ADV เ
รายงาน เรอ่ื ง การศกึ ษาบทเพลงร่วมสมยั ทม่ี เี น้อื หามาจากวรรณคดไี ทย เสนอ คณุ ครสู ายฝน โหจนั ทร์ โดย นางสาวสุธาทพิ ย์ หงสสตู ร ชนั้ ม.๖/๓ เลขท๒่ี นางสาวณฤดี สวุ รรณลอื ชนั้ ม.๖/๓ เลขท๑่ี ๙ นางสาวตรที พิ ยน์ ิภา กติ พิ งษพ์ ฒั นา ชนั้ ม.๖/๓ เลขท๒่ี ๐ นางสาวกนั ทลสั สุรสิ าร ชนั้ ม.๖/๓ เลขท๒่ี ๒ นางสาวมฑุ ติ า รุ่งวฒั นโยธนิ ชนั้ ม.๖/๓ เลขท๒่ี ๖ นางสาวณษมา เนตรทพิ ย์ ชนั้ ม.๖/๓ เลขท๓่ี ๓ รายงานน้เี ป็นสว่ นหน่งึ ของวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ โรงเรยี นมารยี อ์ ปุ ถมั ภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ก คำนำ รายงานเร่ือง การศกึ ษาบทเพลงรว่ มสมยั ท่มี ีเนอื้ หามาจากวรรณคดไี ทย เป็นรายงานสว่ นหนง่ึ ของ วชิ าภาษาไทยพนื้ ฐาน(ท๓๓๑๐๒) ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ศกึ ษาบท เพลงรว่ มสมยั ท่มี ีเนอื้ หามาจากวรรณคดีไทย ทางคณะผจู้ ดั ทาเหน็ วา่ เป็นหวั ขอ้ ท่นี า่ สนใจ และเป็นเร่ืองใกล้ ตวั โดยคณะผจู้ ดั ทาไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ และรวบรวม ขอ้ มลู จาก บทความ งานวจิ ยั วิทยานิพนธ์ โดยอาศยั กระบวนการคิดวเิ คราะห์ จนสาเรจ็ เป็นรายงานฉบบั นี้ คณะผจู้ ดั ทาหวงั เป็นอยา่ งย่ิงวา่ รายงานฉบบั นจี้ ะทาใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจ และมีขอ้ มลู ท่เี ป็นประโยชน์ เก่ียวกบั บทเพลงรว่ มสมยั ท่ีมีเนอื้ หามาจากวรรณคดไี ทย คณะผจู้ ดั ทา ๒๕/๑๑/๖๔
สำรบญั ข บทที่ หน้ำ คานา ก สารบญั ข บทนา ๑ บทท๑่ี บทเพลงร่วมสมัย ๒ ๑.๑ความหมายของบทเพลงรว่ มสมยั ๑๒ ๑.๒ท่มี าของบทเพลงรว่ มสมยั ๑.๓ความสาคญั ของบทเพลงรว่ มสมยั ๑.๔ลกั ษณะของบทเพลงรว่ มสมยั ๑.๕คณุ ค่าของบทเพลงรว่ มสมยั ๑.๖บทเพลงรว่ มสมยั ท่มี เี นอื้ หาเกี่ยวขอ้ งกบั วรรณคดีไทย บทท๒ี่ ควำมรู้เกยี่ วกับวรรณคดไี ทย ๒.๑ความหมายของวรรณคดไี ทย ๒.๒ประเภทของวรรณคดไี ทย ๒.๓วรรณคดไี ทยท่ที รงคณุ ค่า
สำรบญั ค บทท่ี ๓ หลกั กำรวเิ ครำะห์ ๒๙ ๓.๑ผปู้ ระพนั ธเ์ พลง ๓.๒ดา้ นเนือ้ หา ๕๑ ๓.๓ดา้ นท่วงทานองเพลงและจงั หวะ ๕๒ ๓.๔ดา้ นเครื่องดนตรี ๓.๕ดา้ นคณุ ค่า บทสรุป บรรณำนุกรม
๑ บทนำ ในปัจจบุ นั ผคู้ นนิยมฟังเพลงเป็นอย่างมากไมว่ ่าจะเป็น เพลงป๊ อบ เพลงลกู กรุง เพลงลกู ท่งุ เพลง สากล หรือโดยเฉพาะ บทเพลงรว่ มสมยั ซ่งึ เป็นเพลงท่ที าออกมาไดก้ า้ ก่ึงระหวา่ งของเก่ากบั ของใหม่และ สามารถเรียกอีกอย่างวา่ เพลงท่คี นรุน่ เก่าและคนรุน่ ใหมส่ ามารถฟังได้ เน่ืองจากมีการผสมผสานของดนตรี ใหเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั ในปัจจุบนั นอกจากนผี้ ปู้ ระพนั ธเ์ พลงบางกลมุ่ ยงั นาวรรณคดีท่เี ป็นวรรณคดีมรดกมา ดดั แปลงเป็นบทเพลง ซง่ึ สามารถทาใหป้ ระชาชนท่วั ไปเขา้ ถงึ วรรณคดีไทยยงิ่ ขึน้ เน่ืองดว้ ยสงั คมในปัจจุบนั นยิ มท่จี ะฟังเพลงมากกว่าการอา่ นหนงั สือ และเพลงท่มี ีเนือ้ หาเกี่ยวกบั วรรณคดีกไ็ ดร้ บั ความเป็นนยิ มอย่าง มากในชว่ งเวลาหน่ึงอกี ดว้ ย เพลงท่ไี ดน้ าเนอื้ หาจากวรรณคดมี าตีความตามมมุ มองของผปู้ ระพนั ธน์ นั้ เป็น อย่างไรเพราะเหตใุ ดเพลงถึงไดเ้ ป็นท่นี ิยมกนั ช่วงเวลานนั้ ๆ ซ่งึ เป็นคาถามท่ีคณะผจู้ ดั ทามคี วามสนใจ หลงั จากท่ไี ดศ้ กึ ษาบทเพลงรว่ มสมยั ท่มี ีเนอื้ หามาจากวรรณคดีไทย จงึ ไดจ้ ดั ทารายงานโดยมปี ระเด็นศึกษา หลกั ๆ ดงั นี้ บทเพลงรว่ มสมยั ความรูเ้ ก่ียวกบั วรรณคดไี ทย และหลกั การวิเคราะหเ์ พลง ซง่ึ สามารถติดตาม ไดจ้ ากรายงานฉบบั นี้
๒ ๑.บทเพลงร่วมสมยั ๑.๑ ควำมหมำยของบทเพลงร่วมสมัย อานนั ท์ นาคคง (๒๕๖๐) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ ดนตรรี ่วมสมยั ในความหมายอย่างเดียวกนั กบั ท่ใี ช้ ในการอธิบายในทางวิชาการของศิลปะตะวนั ตก ในนยิ ามนี้ ดนตรีรว่ มสมยั (Contemporary Music) หมายถงึ ดนตรที ่ีประพนั ธข์ นึ้ ในยคุ สมยั ท่กี าลงั สรา้ งผลงานชิน้ นนั้ ๆอยู่ หรืออาจหมายถงึ ดนตรที ่ีประพนั ธข์ นึ้ โดยใชเ้ ทคนิควธิ ีการประพนั ธด์ นตรีคลาสสิกท่เี กิดขนึ้ ในศตวรรษท่ี ๒๐ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ หลงั สงครามโลก ครงั้ ท่ี ๒ โดยมเี ทคนิคในการประพนั ธ์ เชน่ การลดการใชร้ ะบบโทนลั ในการประสานเสียง, การใชร้ ะบบอ โทนลั (Atonality)ในการประพนั ธด์ นตรี, ใชบ้ นั ไดเสียงหลากหลาย, การใชร้ ะบบเทยี บเสยี งแบบผสมผสาน (hybrid tuning system), ใชร้ ะบบอนกุ รม (Serial music) ในการประพนั ธเ์ พลง, การใชก้ ระสวนจงั หวะท่ี ไมป่ กติ โดยอาจมีการเปล่ียนตวั เลขกาหนดจงั หวะ (changing time signature), การใชต้ วั เลขกาหนด จงั หวะหลายตวั ในคราวเดยี ว (Polymeter), การยา้ ยกระสวนจงั หวะ (tempo modulation), การจดั จงั หวะแบบอนกุ รม (serialized rhythm) และแบบซา้ จงั หวะ (iso-rhythm), การใชเ้ ทคนิคในการประพนั ธ์ ดนตรจี ากวฒั นธรรมอ่นื ท่มี ิใชค่ ลาสสกิ ตะวนั ตกนบั ตงั้ แต่จาก ดนตรีป๊ อบแจส๊ ไปจนถึงดนตรีจีน-อินเดยี และดนตรีจากวฒั นธรรมอ่นื ๆในโลก, การใชค้ อมพิวเตอรม์ าเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ในการสรา้ งสรรคเ์ พลง และเรื่องของการผสมผสานดนตรรี ว่ มสมยั กบั มลั ตมิ ีเดยี ไพบลยู ์ กจิ สวสั ดิ์ (๒๕๓๕) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ คานิยามของ การรว่ มสมยั คือ ส่ิงท่ีเกิดขนึ้ ในยคุ ปัจจบุ นั ช่วงขณะเดยี วกนั ในโลกนแี้ ต่ละท่ีแต่ละแห่งบนพืนโลกกาลงั ทากิจกรรมอะไร กาลงั ดารงชวี ิตอยู่ อยา่ งไร น่นั คือ การรว่ มสมยั กิจกรรมบางอยา่ งอาจจะเป็นสิ่งท่เี กิดขนึ้ มานานแลว้ และยงั ยดื ถือปฏบิ ตั ิดารง อยู่ เช่น ศาสนา ประเพณี ในขณะท่ีบางอยา่ งเปลีย่ นแปลงไปทกุ ขณะ เชน่ แฟช่นั การแต่งกาย เทคโนโลยี ต่าง ๆ ดงั นนั้ มนษุ ยด์ ารงชีวิตอย่ดู ว้ ยความหลายหลาก โลกยคุ นีก้ ลา่ วไดว้ า่ เป็นยุคแหง่ ขา่ วสารและ การศึกษาตลอดชีวิต เราจึงควรตอ้ งแสวงหาความรูใ้ หม่ ๆ อย่เู สมอ เพ่ือจะไดเ้ ขา้ ใจและรูเ้ ท่าทนั การ เปลี่ยนแปลง แนวความคดิ เร่ือง ดนตรรี ว่ มสมยั อาจนยิ ามไดโ้ ดยอนมุ านกบั การรว่ มสมยั ของสิง่ อ่นื ๆ เชน่ วฒั นธรรม ประเพณี การดารงชีวติ บทความเพลดิ เพลนิ ไปกบั ดนตรรี ว่ มสมยั (๒๕๖๐) ไดใ้ หค้ วามหมายว่าดนตรีรว่ มสมยั ถา้ จะนิยาม ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยท่สี ดุ ก็คอื ดนตรีท่ถี กู ประยกุ ตผ์ สมผสานใหเ้ ขา้ กบั ยุคสมยั ของผฟู้ ังน่นั เอง ไม่วา่ เดมิ ทนี นั้ ดนตรี เดิมจะมาจาก เพลงชนเผ่า เพลงพนื้ บา้ นทอ้ งถ่ิน เพลงคลาสสิคสมยั เก่า หรือเพลงประเภทใดกต็ าม เม่ือ ผ่านยคุ สมยั มาแลว้ เพลงเหลา่ นไี้ ดห้ ลายเป็นพืน้ ฐานท่กี ่อใหเ้ กิดการสรา้ งสรรคด์ นตรีรว่ มสมยั ขนึ้ มา ในทกุ
๓ วนั ท่เี ราไดฟ้ ังไดเ้ สพดนตรีในแนวทางท่ีเราชอบ มีไมน่ อ้ ยทเี ดียวท่เี ราไดก้ าลงั ฟังดนตรีรว่ มสมยั ไปแลว้ อยา่ ง ไม่รูต้ วั เชน่ เพลงสว่ นใหญ่ของ เจสนั มแรซ ท่ดี งั ไปท่วั โลก เขาไดน้ าเอาดนตรจี ากหลายวฒั นธรรมท่ีได้ สมั ผสั เชน่ โฟรค์ และฮปิ ฮอบ มาผสมผสานกลายเป็นดนตรรี ว่ มสมยั ในแบบของเขา หรือดนตรไี ทยรว่ มสมยั ในบา้ นเรา เม่ือมีการนาเอาเพลงไทยเดิมมาปรบั ทาดนตรีขนึ้ ใหมใ่ หท้ นั สมยั ถกู รสนิยมของคนฟังในรุน่ ปัจจบุ นั เช่น เพลงลาวคาหอม ลาวดวงเดือน ท่ถี ูกนามาทาใหมใ่ หด้ นตรฟี ังงา่ ยขนึ้ ไพเราะและไม่เนบิ นาบ จนเกนิ ไป จากการศกึ ษาความหมายของบทเพลงรว่ มสมยั พบว่าบทเพลงรว่ มสมยั คือ การนาดนตรมี า ประยกุ ตผ์ สมผสานใหเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั ของผฟู้ ัง ไม่ว่าเดมิ ทีนนั้ ดนตรจี ะมาจาก เพลงชนเผ่า เพลงพนื้ บา้ น ทอ้ งถ่ิน เพลงคลาสสคิ สมยั เกา่ หรือเพลงประเภทใดก็ตาม เม่อื ผา่ นยุคสมยั มาแลว้ เพลงเหลา่ นไี้ ด้ กลายเป็นพืน้ ฐานท่กี ่อใหเ้ กิดการสรา้ งสรรคด์ นตรรี ว่ มสมยั จนกลายมาเป็นบทเพลงรว่ มสมยั ขนึ้ มาท่กี ลา่ ว มาขา้ งตน้ เป็นความหมายของบทเพลงรว่ มสมยั แต่บทเพลงรว่ มสมยั เป็นส่งิ ท่มี ีมายาวนานดงั นนั้ จาเป็นตอ้ ง ศกึ ษาท่มี าของบทเพลงรว่ มสมยั ประกอบดว้ ยถึงจะเขา้ ใจและเขา้ ถึงบทเพลงรว่ มสมยั้ อยา่ งเเทจ้ รงิ ๑.๒ ทม่ี ำของบทเพลงร่วมสมยั นริ ตรุ ์ แกว้ หลา้ (๒๕๖๓) ไดก้ ลา่ วถงึ การนาองคค์ วามรูท้ างดนตรชี าตพิ นั ธุเ์ พ่อื สรา้ งสรรคเ์ ป็น ดนตรรี ว่ มสมยั โดยนาเสียงบนั ทกึ บทเพลงใน งานภาคสนามของแตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธุผ์ สมผสานเสียงของ เคร่ืองดนตรีสากล ผ่านกระบวนการตดั ต่อ และเรียบ เรยี งดนตรีใหเ้ หมาะสม ซง่ึ ทาใหเ้ กดิ งานสรา้ งสรรค์ ศลิ ปะวฒั นธรรมรว่ มสมยั เพ่ือการสง่ เสรมิ ประชาสมั พนั ธผ์ า่ น สอื่ ออนไลนใ์ หร้ ูจ้ กั ดนตรชี าตพิ นั ธุใ์ นวงกวา้ ง ต่อไป อรวรรณ บรรจงศลิ ป์ (๒๕๔๗) ไดก้ ลา่ วถงึ วฒั นธรรมทางดนตรเี ปรยี บเสมือนโลกของดนตรี ทกุ สงั คมมนษุ ยม์ ีดนตรี แต่ดนตรมี ใิ ช่ Universal เพราะดนตรใี นความหมายของคนแตล่ ะกลมุ่ มีความแตกต่าง กนั วฒั นธรรมทางดนตรีประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๔ อย่าง ซ่งึ มีความสมั พนั ธก์ นั ไดแ้ ก่ ๑. แนวความคดิ เก่ียวกบั ดนตรี ๑.๑ ดนตรีและระบบความเช่ือ ความเช่อื ทางศาสนา ความเช่ือวา่ ดนตรมี ี ประโยชนห์ รือมโี ทษ ความเขา้ ใจหรือความไมเ่ ขา้ ใจในวฒั นธรรมในแต่ละกลมุ่ ชน
๔ ๑.๒ สนุ ทรยี ท์ างดนตรี คนแต่ละคนมคี วามเขา้ ใจเรอื่ งสนุ ทรยี ศาสตรไ์ มเ่ หมือนกนั แมว้ ่าจะเป็น คนกลมุ่ เดียวกนั เชน่ นกั รอ้ งคลาสสกิ ไมเ่ ขา้ ใจว่านกั รอ้ งแจส๊ มคี วามไพเราะอย่างไร ๑.๓ สภาพแวดลอ้ มทางดนตรี ความเจรญิ ทางสงั คมและเทคโนโลยี ก่อใหเ้ กิดสภาพ แวดลอ้ ม ใหม่ แมแ้ ต่ดนตรีกถ็ ูกสรา้ งสภาพแวดลอ้ มไดเ้ ชน่ เดยี วกนั เช่น ดนตรธี ุรกจิ ท่เี ปิดตลอดเวลาไมว่ ่า โทรทศั น์ วิทยหา้ งสรรพสินคา้ ฯลฯ ย่อมทาใหค้ นในสงั คมนนั้ อย่ใู นสภาพแวดลอ้ มดนตรีท่ถี กู สรา้ งขึน้ ตลอดเวลา ๒. ระบบสงั คมทางดนตรี ดนตรีไม่ใชเ่ ครื่องแบง่ ชนชนั้ แต่สงั คมและมนษุ ยต์ ่างหากท่แี บ่ง ชนชนั้ ทางดนตรี เช่น กลมุ่ คนทางาน ก็จะรอ้ งเลน่ แตเ่ พลงท่พี วกเขาชอบ คนท่มี ีการศกึ ษาสงู กน็ ยิ มเพลงดนตรีอีก ประเภทหนง่ึ ๓. บทเพลงสาหรบั แสดง ๓.๑ สไตลข์ องดนตรี (Style) คือ องคร์ วมอนั ไดแ้ ก่ ระดบั เสียง ทานอง จงั หวะ และการประสาน เสียง ๓.๒ ประเภทของเพลง (Qunres) คือ ช่อื ต่าง ๆ ท่จี ดั กลมุ่ ใหบ้ ทเพลง เช่น เพลง สรรเสรญิ (ตวั อย่างเช่นเพลง Chantsong , เพลง Praise song) เพลงเตน้ รา (เชน่ Waltz , Tango ) ๓.๓ คารอ้ ง (Texts) เกดิ จากความสมั พนั ธข์ องภาษากบั ดนตรี เพลงรอ้ งสามารถส่ือเขา้ ไปใน จิตใจไดโดยตรงกบั ผทู้ ่ีเขา้ ใจภาษานนั้ ๆ ๓.๔ การแต่งเพลง (Composition) เพลงทกุ เพลงลว้ นแต่งขึน้ มาโดยมีวตั ถปุ ระสงค์ ทงั้ สนิ้ การ แตง่ อาจแบ่งได้ ๒ ลกั ษณะใหญ่ ๆ คือ การแตง่ อย่ใู นกรอบ (Variation) และการแตง่ แบบอิสระทนั ท (Improvisation ) ความสาคญั ประการหน่งึ ของการแตง่ เพลง คือ การจดั ระเบียบสงั คม เพราะเพลงสะทอ้ น ถงึ แนวความคิดของคนในสงั คมนนั้ ๓.๕ การถ่ายทอด (Transmission) ตระกลู นกั ดนตรีมกั ถกู ถ่ายทอดมาดว้ ยการดตู วั อย่าง และ เลียนแบบ(Oral Tradition) สว่ นดนตรใี นระบบการศกึ ษาถ่ายทอดดว้ ยการเรียนรูอ้ ยา่ งเป็นแบบแผน ๓.๖ การเคลอ่ื นไหวรา่ งกายประกอบดนตรี (Movement) ดนตรกี ็ใหเ้ กิดการ เคลอ่ื นไหว ไม่วา่ จะเป็นดนตรีชนิดหยาบท่สี ดุ หรือละเอียดท่สี ดุ ก็ตาม ไม่สามารถแยกการเคล่ือนไหวรา่ งกายมนษุ ยอ์ อกจาก ดนตรีได้
๕ ๔. วฒั นธรรมทางดา้ นวสั ดขุ องดนตรี วสั ดดุ นตรี คือ สิ่งท่ีถกู จบั ตอ้ งไดท้ กุ อย่าง ไม่ว่า จะ เป็น เครื่องดนตรี หรือเอกสาร รวมถงึ การปฏิวตั ิของขอ้ มลู (Information Revolution) ในศตวรรษท่ี ๒๐ ดว้ ย อรวรรณ บรรจงศิลป์ (๒๕๔๗) ไดก้ ลา่ วถึงองคป์ ระกอบทงั้ ๔ ของวฒั นธรรมดนตรีท่กี ลา่ วมานี้ เป็นการอธิบายคาจากดั ความของดนตรีรว่ มสมยั ไดช้ ดั เจนขนึ้ แมด้ นตรีทกุ วนั นมี้ ีความเปล่ียนแปลงขึน้ ทกุ วนั มกี ารผสมผสานเพ่ือสรา้ งสงิ่ ใหม่ การอนุรกั ษด์ นตรีดงั้ เดิม การนาเสนอรูปแบบดนตรีในลกั ษณะใหม่ การสรา้ งระเบียบวีธีการทางดนตรีใหม่ ฯลฯ ความพยายามทงั้ หลายเหลา่ นมี้ ิไดท้ าใหด้ นตรมี หี นา้ ท่หี รือ บทบาทใหมข่ นึ้ แต่ประการใด แต่หากกบั ชีต้ วั ตนท่แี ทจ้ รงิ ของดนตรีใหช้ ดั เจนมากขึน้ อีก บทความเพลิดเพลนิ ไปกบั ดนตรรี ว่ มสมยั (๒๕๖๐) ไดก้ ล่าววา่ เดิมทนี นั้ ดนตรีเดิมจะมาจาก เพลง ชนเผ่า เพลงพนื้ บา้ นทอ้ งถ่ิน เพลงคลาสสิคสมยั เก่า หรือเพลงประเภทใดกต็ าม เม่อื ผ่านยคุ สมยั มาแลว้ เพลงเหลา่ นไี้ ดห้ ลายเป็นพืน้ ฐานท่กี อ่ ใหเ้ กิดการสรา้ งสรรคด์ นตรรี ว่ มสมยั ขนึ้ มา ในทกุ วนั ท่เี ราไดฟ้ ังไดเ้ สพ ดนตรใี นแนวทางท่ีเราชอบ มีไมน่ อ้ ยทีเดียวท่เี ราไดก้ าลงั ฟังดนตรรี ่วมสมยั ไปแลว้ อยา่ งไมร่ ูต้ วั เช่น เพลง สว่ นใหญ่ของ เจสนั มแรซ ท่ีดงั ไปท่วั โลก เขาไดน้ าเอาดนตรีจากหลายวฒั นธรรมท่ีไดส้ มั ผสั เช่นโฟรค์ และฮปิ ฮอบ มาผสมผสานกลายเป็นดนตรีรว่ มสมยั ในแบบของเขา หรอื ดนตรไี ทยรว่ มสมยั ในบา้ นเรา เม่ือมี การนาเอาเพลงไทยเดิมมาปรบั ทาดนตรีขนึ้ ใหมใ่ หท้ นั สมยั ถกู รสนิยมของคนฟังในรุน่ ปัจจบุ นั เชน่ เพลง ลาวคาหอม ลาวดวงเดือน ท่ีถกู นามาทาใหม่ใหด้ นตรีฟังง่ายขนึ้ ไพเราะและไม่เนิบนาบจนเกินไป ท่มี าของบทเพลงรว่ มสมยั ก่อนท่ีจะมาเป็นบทเพลงรว่ มสมยั นนั้ ตน้ กาเนิดของบทเพลงรว่ มสมยั เดมิ ทมี าจากการศกึ ษาลกั ษณะของดนตรีเพลงชนเผ่า เพลงพนื้ บา้ นทอ้ งถ่ิน เพลงคลาสสคิ สมยั เก่า และ เพลงประเภทอ่นื ๆอีกมากมาย เม่อื ผ่านยคุ สมยั มาแลว้ เพลงเหลา่ นไี้ ดก้ ลายเป็นพืน้ ฐานท่กี ่อใหเ้ กดิ การ สรา้ งสรรคด์ นตรรี ว่ มสมยั ขนึ้ มา โดยการนาองคค์ วามรูท้ างดา้ นดนตรีของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุต์ ่างๆมาผสมผสาน และสรา้ งสรรคจ์ นกลายมาเป็นดนตรีร่วมสมยั ท่ถี กู พฒั นาและเรียบเรียงเนือ้ หาจนกลายมาเป็นบทเพลงรว่ ม สมยั ใหเ้ ราไดฟ้ ังจนถงึ ทกุ วนั นี้ จากการศกึ ษาท่มี าของบทเพลงรว่ มสมยั กท็ าใหเ้ ขา้ ใจถึงบทเพลงรว่ มสมยั มากขนึ้ จากเดมิ รูเ้ พยี งความหมายตอนนรี้ ูเ้ เละเขา้ ใจถงึ ท่ีมาซง่ึ ท่ีมากม็ คี วามนา่ สนใจปัจจบุ นั เพลงรว่ มสมยั เป็นท่รี ูจ้ กั อยา่ งแพรห่ ลายจงึ ทาใหบ้ ทเพลงรว่ มสมยั มีความสาคญั พอๆกบั บทเพลงท่วั ไป
๖ ๑.๓ ควำมสำคญั ของเพลงร่วมสมยั ศกั ดชิ์ ยั หริ ญั รกั ษ์ (๒๕๔๗) ใหค้ วามเห็นว่า เม่ือเราหนั มาพจิ ารณาว่า ดนตรถี กู สรา้ งขนึ้ มาทาไม จะพบว่าดนตรีถูกสรา้ งขนึ้ มารบั ใชม้ นษุ ยใ์ นหลายบทบาทหลายหนา้ ท่ี และหนา้ ท่หี นึ่งท่ดี นตรีถกู สรา้ ง ขนึ้ มากเ็ พ่อื นาเสนอในรูปแบบของอารมณ์ ความรูส้ กึ งานศิลปะชว่ ยใหม้ นษุ ยส์ ามารถแสดงออก ถ่ายทอด ความรูส้ กึ ความนกึ คดิ และดนตรีก็เป็นศิลปะชนั้ สงู สดุ ท่ีอยใู่ นรูปของนามธรรมอนั ไรข้ อบเขตขอ้ จากดั ท่ี มนษุ ยไ์ ดส้ รา้ งขึน้ มา ยคุ สมยั ตา่ ง ๆ เป็นตวั แบ่งเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ บนโลก โดยเรม่ิ ตน้ ตงั้ แตส่ มัยดกึ ดาบรรพ์ สมยั อารยธรรมโบราณ สมยั ตน้ และกลางครสิ ตศ์ ตวรรษ สมยั บาโรค สมยั คลาสสิค สมยั โรแมนติค และ สมยั ปัจจบุ นั การดนตรีในยุคต่าง ๆ กม็ เี อกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ท่สี ามารถบง่ บอกไดว้ ่ามาจากยคุ ใดและมี บทบาทอย่างไร นิรุตร์ แกว้ หลา้ (๒๕๖๓) ไดก้ ลา่ วถงึ การศกึ ษาวฒั นธรรมดนตรีกลมุ่ ชาตพิ นั ธุต์ า่ งๆ เพ่อื ใหเ้ รา ทราบถงึ ลกั ษณะเฉพาะของเคร่อื งดนตรี ความหมายบทเพลง องคป์ ระกอบของดนตรี โครงสรา้ งบทเพลง บนั ไดเสียง หรือโหมดท่ใี ชบ้ รรเลง จงั หวะบทเพลง อีกทงั้ ยงั ทราบถงึ บรบิ ทตา่ งๆ ท่ีบทเพลงชาตพิ นั ธุน์ าไปใช้ ประกอบ ทาใหผ้ ศู้ กึ ษาทราบถึงลกั ษณะเฉพาะ ทางดนตรีของแตล่ ะกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ การนาองคค์ วามรูท้ าง ดนตรีชาติพนั ธุเ์ พ่อื สรา้ งสรรคเ์ ป็นดนตรีรว่ มสมยั โดยนาเสียงบนั ทกึ บทเพลงใน งานภาคสนามของแต่ละ กลมุ่ ชาติพนั ธุผ์ สมผสานเสียงของเครอ่ื งดนตรีสากล ผ่านกระบวนการตดั ตอ่ และเรยี บ เรียงดนตรีให้ เหมาะสม ซง่ึ ทาใหเ้ กิดงานสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปวฒั นธรรมรว่ มสมยั เพ่อื การสง่ เสรมิ ประชาสมั พนั ธผ์ า่ น สอ่ื ออนไลนใ์ หร้ ูจ้ กั ดนตรชี าติพนั ธุใ์ นวงกวา่ งตอ่ ไป บทความเพลดิ เพลนิ ไปกบั ดนตรรี ว่ มสมยั (๒๕๖๐) ไดก้ ล่าวถงึ คาถามก็คอื ดนตรรี ว่ มสมยั ไดใ้ ห้ อะไรกบั ผฟู้ ังบา้ งนอกจากความร่นื รมยแ์ ละความไพเราะจากการฟัง ดนตรีรว่ มสมยั ในหลาย ๆ แนวมีการ ผสมผสานของวฒั นธรรม ความเป็นมา เร่ืองเลา่ ผา่ นอดีตซ่งึ ถกู ประยกุ ตร์ วมกบั ปัจจบุ นั น่นั คือความ นา่ สนใจและเสน่หท์ ่แี ตกตา่ งจากดนตรีประเภทอ่นื เชน่ ร๊อค แดนซ์ ฮิปฮอบ หรอื ป็อปท่วั ไป เป็นสีสนั และ รายละเอยี ดท่มี ีความแปลกจากถ่นิ ท่ีตา่ ง ๆ และยงั เป็นวธิ ีการหนง่ึ ซง่ึ ทาใหส้ งั คมแต่ละกลมุ่ สามารถรกั ษา รากเหงา้ ทางวฒั นธรรมดนตรีของตนไวไ้ ดจ้ ากการประยกุ ตด์ นตรพี ืน้ ถ่ินเดมิ เป็นดนตรีรว่ มสมยั อกี ดว้ ย
๗ จากการศกึ ษาความสาคญั ของบทเพลงรว่ มสมยั กไ็ ดท้ ราบว่าคือการรวบรวมนาเอกลกั ษณแ์ ละ เสยี งเฉพาะของเครอื่ งดนตรใี นแตล่ ะแนวเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั จงึ ทาใหเ้ กิดการผสมผสานทางวฒั นธรรมของแต่ละ กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ซ่งึ เป็นอกี วิธีหนึ่งท่ีชว่ ยใหส้ งั คมแต่ละกลมุ่ สามารถรกั ษารากเหงา้ ทางวฒั นธรรมดนตรีของ ตนไวไ้ ด้ อกี ทงั้ ดนตรนี อกจากจะทาใหร้ ูส้ กึ สนกุ เพลดิ เพลินแลว้ ดนตรียงั ถกู สรา้ งขนึ้ มาเพ่อื นาเสนอใน รูปแบบของอารมณ์ ความรูส้ กึ ซง่ึ ถือเป็นงานศิลปะอยา่ งหน่ึงท่ีชว่ ยใหม้ นุษยส์ ามารถแสดงออก ทาง ความรูส้ กึ ความนึกคิดไดง้ ่ายและเขา้ ใจไดม้ ากขนึ้ อีกดว้ ย ความสาคญั ของบทเพลงรว่ มสมยั ม่ีความสนใจ อยา่ งย่งิ ไมว่ า่ จะเป็นการผสมผสานวฒั นธรรมของแต่ละยุคเขา้ มาในเพลงหรือการใชด้ นตรีท่มี ีความ คลาสสคิ เขา้ มาเป็นสว่ นหนึง่ ของเพลงอกี สง่ิ หนึง่ ท่คี วรศึกษาเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจบทเพลงรว่ มสมยั มากขนึ้ นนั้ กค็ ือ ลกั ษณะของบทเพลงรว่ มสมยั เพราะถา้ ไดศ้ กึ ษาก็จะทาใหร้ ูถ้ งึ ลกั ษณะของบทเพลงร่วมสมยั ว่าเป็นอย่างไร มีความนา่ สนใจเพียงใด ๑.๔ ลกั ษณะของบทเพลงร่วมสมัย จกั รพรรดิ์ หนนู มุ่ ไดก้ ลา่ วถงึ ดนตรีในศตวรรษท่ี ๒๐ นไี้ ม่อาจท่จี ะคาดคะเนไดม้ ากนกั เน่อื งจากมี การเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ตามความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยีการเลอื่ นไหลทางวฒั นธรรม คน ในโลกเรม่ิ ใกลช้ ิดกนั มากขนึ้ (Globalization) โดยใชเ้ ครือข่ายคอมพวิ เตอร์ หรืออินเตอรเ์ นต็ (Internet) ใน สว่ นขององคป์ ระกอบทางดนตรีในศตวรรษนมี้ ีความซบั ซอ้ นมากขึน้ มาตรฐานของรูปแบบท่ใี ชใ้ นการ ประพนั ธแ์ ละการทาเสียงประสานโดยยึดแบบแผนมาจากสมยั คลาสสิก ไดม้ ีการปรบั ปรุงเปลยี่ นแปลงและ สรา้ งทฤษฎีขึน้ มาใหม่เพ่ือรองรบั ดนตรีอีกลกั ษณะคือ บทเพลงท่ปี ระพนั ธข์ นึ้ มาเพ่อื บรรเลงดว้ ยเคร่ือง ดนตรอี ีเลคโทรนิค ซ่งึ เสยี งเกิดขนึ้ จากคลน่ื ความถ่ีจากเคร่ืองอิเลคโทรนิค (Electronic) สง่ ผลใหบ้ ทเพลงมี สสี นั ของเสยี งแตกต่างออกไปจากเสยี งเครอื่ งดนตรีประเภทธรรมชาติ (Acoustic) ท่มี อี ยู่ อยา่ งไรก็ตาม การ จดั โครงสรา้ งของดนตรยี งั คงเนน้ ท่อี งคป์ ระกอบหลกั ๔ ประการเหมือนเดิม กลา่ วคอื ระดบั เสยี งความดงั ค่อยของเสยี ง ความสน้ั ยาวของโนต้ และสสี นั ของเสียง คมสนั ต์ วงคว์ รรณ์ (๒๕๖๔ ) ไดก้ ลา่ วถงึ ดนตรใี นศตวรรษท่ี ๒๐ นไี้ มอ่ าจท่จี ะคาดคะเนไดม้ ากนกั เน่ืองจากมีการเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเรว็ ตามความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยี การเลอื่ นไหลทาง วฒั นธรรม คนในโลกเร่มิ ใกลช้ ดิ กนั มากขนึ้ (Globalization) โดยใชเ้ ครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออินเตอรเ์ น็ต (Internet) ในสว่ นขององคป์ ระกอบทางดนตรีในศตวรรษนมี้ คี วามซบั ซอ้ นมากขนึ้ มาตรฐานของรูปแบบท่ใี ช้
๘ ใน การประพนั ธแ์ ละการทาเสยี งประสานโดยยดึ แบบแผนมาจากสมยั คลาสสกิ ไดม้ กี ารปรบั ปรุง เปลี่ยนแปลงและสรา้ งทฤษฎีขนึ้ มาใหม่เพ่อื รองรบั ดนตรีอกี ลกั ษณะคือ บทเพลงท่ปี ระพนั ธข์ นึ้ มาเพ่อื บรรเลงดว้ ยเครื่องดนตรีอีเลคโทรนิค ซง่ึ เสียงเกิดขนึ้ จากคลืน่ ความถี่จากเคร่ืองอิเลคโทรนคิ (Electronic) สง่ ผลใหบ้ ทเพลงมสี สี นั ของ เสยี งแตกต่างออกไปจากเสยี งเครื่องดนตรีประเภทธรรมชาติ (Acoustic) ท่มี อี ยู่ อยา่ งไรก็ตาม การจดั โครงสรา้ งของดนตรยี งั คงเนน้ ท่อี งคป์ ระกอบหลกั ๔ ประการเหมือนเดมิ กลา่ วคือ ระดบั เสียง ความดงั ค่อยของเสยี ง ความสน้ั ยาวของโนต้ และสสี นั ของเสยี ง คมสนั ต์ วงคว์ รรณ์ (๒๕๕๑ ) ไดก้ ลา่ วถึงดนตรีสมยั โรแมนตกิ มีลกั ษณะของแนวทานองท่ีเต็มไป ดว้ ยการบรรยายความรูส้ กึ มีแนวทานองเด่นชดั ลกั ษณะการแบ่งวรรคตอนเพลงไมต่ ายตวั การประสาน เสยี งไดพ้ ฒั นาต่อจากสมยั คลาสสิกทาใหเ้ กิดการคิดคอรด์ ใหม่ ๆ เพิม่ ขนึ้ เพ่ือใชแ้ สดงออกถงึ อารมณแ์ ละ ความรูส้ กึ มีการนาคอรด์ ท่เี สียงไม่กลมกลืนมาใชม้ ากขนึ้ มีการใชโ้ นต้ นอกคอรด์ บนั ไดเสยี งท่ีมีโนต้ ครง่ึ เสียง (chromatic scale) การเปลย่ี นบนั ไดเสียงหนึง่ ไปอีกบนั ไดเสียงหนง่ึ อย่างคาดไม่ถงึ การประสาน เสียงแบบสหศพั ท์ (homophony) ยงั คงเป็นลกั ษณะเด่นสืบเน่อื งมาจากสมยั คลาสสกิ การใชเ้ สียงดงั -เบา มี ตงั้ แต่ ppp ไปจนถงึ fff คีตลกั ษณข์ องเพลง (form) ยงั คงเป็นแบบโซนาตาฟอรม์ แบบสมยั คลาสสิก แตม่ ี ความยืดหย่นุ ของโครงสรา้ ง คมสนั ต์ วงคว์ รรณ์ (๒๕๕๑ )ไดก้ ลา่ วถงึ ในยคุ นีด้ นตรีบรรเลงและบทเพลงสาหรบั เปียโน เป็นท่ี นิยมประพนั ธก์ นั มากขนึ้ ลกั ษณะของวงออรเ์ คสตราจะมีขนาดใหญ่ขนึ้ ตามแต่ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงจะกาหนด เพลงคฤหสั ถห์ รือเพลงสาหรบั ชาวบา้ นเป็นท่นี ิยมประพนั ธก์ นั แตเ่ พลงโบสถก์ ็ยงั คงมีการประพนั ธอ์ ยู่ เช่นกนั ในลกั ษณะของเพลงแมส ท่ใี ชเ้ พ่ือประกอบศาสนพธิ ี และเพลงเรเควยี ม ท่ใี ชใ้ นพิธีศพ สาหรบั บท เพลงอปุ รากร และเพลงรอ้ งกม็ พี ฒั นาการควบค่ไู ป เนือ้ รอ้ งมีตงั้ แต่การลอ้ การเมือง ความรกั ไปจนถึงเรื่อง โศกนาฏกรรม ลกั ษณะของบทเพลงรว่ มสมยั ดนตรใี นศตวรรษนมี้ ีการเปล่ยี นแปลงเป็นอย่างรวดเรว็ ตามความ เจรญิ กา้ วหนา้ ดา้ นเทคโนโลยีการเล่ือนไหลทางวฒั นธรรมในสว่ นองคป์ ระกอบของดนตรใี นศควรรษนมี้ ี ความซบั ซอ้ นมากขนึ้ ตามมาตรฐานของรูปแบบท่ีใชใ้ นการประพนั ธ์ เชน่ ดนตรีสมยั โรแมนติกมีลกั ษณะ ของทานองท่ีเตม็ ไปดว้ ยการบรรยายความรูส้ กึ ทานองชดั เจน การประสานเสยี งไดพ้ ฒั นาตอ่ จากสมยั เพลง คลาสสิค ทาใหเ้ กิดคอรด์ ใหม่ๆเพ่อื ใชแ้ สดงอารมณแ์ ละความรูส้ กึ จากการศึกษาลกั ษณะของบทเพลงรว่ ม
๙ สมยั แลว้ ไดพ้ บลกั ษณะท่ีหลากหลายของบทเพลงรว่ มสมยั และบทเพลงรว่ มสมยั จากท่ไึ ดศ้ กึ ษามาไดพ้ บ คณุ ค่าหลากหลายประการ ๑.๕ คุณคำ่ ของบทเพลงร่วมสมัย จริ ายทุ ธ รุกไพรี , นฤมล ทกั โลวา (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงคณุ คา่ ของเพลงไทยสมยั ใหม่ผลปรากฏว่า พบขอ้ มลู ๕ ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรกั ดา้ นความเช่ือ ดา้ นการดาเนนิ ชีวิต ดา้ นวิถีชีวติ วฒั นธรรม และ ขนบธรรมเนยี มประเพณี และดา้ นคาสอน นิโลบล วงศส์ วุ รรณ (๒๕๖๓) ไดก้ ลา่ วถึงคณุ ค่าของบทเพลงรว่ มสมยั ประกอบดว้ ยคณุ คา่ ๒ ประการ คือ (๑) คณุ ค่าอนั เกิดจาก ความคิดท่ดี ีงาม และ (๒) คณุ ค่าอนั เกิดจากการใชภ้ าษาท่งี ดงาม หรอื หากมองในเชงิ คณุ ค่าทางมนษุ ยศาสตร์ คณุ คา่ ของงานวรรณคดมี ีพนื้ ฐานอย่บู นเง่อื นไขอกี ๓ ประการ คือ ความจรงิ (truth) ความงาม (beauty) และ ความดี (goodness) อนั จะเป็นคณุ ค่าท่สี ามารถถ่ายทอดจาก มนษุ ยส์ มู่ นษุ ยไ์ ดอ้ ยา่ งมพี ลงั ผา่ นสนุ ทรียรสของวรรณคดี ชดิ ชนก ผลาผล (๒๕๖๑) ไดก้ ลา่ วถงึ คณุ ค่าทางวรรณศิลป์ ดา้ น การใชค้ า ภาพพจน์ และคณุ คา่ ทางสงั คม โดยการ ใชค้ าในบทเพลง มกี ารเลอื กคานามาใชแ้ บบเรียบง่าย สามารถจาแนกได้ ๖ ชนิดโดย เรยี งลาดบั จาก มากไปนอ้ ย ดงั นี้ การใชค้ าซา้ การใชค้ าในภาษาถ่นิ การใชค้ าซอ้ น การตดั คา การใชค้ า ภาษาตา่ งประเทศ การใชค้ าสแลง เพ่ือความไพเราะ สละสลวยใน บทเพลง และมีการเลือกใชค้ าใหเ้ ขา้ ใจ งา่ ย จากการศกึ ษาคณุ ค่าของบทเพลงรว่ มสมยั ประกอบดว้ ยคณุ ค่าหลายดา้ นเช่น ๑.ดา้ นความรกั ดา้ นความเช่ือ ดา้ นการดาเนินชีวติ ดา้ นวฒั นธรรมและขนบธรรมเนยี ม ปนะเพณีและคาสอน ๒. คณุ ค่าท่ี เกิดจากความคิดท่ดี งี าม คณุ คา่ ท่เี กิดจากการใชภ้ าษางดงามหรือคณุ ค่าทางมนษุ ยศาสตรค์ ือ ความดี ความงามและความดี ๓. คณุ ค่าทางวรรณศลิ ป์ ดา้ นการใชภ้ าพพจนแ์ ละ คณุ คา่ ดา้ นสงั คม การใชค้ าในบท เพลง คณุ คา่ ของบทเพลงรว่ มสมยั ไดพ้ บคณุ ค่าในบทเพลงมาก ในปัจจุบนั มบี ทเพลงท่มี ีเนอื้ หาเก่ียวขอ้ งกบั วรรณคดี
๑๐ ๑.๖ บทเพลงร่วมสมยั ทมี่ ีเนือ้ หำเกย่ี วของกบั วรรณคดี บทความศลิ ปินรุน่ ใหม่สรา้ งความรว่ มสมยั ถ่ายทอดวรรณคดไี ทยผ่านบทเพลง คมชดั ลกึ (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ ศิลปินรุน่ ใหม่สรา้ งความรว่ มสมยั ถา่ ยทอดวรรณคดไี ทยผ่านบทเพลง เร่มิ ท่ีเพลงท่ที ะลรุ อ้ ยลา้ น ววิ อยา่ ง “I'm sorry (สีดา)” ของวง “เดอะ รู๊บ (The Rube)” ท่นี าเรื่องราวจากวรรณคดีเรอื่ ง “รามเกียรติ”์ มา ถ่ายทอดออกมา ผสมผสานกบั ดนตรสี ไตลโ์ มเดิรน์ เทรดิช่นั นอล โดยเนอื้ หาเป็นเรื่องของความรกั ระหว่าง พระรามและนางสดี า ทางวงถา่ ยทอดในมมุ ของพระรามท่อี ยากขอโทษสีดา อีกหน่ึงเพลงจากวงเดอะ รู๊บ ท่ี นาเอาวรรณคดไี ทยมาใส่ คือ “FIN (วนั ทอง)” จากเร่ือง “ขนุ ชา้ ง ขนุ แผน” เป็นการถ่ายทอดผ่านบทเพลง โดยทาเป็นมิวสกิ ซีรสี ์ ในเพลง “FIN (วนั ทอง)” จะเลา่ ถึงความรูส้ กึ ของ “ขนุ ชา้ ง” ท่ีคิดถึงผหู้ ญิงสาวอนั เป็นท่ี รกั อย่าง “นางวนั ทอง” วรรณวิภา วงษเ์ ดือน ( ๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ บทเพลง I’m sorry (สดี า) ของศิลปินวง The Rube ยงั ไดร้ บั ความนิยมโดยมีผเู้ ขา้ ชมเพลงนี้ กว่าหน่งึ รอ้ ยลา้ นครงั้ และเกดิ เป็นกระแสของการแต่งเพลงโดยใช้ เนอื้ หาหรือตวั ละครจากวรรณคดี ไทยจานวนมาก และมกั จะใชช้ ่ือตวั ละครจากวรรณคดีไทยมาใชโ้ ดยนา ลกั ษณะพเิ ศษ หรอื พฤติกรรม ตวั ละครมาแตง่ เป็นบทเพลงไทยสากล การสรา้ งบทเพลงไทยสากลท่ีมาจาก ตวั ละครในวรรณคดีไทย นอกจากเรือ่ ง รามเกียรติ์ แลว้ ยงั มกี ารใชต้ วั ละครจากวรรณคดไี ทยเร่ืองอ่นื ๆ และ ท่เี ป็นท่รี ูจ้ กั เป็นอย่างดี เชน่ เพลง ขนุ ชา้ งฮา้ งฮกั จากวรรณคดีเร่ืองขนุ ชา้ งขนุ แผน เพลงผีเสือ้ สมทุ ร (รกั เกนิ จะหกั ใจ) จากเรื่องพระอภยั มณี เพลงจนิ ตะหราวาตี (คนท่ถี กู ลมื ) จากเร่ืองอเิ หนา เพลงไกรทอง จากเรื่อง ไกรทอง จิราพร จนั ทรเ์ รือง ( ๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงบทเพลงรว่ มสมยั ท่มี ีเนือ้ หาจากวรรณคดีเรอ่ื งรามเกียรติ์ เผยแพรบ่ นเว็บไซต์ YouTube ระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ ถงึ ปัจจบุ นั เน่อื งจากชว่ งเวลาดงั กลา่ วปรากฎ บทเพลงรว่ มสมยั ท่มี ีเนอื้ หามาจากวรรณคดี จานวนมาก โดยคดั เลอื กจากบทเพลงท่ีมเี นอื้ หาหรือช่ือเพลง เกี่ยวกบั วรรณคดีเรอ่ื งรามเกียรติโ์ ดยตรง จานวน ทงั้ หมด ๑๐ เพลง ไดแ้ ก่ ๑. เพลง I'M SORRY (สีดา) รอ้ งโดย The Rube รอ้ งโดย มิก๊ ซ์ เซมเบ้ ๒. เพลง พระราม (ขอโทษท่ีหเู บา)
๑๑ รอ้ งโดย ทศกณั ฐ์ ๓. เพลง ตวั รา้ ยท่ีรกั เธอ รอ้ งโดย ธชย ประทมุ วรรณ ๔. เพลง หวั ใจทศกณั ฐ์ (Devil's Heart) ๕. เพลง หนมุ าน (ก็คิดถึง) รอ้ งโดย ธชย ประทมุ วรรณ ๖. เพลง พระลกั ษมณ์ (ผเู้ สียสละ) รอ้ งโดย แต้ ศลิ า ๗. เพลง สวุ รรณมจั ฉา (สพุ รรณมจั ฉา) รอ้ งโดย Feedback Band รอ้ งโดย บหุ ลนั คชรม ๘. เพลง คนขา้ งเธอ รอ้ งโดย วิรดา วงศเ์ ทวญั ๙. เพลง ในหนง่ึ ใจ มีหนง่ึ เดียว (จากใจ สีดา) รอ้ งโดย ภผู า วฒั นาปรีดากลุ และวรญา เจรญิ ศิลป์ ๑๐. เพลง พระรามอกหกั รอ้ งโดย ปืน ซีพราย จากการศกึ ษาคณุ ค่าของบทเพลงรว่ มสมยั ไดพ้ บคณุ คา่ ในบทเพลงมาก ในปัจจบุ นั มีบทเพลงท่มี ี เนอื้ หาเก่ียวขอ้ งกบั วรรณคดีมีศลิ ปินรุ่นใหมส่ รา้ งความรว่ มสมยั ถ่ายทอดวรรณคดไี ทนผา่ นบทเพลง เร่มิ ท่ี เพลงทที ะลรุ อ้ ยลา้ นวิว I’m sorry สีดา ของวง เดอะ รูบ๊ ท่ีนาเรอ่ื งราวจากวรรณคดเี รื่อง “รามเกียรต”ิ์ มา ถา่ ยทอด โดยเนือ้ หาเป็นเรอื่ งของความรกั ระหวา่ งพระรามและนางสีดา โดยทางวงไดถ้ ่ายทอดในมมุ มอง ของพระรามท่ีอยากขอโทษนางสีดาและยงั มีเพลงท่มี เี นอื้ หาเก่ียวขอ้ งกบั วรรณคดีไทยอีกมากมาย เช่น ๑. เพลง สองใจ ๒.เพลง พระราม ๓.เพลง หวั ใจทศกณั ฑ์ ๔.เพลง บษุ บาเสี่ยงเทยี น ๕.เพลง หนมุ าน
๑๒ ๒.ควำมรู้เก่ียวกับวรรณคดีไทย ๒.๑ ควำมหมำยของวรรณคดไี ทย ชลธิรา กลดั อยู่ (๒๕๖๔) ไดอ้ ธิบายว่า วรรณคดี มีความหมายท่ใี ชก้ นั ท่วั ไปสองประการ คือ ความหมายประการแรกไดแ้ ก่ หนงั สอื ท่เี รียบเรียงออกมาเป็นตวั หนงั สอื หรือนยั หน่งึ หมายถึงหนงั สือท่วั ไป น่นั เอง แตม่ ีเงาความหมายว่าเป็นหนงั สือเก่าถือเป็นมรดกท่สี ืบทอดกนั มาแตโ่ บราณ สว่ นความหมายท่ี สอง มีความหมายคลา้ ยคลงึ กบั คา \"กวนี พิ นธ\"์ คือถือว่าเป็นหนงั สอื ท่ไี ดร้ บั การยกย่องแลว้ จากกลมุ่ คนท่ี นบั ว่าเป็นคนชนั้ นาในวงการหนงั สือ มีนยั ลกึ ลงไปอีกว่ามีคณุ ค่าสูงสง่ เขา้ ขนั้ วรรณศลิ ป์ คือเป็นแบบอย่างท่ี ยกย่องเชิดชกู นั ต่อไป สคุ ดี-วรรณคดไี ทย (๒๕๕๘) ไดก้ ลา่ วถึงวรรณคดี เป็นวรรณกรรมท่ถี กู ยกย่องวา่ เขียนดี มคี ณุ ค่า สามารถทาใหผ้ อู้ า่ นเกิดอารมณส์ ะเทอื นใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใชภ้ าษาท่ไี พเราะ เหมาะแกก่ ารให้ ประชาชนไดร้ บั รู้ เพราะสามารถ ยกระดบั จติ ใจใหส้ งู ขึน้ รูว้ า่ อะไรควรหรือไมค่ วร อนั ว่าวรรณคดีนนั้ เม่ือ ผอู้ ่านไดอ้ า่ นแลว้ ทาใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ ซาบซงึ้ ต่ืนเตน้ ด่มื ด่า หนงั สือเลม่ ใดอ่านแลว้ มีอารมณเ์ ฉยๆ ไม่ซาบซงึ้ ตรงึ ใจและทาใหน้ ่าเบ่ือถือวา่ ไม่ใช่วรรณคดี หนงั สอื ท่ที าใหเ้ กิดความรูส้ ึกดม่ื ด่าดงั กลา่ วนจี้ ะตอ้ งเป็น ความรูส้ กึ ฝ่ายสงู คอื ทาใหเ้ กิดอารมณค์ วามนกึ คดิ ในทางท่ดี งี าม ไมช่ กั จงู ในทางท่ไี มด่ ี อลงกรณ์ พลอยแกว้ (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรือหนงั สือท่ไี ดร้ บั การ ยกย่องวา่ แตง่ ดี มีศิลป์ และมคี ณุ ค่าทางอารมณแ์ ละความรูส้ กึ ต่อผอู้ ่าน สามารถใชเ้ ป็นแบบแผนและ อา้ งอิงได้ วรรณคดีมีความหมายสองแบบ แตแ่ บบท่เี ขา้ ใจกนั ท่วั ไปนนั้ คือ วรรณคดีเป็นวรรณกรรมท่ีถกู ยก ย่องวา่ แตง่ ดี มีคณุ คา่ สามารถทาใหผ้ อู้ ่านเกิดอารมณส์ ะเทือนใจ เลน่ กบั ความรูส้ กึ ของผอู้ ่าน สามารถใช้ เป็นแบบอา้ งองิ ไดด้ งั นนั้ จากการศึกษาความหมายของวรรณคดพี บว่าวรรณคดีนนั้ มหี ลายประเภท ๒.๒ ประเภทของวรรณคดีไทย
๑๓ โคมามรุ ะ ซาจิน ( ๒๕๕๖) ไดก้ ลา่ วถงึ วรรณคดแี บง่ ออกเป็น ๒ ประเภทวรรณคดมี ขุ ปาฐะ คอื วรรณคดี แบบท่เี ล่ากนั มาปากตอ่ ปาก ไม่ไดบ้ นั ทกึ ไว้ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เช่น เพลงพนื้ บา้ น นิทาน ชาวบา้ น บทรอ้ งเลน่ วรรณคดีราชสานกั หรอื วรรรคดลี ายลกั ษณ์ เชน่ ไตรภมู พิ ระรว่ ง พระอภยั มณี อิเหนา ลลิ ิตตะเลง พา่ ย นาย จริ ายทุ ธ์ ควรสขุ (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถึงวรรณคดมี ขุ ปาฐะ คือ วรรณคดี แบบท่เี ลา่ กนั มาปาก ตอ่ ปาก ไมไ่ ดบ้ นั ทกึ ไว้ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เช่น เพลงพนื้ บา้ น นิทานชาวบา้ น บทรอ้ งเลน่ วรรณคดีราชสานกั หรอื วรรรคดลี ายลกั ษณ์ เชน่ ไตรภมู พิ ระรว่ ง พระอภยั มณี อิเหนา ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย นางสาวอรสา สินธุสะ (๒๕๖๓) ไดก้ ลา่ วถงึ วรรณคดมี ขุ ปาฐะ คือ วรรณคดี แบบท่เี ลา่ กนั มาปาก ตอ่ ปาก ไมไ่ ดบ้ นั ทกึ ไวเ้ ป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เชน่ เพลงพนื้ บา้ น นิทานชาวบา้ น บทรอ้ งเลน่ วรรณคดรี าชสานกั หรอื วรรณคดลี ายลกั ษณอ์ กั ษร เช่น ไตรภมู ิพระรว่ ง พระอภยั มณี อิเหนา ลลิ ิตตะเลงพา่ ย จากการศกึ ษาประเภทของวรรณคดพี บว่าแบ่งออกเป็น๒ประเภทวรรณคดแี บบมขุ ปาฐะ คือ วรรณคดที ่เี ลา่ ต่อกนั มาแบบ ปากต่อปาก ไมไ่ ดบ้ นั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เช่น เพลงพนื้ บา้ น บทรอ้ งเลน่ วรรณคดีราชสานกั คือ วรรณคดีท่ีบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร ซ่งึ วรรณคดเี หลา่ นลี้ ว้ นแลว้ แตม่ คี ณุ ค่า ทงั้ สนิ้ และยงั มีอีกหลายเร่อื งท่ไี ดถ้ กู ยกย่องใหเ้ ป็นวรรณคดที รงคณุ คา่ ๒.๓ วรรณคดีไทยทท่ี รงคุณคำ่ อลงกรณ์ พลอยแกว้ (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงคณุ คา่ ของวรรณคดี หรือวรรณกรรม นยิ มพิจารณา กวา้ งๆ ใน ๔ ประเด็น คือ
๑๔ ๑. คณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์ คอื ความสละสลวยของภาษากวี ซ่งึ สง่ ผลต่ออารมณข์ องผอู้ ่าน หรือ กลา่ วไดว้ ่า ทาใหผ้ อู้ ่านเกิดความสะเทอื นอารมณ์ เพราะตวั อกั ษรไดเ้ กาะกินใจผู้อา่ น จนเกดิ จนิ ตนาการ ตามบทประพนั ธ์ และมคี วามรูส้ กึ รว่ มในท่ีสดุ ๒. คณุ ค่าทางเนอื้ หา คอื สาระท่ีผอู้ า่ นไดร้ บั จะเป็นความรู้ หรือขอ้ คดิ กไ็ ด้ ๓. คณุ ค่าดา้ นสงั คม เพราะวรรณวรรณกรรมตา่ งๆ เป็นเครื่องสะทอ้ นความเป็นไปทางสงั คม วรรณกรรมท่ีดี จงึ ตอ้ งชว่ ยจรรโลงสงั คมได้ โดยสรา้ งความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งผคู้ นในสงั คมเดยี วกนั เพ่ือให้ เกดิ ความสงบสขุ ๔. การนาไปปรบั ใชช้ ีวิตประจาวนั คอื ผอู้ า่ นสามารถนาความรู้ แนวคิด หรอื บทสอนตา่ งๆ จาก วรรณกรรม ไปปรบั ใชใ้ นการดาเนินชีวิตไดจ้ รงิ เกือ้ กลู ปรชั ญา (๒๕๖๓) ไดก้ ลา่ วถงึ วรรณคดีมกั จะแสดงสภาพชีวิตของคนในสมยั ท่ีมกี าร ประพนั ธว์ รรณคดีเรื่องนนั้ ๆ ขณะเดียวกนั ก็มกั จะแทรกแนวคิดและปรชั ญาชวี ิตของกวีไว้ ดว้ ยกลวิธีอนั แยบยล จนก่อใหเ้ กิดอารมณส์ ะเทือนใจแกผ่ อู้ ่าน และชวนใหผ้ อู้ า่ นเกิดความรูส้ กึ รว่ มไปกบั กวีเสมอ จึง อาจกลา่ วไดว้ า่ วรรณคดีมีคณุ ค่าทงั้ ในทางประวตั ิศาสตร์ สงั คมและอารมณ์ ตลอดจนทรงคณุ ค่าในดา้ น คติสอนใจ และคณุ คา่ เชงิ วรรณฺศลิ ป์ ดว้ ย หรือจะกลา่ ววา่ วรรณคดีนบั เป็นทรพั ยส์ ินทางปัญญาตกทอดเป็น สมบตั ิทางวฒั นธรรมของชาติซง่ึ บรรพบรุ ุษไดอ้ ตุ สา่ หส์ รา้ งสรรคข์ นึ้ ดว้ ยอจั รยิ ภาพกย็ ่อมได้ ทงั้ นีเ้ พราะว่า การอ่านวรรณคดจี ะทาใหผ้ อู้ ่านไดท้ ราบวา่ มเี หตกุ ารณอ์ ะไรบา้ งท่ีประทบั ใจ บรรพบรุ ุษ สงั คมหรือสภาพ ชวี ิตความเป็นอย่ขู องคนในสมยั นนั้ ๆ มีลกั ษณะเป็นอย่างไร และกวมี ีกลวิธีการใชถ้ อ้ ยคาโวหารอย่างไร จงึ ทาใหผ้ ู้ ู อ่านไดร้ ่วมรบั รูถ้ ึงอารมณน์ นั้ ๆ สมเกียรติ ครูดา คาแหง (๒๕๕๔) ไดอ้ ธิบายว่า ๑) คณุ ค่าดา้ นวรรณศลิ ป์ คือ ความไพเราะของบทประพนั ธ์ ซ่งึ อาจทาใหผ้ อู้ า่ นเกดิ อารมณ์ ความรูส้ กึ และจนิ ตนาการตามรส ความหมายของถอ้ ยคาและภาษาท่ผี แู้ ตง่ เลือกใช้ เพ่อื ใหม้ คี วามหมายกระทบใจผอู้ ่าน ๒) คณุ คา่ ดา้ นเนือ้ หาสาระ แนวความคิดและกลวธิ ีนาเสนอ
๑๕ ๓) คณุ คา่ ดา้ นสงั คม วรรณคดแี ละวรรณกรรมจะสะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพของสงั คมและวรรณคดีท่ดี ี สามารถจรรโลงสงั คมไดอ้ ีกดว้ ย ๔) การนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ผอู้ า่ นสามารถนาแนวคิดและประสบการณจ์ ากเร่ืองท่ี อ่านไปประยกุ ตใ์ ชห้ รือแกป้ ัญหาในชีวิตประจาวนั ได้ จากการศกึ ษาหวั ขอ้ วรรณคดีทรงคณุ คา่ ก็ทาใหพ้ บถึงประเภทของคณุ ค่าตา่ งๆวรรณคดีมกั จะ แสดงสภาพชีวติ ของคนในสมยั ท่มี ีการประพนั ธว์ รรณคดีเร่ืองนนั้ ๆ ขณะเดยี วกนั ก็มกั จะแทรกแนวคิดและ ปรชั ญาชีวิตของกวไี ว้ ดว้ ยกลวิธีอนั แยบยล จนก่อใหเ้ กิดอารมณส์ ะเทือนใจแก่ผอู้ ่าน คณุ ค่าของ วรรณศลิ ป์ นนั้ นยิ มพิจารณากวา้ งๆใน๔ ประเด็น คือ ๑.คณุ คา่ ทางดา้ นวรรณศิลป์ คือความสละสลวยของผอู้ า่ นซ่งึ สง่ ผลตอ่ อารมณข์ องผอู้ ่าน ๒. คณุ ค่าทางดา้ นเนอื้ หา คือ สาระท่ผี อู้ า่ นจะไดร้ บั เป็นความรูห้ รือขอ้ คิดกไ็ ด้ ๓. คณุ คา่ ทางดา้ นสงั คม เพราะวรรณคดีดจะสะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพสงั คม และยงั สามารถจรรโลง สงั คมไดอ้ ีกดว้ ย ๔. การนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั สามารถนาขอ้ คดิ ประสบการณท์ ่ีอ่านไปปรบั ใชใ้ น ชวี ิตประจาวนั ได้ ซง่ึ วรรณคดีทรงคณุ คา่ นนั้ ท่ไี ดย้ กมานนั้ มี๔เรอื่ งคอื รามเกียรติ์ ขนุ ชา้ งขุนเเผน อิเหนา พระอภยั มณี ๒.๓.๑ รำมเกียรติ์ ปิยธิดา มีอย่เู ต็ม (๒๕๖๓) ไดก้ ลา่ วถงึ รามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีสาคญั เร่ืองหน่งึ ของไทย โดยมตี น้ เคา้ จากวรรณคดีอนิ เดีย คือมหากาพยร์ ามายณะท่ฤี ๅษีวาลมีกิ ชาวอนิ เดีย แตง่ ขึน้ เป็นภาษาสนั สกฤต เม่ือ ประมาณ ๒,๔๐๐ ปีเศษ เช่ือวา่ นา่ จะเป็นท่รี ูจ้ กั ในหม่ชู าวไทยมาตงั้ แต่สมยั โบราณ จากอิทธิพลของลทั ธิ พราหมณฮ์ นิ ดู โดยแฝงไวซ้ ง่ึ คติยกย่องพระมหากษัตรยิ ์ ซ่งึ เช่ือกนั ว่าเป็นอวตารของพระนารายณ์
๑๖ สาหรบั เรื่องรามเกียรติ์ ของไทยนนั้ มีมาตงั้ แต่สมยั อยธุ ยา ในสมยั กรุงธนบรุ ี สมเด็จพระเจา้ กรุง ธนบรุ ี ไดท้ รงพระราชนพิ นธส์ าหรบั ใหช้ มุ นมุ ละครโรงเรียนสวนกหุ ลาบวิทยาลยั เลน่ ปัจจบุ นั มอี ย่ไู ม่ครบ ตอ่ มาในสมยั รตั นโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ไดท้ รงพระราชนิพนธข์ นึ้ เพ่อื รวบรวมเร่ืองรามเกียรติ์ ซ่งึ มีมาแตเ่ ดมิ ใหค้ รบถว้ น สมบรู ณต์ งั้ แต่ตน้ จนจบ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ไดท้ รงพระราชนิพนธบ์ ทละครเรื่องรามเกียรติ์ เพ่ือให้ ละครหลวงเลน่ โดยไดท้ รงเลือกมาเป็นตอน ๆ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงพระราช นพิ นธบ์ ทละครเรื่องรามเกียรติ์ โดยใชฉ้ บบั ของอินเดยี (รามายณะ) มาพระราชนพิ นธ์ ใชช้ ่ือวา่ \"บ่อเกิด รามเกียรต\"ิ์ สานกั วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร(์ ๒๕๕๘) ไดก้ ลา่ วา่ สืบเน่อื งจากคณะกรรมการวรรณคดี แหง่ ชาติ มีมติเห็นชอบใหป้ ระกาศยกย่องบทละครเร่อื ง “รามเกียรติ”์ พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระ พทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช เป็น “วรรณคดแี ห่งชาต”ิ เน่อื งจากรามเกียรตเิ์ ป็นวรรณคดีสาคญั ท่มี ี อิทธิพลต่อความคิดความเช่ือของไทยมาตงั้ แต่อดตี ถึงปัจจบุ นั และเรื่องรามเกียรตพิ์ ระราชนพิ นธใ์ น พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชนี้ ถือเป็นหนงั สือรามเกียรตฉิ์ บบั สมบรู ณท์ ่ที รงคณุ คา่ เป่ียมดว้ ยอรรถรสทางวรรณศิลป์ และเป็นหลกั ในการศึกษาเปรียบเทยี บเรื่องรามเกียรติข์ องไทยกบั มหา กาพยร์ ามายณะฉบบั ต่าง ๆ ของอนิ เดีย ตลอดจนเร่ืองรามายณะในภมู ิภาคอาเซียนไดอ้ ย่างดี กระทรวง วฒั นธรรม โดยกลมุ่ ภาษาและวรรณกรรม สานกั วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร์ กรมศิลปากร ในนาม คณะกรรมการวรรณคดีแหง่ ชาติ จึงไดก้ าหนดจดั การบรรยายทางวิชาการเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ประกอบการสาธิตและการแสดงโขนขนึ้ เพ่ือเผยแพร่ ความรูค้ วามเขา้ ใจ และพระปรชี าญาณอนั ลา้ เลิศท่ที รงพระราชนพิ นธว์ รรณคดที ่มี ีคณุ ค่าทางวรรณศิลป์ และดา้ นนาฏยศาสตร์ ซ่งึ การบรรยายมหี วั ขอ้ ท่นี ่าสนใจมากมาย ประกอบดว้ ย ชว่ งเชา้ การบรรยาย เรื่อง “ความเป็นเอกภาพในบทละครเรอ่ื งรามเกียรติ์ พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก มหาราช” โดยรองศาสตราจารย์ ดร.มณีป่ิน พรหมสทุ ธิรกั ษ์, การบรรยาย เรื่อง “ความดีความงามในบท ละครเร่ืองรามเกียรติพ์ ระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชลดา เรืองรกั ษล์ ขิ ิต และการบรรยาย เรือ่ ง “จากหนมุ านถงึ ‘หนแุ มน’: การถ่ายทอด วฒั นธรรมทางวรรณศิลป์ ในยคุ Gen Z” โดย ศาสตราจารย์ ดร.รนื่ ฤทยั สจั จพนั ธุ์ และชว่ งบ่ายเป็นการ บรรยาย เร่ือง “สิ่งควรรูก้ ่อนดโู ขน”และสาธิตการแสดงทา่ รา โดย นายประสาท ทองอรา่ ม ผูช้ านาญการ
๑๗ ดา้ นนาฏศิลป์ ไทย ดร.ไพโรจน์ ทองคาสกุ สานกั การสงั คีต พรอ้ มชมการแสดงโขนเร่ืองรามเกียรติ์ ชดุ “รามาวตาร”จากสานกั การสงั คีต กรมศิลปากร บทความ 'วนั สนุ ทรภ่'ู ๒๕๖๔ เปิดผลงานกวเี อก ผไู้ ดร้ บั ยกย่องจากยเู นสโกกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ( ๒๕๖๔ )จาก \"สนุ ทรภ่\"ู สู่ \"พระสนุ ทรโวหาร\" ในประวตั ิบางชว่ งบางตอนของชีวิตทา่ น มกี ารบนั ทกึ ไวว้ ่า \"สนุ ทรภ\"ู่ ไดเ้ ขา้ รบั ราชการในกรมพระอาลกั ษณเ์ ม่อื พ.ศ. ๒๓๕๙ ในสมยั รชั กาลท่ี ๒ มีหนา้ ท่เี ฝา้ เวลาทรง พระอกั ษรเพ่อื คอยรบั ใช้ ครงั้ หนึง่ เม่อื รชั กาลท่ี ๒ ทรงแต่งกลอนบทละครเรื่อง “รามเกียรต”ิ์ แลว้ เกิดติดขดั ไมม่ ีผใู้ ดต่อกลอนไดต้ อ้ งพระราชหฤทยั จึงโปรดใหส้ นุ ทรภ่ทู ดลองแต่ง ปรากฏว่าแตง่ ไดด้ ีเป็นท่พี อพระทยั จงึ ทรงพระกรุณาฯ เลือ่ นใหเ้ ป็น “ขนุ สนุ ทรโวหาร” จากนนั้ ไมน่ านสนุ ทรภ่ไู ดเ้ ลอื่ นยศเป็น “หลวงสนุ ทร โวหาร” ไดร้ บั พระราชทานบา้ นหลวงอยทู่ ่ที า่ ชา้ ง ใกลก้ บั วงั ท่าพระ และไดเ้ ป็นหนง่ึ ในคณะรว่ มแต่ง “ขนุ ชา้ ง ขนุ แผน” ขนึ้ มาใหม่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั (รชั กาลท่ี ๔) และทรงสถาปนา เจา้ ฟ้านอ้ ยขึน้ เป็น พระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สนุ ทรภจู่ งึ ไดร้ บั แตง่ ตงั้ เป็นเจา้ กรมอาลกั ษณฝ์ ่าย พระราชวงั บวร มีบรรดาศกั ดิเ์ ป็น “พระสนุ ทรโวหาร” วรรณคดรี ามเกียรตมิ์ เี ร่ืองราวน่าสนใจมากมายดงั นีเ้ ช่น คณะกรรมการวรรณคดีแห่งชาติ ประกาศยกย่องบทละครเรื่อง “รามเกียรต”ิ์ พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก มหาราช เป็น “วรรณคดีแห่งชาติ” เน่ืองจากรามเกียรตเิ์ ป็นวรรณคดีสาคญั ท่ีมอี ทิ ธิพลต่อความคดิ ความ เช่อื ของไทยมาตงั้ แต่อดีตถงึ ปัจจบุ นั และเรื่องรามเกียรติ์พระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้า จฬุ าโลกมหาราชนี้ ถือเป็นหนงั สือรามเกียรตฉิ์ บบั สมบรู ณท์ ่ที รงคณุ คา่ เป่ียมดว้ ยอรรถรสทางวรรณศิลป์ และเป็นหลกั ในการศกึ ษาเปรียบเทยี บเรื่องรามเกียรติข์ องไทยกบั มหากาพยร์ ามายณะฉบบั ต่าง ๆ ของ อินเดีย ตลอดจนเรอ่ื งรามายณะในภมู ภิ าคอาเซียนไดอ้ ย่างดี การขบั รอ้ งและดนตรี วงดนตรีไทยนยิ มนา กลอนจากวรรณคดเี ร่ืองรามเกียรติไ์ ปขบั รอ้ งกนั มาก เชน่ เพลงสีดา เป็นตน้ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ ลา้ นภาลยั ไดท้ รงพระราชนพิ นธบ์ ทละครเร่ืองรามเกียรติ์ เพ่อื ใหล้ ะครหลวงเลน่ โดยไดท้ รงเลอื กมาเป็นตอน ๆ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงพระราชนพิ นธบ์ ทละครเรอ่ื งรามเกียรติ์ โดยใชฉ้ บบั ของอนิ เดยี (รามายณะ) มาพระราชนพิ นธ์ ใชช้ ่ือว่า \"บ่อเกิดรามเกียรติ”์ ในขณะนนั้ สนุ ทรภไู่ ดเ้ ขา้ รบั
๑๘ ราชการในกรมพระอาลกั ษณเ์ ม่อื พ.ศ. ๒๓๕๙ ในสมยั รชั กาลท่ี ๒ มีหนา้ ท่ีคอยเฝา้ เวลาทรงพระอกั ษรเพ่ือ คอยรบั ใช้ ครง้ั หน่งึ เม่อื รชั กาลท่ี ๒ ทรงแต่งกลอนบทละครเรอื่ ง “รามเกียรติ์ ” แลว้ เกดิ ติดขดั ไมม่ ใี คร สามารถต่อกลอนไดถ้ กู ใจ จึงโปรดใหส้ นุ ทรภทู่ ดลองแตง่ ปรากฏว่าแต่งไดด้ ีพอใจมาก ดว้ ยความดีนี้ พระองคจ์ ึง เล่อื นใหเ้ ป็น “ขนุ สนุ ทรโวหาร” จากการศกึ ษาวรรณคดเี ร่ืองรามเกียรติพ์ บว่าเรื่องราวของ วรรณคดีรามเกียรติจ์ ากท่ไี ดศ้ กึ ษามาพบขอ้ มลู นา่ สนใจมากมายไม่เพียงแตร่ ามเกียรติ์ท่ีมีเนอื้ หาขอ้ มลู น่าสนใจอีกทงั้ ยงั มีเร่อื งอเิ หนาท่มี ีความนา่ สนใจเชน่ เดยี วกนั เเละท่สี าคญั ไดร้ บั การยกยอ่ งจากวรรณคดี สโมสรเช่นเดยี วกบั รามเกียรติ์ ๒.๓.๒ อิเหนา (กนั ทลสั ) บทความบทละครวรรณคดที ่ีเป็นมรดก(๒๕๕๗) ไดก้ ล่าวถงึ เป็นบทละครท่มี ีคณุ ค่าสมควรรกั ษาไว้ เป็นมรดกไทย ประกอบดว้ ยศิลปะในการแต่งท่ีประณีต บทละครมขี นาดกะทดั รดั รกั ษาขนบในการชมเมือง ท่ไี ดแ้ บบอย่างจากเรื่องรามเกียรติ์และเนน้ องคห์ า้ ของละครดี จนกลายเป็นแบบ แผนของการแต่งบทละคร ในสมยั หลงั สมเด็จฯเจา้ ฟา้ กรมพระนครสวรรคว์ รพินิตทรงยกยอ่ งว่าบทละครเร่ืองอิเหนา พระราชนิพนธใ์ น พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั นี้ เป็นบทละครท่ีครบองคห์ า้ ของละครดี คือ ๑. ตวั ละครงาม (หมายถึง เคร่ืองแตง่ ตวั หรอื รูปรา่ ง) ๒. รางาม ๓. รอ้ งเพราะ ๔. พณิ พาทยเ์ พราะ ๕. กลอนเพราะ วรรณคดสี โมสร ซ่งึ ตงั้ ขึน้ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อย่หู วั รชั กาลท่๖ี ไดต้ ดั สินเม่อื พ.ศ.๒๔๕๙ ใหบ้ ทละครเรอ่ื งอเิ หนาเป็น “ยอดของกลอนบทละคร”เพราะเนือ้ เรอ่ื งสนุก มีครบทกุ รสทงั้ บท รกั กลา้ หาญ หงึ หวง บทบาทของตวั ละครมีความเหมาะสมทกุ บทบาท เนอื้ เร่ืองบทละครเรื่องอเิ หนาสานวนรชั กาลท่ี ๒ นี้ มเี นอื้ เร่ืองเหมือนกบั บทละครเร่ืองอิเหนา สานวนรชั กาลท่ี ๑
๑๙ สานกั งานกศน.จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด ( ๒๕๕๑) ไดก้ ล่าวถึงอิเหนาเป็น วรรณคดเี ก่าแกเ่ ร่ืองหนง่ึ ของไทย เป็นท่รี ูจ้ กั กนั มานาน เขา้ ใจว่าน่าจะเป็นชว่ งปลายสมยั กรุงศรีอยธุ ยา โดยไดผ้ ่านมาจากหญิงเชลยปัตตานี ท่เี ป็นขา้ หลวงรบั ใชพ้ ระราชธิดาของสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวบรมโกศ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑) โดย เลา่ ถวายเจา้ ฟา้ กณุ ฑลและเจา้ ฟ้ามงกฎุ พระราชธิดา จากนนั้ พระราชธิดาทงั้ สองไดท้ รงแต่งเรือ่ งขึน้ มาองค์ ละเรื่อง เรยี กว่าอเิ หนาเลก็ (อิเหนา) และอเิ หนาใหญ่ (ดาหลงั ) ประวตั ิดงั กลา่ วมีบนั ทกึ ไวใ้ นพระราชนพิ นธอ์ ิเหนา ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ดงั นี้ อนั อเิ หนาเอามาทาเป็นคารอ้ ง สาหรบั งานการฉลองกองกุศล ครง้ั กรุงเกา่ เจา้ สตรเี ธอนพิ นธ์ แต่เรอ่ื งตน้ ตกหายพลดั พรายไปฯ เรื่องอเิ หนา หรือท่เี รยี กกนั ว่านิทานปันหยีนนั้ เป็นนทิ านท่ีเลา่ แพรห่ ลายกนั มากในชวา เช่ือกนั ว่า เป็นนยิ ายองิ ประวตั ิศาสตรข์ องชวา ในสมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ปรุงแตง่ มาจากพงศาวดารชวา และมี ดว้ ยกนั หลายสานวน พงศาวดารเรยี กอเิ หนาวา่ “ปันจี อนิ ู กรตั ปาต”ี (Panji Inu Kartapati) แตใ่ นหม่ชู าว ชวามกั เรยี กกนั สน้ั ๆ วา่ “ปันหย”ี (Panji) สว่ นเรื่องอเิ หนาท่เี ป็นนทิ านนนั้ น่าจะแต่งขึน้ ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐-๒๑ หรอื ในยคุ เสือ่ มของราชวงศอ์ ิเหนาแหง่ อาณาจกั รมชั ปาหิต และอสิ ลามเร่มิ เขา้ มาครอบครอง นิทานปันหยขี องชวานนั้ มีดว้ ยกนั หลายฉบบั แต่ฉบบั ท่ีตรงกบั อเิ หนาของเรานนั้ คือ ฉบบั มาลตั ใช้ ภาษากวขี องชวาโบราณ มาจากเกาะบาหลี ตอนในเร่ืองอเิ หนาตามสมดุ ภาพ มี ๒๐ ตอน ๑.อิเหนาพบจินตะหราวาตี ๒.อิเหนารบกบั ทา้ วบศุ สิหนา ๓.อิเหนาไดน้ างมาหยารศั มีและนางสการะวาตี ๔.ชา่ งเขียนลอบวาดรูปบษุ บา ๕.วหิ ยาสะกาสลบบนหลงั มา้ ๖.ทา้ วกะหมงั กหุ นิงเคล่อื นทพั
๒๐ ๗.อเิ หนาจากจนิ ตะหรา ๘.อเิ หนายกทพั จากหมนั ยา ๙.อเิ หนารบทา้ วกระหมงั กหุ นิง ๑๐.อิเหนาพบบษุ บา ๑๑.อเิ หนาไมย่ อมกลบั เมอื ง ๑๒.อเิ หนาทาเหตุ ในวิหารพระปฏิมา ๑๓.อเิ หนาแต่งถา้ ๑๔.อเิ หนาเผาเมือง ๑๕.อเิ หนาไดบ้ ษุ บา ๑๖.อเิ หนาแกส้ งสยั ๑๗.ลมหอบ ๑๘.อิเหนา มะงมุ มะหงาหรา เขา้ มะละกา ๑๙.อิเหนาบวช ๒๐.อเิ หนาพบบษุ บา คณุ ค่าในวรรณคดี คณุ ค่าในดา้ นเนือ้ เรอ่ื ง บทละครเรอ่ื งอิเหนา มีโครงเร่ืองและเนอื้ เรื่องท่สี นกุ โครงเร่ืองสาคญั เป็น เรอ่ื งการชงิ บษุ บาระหว่างอิเหนากบั จรกา เร่ืองความรกั ระหวา่ งอิเหนากบั บษุ บา เนือ้ เรื่องสาคญั กค็ ือ อิเหนาไปหลงรกั จินตะหรา ทงั้ ท่ีมีคหู่ มนั้ อย่แู ลว้ ซง่ึ ก็คอื บษุ บา ทาใหเ้ กิดปมปัญหาต่างๆ สกาวรตั น์ คงนคร (๒๕๖๒) ไดก้ ลา่ วรวม ๑๐ รายช่ือวรรณคดแี ละความเป็นเลศิ ทางการประพนั ธ์ ประเภทตา่ งๆหนงั สือท่ไี ดร้ บั การยกย่องวา่ เป็นวรรณคดีจากวรรณคดสี โมสรและยงั ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น ยอดหรอื เป็นเลิศทางดา้ นการประพนั ธป์ ระเภทต่างๆท่ีรูจ้ กั กนั โดยท่วั ไปมี ๑๐ เลม่ ไดแ้ ก่ “ ลิลิตพระลอ” ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น“ ยอดของลิลิต”“ สมทุ รโฆษคาฉนั ท”์ (นพิ นธโ์ ดยพระมหาราชครูสมเด็จพระ
๒๑ นารายณม์ หาราชและสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส) ไดร้ บั การยกย่องวา่ เป็น“ ยอด ของคาฉนั ท”์ “ มหาชาตกิ ลอนเทศน์ \"ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น“ ยอดของกาพย“์ สามก๊ก” ฉบบั เจา้ พระยาพระ คลงั (หน) ผอู้ านวยการแปลไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น\" ยอดของความเรียงเรื่องนิทาน \"“ เสภาเร่อื งขนุ ชา้ ง ขนุ แผน” ไดร้ บั การยกย่องวา่ เป็น“ ยอดของกลอนสภุ าพ” \"บทละครเรื่องอิเหนา\" พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท่ี ๒ ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น \"ยอดของบทละครรา่ \"“ พระราชพธิ ีสบิ สองเดอื น” พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี ๕ ไดร้ บั การยกยอ่ งว่าเป็น“ ยอดของความเรยี งอธิบาย \"“ หวั ใจนกั รบ\" พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ไดร้ บั การ ยกย่องว่าเป็น“ ยอดของบทละครพดู “ พระนลคาหลวง” พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็น“ ยอดของกวีนพิ นธ์ \"มทั นะพาธา” พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ไดร้ บั การยกยอ่ งว่าเป็น“ ยอดของบท ละครพดู ประเภทคาฉนั ท\"์ จากการศกึ ษาวรรณคดีอิเหนาเป็นวรรณคดีมรดกท่เี กา่ แก่เรือ่ งหนงึ่ ของไทยก็ว่าได้ พระพทุ ธยอด ฟ้าจฬุ าโลกมหาราช(รชั กาลท่ี๑)ไดแ้ ตง่ อิเหนาไวแ้ ตย่ งั ไมส่ มบรู ณม์ ากนกั ในดา้ นต่างๆจงึ ทาใหร้ ชั กาลท่สี อง จงึ หยบิ ยกเรื่องนีม้ าทาใหส้ มบรู ณม์ ากขนึ้ ในรชั กาลท่สี องชว่ งรตั นโกสินทรผ์ แู้ ต่งคือพระบาทสมเดจ็ พระ พทุ ธเลศิ ลา้ นภาลยั เป็นฉบบั สมบรู ณ์ เพ่ือใชเ้ ลน่ ละครใน เนอื้ เรอื่ งของบทละครเรือ่ งอิเหนามาจาก พงศาวดารชวาปัจจบุ นั เป็นวรรณคดที ่ถี กู ยกย่องวา่ ยอดของบทละครรา เพราะใชค้ าประณีต ไพเราะ เคร่ืองแตง่ ตวั ละครงดงาม ท่ารางาม บทเพลงขบั รอ้ งและเพลงหนา้ พาทยก์ ลมกลืนกบั เนอื้ เร่ืองและท่ารา จงึ นบั ว่าดีเด่นในศลิ ปะการแสดงละคร มคี รบทกุ รสทงั้ บทรกั กลา้ หาญ หงึ หวง บทบาทของตวั ละครมีความ เหมาะสมทกุ บทบาทการขบั รอ้ งและดนตรี วงดนตรีไทยนิยมนากลอนจากวรรณคดเี รื่องอิเหนาไปขบั รอ้ งกนั มาก เช่น ตอนบษุ บาเสี่ยงเทียน และตอนประสนั ตาต่อนก เป็นตน้ บทละครเรือ่ งอิเหนา มีโครงเรือ่ งและเนือ้ เรอื่ งท่ีสนกุ โครงเร่ืองสาคญั เป็นเร่อื งการชงิ บษุ บาระหว่างอิเหนากบั จรกา เรอ่ื งความรกั ระหวา่ งอิเหนากบั บษุ บา เนือ้ เรื่องสาคญั ก็คอื อเิ หนาไปหลงรกั จินตะหรา ทงั้ ท่ีมีคหู่ มนั้ อย่แู ลว้ ซ่งึ ก็คอื บษุ บา ทาใหเ้ กิดปม ปัญหาตา่ งๆอีทงั้ สมเดจ็ ฯเจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรคว์ รพินิตทรงยกยอ่ งว่าบทละครเร่ืองอิเหนา พระราช นิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั นี้ เป็นบทละครท่ีครบองคห์ า้ ของละครดี คือ ๑. ตวั ละครงาม (หมายถึง เครือ่ งแต่งตวั หรือรูปรา่ ง) ๒. รางาม ๓. รอ้ งเพราะ
๒๒ ๔. พณิ พาทยเ์ พราะ ๕. กลอนเพราะ วรรณคดอี ิเหนาเป็นอีกเร่ืองท่มี ีเนอื้ หาน่าสนใจมากมีความโดดเดน่ ทางดา้ นศลิ ปะการเเสดงไมเ่ พียงแต่ อเิ หนาท่มี ีความน่าสนใจรวมไปถึงวรรณคดขี นุ ชา้ งขนุ แผนกเ็ ชน่ กนั มเี นือ้ เรอ่ื งท่ีโดดเดน่ มีคตเิ ตือนใจ สะทอ้ นสงั คม ๒.๓.๓ ขุนช้ำงขุนแผน สกาวรตั น์ คงนคร (๒๕๖๒) ไดก้ ลา่ วรวม ๑๐ รายช่ือวรรณคดีและความเป็นเลิศทางการประพนั ธ์ ประเภทตา่ งๆหนงั สือท่ไี ดร้ บั การยกยอ่ งว่าเป็นวรรณคดีจากวรรณคดีสโมสรและยงั ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น ยอดหรือเป็นเลิศทางดา้ นการประพนั ธป์ ระเภทต่างๆท่ีรูจ้ กั กนั โดยท่วั ไปมี ๑๐ เลม่ ไดแ้ ก่ “ ลลิ ิตพระลอ” ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น“ ยอดของลิลิต”“ สมทุ รโฆษคาฉันท”์ (นพิ นธโ์ ดยพระมหาราชครูสมเด็จพระ นารายณม์ หาราชและสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส) ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็น“ ยอด ของคาฉนั ท”์ “ มหาชาติกลอนเทศน์ \"ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น“ ยอดของกาพย“์ สามก๊ก” ฉบบั เจา้ พระยาพระ คลงั (หน) ผอู้ านวยการแปลไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น\" ยอดของความเรยี งเรือ่ งนทิ าน \"“ เสภาเรื่องขนุ ชา้ ง ขนุ แผน” ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็น“ ยอดของกลอนสภุ าพ” \"บทละครเร่ืองอิเหนา\" พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท่ี ๒ ไดร้ บั การยกยอ่ งว่าเป็น \"ยอดของบทละครรา่ \"“ พระราชพธิ ีสิบสองเดือน” พระราชนิพนธ์ในรชั กาลท่ี ๕ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็น“ ยอดของความเรียงอธิบาย \"“ หวั ใจนกั รบ\" พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ไดร้ บั การ ยกย่องวา่ เป็น“ ยอดของบทละครพดู “ พระนลคาหลวง” พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ไดร้ บั การยกย่องว่า เป็น“ ยอดของกวีนิพนธ์ \"มทั นะพาธา” พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ไดร้ บั การยกย่องว่าเป็น“ ยอดของบท ละครพดู ประเภทคาฉนั ท\"์ สยาม เมืองยมิ้ ( ๒๕๕๔) ไดก้ ลา่ วถงึ คนไทยเรานนั้ มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณี และวฒั นธรรมอนั งดงาม มาแต่โบราณกาล จะเห็นได้ จากทกุ เรื่องราวในคลงั วรรณคดเี มอื งสยาม ลว้ นแลว้ แต่บง่ บอกถึงวถิ ี ชวี ิตความเป็นคนไทย ประเพณี และวฒั นธรรมต่างๆ อนั แนบสนิทในสายเลือดชาวสยามมาแตไ่ หนแตไ่ ร แลว้ เป็นตน้ ว่า ในดา้ นความเป็นคนเจา้ ชู้ ก็คงไมม่ ีใครเกินหนา้ \"ขนุ แผน\" จากเสภาเร่ือง \"ขนุ ชา้ งขนุ แผน\" นิยายพืน้ บา้ นของสพุ รรณบรุ ี ท่แี ต่งขึน้ จากเร่อื งจรงิ เกิดขึน้ ในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานี ซ่ึงมีหลกั ฐาน อยใู่ นหนงั สือ คาใหก้ ารชาวกรุงเก่า โดยแต่งเป็นบทกลอนสาหรบั ขบั เสภา ใหป้ ระชาชนฟัง เม่อื มาถึงสมยั
๒๓ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ เสภาเรือ่ ง \"ขนุ ชา้ งขนุ แผน\" ท่แี ตง่ ไวต้ งั้ แตส่ มยั กรุงศรีอยธุ ยานนั้ เหลืออยเู่ พียงไมก่ ี่ตอน เพราะถกู ไฟไหม้ และสญู หายเม่ือครง้ั ครงั้ เสยี กรุงแกพ่ ม่า พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั ฯ ใหก้ วี หลายทา่ น เช่น พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหม่นื เจษฎาบดินทร์ (รชั กาลท่ี ๓) สนุ ทรภู่ และ ครูแจง้ เป็นตน้ ให้ ชว่ ยกนั แต่งเพมิ่ เติม โดยแบ่งกนั แตง่ เป็นตอนๆ ไปจนจบ บทความขนบธรรมเนยี มและวฒั นธรรมสยาม เมืองยมิ้ ( ๒๕๕๔) ไดก้ ลา่ วถงึ \"ขนุ ชา้ งขนุ แผน\" ไดร้ บั ยกยอ่ งจากวรรณคดีสโมสรสมยั รชั กาลท่ี ๖ วา่ เป็นยอดของหนงั สอื ประเภท กลอนเสภา มีสานวน โวหารท่ไี พเราะ คมคาย มีคติเตอื นใจ สะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพชวี ิต และสงั คมความเป็นอยขู่ องคนไทย ให้ ความรูเ้ ก่ียวกบั ขนบธรรมเนียมประเพณี และวฒั นธรรมไทย และยงั ใหค้ วามสนุกสนาน เพลดิ เพลิน ทมี งานทรูปลกู ปัญญา (๒๕๖๑ ) ไดก้ ลา่ ว ใครคือผปู้ ระพนั ธเ์ รอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผน พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ ลา้ นภาลยั รชั กาลท่๒ี โปรดใหเหลา่ กวใี นพระราชสานกแ์ ตง่ ขึน้ ใหม่รวมทงั้ พระองคท์ า่ นนเอง ทรงพระราชนิพนธต์ อน \"พลายแกวเ้ ป็นชกู้ บั นางพิม\" ตอน \"ขนุ แผนขนึ้ เรือนขนุ ชา้ ง\"และตอน \"เขา้ หอ้ งแกว้ กริ ยิ าและพาวนั ทองหนี\" รชั กาลท่ี ๓ ทรงพระราชนพิ นธต์ อน \"ขนุ ชา้ งตามวนั ทอง\"สนุ ทรภแู่ ต่งตอน \"กาเนิดพลายงาม\"ต่อมา ครูแจง้ ในรชั กาลท่ี๔ แต่งตอน \"กาเนิดกมุ ารทอง\" ตอน \"ขุนแผน พลายงามแกพ้ ระทา้ ยนา้ \"และตอน\" ขนุ แผน พลายงามสะกดเจา้ เมืองเชยี งใหม\"่ อไุ รวรรณ พิมพซ์ า (๒๕๔๕) ไดก้ ลา่ วถงึ กลอน คือ คาประพนั ธห์ รือการเขียนเรียงความท่มี ีคาคลอ้ ง จองกนั หรือมคี วามสมั ผสั กนั ตาราการแตง่ คาประพนั ธ์ เรียกว่า ชมุ นมุ ตารากลอน ลกั ษณะบงั คบั กลอนมีดงั นี้ คณะ ของกลอนจดั เป็นบท บทหนงึ่ ประกอบไปดว้ ย ๒ บาท เรียกว่า บาทเอก และ บาทโท การแต่งกลอนจะตอ้ งจบลงดว้ ยบาทโทเสมอ บาทเอก ประกอบดว้ ยคาประพนั ธ์ ๒ วรรค วรรคหนา้ เรียกวา่ วรรคสดบั หรือตาราสมยั เกา่ เรยี กวา่ วรรคสลบั วรรคหลงั เรียกว่า วรรครบั
๒๔ บาทโท ประกอบดว้ ยคาประพนั ธ์ ๒ วรรค คือวรรคสลบั วรรครบั วรรครอง และวรรคส่ง คากลอนวรรคหนง่ึ จะประกอบดว้ ยคาหรอื พยางค์ ตงั้ แต่ ๖ คา ขนึ้ ไปจนถงึ ๙ คา แต่ท่ีนยิ มกนั มาก คือ ๘ คา เรียกว่า กลอนแปด สมั ผสั การสง่ สมั ผสั ของกลอน บงั คบั ดว้ ยสมั ผสั นอก ซง่ึ เป็นสมั ผสั สระสว่ นสมั ผสั ในนนั้ ไมบ่ งั คบั กลอนแบง่ ได้ ๓ ประเภท กลอนขบั รอ้ ง มจี ดุ ม่งุ หมายในการขบั รอ้ งแตม่ ีลกั ษณะพิเศษเพิม่ เติมแลว้ แต่คาอธิบายแตกต่างกนั ออกไป กลอนบทละคร เป็นบทละครใชค้ าในวรรค ประมาณ ๖-๙ คา แต่ตอ้ งขึน้ ตน้ คว้ ย “ เม่อื นนั้ ” “บดั นนั้ ” “มาจะกลา่ วบทไป” กลอนดอกสรอ้ ย บงั คบั เหมือนกลอนท่วั ไป ขนึ้ ตน้ วรรคแรกเพยี ง ๔ คา คือ คาท่ี ๑ คาท่ี ๓ เป็นคา ซา้ คาท่ี ๒ เป็นคาคนั้ คาวา่ เอ๋ย กลอนสกั วา เป็นบทกลอนสนั้ มีขอ้ บงั คบั ท่วั ไป เพียงขนึ้ ตน้ ว่า สกั วา และลงทา้ ยดว้ ย เอย ท่นี ยิ มก็ คือ ๔ คากลอน กลอนเสภา มีลกั ษณะบงั คบั เหมอื นกลอนสภุ าพ แต่จานวนคาในวรรคไม่จากดั สมั ผสั ตรงไหนก็ได้ ถา้ เหน็ วา่ สมควร เสภามกั ขนึ้ ตน้ ดว้ ย “จะกลา่ วถงึ ” “ครานนั้ ” “จะกลา่ วกบั กล่าว” ไม่จากดั ความยาว จบลง ดว้ ยบาทดโท กลอนสภุ าพ มีอีกช่อื หนง่ึ เรียกว่า กลอนตลาด สว่ นมากแต่งเป็นเร่ืองยาว กลอนประเภทนมี้ ีจดุ มง่ หมายในการอ่าน ขนึ้ ตน้ ดว้ ยวรรครบั และจบลงดว้ ย “เอย” มีดงั นี้ เพลงยาว เป็นทานองจดหมาย ชายหญิงเขียนถงึ กนั เพลงยาวอาจเปรียบไดก้ บั หนงั สือ ประวตั ิศาสตร์ นิราศ ขนึ้ ตน้ ดว้ ยวรรครบั เช่นเดยี วกบั กลอนเพลงยาว บทแรกของนิราศมเี พียง ๓ วรรค คอื บาท เอก มี ๑ วรรค บาทโท มี ๒ วรรค เขียนเป็นเร่อื งยาว พรรณนาถงึ การเดินทางและสง่ิ ท่ีพบเห็นจากการ เดนิ ทาง
๒๕ นิทานคากลอน เป็นนิยายของไทยมีเคา้ เดิมท่ีรูจ้ กั กนั ดีกวีนามาแตง่ เป็นคากลอน กลอนนบี้ งั คบั เหมอื นกลอนสภุ าพ กลกลอน คือ กลอนสภุ าพท่ีกวตี งั้ ใจแต่ง กลกลอนมี ๒ ชนิด กลอนกลบท เป็นกลอนท่ีกวปี ระดษิ ฐ์ ขอ้ บงั คบั ต่างๆ เพิ่มเตมิ เช่น สมั ผสั สระ สมั ผสั อกั ษร แตล่ ะวรรคแตกตา่ งกนั แลว้ แต่จะตงั้ ช่อื กลอกั ษร เป็น กลอนสภุ าพ เช่น เดยี วกบั กลอนกลบท จากการศกึ ษาวรรณคดขี นุ ชา้ งขนุ แผน เป็นวรรณคดีท่ถี กู ยกย่องโดยวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอด ของกลอนสภุ าพ หรอื ยอดของหนงั สือประเภทกลอนเสภากลอนเสภาและกลอนมลี กั ษณะบงั คบั ท่ี เหมือนกนั แตก่ ลอนเสภาจานวนคาในวรรคไม่จากดั สาเหตทุ ่ไี ดร้ บั การยกยอ่ งเพราะ กวมี ีการใชส้ านวน โวหารท่ไี พเราะ มีคตเิ ตือนใจ สะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพชวี ติ และสงั คมความเป็นอย่ขู องคนไทย และอีกทงั้ ยงั มี ความรูเ้ กี่ยวกบั ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมสอดแทรกอย่ตู ามเนือ้ หาของวรรณคดี การขบั รอ้ ง และดนตรี วงดนตรไี ทยนิยมนากลอนจากวรรณคดเี รื่องขุนชา้ งขนุ แผนไปขบั รอ้ งกนั มาก เชน่ เพลงสองใจ หรือ เพลงขนุ ชา้ งฮา้ งฮกั เป็นตน้ ขนุ ชา้ งขนุ แผนเป็นนิยายพนื้ บา้ นมาจากสพุ รรณบรุ ี แตง่ ขึน้ จากเรื่องจรงิ ท่ี เกิดขนึ้ ในสมยั อยธุ ยาเหลา่ นีม้ หี ลกั ฐานอยใู่ นหนงั สือเรอื่ งคาใหก้ ารชาวกรุงเกา่ โดยขนุ ชา้ งขนุ แผนแต่งแบบ บทกลอนสาหรบั ขบั เสภา เพ่ือใหช้ าวบา้ นคนท่วั ไปฟังผา่ นมาสกั ระยะชว่ งสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ บทกลอน สาหรบั ขบั เสภาเรือ่ งขนุ ชา้ งขุนแผนก็ถกู ไฟเผาไปโดยในบทกลอนนนั้ ในขณะท่ีเผามเี พียงไมก่ ี่ตอน ต่อมา พระพทุ ธเลิศลา้ นภาลยั ฯไดเ้ รียกกวีหลายท่านเชน่ พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหม่นื เจษฎาบดินทรห์ รือ รชั กาลท่ี ๓ รวมไปถึงสนุ ทรภแู่ ละครูแจง้ ใหช้ ่วยกนั แตง่ ต่อเพิม่ เตมิ ใหเ้ เบ่งกนั แตง่ เป็นตอนๆไปจนจบ ทาใหเ้ ร่ืองนมี้ ผี ู้ แต่งมากมายและแต่ละตอนกผ็ แู้ ต่งคนละคนขุนชา้ งขนุ แผนเป็นวรรณคดที ่มี ตี วั ละครมีเอกลกั ษณข์ อง ตวั เองเช่น ขนุ ชา้ งท่ีมีรูปลกั ษณห์ วั ลา้ น เป็นเอกลกั ษณใ์ หท้ กุ คนจดจาไม่เพียงแตเ่ ร่ืองขุนชา้ งขนุ แผนท่มี ี เอกลกั ษณต์ วั ละครท่นี ่าจดจายงั มพี ระอภยั มณีวรรณคดีท่เี ป็นขวญั ใจหลายๆคนเน่ืองจากพระอภยั มณีเป็น ตวั ละครมีความรูปหล่อเกง่ และยงั เป่าป่ีเป็นเอกลกั ษณท์ ่ีทาใหจ้ ดจาตวั ละครในเร่ืองพระอภยั มณีไดอ้ ีกดว้ ย ๒.๓.๔ พระอภัยมณี สราวธุ ราชจนั ทร์ (๒๕๖๒) ไดก้ ลา่ วถึงสนุ ทรภ่เู ป็นกวที ่มี ีความชานาญทางดา้ นกลอน ไดส้ รา้ งขนบ การประพนั ธก์ ลอนนิทานและกลอนนิราศขนึ้ ใหมจ่ นกลายเป็นท่ีนิยมอย่างกวา้ งขวางสืบเน่อื งมาจนกระท่งั ถึงปัจจบุ นั ผลงานท่มี ชี ่อื เสยี งของสนุ ทรภมู่ ีมากมายหลายเรอ่ื ง เชน่ นริ าศภเู ขาทอง นิราศสพุ รรณ เพลง ยาวถวายโอวาท กาพยพ์ ระไชยสรุ ยิ า และ พระอภยั มณี เป็นตน้ โดยเฉพาะเร่ือง พระอภยั มณี ไดร้ บั ยกย่อง จากวรรณคดสี โมสรวา่ เป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนทิ าน และเป็นผลงานท่แี สดงถงึ ทกั ษะ ความรู้
๒๖ และทศั นะของสนุ ทรภอู่ ย่างมากท่สี ดุ งานประพนั ธห์ ลายชิน้ ของสนุ ทรภ่ไู ดร้ บั เลอื กใหเ้ ป็นสว่ นหนงึ่ ใน หลกั สตู รการเรียนการสอนนบั แต่อดีตมาจนถงึ ปัจจบุ นั เช่น กาพยพ์ ระไชยสรุ ยิ า นิราศพระบาท และอีก หลายๆ สว่ นในเรื่อง พระอภยั มณี ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ในโอกาสครบรอบ ๒๐๐ ปีชาตกาล สนุ ทรภไู่ ดร้ บั ยกย่อง จากองคก์ ารยเู นสโกใหเ้ ป็นบุคคลสาคญั ของโลกดา้ นงานวรรณกรรม ผลงานของสนุ ทรภ่ยู งั เป็นท่นี ยิ มใน สงั คมไทยอย่างตอ่ เน่อื งตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนาไปดดั แปลงเป็นส่ือต่างๆ เช่น หนงั สือการต์ นู ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสรา้ งอนสุ าวรียส์ นุ ทรภไู่ วท้ ่ตี าบลกรา่ อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง บา้ นเกิดของบิดาของสนุ ทรภู่ และเป็นกาเนิดผลงานนิราศเรอ่ื งแรกของท่านคอื นริ าศเมืองแกลง นอกจากนี้ ยงั มีอนสุ าวรียแ์ ห่งอ่นื ๆ อีก เชน่ ท่วี ดั ศรีสดุ าราม ท่จี งั หวดั เพชรบรุ ี และจงั หวดั นครปฐม วนั เกิดของสนุ ทรภู่ คือวนั ท่ี ๒๖ มถิ นุ ายนของทกุ ปี ถือเป็น วนั สนุ ทรภู่ ซง่ึ เป็นวนั สาคญั ดา้ นวรรณกรรมของไทย มกี ารจดั กจิ กรรมเชดิ ชเู กียรติคณุ และสง่ เสรมิ ศิลปะการประพนั ธบ์ ทกวีจากองคก์ รต่างๆ โดยท่วั ไป บทความพระอภยั มณีทีมงานสนกุ ( ๒๕๕๖ ) ไดก้ ล่าวถงึ เป็นวรรณคดีชิน้ เย่ยี มเลม่ หน่ึงของไทย ผลงานชนิ้ เอกของพระสนุ ทรโวหาร หรอื สนุ ทรภู่ กวเี อกแห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ประพนั ธข์ นึ้ เป็นนทิ านคา กลอนท่มี ีความยาวมากถงึ ๙๔ เลม่ สมดุ ไทย เม่อื พมิ พเ์ ป็นเลม่ หนงั สือ จะมีความยาวกว่าหนึง่ พนั สองรอ้ ย หนา้ ระยะเวลาในการประพนั ธไ์ ม่มีการระบไุ วอ้ ย่างแน่ชดั แตค่ าดว่าสนุ ทรภ่เู รม่ิ ประพนั ธร์ าวปี พ.ศ. ๒๓๖๔-๒๓๖๖ และแตง่ ๆ หยดุ ๆ ไปตลอดเป็นระยะ สิน้ สดุ การประพนั ธร์ าว พ.ศ. ๒๓๘๘ รวมเวลา มากกวา่ ๒๐ ปี เนือ้ เรือ่ งของ พระอภยั มณี สว่ นใหญ่คือเหตกุ ารณใ์ นชีวิตของตวั ละครพระอภยั มนี นบั แต่อายุ ได้ ๑๕ ปีและออกเดนิ ทางไปศกึ ษาวิชาความรูเ้ ช่นเดยี วกบั เจา้ ชายในวรรณคดไี ทยอ่นื ๆ แต่วชิ าท่พี ระอภยั มณีไปศกึ ษามา มิใชว่ ิทยาอาคมหรือความรูเ้ กี่ยวกบั การปกครองบา้ นเมือง กลบั เป็นวิชาดนตรีคอื การเป่า ป่ี ทาใหพ้ ระบิดากรวิ้ มากจนขบั ไลอ่ อกจากเมือง การผจญภยั ของพระอภยั มณีก็เร่มิ ขึน้ นับแตน่ นั้ เขากบั นอ้ งชายคือ ศรสี วุ รรณ ระเหเรร่ อ่ นไปจนเจอกบั สามพราหมณ์ ถกู นางผีเสือ้ สมทุ รจบั ตวั ไป มบี ุตรชายช่ือสิน สมทุ ร พอ่ เงือกแม่เงือกช่วยพาหนีไปยงั เกาะแกว้ พิสดาร เขามบี ตุ รกบั อมนษุ ยอ์ ีกครง้ั คือกบั นางเงอื ก ได้ บตุ รชายช่อื สดุ สาคร ต่อมาพระอภยั มณีไดร้ บั ความช่วยเหลือจากเจา้ กรุงผลกึ และรกั กนั กบั ลกู สาวของเจา้ กรุง คือ นางสวุ รรณมาลี แต่นางมคี หู่ มนั้ แลว้ กบั ชาวตา่ งชาติแห่งเกาะลงั กงั ความขดั แยง้ นีท้ าใหเ้ กิด สงครามใหญ่ระหว่างกรุงผลกึ กบั กรุงลงั กาเป็นเวลานานหลายปี แตใ่ นท่สี ดุ สงครามก็ยตุ ิลงไดเ้ ม่อื นาง ละเวงวณั ฟา้ ลกู สาวเจา้ กรุงลงั กาซ่งึ ต่อมาไดเ้ ป็นเจา้ เมืองสาวสวย ตกหลมุ รกั กบั พระอภยั มณีเสยี เอง หลงั สงคราม พระอภยั มณีปลงไดก้ บั ความไมแ่ น่นอนของโลกมนษุ ยแ์ ละออกบวช โดยมภี รรยามนษุ ยท์ งั้ สองคน
๒๗ คือนางสวุ รรณมาลีกบั นางละเวงออกบวชดว้ ย เร่ืองราวในช่วงหลงั ของ พระอภยั มณี เป็นการผจญภยั ของ รุน่ ลกู ๆ ของพระอภยั มณี โดยมสี ดุ สาครกบั นางเสาวคนธเ์ ป็นตวั ละครหลกั เรอื่ งราวของสดุ สาครโดยเฉพาะ ในช่วง กาเนิดสดุ สาคร (พระอภยั มณี ตอนท่ี ๒๔-๒๕) นบั วา่ เป็นวรรณกรรมเยาวชนท่โี ดง่ ดงั มากอีกชดุ หนึ่ง พระอภยั มณี จดั ไดว้ ่าเป็นผลงานชนิ้ เอกของสนุ ทรภู่ และเป็นท่รี ูจ้ กั กวา้ งขวางมาตงั้ แต่อดตี จนถึงปัจจุบนั เน่ืองจากเคา้ โครงเรอ่ื งของพระอภยั มณีแหวกประเพณีของวรรณคดใี นยุคเกา่ มจี ินตนาการลา้ ยคุ อยู่ มากมาย และมีตวั ละครจากหลากหลายชนชาติ แสดงใหเ้ ห็นถึงวสิ ยั ทศั นแ์ ละความเปิดกวา้ ง ความเป็นนกั คิดยคุ ใหม่ของผปู้ ระพนั ธเ์ ม่อื เปรยี บเทียบกบั ยุคสมยั เดยี วกนั ไดเ้ ป็นอย่างดี นกั วิชาการจานวนมากพากนั ศกึ ษากลอนนิทาน พระอภยั มณี เพ่ือคน้ ควา้ หาแรงบนั ดาลใจ เช่อื มโยงแนวคิดของสนุ ทรภกู่ บั วรรณกรรม โบราณ ตลอดจนความรูเ้ ก่ียวกบั ภมู ศิ าสตรย์ คุ ใหมข่ องบรรดานกั เดนิ เรือท่เี ขา้ มาสปู่ ระเทศไทยในยุคการคา้ สาเภา นอกจากนี้ แนวคดิ ท่ีสนุ ทรภสู่ อดแทรกไวใ้ นบทประพนั ธท์ าใหผ้ ลงานชนิ้ นโี้ ดดเดน่ และเป็นท่รี ูจ้ กั มาก เพราะผคู้ นลว้ นใชบ้ ทกลอนเหลา่ นนั้ เป็นคตสิ อนใจ เชน่ บทกลอนในช่วงท่ีพระฤๅษีสอนสดุ สาคร เป็น ตน้ บทความสนุ ทรภ่ทู ีมงานทวงิ้ ค์ ( ๒๕๖๔ ) ไดก้ ลา่ วถงึ สนุ ทรภ่เู ป็นกวเี อกท่มี ผี ลงานอนั เป็นท่ยี อมรบั มากมาย จนไดร้ บั การขนานนามวา่ เป็น “เชกสเปียรแ์ ห่งประเทศไทย” สนุ ทรภ่มู ีความชานาญทางดา้ น กลอนเป็นพิเศษ และไดป้ รบั ปรุงกลอนโบราณ จนกลายเป็นกลอนท่มี ีลกั ษณะเดน่ เป็นเอกลกั ษณท์ ่มี ีความ ไพเราะดว้ ยการใชค้ าสมั ผสั ในในกลอนทกุ วรรค ทงั้ ยงั นยิ มใชค้ าง่าย ๆ เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังและผูอ้ ่านเขา้ ใจเนือ้ หา ไดอ้ ย่างชดั เจน กลอนนิทานและกลอนนริ าศของสนุ ทรภ่จู งึ กลายเป็นท่ีนิยมอย่างกวา้ งขวางมาจนถงึ ปัจจบุ นั ผลงานท่มี ชี ่อื เสยี งของสนุ ทรภมู่ มี ากมายหลายเร่ือง แต่ผลงานท่โี ดดเด่นและเป็นท่รี ูจ้ กั มากท่สี ดุ ของสนุ ทรภคู่ งหนีไมพ่ น้ “พระอภยั มณี” ซง่ึ เป็นเรอื่ งราวเก่ียวกบั ประวตั ิชีวิต ความรกั และการผจญภยั ของ พระอภยั มณี รวมทงั้ ของตวั ละครอ่นื ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั พระอภยั มณี ในพระอภยั มณีสนุ ทรภไู่ ดส้ รา้ งเนือ้ หาท่ี แปลกใหม่ โดยนาเรื่องราวจากแหลง่ ต่าง ๆ มาผสมผสานกนั เพ่อื สรา้ งเร่ืองราวท่สี นุกตื่นเตน้ แหลง่ ท่ีมาของ พระอภยั มณีนนั้ มที งั้ นทิ านและการเมอื งการปกครองของต่างประเทศ วฒั นธรรมของต่างชาติโดยเฉพาะ อย่างยงิ่ ของชาวตะวนั ตก นิทานไทย และเรื่องราวท่มี าจากจนิ ตนาการของสนุ ทรภเู่ อง นอกจากนี้ สนุ ทรภู่ ยงั ไดส้ รา้ งตวั ละครท่เี ป็นเอกลกั ษณแ์ ละมคี วามแปลกใหม่ ทาใหน้ ทิ านกลอนเรอ่ื งพระอภยั มณีมคี วาม
๒๘ นา่ สนใจย่งิ ขึน้ โดยเฉพาะตวั ละครเด็กท่เี ก่งกลา้ เชน่ สดุ สาคร ซง่ึ เป็นลกู ของพระอภยั มณีกบั นางเงือก สนิ สมทุ ร ซ่งึ เป็นลกู ของพระอภยั มณีกบั นางผีเสอื้ สมทุ ร และมา้ นลิ มงั กร ซง่ึ เป็นลกู ของมา้ กบั มงั กร จากการศกึ ษาวรรณคดพี ระอภยั มณีมีเรอ่ื งราวนา่ สนใจมากมาย พระอภยั มณี ไดร้ บั ยกย่องจาก วรรณคดสี โมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนิทาน ผแู้ ตง่ พระสนุ ทรโวหาร นามเดมิ ภู่ หรือท่ี เรยี กกนั ท่วั ไปว่า สนุ ทรภเู่ ป็นกวชี าวไทยท่มี ชี ่ือเสียง ไดร้ บั ยกย่องเป็น เชกสเปียรแ์ ห่งประเทศไทย โดย องคก์ รยเู นสโกไดเ้ ป็นผปู้ ระกาศ เรื่องพระอภยั มณีถือว่าเป็นวรรณกรรมเอกของสนุ ทรภแู่ ละเป็นผลงานท่ี แสดงถงึ ทกั ษะ ความรู้ และทศั นะของสนุ ทรภ่อู ยา่ งมากท่ีสดุ และเรื่องนีไ้ ดร้ บั การแปลเป็น ภาษาต่างประเทศมากมาย ซ่งึ เป็นเร่ืองราวเก่ียวกบั ประวตั ิชวี ิต ความรกั และการผจญภยั ของพระอภยั มณี รวมทงั้ ของตวั ละครอ่นื ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั พระอภยั มณีในพระอภยั มณีสนุ ทรภ่ไู ดส้ รา้ งเนือ้ หาท่แี ปลกใหม่ โดยนาเร่ืองราวจากแหลง่ ตา่ ง ๆ มาผสมผสานกนั เพ่ือสรา้ งเรอื่ งราวท่สี นกุ ตน่ื เตน้ แหล่งท่ีมาของพระอภยั มณีนนั้ มที งั้ นทิ านและการเมืองการปกครองของต่างประเทศ วฒั นธรรมของต่างชาติโดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ของชาวตะวนั ตก นิทานไทย และเร่อื งราวท่มี าจากจนิ ตนาการของสนุ ทรภ่เู อง นอกจากนี้ สนุ ทรภยู่ งั ได้ สรา้ งตวั ละครท่เี ป็นเอกลกั ษณแ์ ละมีความแปลกใหม่ ทาใหน้ ทิ านกลอนเรื่องพระอภยั มณีมีความน่าสนใจ ยิง่ ขึน้ การขบั รอ้ งและดนตรี วงดนตรีไทยนิยมนากลอนจากวรรณคดเี รื่องพระอภยั มณีไปขบั รอ้ งกนั มาก เช่น เพลงผีเสือ้ สมทุ ร(รกั เกินจะหกั ใจ)เป็นตน้ ผแู้ ต่ง พระสนุ ทรโวหาร นามเดมิ ภู่ หรือท่ีเรียกกนั ท่วั ไปว่า สนุ ทรภเู่ ป็นกวีชาวไทยท่มี ชี ่ือเสยี ง ไดร้ บั ยกย่องเป็น เชกสเปียรแ์ หง่ ประเทศไทย โดยองคก์ รยเู นสโกไดเ้ ป็นผู้ ประกาศ เร่ืองพระอภยั มณีถือว่าเป็นวรรณกรรมเอกของสนุ ทรภ่พู ระอภยั มณีเป็นอีกเร่ืองท่ีหลายท่านช่นื ชอบดว้ ยเนือ้ เรอื่ งท่มี ีความสนกุ สนานตวั ละครหลากหลาย การศกึ ษาวรรณคดใี หเ้ ขา้ ใจในลายละเอยี ด ผอู้ ่านจาเป็นตอ้ งวเิ คราะห์
๒๙ ๓.หลักกำรวเิ ครำะห์ ๓.๑ด้ำนผู้ประพันธ์ ด้ำนผปู้ ระพันธเ์ พลง-แอมซอร่ี (สีดำ) บทความThe Rube ดงึ วรรณคดีใสล่ งในเพลง สีดา กบั ความเป็นไทยท่ไี ม่เก่าเลยทีมงาน kapook musicstation (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วว่าแอมซอรี่ (สดี า)เป็นอีกหน่งึ สีสนั ใหม่ของวงการดนตรี สาหรบั The Rube (เดอะ รูบ) วงนอ้ งใหม่จากค่าย Spicy Disc (สไปรซ์ ซ่ี ดสิ ก)์ สมาชกิ ประกอบไปดว้ ย เก๊ท ศวิ พงษ์ เหมวงศ์ (รอ้ งนา), จบุ๊ ธีรวงศ์ วฒั นาจารุพงศ์ (กีตาร)์ , น็อต ทรงพล ศรสี ะอาด (เบส) และเจน ณชั รพงศ์ วฒั นาจารุ พงศ์ (กลอง) ท่ขี อนาเสนอความเป็นไทยผา่ นเสียงเพลงของพวกเขา อาม ขวญั ธนน (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วสะทอ้ นโดยการท่ีศวิ พงษ์ เหมวงศ์ (ผแู้ ต่ง)และโปรดิวซเ์ ซอรอ์ ยาก ใหเ้ พลงนเี้ ป็นเพลงท่ฟี ังง่าย แตย่ งั ผสมผสานกล่นิ อายของดนตรีไทย คารอ้ งไทยและทานองเพลงไทยเดมิ เขา้ ไป จงึ งา่ ยต่อการเขา้ ถงึ นามาสผมกบั ฟังกช์ ่นั ดนตรรี อ้ คแบบสากลและไทยเดมิ ในขณะท่ีแกนหลกั ของ เพลงยงั คงมีความป็อปอยู่ บทความ The Rube ความลงตวั ของไทยดงั้ เดิมและไทยสากลทมี งาน thestandard (๒๕๕๙) ได้ กลา่ วถงึ ตอนทาเพลง I’m Sorry (สดี า) ก็มเี พลงอยแู่ ลว้ เป็นเพลงป๊ อปไทยสากลท่คี ิดว่าฮิตไดแ้ น่ แต่ขาด ความเป็นไทยอย่างท่ตี งั้ ใจ โปรดิวเซอรก์ ฮ็ มั ท่อนไทยๆ ท่ีต่อมาใสไ่ วก้ ลางเพลงขนึ้ มา แต่ยงั ไมม่ เี นอื้ เพลงใส่ เกต็ (ศวิ พงษ์ เหมวงศ์ – รอ้ งนา) กไ็ ปศกึ ษาเรอื่ ง รามเกียรติ์ จนไปถงึ ชว่ งนางสีดาลยุ ไฟท่สี ะเทือนใจเก็ต มาก เลยเอาทอ่ นนีม้ าแตง่ ด้ำนผปู้ ระพันธเ์ พลงสองใจ บทความ \"ดา Endorphine\" คมั แบก็ แรง! พาเพลงใหม่ \"สองใจ\" ฮติ ทะลหุ ลกั ๑๙ ลา้ นววิ ทีมงาน sanook (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ \"สองใจ\" เป็นเพลงท่ถี ่ายทอดแทนความรูส้ กึ ของ วนั ทอง ตวั ละครหญิงท่ี เทดิ ทนู ความรกั และเลือกทาตามหวั ใจตวั เอง มาในสไตลด์ นตรีแนวป็อปอารแ์ อนดบ์ ี พรอ้ มเมโลดแี้ ละการ รอ้ งเออื้ นแบบไทยๆ ซ่งึ งานนีไ้ ด้ แอม้ -อจั ฉรยิ า ดลุ ยไพบลู ย์ ผเู้ ขียนเพลง \"ภาพจา\" ของ ป๊ อบ-ปองกลู สืบซงึ้ มาสรา้ งสรรคผ์ ลงาน
๓๐ บทความรวี วิ เพลง สองใจ (เพลงประกอบละครวนั ทอง) จาก ดา เอ็นโดรฟิ นละคร Music Editor Talk (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ \"วนั ทอง\" ทาง ช่องวนั ๓๑ และการใสด่ นตรี และการรอ้ งแบบเพลงไทยเดมิ ลงไป ดว้ ย ทาใหเ้ พลง \"สองใจ\" ส่งิ มเี สน่หช์ วนฟังมากยง่ิ ขึน้ เป็นเพลงท่รี วมโปรดิวเซอรฝ์ ีมือดี อยา่ ง แอม้ อจั ฉริ ยา ดลุ ยไพบลู ย,์ ชลทศั น์ ชาญศิรเิ จรญิ กลุ รวมยงั ไดน้ กั แต่งเพลงมือทองยอ่าง แอม้ อจั ฉรยิ า ดลุ ยไพบลู ย์ มาเขยี นเนอื้ รอ้ งและทานองให้ บทความฟังกนั หรือยงั ? “สองใจ” เพลงแทนความรูส้ กึ ของ “วนั ทอง” ผา่ นเสยี งรอ้ งของ ดา เอน็ โดร ฟิน ทีมงาน one๓๑ (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วว่า“ตอ้ งบอกเลยวา่ เพลงนเี้ ป็นการกลบั มารอ้ งเพลงของดาในรอบ หลายปีเลยนะคะ ดาไม่ไดอ้ อกซงิ เกิลมาพกั ใหญ่แลว้ ดากต็ อ้ งขอบคณุ ผใู้ หญ่ทางชอ่ งวนั ๓๑ ท่ไี วใ้ จใหด้ า มารอ้ งเพลงนี้ ซ่งึ พ่ี บอย-ถกลเกียรติ เป็นคนบรีฟดาเองว่า เพลงนเี้ ป็นตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ ใหมท่ ่ีมีความไม่ ยอมใคร งานนพี้ ่แี อม้ (อจั ฉริยา ดลุ ยไพบลู ย)์ โปรดิวเซอรไ์ ดเ้ ขยี นเนือ้ รอ้ งออกมาไดเ้ ขา้ ใจถงึ ความรูส้ กึ ของ วนั ทองไดเ้ ป็นอย่างดี ดำ้ นผปู้ ระพันธเ์ พลงรักเกนิ จะหกั ใจ ทีมงาน siamzone (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ เพลง: ผีเสือ้ สมทุ ร (รกั เกินจะหกั ใจ) ศิลปิน: มินตรา น่านเจา้ คารอ้ ง/ทานอง: มนิ ตรา ธรุ ะยศ เรียบเรียง: อีส ขอนแกน่ , แม็กซ์ ขอนแกน่ ด้ำนผ้ปู ระพันธเ์ พลงบษุ บำเสีย่ งเทยี น ทีมงานทรูปลกู ปัญญา (๒๕๕๔) ไดก้ ลา่ วถึงประพนั ธค์ ารอ้ ง ศกั ดิ์ เกิดศริ ิ ประพนั ธท์ านอง ศกั ดิ์ เกิดศิริ เรียบเรียงดนตรี พ.จ.อ.พงษพ์ นั ธ์ เจรญิ กนั ภยั ขบั รอ้ ง คณุ หญิงจามรี สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา
๓๑ จากการศกึ ษาผปู้ ระพนั ธเ์ พลงเพลงแอมซอรี่สดี า เป็นอีกหน่งึ สสี นั ใหม่ของวงการดนตรี สาหรบั The Rube (เดอะ รูบ) วงนอ้ งใหม่จากค่าย Spicy Disc (สไปรซ์ ซ่ี ดิสก)์ สมาชิกประกอบไปดว้ ย เก๊ท ศวิ พงษ์ เหมวงศ์ (รอ้ งนา), จบุ๊ ธีรวงศ์ วฒั นาจารุพงศ์ (กีตาร)์ , น็อต ทรงพล ศรีสะอาด (เบส) และเจน ณชั รพงศ์ วฒั นาจารุพงศ์ (กลอง) ท่ขี อนาเสนอความเป็นไทยผา่ นเสียงเพลงของพวกเขา โดยมีคณุ ท่ศี ิวพงษ์ เหมวงศ์ เป็นผแู้ ตง่ และโปรดวิ ซเ์ ซอร์ - เพลงสองใจ ขบั รอ้ งโดย ดาเอนโดฟิน เป็นเพลงท่รี วมโปรดิวเซอรฝ์ ีมอื ดี อย่าง แอม้ อจั ฉรยิ า ดลุ ย ไพบลู ย,์ ชลทศั น์ ชาญศิรเิ จรญิ กลุ รวมยงั ไดน้ กั แต่งเพลงมือทองยอา่ ง แอม้ อจั ฉรยิ า ดลุ ยไพบลู ย์ มาเขียน เนอื้ รอ้ งและทานองให้ - เพลงรกั เกินจะหกั ใจ ขบั รอ้ งและประพนั ธเ์ พลงโดย มนิ ตรา น่านเจา้ นกั รอ้ งเสียงใสแนวเพลง ลกู ทงุ่ ทงั้ ภาคเหนือ อสี าน และภาคกลาง อดีตศลิ ปินจากคา่ ยอารส์ ยาม - เพลงบษุ บาเสย่ี งเทยี น ประพนั ธค์ ารอ้ งโดย ศกั ดิ์ เกิดศริ ิ ท่เี ป็นผปู้ ระพนั ธเ์ พลงอมตะอนั โด่งดงั มากมายและเช่ยี วชาญในการดนตรี และประพนั ธเ์ พลง ขบั รอ้ งโดย คณุ หญิงจามรี สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยาและ นกี้ ค็ ือเบือ้ งหลงั เพลงไทยรว่ มสมยั ท่โี ด่งดงั โดยมีบุคคลและศิลปินเหล่านเี้ ป็นผู้ประพนั ธเ์ พลง และผปู้ ระพนั ธ์ เพลงก็มีความตงั้ ใจท่จี ะส่ือเนอื้ หาท่ีอา้ งองิ มาจากวรรณคดีไทยออกมาผ่านทางบทเพลงโดยมีการ ปรบั เปล่ียนเนือ้ หาใหเ้ ขา้ กบั ยคุ ปัจจบุ นั ๓.๒ ดำ้ นเนือ้ หำ ดำ้ นเนือ้ หำเพลง I’m Sorry สีดำ ทีมงาน kapook musicstation(๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถึง I’m Sorry สีดา (แอม ซอรี่ สดี า) ซงิ เกิลแรก ของอลั บม้ั Thai- Machine (ไทย-แมชชนี ) หลงั จากปล่อยเพลงออกมาไม่ถึงอาทิตยก์ ม็ ียอด วิวขึน้ ไปกว่า สองแสนวิวแลว้ ! ! รวมไปถงึ กระแสทางโซเชียลมีคนแชรเ์ พลงนไี้ ปอยา่ งมากมาย โดยเพลงนกี้ ลา่ วถึง เรอ่ื งราวความรกั จากการหยิบยกวรรณคดี รามเกียรติ์ ในเหตกุ ารณห์ ลงั จากจบศกึ กบั ทศกณั ฐ์ นางสดี าได้ กลบั เขา้ มาในเมืองแต่ทางพระรามกลบั แคลงใจจึงจดั ใหม้ ีพิธีลยุ ไฟเพ่ือพสิ จู นค์ วามบรสิ ทุ ธิ์ใจของนาง
๓๒ อาม ขวญั ธนน (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ เรื่องราวเกี่ยวกบั นางสีดาและพระรามซกั เล็กนอ้ ยนะคะ ถึงแมเ้ รื่องนางสดี าและทศกณั ฐ์จบลงแลว้ แตม่ นั กย็ งั มเี ร่ืองเกี่ยวกบั ความเคลือบแคลงใจของพระรามท่ีมี ต่อนางสีดาท่จี ะกลบั มาอย่กู บั ตน ถา้ พดู กนั งา่ ยๆเลยก็คอื การไม่เช่ือใจกนั และเพ่อื ใหพ้ ระรามกลบั มาเช่ือ ใจเหมอื นเดมิ นางสีดาเลยทาทกุ วิถีทางเพ่อื พิสจู นต์ นเองใหพ้ ระรามเห็นวา่ นางยงั รกั และม่นั คงตอ่ พระราม แตส่ ดุ ทา้ ยดว้ ยเหตเุ ขา้ ใจผิดท่เี กิดขนึ้ เรื่องรูปยกั ษ์ทศกณั ฐท์ ่ีพระรามมาพบเขา้ ท่นี างสีดา ในท่สี ดุ ความไม่ เช่ือใจอนั นนั้ ก็ระเบิดออก และแลว้ ก็เกดิ ปัญหา สดุ ทา้ ยนางสดี าจงึ ถกู ขบั ไลไ่ สสง่ ออกไป ฉะนนั้ นางสดี าใน ความหมายของเพลงก็คือผหู้ ญิงคนหน่ึง ท่พี ยายามกคู้ วามไวใ้ จจากคนท่ีตวั เองรกั กลบั คนื มา แต่คนท่ี ตวั เองรกั กลบั ไมเ่ ห็นคา่ ไม่เช่ือใจเหมือนเดมิ สดุ ทา้ ยตา่ งคนก็ตา่ งแยกยา้ ย กไ็ ม่ตา่ งอะไรกบั นางสีดาท่ีถกู พระรามทิง้ ความรกั อนั บรสิ ทุ ธิข์ องตนทิง้ ไป หตั ถาครองพิภพ(๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ พระรามกม็ ีปัญหาเหมือนกนั นะ ใหเ้ ทียบผชู้ ายสมยั นกี้ ถ็ ือว่า เอาแต่ใจตวั เอง และไม่น่ิงพอท่จี ะไวใ้ จคนท่อี ย่กู บั เราได้ จนในท่ีสดุ ก็ไป”ทารา้ ย” เขาใหเ้ จ็บปวด ซง่ึ พลอ็ ต ตรงนีแ้ หละ จงึ เกิดมาเป็นเพลงของ The Rube เพลงนี้ I’m sorry (สดี า) เท่าท่อี ่านตรงนีจ้ ะเหน็ เลยว่า ประโยคนี้ คานี้ เพลงนี้ มนั คือเพลงท่เี อ่ยจากความรูส้ กึ ของฝ่ายพระราม หรอื ฝ่ายคนท่ไี มเ่ ช่ือใจ จนทาให้ อีกฝ่ายเสียใจน่นั แล จงึ เป็นเพลงของคนรูส้ กึ ผิดคนนงึ ท่เี พง่ิ จะสานกึ (ฮา) ก็ยงั ดีท่รี ูต้ วั ไม่วา่ นางสีดาจะ กลบั มาหรือไมก่ ลบั มา แตพ่ ระรามคนนีก้ ็เสยี ใจน่นั แหละ จึงเป็นความรูส้ กึ ในเพลงนีใ้ นท่สี ดุ ดำ้ นเนือ้ หำเพลงสองใจ ทมี งาน sanook (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ เพลงนเี้ ป็นตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ ใหม่ท่มี ีความไมย่ อมใคร งานนพี้ ่แี อม้ โปรดิวเซอรไ์ ดเ้ ขียนเนอื้ รอ้ งออกมาไดเ้ ขา้ ใจถึงความรูส้ กึ ของวนั ทองไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยสว่ นตวั ดาวา่ วนั ทองเป็นผหู้ ญิงท่ีแมนมากนะคะ ถงึ ใครจะดา่ หรือประณาม กไ็ มจ่ าเป็นตอ้ งไปอธิบายใหใ้ ครฟัง เพราะฉนั เทดิ ทนู ในความรกั ซง่ึ เพลงนเี้ ป็นเหมอื นตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ นที้ ่มี คี วามเป็นตวั เองคอ่ นขา้ งสงู เพราะฉะนนั้ ทกุ คนมสี ิทธิ์เลอื ก มสี ิทธิท์ ่ีจะรกั และเลือกท่ีจะตามใจหวั ใจตวั เอง ดาอยากใหท้ กุ คนท่ฟี ังเพลง นมี้ ีความรูส้ ึกรว่ มและอินไปกบั เพลง
๓๓ ทมี งาน music.trueid (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ เพลงจากละครฟอรม์ ยกั ษ์ “วนั ทอง” ละครท่ดี ดั แปลงมา จากวรรณกรรมอมตะสดุ คลาสสิก ขนุ ชา้ ง ขนุ แผน ท่ถี กู นามาตีความใหม่ ผ่านมุมมองตวั ละครผหู้ ญิงอย่าง วนั ทอง สบู่ ทเพลง “สองใจ” ท่มี าถา่ ยทอดอารมณค์ วามรูส้ กึ ของตวั ละครอยา่ งวนั ทอง ท่ไี ดน้ กั รอ้ งดีวา่ ตวั แม่ “ดา เอ็นโดรฟิน” มาสง่ ต่อความรูส้ กึ ใหค้ ณุ เขา้ ใจผหู้ ญิงอยา่ งวนั ทองมากกวา่ เดิม #สองใจ เพลงเศรา้ แต่สตรองแทนความรูส้ กึ ของ #วนั ทอง ผหู้ ญิงท่ีเทิดทนู ความรกั และเลือกทาตามหวั ใจตวั เอง ถงึ แมว้ ่าคน อ่นื จะมองว่าเลวก็ตาม ทีมงาน one๓๑ (๒๕๖๔)โดยสว่ นตวั ดาว่าวนั ทองเป็นผหู้ ญิงท่ีแมนมากนะคะ ถงึ ใครจะดา่ หรือ ประณาม กไ็ ม่จาเป็นตอ้ งไปอธิบายใหใ้ ครฟังเพราะฉนั เทิดทนู ในความรกั ซง่ึ เพลงนเี้ ป็นเหมอื นตวั แทนของ ผหู้ ญิงยคุ นีท้ ่ีมีความเป็นตวั เองคอ่ นขา้ งสงู เพราะฉะนนั้ ทกุ คนมีสทิ ธิเ์ ลือก มีสทิ ธิ์ท่ีจะรกั และเลอื กท่ีจะ ตามใจหวั ใจตวั เอง” “ดาอยากใหท้ กุ คนท่ฟี ังเพลงนมี้ ีความรูส้ กึ รว่ มและอินไปกบั เพลง รวมถงึ คอนเซ็ปทข์ อง MV กจ็ ะ เป็นแนววินเทจโมเดิรน์ เสือ้ ผา้ หนา้ ผมของดาก็จะมีความผสมผสานระหว่างแฟช่นั ปี๒๐๒๑ แตไ่ ม่ถึงกบั ยอ้ นไปในยคุ สมยั แบบในละคร ซ่งึ เรามาถา่ ยทากนั ท่ีโลเคช่นั ละคร เป็นบา้ นเรอื นไทยของวนั ทองอกี ดว้ ยค่ะ ทงั้ อปุ กรณป์ ระกอบฉากแสงสีกม็ คี วามเป็นไทยโมเดิรน์ ทุกอยา่ งลงตวั มาก เขา้ กบั เพลงมากๆค่ะ ดำ้ นเนือ้ หำเพลงรักเกนิ จะหักใจ ทมี งาน siamzone (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถึง อย่าหวาดกลวั ฉนั เลยไดไ้ หมฉนั ไมค่ ดิ จะทารา้ ยเธอแค่ได้ เจอก็รูส้ กึ รกั รกั เธอหมดใจเห็นสายตาท่ีเธอมองฉนั กร็ ูว้ ่าเป็นเช่นไรเธอตอ้ งฝืนหวั ใจแค่ไหนตอนอย่กู บั ฉนั ทงั้ ท่รี ูว้ า่ เขาไม่รกั จะหกั ใจกท็ าไมไ่ หวยากแค่ไหนฉนั หวงั ใหเ้ ธอรกั กนั ไดส้ กั วนั ใชเ้ วลาเน่นิ นานหลายปีก็ไม่มี ว่แี วววนั นนั้ มากลบั กลายเป็นคดิ หนีกนั ขา้ ไม่ทนั เตรียมใจอกขา้ สะทา้ นหวั ใจแหลกลาญ ทีมงาน thaiup music(๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วว่า เม่ือเธอจะหนีโอส้ ดุ ชวี ีพระอภยั มณีพ่คี ือดวงใจแม้ รา่ งกายของขา้ เป็นยกั ษแ์ ต่ใจภกั ดิร์ กั ไมเ่ ส่อื มคลายตอ่ ใหอ้ ดตายไม่คิดทารา้ ยกายพ่ีใหบ้ อบชา้ กลบั มาเถิด หนาแกว้ ตาของขา้ โอด้ วงมณีผเี สอื้ ยกั ษียอมพลีทงั้ กายใจไมค่ ืนคารอ้ งไหว้ งิ วอนนา้ ตาเป็นสายไม่อาจ เปลีย่ นใจไดเ้ พยี งระกาเป่าป่ีสงั หารใหต้ ายก็ยงั รกั เกนิ จะหกั ใจอกขา้ สะทา้ นหวั ใจแหลกลายเม่อื เธอจะหนีโอ้ สดุ ชวี พี ระอภยั มณีพ่ีคือดวงใจแมร้ า่ งกายของขา้ เป็นยกั ษแ์ ตใ่ จภกั ดิร์ กั ไมเ่ ส่ือมคลายต่อใหอ้ ดตายไมค่ ิดทา
๓๔ รา้ ยกายพ่ีใหบ้ อบชา้ กลบั มาเถิดหนาแกว้ ตาของขา้ โอด้ วงมณีผเี สอื้ ยกั ษียอมพลที งั้ กายใจไมค่ นื คารอ้ งไห้ วิงวอนนา้ ตาเป็นสายไม่อาจเปลีย่ นใจไดเ้ พียงระกาเป่าป่ีสงั หารใหต้ ายกย็ งั รกั เกินจะหกั ใจตราบลมหายใจ สดุ ทา้ ยกย็ งั รกั เธอไมเ่ สอ่ื มคลาย ด้ำนเนือ้ หำเพลงบุษบำเสี่ยงเทยี น ทมี งานทรูปลกู ปัญญา(๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ เพลงบษุ บาเสี่ยงเทียน เป็นเพลงท่ไี ดแ้ รงบนั ดาลใจ จากวรรรคดเี รื่อง อเิ หนา พระราชนิพนธใ์ น พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เป็นตอนท่นี างเอกคอื นางบษุ บา ไดจ้ ุดเทยี นไหวพ้ ระและอธิษฐาน ขอใหอ้ งคพ์ ระพุทธชว่ ยดลใจใหอ้ ิเหนาเกิดความรกั และความ ม่นั คงในตวั นาง ทีมงาน literaturethailand (๒๕๖๒) ไดก้ ลา่ วถึงนางบษุ บารูส้ กึ สบั สน หนง่ึ หญิงสองชาย จรกา นนั้ เป็นตนุ าหงนั ส่วนอเิ หนาคอื อดตี ตนุ าหงนั ท่เี คยหมนั้ หมายกนั มาก่อน ซา้ ยงั มีท่าทหี ลงใหล ใจหนึ่งก็ นึกรกั อเิ หนา ซ่งึ เหมาะสมในทกุ ดา้ น และใจหนึง่ กส็ านกึ ในหนา้ ท่ขี องลกู ท่พี ่อไดย้ กใหเ้ ป็นตนุ าหงนั กบั จร กา ซา้ รา้ ยจรกา ค่ตู นุ าหงนั ปัจจบุ นั ก็ยงั รูปรา่ งขรี้ วิ้ เทียบกบั อิเหนาไมไ่ ด้ ครง้ั เสรจ็ ศกึ ทา้ วกะหมงั กะหนิง ทา้ วดาหาเดนิ ทางไปใชบ้ น ท่ภี เู ขาวิลศิ มาหลา บุษบา อิเหนา จรกา ตามเสด็จดว้ ย มะเดหวจี งึ นานางไป เส่ยี งเทยี นในถา้ ท่มี ีพระพทุ ธรูปศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ และจดุ เทียนอธิษฐาน ใหแ้ จง้ ประจกั ษว์ ่าใครคือเนือ้ ค่ตู วั จรงิ นางสาวเรณกุ า เรืองฤทธิ์(๒๕๕๕) ไดก้ ลา่ วถงึ มะเดหวีบษุ บาไปไหวพ้ ระในวหิ ารบนเขา แลว้ เส่ยี ง เทยี นดวู ่าดวงชะตาของนางจะคกู่ บั อิเหนาหรอื จรกา โดยวิธีเสีย่ งทายนนั้ ใชเ้ ทียนสามเลม่ เลม่ หนง่ึ เป็น บษุ บา ปักตรงหนา้ นาง อกี เล่มเป็นอเิ หนา ปักทางขวา และขา้ งซา้ ยเป็นจรกา มะเดหวีสอนใหบ้ ษุ บากลา่ ว อธิษฐานว่า แมน้ ...จะไดข้ า้ งไหนแน่ ใหป้ ระจกั ษแ์ ทจ้ งหนกั หนา แมน้ จะไดข้ า้ งระตจู รกาใหเ้ ทยี นพ่ียานนั้ ดบั ไป บษุ บาแมจ้ ะอายใจเตม็ ทีกจ็ าตอ้ งทาตามมะเดหวี แลว้ ก็มเี สยี งจากปฏิมาว่า\"...อนั นางบษุ บานงเยาว์ จะ ไดแ้ กอ่ เิ หนาเป็นแมน่ ม่นั จรกาใชว่ งศเ์ ทวญั แมน้ ไดค้ รองกนั จกั อนั ตราย\" บษุ บาแปลกใจท่ีพระพทุ ธรูปพดู ได้ อเิ หนาเห็นเป็นโอกาสจงึ ใหน้ อ้ งไปเป่าเทยี นของจรกาจนดบั หลงั จากนนั้ จึงตอ้ นคา้ งคาวใหบ้ นิ ว่อน ทาให้ เทียนดบั หมด จนวหิ ารมืดมิด แลว้ กอ็ อกมากอดบษุ บา นางตกใจสง่ เสียงรอ้ งใหช้ ่วย มะเดหวีใหพ้ ่เี ลีย้ งไป จดุ ไฟ ก็เห็นอิเหนากาลงั กอดบษุ บาอยู่ มะเดหวจี ึงต่อว่าดว้ ยความแคน้ ใจ ท่ีอิเหนาทอดทงิ้ บษุ บาซง่ึ เป็น ค่หู มนั้ หมายมาตงั้ แต่เด็กอย่ามาสนใจใยดี เม่อื พ่อของบษุ บายกใหน้ างแต่งงานกบั จรกา ใยจงึ มาข่มเหง รงั แกเชน่ นอี้ เิ หนาก็ว่าหาไดท้ อดทงิ้ ไม่ ตวั เขารกั บษุ บาอย่างสดุ หวั ใจ เพ่อื แสดงความจริงใจจึงถอดแหวน มอบใหบ้ ษุ บา แต่บษุ บาไม่รบั มะเดหวีจงึ ถอดกาไลของบุษบาไปแลกกบั แหวนของอเิ หนาแทน
๓๕ จากการศกึ ษาทางดา้ นเนือ้ หาของบทเพลงพบว่าเพลงทงั้ หมดท่นี ามาศกึ ษามเี นือ้ หาท่ีมคี วาม แตกต่างกนั ดว้ ยอาจจะเพราะไม่ไดม้ าจากวรรณคดเี ร่ืองเดยี วกนั จงึ ทาใหเ้ นือ้ กามีความแตกต่าง เช่นเพลง แอมซอร่ีสีดา วงเดอะรูบ ไดถ้ ่ายทอดความรูส้ กึ ในมมุ ของพระราม ผ่านทางบทเพลง โดยเพลงนีไ้ ดแ้ รง บนั ดาลใจจากเรื่องราวความรกั ระหวา่ ง “พระราม” และ “นางสีดา” ในวรรณคดีไทยเรื่อง “รามเกียรต”ิ์ ท่ี เกดิ เหตกุ ารณม์ ากมาย ทาใหพ้ ระรามเกดิ ความเขา้ ใจผิด จนตอ้ งสญู เสียความรกั และความเช่ือใจจากนาง สีดา และเม่ือพระรามไดร้ ูค้ วามจรงิ กไ็ ม่สามารถแกไ้ ขอะไรไดอ้ กี จึงเป็นท่มี าของเพลงนี้ ท่พี วกเขาอยากสื่อ ความรูส้ กึ สานกึ ผิดของพระรามวา่ ไม่ไดต้ งั้ ใจทาลงไปและอยากจะขอโทษนางอนั เป็นท่ีรกั - เพลงสองใจ เพลงนเี้ ป็นตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ ใหม่ท่ีมีความไม่ยอมใคร ไดเ้ ขยี นเนอื้ รอ้ งออกมาได้ เขา้ ใจถงึ ความรูส้ กึ ของวนั ทองไดเ้ ป็นอย่างดี ถึงใครจะด่าหรือประณาม ก็ไม่จาเป็นตอ้ งไปอธิบายใหใ้ ครฟัง เพราะม่นั คงและเทดิ ทนู ในความรกั ซ่งึ เพลงนเี้ ป็นเหมือนตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ นที้ ่มี ีความเป็นตวั เอง ค่อนขา้ งสงู เพราะฉะนนั้ ทกุ คนมีสทิ ธิเ์ ลือก มีสิทธิท์ ่จี ะรกั และเลอื กท่จี ะตามใจหวั ใจตวั เอง - เพลงรกั เกินจะหกั ใจ ไดร้ บั แรงบนั ดาลใจในการแต่งจากวรรณคดเี ร่ืองผีเสือ้ สมทุ ร ท่ีมงุ่ นาเสนอ ความเจบ็ ปวดอนั เน่อื งมาจากความรกั ของนางผเี สอื้ สมทุ รท่เี กดิ จากคนท่ีตนหลงรกั ชงิ ชงั รงั เกียจ ในตอนท่ี โดนพระอภยั มณีหลอกใหอ้ อกจาถา้ และเม่อื นางกลบั มายงั ถา้ เหน็ ประตถู า้ เปิดอยู่ เขา้ ไปดใู นถา้ ไมพ่ บใคร กต็ กใจ แลดปู ่ีท่เี ป่ าก็หายไปดว้ ยกร็ ูว้ า่ พากนั หนนี างไปแลว้ จึงเกิดความเสียใจมากท่ีทงั้ ลกู และผวั หนีจาก ไป - เพลงบษุ บาเสย่ี งเทยี น เนือ้ หาในเพลงกลา่ วถึงตอนท่นี างบษุ บารูส้ ึกสบั สน หนง่ึ หญิงสองชาย เม่อื ครงั้ เสรจ็ ศกึ ทา้ วกะหมงั กะหนิง ทา้ วดาหาเดนิ ทางไปใชบ้ น ท่ภี เู ขาวลิ ิศมาหลา บษุ บา อิเหนา จรกา ตามเสดจ็ ดว้ ย มะเดหวีจงึ นานางไปเสี่ยงเทียนในถา้ ท่ีมีพระพทุ ธรูปศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ และจดุ เทยี นอธิษฐาน ให้ แจง้ ประจกั ษว์ ่าใครคือเนอื้ ค่ตู วั จรงิ และอีกหนึ่งจดุ เดน่ ท่นี ่าสนใจของบทเพลงท่มี ีเนอื้ หามาจากวรรณคดีก็ คือท่วงทานองเพลง จากวรรณคดไี ทยท่แี ตเ่ ดิมเป็นบทรอ้ ยแกว้ รอ้ ยกลองก็สามารถนามาปรบั เปล่ียนและ ดดั แปลง โดยการคิดเนือ้ รอ้ งและใสท่ ว่ งทานองตา่ งๆใหร้ ่วมสมยั กบั ยคุ ปัจจุบนั ซ่งึ แต่ละบทเพลงท่กี ลา่ วมา นนั้ ก็มที ่วงทานองท่ีแตกต่างกนั ออกไป
๓๖ ๓.๓ ดำ้ นทว่ งทำนองเพลงและจังหวะ ดำ้ นทว่ งทำนองและจังหวะเพลง I’m Sorry สีดำ อาม ขวญั ธนน (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ “Modern Traditional”แนวเพลงท่ีถกู เรียกว่า “Modern Traditional”ซ่งึ เป็นการนาเอาวฒั นธรรมไทยในแขนงตา่ งๆ เช่น ลกู ท่งุ , ไทยเดิม, ฉ่อย ผสมผสานกบั ความ เป็นดนตรีสากลสมยั ใหม่ ทงั้ Funk, Hip-Hop, R&B, Rock ฯลฯใหท้ กุ คนไดเ้ ขา้ ถึงเสน่หเ์ อกลกั ษณค์ วามเป็น ไทยมากขนึ้ รวมทงั้ เพ่ิมสสี นั ใหก้ บั วงการเพลงใหน้ ่าสนใจมากขนึ้ อีกดว้ ย ทีมงาน kapook musicstation(๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ เป็นอกี หน่ึงสีสนั ใหม่ของวงการดนตรี สาหรบั The Rube (เดอะ รูบ) วงนอ้ งใหม่จากค่าย Spicy Disc (สไปรซ์ ซี่ ดสิ ก)์ สมาชิกประกอบไปดว้ ย เก๊ท ศิวพงษ์ เหมวงศ์ (รอ้ งนา), จ๊บุ ธีรวงศ์ วฒั นาจารุพงศ์ (กีตาร)์ , นอ็ ต ทรงพล ศรสี ะอาด (เบส) และเจน ณชั รพงศ์ วฒั นาจารุพงศ์ (กลอง) ท่ขี อนาเสนอความเป็นไทยผา่ นเสยี งเพลงของพวกเขา โดยนิยามแนวเพลงไวว้ ่า Modern Traditional (โมเดิรน์ เทรดชิ ่นั นอล) กบั การผสมผสานกนั ระหว่างดนตรีไทยแขนงตา่ ง ๆ อย่าง ลกู ทงุ่ , ไทยเดิม, ฉอ่ ย ฯลฯ มาประยกุ ตเ์ ขา้ กบั ดนตรสี มยั ใหม่ ทมี งาน thestandard (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ ว ก่อนหนา้ นกี้ ็เคยออกซิงเกลิ มาแลว้ จนวนั หนึ่งรูส้ กึ ว่าทาไม มนั เงียบจงั นกั รอ้ งนาก็ชอบรอ้ งลกู ทงุ่ เลน่ ทมี งานกเ็ ลยปิ๊งขนึ้ มาวา่ ทาเป็นแนวนดี้ ีกวา่ Modern Traditional ก็ตอ้ งขอบคณุ วง Mild ท่ชี ว่ ยกนั สรา้ งเอกลกั ษณข์ องวง The Rube ขนึ้ มา แนวนยี้ งั ไมม่ ใี ครใช้ วงพยายาม เอาสิ่งใหม่ท่ีสดุ มาผสมกบั ดนตรแี บบเก่า ตอ้ งทาการบา้ นเยอะมาก นอกจากฟังเพลงและเครอื่ งดนตรไี ทย แลว้ ยงั กลบั ไปศกึ ษาเรื่องราวของดนตรีไทยเก่าๆ หรือความไทยเกา่ ๆ อกี ดว้ ย แต่ก็ไมใ่ ช่ไทยไปทงั้ หมด ก็ ตอ้ งผสมกนั บางเพลงการรอ้ งเมโลดเี้ กา่ แลว้ เคร่ืองอ่นื ก็เอาความโมเดริ น์ ใส่ บางเพลงยงั ไม่มคี วามไทยใส่ เขา้ ไปมากเท่าไรก็โซโลกีตารเ์ ป็นเพนทาโทนกิ (เมโลดแี้ บบเอเชยี )
๓๗ ด้ำนท่วงทำนองและจังหวะเพลงสองใจ ทมี งาน thestandard (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงเพลง สองใจ ดแู ลโดยสองโปรดิวเซอร์ ทงั้ แอม้ -อจั ฉริยา ดลุ ยไพบลู ย์ และ ชล-ชลทศั น์ ชาญศิรเิ จรญิ กลุ ซง่ึ ตอ้ งบอกตรงนวี้ ่าการได้ แอม้ อจั ฉรยิ า มาดแู ลเพลงนี้ นบั เป็นการเลือกท่ถี ูกตอ้ งทงั้ ในฐานะท่เี ธอเป็นโปรดิวเซอรแ์ ละนกั แต่งเพลงหญิงท่ีจะเขา้ ใจและถา่ ยทอด เรื่องราวนไี้ ดอ้ ย่างดี นอกจากนนั้ เธอยงั เป็นหนงึ่ ในคนทางานเพลงแหง่ ยคุ ท่กี ารนั ตีความไพเราะ ความฮิต และทางานตรงโจทยไ์ ดอ้ ย่างดเี สมอมา โดยเฉพาะการผสานดนตรี Pop-R&B ใหเ้ ขา้ กบั เมโลดไี้ ทยๆ รวมถงึ ลกู เออื้ นคนุ้ หสู รา้ งเป็นรสชาตทิ ่แี ปลกใหม่ ทงั้ ยงั ขบั เสนห่ เ์ สยี งรอ้ งของดาออกมาไดอ้ ย่างหมดจด ทมี งาน music.trueid (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ สบู่ ทเพลง “สองใจ” ท่มี าถา่ ยทอดอารมณค์ วามรูส้ กึ ของ ตวั ละครอย่างวนั ทอง ท่ไี ดน้ กั รอ้ งดีว่าตวั แม่ “ดา เอ็นโดรฟิน” มาสง่ ตอ่ ความรูส้ ึกใหค้ ณุ เขา้ ใจผหู้ ญิงอย่าง วนั ทองมากกว่าเดิม #สองใจ เพลงเศรา้ แต่สตรองแทนความรูส้ กึ ของ #วนั ทอง ผหู้ ญิงท่เี ทดิ ทนู ความรกั และเลือกทาตามหวั ใจตวั เอง ถงึ แมว้ ่าคนอ่นื จะมองว่าเลวก็ตาม การผสานท่ไี หลล่นื ของดนตรี POP R&B เมโลดไี้ ทยๆ และเสียงรอ้ งเท่ๆ ท่อี ดั แน่นไปดว้ ยความความรูส้ กึ ในทกุ คารอ้ ง รวมถงึ ลกู เออื้ นไทย ๆ ของ ดา เอ็นโดรฟิน สามารถถา่ ยทอดการผสมผสานของกล่ินอายดนตรสี ากลและไทย ใหอ้ ย่ดู ว้ ยกนั ไดอ้ ย่างไพเราะ นา่ ฟัง เกดิ เป็นมติ ใิ หม่ของเพลงไทยในรสชาติท่ีแปลกใหม่ และยงั มีแงม่ มุ ความรกั ท่ใี ชไ้ ดก้ บั ยคุ ปัจจบุ นั แม้ สองใจ จะถกู แต่งขึน้ เพ่ือบอกเลา่ ความรูส้ กึ ของวนั ทอง แต่ดว้ ยความรว่ มสมยั ของดนตรแี ละเนอื้ หา เพลงนี้ จึงขอมอบแด่ผหู้ ญิงยคุ ๒๐๒๑ ทกุ คน ทมี งาน one๓๑ (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงเพลงสองใจ การผสานท่ไี หลลื่นของดนตรี POP R&B เมโลดี้ ไทยๆ และเสยี งรอ้ งเทๆ่ ท่อี ดั แน่นไปดว้ ยความความรูส้ กึ ในทกุ คารอ้ ง รวมถึงลกู เอือ้ นไทยๆ ของดา สามารถถ่ายทอดการผสมผสานของกลิ่นอายดนตรีสากลและไทย ใหอ้ ย่ดู ว้ ยกนั ไดอ้ ยา่ งไพเราะนา่ ฟัง ดำ้ นท่วงทำนองและจังหวะเพลงบุษบำเสี่ยงเทยี น ทมี งานทรูปลกู ปัญญา(๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงบษุ บาเสยี่ งเทียน เป็นเพลงไทยลกู กรุงท่ีแต่งโดยอิงจาก ตอน บษุ บาเสี่ยงเทียน ในอเิ หนา โดยเนือ้ หากลา่ วถึงเหตกุ ารณท์ ่นี างบษุ บาไดจ้ ดุ เทยี นเพ่อื กราบองคพ์ ระ ปฏิมาฯ (พระพทุ ธรูป) ใหช้ ่วยดลบนั ดาลใหอ้ เิ หนารกั ตน หรอื บา้ งกลา่ วว่าเพ่อื เส่ียงทายโดยใชเ้ ทยี นโดย เนอื้ หาแลว้ แสดงถึงความหลงรกั ในตวั อเิ หนาของบษุ บาซ่งึ ไมค่ อ่ ยตรงกบั เนือ้ หาในวรรณคดสี กั เทา่ ไร
๓๘ ทานองของเพลงไดป้ ระยกุ ตท์ านองเพลงมาจากเพลงลาวเส่ียงเทียน ๒ ชนั้ และประพนั ธค์ ารอ้ งโดยคณุ ศกั ดิ์ เกิดศริ ิ เพลงเคยถกู นามาขบั รอ้ งโดยศิลปินหลายท่าน ทา่ นแรก คือ วงจนั ทร์ ไพโรจน์ ท่ีเป็นท่ีรูจ้ กั ท่สี ดุ คือพมุ่ พวง ดวงจนั ทร์ และ อรวี สจั จานนท์ นอกจากนยี้ งั มี นิตยา บญุ สงู เนนิ , มาสสภุ า กาพยป์ ระพนั ธ,์ แอ๊ฟ ทกั ษอร และ กาญจนา มาศริ ิ วรานชุ พทุ ธชาด จากการศกึ ษาเกี่ยวกบั ท่วงทานองเพลงพบว่าทกุ เพลงมเี อกลกั ษณท์ างดา้ นการใชแ้ นวเพลงและมี องคป์ ระกอบอ่นื ๆท่ตี ่างกนั เช่นเพลงแอมซอรสี่ ีดา แนวเพลงแบบ“Modern Traditional”แนวเพลงท่ีถกู เรยี กวา่ “Modern Traditional”ซ่งึ เป็นการนาเอาวฒั นธรรมไทยในแขนงต่างๆ เชน่ ลกู ท่งุ , ไทยเดิม, ฉอ่ ย ผสมผสานกบั ความเป็นดนตรีสากลสมยั ใหม่ ทงั้ Funk, Hip-Hop, R&B, Rock ฯลฯใหท้ กุ คนไดเ้ ขา้ ถงึ เสนห่ ์ เอกลกั ษณค์ วามเป็นไทยมากขนึ้ รวมทงั้ เพ่ิมสีสนั ใหก้ บั วงการเพลง - เพลงสองใจ เป็นการผสานท่ไี หลลืน่ ของดนตรี POP R&B เมโลดไี้ ทยๆ และเสียงรอ้ งเท่ๆ ท่อี ดั แนน่ ไปดว้ ยความความรูส้ กึ ในทุกคารอ้ ง รวมถงึ ลกู เออื้ นไทย ๆ ของ ดา เอน็ โดรฟิน สามารถถ่ายทอดการ ผสมผสานของกลิน่ อายดนตรีสากลและไทย ใหอ้ ย่ดู ว้ ยกนั ไดอ้ ย่างไพเราะนา่ ฟัง เกิดเป็นมติ ใิ หม่ของเพลง ไทยในรสชาติท่แี ปลกใหม่ และยงั มีแงม่ มุ ความรกั ท่ใี ชไ้ ดก้ บั ยุคปัจจุบนั - เพลงรกั เกินจะหกั ใจ แนวเพลงลกู ทงุ่ มลี กั ษณะฟังง่าย เขา้ ใจง่าย สามารถนามารอ้ งตามได้ ไมม่ ี กฎเกณฑอ์ ะไรในการประพนั ธเ์ พลง ไม่วา่ จะนาเพลงพนื้ บา้ น ตลอดจนนาเพลงไทยเดิม หรือเพลง ต่างประเทศมาปรบั ปรุงแตง่ เนอื้ รอ้ งเพิ่มทานองใหม่ - เพลงบษุ บาเสี่ยงเทยี น เป็นเพลงไทยลกู กรุงท่ีเป็นเพลงไทยสากลประเภทหนึ่ง โดยเป็นเพลงท่ี บอกเล่า ถา่ ยทอด ความรูส้ กึ ของสงั คม และคนเมอื งหลวง ตลอดจนเหตกุ ารณท์ ่เี กิดขนึ้ การถ่ายทอด อารมณ์ การขบั รอ้ ง นา้ เสียง ของกลมุ่ นกั รอ้ ง นกั แตง่ เพลง และนกั ดนตรีจะมีรูปแบบ ประณีต ละเอียดอ่อน ออกมาน่มุ นวล เนอื้ รอ้ งจะมลี กั ษณะเป็นรอ้ ยแกว้ รอ้ ยกรอง มีความหมายสลบั ซบั ซอ้ น จากการวเิ คราะห์ เนอื้ หาของบทเพลงตา่ งๆจะเหน็ ไดช้ ดั ว่าบทเพลงสว่ นมากมเี นอื้ หาเก่ียวกบั ความรกั หลากหลายแบบความ เช่ือท่มี ใี หเ้ หน็ ในบทเพลงหรือไมก่ ข็ นบธรรมเนียมประเพณีซง่ึ เหลา่ นจี้ ะเรยี กไดว้ ่าคณุ คา่
๓๙ ๓.๔ ด้ำนคุณคำ่ ไชยญาณ บญุ ยศ (๒๕๔๙) ไดก้ ลา่ วถึงเพลงเป็นส่ือปรุงแตง่ อารมณ์ ความรูส้ กึ ของมนษุ ยต์ งั้ แต่ แรกเกิด บทเพลงท่มี คี ณุ ค่าย่อมสามารถช่วยปรุงแตง่ นสิ ยั ของมนษุ ย์ และพามนษุ ยใ์ หด้ าเนนิ ไปตาม ครรลองท่ีถกู ตอ้ ง เพลงเป็นสื่อท่ดี ีและมีประสิทธิภาพ ชว่ ยทาใหเ้ ดก็ มเี จตคติท่ีดีต่อการเรียนการสอน เกิดความ สนกุ สนานเพลิดเพลนิ เรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างมีความสขุ ไดร้ บั ความรู้ ความสามารถอยา่ ง ครอบคลมุ ดว้ ยเนือ้ หา สาระของเพลง ทงั้ ทางตรง และทางออ้ ม เดก็ ท่ชี อบรอ้ งเพลง และจาเนอื้ เพลงไดม้ าก ย่อมสามารถนา ความรูห้ รือประสบการณท์ ่ไี ดร้ บั ไปปรบั ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ลอดชวี ิต คติสอนใจ และแงค่ ิดท่แี ฝงอย่ใู นบทเพลง ประกอบกบั ท่วงทานอง และจงั หวะของเพลง จะชว่ ยกลอ่ มเกลาจติ ใจ และอารมณข์ องเด็กใหโ้ นม้ เอยี งมา ในทางฝ่ายดี ทาใหเ้ ขาเตบิ โตเป็นผใู้ หญ่ท่ดี ีไดต้ ่อไปในอนาคต ส่ือเพลงจึงเป็นแนวทางในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ใี หป้ ระโยชนแ์ ก่ครูผสู้ อนอย่าง คมุ้ ค่า แต่ราคาประหยดั ท่สี ดุ เพราะสามารถนาไปใชไ้ ดง้ า่ ย สะดวก และรวดเรว็ สอื่ เพลงจะมีค่าเป็น ทวคี ณู หากครูผสู้ อนสามารถแตง่ เนอื้ เพลงและรอ้ งเพลงไดเ้ อง อาจารยเ์ จริญ ยธิกลุ (๒๕๖๐) ไดก้ ลา่ วคณุ คา่ ของบทเพลงหากจะพดู ถึงเรื่องเพลง ในปัจจบุ นั มี เพลงอยหู่ ลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเพลงชาวโลกหรือเพลงครสิ เตยี น ทงั้ สองอย่างนจี้ ะแตกตา่ งกนั ทงั้ เนอื้ หาสาระ เราลองมาเปรียบเทยี บความแตกตา่ ง ระหว่างเพลงสากลท่วั ไปกบั เพลงครสิ เตียนการแต่ง เพลงเกดิ จากประสบการณท์ ่ีมี ทงั้ ความผิดหวงั มเี สยี ใจ หรอื เกิดจากจินตนาการท่สี ะทอ้ นดา้ นจิตใจของ ผปู้ ระพนั ธเ์ อง หรือเพ่อื การคา้ การตลาด ทาเพ่อื การคา้ และธุรกิจเป็นหลกั เนอื้ หาของเพลงจะมที งั้ ในแง่บวก และแง่ลบ ความนิยมกจ็ ะเป็นยคุ เป็นสมยั ไปการแตง่ เพลงจะเนน้ จนิ ตนาการมากกว่าความจรงิ เช่น เศรา้ เสียใจ ผิดหวงั ขมข่นื สว่ นใหญ่จะเป็นการสรา้ งอารมณใ์ นการเขียนบทเพลง เพ่ือใหเ้ กิดความนิยมชมชอบ จนไม่คานึงถงึ ความเป็นจรงิ เชน่ บางเพลงถงึ กบั ไรท้ างออก เนือ้ เพลงกจ็ ะแสดงถงึ ว่า เราไมม่ ีความหวงั จรงิ ๆ ซ่งึ เราพบวา่ เหตกุ ารณจ์ รงิ ๆ แลว้ จะไม่ถึงขนาดนนั้ เสมอไป เพลงสากลท่ัวไปมที งั้ ดี มีคณุ ค่า และไมด่ ี บางเพลงทานองไม่ค่อยดีแต่เนอื้ หาดีมาก บางเพลงเนอื้ หาดีทานองไม่ดี บางเพลงไม่โดง่ ดงั บางเพลงดงั ระเบิด ไปท่ไี หนก็ไดย้ ิน แต่เม่ือฟังไปจะใหค้ ณุ ค่าสรา้ งสรรคน์ อ้ ยมากเลย มีดีไมก่ ี่ประโยค สว่ นใหญ่เพลงท่ี
๔๐ สรา้ งสรรค์ เพลงท่ีใหค้ ณุ ค่า เช่น เพลงปลกุ ใจ เพลงประจาสถาบนั เพลงประจาหน่วยงาน เพลงประจา องคก์ ร หรือไมว่ า่ จะเป็นเพลงของชาติ บทความความสาคญั ของเพลง ไดก้ ลา่ วถึงเพลงมีบทบาทสาคญั มานาน ตงั้ แตส่ มยั ประวตั ิศาสตร์ ดงั นนั้ เพลงจงึ มีคณุ คา่ เพลงเป็นเครื่องมือแสดงถงึ สติปัญญา และคณุ ธรรมของประเทศชาตเิ พลงเป็น ส่อื กลางในการติดตอ่ และสรา้ งความเขา้ ใจกนั ไดด้ เี พลงเป็นเครื่องพฒั นาอารมณใ์ หเ้ บิกบาน แจ่มใส เสียงและทานองของเพลง เป็นการแสดงออกถึงความช่ืนชมยินดี หรอื ความเศรา้ โศกเสียใจ การรอ้ งเพลง เป็นการใหค้ วามสขุ และความพงึ พอใจทงั้ ผรู้ อ้ งและผฟู้ ัง การรอ้ งเพลงชว่ ยบารุงสขุ ภาพกายและจติ การรอ้ งเพลงเป็นเครื่องกระตนุ้ ใหเ้ กิด การหมนุ เวียน ของโลหิตและระบบประสาท ช่วยกระตนุ้ ความหิวกระหายอย่างนอ้ ยก็กระหายนา้ นา้ เป็นสง่ิ ท่กี ่อใหเ้ กิด ความชมุ่ ชนื้ ในรา่ งกายและเกดิ พลงั ขณะท่ีรอ้ งเพลง เราตอ้ งผ่อนลมหายใจ เขา้ ออกตามจงั หวะสน้ั – ยาว ของทานองเพลง ทาใหป้ อดขยายเขา้ – ออก ถา้ รอ้ งเพลงบ่อย ๆ เท่ากบั เป็นการชว่ ยเสรมิ สรา้ งให้ ทรวงอกแขง็ แรง เพลงประกอบการเรยี นการสอน ช่วยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความสนุกสนานเพลดิ เพลินและเกิด การเรียนรูใ้ นเรือ่ งนนั้ ๆ การนาเพลงและเกมเขา้ ผสมผสานกนั ในการสอน เป็นลกั ษณะเรียนปนเลน่ นบั ว่า สอดคลอ้ งกบั หลกั จิตวทิ ยาวยั เดก็ ดงั นนั้ เพลง หมายถงึ สาเนียงขบั รอ้ ง ทานองดนตรีท่คี นเรากระทาขึน้ เพ่อื สนองตอ่ ความ ตอ้ งการทางดา้ นรา่ งกาย จิตใจ และอารมณต์ ลอดจนเพ่อื เป็นกิจกรรมทางสงั คมอีกดว้ ย จากการศกึ ษาคณุ คา่ ของบทเพลงพบว่าเพลงมีบทบาทสาคัญมานาน ตงั้ แต่สมยั ประวตั ิศาสตร์ ดงั นนั้ เพลงจงึ มคี ณุ คา่ เพลงเป็นเคร่ืองมือแสดงถึงสติปัญญา และคณุ ธรรมของประเทศชาติเพลงเป็น สอ่ื กลางในการติดต่อ และสรา้ งความเขา้ ใจกนั ไดด้ เี พลงเป็นเครื่องพฒั นาอารมณใ์ หเ้ บิกบาน แจม่ ใส เสียงและทานองของเพลง เป็นการแสดงออกถงึ ความช่ืนชมยนิ ดี หรอื ความเศรา้ โศกเสียใจ การรอ้ งเพลง เป็นการใหค้ วามสขุ และความพงึ พอใจทงั้ ผรู้ อ้ งและผฟู้ ังเพลงเป็นส่ือปรุงแต่งอารมณ์ ความรูส้ กึ ของมนษุ ย์ ตงั้ แต่แรกเกิด บทเพลงท่มี ีคณุ ค่าย่อมสามารถชว่ ยปรุงแตง่ นสิ ยั ของมนษุ ย์ และพามนษุ ยใ์ หด้ าเนินไปตาม ครรลองท่ีถกู ตอ้ ง เพลงเป็นส่ือท่ดี แี ละมีประสทิ ธิภาพ ช่วยทาใหเ้ ด็กมีเจตคติท่ีดีตอ่ การเรียนการสอน เกิด
๔๑ ความสนุกสนานเพลดิ เพลิน เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ไดร้ บั ความรู้ ความสามารถอย่าง ครอบคลมุ ดว้ ย เนอื้ หาสาระของเพลง ทงั้ ทางตรง และทางออ้ ม อีกทงั้ คณุ ค่าของบทเพลงยงั มหี ลากหลายประเภททาง ผจู้ ดั ทาจงึ แยกยอ่ ยออกมาเป็นดา้ นความเช่ือดา้ นความรกั และดา้ นขนบธรรมเนียมประเพณีเพราะใหม้ ี ความสอดคลอ้ งกบั บทเพลงท่นี ามาศกึ ษา ๓.๔.๑ ดำ้ นควำมรัก ด้ำนควำมรักเพลงเพลง-แอมซอร่ี (สีดำ) ทมี งาน kapook musicstation(๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถึงและหลงั จากจบเร่ืองนีไ้ ปก็ยงั ไมว่ ายเกดิ เรื่อง ขนึ้ อีกเม่ือพระรามไปเจอรูปของทศกณั ฐใ์ นหอ้ งนอนของนางสีดาจงึ เขา้ ใจผิดวา่ นางคิดถึงอีกฝ่ายอยเู่ ลยขบั ไลอ่ อกจากเมอื ง แต่ต่อมาพอไดร้ ูค้ วามจรงิ ว่านางสีดาไม่เคยทาอะไรเช่นนนั้ จึงพยายามงอ้ คืนดแี ต่ก็สายไป เสยี แลว้ กเ็ หมือนกบั ความรกั ของคนในปัจจบุ นั ท่ที าอะไรลงไปดว้ ยอารมณจ์ นทาใหอ้ ีกฝ่ายเสียใจ ซง่ึ กว่า จะคิดไดก้ ็สายไปสิง่ เดียวท่ีทาไดค้ ือ..ขอโทษ..งานนี้ อาม ขวญั ธนน (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วคือการบอกถงึ อารมณค์ วามรูส้ กึ ของคนท่รี ูส้ กึ ผิดกบั คนรกั คน หนงึ่ ซง่ึ ตวั คนท่ที าผิดก็เพ่ิงจะรูต้ วั และมีอกี ส่ิงหนง่ึ ซ่งึ เป็นเอกลกั ษณข์ องมวิ สิควิดโิ อหรือเนอื้ เพลงเพลงนคี้ อื การเล็งเหน็ คณุ ค่าและการสืบสานวฒั นธรรมไทยใหย้ งั คงอย่แู ละนาสิ่งเหลา่ นมี้ าประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั งา่ ยต่อการเขา้ ถึง ด้ำนควำมรักเพลงสองใจ ทมี งาน sanook (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถงึ เพลงนเี้ ป็นตวั แทนของผูห้ ญิงยคุ ใหม่ท่มี คี วามไมย่ อมใคร งานนพี้ ่แี อม้ โปรดิวเซอรไ์ ดเ้ ขียนเนอื้ รอ้ งออกมาไดเ้ ขา้ ใจถึงความรูส้ กึ ของวนั ทองไดเ้ ป็นอย่างดี โดยส่วนตวั ดาว่าวนั ทองเป็นผหู้ ญิงท่ีแมนมากนะคะ ถงึ ใครจะด่าหรือประณาม กไ็ ม่จาเป็นตอ้ งไปอธิบายใหใ้ ครฟัง เพราะฉนั เทิดทนู ในความรกั ซ่งึ เพลงนเี้ ป็นเหมอื นตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ นที้ ่มี ีความเป็นตวั เองค่อนขา้ งสงู เพราะฉะนนั้ ทกุ คนมีสิทธิ์เลอื ก มสี ิทธิ์ท่จี ะรกั และเลอื กท่จี ะตามใจหวั ใจตวั เอง
๔๒ ทมี งาน one๓๑ (๒๕๖๔) ไดก้ ลา่ วถึงโดยส่วนตวั ดาวา่ วนั ทองเป็นผหู้ ญิงท่ีแมนมากนะคะ ถึงใคร จะด่าหรือประณาม กไ็ ม่จาเป็นตอ้ งไปอธิบายใหใ้ ครฟังเพราะฉนั เทิดทนู ในความรกั ซง่ึ เพลงนเี้ ป็นเหมอื น ตวั แทนของผหู้ ญิงยคุ นที้ ่มี ีความเป็นตวั เองคอ่ นขา้ งสงู เพราะฉะนนั้ ทกุ คนมีสิทธิเ์ ลือก มสี ทิ ธิท์ ่จี ะรกั และ เลอื กท่จี ะตามใจหวั ใจตวั เอง” ทีมงาน thestandard (๒๕๖๔ ) ไดก้ ลา่ วถึงใครจะอยากเป็นคนไม่ดี ผิดท่ใี จไมจ่ าว่ามนั ไมค่ วรรกั ใคร’ ทอ่ นฮกุ ของเพลง สองใจ ท่ไี ม่ยากท่จี ะจา และไมย่ ากท่จี ะรอ้ งตาม กลายเป็นเพลงไทยสากลเพลง ลา่ สดุ ท่ที ายอดผชู้ มสงู ถงึ ๑๐๐ ลา้ นครง้ั ซง่ึ นอกเหนือจากการเป็นเพลงประกอบละครท่กี าลงั อยใู่ นกระแส แลว้ การถา่ ยทอดเพลงนขี้ อง ดา Endorphine กเ็ ป็นอกี ครง้ั ท่ีทาใหผ้ ฟู้ ังไดร้ ูว้ า่ น่คี ือสมุ้ เสียงของศลิ ปินหญิง ท่หี าตวั จบั ยากท่สี ดุ คนหน่ึงของวงการ และดว้ ยองคป์ ระกอบหลายๆ อยา่ งท่ีถกู ท่ถี กู เวลา เพลง สองใจ นจี้ งึ กลายเป็นเพลงฮติ เพลงใหม่ของช่วั โมงนี้ วดั จากยอดผชู้ มอนั ดบั บนชารต์ และยอดผฟู้ ังในแตล่ ะสตรมี มิงได้ วา่ เป็นอย่างไร ทีมงาน thestandard (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ ถา้ ใครท่ีเคยอ่านหรอื เคยศกึ ษาวรรณคดรี ามเกียรติค์ งจะ ทราบกนั ดี ถงึ เรือ่ งราวระหว่าง พระราม นางสีดา และทศกณั ฐ์ ซ่งึ ครา่ วๆก็ประมาณวา่ หลงั จากสศู้ กึ กบั โค ตรลาสบอสอย่าง ทศกณั ฐ์ จบเรียบรอ้ ยแลว้ ดว้ ยความท่ี “คลางแคลงใจ” ของพระรามตอ่ ตวั นางสีดาท่ี กาลงั จะกลบั มาอยกู่ บั เขา เรียกงา่ ยๆกบั ความรกั ของพวกเรามนั คือความไมเ่ ช่ือใจกนั ต่อคนท่เี รารกั น่นั แหละ พระรามจึงใหน้ างสีดาพสิ จู นต์ ่างๆนานา เพ่อื ใหเ้ ขาม่นั ใจว่า เธอยงั คงมรี กั แทต้ ่อเขาเพยี งผเู้ ดียว ซง่ึ นางสดี าก็ทาทกุ อย่างเพ่ือใหร้ ูว้ ่าบรสิ ทุ ธิ์ใจ แตส่ ดุ ทา้ ยดว้ ยเหตเุ ขา้ ใจผิดท่ีเกิดขนึ้ เร่ืองรูปยกั ษ์ทศกณั ฐท์ ่ี พระรามมาพบเขา้ ท่นี างสีดา ในท่สี ดุ ความไมเ่ ช่ือใจอนั นนั้ ก็ระเบิดขนึ้ มา เป็นเหตุใหเ้ กิดปัญหา สดุ ทา้ ยจงึ ถกู ขบั ไลไ่ สสง่ ออกไป การแสดงความรกั ต่อกนั เป็นสว่ นหนึง่ ท่สี าคญั เพ่อื เตมิ เต็มความสขุ แตก่ ารพลดั พรากจากส่งิ ท่ีรกั ก็ นามาซ่งึ ทกุ ขเศรา้ โศกเสียใจไดเ้ ช่นกนั ซง่ึ ผลจากจากการศกึ ษาขอ้ มลู เพลงทงั้ หมดจานวน ๔เพลง พบเพลง ท่ปี รากฏคณุ ค่าดา้ นความรกั จานวน๔เพลง ดงั นีเ้ พลงแอมซอรสี่ ีดา การบอกถงึ อารมณค์ วามรูส้ ึกของคนท่ี รูส้ กึ ผิดกบั คนรกั คนหน่งึ ซง่ึ ตวั คนท่ที าผดิ กเ็ พง่ิ จะรูต้ วั และความรกั ของพวกเขามนั คือความไมเ่ ช่ือใจกนั ต่อ คนท่เี รารกั พระรามจงึ ใหน้ างสดี าพิสจู นต์ ่างๆนานา เพ่ือใหเ้ ขาม่นั ใจว่า เธอยงั คงมรี กั แทต้ ่อเขาเพยี งผเู้ ดยี ว ซง่ึ นางสดี าก็ทาทกุ อย่างเพ่อื ใหร้ ูว้ า่ บรสิ ทุ ธิ์ใจ แต่สดุ ทา้ ยดว้ ยเหตเุ ขา้ ใจผิดท่เี กิดขึน้ เร่ืองรูปยกั ษท์ ศกณั ฐ์ท่ี
๔๓ พระรามมาพบเขา้ ท่นี างสีดา ในท่สี ดุ ความไม่เช่ือใจอนั นนั้ กร็ ะเบิดขนึ้ มา เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ปัญหา สดุ ทา้ ยจงึ ถกู ขบั ไลไ่ สสง่ ออกไป - เพลงสองใจ ไดถ้ ่ายทอดความรูส้ กึ ของตวั ละคร คือ “ ความรกั กม็ ีความแปลกในตวั ท่คี น ๆ หนงึ่ เรารกั จนหมดใจ แต่ใจของเรากลบั ไม่เคยมีเขาเลย แต่อีกคนนึงท่ีทาใหเ้ รารูส้ กึ ปวดรา้ ว แตใ่ จของเราก็กลบั ลมื เขาไม่ได้ หวั ใจเจา้ กรรมท่ีตดั สนิ ไมไ่ ดส้ กั ทวี า่ รกั ใคร กว่าท่จี ะตดั สินใจวา่ จะเลือกใครแต่ผลสดุ ทา้ ย ก็ตอ้ ง มาน่งั เสยี ใจ เพราะทกุ อย่างก็เหลือเพียงแค่ตวั และหวั ใจเท่านนั้ - เพลงรกั เกินจะหกั ใจ เกี่ยวกบั การรอคอยคนรกั และความรกั เดยี วใจเดียว ถึงแมต้ วั จะยกั ษแ์ ตใ่ จ ภกั ดริ์ กั ไมเ่ สือ่ มคลายตอ่ ใหอ้ ดตายไมค่ ิดทารา้ ยกายพ่ใี หบ้ อบชา้ กลบั มาเถิดหนาแกว้ ตาของขา้ โอด้ วงมณี ผเี สอื้ ยกั ษียอมพลที งั้ กายใจไม่คนื คารอ้ งไหว้ งิ วอนนา้ ตาเป็นสายไม่อาจเปล่ยี นใจไดเ้ พยี งระกาเป่าป่ีสงั หาร ใหต้ ายกย็ งั รกั เกินจะหกั ใจตราบลมหายใจสดุ ทา้ ยก็ยงั รกั เธอไม่เสือ่ มคลาย - เพลงบษุ บาเสย่ี งเทยี น นางบษุ บารูส้ ึกสบั สน หนง่ึ หญิงสองชาย จรกานนั้ เป็นตุนาหงนั สว่ น อเิ หนาคือ อดตี ท่เี คยหมนั้ หมายกนั มาก่อน ซา้ ยงั มที า่ ทีหลงใหล ใจหนงึ่ ก็นึกรกั อิเหนา ซ่งึ เหมาะสมใน ทกุ ดา้ น และใจหนึ่งกส็ านกึ ในหนา้ ท่ขี องลกู ท่พี อ่ ไดย้ กใหเ้ ป็นตนุ าหงนั กบั จรกา ซา้ รา้ ยจรกา ค่ตู นุ าหงนั ปัจจบุ นั กย็ งั รูปรา่ งขีร้ วิ้ เทียบกบั อเิ หนาไมไ่ ด้ จากการวิเคราะหเ์ นือ้ หาในบทเพลงท่ีพบความรกั หลากหลายรูปแบบแลว้ นอกจากนยี้ งั พบความเช่ือตา่ งๆท่ีแทรกอยใู่ นบทเพลงอีกดว้ ย ๓.๔.๒ ดำ้ นควำมเช่อื ทมี งาน สยามโซน (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วถงึ เพลง i'm sorry สดี า โอว้ า่ พระรามยงั แคลงใจจบศกึ กรุงลงกา พสิ จู นเ์ จา้ นางสีดาใหบ้ กุ เดินลยุ ไฟ เออเอย แต่ว่ารูปยกั ษไ์ ม่ทนั ไดถ้ ามกลบั สนองดวงใจ เออเอย แค่เพียงเจา้ คิดเจา้ แคน้ เจา้ นางไมเ่ คยจะคดิ ปันใจ เออเอย ความเช่ือ การพสิ จู นค์ วามจริงดว้ ยการลยุ ไฟ พสิ จู นด์ ว้ ยการลยุ ไฟ
๔๔ วนสั บตุ รนาค(๒๕๖๐) ไดก้ ลา่ วถงึ จะมอี ะไรอลงั การเทา่ เปลวไฟอนั รอ้ นแรง ถา้ จะบอกว่า ‘น่แี หละ คือการแสดงปาฏิหาริย’์ มนั ก็ตอ้ งลยุ ไฟน่แี หละเนอะ นางสีดาเองลยุ ไฟโดยไมเ่ จ็บตวั ก็ยอ่ มแปลว่าคนนี้ เทวดาคมุ้ ครองแน่นอน ในสมยั กอ่ นถา้ เกิดวา่ หาขอ้ ยตุ ิไม่ได้ บา้ นเรากใ็ ชก้ ารลยุ ไฟกเ็ ป็นวิธีการพสิ จู น์ ความผิดทางหนึง่ วธิ ีการคือทารางกองไฟยาวๆ สมุ ถา่ นหนาคืบนึง เสรจ็ แลว้ ใหค้ ่กู รณีลา้ งเทา้ ลยุ ไฟ วิธีการ พสิ จู นค์ อื ผ่านไปสามวนั ดวู ่าถา้ ฝ่ายไหนเทา้ พองแปลวา่ ผิด แตถ่ า้ ไม่พองหรือพองทงั้ ค่แู ปลว่าผิดหรือไม่ผดิ เสมอกนั งานหนา้ ถา้ จะพสิ จู นค์ วามผิดเจอกนั รา้ นหมกู ระทะ โรม บนุ นาค(๒๕๖๐) ไดก้ ลา่ วถงึ วา่ ในการพจิ ารณาความผิดโดยการใหพ้ สิ จู น์ ไม่วา่ จะเป็นความ แพ่งหรอื ความอาญา และจาเป็นตอ้ งใชว้ ิธีการพสิ จู นเ์ ป็นทางเดยี วท่จี ะทราบความจรงิ เชน่ ในกรณีท่ไี ม่มี พยานหลกั ฐานท่จี ะชีใ้ หเ้ หน็ ว่าเป็นผผู้ ิดหรือเป็นผไู้ มผ่ ิด คณะผพู้ ิพากษาเม่ือไม่สามารถจะพพิ ากษาให้ เด็ดขาดไปได้ และถา้ ทงั้ ฝ่ายโจทกจ์ าเลยขอรอ้ งใหใ้ ชว้ ธิ ีพิสจู น์ คณะผพู้ ิพากษากจ็ ะอนมุ ตั ไิ ด้ การพสิ จู น์ ความบรสิ ทุ ธิน์ นั้ มที ากนั หลายอย่างเช่น ดานา้ ลยุ ไฟ เอามอื จมุ่ ในกระทะนา้ มนั เดือดๆ หรือการกลืนขา้ ว ศกั ดิส์ ิทธิ์ วธิ ีการพสิ จู นด์ งั กลา่ วจาตอ้ งมพี ธิ ีการและตอ้ งทากนั ในท่ีเปิดเผยต่อหนา้ คณะผพู้ พิ ากษาและ ประชาชน โรม บนุ นาค(๒๕๖๐) ไดก้ ลา่ วถงึ การพสิ จู นด์ ว้ ยวิธีดานา้ เขากระทากนั ดงั นี้ ปักเสาสองเสาลงในนา้ แลว้ ใหค้ ่พู ิพาททงั้ สองเกาะเสาดาลงไปใตน้ า้ ใหพ้ รอ้ มกนั ผทู้ ่อี ยใู่ ตน้ า้ ไดน้ านกว่า ผนู้ นั้ ชนะคดี ผทู้ ่โี ผล่ ขนึ้ มากอ่ นเป็นผแู้ พก้ ารพิสจู นโ์ ดยวิธีอ่นื เชน่ กนั เชน่ การจ่มุ มอื ลงในกระทะนา้ มนั เดือด มือของใครพองนอ้ ย กวา่ เป็นผชู้ นะในการเดนิ ลยุ ไฟเพ่ือพิสจู นค์ วามบรสิ ทุ ธิ์นนั้ ค่คู วามจะตอ้ งลยุ ไฟโดยมเี จา้ หนา้ ท่ีคอยกดบา่ ไวท้ งั้ สองขา้ ง ผทู้ ่เี ดนิ ลยุ ไปไดต้ ลอดโดยบาดเจบ็ นอ้ ยกวา่ ผนู้ นั้ ชนะ ผเู้ ขยี นบล็อก Jamaica (๒๕๕๗) ไดก้ ลา่ วถึงบษุ บาเสียงเทียน เนอื้ เพลง เส่ียงเทยี น คารอ้ ง แกว้ อจั ฉริยะกลุ ทานอง เออื้ สนุ ทรสนาน ขบั รอ้ ง : มณั ฑนา โมรากลุ (ตน้ ฉบบั เดมิ )
๔๕ .................................... อา้ องคพ์ ทุ ธาปฏิมาขา้ นอ้ มเศียร เทพประจาแสงเทียนฟังขา้ เสี่ยงเทียนวนั ทา ดว้ ยกศุ ลผลกรรม ขอจงโปรดนาใหส้ มอรุ า ขอความปรารถนาของขา้ สมดงั สจั จาท่ีม่งุ ไว้ มาตรแมน้ รกั ขา้ ช่ืนชมสบสมสมาน เทยี นจงโชติชชั วาลดงั คาอธิษฐานทนั ใด ถา้ หากรกั ของขา้ ถึงตอ้ งอปั ราสลายไป แสงเทียนสกุ ใสจงดบั ลบั ไปต่อหนา้ บดั นเี้ ทอญ ทมี งาน Thaiza (๒๕๖๓ ) ไดก้ ลา่ วถงึ ครบเครอ่ื งเร่ืองเสย่ี งเทยี น ทานายความรกั บนั ทกึ คนโบราณ ระบวุ า่ หน่มุ สาวสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรเ์ คยใชพ้ ิธีกรรมเส่ียงเทียน เส่ยี งทายคนรกั ว่าคนท่ีมาตกหลมุ รกั ตน ใครจะรกั ตนจรงิ จะมวี าสนาเป็นเนอื้ ค่กู นั ไหม เพราะคติความเช่ือคนโบราณเช่อื ว่าหน่มุ สาวท่แี ต่งงานกนั จะตอ้ งเคยทาบญุ มาแต่ปางก่อน จะเรม่ิ ตอ่ หนา้ พระพทุ ธรูปหรือพระประธานฟ่ันเทียนขนาดเท่ากนั ตามท่ี กลา่ วขา้ งตน้ สองเลม่ ผทู้ ่ีประสงคจ์ ะเสี่ยงทายตงั้ จติ สงบ อธิษฐานกาหนดว่าเทียนเลม่ หนง่ึ แทนคนรกั คน หนึง่ เทยี นเลม่ อ่ืนแทนคนรกั อกี คน ขณะจุดเสย่ี งทายจนเทียนเลม่ ใดเกิดเหลือยาวกว่าเทียนเลม่ นนั้ คือฝ่าย ชนะคือเนือ้ ค่คู นรกั ท่รี กั จรงิ และพธิ ีกรรมท่วี ่าเคยสะทอ้ นผ่านวรรณกรรมเร่ืองอเิ หนา ตอนบุษบาเสี่ยงเทยี น พิธีเสีย่ งเทยี นจดั วา่ คอื พิธีสะทอ้ นภมู ปิ ัญญาคติความเช่อื คนโบราณได้ เพราะสมยั ก่อนไม่มีความรูใ้ นการ พิสจู นค์ วาม การทานายตามวิธีโหราศาสตร์ และการสงั เกต จติ วทิ ยาความรกั เฉพาะความเช่ือเร่ืองการ เสีย่ งเทยี นพิสจู นร์ กั แท้ ความจรงิ ความรกั คือเร่ืองกรรมลิขิตตอ้ งไปตามกรรม และเร่ืองพรหมลิขติ ผลกรรม แต่ปางกอ่ น ทมี งาน Thaiza (๒๕๖๓ ) ไดก้ ลา่ วถงึ ทานายความรกั บนั ทกึ คนโบราณระบวุ ่าหน่มุ สาวสมยั กอ่ น ประวตั ิศาสตรเ์ คยใชพ้ ธิ ีกรรมเส่ยี งเทยี น เสย่ี งทายคนรกั วา่ คนท่มี าตกหลมุ รกั ตน ใครจะรกั ตนจรงิ จะมี วาสนาเป็นเนอื้ ค่กู นั ไหม เพราะคติความเช่ือคนโบราณเช่ือว่าหนมุ่ สาวท่แี ต่งงานกนั จะตอ้ งเคยทาบญุ มาแต่
Search