ นมูลฐาน หลกั ความยากง่ายในการเรียนรู้ หลกั ความสาคญั หลกั ความถ่ีในการปฏิบตั ิ หลกั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง คา่ ใชจ้ ่ายกบั ผลประโยชนห์ รือความคุม้ คา่ หลกั ศกั ยภาพในการท่ีจะสาเร็จตามวตั ถุประสงค์ หลกั คุณภาพ หลกั ความบกพร่องของภารกิจ หลกั การเกี่ยวกบั ช่วงเวลาคงอยูข่ องพฤติกรรมที่เรียนรู้ หลกั ความ จาเป็นในการฝึกอบรมเพม่ิ เติม
55 แนวคิดเกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็นไมว่ า่ จะเป็นทางบวกหรือลบ ซ่ึงเป็ นผลจาก ประสบการณ์ ความเชื่อ ซ่ึงจะขอกล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจ ทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ งกบั ความ พงึ พอใจ และวธิ ีการวดั ความพงึ พอใจ ดงั น้ี ความหมายของความพงึ พอใจ มีนกั วชิ าการใหค้ วามหมายของความพงึ พอใจแตกตา่ งกนั ดงั น้ี ราชบณั ฑิตยสถาน. (2546 : 775) ไดใ้ ห้ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง พอใจ ชอบใจ พฤติกรรมเกี่ยวกบั ความพึงพอใจของมนุษย์ คือ ความพยายามท่ีจะขจดั ความตึงเครียด หรือ ความกระวนกระวาย หรือภาวะไม่ได้ดุลยภาพในร่างกาย ซ่ึงเม่ือมนุษยส์ ามารถขจดั สิ่งต่าง ๆ ดงั กล่าวไดแ้ ลว้ มนุษยย์ อ่ มไดร้ ับความพงึ พอใจในสิ่งที่ตนตอ้ งการ กาญจนา อรุณสุขรุจี. (2546 : 5) กล่าววา่ ความพึงพอใจของมนุษย์ เป็ นการแสดงออกทาง พฤติกรรมที่เป็ นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็ นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความ พึงพอใจหรือไม่ สามารถสงั เกตโดยการแสดงออกที่คอ่ นขา้ งสลบั ซบั ซอ้ น และตอ้ งมีส่ิงเร้าที่ตรงต่อ ความตอ้ งการของบุคคล จึงจะทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดงั น้นั การสร้างส่ิงเร้าจึงเป็ นแรงจูงใจ ของบุคคลน้นั ใหเ้ กิดความพึงพอใจในงานน้นั สร้อยตระกูล (ติวยานนท)์ อรรถมานะ. (2550 : 149) กล่าววา่ ความพึงพอใจเป็ นภาวะทาง อารมณ์ ซ่ึงเป็ นผลจากการรับรู้ในผลงานของบุคคลหน่ึงหรือประสบการณ์ในงานของบุคคลหน่ึง ภาวะทางอารมณ์ในทางบวกจะช่วยเสริมให้การทางานตามค่านิยมซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ของบุคคลเป็ นผลได้ ฌฎั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน.์ (2551 : 98) กล่าววา่ ความพึงพอใจ หมายถึง ทศั นคติเกี่ยวกบั งาน ของพนกั งาน ซ่ึงจะเกี่ยวขอ้ งกบั ปัจจยั แวดลอ้ มในงานของเขา ความพึงพอใจในงานยงั เกิดข้ึนจาก ปัจจยั แวดลอ้ มของงาน จากนิยามของนกั วชิ าการดงั กล่าวสรุปไดว้ า่ ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทศั นคติ ที่เกิดจากสภาพ คุณภาพ หรือระดบั ของการแสดงออกถึงความสนใจในสิ่งตา่ ง ๆ และทศั นคติที่บุคคล มีต่อส่ิงน้นั ๆ เกิดจากสภาพของอารมณ์ในทางบวกหรือทางลบจากการประเมินเปรียบเทียบประสบการณ์ ที่ไดร้ ับโดยตรงกบั สิ่งท่ีบุคคลน้นั ๆ คาดหวงั ไว้ และจะแสดงออกเม่ือไดร้ ับการตอบสนองความ ตอ้ งการท้งั ดา้ นวตั ถุและดา้ นจิตใจ
56 ทฤษฎเี กย่ี วกบั ความพงึ พอใจ การสร้างความพึงพอใจในการเรียนรู้ต้งั แต่เริ่มตน้ ใหแ้ ก่ผเู้ รียนทุกคนเกิดความพึงพอใจต่อ การเรียนรู้น้นั มากหรือนอ้ ยข้ึนอยูก่ บั การสร้างส่ิงจูงใจให้เกิดกบั ผูเ้ รียน ซ่ึงในเรื่องน้ีมีผใู้ หแ้ นวคิด ไวห้ ลายท่าน ดงั น้ี อารี พนั ธ์มณี. (2546 : 86 - 87) กล่าววา่ ทฤษฎีสาหรับการสร้างความพึงพอใจมีหลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีท่ีได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียง คือทฤษฎีความต้องการตามลาดบั ข้นั ของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ที่กล่าววา่ มนุษยท์ ุกคนมีความตอ้ งการเหมือนกนั แต่ความตอ้ งการ น้นั เป็นลาดบั ข้นั เขาไดต้ ้งั สมมติฐานเก่ียวกบั ความตอ้ งการของมนุษยไ์ ว้ ดงั น้ี 1. มนุษยม์ ีความตอ้ งการอยเู่ สมอและไม่มีท่ีสิ้นสุด ขณะที่ความตอ้ งการสิ่งใดไดร้ ับ การตอบสนองแลว้ ความตอ้ งการอยา่ งอื่นก็จะเกิดข้ึนอีกไมม่ ีวนั จบสิ้น 2. ความตอ้ งการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็ นส่ิงจูงใจสาหรับพฤติกรรม อื่นต่อไป ความตอ้ งการที่ไดร้ ับการตอบสนองเท่าน้นั ที่เป็ นสิ่งจูงใจของพฤติกรรม 3. ความตอ้ งการของมนุษยจ์ ะเรียงเป็ นลาดบั ข้นั ตามลาดบั ความสาคญั กล่าวคือ เม่ือ ความตอ้ งการในระดบั ต่าไดร้ ับการตอบสนองแลว้ ความตอ้ งการระดบั สูงก็จะเรียกร้องให้มีการ ตอบสนอง ซ่ึงลาดบั ข้นั ความตอ้ งการของมนุษยม์ ี 5 ข้นั ตอนตามลาดบั จากต่าไปสูง ดงั น้ี 3.1 ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็ นความต้องการในเบ้ืองต้น เพื่อความอยูร่ อดของชีวิตเช่น ความตอ้ งการเรื่องอาหาร น้า อากาศ เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ท่ีอยู่ อาศยั และความตอ้ งการทางเพศ ความตอ้ งการทางด้านร่างกายจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน ก็ตอ่ เม่ือความตอ้ งการท้งั หมดของคนยงั ไม่ไดร้ ับการตอบสนอง 3.2 ความตอ้ งการดา้ นความปลอดภยั หรือความมนั่ คง (Security of Safety Needs) ถา้ ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกายไดร้ ับการตอบสนองตามสมควรแลว้ มนุษยจ์ ะตอ้ งการในข้นั สูง ต่อไป คือ เป็ นความรู้สึกท่ีตอ้ งการความปลอดภยั หรือความมนั่ คงในปัจจุบนั และอนาคตซ่ึงรวมถึง ความกา้ วหนา้ และความอบอุ่นใจ 3.3 ความตอ้ งการทางดา้ นสังคม (Social or Belonging Needs) หลงั จากท่ีมนุษยไ์ ดร้ ับ การตอบสนองในสองข้นั ดงั กล่าวแลว้ ก็จะมีความตอ้ งการสูงข้ึนอีกคือ ความตอ้ งการทางสังคมเป็ น ความตอ้ งการท่ีจะเขา้ ร่วมและไดร้ ับการยอมรับในสงั คม ความเป็นมิตรและความรักจากเพอ่ื น 3.4 ความตอ้ งการท่ีจะไดร้ ับการยอมรับนบั ถือ (Esteem Needs) เป็ นความตอ้ งการ ให้คนอื่นยกย่อง ให้เกียรติ และเห็นความสาคญั ของตนเอง อยากเด่นในสังคม รวมถึงความสาเร็จ ความรู้ความสามารถ ความเป็นอิสระ และเสรีภาพ
57 3.5 ความตอ้ งการความสาเร็จในชีวิต (Self-Actualization) เป็ นความตอ้ งการระดบั สูงสุดของมนุษย์ ส่วนมากจะเป็ นการอยากจะเป็ นอยากจะไดต้ ามความคิดของตนหรือตอ้ งการจะ เป็นมากกวา่ ที่ตวั เองเป็นอยใู่ นขณะน้นั จากทฤษฎีความพึงพอใจสรุปไดว้ ่าการสร้างความพึงพอใจเป็ นแรงจูงใจในการทางาน องคป์ ระกอบที่เป็ นปัจจยั จูงใจเป็ นองคป์ ระกอบที่สาคญั ทาใหค้ นเกิดความสุขในการทางาน โดยมี ความสัมพนั ธ์กบั กรอบแนวคิดที่วา่ เม่ือคนไดร้ ับการตอบสนองดว้ ยปัจจยั ชนิดน้ีจะช่วยเพ่ิมแรงจูงใจ ในการทางาน ผลท่ีตามมาก็คือ คนจะเกิดความพึงพอใจในงาน สามารถทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ส่วนปัจจยั ค้าจุน หรือสุขศาสตร์ทาหนา้ ที่เป็ นตวั ป้องกนั มิให้คนเกิดความไม่เป็ นสุข หรือไม่พึงพอใจ ในงานข้ึน ช่วยทาใหค้ นเปลี่ยนเจตคติจากการไม่อยากทางานมาสู่ความพร้อมที่จะทางาน การวดั ความพงึ พอใจ ปรียาพร วงคอ์ นุตรโรจน์. (2553 : 145 - 146) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการวดั ความพึงพอใจ งานมีดงั น้ี 1. เพ่อื จะไดเ้ ขา้ ใจถึงปัจจยั ต่าง ๆ ท้งั ดา้ นส่วนบุคคล ดา้ นงาน ดา้ นการจดั การที่เกี่ยวกบั ความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจในการทางาน 2. เพ่ือจะได้เข้าใจถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างความพึงพอใจในการทางานกับการ ปฏิบตั ิงานวา่ อะไรเป็นสาเหตุใหค้ นทางานไดด้ ี 3. เพื่อให้ได้เข้าใจถึงหน่วยงาน ลักษณะใดท่ีคนพึงพอใจและไม่พอใจ รวมท้ัง เกี่ยวกบั การจดั และการบริหารหน่วยงานน้นั 4. เพ่ือจะไดเ้ ขา้ ใจถึงผลจากการไม่พึงพอใจงาน เช่น การขาดงาน ลางาน และการ ออกจากงานรวมท้งั ศึกษาถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการศึกษาต่อ การจดั สวสั ดิการ การบริการต่าง ๆ วา่ จะสามารถสร้างความพึงพอใจใหก้ บั การทางานไดอ้ ยา่ งไร พงศ์ หรดาล. (2540 : 40 - 62) กล่าววา่ เครื่องมือท่ีใชว้ ดั ความพึงพอใจในการทางานเป็ น ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อการทางานในทางบวกและเป็ นสุขของบุคคลท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิงาน ตลอดจนทาให้เกิดความพึงพอใจ มีความกระตือรือร้น มีความมุ่งมน่ั มีขวญั กาลงั ใจในการทางาน ความพึงพอใจเป็ นผลท่ีเกิดจากทศั นคติหลายประการท่ีคนมีต่องานของเขา ต่อองค์ประกอบอ่ืน ๆ ท่ีมีความสัมพนั ธ์กบั งานต่อชีวติ ของเขาเอง โดยทวั่ ๆ ไป เคร่ืองมือวดั ความพึงพอใจตามลกั ษณะ ที่ควรจะถามแบง่ ได้ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1. แบบสารวจปรนยั (Objective Survey) เป็ นแบบวดั ท่ีมีคาถามและคาตอบให้เลือก โดยที่ผตู้ อบ ตอบตามท่ีตนเองมีความคิดเห็นและความรู้สึกเป็ นขอ้ มูลที่ไดร้ ับท่ีสามารถวเิ คราะห์ได้ เชิงปริมาณ
58 2. แบบสารวจเชิงพรรณนา (Descriptive) เป็ นแบบสอบถามท่ีให้ผูต้ อบ ตอบด้วย คาพูดและขอ้ เขียนของตนเอง เป็ นแบบสัมภาษณ์แบบปลายเปิ ด ใหต้ อบโดยอิสระเป็ นขอ้ มูลท่ีได้ เชิงคุณภาพ จากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า ความพึงพอใจเกิดข้ึนหรือไม่น้นั ข้ึนอยู่กบั กระบวนการ จดั การเรียนรู้ ประกอบกบั ระดบั ความรู้สึกของนกั เรียนเพราะความพึงพอใจเป็ นลกั ษณะเฉพาะ ของ แตล่ ะบุคคลเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก การวดั จึงวดั จากบุคลิกภาพ แรงจูงใจการรับรู้ แตม่ ีขอ้ แตกตา่ งท่ีการวดั ความพงึ พอใจสามารถกระทาไดห้ ลายวธิ ีเช่น การสังเกต การรายงานตนเอง การสัมภาษณ์ เทคนิคจินตนาการ การวดั ทางสรีระและแบบสอบถาม ท้งั น้ีข้ึนอยูก่ บั ความสะดวก ความเหมาะสมตลอดจนจุดประสงคข์ องการวดั จึงจะส่งผลใหก้ ารวดั มีประสิทธิภาพน่าเช่ือถือ งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง การวิจยั เร่ือง การพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผูว้ ิจยั ได้ศึกษา งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งเพื่อเป็นแนวทางในการดาเนินงาน ดงั น้ี งานวจิ ัยในประเทศ อคั รเดช ศรีมณีพนั ธ์. (2547 : 91) ไดท้ าการวิจยั เพื่อพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) รูปแบบสื่อประสมเพื่อการฝึ กอบรม เร่ือง การใช้ส่ือการสอน สาหรับบุคลากรมหาวิทยาลยั ธุรกิจ บณั ฑิตย์ ผลการวิจยั พบวา่ การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) รูปแบบสื่อประสมเพื่อการ ฝึ กอบรม เรื่อง การใช้ส่ือการสอน มีประสิทธิภาพ 81.78/82.17 และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ผลการทดสอบก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 อิศราพร ชยั งาม. (2553 : 87) ได้ทาการวิจยั เพ่ือการพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การเรียนรู้และกระบวนการส่ือความหมายโดยการใชผ้ งั มโนทศั น์ ผลการวิจยั พบว่า ประสิทธิภาพ ของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองการเรียนรู้และกระบวนการสื่อความหมาย โดยการใชผ้ งั มโนทศั น์ มีค่าเท่ากบั 81.55/80.74 สูงกวา่ เกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั ศึกษาหลงั เรียน สูงกว่าก่อนเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.01 และความพึงพอใจ ของนกั ศึกษา ที่มีต่อหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เร่ืองการเรียนรู้และกระบวนการส่ือความหมาย โดยการ ใชผ้ งั มโนทศั นอ์ ยใู่ นระดบั มาก พรรณธิภา เพชรบุญมี. (2550 : 99) ไดท้ าการวจิ ยั เร่ือง การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ วิชาโครงสร้างขอ้ มูล ผลการทดลองพบว่า ผูเ้ รียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีดีข้ึน จากการทา
59 แบบฝึ กหัดและฝึ กทบทวนนอกเวลาเรียน ซ่ึงสามารถสรุปไดว้ า่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างข้ึน ในการวิจยั คร้ังน้ีมีคุณภาพเหมาะสมที่จะนาไปใช้เป็ นส่ืออีกรูปแบบหน่ึงท่ีใช้ประกอบการเรียน การสอน และสามารถลดขอ้ จากดั ของเวลา และสถานที่ของการเรียน และสามารถตอบสนองความ ตอ้ งการของผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เสาวลกั ษณ์ ญาณสมบตั ิ. (2545 : 78) ไดท้ าการวจิ ยั เรื่องการพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เรื่องนวตั กรรมการสอนที่ยึดผูเ้ รียนเป็ นสาคญั วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพื่อพฒั นาและหา ประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เรื่องนวตั กรรมการสอนท่ียึดผเู้ รียนเป็ นสาคญั ผลการวิจยั พบวา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของครูท่ีเรียนจากหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เร่ือง นวตั กรรมการสอนที่ยดึ ผเู้ รียนเป็นสาคญั หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิต นวอร แจ่มขา. (2545 : 68) การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) แบบโปรแกรม เร่ืองเทคโนโลยีสารสนเทศ สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1 การวิจยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงค์ เพ่ือ 1)พฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) แบบโปรแกรม เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) หา ประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) แบบโปรแกรม ตามเกณฑ์ 80/80 3) เปรียบเทียบ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของผเู้ รียนท่ีเรียนจากหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) แบบโปรแกรมระหวา่ ง ก่อนเรียนและหลงั เรียน ผลการวจิ ยั พบวา่ ประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) แบบ โปรแกรมเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าเท่ากบั 81.38/80.63 สูงกวา่ เกณฑท์ ี่กาหนดไว้ และผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนกั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนมีความแตกตา่ งกนั ท่ีระดบั .01 อมรรัตน์ สว่างเกตุ. (2553 : 67) ไดท้ าการวิจยั เร่ืองความพึงพอใจของนกั ศึกษาต่อการ จดั การเรียนการสอนดว้ ยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ในรายวิชาการพยาบาลมารดา ทารก และ การผดุงครรภ์ 1 คะแนนความพึงพอใจของนกั ศึกษาต่อหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์โดยภาพรวมอยู่ใน ระดบั มาก เมื่อพิจารณารายดา้ นพบวา่ ดา้ นการนาไปใช้ มีคะแนนมากท่ีสุด อยู่ในระดบั มาก และ เม่ือพจิ ารณารายขอ้ พบวา่ ขอ้ รายการที่มีคะแนนมากท่ีสุด คือ เน้ือหาตรงกบั ประเด็นความรู้ที่ความ ตอ้ งการ อยู่ในระดบั ดี ขอ้ เสนอแนะผูส้ อนควรใชห้ นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ในรูปของส่ือเสริมการ เรียนการสอนโดยผูเ้ รียนสามารถใชเ้ รียนด้วยตนเองตามความตอ้ งการ ทุกเวลา ทุกสถานที่ และ ควรมีการสร้างและพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ใหส้ ามารถมีปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งผูเ้ รียนและผสู้ อน ใหม้ ากข้ึน พระมหาโชคชัย ทะมานนท์ และคณะ. (2548 : 98) ได้พฒั นาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เร่ือง ขา้ วแคบ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาหรับนกั เรียน ช่วงช้นั ที่ 2 กลุ่มตวั อยา่ งคือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2/2547 โรงเรียนบา้ นชาสอง อาเภอพิชัย จงั หวดั อุตรดิตถ์ พบว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่สร้างข้ึนมีประสิทธิภาพ
60 86.5/90 สูงกวา่ เกณฑท์ ี่กาหนด 80/80 ถือวา่ อยใู่ นระดบั คุณภาพดี และการวเิ คราะห์ความคิดเห็นของ นกั เรียนเกี่ยวกบั บทเรียนอยใู่ นเกณฑด์ ีมาก วชั ระ แจ่มจารัส. (2549 : 69) ไดท้ าการวิจยั เร่ืองการพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์มลั ติมีเดีย เสริมการอ่านออกเสียงภาษาองั กฤษ ไดร้ ูปแบบหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ มลั ติมีเดีย เสริมการอ่าน ออกเสียงภาษาองั กฤษ ที่มีรูปแบบท่ีเหมาะสม และจากการประเมินบทเรียนจากแบบสอบถามความ คิดเห็นของผูเ้ รียน พบว่าหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ มลั ติมีเดีย เสริมการอ่านออกเสียงภาษาองั กฤษ มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก เสาวลกั ษณ์ ญาณสมบตั ิ. (2545 : 1) ไดท้ าการวจิ ยั เร่ือง การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง นวตั กรรมการสอนที่ยดึ ผเู้ รียนเป็นสาคญั ผลการวิจยั พบวา่ ครูผูส้ อนในโรงเรียน สังกดั สานกั งาน ประถมศึกษาอาเภอพระนครศรีอยุธยา ที่เรียนจากหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องนวตั กรรมการสอน ที่ยดึ ผเู้ รียนเป็นสาคญั มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ จากการศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู พบวา่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ที่จะเร่ิมเขา้ มามีบทบาทมากข้ึน ดว้ ยความสะดวกสบายของท้งั การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ความสะดวกในการพกพา ขนาด ที่เล็ก และสามารถอ่านได้ทุกที่ทุกเวลาท่ีมีอุปกรณ์พกพาที่สามารถอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ได้ สามารถสร้างให้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ นอกจากจะมีสีสันสวยงามเพื่อง่ายต่อการอ่าน และ ทาความเขา้ ใจแลว้ ยงั สามารถใส่เสียง ภาพเคล่ือนไหว สร้างสารบญั (Link) หรือการคลิกเพื่อส่ง E-Mail ไปยงั ผเู้ ขียน หรือ E-Mail ใน E-book ก็ได้ งานวจิ ัยต่างประเทศ จิลลเ์ ลอร์. (Giller. 1992 : 139 - 149) ไดศ้ ึกษา การแบ่งประเภทของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ไวด้ งั น้ี 1) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ประเภทบรรจุหรือบนั ทึกขอ้ มูล เน้ือหาสาระ เป็ นหมวดวชิ า หรือรายวชิ าเฉพาะเป็ นหลกั (Some Particular Subject Area) 2) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ประเภทบรรจุขอ้ มูล เน้ือหาสระเป็ นเรื่องหรือช่ือเรื่องเฉพาะเร่ือง (A Particular Topic Area) เป็ นหลกั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ประเภทน้ีจะมีเน้ือหาใกลเ้ คียงกบั ประเภทแรกแต่ขอบข่าย แคบกวา่ หรือเฉพาะเจาะจงมากกวา่ 3) อิเล็กทรอนิกส์ประเภทบรรจุขอ้ มูล เน้ือหาสาระ และเทคนิค การนาเสนอข้นั สูงที่มุง่ เนน้ เพ่ือสนบั สนุนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนหรือการฝึ กอบรม (Support of Learning and Trading Activities) 4) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ประเภทบรรจุขอ้ มูล เน้ือหา สาระเนน้ เพอ่ื การทดสอบหรือสอบวดั เพ่อื ใหผ้ ูอ้ ่านไดว้ ดั ระดบั ความรู้ โดเมน. (Doman. 2001 : 74) ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) จะมีอุปกรณ์ ที่ใชอ้ ่านขอ้ ความอิเล็กทรอนิกส์หรือหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงเป็ นข้นั ตอนหน่ึงในการพฒั นาเครื่องมือ
61 ทางเทคโนโลยีที่ผลิตข้ึน ซ่ึงเป็ นส่ิงที่ทา้ ทายเพ่ือการใช้หนงั สือร่วมกันโดยผ่านการส่ือสารทาง อินเตอร์เน็ต โดยเป็ นอุปกรณ์พ้ืนฐานของไมโครโปรเซสเซอร์ โดยในงานวิจยั ไดก้ ล่าวถึงประวตั ิ ของขอ้ ความอิเล็กทรอนิกส์แบบส้ัน ๆ และคาแนะนาเกี่ยวกบั ตลาดของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงความสะดวก และชดั เจนในการใชเ้ ป็นปัญหาท่ีพบในการใชห้ นงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เฮจ. (Hage. 2006 : 97) ไดศ้ ึกษาเก่ียวกบั เทคโนโลยหี นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ซ่ึงจะ เป็นการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลข่าวสารท่ีอยูใ่ นรูปของเอกสารดิจิตอล ในการอ่านหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ น้นั จะตอ้ งใชอ้ ุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ซ่ึงหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์มีการเติบโตอยา่ ง ช้า ๆ และผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประสิทธิภาพของระดบั การใช้งานกบั อายุมีความ แตกต่างกนั ทางสถิติ และประสิทธิภาพของระดบั การใชง้ านกบั เพศไมม่ ีความแตกตา่ งทางสถิติ จา ก ผล ก า รวิจัย ที่เกี่ ย วกับ ก ารนา คอม พิวเตอร์ ช่ วย สอนหรื อหนังสื ออิ เล็ก ท รอนิ ก ส์ (E-book) มาช่วยในการสอนท้งั ในประเทศและต่างประเทศพบวา่ การใชห้ นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มาใชส้ อนทาให้ผูเ้ รียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยเฉล่ียสูงกวา่ การสอนแบบปกติ และ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั การเรียนโดยใชห้ นงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สูงกวา่ ก่อนการเรียน จึงสรุปไดว้ า่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เป็ นส่ือท่ีมีบทบาทสาคญั ในการช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการ เรียนรู้ ตามผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั ได้อย่างมีประสิทธิภาพผูเ้ รียนโดยใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) นกั เรียนมีเจตคติที่ดี มีความพึงพอใจและมีความกระตือรือร้นต่อการเรียน โดยใชห้ นงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) จะเห็นไดว้ า่ จะเป็นเทคโนโลยมี ีบทบาทสาคญั ในดา้ นการศึกษา โดยเฉพาะ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนทางไกล การทดสอบทาแบบฝึ กหดั การเรียนเพ่ิมเติม และน่าจะเป็ น ส่วนหน่ึงที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองได้ตลอดชีวิต ดงั น้ันผูศ้ ึกษาจึงสนใจท่ีจะนา หลกั การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มาสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เพ่ือพฒั นา คู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินกำรวจิ ัย การวิจยั เรื่อง การพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 คร้ังน้ี ผูว้ ิจยั ได้ ดาเนินการตามลกั ษณะของการวจิ ยั พฒั นา (Research and Development) ซ่ึงมีลาดบั ข้นั ตอนดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 ศึกษาความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้ันที่ 2 การพัฒนาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้ันท่ี 3 ทดลองใช้คู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้นั ท่ี 1 ศึกษำควำมต้องกำรคู่มือกำรฝึ กอบรมกำรผลติ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ (E-book) สำหรับครู สังกดั สำนักงำนเขตพืน้ ทกี่ ำรศึกษำประถมศึกษำสุรำษฎร์ธำนี เขต 3 วตั ถุประสงค์ เพื่อศึกษาความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ประชำกรทีศ่ ึกษำและกลุ่มตัวอย่ำง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ ครูผูส้ อน สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ปี การศึกษา 2555 ท้งั สิ้น จานวน 1,623 คน 2. กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษา ไดแ้ ก่ ครูผสู้ อน สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ไดก้ ลุ่มตวั อย่าง ท้งั สิ้น 312 คน ไดจ้ ากการเทียบตารางสัดส่วน ของตารางเครจซ์ ีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan. 1970 : 607 - 610 อา้ งถึงใน พิสณุ ฟองศรี. 2552 : 109) เครื่องมือทใี่ ช้ในกำรวจิ ัย 1. ลกั ษณะเครื่องมือ เป็ นแบบสอบถามความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิต หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา
62 สุราษฎร์ธานี เขต 3 มีลกั ษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยที่สุด 2. วธิ ีสร้างเครื่องมือ 2.1 ศึกษาคน้ ควา้ จากทฤษฎีแนวคิด เอกสาร และงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั หนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) และพฒั นาส่ือการสอน ตลอดจนการสัมภาษณ์บุคคลท่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหาการสร้างสื่อการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ ครูผสู้ อน ผบู้ ริหารโรงเรียน เพือ่ เป็นแนวทางในการวจิ ยั 2.2 สร้างแบบสอบถามตามขอบขา่ ยของเน้ือหาที่กาหนดตามโครงสร้าง 2.3 นาแบบสอบถามที่สร้างเสร็จเสนออาจารยท์ ่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ตรวจสอบ เพื่อไดข้ อ้ เสนอแนะแลว้ นามาปรับปรุงแกไ้ ข 2.4 นาแบบสอบถามไปหาความเท่ียงตรง (Validity) ของเครื่ องมือโดยนา แบบสอบถามท่ีสร้างข้ึนไปให้ผูท้ รงคุณวุฒิหรือผูเ้ ช่ียวชาญ 5 ท่าน ที่มีคุณสมบตั ิดงั น้ี เป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญ การบริหารการศึกษา จานวน 3 คน ครูชานาญการพิเศษวชิ าภาษาไทย จานวน 1 คน สาขาการวดั และ ประเมินผลการศึกษา จานวน 1 คน ไดพ้ ิจารณาตรวจสอบ ความถูกตอ้ ง ความเหมาะสม ท้งั น้ี เพื่อ ใหเ้ กิดความเท่ียงตรง (Validity) และมีความชดั เจนโดยใชว้ ธิ ีการหาค่าความสอดคลอ้ งแบบ IOC 2.5 นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กบั ประชากรท่ีไม่ใช่กลุ่มตวั อยา่ ง ที่เป็นครูผสู้ อน สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จานวน 30 คน เพื่อนาไปหาค่าความเชื่อมนั่ (Reliability) โดยคานวณหาค่าสัมประสิทธ์ิอลั ฟ่ า (Alpha-Coefficient) ตามวธิ ีการของครอนบคั (Cronbach. อา้ งถึงใน พวงรัตน์ ทวรี ัตน.์ 2543 : 125 - 126) 2.6 นาแบบสอบถามท่ีผา่ นการทดลองใชแ้ ละปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปเก็บขอ้ มูลกบั กลุ่มตวั อยา่ งในการวจิ ยั คร้ังน้ี กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. ผูว้ ิจยั ดาเนินการติดต่อบณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฎั สุราษฎร์ธานี เพื่อขอ หนงั สือแนะนาตวั จากทางมหาวิทยาลยั ในการขอขอ้ มูลจากบุคลากรและหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การวจิ ยั 2. ผูว้ ิจยั เตรียมแบบสอบถามให้ครบถว้ นสมบูรณ์และเพียงพอกบั จานวนกลุ่มตวั อย่าง หรือผตู้ อบแบบสอบถาม 3. ผวู้ ิจยั นาแบบสอบถามไปทาการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตวั อย่างท่ีกาหนดไว้ ซ่ึงผวู้ จิ ยั จะทาการช้ีแจงตอ่ กลุ่มตวั อยา่ งใหเ้ ขา้ ใจถึงวตั ถุประสงคแ์ ละวธิ ีการตอบแบบสอบถาม 4. ผวู้ จิ ยั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากการตอบแบบสอบถามคืนจากกลุ่มตวั อยา่ งดว้ ยตนเอง 5. เม่ือไดแ้ บบสอบถามกลบั คืนมาแลว้ ผวู้ จิ ยั ทาการลงรหสั (Coding) ในแบบสอบถาม ทุกชุดที่ไดท้ าการเก็บรวบรวมขอ้ มูลแลว้
63 กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูลงานวิจยั คร้ังน้ี จะเป็ นการนาขอ้ มูลจากแบบสอบถามมาประมวลผล ดว้ ยคอมพิวเตอร์ โดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Social Science) for Windows ดงั น้ี โดยใชส้ ถิติในการวเิ คราะห์ ดงั น้ี 1. ค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) สาหรับวิเคราะห์ขอ้ มูลทว่ั ไป ของผตู้ อบแบบสอบถาม 2. ใช้สถิติค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพ่ือ วเิ คราะห์ความตอ้ งการคู่มือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 เกณฑ์พิจารณาระดบั ความตอ้ งการฝึ กอบรมหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เพ่ือพฒั นา สื่อการสอน โดยมีระดับการให้คะแนนและเกณฑ์การแปลความหมายของระดับคะแนน (สิน พนั ธ์พินิจ. 2553 : 152 - 155) ดงั น้ี ใหค้ ะแนนระดบั 5 หมายถึง มากที่สุด ใหค้ ะแนนระดบั 4 หมายถึง มาก ใหค้ ะแนนระดบั 3 หมายถึง ปานกลาง ใหค้ ะแนนระดบั 2 หมายถึง นอ้ ย ใหค้ ะแนนระดบั 1 หมายถึง นอ้ ยที่สุด การแปลความหมายของแบบสอบถามโดยเกณฑด์ งั น้ี ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความตอ้ งการมากท่ีสุด ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความตอ้ งการมาก ค่าเฉล่ีย 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความตอ้ งการปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความตอ้ งการนอ้ ย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีความตอ้ งการนอ้ ยที่สุด
64 ข้นั ที่ 2 พฒั นำคู่มือกำรฝึ กอบรมกำรผลติ หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สำหรับครู สังกดั สำนักงำนเขตพืน้ ทก่ี ำรศึกษำประถมศึกษำสุรำษฎร์ธำนี เขต 3 วตั ถุประสงค์ เพื่อพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้นั ตอนในกำรดำเนินกำร ข้นั ตอนในการดาเนินการพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผูว้ ิจยั ดาเนินการ พฒั นาคูม่ ือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีลาดบั ข้นั ตอน ดงั น้ี 1. พิจารณาขอ้ มูลความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จากข้นั ตอนท่ี 1 เพ่ือเป็ นแนวทางในการพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู โดยกรณีปัญหาและความตอ้ งการในระดบั มากถึงมากท่ีสุด จะคงไว้ ส่วนปัญหาและความตอ้ งการ ปานกลางถึงนอ้ ยท่ีสุดจะพฒั นาแนวทางไวใ้ นคู่มือการฝึกอบรมหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) 2. ผวู้ ิจยั กาหนดคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับ ครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยมีกรอบเน้ือหาสาระ เกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) 3. ตรวจสอบโครงร่างคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยผูเ้ ช่ียวชาญตาม เทคนิค SMS (Subject Matter Specialist) นาผลที่ตรวจสอบได้มาวิเคราะห์ โดยใช้สถิติค่าเฉล่ีย (Arithmetic Mean) และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวดั ระดบั โดยการเปรียบเทียบ กบั เกณฑ์น้าหนกั เฉล่ีย (Weight Mean Score: WMS) ค่าคะแนนที่ไดน้ ามาแปลความหมายตามเกณฑ์ ท่ีกาหนด (ประคอง กรรณสูตร. 2540 : 80 - 81) ไวด้ งั น้ี เกณฑ/์ คะแนน ระดบั ความเหมาะสม 4.21 - 5.00 หมายถึง สาหรับขอ้ ความที่เหมาะสมมากท่ีสุด 3.41 - 4.20 หมายถึง สาหรับขอ้ ความที่เหมาะสมมาก 2.61 - 3.40 หมายถึง สาหรับขอ้ ความที่เหมาะสมปานกลาง 1.81 - 2.60 หมายถึง สาหรับขอ้ ความที่เหมาะสมนอ้ ย 1.00 - 1.80 หมายถึง สาหรับขอ้ ความที่เหมาะสมนอ้ ยที่สุด
65 4. ปรับปรุงแกไ้ ขโครงร่างคูม่ ือ ปรับปรุ งแก้ไขโครงร่างคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยการ คดั เลือกขอ้ ความท่ีมีค่าเฉลี่ยต้งั แต่ 3.50 ข้ึนไป และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่เกิน 1.00 ไว้ และ นาขอ้ เสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ มาแก้ไข ปรับปรุงให้เหมาะสมท่ีจะนามาใช้พฒั นาหลกั สูตร ฝึกอบรม ต่อไป ข้นั ท่ี 3 ฝึ กอบรมกำรผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สำหรับครู สังกดั สำนักงำนเขตพืน้ ท่ี กำรศึกษำประถมศึกษำสุรำษฎร์ธำนี เขต 3 วตั ถุประสงค์ เพ่ือฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขต พ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ประชำกรและกล่มุ ตัวอย่ำง ประชากรและกลุ่มตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั ได้แก่ ครูผูส้ อน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ปี การศึกษา 2555 โดยผูว้ ิจยั คดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ งแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) ตามความสมคั รใจ จานวน 40 คน เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในกำรฝึ กอบรม 1. คู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกัด สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2. คูม่ ือวทิ ยากร 3. แผนปฏิบตั ิการฝึ กอบรมตามคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 4. สื่อประกอบ สาหรับการบรรยายสรุปและแลกเปล่ียนเรียนรู้ 5. แบบทดสอบก่อนฝึกอบรมและหลงั การฝึกอบรม 6. แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 แบบแผนกำรฝึ กอบรม การวิจยั คร้ังน้ีเป็ นการวจิ ยั เชิงทดลอง ศึกษารูปแบบการทดลอง (Pre-Experimental Designs or Non-designs) แบบกลุ่มตวั อยา่ งอยา่ งเดียว มีการทดสอบก่อนอบรมและหลงั อบรม (One - Group Pretest - Post - test Design) (มาเรียม นิลพนั ธุ์. 2547 : 144) ดงั น้ี
66 สอบก่อน ทดลอง สอบหลงั O1 X O2 กาหนดให้ O1 หมายถึง การทดสอบก่อนฝึกอบรม X หมายถึง การทดลองใชค้ ูม่ ือหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) O2 หมายถึง การทดสอบหลงั ฝึกอบรม กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผวู้ จิ ยั เก็บรวบรวมขอ้ มูลการฝึกอบรมการใชค้ ู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ตาม กระบวนการ ดงั น้ี 1. แนะนาข้นั ตอนการทดลองคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ให้แก่ ผเู้ ขา้ ฝึกอบรม 2. ทดสอบวดั ความรู้ก่อนฝึ กอบรมเกี่ยวกบั การผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ความรู้ก่อนการฝึกอบรมใชเ้ วลา 1 ชวั่ โมง 3. ดาเนินการฝึ กอบรมการใช้คู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 4. เมื่อเสร็จสิ้นการฝึ กอบรมทาการทดสอบวดั ความรู้หลงั ฝึ กอบรมเก่ียวกบั การผลิต หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยใชแ้ บบทดสอบชุดเดียวกนั กบั ท่ีใชท้ ดสอบก่อนฝึ กอบรมใช้ เวลา 1 ชว่ั โมง 5. หลงั จากเสร็จสิ้นการฝึกอบรมการใชค้ ู่มือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดาเนินการ สอบถามความพึงพอใจที่มีตอ่ คูม่ ือการฝึ กอบรม และความพึงพอใจที่มีต่อการอบรมโดย ใชแ้ บบวดั ความพึงพอใจ กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูลงานวิจยั คร้ังน้ี จะเป็ นการนาขอ้ มูลจากแบบสอบถามมาประมวลผล ดว้ ยคอมพิวเตอร์ โดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Social Science) for Windows ดงั น้ี โดยใชส้ ถิติในการวเิ คราะห์ ดงั น้ี 1. สถิติท่ีใช้ในการตรวจสอบสมมติฐาน ทดสอบความแตกต่างของคะแนนวดั ผล ก่อนและหลังการฝึ กอบรม โดยทดสอบค่าที (t-test) แบบกลุ่มที่ไม่อิสระ (t-dependent) ใช้สูตร (พสิ ณุ ฟองศรี. 2549 : 174)
67 2. ใช้สถิติค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อ วเิ คราะห์ความพึงพอใจที่มีตอ่ คูม่ ือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 เกณฑพ์ ิจารณาความพงึ พอใจที่มีต่อคู่มือการฝึ กอบรมและความพึงพอใจท่ีมีต่อการอบรม การผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยมีระดบั การให้คะแนนและเกณฑก์ ารแปลความหมาย ของระดบั คะแนน (สิน พนั ธ์พนิ ิจ. 2553 : 152 - 155) ดงั น้ี ใหค้ ะแนนระดบั 5 หมายถึง พอใจในระดบั มากท่ีสุด ใหค้ ะแนนระดบั 4 หมายถึง พอใจในระดบั มาก ใหค้ ะแนนระดบั 3 หมายถึง พอใจในระดบั ปานกลาง ใหค้ ะแนนระดบั 2 หมายถึง พอใจในระดบั นอ้ ย ใหค้ ะแนนระดบั 1 หมายถึง พอใจในระดบั นอ้ ยท่ีสุด การแปลความหมายของแบบสอบถามความพึงพอใจ ใชเ้ กณฑด์ งั น้ี ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความพงึ พอใจมากที่สุด ค่าเฉล่ีย 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความพงึ พอใจมาก ค่าเฉล่ีย 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความพงึ พอใจนอ้ ย ค่าเฉล่ีย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจนอ้ ยท่ีสุด
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล การวิจยั ในคร้ังน้ีเป็ นการพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยมีวตั ถุประสงค์ เพ่ือศึกษาความตอ้ งการคู่มือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 เพื่อพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิต หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3 เพ่ือทดลองการใช้คู่มือการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผูว้ จิ ยั ไดเ้ สนอผลการวเิ คราะห์ ขอ้ มูลแบง่ เป็น 3 ข้นั ตอน ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 การศึกษาความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้นั ท่ี 2 การพฒั นาคูม่ ือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับ ครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้นั ที่ 3 ทดลองการใชค้ ู่มือการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ข้นั ที่ 1 การศึกษาความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จากการศึกษาความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยใชแ้ บบสอบถาม ที่ผวู้ ิจยั สร้างข้ึน กลุ่มตวั อยา่ งท่ีตอบแบบสอบถาม มีจานวน 312 คน ครูผสู้ อน สังกดั สานกั งานเขต พ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ปรากฏผลดงั น้ี
69 ตารางท่ี 4.1 จานวนและร้อยละข้อมูลทวั่ ไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ข้อมูลทว่ั ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน (คน) ร้อยละ (n = 312) 1. เพศ ชาย 85 27.2 หญิง 227 72.8 2. ประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน 89 28.5 ไม่เกิน 10 ปี 146 46.8 11 - 20 ปี 77 24.7 21 ปี ข้ึนไป 229 73.4 3. วฒุ ิการศึกษา 83 26.6 ปริญญาตรี สูงกวา่ ปริญญาตรี 48 15.4 38 12.2 5. กลุ่ม/สาขาวชิ าเอก 52 16.7 ภาษาไทย 60 19.2 คณิตศาสตร์ 28 9.0 วทิ ยาศาสตร์ 16 5.1 สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 38 12.2 สุขศึกษาและพลศกึ ษา 32 10.3 ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาองั กฤษ จากตารางท่ี 4.1 พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง มีประสบการณ์การ ปฏิบตั ิงาน 11 - 20 ปี การศึกษาระดบั ปริญญาตรี สาขาวชิ าเอกสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
70 ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานและความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสือ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ X S.D. ระดับการปฏบิ ตั ิ 1. นาไปใชช้ ่วยผลิตส่ือการเรียนสอน 4.23 0.69 มาก มาก 2. นาไปใชป้ ระกอบการเรียนการสอน 4.23 0.73 มาก 3. นาไปจดั ทาส่ืออิเล็กทรอนิกส์ในรายวชิ าที่จดั การเรียน มาก มาก การสอน 4.38 0.71 มาก 4. สามารถนาไปสอนนกั เรียนในการสร้าง E-book 4.37 0.66 มาก มาก 5. นาไปพฒั นานวตั กรรมทางการศึกษา 4.28 0.72 มาก 6. ใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างผลงานสื่อการการศึกษาต่อไป มาก มาก เรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ 4.45 0.68 มาก 7. นาไปใชจ้ ดั การเรียนการสอนของนกั เรียน 4.18 0.74 มาก 8. เพอ่ื พฒั นางานการเรียนการสอน และนาเสนอผลงาน 4.40 0.70 มาก มาก 9. เพอ่ื ทาส่ือการสอน และนาไปถ่ายทอดใหน้ กั เรียน 4.10 0.81 10. พฒั นาส่ือการเรียนการสอน และใชป้ ระกอบสาระเทคโนโลยี สารสนเทศใหน้ กั เรียน 4.07 0.77 11. นาไปจดั ทาวารสารประชาสัมพนั ธ์โรงเรียน 3.85 1.00 12. จดั ทาส่ือนวตั กรรมทางการศึกษา ที่ไมใ่ ช่วชิ าท่ีตอ้ งใชท้ กั ษะ กระบวนการเรียนหรือเป็นการทบทวนองคค์ วามรู้จากกลุ่ม สารการเรียนรู้ตา่ ง ๆ 4.18 0.77 13. นาไปพฒั นางานดา้ นการจดั การเรียนการสอนของตนเอง 4.11 0.78 14. นาไปจดั ทาสื่อการเรียนการสอนวชิ าตา่ ง ๆ ที่รับผดิ ชอบและ นาเสนองานในหนา้ ท่ีอื่น ๆ 4.18 0.70 รวม 4.21 0.54
71 จากตารางท่ี 4.2 พบว่า ความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวม อยูใ่ นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายดา้ น พบวา่ อยใู่ นระดบั มากทุกขอ้ เรียงตามลาดบั คือ ใช้เป็ น แนวทางในการสร้างผลงานส่ือการการศึกษาต่อไปเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ มีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด รองลงมาคือ เพ่ือพฒั นางานการเรียนการสอน และนาเสนอผลงาน และนาไปจัดทาวารสาร ประชาสัมพนั ธ์โรงเรียน มีค่าเฉล่ียต่าที่สุด ตารางที่ 4.3 ข้อเสนอแนะความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครูสังกดั สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 รายการ จานวน 59 1. ควรสร้างคู่มือเพ่ือนาไปใชจ้ ดั การเรียนการสอนของนกั เรียน 2. ควรจดั อบรมการสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ทุกปี เพ่ือให้ครูเห็นประโยชน์ 32 17 ของการสร้าง E-book 3. ควรจดั ทาส่ือนวตั กรรมทางการศึกษา จากกลุ่มสารการเรียนรู้ต่าง ๆ 15 4. ควรอบรมเชิงปฏิบตั ิการสร้างส่ือการเรียนการสอนอิเลก็ ทรอนิกส์ใน 9 รูปแบบหนงั สือ (E-book) ใหส้ ามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง 5. ควรสร้างส่ือสาหรับอบรมครูและผสู้ นใจทา E-book ทาใหส้ ามารถใชใ้ นอนาคต ในการทางาน ตารางที่ 4.3 พบว่า มีผูข้ อ้ เสนอแนะความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ว่า ควรสร้างคู่มือเพ่ือนาไปใช้จดั การเรียนการสอนของนกั เรียน จานวน มากที่สุด รองลงมาคือ ควรจดั อบรมการสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ทุกปี เพื่อใหค้ รูเห็นประโยชน์ ของการสร้าง E-book และควรสร้างสื่อสาหรับอบรมครูและผูส้ นใจทา E-book ทาให้สามารถใช้ ในอนาคตในการทางาน มีจานวนนอ้ ยที่สุด
72 ข้นั ท่ี 2 การพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 การพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ผูว้ ิจยั พิจารณา ขอ้ มูลความตอ้ งการคู่มือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) จากข้นั ตอนที่ 1 เพ่ือ เป็ นแนวทางในการพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เพ่ือพฒั นา แนวทางไวใ้ นคู่มือการฝึ กอบรมหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) และกาหนดกรอบเน้ือหาสาระ เก่ียวกบั องค์ประกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ทาการตรวจสอบโครงร่างคู่มือการ ฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ โดยผูเ้ ชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบโครงร่างคู่มือ การฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ และหาคุณภาพของคู่มือ ปรากฏผลการประเมินความ เหมาะสมดงั น้ี ตารางท่ี 4.4 จานวนและร้อยละข้อมูลทวั่ ไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ข้อมูลทว่ั ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน (คน) ร้อยละ (n = 5) 1. เพศ ชาย 4 80.0 หญิง 1 20.0 2. ประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน 1 20.0 ต่ากวา่ 15 ปี 4 80.0 มากกวา่ 15 ปี -- 3. วฒุ ิการศึกษา 5 100.0 ปริญญาตรี สูงกวา่ ปริญญาตรี จากตารางที่ 4.4 พบวา่ ผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบโครงร่างคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่เป็ นเพศชาย มีประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน มากกว่า 15 ปี การศึกษา ระดบั สูงกวา่ ปริญญาตรี
73 ตารางที่ 4.5 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวม ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรม X S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1. ดา้ นเน้ือหา 2. ดา้ นการใชภ้ าษา 4.60 0.35 มากท่ีสุด 3. ดา้ นการออกแบบ 4. ดา้ นรูปเล่ม 4.53 0.38 มากที่สุด 5. ดา้ นการนาไปใช้ 4.50 0.40 มาก รวม 4.07 0.49 มาก 4.80 0.45 มากท่ีสุด 4.51 0.30 มากทสี่ ุด จากตารางท่ี 4.5 พบวา่ ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวม อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด เม่ือพจิ ารณาเป็นรายดา้ น พบวา่ อยูใ่ นระดบั มาก 2 ดา้ น และอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด 3 ดา้ น เรียงตามลาดบั คือ ดา้ นการนาไปใช้ มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านเน้ือหา และด้าน รูปเล่ม มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด ตารางที่ 4.6 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านเนื้อหา ด้านเนื้อหา X S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1. เน้ือหาของคูม่ ือการฝึกอบรมครอบคลุมวตั ถุประสงค์ 4.40 0.89 มาก 2. ความชดั เจนในการอธิบายเน้ือหา 4.60 0.55 มากท่ีสุด 3. ความถูกตอ้ งของเน้ือหา 4.60 0.55 มากท่ีสุด 4. การจดั ลาดบั ข้นั นาเสนอเน้ือหา 4.40 0.89 มาก 5. ตวั อยา่ งและแบบฟอร์มสามารถนาไปใชป้ ฏิบตั ิจริงได้ 4.80 0.45 มากที่สุด 6. ความเหมาะสมของตวั อยา่ งประกอบ 4.80 0.45 มากท่ีสุด รวม 4.60 0.35 มากทสี่ ุด
74 จากตารางที่ 4.6 พบวา่ ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดา้ นเน้ือหา โดยรวมอยใู่ นระดบั มากที่สุด เม่ือพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบวา่ อยูใ่ นระดบั มาก 1 ขอ้ และอยูใ่ นระดบั มากท่ีสุด 4 ขอ้ เรียงตามลาดบั คือ ตวั อยา่ งและแบบฟอร์มสามารถนาไปใช้ปฏิบตั ิจริงไดก้ บั ความ เหมาะสมของตวั อย่างประกอบ มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด รองลงมาคือ ความชดั เจนในการอธิบายเน้ือหา กบั ความถูกตอ้ งของเน้ือหา และเน้ือหาของคู่มือการฝึ กอบรมครอบคลุมวตั ถุประสงค์กบั การจดั ลาดบั ข้นั นาเสนอเน้ือหา มีค่าเฉลี่ยต่าที่สุด ตารางที่ 4.7 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านการใช้ภาษา ด้านการใช้ภาษา X S.D. ระดับความเหมาะสม 1. ความเหมาะสมของภาษา 4.80 0.45 มากที่สุด 2. ความถูกตอ้ งของเน้ือหาตามหลกั วชิ าการ 3. ภาษาท่ีใชอ้ า่ นแลว้ เขา้ ใจง่าย 4.60 0.55 มากท่ีสุด รวม 4.40 0.89 มาก 4.53 0.38 มากทส่ี ุด จากตารางที่ 4.7 พบวา่ ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดา้ นการใช้ ภาษา โดยรวมอยใู่ นระดบั มากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบวา่ อยูใ่ นระดบั มาก 1 ขอ้ อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด 2 ขอ้ เรียงตามลาดบั คือ ความถูกตอ้ งของเน้ือหาตามหลกั วิชาการกบั ภาษาที่ใช้อ่านแลว้ เขา้ ใจง่าย มีคา่ เฉล่ียสูงที่สุด และความเหมาะสมของภาษา มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด
75 ตารางที่ 4.8 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและระดับความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านการออกแบบ ด้านการออกแบบ X S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1. แบบอกั ษรท่ีใชน้ าเสนอเน้ือหาอ่านง่ายและชดั เจน 2. ความเหมาะสมของขนาดตวั อกั ษร 4.60 0.55 มากที่สุด 3. ความชดั เจนของภาพประกอบ 4. ความเหมาะสมของภาพประกอบ 4.80 0.45 มากท่ีสุด รวม 4.20 0.84 มาก 4.80 0.45 มากท่ีสุด 4.50 0.40 มาก จากตารางที่ 4.8 พบวา่ ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดา้ น การออกแบบ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายข้อ พบว่า อยู่ในระดบั มาก 1 ข้อ อยใู่ นระดบั มากที่สุด 3 ขอ้ เรียงตามลาดบั คือ ความเหมาะสมของขนาดตวั อกั ษรกบั ความเหมาะสม ของภาพประกอบ มีคา่ เฉลี่ยสูงท่ีสุด รองลงมาคือ แบบอกั ษรท่ีใชน้ าเสนอเน้ือหาอ่านง่าย และความ ชดั เจนของภาพประกอบ มีค่าเฉลี่ยต่าท่ีสุด ตารางท่ี 4.9 ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านรูปเล่ม ด้านรูปเล่ม X S.D. ระดับความเหมาะสม 1. ความเหมาะสมของขนาดเล่ม 2. รูปเล่มของคูม่ ือการฝึกอบรมดึงดูดความสนใจ 4.20 0.84 มาก 3. ความเหมาะสมในการจดั วางตวั อกั ษร 3.80 0.84 มากท่ีสุด รวม 4.20 0.84 มาก 4.07 0.49 มาก จากตารางที่ 4.9 พบวา่ ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดา้ นรูปเล่ม โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบวา่ อยใู่ นระดบั มาก 2 ขอ้ อยูใ่ นระดบั มากที่สุด
76 1 ขอ้ เรียงตามลาดบั คือ รูปเล่มของคู่มือการฝึ กอบรมดึงดูดความสนใจ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และความ เหมาะสมของขนาดเล่มกบั ความเหมาะสมในการจดั วางตวั อกั ษร มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด ตารางท่ี 4.10 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรม การผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ท่ี การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านการนาไปใช้ ด้านการนาไปใช้ X S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1. คูม่ ือมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์กบั ครูผสู้ อน 4.80 0.45 มากที่สุด 2. คูม่ ือมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ตอ่ สถานศึกษา 4.80 0.45 มากที่สุด รวม 4.80 0.45 มากที่สุด จากตารางที่ 4.10 พบวา่ ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดา้ นการ นาไปใช้ โดยรวมอยูใ่ นระดบั มากท่ีสุด เม่ือพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบว่า อยใู่ นระดบั มากท่ีสุดทุกขอ้ คือคู่มือมีความเหมาะสมและเป็ นประโยชน์กบั ครูผูส้ อนกบั คู่มือมีความเหมาะสมและเป็ นประโยชน์ ต่อสถานศึกษา ข้นั ท่ี 3 ทดลองการใช้คู่มือการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงาน เขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผูว้ ิจยั ทดลองการใช้คู่มือการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครูสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ไดเ้ ชิญวิทยากรที่มีความเช่ียวชาญทางดา้ นการใชโ้ ปรแกรมการผลิตหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยนาเสนอข้ันตอนการทดลองคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ใหแ้ ก่ผเู้ ขา้ ฝึกอบรม โดยทดสอบวดั ความรู้ก่อนฝึ กอบรมเกี่ยวกบั การผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) หลงั จากน้ันทาการฝึ กอบรม เมื่อเสร็จสิ้นการฝึ กอบรมทาการทดสอบวดั ความรู้หลงั ฝึ กอบรมเกี่ยวกบั การผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยใชแ้ บบทดสอบชุดเดียวกนั กบั ท่ีใช้ ทดสอบก่อนฝึ กอบรม หลังจากเสร็จสิ้นการฝึ กอบรมการใช้คู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสือ
77 อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดาเนินการสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้แบบวดั ความพึงพอใจ โดยแบ่งออกเป็ น 2 ตอน ปรากฏผลดงั น้ี ตอนท่ี 1 ผลการทดสอบวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลงั การอบรมของผู้เข้าร่วม ฝึ กอบรม การผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) ตารางท่ี 4.11 คะแนนทดสอบวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลงั การอบรมของผู้เข้าร่วมฝึ กอบรม การผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) มีผ้เู ข้าร่วมฝึ กอบรม จานวน 40 คน คนที่ ก่อนอบรม หลงั อบรม คนท่ี ก่อนอบรม หลงั อบรม 22 15 19 1 11 22 23 16 23 2 19 24 24 18 24 3 16 19 25 14 26 4 11 23 26 11 14 5 13 22 27 13 14 6 12 23 28 15 22 7 15 24 29 18 22 85 22 30 17 22 9 19 25 31 13 23 10 19 23 32 13 22 11 12 26 33 15 24 12 13 20 34 5 22 13 17 25 35 19 25 14 18 21 36 19 23 15 19 25 37 12 26 16 14 24 38 13 20 17 12 21 39 17 25 18 15 22 40 18 21 19 20 23 20 18 21 X 14.93 22.15 21 18 14 S.D. 3.58 2.96
78 จากตารางท่ี 4.11 แสดงคะแนนทดสอบวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลงั การอบรมของ ผูเ้ ขา้ ร่วม ฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีผูเ้ ขา้ ร่วมฝึ กอบรมจานวน 40 คน เพื่อเปรียบเทียบคะแนน พบวา่ ก่อนการฝึ กอบรมมีคะแนนเฉล่ีย เท่ากบั 14.93 และส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน เท่ากบั 3.58 และหลงั การฝึ กอบรม มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากบั 22.15 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากบั 2.96 แสดงวา่ ผูเ้ ขา้ ฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีความรู้ ความเขา้ ใจในการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มากข้ึน ตารางที่ 4.12 ผลการเปรียบเทยี บความแตกต่างของคะแนนวดั ความรู้ก่อน - หลงั การอบรมของ ผ้เู ข้าร่วม ฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ก่อนอบรม หลงั อบรม t X S.D. X S.D. 20.97** 14.92 3.58 22.15 2.96 ** Sig. 0.01 จากตารางท่ี 4.12 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลงั การอบรมของผูเ้ ขา้ ร่วม ฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบวา่ หลงั จากการฝึ กอบรม ผูเ้ ขา้ ฝึกอบรมมีความรู้ ความเขา้ ใจสูงข้ึนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ 0.01
79 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ (E-book) ตารางที่ 4.13 จานวนและร้อยละข้อมูลทวั่ ไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ข้อมูลทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน (คน) ร้อยละ (n = 40) 1. เพศ ชาย 14 35.00 หญิง 26 65.00 2. ประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน 18 45.00 ต่ากวา่ 15 ปี 22 55.00 มากกวา่ 15 ปี 36 90.00 3. วฒุ ิการศึกษา 4 10.00 ปริญญาตรี สูงกวา่ ปริญญาตรี จากตารางท่ี 4.13 พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง มีประสบการณ์ การปฏิบตั ิงาน มากกวา่ 15 ปี การศึกษาระดบั ปริญญาตรี ตารางที่ 4.14 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานและความพงึ พอใจทมี่ ีต่อการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) โดยรวม ความพงึ พอใจ X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ 1. ดา้ นวทิ ยากร 2. ดา้ นสถานท่ี / ระยะเวลา / อาหาร 4.38 0.43 มาก 3. ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ 4. ดา้ นการนาความรู้ไปใช้ 4.20 0.53 มาก รวม 4.19 0.57 มาก 4.21 0.49 มาก 4.24 0.45 มาก
80 จากตารางท่ี 4.14 พบวา่ ความพึงพอใจท่ีมีต่อการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลาดบั คือ ดา้ นวิทยากร มีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด รองลงมาคือ ดา้ นการนาความรู้ไปใช้ และดา้ น ความรู้ความเขา้ ใจ มีคา่ เฉล่ียต่าที่สุด ตารางที่ 4.15 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและความพงึ พอใจทม่ี ตี ่อการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) ด้านวทิ ยากร ด้านวทิ ยากร X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ 1. การถ่ายทอดความรู้ของวทิ ยากรมีความชดั เจน 2. ความสามารถในการอธิบายเน้ือหา 4.55 0.68 มากที่สุด 3. การเชื่อมโยงเน้ือหาในการฝึกอบรม 4. มีความครบถว้ นของเน้ือหาในการฝึกอบรม 4.35 0.66 มาก 5. การใชเ้ วลาตามท่ีกาหนดไว้ 6. การตอบขอ้ ซกั ถามในการฝึกอบรม 4.48 0.68 มาก รวม 4.37 0.67 มาก 4.32 0.57 มาก 4.22 0.62 มาก 4.38 0.43 มาก จากตารางท่ี 4.15 พบวา่ ความพึงพอใจที่มีต่อการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ดา้ นวทิ ยากร โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบวา่ อยใู่ นระดบั มาก 5 ขอ้ และอยูใ่ นระดบั มากที่สุด 1 ขอ้ เรียงตามลาดบั คือ การถ่ายทอดความรู้ของวิทยากรมีความชดั เจน มีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด รองลงมาคือ การเช่ือมโยงเน้ือหาในการฝึ กอบรม และการตอบขอ้ ซกั ถามในการ ฝึกอบรม มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด
81 ตารางท่ี 4.16 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและความพงึ พอใจทมี่ ีต่อการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) ด้านสถานท่ี/ระยะเวลา/อาหาร ด้านสถานท่ี / ระยะเวลา / อาหาร X S.D. ระดับความพงึ พอใจ 1. สถานที่สะอาดและมีความเหมาะสม 2. ความพร้อมของอุปกรณ์โสตทศั นูปกรณ์ 4.05 0.78 มาก 3. ระยะเวลาในการอบรมมีความเหมาะสม 4. อาหารมีความเหมาะสม 4.55 0.60 มากท่ีสุด รวม 4.22 0.66 มาก 3.98 0.70 มาก 4.20 0.53 มาก จากตารางที่ 4.16 พบวา่ ความพงึ พอใจท่ีมีตอ่ การฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ดา้ นสถานท่ี/ระยะเวลา/อาหาร โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบว่า อยูใ่ นระดบั มาก 3 ขอ้ และอยูใ่ นระดบั มากท่ีสุด 1 ขอ้ เรียงตามลาดบั คือ ความพร้อมของอุปกรณ์ โสตทศั นูปกรณ์ มีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด รองลงมาคือ ระยะเวลาในการอบรมมีความเหมาะสม และ สถานที่สะอาดและมีความเหมาะสม มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด ตารางท่ี 4.17 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและความพงึ พอใจทมี่ ีต่อการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านความรู้ความเข้าใจ X S.D. ระดับความพงึ พอใจ 1. ความรู้ ความเขา้ ใจในเร่ืองน้ี ก่อน การอบรม 2. ความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องน้ี หลงั การอบรม 4.10 0.67 มาก รวม 4.27 0.68 มาก 4.19 0.57 มาก จากตารางท่ี 4.17 พบวา่ ความพงึ พอใจที่มีต่อการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบว่า อยู่ใน ระดบั มากทุกขอ้ เรียงตามลาดบั คือ ความรู้ ความเขา้ ใจในเร่ืองน้ี หลงั การอบรม มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด และความรู้ ความเขา้ ใจในเร่ืองน้ี ก่อน การอบรม มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด
82 ตารางที่ 4.18 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานและความพงึ พอใจทม่ี ตี ่อการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) ด้านการนาความรู้ไปใช้ ด้านการนาความรู้ไปใช้ X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ 0.62 มาก 1. สามารถนาความรู้ที่ไดร้ ับไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิงานได้ 4.22 0.68 มาก 0.69 มาก 2. มีความมนั่ ใจและสามารถนาความรู้ท่ีไดร้ ับไปใชไ้ ด้ 4.27 0.49 มาก 3. สามารถนาความรู้ไปเผยแพร่/ถ่ายทอดได้ 4.12 รวม 4.21 จากตารางท่ี 4.18 พบวา่ ความพึงพอใจท่ีมีต่อการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ดา้ นการนาความรู้ไปใช้ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบว่า อยูใ่ น ระดบั มากทุกขอ้ เรียงตามลาดบั คือ มีความมน่ั ใจและสามารถนาความรู้ท่ีไดร้ ับไปใชไ้ ด้ มีค่าเฉล่ีย สูงท่ีสุด รองลงมาคือ สามารถนาความรู้ท่ีไดร้ ับไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิงานได้ และสามารถนา ความรู้ไปเผยแพร่/ถ่ายทอดได้ มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพงึ พอใจทม่ี ีต่อคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครูสังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ตารางท่ี 4.19 จานวนและร้อยละข้อมูลทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน (คน) ร้อยละ (n = 40) 1. เพศ ชาย 14 35.00 หญิง 26 65.00 2. ประสบการณ์การปฏิบตั ิงาน 18 45.00 ต่ากวา่ 15 ปี 22 55.00 มากกวา่ 15 ปี 36 90.00 3. วฒุ ิการศึกษา 4 10.00 ปริญญาตรี สูงกวา่ ปริญญาตรี
83 จากตารางที่ 4.19 พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง มีประสบการณ์การ ปฏิบตั ิงาน มากกวา่ 15 ปี การศึกษาระดบั ปริญญาตรี ตารางที่ 4.20 ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและความพงึ พอใจทม่ี ีต่อคู่มือการฝึ กอบรมการผลติ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครูสังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ความพงึ พอใจ X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ 1. เน้ือหาของคูม่ ือครอบคลุมวตั ถุประสงค์ 4.30 0.61 มาก 2. การแบ่งองคป์ ระกอบของเน้ือหา 4.55 0.55 มากท่ีสุด 3. การจดั ลาดบั ข้นั นาเสนอเน้ือหา 4.50 0.68 มาก 4. ความถูกตอ้ งของเน้ือหา 4.50 0.60 มาก 5. ความชดั เจนในการอธิบายเน้ือหา 4.45 0.55 มาก 6. มีตวั อยา่ งและแบบฟอร์มสามารถนาไปปฏิบตั ิไดจ้ ริง 4.72 0.51 มากท่ีสุด 7. เน้ือหาเหมาะสมกบั ผใู้ ช้ 4.22 0.83 มาก 8. ความถูกตอ้ งของไวยากรณ์ในการเขียนอธิบาย 4.18 0.68 มาก 9. ความเหมาะสมของภาษา 4.30 0.69 มาก 10. ใชภ้ าษาท่ีเขา้ ใจง่าย 4.15 0.74 มาก 11. แบบอกั ษรที่ใชน้ าเสนอเน้ือหาอา่ นไดช้ ดั เจน 4.18 0.68 มาก 12. ความเหมาะสมของขนาดอกั ษร 4.37 0.67 มาก 13. ความชดั เจนของรูปภาพ 4.28 0.64 มาก 14. ความเหมาะสมของขนาดรูปภาพประกอบ 4.38 0.67 มาก 15. ความเหมาะสมของขนาดเล่ม 4.12 0.69 มาก 16. ความเหมาะสมในการวางอกั ษร 4.27 0.64 มาก 17. คาอธิบายการปฏิบตั ิเน้ือหาชดั เจน 4.58 0.59 มากท่ีสุด 18. ความต่อเนื่องขอการนาเสนอเน้ือหา 4.18 0.68 มาก รวม 4.35 0.45 มาก จากตารางท่ี 4.20 พบวา่ ความพึงพอใจท่ีมีตอ่ คู่มือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครูสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบว่า
84 โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายดา้ นพบว่าอยูใ่ นระดบั มากที่สุด 3 ดา้ น และอยใู่ นระดบั มาก 3 ดา้ น เรียงตามลาดบั คือ มีตวั อยา่ งและแบบฟอร์มสามารถนาไปปฏิบตั ิไดจ้ ริง มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ คาอธิบายการปฏิบตั ิเน้ือหาชดั เจน และความเหมาะสมของขนาดเล่ม มีค่าเฉล่ียต่าที่สุด
บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 มีวตั ถุประสงค์ 3 ประการคือ 1) เพ่ือศึกษาความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2) เพื่อพฒั นาคู่มือ การฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 และ 3) เพ่ือทดลองการใช้คู่มือการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ประชากร เป็ นครูผูส้ อน สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 กลุ่มตวั อย่าง ท้งั สิ้น 312 คน เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั เป็ นแบบสอบถามความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิต หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ และแบบประเมินคุณภาพคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ สถิติท่ีใช้ ได้แก่ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที (t-test) แบบกลุ่มที่ไม่อิสระ (t-dependent) ซ่ึงสรุปไดน้ ้ี สรุปผล ผลการวจิ ยั สรุปตามข้นั ตอนของการดาเนินการวจิ ยั ได้ ดงั น้ี 1. ผลการศึกษาความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 1.1 ความต้องการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดบั มากทุกข้อ เรียงตามลาดบั คือ ใช้เป็ นแนวทาง ในการสร้างผลงานสื่อการการศึกษาต่อไปเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด รองลงมา คือ เพ่ือพฒั นางานการเรียนการสอน และนาเสนอผลงาน และนาไปจดั ทาวารสารประชาสัมพนั ธ์ โรงเรียน มีคา่ เฉลี่ยต่าท่ีสุด 1.2 ขอ้ เสนอแนะความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ พบวา่ ควรสร้างคู่มือเพ่ือนาไปใช้จดั การเรียนการสอนของนกั เรียนจานวนมากท่ีสุด รองลงมาคือ
86 ควรจดั อบรมการสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ทุกปี เพื่อให้ครูเห็นประโยชน์ของการสร้าง E-book และควรสร้างสื่อสาหรับอบรมครูและผสู้ นใจทา E-book ทาใหส้ ามารถใชใ้ นอนาคตในการทางาน มีจานวนนอ้ ยท่ีสุด 2. ผลการพฒั นาคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผูว้ จิ ยั พิจารณาขอ้ มูลความตอ้ งการคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) จากข้นั ตอนที่ 1 เพอื่ เป็นแนวทางในการพฒั นาคูม่ ือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) เพื่อพฒั นาแนวทางไวใ้ นคู่มือการฝึ กอบรมหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) และกาหนด กรอบเน้ือหาสาระเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ทาการตรวจสอบโครงร่าง คู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ โดยผูเ้ ช่ียวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบโครงร่าง คู่มือการฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ และหาคุณภาพของคูม่ ือ พบวา่ 2.1 ความเหมาะสมของคู่มือการฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด เมื่อพิจารณาเป็ นรายดา้ น พบวา่ อยใู่ นระดบั มาก 2 ดา้ น และอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด 3 ดา้ น เรียงตามลาดบั คือ ดา้ นการนาไปใช้ มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด รองลงมาคือ ดา้ นเน้ือหา และด้านรูปเล่ม มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด สามารถสรุปเป็นรายดา้ นไดด้ งั น้ี 2.1.1 ดา้ นเน้ือหา โดยรวมอยูใ่ นระดบั มากท่ีสุด เรียงตามลาดบั คือ ตวั อย่าง และแบบฟอร์มสามารถนาไปใช้ปฏิบตั ิจริงได้ กบั ความเหมาะสมของตวั อย่างประกอบ มีค่าเฉลี่ย สูงท่ีสุด รองลงมาคือ ความชัดเจนในการอธิบายเน้ือหากบั ความถูกตอ้ งของเน้ือหา และเน้ือหา ของคูม่ ือการฝึกอบรมครอบคลุมวตั ถุประสงค์ กบั การจดั ลาดบั ข้นั นาเสนอเน้ือหา มีคา่ เฉลี่ยต่าที่สุด 2.1.2 ด้านการใช้ภาษา โดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด เรียงตามลาดับคือ ความถูกต้องของเน้ือหาตามหลักวิชาการกบั ภาษาที่ใช้อ่านแล้วเข้าใจง่าย มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด และ ความเหมาะสมของภาษา มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด 2.1.3 ดา้ นการออกแบบ โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก เรียงตามลาดบั คือ ความ เหมาะสมของขนาดตวั อกั ษร กบั ภความเหมาะสมของภาพประกอบ มีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด รองลงมาคือ แบบอกั ษรท่ีใชน้ าเสนอเน้ือหาอ่านง่าย และความชดั เจนของภาพประกอบ มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด 2.1.4 ดา้ นรูปเล่ม โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เรียงตามลาดบั คือ รูปเล่มของคู่มือ การฝึกอบรมดึงดูดความสนใจ มีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด และความเหมาะสมของขนาดเล่มกบั ความเหมาะสม ในการจดั วางตวั อกั ษร มีคา่ เฉลี่ยต่าที่สุด 2.1.5 ด้านการนาไปใช้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า คู่มือมีความ เหมาะสมและเป็นประโยชนก์ บั ครูผสู้ อนกบั คูม่ ือมีความเหมาะสมและเป็นประโยชนต์ ่อสถานศึกษา
87 3. ผลการทดลองการใช้คู่มือการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 3.1 ผลการทดสอบวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลังการอบรมของผูเ้ ข้าร่วม ฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สรุปไดด้ งั น้ี 3.1.1 ผลการทดสอบวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลงั การอบรมของผูเ้ ขา้ ร่วม ฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) พบว่า ก่อนการฝึ กอบรมมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากบั 14.93 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากบั 3.58 และหลงั การฝึ กอบรม มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากบั 22.15 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากบั 2.96 แสดงว่า ผูเ้ ขา้ ฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มีความรู้ความเขา้ ใจในการผลิตหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) มากข้ึน 3.1.2 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนวดั ความรู้ก่อนการอบรม - หลงั การอบรมของผเู้ ขา้ ร่วม ฝึ กอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) สาหรับครูสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบวา่ หลงั จากการฝึ กอบรม ผูเ้ ขา้ ฝึกอบรมมีความรู้ ความเขา้ ใจสูงข้ึนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ 0.01 3.2 ผลการศึกษาความพงึ พอใจที่มีตอ่ การฝึกอบรมการผลิตหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็ นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลาดบั คือ ดา้ นวิทยากร มีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุด รองลงมาคือ ดา้ นการนาความรู้ไปใช้ และดา้ น ความรู้ความเขา้ ใจ มีคา่ เฉล่ียต่าที่สุด สามารถสรุปเป็นรายดา้ นไดด้ งั น้ี 3.2.1 ดา้ นวทิ ยากร โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เรียงตามลาดบั คือ การถ่ายทอด ความรู้ของวิทยากรมีความชดั เจน มีค่าเฉล่ียสูงที่สุด รองลงมาคือ การเชื่อมโยงเน้ือหาในการฝึ กอบรม และการตอบขอ้ ซกั ถามในการฝึกอบรม มีคา่ เฉล่ียต่าที่สุด 3.2.2 ดา้ นสถานท่ี/ระยะเวลา/อาหาร โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เรียงตามลาดบั คือ ความพร้อมของอุปกรณ์โสตทศั นูปกรณ์ มีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุด รองลงมาคือ ระยะเวลาในการอบรม มีความเหมาะสม และสถานที่สะอาดและมีความเหมาะสม มีคา่ เฉลี่ยต่าท่ีสุด 3.2.3 ดา้ นความรู้ความเข้าใจ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เรียงตามลาดบั คือ ความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องน้ี หลงั การอบรม มีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุด และความรู้ ความเขา้ ใจในเร่ืองน้ี ก่อนการอบรม มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด 3.2.4 ดา้ นการนาความรู้ไปใช้ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เรียงตามลาดบั คือ มีความมนั่ ใจและสามารถนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ได้ มีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุด รองลงมาคือ สามารถนา ความรู้ที่ไดร้ ับไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบตั ิงานได้ และสามารถนาความรู้ไปเผยแพร่/ถ่ายทอดได้ มีคา่ เฉล่ียต่าท่ีสุด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200