Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore _ญาณัจฉรา วงศมาก 6206810063

_ญาณัจฉรา วงศมาก 6206810063

Published by yanatchara.21243, 2021-08-30 05:26:32

Description: _ญาณัจฉรา วงศมาก 6206810063

Search

Read the Text Version

ระบบ อวยั วะของรา่ งกาย ระดับประถมศึกษาปที 6 ผูแ ตง ญาณัจฉรา วงศมาก

คํานํา ก ชุดการเรยนรู้ด้วยตนเอง กลุม่ สาระการเรยนรู้ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เรอง ระบบร่างกายมนุษย์ ชนั ประถม ศกึ ษาปที 6 จดั ทําขนึ เพอื ใชเ้ ปนสือประกอบการเรยนการสอน ซึงวชาวทยาศาสตร์เปนสิงทีนา่ สนใจ น่าค้นหา และเปนสิงที บอกถงึ วสั ดุทีประกอบจากชินสว่ นต่างๆและแยกชนิ สว่ นย่อย ของวนั ถอุ อกจากกนั และนาํ มาประกอบขึนเปนวตั ถุชนิ ใหมไ่ ด้ โดยการสงั เกต และอธิบายการเปลียนแปลงของวสั ดุเมือถูก ทาํ ให้ร้อนขนึ หรอเย็นลงได้ เพอื เปนหารชวนอ่าน ชวนคิด และ ทดลองสังเกตวา่ เปนอย่างไร แตกตา่ งกนั แบบไหน หวงั เปน อยา่ งยงิ วา่ ชดุ การเรยนรู้ด้วยตนเองเล่มนีจะเปนประโยชนต์ อ่ การพัฒนาผเู้ รยน และพฒั นาคณุ ภาพหารจัดการเรยนรู้ของ ครูผสู้ อนกลุม่ สาระการเรยนรู้สุขศกึ ษาและพลศกึ ษาไดเ้ ปน อย่างดี

ข สารบญั เร่อื ง หน า คาํ นํา ก สารบัญ ข แบบทดสอบกอ นเรยี น 4 1.ระบบหายใจ (Respiratory system) 6 2.ระบบยอยอาหาร (Digestive System) 14 3.ระบบประสาท(Nervous system) 20 4.ระบบไหลเวยี นเลอื ด (Vascular system) 23 5.ระบบผวิ หนัง(Intergumentary System) 29 6.ระบบขับถา ย(Urinary system) 32 7.ระบบสืบพนั ธุ (Reproductive system) 35 8.ระบบทางเดนิ อาหาร (Endocrine system) 39 9.ระบบกระดูก(Skeletal system) 44 10.ระบบกลา มเน้ือ (Muscular system) 47 แบบทดสอบหลงั เรียน 49 เฉลยแบบฝึกหัดกอนเรยี นและหลังเรียน 51 อางองิ 52

แบบทดสอบกอ่ นเรยน หน่วยการเรยนรู้ที1 4 คําชีแจง ให้นักเรยนเลือกคําตอบทีถูกตอ้ งทีสดุ เพยี งข้อเดียว 1. อวยั วะใดมสี ว นเกี่ยวขอ งกับระบบไหลเวยี นโลหติ ก. ปอด ข. จมกู ค. ลาํ ไส ง. รงั ไข 2. หวั ใจหองบนขวามีหน าท่อี ะไร ก. แลกเปลีย่ นเลือดจากปอด ข. รับเลอื ดทีฟ่ อกแลว จากปอด ค. รบั เลอื ดจากสวนตา งๆของรา งกาย ง. สบู ฉีดเลอื ดไปเลยี้ งสว นตางๆ ของรางกาย 3. การปฏบิ ตั ติ นอยางไรชวยดูแลระบบหายใจ ก. ไมอยูใ นท่ที ่ีมีผูสูบบหุ ร่ี ข. กินอาหารท่มี ีไขมันมาก ค. ทําจติ ใจใหรา เรงิ แจมใส ง. นอนในหอ งท่ีมีเคร่ืองปรับอากาศส 4. เมด็ เลือดขาวมีประโยชนอยางไร ก. เพ่ิมแกส ออกซเิ จน ข. ลาํ เลียงแกส ออกซิเจน ค. ชวยใหเลอื ดแข็งตัวไดเ ร็ว ง. ทาํ ลายเช้อื โรคหรือสิ่งแปลกปลอมทีเ่ ขาสูร างกาย 5. หลอดเลอื ดดํามีหน าท่ีสําคญั อยางไร ก. ลาํ เลยี งแกส คารบ อนไดออกไซด ข. สรา งเกลด็ เลือดทําใหเลอื ดแขง็ ตวั ค. ลําเลียงเลือดแดงไปสูส ว นตา งๆของรา งกาย ง. ลาํ เลียงเลอื ดดาํ จากสว นตา งๆของรางกายกลบั เขาสูหวั ใจ

6. รงั ไขท าํ หน าทอี่ ะไร 5 ก. เป็นทฝี่ ังตวั ของไขท ่ีไดรบั การผสมแลว ข. ผลติ เซลลไขทเี่ ป็นเซลลสบื พนั ธขุ องเพศหญิง ค. ผลิตอสจุ ทิ เ่ี ป็นเซลลส ืบพันธขุ องเพศชาย ง. ปรบั อุณหภมู ใิ นทอ รังไขแ ละทออสจุ ิ 7. อวยั วะในขอใด มีหน าทกี่ รองฝนุ ละออง ก. ปาก ข. ปอด ค. จมูก ง. หลอดลม 8. ระบบสืบพันธุของเพศหญิงจะสนิ้ สุดเม่ือใด ก. เสียชีวติ ข. หลงั ตัง้ ครรภ ค. รงั ไขห ยุดทํางาน ง. หลังมปี ระจําเดือน 9. การปฏิบตั ติ นอยางไรเป็นการชวยดูแลระบบสบื พันธุ ก. กินผกั และผลไม ข. ไมอ าศัยอยใู นชุมชนแออดั ค. สวมใสเ ส้อื ผา ทีม่ ีราคาแพง ง. ลางอวัยวะเพศขณะอาบน้ํา 10. ถา เราปัสสาวะไมห ยุดแสดงวาเกดิ ความผิดปกติในตอ มใด ก. ตอมเพศ ข. ตอ มหมวกไต ค. ตอมไทรอยด ง. ตอมใตสมอง

ระบบหายใจ 6 Respiratory system 1.จมูก (Nose) 2. หลอดคอ (Pharynx) 3. หลอดเสยี ง (Larynx) 4. หลอดลม (Trachea) 5. ปอด (lungs ) 6. เยือหมุ้ ปอด (Pleura)

จมกู (Nose) 7 จมกู สว่ นนอกเปนสว่ นทยี นื ออกมาจากตรง กงึ กลางของใบหน้า รูปร่างของจมกู มลี กั ษณะ เปนรูปสามเหลยี มพรี ะมดิ ฐานของรูปสามเหลยี ม วางปะ ตดิ กบั หน้าผากระหวา่ งตาสองขา้ ง สนั จมกู หรือดงั จมกู มรี ูปร่างและขนาดตา่ งๆกนั ยนื ตงั แตฐ่ านออกมาขา้ งนอกและลงขา้ งลา่ งมาสดุ ที ปลายจมกู อกี ดา้ นหนึงของรูปสามเหลยี มหอ้ ยตดิ กบั ริมฝปากบนรู จมกู เปดออกสภู่ ายนกทางดา้ นนี รูจมกู ทาํ หน้าทเี ปนทางผา่ นของอากาศทหี ายใจ เขา้ ไปยงั ชอ่ งจมกู และกรองฝนุ ละอองดว้ ย

หลอดคอ (Pharynx) 8 เมอื อากาศผา่ นรูจมกู แลว้ กผ็ า่ นเขา้ สหู่ ลอดคอ ซึงเปน หลอดตงั ตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5 \" หลอดคอตดิ ตอ่ ทงั ชอ่ งปากและชอ่ งจมกู จึงแบง่ เปนหลอดคอสว่ นจมกู กบั หลอด คอสว่ นปาก โดยมเี พดานออ่ นเปนตวั แยกสองสว่ นนีออกจากกนั โครงของหลอดคอประกอบดว้ ยกระดกู ออ่ น 9 ชนิ ดว้ ยกนั ชนิ ที ใหญท่ สี ดุ คอื กระดกู ธัยรอยด์ ทเี ราเรียกวา่ \"ลกู กระเดอื ก\" ใน ผชู้ ายเหน็ ไดช้ ดั กวา่ ผหู้ ญงิ

กลองเสยี ง(Larynx) 9 เปนหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผชู้ าย และ 3.5 cm ในผหู้ ญงิ หลอดเสยี งเจริญเตยิ โต ขนึ มาเรือยๆ ตามอายุ ในวยั เริมเปนหนุ่มสาว หลอดเสยี งเจริญขนึ อยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะใน ผชู้ าย เนืองจากสายเสยี ง (Vocal cord) ซึงอยู่ ภายในหลอดเสยี งนียาวและหนาขนึ อยา่ ง รวดเร็วเกนิ ไป จึงทาํ ใหเ้ สยี งแตกพร่า การ เปลยี นแปลงนีเกดิ จากฮอร์โมนของเพศชาย

หลอดลม(Trachea) 10 เป็ นสว นท่ีตอ อกมาจากหลอดเสยี ง ยาวลงไปใน ทรวงอก ลกั ษณะรปู รางของหลอดลมเป็ นหลอ ดกลมๆ ประกอบดว ยกระดกู ออนรปู วงแหวน หรือรูปตวั U ซ่งึ มีอยู 20 ชิน้ วางอยทู างดา นหลัง ของหลอดลม ชองวาง ระหวา งกระดกู ออนรูปตวั ท่วี างเรียงตอ กันมเี นื้อเย่ือและกลา มเนื้อเรยี บมา ยดึ ตดิ กนั

การท่ีหลอดลมมีกระดกู ออ นจึงทําให 11 เปิ ดอยูตลอดเวลา ไมมีโอกาสท่ีจะแฟบ เขา หากนั ไดโ ดยแรงดนั จากภายนอก จึงรบั ประกนั ไดว าอากาศเขา ไดต ลอด เวลา หลอดลม สว นท่ีตรงกบั กระดูก สนั หลังชว งอกแตกแขนงออกเป็ น หลอดลมแขนงใหญ (Bronchi) ขา งซาย และขวา เม่ือเขาสปู อดก็แตกแขนงเป็ น หลอดลมเล็กในปอดหรอื ท่เี รยี กวา หลอดลมฝอย (Bronchiole) และไป สุดท่ีถงุ ลม (Aveolus) ซ่งึ เป็ นการท่ี อากาศอยู ใกลก บั เลือดในปอดมาก ท่สี ุด จงึ เป็ นบริเวณแลกเปล่ยี นกาซ ออกซเิ จน กับคารบ อนไดออกไซด

12 มอี ยูสองขาง วางอยใู นทรวงอก มรี ูปรา งคลาย กรวย มีปลายหรือยอดชขี ้ ึน้ ไปขา งบนและไปสวม พอดกี บั ชอ งเปิ ดแคบๆของทรวงอก ซ่ึงชองเปิ ด แคบๆนีป้ ระกอบขึน้ ดว ยซ่โี ครงบนของกระดูกสนั อกและกระดูกสันหลงั ฐานของปอดแตละขางจะ ใหญแ ละวางแนบสนิทกับกระบงั ลม ระหวา งปอด 2 ขาง จะพบวามหี วั ใจอยู ปอดขา งขวาจะโตกวา ปอดขา งซายเลก็ นอย และมีอยู 3 กอ น สวน ขา งซายมี 2 กอ น หนาท่ีของปอดคือ การนํากาซ CO2 ออก จากเลอื ด และนําออกซิเจนเขา สูเลอื ด ปอดจึงมรี ูปรางใหญ มีลักษณะยดื หยนุ คลายฟองนํ้า

เย่อื หมุ ปอด (Pleura) 13 เป็ นเย่ือท่ีบางและละเอยี ดออ น เปี ยกชนื้ และ เป็ นมนั ล่นื หมุ ผวิ ภายนอกของปอด เย่อื หมุ นี ้ ไม เพยี งคลมุ ปอดเทา นัน้ ยงั ไปบผุ วิ หนังดา นในของ ทรวงอกอกี หรือกลา วไดอีกอยางหน่ึงวา เย่อื หมุ ปอดซ่ึงมี 2 ชัน้ ระหวาง 2 ชนั้ นีม้ ี ของเหลวอยู นิดหนอย เพ่ือลดแรงเสียดสี ระหวางเย่อื หุม มี โพรงวาง เรียกวา ชองระหวางเย่ือหมุ ปอด

ระบบยอ่ ยอาหาร 14 Digestive System ระบบย่อยอาหาร 1.ชอ่ งปาก - ตอ่ มนาลายใตห้ ู (Parotid) - ตอ่ มนาลายใตโ้ คนลนิ (Sub lingual) - ตอ่ มนาลายใตฟ้ นกรามลา่ ง (Sub maxillary) 2.หลอดอาหาร 3.กระเพาะอาหาร 4.ลาํ ไสเ้ ลก็ 5.ลาํ ไสใ้ หญ่ - กระเพาะอาหาร - ลาํ ไสเ้ ลก็

ชอ งปาก 15 ภายในประกอบดว ย ฟั น ท่ี มีหนาท่ีในการบดเคยี ้ วอาหาร ลนิ ้ มหี นาท่ีในการคลกุ เคลา อาหาร ต่อมนาํ ลายทสี าํ คัญ 3 คู่ คอื - ตอมนํ้าลายใตหู - ตอมนํ้าลายใตโ คนลนิ ้ - ตอ มนํ้าลายใตฟั นกรามลา ง

หลอดอาหาร 16 ประกอบขึน้ ดวย กลามเนื้อเรียบท่ีสามารถ บบี ตัวเป็ นจงั หวะในขณะ ท่ีอาหารผานลงมา ในทาง เดนิ อาหารสว นนีไ้ มม ีการ สรา งนํ้ายอยออกมา แตม ี การหล่งั สารเมอื กชว ย หลอล่ นื

กระเพาะอาหาร 17 ประกอบขนึ้ ดวยกลามเนื้อเรียบท่อี ดั กนั หนามาก ดา นในมีลักษณะเป็ นสันชว ยใน การบดอาหารใหม ีขนาดเล็กลงอีก

18 ลาํ ไสเล็ก เป็ นทางเดินอาหาร สวนท่ยี าวมาก แบง เป็ น 3 สว น คอื ดูโอดนี ัม เจจู นัมและไอเลยี ม ท่ผี นังลําไสเลก็ สามารถสรา งนํ้ายอ ยขึน้ มาได ซ่งึ มีหลายชนิด นอกจากนํ้าท่ีลําไสเ ลก็ สวนดโู อดี นัม ยงั ไดรบั นํ้ายอยจากตับออ น และนํ้าดมี าจาก ตับ นํ้ายอ ยจากตับออนมีหลายชนิดท่ีสามารถยอย คารโ บไฮเดรต โปรตีนและไขมันได

ลาํ ไสใ หญ 19 เป็ นทางเดนิ อาหาร สว นสุดทาย ซ่งึ ไมมี การยอยเกดิ ขึน้ จงึ ทาํ หนาท่ใี นดา นการดูด ซมึ นํ้า เกลอื แรแ ละ วติ ามนิ บางชนิด - กระเพาะอาหาร สว น ใหญเ ป็ นการดูดซึมสาร จาํ พวกยาและแอลกอฮอล เป็ นสวนใหญ - ลําไสเล็ก มีการดดู ซมึ อาหารทกุ ประเภทมากท่ีสดุ โดยผนังของลาํ ไสเ ลก็ จะมี สว นย่ืน

20 ระบบประสาท Nervous system 1.ระบบประสาทสว่ นกลาง 2. ระบบประสาทสว่ นปลาย

ระบบประสาทสว นกลาง 21 คอื ระบบศนู ยก ลางการ ควบคุมการทํางานของรางกาย ทัง้ ดานกลไกการเคล่ือนไหว ของกลามเนื้อโครงรางและ กระดูกรวมถึงการตอบสนอง ทางปฏกิ ิรยิ าเคมภี ายใตอ าํ นาจ ของจิตใจประกอบดวยเสน ประสาทจาํ นวนหลายลา นเสน ทําหนาท่ีจัดสง ขอ มลู ในรปู ของกระแส ประสาทจากศนู ยก ลางการควบคมุ ซ่ึง ประกอบดวยอวยั วะสาํ คัญ 2 สวน คอื สมองและไขสันหลังท่ที ํางานรว มกนั ผา น เซลลป ระสาท มหี นาท่ีประสานงานการรบั และสง ขอ มลู หรือกระแสประสาท จากทุก สว นของรา งกาย

ระบบประสาทสว นปลาย 22 ทําหนาท่รี ับและสงกระแส ประสาทหรือขอมลู ท่ไี ดรับ จากสวนตางๆของรา งกาย เขาสสู มองและไขสนั หลงั ซ่ึง เป็ นศูนยก ลางการควบคุม และประมวลผลและนํ าคําส่ัง หรือผลของส่ิงเราท่ีไดจ าก การประมวลผลสง ตอ ไป ปฏิบตั ิยังหนวยรับความรูสกึ อวยั วะรบั สัมผสั ตา งๆรวมถงึ เซลล ประสาทและเสน ประสาทท่อี ยนู อกระบบ ประสาทสวนกลางเพ่ือใหร า งกายตอบ สนองตอ ส่งิ เราไดอ ยางถกู ตอง เชน ความ รูสกึ เจบ็ ปวดความรสู ึกรอ นและเยน็ การรบั รแู รงกดทับท่ผี วิ หนังและการเคล่ือนไหว ของรา งกาย เป็ นตน

ระบบไหลเวยี นโลหติ 23 Vascular system 1.เลือด -นํ้าเลอื ด(Plasma) -เลอื ดท่ไี มเ ป็ นของเหลว ประกอบดวย เซลลเ ม็ดเลอื ดเเดง เซลลเ ม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด 2.หลอดเลอื ด(Blood Vessels) -หลอดเลอื ดเเดง(Artery) -หลอดเลอื ดดาํ (Vein) -หลอดเลือดฝอย(Capillaries) 3.หัวใจ

ระบบไหลเวยี นโลหติ 24 มีหนาท่ใี นการเคล่อื นยาย เลอื ด สารอาหาร ออกซเิ จนคารบ อนไดออกไซดและฮอรโมน เขา และ ออกจากเซลล หากไมมีระบบนี ้ - เลือด (Blood) เลือดประกอบไปดวยสวนท่ีเป็ น ของเหลว คือ นํ้าเลือดกบั สวนท่ไี มเ ป็ นของเหลว คือ เซลลเ มด็ เลอื ดแดงเซลลเ ม็ดเลือดขาว และเกลด็ เลอื ด

- นํ้าเลือด ทําหนาท่ลี าํ เลยี งอาหารท่ีถูก 25 ดูดซมึ จากลาํ ไสเ ล็กไปสเู ซลลท่ัวรา งกาย พรอ มกบั การลําเลยี งของเสยี ท่ีเป็ น ของเหลวจากเซลล เชน ยูเรีย มาสไู ต ซ่งึ ไตจะสกัดเอาสารยเู รยี แลวขบั ถา ยออก มาในรูปของปั สสาวะ - เซลลเ มด็ เลอื ดแดง ทาํ หนาท่ขี นสง ออกซิเจน จากปอดไปสูเซลลท ่วั รา งกาย และ ขนสง คารบอนไดออกไซด ซ่ึงเป็ นของเสีย จากเซลลม าสูถ ุงลมในปอด เพ่อื ขับถายออก นอกรางกายทางลมหายใจออกหลงั จากนัน้ จะ ถูกสง ไปทําลายท่ีตบั และมาม

- เซลลเ ม็ดเลือดขาว ทาํ หนาท่ีป องกนั 26 รา งกายจากเชอื้ โรคและสารแปลกปลอม ตาง ๆ เมด็ เลือดขาวมหี ลายชนิด พบได ท่วั ไปในรางกาย รวมไปถึงในเลือดและ ในระบบนํ้าเหลือง - เกล็ดเลอื ด มีหนาท่ี ชว ยใหเ ลอื ดแข็งตวั เวลา เกิดบาดแผลเล็กๆโดย เกล็ดเลอื ดจะหล่ัง เอนไซมเ พ่อื ชวยใหเ ลือด แข็งตัว มกี ารจับตวั เป็ น กอ นเพ่อื ขวางทางไหล ของเลือดและอดุ บาดแผลทําใหเลอื ดหยุด ไหลและลดการสูญเสยี เลอื ด

หลอดเลอื ด 27 หลอดเลอื ดเป็ นหลอดเลอื ดท่นี ําเลอื ดออก จากหวั ใจ ไปเลยี ้ งอวยั วะตาง ๆ ท่ัวรางกาย เป็ น เลอื ดท่ีมีปรมิ าณออกซิเจนสงู ลักษณะของหลอด เลือดแดงจะเป็ นชัน้ กลามเนื้อท่หี นา มีความ ยดื หยุนมาก ไมมลี ิน้ กัน้ ทนตอ แรงดนั เลอื ดท่ถี กู ฉีดออกจากหัวใจ หลอดเลอื ดแดง ทาํ หนาท่ลี าํ เลียงเลอื ดแดงท่ี ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจไปเลีย้ งสวนตาง ๆ ของ รางกาย ผา นทางหลอดเลือดแดงขนาดกลาง มีช่อื ตามอวัยวะท่ีนําเลอื ดไปเลยี ้ ง อาทิ -หลอดเลือดเลอื ดหวั ใจ (Coronary artery) -หลอดเลือดเลอื ดตับ (Hepatic artery) -หลอดเลอื ดไต (Renal artery

หลอดเลอื ดดํา (Vein) เป็ นหลอดเลอื ด ท่นี ํา 28 เลือดท่ีมีของเสยี และคารบอนไดออกไซดจาก สวนตาง ๆ ของรา งกายกลับเขาสหู ัวใจ เพ่อื สง ไป ฟอกท่ปี อด ลักษณะของหลอดเลอื ดดาํ มผี นังบาง มีความยดื หยนุ นอย มีลนิ ้ กนั้ แรงดันภายใน หลอดเลอื ดต่ํา หลอดเลือดดาํ เรยี งตามขนาดจาก ใหญไปเลก็ ไดเป็ น หลอดเลอื ดดําขนาดใหญ หลอดเลอื ดฝอย (Capillaries) เป็ นหลอดเลือดท่มี ขี นาดเลก็ มาก มองไมเหน็ ดวยตาเปลา เป็ นหลอด เลือดท่ีเช่อื มระหวา งหลอดเลอื ดแดง และหลอดเลือดดํา โดยจะแทรกอยใู น เนื้อเย่อื ตาง ๆ ของรางกาย เชน ผวิ หนัง กลา มเนื้อ สมอง และอวัยวะ อ่ืน ๆ

ระบบผวิ หนัง 29 Intergumentary System ผวิ หนังคนเราแบ่งออกได้เปน 2 ชัน 1. หนังกาํ พร้า (Epidermis) 2.หนังแท้ (Dermis)

30 หนังกาํ พร้า เป็ นผวิ หนังท่อี ยู ชนั้ บนสุด มี ลักษณะบางมาก ประกอบไปดวย เชลล เรยี งซอนกนั เป็ นชัน้ ๆ โดย เร่ิมตนจากเซลลช นั้ ในสดุ ตดิ กบั หนังแท ข่ึงจะแบง ตัวเติบโตขึน้ แลว คอ ยๆ เล่ือu มาทดแทนเข ลลท ่ีอยูช นั้ บนจนถงึ ชัน้ บนสุด แลว ก็ กลายเป็ นขไี ้ คลหลดุ ออก ไป ในชนั้ ของหนัง กําพรา ไมม ีหลอด เลือด เสน ประสาท และตอ มตางๆ นอกจากเป็ นทางผาน ของรูเหง่อื เสน ขน และไขมันเทา นัน้

หนั งแท 31 เป็ นผวิ หนังท่อี ยชู ัน้ ลา ง ถัดจากหนัง กําพรา และหนากวาหนังกาํ พรา มาก ผิว หนัง ชัน้ นีป้ ระกอบไปดวยเนีอ้ เย่อื คอลลาเจนและอี ลาสติน หลอดเลอื ดฝอย เสนประสาท กลาม เนื้อเกาะเสนขน ตอ มไขมนั ตอ มเหง่ือ และขมุ ขนกระจายอยทู ่วั ไป

ระบบขบั ถา่ ย 32 Urinary system 1.อวยั วะ 2.ลาํ ไส้ 3.ปอด 4.ผวิ หนัง 5.ไต

ระบบขับถาย 33 ร่างกายของเราต้องใช้พลงั งานจงึ จะทํางานได้เรยบร้อย เชน่ เดยี วกับโรงไฟฟาขนาดใหญ่ ทีต้องใชน้ ํามันเชือเพลงิ แลว้ เปลยี นใหเ้ ปนพลงั งานอาหารคือเชอื เพลงิ หลกั ของเรา มนั \"เผา ไหม้\" ในเซลลร์ ่างกายเพอื สร้างพลังงานเหมือนกบั โรงไฟฟาที ร่างกายของเราก็ผลติ กากของเสียด้วย ของเสยี เหลา่ นจี าํ เปนต้อง ขับออกไปเพอื เราจะได้มีพลานามยั ทีดมี ี กากของเสียแบบตา่ ง ๆ

34 อวัยวะหนา้ ทใี นระบบขบั ถ่ายลําไส้ ลําไส = ขับกากท่เี ป็ นของแขง็ จากอาหาร ออกทางทวารหนั ก ปอด = ซ่งึ ขับแกส คารบ อนไดออกไซด ผิวหนัง =ซ่งึ ขบั นํ้าและเกลอื ออกในรปู ของ เหง่ือ ไต = ขับปั สสาวะ

ระบบสบื พนั ธุ์ 35 Reproductive system ระบบสืบพนั ธุเ์ พศหญิง 1. อณั ฑะ และถงุ อณั ฑะ 2. หลอดเกบ็ ตวั อสจุ ิ 3. หลอดนําตวั อสจุ ิ 4. ตอ่ มสร้างนาเลยี งอสจุ ิ 5. ตอ่ มลกู หมาก 6. ตอ่ มคาวเปอร์ 7. อวยั วะเพศชาย ระบบสืบพนั ธเุ์ พศชาย 1. รังไข่ 2. ทอ่ นําไข่ 3. มดลกู 4. ชอ่ งคลอด

ระบบสืบพนั ธเุ พศชาย 36 1. อัณฑะ (Testis) และถุงอัณฑะ (Scrotum) ทาํ หนาท่ปี รบั อุณหภมู ิภายในถงุ อัณฑะใหเ หมาะแกการ เจรญิ เติบโตของอสจุ ิ 2. หลอดเกบ็ ตัวอสจุ ิ เป็ นท่ีพกั ของตวั อสุจิท่สี รา งจากหลอดสรางตวั อสุจจิ ะอยู บรเิ วณดานบนของอณั ฑะตอเช่ือมกับหลอดนําตวั อสุจิ 3. หลอดนําตวั อสุจิ อยูตอจากหลอดเกบ็ อสจุ ิ ทําหนาท่ีลาํ เลียงอสุจิไปเก็บไว ท่ีตอมสรา งนํ้าเลยี ้ งอสุจิ

37 4. ตอมสรา งนํ้าเลยี ้ งอสจุ ิ(seminal vesicle) ทาํ หนาท่สี รา งอาหารใหแ กต วั อสุจิ 5. ตอ มลูกหมาก(prostate gland) ทาํ หนาท่ีหล่ังสารบางชนิดท่เี ป็ นเบสอยางออ น เขา ไปในทอ ปั สสาวะปนกบั นํ้าเลยี ้ งอสุจิ และสารท่ี ทาํ ใหตวั อสจุ แิ ข็งแรงและวอ งไว 6. ตอมคาวเปอร( cowper gland) มีหนาท่หี ล่งั สารของเหลวใสๆไปหลอล่ืน ทอปั สสาวะในขณะเกิดการกระตุนทางเพศ 7. อวยั วะเพศชาย(pennis) ทาํ หนาท่ีเป็ นทางผานของตัวอสจุ ิและนํ้า ปั สสาวะ

ระบบสืบพันธเุ พศหญิง 38 1. รังไข ทําหนาท่ผี ลิตไขแ ละฮอรโ มนเพศหญงิ ซ่งึ จะกาํ หนดลกั ษณะตางๆในเพศหญิง 2. ทอนําไข ทําหนาท่ีเป็ นทางผา นของไขท่อี อก จากรงั ไขเ ขาสูมดลกู และเป็ นบริเวณท่อี สจุ ิจะเขา ปฏิสนธิกบั ไข 3. มดลกู ทาํ หนาท่ีเป็ นท่ีฝั งตัวของไขท่ไี ดร บั การ ผสมแลว และเป็ นท่ีเจรญิ เตบิ โตของทารกในครรภ 4. ชอ งคลอด อยตู อ จากมดลูกลงมา ทาํ หนาท่ีเป็ น ทางผานของตัวอสุจเิ ขา สมู ดลกู และเป็ นทางออกของ ทารกเม่ ือครบกําหนดคลอด

ระบบทางเดนิ อาหาร 39 Endocrine system 1.ปาก( Mouth) 2.หลอดอาหาร ( Esophagus) 3.กระเพาะอาหาร ( Stomach) 4.ตบั ออ น (Pancreas) 5. ถุงนํ้าดี (Gallbladder) 6.ลําไสเล็ก ( small intestine) 7.ลาํ ไสใ หญ ( large intestine)

ชอ งปาก (Mouth cavity) 40 เม่ือคณุ เร่ิมเคีย้ วอาหาร ฟั นทาํ หนาท่ีบด อาหารใหเ ป็ นชิน้ เลก็ ตอ มนํ้าลายจะผลิต นํ้าลายออกมาคลุกเคลา กบั อาหาร เพ่อื ใหงาย ตอ การกลนื และเคล่ือนผานไปยังสว นตอไป หลอดอาหาร (Esophagus) หลังจากท่ีเรากลืนอาหารผา นลําคอลงไป อาหารจะเคล่ือนผา นหลอดอาหาร เคล่ ือนไหวของหลอดอาหารใหกอนอาหาร ท่กี ลนื ลงไปตกลงสูกระเพาะอาหาหาร

กระเพาะอาหาร (Stomach) 41 เม่ืออาหารเคล่ือนมายังกระเพาะอาหาร กอ นอาหารจะกระตนุ ใหก ระเพาะอาหารเกดิ การเคล่ือนไหว หรือเกิดการบีบตัวและ คลายตัว เพ่ือเป็ นการคลุกเคลา อาหารใหทาํ ผสมกับนํ้ายอยท่ี หล่งั ออกมจากตอ มไรทอ ตบั ออ น (Pancreas) ตบั ออนทําหนาท่ีในการผลิตนํ้ายอ ยซ่งึ เป็ นเอนไซมหลายชนิด และ มบี ทบาทในการยอยอาหารจาํ พวกโปรตีน คารโบไฮเดรต และไข มนั นํ้ายอ ยท่ผี ลติ โดยดับออนจะลาํ เลียงผา นทอ มาสทู างเดิน อาหารท่ลี าํ ไสเ ลก็ สว นตน

ตับ (Liver) 42 บทบาทของตบั ในระบบทางเดิน อาหารคอื ทาํ หนาท่ีผลติ นํ้าดี เพ่อื ชว ยการยอ ยไขมนั และวติ ามินบาง ชนิด โดยนํ้าดีท่สี รางจากตบั จะเกบ็ ไวท ่ีถงุ นํ้าดีและลาํ เลียงเขา สทู างเดนิ อาหารบรเิ วณลําไสเลก็ สว นตว ถุงนํ้าดี (Gallbladder) ทาํ หนาท่เี ก็บนํ้าดี (Bile) ท่ผี ลติ มาจากตบั และปลอ ยนํ้าดเี ขา สทู างเดินอาหารผาน ทอ นํ้าดี เม่อื มีอาหารเคล่ือนผา นมายัง ลําไสเ ลก็ สวนตน

ลาํ ไสเ ล็ก (Small intestine) 43 ลําไสเ ลก็ ทําหนาท่ีผลิตนํ้ายอย, คลุกเคลาอาหารท่ี ใหเขากับนํ้ายอยจากตับออน, และดดู ซึมสารอาหาร ท่ยี อยแลว สารอาหารทัง้ โปรตนี น คารโ บไฮเดรต และไขมัน ลําไสใ หญ (Large intestine) ภายในลําไสใ หญ นํ้าและเกลือแร รวมถึงวิตามนิ จะถกู ดูด ซมึ เขาสรู ะบบไหลเวยี นโลหิตผา นทางผนังลําไส และไมพ บ กระบวนการยอยอาหารเกิดขึน้ ในลาํ ไสใ หญ กากอาหาร ตา งๆ ท่เี หลอื จากการยอยจะถกู ขับออกจากรา งกายทางทวาร หนั ก

ระบบกระดกู 44 Skeletal system 1) กระดกู แกน (Axial Skeleton) 2) กระดูกระยาง (Appendicular Skeleton)

1) กระดูกแกน (Axial Skeleton) 45 เป็ นโครงกระดกู ท่เี ป็ นแกนกลางของ รา งกาย ทําหนาท่คี ํา้ จนุ และป องกัน อนั ตรายใหแ กอ วัยวะสาํ คัญภายใน รางกาย 2) กระดกู ระยาง (Appendicular Skeleton) เป็ นกระดกู ท่ีเช่ือมตอกับกระดกู แกน มหี นาท่ี คํา้ จุนและเก่ยี วขอ งกบั การเคล่ือนไหวของ รา งกาย

46 1.ค้ําจุนโครงสรางของรา งกายและทําหน าที่รองรับอวัยวะตา ง ๆ ใหคงอยใู นตําแหนงท่เี หมาะสม 2.ป องกันอวยั วะภายในรางกายที่สาํ คญั เชน สมอง หัวใจ และ ปอด รวมไปถงึ หลอดเลือดและเสนประสาทท่ที อดยาวอยภู ายใน แนวกระดกู จากอันตรายและการกระทบกระเทือนตาง ๆ 3.เป็นที่ยึดเกาะของกลามเน้ือและเอน็ ท่ีทาํ ใหเกดิ การเคล่อื นไหว 4.ผลิตเม็ดเลอื ดชนิดตา ง ๆ และยงั เป็นแหลง สาํ รองของ แคลเซยี มทีส่ าํ คัญ

ระบบกลา้ มเนือ 47 Muscular system 1.กลา้ มเนือเรียบ (Smooth Muscle) 2.กลา้ มเนือหวั ใจ (Cardiac Muscle) 3.กลา้ มเนือลาย (Skeletal Muscle)

1. กลา มเนื้อเรยี บ (Smooth Muscle) 48 เป็ นกลามเนื้อท่ีทาํ งานนอกอาํ นาจจติ ใจ พบท่อี วัยวะ ภายในของรางกายเชน หลอดอาหาร หลอดเลอื ด เป็ นตน 2. กลามเนื้อลาย (Skeletal Muscle) เป็ นกลาม เนื้อท่ที าํ งานอยภู ายใตอํานาจจิตใจ เป็ นกลา ม เนื้อท่เี กาะอยูกบั กระดกู และมบี ทบาทสําคัญตอ การเคล่ือนไหวของรา งกาย 3.กลามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) เป็ นกลา ม เนื้อท่ีทํางานนอกอาํ นาจจติ ใจ พบท่หี ัวใจเพียงแหง เดียว

แบบทดสอบหลงั เรยน หนว่ ยการเรยนรู้ที 1 49 คําชแี จง ใหน้ กั เรยนเลือกคาํ ตอบทีถูกตอ้ งทีสดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. ระบบสืบพันธุของเพศหญงิ จะสิน้ สุดเม่ือใด ก. หลงั มปี ระจาํ เดือน ข. รังไขหยุดทํางาน ค. หลังตงั้ ครรภ ง. เสยี ชวี ิต 2. รังไขทําหน าที่อะไร ก. ปรับอณุ หภูมิในทอ รงั ไขและทออสุจิ ข. ผลิตอสุจทิ เ่ี ป็นเซลลส บื พันธขุ องเพศชาย ค. ผลิตเซลลไขท ่ีเป็นเซลลส ืบพันธขุ องเพศหญิง ง. เป็นที่ฝังตัวของไขท่ีไดร บั การผสมแลว 3. ถาเราปัสสาวะไมหยุด แสดงวาเกดิ ความผิดปกตใิ นตอมใด ก. ตอ มเพศ ข. ตอ มใตสมอง ค. ตอมไทรอยด ง. ตอ มหมวกไต 4. การปฏบิ ัตติ นอยางไรเป็นการชวยดูแลระบบสืบพันธุ ก. ลางอวยั วะเพศขณะอาบน้ํา ข. สวมใสเ ส้ือผาทีม่ ีราคาแพง ค. ไมอ าศัยอยูในชมุ ชนแออัด ง. กินผักและผลไม 5. อวยั วะในขอ ใด มหี น าท่กี รองฝนุ ละออง ก. จมูก ข. ปาก ค. ปอด ง. หลอดลม

6. หลอดเลือดดาํ มีหน าท่ีสําคญั อยา งไร 50 ก. สรา งเกลด็ เลอื ดทาํ ใหเลอื ดแข็งตัว ข. ลาํ เลียงแกส คารบอนไดออกไซด ค. ลาํ เลียงเลอื ดแดงไปสสู วนตา งๆของรางกาย ง. ลาํ เลยี งเลอื ดดําจากสวนตา งๆของรา งกายกลบั เขาสูหัวใจ 7. การปฏิบัตติ นอยางไรชวยดแู ลระบบหายใจ ก. กินอาหารท่มี ไี ขมนั มาก ข. ทําจติ ใจใหร า เรงิ แจมใส ค. ไมอยใู นท่ที ีม่ ผี สู บู บุหรี่ ง. นอนในหองท่มี เี คร่ืองปรับอากาศ 8. อวยั วะใดมสี ว นเกีย่ วขอ งกับระบบไหลเวยี นโลหิต ก. จมูก ข. ปอด ค. รังไข ง. ลาํ ไส 9. หัวใจหองบนขวามีหน าทอ่ี ะไร ก. สบู ฉีดเลือดไปเลยี้ งสว นตางๆ ของรางกาย ข. รบั เลอื ดจากสว นตางๆของรา งกาย ค. รับเลอื ดทฟ่ี อกแลวจากปอด ง. แลกเปลี่ยนเลอื ดจากปอด 10. เมด็ เลือดขาวมีประโยชนอยางไร ก. ทําลายเช้ือโรคหรือส่ิงแปลกปลอมทเี่ ขา สรู า งกาย ข. ชวยใหเ ลอื ดแข็งตัวไดเร็ว ค. ลาํ เลยี งแกส ออกซิเจน ง. เพิม่ แกส ออกซิเจน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook