Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สำเนาของ เพิ่มหัวเรื่อง

สำเนาของ เพิ่มหัวเรื่อง

Published by fatih.hamdamdee, 2021-11-30 22:59:31

Description: สำเนาของ เพิ่มหัวเรื่อง

Search

Read the Text Version

วิชาการเป็นผู้ประกอบการ จัดทำโดย นางสาว นิอัรรอฮีมี แวสามะ เสนอ อาจารย์ มารีนี กอรา

บททที่ 1 มารู้จักการประกอบการ ความหมายของผู้ประกอบการ ความมุ่งหมายของผู้ประกอบการ ประเภทของทุรกิจ ธุรกิจSME คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ดี โอกาสในการประกอบอาชีพธุรกิจ หลักในการประกอบธุรกิจให้ประสบสำเร็จ วัฏจักรของเศรฐกิจ การประเมินความพร้อมของผูประกอบการ ความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ

ความหมายของผู้ประกอบการ ผู้ที่มองเห็นโอกาสและช่องทางต่างๆ แล้วลงมือสร้างธุรกิจของตนเองขึ้น อย่างสร้างสรรค์ ด้วยการลงทุนและจัดสรรทรัพยากรต่างๆ เพื่อผลิตสินค้าหรือ บริการสำเร็จรูป ซึ่งอาจเป้นสินค้าหรือบริการใหม่ๆก็ได้สู่ท้องตลาด เพื่อสร้าง รายได้แก่ตนเอง ความมุ่งหมายของการประกอบการ แสวงหากำไร สนองความต้องการของตนเอง สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ความอยู่รอดและความเจริญรุ่งเรืองถาวรของธุรกิจเอง

ประเภทธุรกิจ แนวคิดที่3 เป็นแนวคิดของนักการเงิน ใช้วิธีการได้เงินมาเป็นหลักในการแบ่ง นักการเงินแบ่งอาชีพออกเป็น 4 ประเภทดังนี้ 1. อาชีพลุกจ้าง 2. อาชีพทำธุรกิจส่วนตัว 3. อาชีพการเป็นเจ้าของกิจการ 4. อาชีพนักลงทุน ธุรกิจEMS ธุรกิจ เอสเอ็มอี ย่อมาจาก Small and Medium Enterprisesหมายถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ปัจจุบันธุรกิจSMEsของไทยมีจำนวนประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจอุตสาหกรรม มีการรจ้างงานถึง50เปอร์เซ็น ของธุรกิจทั้งหมด SMEsจึงเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจของประเทศ

คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ดี โอกาสในการประกอบอาชีพ 1. มีความเชื่อมั่นในตนเอง 1. การประกอบอาชีพในสถานประกอบการในฐานะลูกจ้าง 2. กล้าตัดสินใจ 2. การประกอบธุรกิจส่วนตัว เริ่มจากกิจการเล็กๆไปก่อน 3. พร้อมที่จะทำงานหนัก 3. การประกอบธุรกิจแบบแฟรนไชส์ในฐานะเป็นซื้อแฟรนไชส์ 4. มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 4. การประกอบธุรกิจด้านการลงทุน 5. มีความรู้เกี่ยวกับกิจการที่ตนประกอบการ 6. ต้องมีทุนอยู่จำนวนหนึ่งในการประกอบการ วัฏจักรของเศรษฐกิจ 7. มีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า สิ่งที่ผู้ประกอบการควรจะต้องศึกษาก่อนลงมือ หลักประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ประกอบการคือ วัฏจักรของเศรษฐกิจโดยรวม ระบบเศรษฐกิจมีลักษณะเหมือนสภาวะอื่นๆทั่วไป มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่เสมอ มีสภาพ 1.การตัดสินใจ คล่องอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเวลานาน ปัจจุบันมี 2.การเลือกธุรกิจ การพัฒนาออกไปมาก การเปลี่ยนจะเกิดขึ้นง่าย 3.การวางแผนประกอบธุรกิจ คือภาวะเศรษฐกิจจะมีลักษณะสลับกันไป

การประเมินความพร้อมของผู้ประกอบการ ความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ 1. ความพร้อมของตนเอง 1.ลงทุนหลังหรืลงทุนสามานย์ มุ่งทำกำไรสูงสุดไม่สนใจว่าสังคมจะเดือด 2. ความพร้อมด้านการเงิน ร้อน 3. ความพร้อมด้านการตลาด หรือไม่ กักตุนสินค้าเอาเปรียบแรงงาน ผลิตสินค้าปลอม ติดสินบนเจ้า 4. ความพร้อมด้านการบริหารจัดการ หน้าที่ ร่วมกับนักการเมืองคอรัปชั่น 2.ทุนรับผิดชอบ มุ่งทำธุรกิจอย่างสุจริตโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ทิ้งของเสียลงสู่ที่ สาธารณะ 3.ทุนก้าวหน้า มุ่งทำธุรกิจโดยยึดความรับผิดชอบต่อสังคมสูงมากถึงขั้น ประสิทธิภาพเชิงนิเวศน์มุ่งพัฒนาสินค้าที่ยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม

บทที่2 ปัจยที่มีอิทธิพลต่อการประกอบการ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเมือง ปัจจัยด้านกฎหมาย ปัจจัยเทคโนโลยี ปัจจัยด้านผู้บริโภค ปัจจัยด้านความรับผิดชอบต่อสังคม จรรยาบรรณของนักธุรกิจ ประโยชน์ ของนักธุรกิจต่อระบบเศรษฐกิจ

ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ 1. ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง แร่ธาตุ ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ พวกโลหะ ได้แก่ เหล็ก ทองแดง ฯลฯ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีบทบาทอันสำคัญในเวทีการเมืองระหว่างประเทศปัจจุบัน คือ น้ำมัน ประเทศผู้ผลิตน้ำมันกลายเป็นประเทศ ที่มีความสำคัญ มาก และประเทศเหล่านั้นมีการรวมตัวกันขึ้นเพื่อมีอำนาจต่อรองในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น กลุ่ม โอเปค 2. การผลิตทางด้านอุตสาหกรรม ประเทศที่ได้เปรียบ คือ ประเทศผู้มีความสามารถในด้านการผลิตสูง หมายถึง ประเทศที่มีความ สามารถทางด้านเทคโนโลยีสูง ปัจจัยด้านการเมือง ในสังคมแต่ละสังคมจะมีระบบที่ช่วยควบคุม สนับสนุนเกื้อกูลให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สงบเป็นระเบียบเรียบร้อย คือระบบการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนเองในแต่ละสังคม จึงควรทำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานอย่าง หนึ่งในการพัฒนาหลักสูตรการเมือง การปกครอง กับการพัฒนาหลักสูตร การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา หน้าที่ที่สำคัญของการศึกษาคือ การสร้างสมาชิกที่ดีให้กับสังคมให้อยู่ในระบบ การเมืองการปกครองทางสังคมนั้น หลักสูตรจึงต้องบรรจุเนื้อหาสาระและประสบการณ์ที่จะปลูกฝังและสร้างความเข้าใจให้คนใน สังคมาอยู่ร่วมกันด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน จัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ สภาพของสังคม เช่น การมุ่งเน้นพฤติกรรมด้านประชาธิปไตย เป็นต้นข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่ควรจะนำมาปรับพื้น ฐานประกอบการพิจารณาในการพัฒนา หลักสูตร เช่น ระบบการเมือง ระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ เป็นต้น

ปัจจัยด้านกฎหมาย สังคมที่อยู่กันอย่างสงบสุขได้นั้น จะต้องมีกฎหมายเป็นตัวกำกับดูแลความ สงบเรียบร้อย มีทั้งสิทธิและหน้าที่ มีทั้งข้อห้ามและข้อบังคับ ธุรกิจเป็นส่วน หนึ่งของสังคมจึงต้องยอมรับกฎหมาย เช่นเดียวกับ องค์การหรือหน่วยงาน อื่นๆ ในสังคม กฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่สำคัญประกอบด้วย -กฎหมายแรงงาน สาระสำคัญของกฎหมายแรงงาน จะเน้นในด้านความสงบสุขและความเป็น ธรรมระหว่างลูกจ้างและนายจ้างเป็นหลัก เพื่อทำให้การประกอบธุรกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น โดยจะมีข้อกำหนดในเรื่อง ค่าแรงงานขั้นต่ำ ชั่วโมงในการทำงานแต่ละวัน ปัจจัยเทคโนโลยี สิ่งที่ผลักดันหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดเทคโนโลยี ประกอบด้วย 1. ความจำเป็นในการดำรงชีวิต 2. ความต้องการอยู่รอดให้พ้นจากภัยธรรมชาติ 3. ความใฝ่รู้ของมนุษย์ 4. ความต้องการความบันเทิงและการพักผ่อน 5. การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม

ปัจจัยด้านผู้บริโภค รายได้ของผู้บริโภค ระดับรายได้เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกบริโภคสินค้าหรือบริการ ต่อ ของผู้บริโภค โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน คือ ผู้บริโภคที่มีรายได้มากจะบริโภคมาก ถ้ามี รายได้น้อยก็จะบริโภคน้อย เช่น สมมติว่าเดิมนายขจรมีรายได้เดือนละ 5,000 บาท และนายขจร จะใช้รายได้ไปในการบริโภคร้อยละ 70 เก็บออมร้อยละ 30 เพราะฉะนั้นนายขจรจะใช้จ่ายเพื่อการ บริโภคเป็นเงินเท่ากับ 3,500 บาท ต่อมาถ้านายขจรมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 8,000 บาท และ นายขจรยังคงรักษาระดับการบริโภคในอัตราเดิม คือบริโภคในอัตราร้อยละ 70 ของรายได้ที่ได้รับ นายขจรจะใช้จ่ายในการบริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 5,600 บาท ในทางกลับกัน ถ้านายขจรมีรายได้ลดลง เหลือเพียงเดือนละ 3,000 บาท นายขจรจะใช้จ่ายในการบริโภคเป็นเงิน 2,100 บาท (ร้อยละ 70 ของรายได้) จะเห็นได้ว่าระดับรายได้เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อระดับของการบริโภค ราคาของสินค้าและบริการ เนื่องจากระดับราคาของสินค้าและบริการเป็นตัวกำหนดอำนาจซื้อ ของเงินที่มีอยู่ในมือของผู้บริโภค นั่นคือ ถ้าราคาของสินค้าหรือบริการสูงขึ้นจะทำให้อำนาจซื้อ ของเงินลดลง ส่งผลให้ผู้บริโภคบริโภคสินค้าหรือบริการได้น้อยลง เนื่องจากเงินจำนวนเท่าเดิมซื้อ หาสินค้าหรือบริการได้น้อยลง ในทางกลับกัน ถ้าราคาของสินค้าหรือบริการลดลงอำนาจซื้อของ เงินจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถบริโภคสินค้าหรือบริการได้มากขึ้นด้วยเหตุผลทำนอง เดียวกันกับข้างต้น

ปัจจัยด้านผู้บริโภค ปริมาณเงินหมุนเวียนที่อยู่ในมือ กล่าวคือ ถ้าผู้บริโภคมีเงินหมุนเวียนอยู่ในมือมากจะจูงใจให้ผู้บริโภคบริโภคมากขึ้น และถ้ามี เงินหมุนเวียนอยู่ในมือน้ อยก็จะบริโภคได้น้ อยลงปริมาณของสินค้าในตลาด ถ้าสินค้าหรือบริการในท้องตลาดมีปริมาณมาก ผู้ บริโภคจะมีโอกาสในการจับจ่ายใช้สอยหรือบริโภคได้มาก ในทางกลับกัน ถ้ามีน้ อยก็จะบริโภคได้น้ อยตามการคาดคะเนราคา ของสินค้าหรือบริการในอนาคต จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค กล่าวคือ ถ้าผู้บริโภคคาดว่าในอนาคตราคาของสินค้าหรือ บริการจะสูงขึ้น ผู้บริโภคจะเพิ่มการบริโภคในปัจจุบัน (ลดการบริโภคในอนาคต) ตรงกันข้าม ถ้าคาดว่าราคาของสินค้าหรือ บริการจะลดลงผู้บริโภคจะลดการบริโภคในปัจจุบันลง (เพิ่มการบริโภคในอนาคต) จะเห็นได้ว่าการคาดคะเนราคาของสินค้าหรือ บริการในอนาคตจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับการตัดสินใจเลือกบริโภคหรือระดับการบริโภคในปัจจุบัน และจะมี ความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับการตัดสินใจเลือกบริโภคหรือระดับการบริโภคในอนาคตระบบการค้าและการชำระเงิน เป็น ปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่กำหนดการตัดสินใจในการเลือกบริโภคของผู้บริโภค กล่าวคือ ถ้าเป็นระบบการซื้อขายด้วยเงินผ่อน ดาวน์ต่ำ ผ่อนระยะยาว จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการบริโภคให้กับผู้บริโภคมากขึ้น นั่นคือ ผู้บริโภคสามารถบริโภคโดยไม่ต้อง ชำระเงินในงวดเดียว มีเงินเพียงส่วนหนึ่งในการดาวน์ก็สามารถซื้อหาสินค้าและบริการมาบริโภคได้ โดยเฉพาะสินค้าหรือบริการ ที่มีราคาสูง เช่น บ้าน รถยนต์ ฯลฯ ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีระบบการซื้อขายแบบเงินผ่อน คือผู้บริโภคจะต้องชำระเงินค่าสินค้าตาม ราคาในงวดเดียว ผู้บริโภคอาจไม่สามารถซื้อหาหรือบริโภคสินค้าหรือบริการนั้นๆได้

ปัจจัยด้านความรับผิดชอบต่อสังคม จรรยาบรรณของนักธุรกิจ มีความรับผิดชอบต่อผลการตัดสินใจและการกระทำของตน มีความโปร่งใสและเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคและยุติธรรม มุ่งสร้างคุณค่าของธุรกิจในระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ส่งเสริมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ ประโยชน์ ของนักธุรกิจต่อระบบเศรษฐกิจ ธุรกิจเป็นแหล่งตลาดแรงงาน ในการดำเนินการธุรกิจมีความจำเป็นต้องใช้แรงงาน เพื่อทำการ ผลิตสินค้าหรือบริการ ดังนั้นการดำเนินธุรกิจจึงทำให้คนมีงานทำ สามารถหารายได้ เพื่อเลี้ยงตัว เอง และครอบครัวได้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมดีขึ้น นอกจากนั้นการที่ธุรกิจกระจาย ไปอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ก็เป็นการ กระจายรายได้ และตลาดแรงงานไปสู่ท้องถิ่นอีกด้วย ธุรกิจเป็นแหล่งเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐบาล เมื่อการดำเนินธุรกิจมีผลกำไร ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่เสีย ภาษีให้รัฐบาลตามที่กฎหมายกำหนด ทำรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น และรายได้ดังกล่าว รัฐบาลนำไปใช้ ในการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การสร้างโรงพยาบาลสร้างถนน สร้างโรงเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการ สร้างคุณภาพชีวิต ให้เกิดแก่ประชาชน ธุรกิจช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในการผลิตสินค้าและบริการของธุรกิจในระยะแรก ๆ ก็ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น จังหวัดและประเทศ แต่เมื่อธุรกิจขยายตัวเติบโต ขึ้น สามารถผลิตสินค้าและบริการได้มาก จนเกิดความต้องการของคนในประเทศ จึงต้องส่งสินค้า ออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ทำให้รายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ อีกทางหนึ่ง

บทที่3 การจัดตั้งธุรกิจ ธุรกิจเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วน ประเภทของห้างหุ้นส่วน การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด การจัดตั้งบริษัทจำกัด หุ้นทุน หุ้นกู้ การจัดการบริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด

ธุรกิจเจ้าของคนเดียว ธุรกิจเจ้าของคนเดียวมีผู้ประกอบการเพียงคนเดียวที่เป็นเจ้าของกิจการ และบริหารงานทุกด้านของธุรกิจด้วยการตัดสินใจคน เดียว การประกอบธุรกิจจะทำโดยนำสินทรัพย์ส่วนตัวของตน หรือเงินที่ยืมมาจากเครือญาติ เพื่อนฝูง สถาบันการเงินมาลงทุน ดังนั้นธุรกิจเจ้าของคนเดียวมักจะเป็นธุรกิจส่วนตัวที่มีเงินทุนดำเนินการไม่มาก และมีขอบเขตของการดำเนินธุรกิจค่อนข้าง จำกัด จึงเหมาะสมกับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนน้อย บริหารงานอย่างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนหรือมีขั้นตอนมาก และเน้นความสัมพันธ์ ระหว่างเจ้าของกับลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญ เช่นพวกขายอาหารเล็กๆ หรือ ธุรกิจขายเสื้อผ้าเล็กๆ ห้างหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วน (Partnerships) คือ องค์การธุรกิจที่มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป รับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ และ จะแบ่งกำไรตามสัดส่วนที่ตกลงกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมี 2 ชนิด คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล (หสน.) และห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)

ประเภทของห้างหุ้นส่วน การจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (Registered Ordinary Partnership) ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เป็นห้างหุ้น ยื่นแบบขอจองชื่อห้างหุ้นส่วนเพื่อตรวจสอบไม่ให้ซ้ำกับห้างหุ้นส่วน ส่วนที่มีบุคคล 2 คนขึ้นไปมาลงทุนและ บริษัทอื่น เป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน ผู้เป็นหุ้นส่วน กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อของห้างหุ้นส่วน กิจการที่จะทำ สถานที่ ทุกคนเป็น\"หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด\" ตั้งห้าง ชื่อ ที่อยู่ อายุ สัญชาติ สิ่งที่นำมาลงทุน ลายมือชื่อของผู้เป็นหุ้น หมายถึง ถ้าห้างหุ้นส่วนมีหนี้ที่เกิดขึ้นจาก ส่วนทุกคน ชื่อหุ้นส่วนผุ้จัดการ ข้อจำกัดอำนาจหุ้น ส่วนผู้จัดการ (ถ้า การประกอบกิจการ ทุกคนที่เป็นหุ้นส่วน มี) พร้อมกับ ประทับตราสำคัญของห้างในแบบพิมพ์คำขอจดทะเบียน ต้องรับผิดชอบหนี้ทั้งหมด โดยไม่จำกัด จัดตั้ง และให้ หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้ยื่นขอจดทะเบียน (ปกติการยื่นขอ จำนวนและหุ้นส่วนแต่ละคนมีอำนาจใน จดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล /ห้างหุ้นส่วนจำกัด ผู้ การจัดการกิจการของห้างหุ้นส่วน เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจะต้องลงลายมือชื่อในคำขอจดทะเบียนต่อหน้า นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ในกรณีหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ประสงค์จะไป ลงลายมือชื่อต่อหน้านายทะเบียนก็สามารถจะลงลายมือชื่อต่อหน้า สามัญหรือวิสามัญสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา เพื่อเป็นการรับรอง ลายมือชื่อ ของตนได้ในอีกทางหนึ่ง) หรือหุ้นส่วนผู้จัดการจะมอบ อำนาจให้ผู้อื่นไปยื่นจดทะเบียนแทนก็ได้ เสียค่าธรรมเนียมโดยนับจำนวนผู้เป็นหุ้นส่วนกล่าวคือ ผู้เป็นหุ้นส่วน ไม่เกิน 3 คน เสีย ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท กรณีเกิน 3 คน จะเสียค่า ธรรมเนียมหุ้นส่วนที่เกินเพิ่มอีกคนละ 200 บาท เมื่อจดทะเบียนจัดตั้ง แล้วจะได้รับหนังสือรับรองและใบสำคัญเป็นหลักฐาน

การจัดตั้งห้างหุ้นส่วน การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ทำความตกลงระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนในเรื่องสำคัญๆ ขั้นตอนที่ 2 จองชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ขั้นตอนที่ 3 จัดทำคำขอจดทะเบียนและเอกสารประกอบ ขั้นตอนที่ 4 การยื่นขอจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทจำกัด คือ องค์การธุรกิจ ซึ่งจัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลค่าเท่า ๆ กัน ผู้ถือหุ้นต่างรับผิด ชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงิน ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าหุ้นที่ตนถือ บริษัทจำกัด เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยมีบุคคลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป[1] ตกลงเข้าร่วมทุนโดยกำหนดทุนออก เป็นหุ้น รวมถึงกำหนดมูลค่าหุ้นไว้ด้วย ใช้คำนำหน้าว่า \"บริษัท\" และคำว่า \"จำกัด\" ต่อท้ายชื่อ

การจัดตั้งบริษัทจำกัด 1. ตั้งชื่ อบริษัทที่ต้องการใช้ในการจดทะเบียน 2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและยื่ นต่อนายทะเบียน 3. จัดให้มีการจองซื้ อหุ้นบริษัทและนัดประชุมผู้ถือหุ้น 4. การจัดประชุมเพื่ อจัดตั้งจดทะเบียนบริษัท 5. เลือกคณะกรรมการบริษัทเพื่ อดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ 6. ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนบริษัท 7. รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หุ้นทุน เงินทุนของบริษัทที่ได้ทำการจดทะเบียนและ เรียกชำระเรียบร้อยแล้ว หุ้นกู้ คือตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน เพื่อ ระดมเงินทุนสำหรับใช้ในกิจการหนึ่ง ๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น ลุงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรืออื่น ๆ จะคล้ายกับพันธบัตร รัฐบาลเพียงแต่เป็นของเอกชน

การจัดการบริษัทจำกัด 1. ต้องทำงบการเงินอย่างน้อยครั้งหนึ่งทุกรอบ 12 เดือน โดยมีผู้สอบบัญชีอย่างน้อย 1 คน ตรวจสอบ แล้ว เสนอที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติงบการเงินภายใน 4 เดือน นับแต่วันปิดรอบปีบัญชี และยื่นงบการ เงินต่อสำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันอนุมัติงบการเงิน รวมถึงบริษัทที่ยังมิได้ประกอบกิจการ จะต้องส่งงบการเงินด้วย มิฉะนั้น จะมีความผิดระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท 2.จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นและให้นำส่งต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วน บริษัทกรุงเทพมหานคร หรือที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดแล้วแต่กรณีภายใน 14 วัน นับจากวัน ที่ประชุม มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท 3.จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญภายหลัง 6 เดือนนับแต่วันจดทะเบียน เป็นนิติบุคคล และจัดประชุมครั้งต่อไป อย่างน้อย 1 ครั้ง ทุกระยะเวลา 12 เดือน 4.จัดทำใบหุ้นมอบให้ผู้ถือหุ้น มิฉะนั้นมีความผิดระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท 5.จัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น มิฉะนั้นมีความผิดระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท

บริษัทมหาชนจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด (Public Limited Company) คือ บริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อที่จะเสนอขายหุ้นต่อ ประชาชน โดยผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ต้องชำระ และได้ระบุความ ประสงค์ไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ ซึ่งตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ได้กำหนด ลักษณะโครงสร้างของบริษัทมหาชนจำกัดไว้ ดังนี้ 1. มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป 2. ไม่ได้กำหนดจำนวนทุนจดทะเบียนขั้นต่ำไว้ 3. แต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่ากัน ชำระค่าหุ้นครั้งเดียวเต็มมูลค่า 4. มีกรรมการบริษัทไม่น้อยกว่า 5 คน และไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งที่อยู่ในประเทศไทย

บทที่4 วัตถุประสงค์ของธุรกิจ ความหมายของการบริหาร หลักทฤษฎีและการปฏิบัติการธุรกิจ หรือการจัดการ ปัจจัยพื้นฐานของการบริหาร 4m 6m 8m ผู้บริหารและหน้าที่ความรับผิด ชอบ กระบวนการบริหาร การวางแผน การเขียนแผนธุรกิจ การจัดองค์การ การจัดการงานบุคล การอำนวยการ การควบคุมงาน

วัตถุประสงค์ของธุรกิจ ความหมายของการบริหารหรือการจัดการ 1. วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ การบริหาร ( Administration) และ การจัดการ ( 2. วัตถุประสงค์ทางสังคม Management) มีความหมายเหมือนกัน ใช้แทนกันได้ 3. วัตถุประสงค์ของมนุษย์หรือบุคคล และมักจะใช้รวมกันคือ “การบริหารจัดการ” แต่อาจ 4. หลายวัตถุประสงค์ มีการนำไปใช้ในลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละองค์กร 5. วัตถุประสงค์อินทรีย์ ได้แก่ การบริหาร ( Administration) มักจะเป็นเรื่อง 6. วัตถุประสงค์ระดับจุลภาค 7. วัตถุประสงค์ระดับชาติ การกำหนดนโยบาย นิยมนำไปใช้ในการบริหาร 8. วัตถุประสงค์ระดับโลก องค์กรของทางราชการหรือองค์กรที่ไม่มุ่งหวังผล กำไร (Schermerhorn, 1999, p.G-2 อ้างถึงใน วิรัช วิรัชนิภาวรรณ) ส่วนการจัดการ ( Management) เป็นเรื่องของการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ นิยมใช้ใน การบริหารองค์กรทางธุรกิจ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่ง แสวงหากำไร หรือกำไรสูงสุด (วิรัช วิรัชนิภาวรรณ,

ปัจจัยพื้นฐานของการบริหาร 4m 6m 8m ผู้บริหารและหน้าที่ความรับผิดชอบ 1. ทรัพยากรมนุษย์ (Man) 1.เป็นผู้นำในด้านความรู้ความสามารถในหลาย ๆ 2.วิธีปฏิบัติงาน (Method) ด้าน และมีความทันสมัย 3. ทรัพยากร (Resource) 4.เครื่องมือ (Machine) 2.เป็นผู้นำการสั่งการ มีบทบาทหรืออิทธิพลต่อ 5.การตลาด (Market) คือ บุคลากรในหน่วยงาน 6.ข้อมูลข่าวสาร (Message) 7. ขวัญและกำลังใจ (Morale) 3.เป็นผู้จัดหาสิ่งต่าง ๆ ในการดำเนินงาน มี 8.ข้อมูลที่เพียงพอ (More Data) บทบาทมากกว่าผู้อื่น 4.เป็นผู้สร้างความสัมพันธ์อันดีในองค์กร เป็นที่ ยอมรับจากบุคลากรให้เป็นผู้นำ

กระบวนการบริหาร ในกระบวนการบริหารจัดการในองค์กรนั้นประกอบไปด้วยหลากหลายแนวความคิดทาง บริหาร เช่นหลัก POSDC, POLC,POSCORB เป็นต้นซึ่งผู้บริหารองค์กรมีหน้าที่ที่จะ เลือกสรรเอาหลักการในการบริหารที่เหมาะสมมาประยุกต์หรือปรับใช้กับองค์กรของตน เพื่อประโยชน์ขององค์กรเอง แต่โดยรวมแล้วหลักการบริหารจะประกอบไปด้วยขั้นตอน เหล่านี้คือ 1.การวางแผน (Planning) 2.การจัดองค์กร (Organizing) 3. การจัดคนเข้าทำงาน(Staffing) 4. การสั่งการ(Directing) 5. การควบคุม(Controlling) 6.ภาวะผู้นำในองค์กร( Leading)

การวางแผน การวางแผน (Planning) หมายถึง กระบวนการในการกำหนดเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ สำหรับช่วงเวลาในอนาคต และวิธีร การให้องค์การบรรลุเป้าหมาย โดยยึดหลักความมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากที่สุด การเขียนแผนธุรกิจ 4. แผนการตลาด 5. แผนการดําเนินงาน 6. แผนการเงิน 7. แผนฉุกเฉิน (Emergency Plan) 1. บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) 2. ความเป็นมาของธุรกิจ 3. การวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส การจัดองค์กร การจัดองค์กร (Organizing) หมายถึง ขบวนการของการกำหนดรูปแบบโครงสร้างขององค์กร กฎ เกณฑ์ ที่จะใช้ควบคุมทรัพยากรต่างๆ ให้ทำงานร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การ โดยจะ ต้องมีการกำหนดอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ของพนักงานแต่ละคนว่าใครทำอะไร ใช้วิธี และเครื่องมืออะไรบ้าง ในการทำงานตามกฎเกณฑ์เฉพาะที่จะทำให้งานนั้นดำเนินไปได้

การจัดการงานบุคคล การจัดการงานบุคคล(Staffing) หมายถึง หน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล โดยเริ่มตั้งแต่ เสาะหา คัดเลือก บรรจุคนที่มีความ รู้ ความสามารถเข้าทำงาน พัฒนาฝึกอบรมให้บุคคลกรมีความสามารถมากเพิ่มขึ้นในการทำงาน การอำนวยการ ความหมาย “การอำนวยการ” คือ การมอบหมาย ชี้แนะ และติดตามตรวจสอบการทำงานของพนักงาน ให้ดำเนินไปตามแผน หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยจะต้องคำนึงถึงขวัญและกำลังใจของพนักงานด้วยองค์ประกอบของการอำนวยการ ประกอบด้วย การตัดสินใจ การสั่งการ การจูงใจ การสร้างขวัญและกำลังใจ การประสานงานและการสื่อสาร การควบคุมงาน ความหมายของ “การควบคุม” หมายถึง การตรวจสอบการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดเอาไว้ หรือไม่ และการปฏิบัติงานนั้นมีมาตรฐานในการทำงานหรือไม่ วัตถุประสงค์ของการควบคุมงาน การควบคุมงานช่วยสร้างมาตรฐานของงานในองค์กร ช่วยสร้างมาตรฐานในการควบคุม การ ควบคุมมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบวิธีการทำงานของพนักงานให้สามารถรักษาคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นการ ตรวจสอบความก้าวหน้าของงาน และยังสามารถใช้ใน การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานด้วย

บทที่5 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์ การธำรงรักษาทรัพยากรมนุษย์ การประเมินผลทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การให้พ้นจากงาน

หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรที่มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อองค์กรมากที่สุดก็คือทรัพยากรมนุษย์ ยุคปัจจุบันหลายองค์กรหันมาใส่ใจเรื่องนี้กันอย่าง จริงจัง โดยการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้นมีหลากหลายมิติซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบในขอบข่ายงานดังนี้ 1.การสรรหาทรัพยากรบุคคลและจัดการด้านแรงงาน (Recruitment and Staffing) 2.อบรมและพัฒนาบุคลากร (Training and Development) 3.การบริหารจัดการด้านอัตราจ้างงาน (Payroll Management) 4.การบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพของการทำงานตลอดจนการประผลการทำงาน (Appraisals and Performance Management) 5.การแก้ปัญหาและลดความขัดแย้ง (Conflict Resolution) 6.แรงงานสัมพันธ์ (Employee Relation)

การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning) “ทรัพยากรมนุษย์” นับว่าเป็น ปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในบรรดาปัจจัยที่เป็นทรัพยากร 4 ประการ ของการบริหาร คือ 1) คน (Man) 2) เงิน (Money) 3) วัสดุอุปกรณ์และครื่องจักร (Material and Machine) 4) การจัดการ (Management) การสรรหาและคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาทรัพยากรบุคคลและจัดการด้านแรงงาน (Recruitment and Staffing) หนึ่งในหน้าที่หลักของงานบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลก็คือการสรรหาบุคลารและจัดการด้าน แรงงาน โดยเริ่มตั้งแต่การวางแผนด้านแรงงาน ประเมินกำลังคน จัดสรรกำลังพลให้เหมาะสม เพื่อให้การทำงานขององค์กรราบรื่นไม่ติดขัด หน้าที่สำคัญด่านแรกก็คือการสรรหาบุคลากรเข้า มาทำงานในองค์กร โดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องสามารถประเมินศักยภาพของพนักงานได้ดี และจัดจ้างพนักงานที่ถูกต้องเหมาะสม รวมถึงมีกลยุทธ์ในการสรรหาบุคลากรที่ยอดเยี่ยมที่จะ ทำให้ได้บุลากรที่ดีมีความสามารถตลอดจนมีศักยภาพเข้ามาร่วมงานและขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ ความสำเร็จ

การธำรงรักษาทรัพยากรมนุษย์ การธำรงรักษา พนักงานการธำรงรักษาพนักงาน เป็นวิธีการผูกใจพนักงานให้อยู่กับองค์กร การประเมินผลทรัพยากร ปัจจุบันเครื่องมือการประเมินผล (Evaluation) การทำงานนั้นมีออกมาให้ใช้มากมาย การประเมินผลที่เป็นที่นิยมในวงกว้าง มากที่สุดในตอนนี้ก็เห็นจะเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า KPI (Key Performance Indicator) หรือ ดัชนีชี้วัดผลงานตลอดจนความ สำเร็จของการทำงาน นั่นเอง ซึ่งองค์กรต่างก็ให้ความสำคัญกับการประเมินผลในรูปแบบนี้เพราะดัชนีชี้วัด KPI นี้สามารถนำ มาใช้ให้เกิดประโยชน์หลายด้านกับองค์กรเช่นกัน แน่นอนว่าฝ่ายที่มีส่วนสำคัญในการใช้ดัชนีชี้วัดนี้มากที่สุดฝ่ายหนึ่งก็คือ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) นั่นเอง ที่จะใช้ชีวิตความสำเร็จของการทำงานของคนในองค์กร ตลอดจนการทำงานของฝ่ายต่างๆ ว่าบรรลุเป้าหมายตามที่องค์กรวางไว้หรือไม่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development : HRD) คือกรอบและกระบวนการในการพัฒนาตลอดจนส่ง เสริมให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้ความสามารถไปจนถึงมีทักษะในการปฎิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งพนักงานยังเกิดการพัฒนา ศักยภาพด้วย โดยการพัฒนาศักยภาพของพนักงานในองค์กรนั้นอาจทำได้หลายวิธีหรือหลายกระบวนการตั้งแต่การฝึกอบรม, การศึกษาผ่านการเรียนการสอนที่จริงจัง, การออกไปดูงานนอกองค์กร, ไปจนถึงการถ่ายทอดประสบการณ์ระหว่างกัน ซึ่งเมื่อ พนักงานได้รับการพัฒนาแล้วก็สามารถเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ส่งผลให้องค์กรพัฒนาและประสบความสำเร็จตามไปด้วยได้

การให้พ้นจากงาน บริษัทฯ จะเลิกจ้างพนักงาน โดยจ่ายค่าชดเชย ตามกฎหมายในกรณีดังต่อไปนี้ - เมื่อพนักงานมีสุขภาพเสื่อมโทรม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง - เมื่อพนักงานประสบอุบัติเหตุจนถึงขึ้นทุพพลภาพ หรือเจ็บป่วยเรื้อรังจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้ - เมื่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานไม่ได้มาตรฐานตามกระบวนการปฏิบัติผลการปฏิบัติงานไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือ ปริมาณ โดยผู้บังคับบัญชาได้เคยตักเดือนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วและยังปรับปรุงไม่ได้ ตามระยะเวลาที่กำหนด - เมื่อบริษัทฯ มีความจำเป็นต้องปรับปรุงองค์การ ยุบหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยงานภายในบริษัทฯ หรือบริษัทฯ ประสบภาวะ เศรษฐกิจถดถอยหรือประสบภาวะขาดทุน - พนักงานครบเกษียณอายุ ในกรณีที่เลิกจ้างพนักงานเพราะสุขภาพเสื่อมโทรมไม่เหมาะกับงาน บริษัทฯจะให้พนักงานได้รับการตรวจจากแพทย์แผนปัจจุบัน ชั้นหนึ่งซึ่งบริษัทฯ เลือกแล้ว และหากแพทย์ลงความเห็นว่าสุขภาพของพนักงาน ผู้นั้นอยู่ในสภาพไม่เหมาะสมกับสภาพของงาน บริษัทฯ จึงจะพิจารณาเลิกจ้างพนักงานผู้นั้น บริษัทฯ จะเลิกจ้างพนักงาน โดยไม่จ่ายค่าชดเชย ในกรณีต่าง ๆ ดังนี้ - เมื่อพนักงานมีผลการปฏิบัติงานไม่เป็นที่พอใจของบริษัทฯ ในระหว่างการทดลองงานภายในระยะเวลาไม่เกิน 119 วัน - เมื่อพนักงานกระทำผิดวินัยขั้นร้ายแรงตามที่บริษัทฯ กำหนดไว้ เมื่อพนักงานพ้นสภาพการเป็นพนักงานต้องนำส่งเอกสาร และทรัพย์สินต่าง ๆ ของบริษัทฯ รวมถึงบัตรประจำตัวพนักงาน คืนแก่ บริษัทฯ ก่อนวันพ้นสภาพการเป็นพนักงาน หรือวันสุดท้ายของการปฏิบัติงาน

บทที่6 การบริหารเงินทุน ทุนและประเภทของทุน การกำหนดเงินทุน การกำหนดเงินทุนคงที่ การกำหนดเงินทุนหมุนเวียน แหล่งเงินทุน แหล่งเงินทุนระยะสั้น แหล่งเงินทุนระยะยาว การจัดหาแหล่งเงินทุน

ทุนและประเภทของทุน 1. เงินทุนคงที่ หมายถึง เงินที่ใช้สำหรับซื้อสินทรัพย์ถาวรต่าง ๆ เช่น อาคารสถานที่ อุปกรณ์การผลิต การก่อสร้าง รวม ไปถึงที่ดิน เงินทุนคงที่ถือเป็นทุนเริ่มต้นที่มีความสำคัญมาก เพราะหากไม่มีกิจการก็ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ ทุน ประเภทนี้มักจะมีจำนวนที่แน่นอนไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก บางธุรกิจสามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนเล็กน้อย เช่น ธุรกิจ ขนาดย่อม แต่บางธุรกิจต้องใช้เงินทุนสูงมาก เช่น ธุรกิจขนาดใหญ่ 2. เงินทุนหมุนเวียน หมายถึง เงินที่จะต้องใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ เงินทุนหมุนเวียนจึงถูกนำไปใช้เพื่อการชำระหนี้ สิน ค่าแรงงาน ค่าวัตถุดิบ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ในการเริ่มต้นธุรกิจผู้ประกอบการจึงมีความต้องการเงินทุนทั้ง เงินทุนคงที่และเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้สำหรับการดำเนินธุรกิจ การกำหนดเงินทุน เงินตราที่องค์การธุรกิจจัดหามา เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินกิจการ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจาการลงทุน อย่างคุ้มค่า เงินทุนมีความสำคัญต่อธุรกิจ เพราะเป็นปัจจัยในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่เริ่มตั้งกิจการ และระหว่างดำเนิน กิจการ เงินทุนทำให้การผลิต การซื้อขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของเงินทุน มี 3 ประการ คือ 1. เพื่ อใช้จ่ายตามความจำเป็น 2. เพื่ อเป็นเงินสดสำรองไว้ยามฉุกเฉิน 3. เพื่ อเป็นการสะสมมูลค่า

แหล่งเงินทุน คงไม่มีกิจการอะไรที่สามารถดำเนินการอยู่ได้โดยปราศจากเงินทุนโดยสมบูรณ์ ตลอดระยะเวลาในการประกอบ กิจการของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เงินทุน (Capital) นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่ง และจะต้องมีพร้อมอยู่ ตลอดเวลา เหตุผลของการจัดหาเงินทุนหลักๆ ของกิจการได้แก่ เงินทุนเพื่อใช้ไปในการดำเนินกิจการตามปรกติ การรีไฟแนนซ์ (Refinance) การขยายกิจการ(Expansion) และการวิจัยและพัฒนาสินค้าหรือบริการ (Research and Development) เป็นต้น แหล่งเงินทุนระยะสั้น เงินทุนระยะสั้น คือ เงินที่ธุรกิจจัดหาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่กิจการ มีกำหนดระยะ เวลาจ่ายคืนไม่เกิน 1 ปี ไม่มีหลักประกัน หรือไม่ต้องวางสินทรัพย์เพื่อค้ำประกัน

แหล่งเงินทุนภายในกิจการ (Internal Sources) คือ เงินทุนระยะยาวที่ได้รับจากผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลา หนึ่ง ซึ่งจะมีจำนวนเงินทุนระยะยาวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถในการดำเนินงาน แหล่งในทุนกิจการสามารถ จัดหาได้จาก 3 แหล่ง คือ 1.1 กำไรสุทธิ (Net Income) 1.2 กำไรสะสม (Retained Earning) 1.3 ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) แหล่งเงินทุนภายนอกกิจการ (External Sources) เป็นแหล่งเงินทุนที่ได้จากการก่อหนี้ระยะยาวหรือการออกหลักทรัพย์ ระยะยาวจำหน่ายให้กับผู้ลงทุน หรือผู้ที่สนใจโดยทั่วไปในตลาดทุน แหล่งเงินทุนภายนอกกิจการ สามารถจัดหาได้ 4 วิธี 2.1 เงินกู้ยืมระยะยาว (Long Term Debt) บจำนวนเงินที่ต้องการและระยะเวลาในการชำระหนี้ 2.2 หุ้นสามัญ (Common Stock) 2.3 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) 2.4 หุ้นกู้ (Debenture)

การจัดหาแหล่งเงินทุน การจัดหาเงินทุนเป็นหน้าที่หนึ่งของผู้จัดการทางการเงิน ซึ่งต้องเลือกแหล่งเงินทุนให้เหมาะสมกับการใช้เงินทุนนั้น ๆ การจัดหาเงินทุน ระยะสั้น หมายถึง เงินทุนที่ธุรกิจได้จัดหามาเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินกิจการที่มีระยะภายใน 1 ปี สําคัญแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีใหญ่คือ 1. การจัดหาเงินทุนระยะสั้นจากประเพณีทางการค้าหรือได้มาโดยอัตโนมัติแหล่งเงินทุนระยะสั้นเหล่านี้ได้แก่ เจ้าหนี้การค้าและค่าใช้จ่าย ค้างจ่าย 2. การจัดหาเงินทุนระยะสั้นโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์คํ้าประกัน แหล่งเงินทุนแบบนี้ส่วนใหญ่จะได้จากธนาคารพาณิชย์ทั้งในรูปแบบของการ เบิกเงินเกินบัญชี การกําหนดวงเงินกู้ เงินกู้แบบหมุนเวียนและเล็ตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) 3. การจัดหาเงินทุนระยะสั้นโดยต้องมีหลักทรัพย์คํ้าประกัน หลักทรัพย์ที่นิยมใช้คํ้าประกัน ได้แก่ บัญชีลูกหนี้และสินค้าคงเหลือในการ จัดหาเงินทุนจากแหล่งระยะสั้นต่างๆดังกล่าว จําเป็นต้องคํานวณต้นทุนที่แท้จริงของการจัดหาเงินทุนระยะสั้นจากแหล่งเหล่านั้นในอัตรา ร้อยละต่อปี เพื่อนํามาเปรียบเทียบและเลือกหาเงินทุนระยะสั้นจากแหล่งที่มีต้นทุนที่แท้จริงที่ตํ่าการคํานวณต้นทุนที่แท้จริงดังกล่าวต้อง พิจารณาถึงอัตราดอกเบี้ยที่ระบุ วิธีการคิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนการดํารงเงินฝากคงเหลือไว้ที่สถาบันการเงินผู้ให้กู้

บทที่7 การจัดการทางบัญชี ประโยชน์ของการจัดทำบัญชี ความหมายของการทำบัญชี บัญชีที่ต้องจัดทำ ผู้มีหน้ าที่จัดทำบัญชีและผู้ทำบัญชี ชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ การจัดทำงบการเงิน งบดุล งบกำไรขาดทุน การวิเคราะห์งบการเงิน งบประมาณ

ประโยชน์ของการจัดทำบัญชี การทำบัญชี จะทำให้กิจการ ทราบผลการดำเนินงาน, ฐานะทางการเงินของธุรกิจ, และความมั่นคงของธุรกิจ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการวางแผนและตัดสินใจของธุรกิจข้อมูล เพื่อเป็นเครื่องมือในการวางแผนกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาแหล่งเงินทุน เพื่อให้กิจการมีระบบการควบคุมภายในที่ดี และเป็นสัญญาณเตือนภัยของกิจการ เพื่อประโยชน์ในการวางแผน เพื่อเสียภาษีได้อย่างถูกต้องและประหยัด

ความหมายของการทำบัญชี ความหมายของการบัญชี สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยได้ให้คำจำกัดความเกี่ยว กับบัญชีไว้ดังนี้ การบัญชี (ACCOUNTING) หมายถึงศิลปะของการเก็บรวบรวม บันทึก จำแนก และ ทำสรุปข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็น ในรูปของตัวเงินไว้ใน สมุดบัญชี อย่างสม่ำเสมอเป็นระเบียบถูกต้องตามหลักการและผลงานขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทางการเงิน ซึ่งเป็น ประโยชน์แก่บุคคล หลายฝ่ายและ ผู้ที่สนใจใน กิจกรรมของกิจการ

ชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ 1. บัญชีรายวัน 2. บัญชีเงินสด 3. บัญชีธนาคาร แยกเป็นแต่ละเลขที่บัญชีธนาคาร 4. บัญชีรายวันซื้อ 5. บัญชีรายวันขาย 6. บัญชีรายวันทั่วไป 7. บัญชีแยกประเภท 8.บัญชีแยกประเภทสินทรัพย์ หนี้สินและทุน 9. บัญชีแยกประเภทรายได้และค่าใช้จ่าย 10. บัญชีแยกประเภทลูกหนี้ 11. บัญชีแยกประเภทเจ้าหนี้ 12. บัญชีสินค้า 13.บัญชีรายวัน บัญชีแยกประเภทอื่น และบัญชีแยกประเภทย่อยตามความจำเป็นแก่การทำบัญชีของธุรกิจ

ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีและผู้ทำบัญชี ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี คือ ผู้มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 ผู้ทำบัญชี คือ ผู้รับผิดชอบในการทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีไม่ว่าจะกระทำในฐานะลูกจ้างของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีหรือไม่ก็ตาม ได้แก่บุคคลต่อไปนี้ (1) กรณีเป็นพนักงานของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ได้แก่ – ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี สมุห์บัญชี หัวหน้าแผนกบัญชี หรือผู้ดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว (2) กรณีเป็นสำนักงานบริการรับทำบัญชี คือ – หัวหน้าสำนักงาน กรณีสำนักงานมิได้จัดตั้งในรูปคณะบุคคล – ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งรับผิดชอบในการให้บริการรับทำบัญชีกรณีสำนักงานจัดตั้งในรูปคณะบุคคล – กรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งรับผิดชอบในการให้บริการรับทำบัญชี กรณีสำนักงานจัดตั้งในรูปนิติบุคคล (3) กรณีเป็นผู้รับจ้างทำบัญชีอิสระ คือ ผู้ประกอบวิชาชีพ (4) ผู้ช่วยผู้ทำบัญชี (ในกรณีที่ “ผู้ทำบัญชี” รับทำบัญชีเกินกว่า 100 ราย ตามประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ.2543 ข้อ 7(3))

การจัดทำงบการเงิน การจัดทำงบการเงิน ข้อมูลที่นำมาจัดทำงบการเงินได้มาจากงบทดลอง หรือมาจากกระดาษ ทำการในกรณีที่กิจการได้จัดทำกระดาษทำการเพื่อช่วยในการตรวจสอบ และจัดทำงบการเงินให้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องในส่วนนี้จะนำเสนองบ การเงิน ทั้งงบกำไรขาดทุนและงบแสดงฐานะการเงิน ในรูปแบบรายงาน งบดุล งบดุล (Balance Sheet) หรือ งบแสดงฐานะการเงิน คือรายงานทางการเงินที่จัดทำขึ้นเพื่อ ฐานะการเงินของกิจการณขณะใดขณะหนึ่งโดยทั่วไปจะแสดงข้อมูลสิ้นสุดวันใดวันหนึ่งโดย จะแสดงถึงข้อมูลต่างๆ ดังนี้ ทรัพยากรต่างๆที่กิจการเป็นเจ้าของหรือมีอยู่มีจำนวนเท่าใดประกอบด้วยอะไรบ้าง ภาระผูกพันต่อบุคคลภายนอกมีจำนวนเท่าใดประกอบด้วยอะไรบ้าง ส่วนของเจ้าของกิจการมีจำนวนเท่าใดประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งงบดุลจะประกอบไปด้วย1.สินทรัพย์2.หนี้สิน3.ส่วนของเจ้าของหรือส่วนของผู้ถือหุ้น

งบกำไรขาดทุน งบกำไรขาดทุน เป็นงบที่แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการและผลการดำเนินงานของบริษัท ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง งบกำไรขาดทุนจะแสดงให้เราเห็นถึง รายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรสุทธิ ของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัท A มีรายได้ 250 บาท มีค่าใช้จ่าย 150 บาท มีกำไรสุทธิ 100 บาท ในปี 2562 หมายความว่า ช่วงวันที่ 01/01/62 – 31/12/62 บริษัท A มีรายได้ 250 บาท มีค่าใช้จ่าย 150 บาท และมีกำไร 100 บาท (รายได้ 250 บาท – ค่าใช้จ่าย 150 บาท) การวิเคราะห์ • จัดวางข้อมูลรายงานงบการเงินในงบการเงินของปีต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เพื\"อง่ายต่อการ งบการเงิน วิเคราะห์และเปรียบเทียบ • เลือกเครื\"องมือที\"จะใช้วิเคราะห์ ซึ\"งได้แก่ - การย่อส่วนตามแนวดิ\"ง (Common – size Analysis) - การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis) - การวิเคราะห์งบแสดงการเคลื\"อนไหวของเงินทุน (Fund Flow Analysis) - การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis) • การอ่านและแปลความ • การจัดทํารายงานและการใช้ประโยชน์

งบประมาณ งบประมาณ คือการวางแผนการเงินในช่วงเวลาที่กำหนดชัดเจน โดยมากแล้วคือหนึ่งปี งบ ประมาณอาจรวมถึง ปริมาณแผนการขาย และรายได้, ปริมาณทรัพย์สิน, ค่าใช้จ่าย, สินทรัพย์, หนี้สินและกระแสเงินสด โดยที่บริษัท รัฐบาล ครอบครัว และองค์กรต่าง ๆ จะ ใช้งบประมาณเพื่อแสดงแผนกลยุทธ์ของกิจกรรมหรือผลให้สามารถวัดได้

บทที่8 ผลิตภัณฑ์และการบริหารการผลิต เครื่องหมายของผลิตภัณฑ์ วงจรของผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การสร้างความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาแนวคิดผลิตภัณฑ์ การสร้างความเชื่อถือให้แก่ผลิตภัณฑ์ การบริหารการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน

เครื่องหมายของผลิตภัณฑ์ ช่วยให้ผู้บริโภครู้จักตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้น ในหลายลักษณะได้แก่ ชื่อตราผลิตภัณฑ์ทำให้ลูกค้าสามารถระบุผลิตภัณฑ์ ที่จะมีประโยชน์ต่อเขาได้ นอกจากนี้ตราผลิตภัณฑ์ยังเป็นสิ่งที่บอกให้ลูกค้าทราบถึงคุณภาพ คุณประโยชน์ที่มีความ แตกต่างจากคู่แข่งขัน จนทำให้ชื่อตราผลิตภัณฑ์กลายเป็นพื้นฐานในการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับคุณภาพพิเศษของ ผลิตภัณฑ์ ตราผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีประโยชน์กับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อกิจการในฐานะผู้ผลิตหรือผู้ขาย ในหลายลักษณะ ได้แก่ ตราผลิตภัณฑ์และเครื่องหมายการค้าทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ป้องกันการลอกเลียนแบบของคู่แข่งขัน

วงจรของผลิตภัณฑ์ วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์จะประกอบด้วยวงจร 4 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นแนะนำผลิตภัณฑ์ (Product Introduction) 2. ขั้นเจริญเติบโต (Growth) 3. ขั้นอิ่มตัว (Matu rity) 4. ขั้นถดถอย (ตกต่ำ)(Sale Decline)

กลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ตรายี่ห้อ และคุณค่าที่นำเสนอของผลิตภัณฑ์ / บริการ กลยุทธ์การกำหนดความกว้าง ความลึก หรือหลากหลายของสินค้า / บริการขององค์กร เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน และสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายได้ตรงที่สุด เช่น หากมุ่งเสนอสายบริการที่แคบแต่ลึก ได้แก่ห้องสมุดเฉพาะ บริการ สารสนเทศธุรกิจ กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง โดดเด่นในสินค้า/บริการที่นำเสนอ ให้มีความเป็นเอกลักษณ์ หรือการเป็นตัวตนที่แตก ต่าง ตรงความต้องการและชัดเจนในใจผู้ใช้บริการ กลยุทธ์การพัฒนาออกสินค้า/บริการใหม่ ๆ เสมอ เนื่องจากทุกสินค้า / บริการ ล้วนมีวงจรชีวิต (life cycle) ของตน การ จะรักษาหรือเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการไว้กับองค์กรจึงต้องมีการพัฒนา ปรับปรุงและเสนอสิ่งใหม่ ๆ ทดแทนสินค้า / บริการ ที่เสื่อมความนิยมลงไปตามวงจรชีวิตของมันตลอดเวลา สินค้า / บริการใหม่ ๆ ในกลุ่มสารสนเทศและห้องสมุดได้แก่ บริการ Ebook ผ่านเวปไซต์ห้องสมุด บริการแปลเอกสารภาษาหลักต่าง ๆ บริการจัดส่งหนังสือหรือข้อมูลถึงที่ลูกค้า บริการรวบรวมข้อมูลMetadata เป็นต้น

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เป้าหมายหนึ่งของการลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ก็คือการผลิตสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลจากการ วิจัยที่ได้ จะเป็นในรูปของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นการทำให้สิ่งที่คาดหวังจากการวิจัยและ พัฒนานำมาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความแตกต่าง ด้วยการนำเทคโนโลยีและโอกาสในการทำการตลาดมาผสมผสาน เพื่อนำไปจำหน่ายหรือนำไปจดสิทธิบัตรเพื่อสร้างรายได้

การสร้างแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ แหล่งภายในองคก์ร ได้แก่ พนักงาน ถือเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้บริโภค และทราบถึงความตอ้งการของผู้บริโภค มากที่สุด , ฝ่ายวิจัยและพัฒนา เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ , ผู้บริหารระดับสูง เป็นบุคคลที่ ทราบถึงจุดอ่อน จุดแข็งของบริษัท เป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แหล่งภายนอกองค์กร ได้แก่ ลูกค้า ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความสำ คัญมาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจะเสนอขาย นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก , สมาชิกในช่องทางการจำหน่าย เป็นอีกแหล่ง ข้อมูลหนึ่งที่ทราบถึงความต้องการของลูกค้า เช่น พ่อค้าส่ง ตัวแทนจำหน่าย หรือพ่อค้าปลีก เป็นต้น , คู่แข่งขัน การ เคลื่อนไหวในการแข่งขันรวมถึงกลยุทธ์ของคู่แข่ง ก็เป็นอีกแหล่งข้อมูลหนึ่งที่ช่วยในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่

การพัฒนาแนวคิดผลิตภัณฑ์ แนวคิดที่ 1 คือ Co-Design : การออกแบบร่วม แนวคิดที่ 2 คือ Co-Supply Chain : ขับเคลื่อนไปด้วยกันกับมวลมิตร แนวคิดที่ 3 คือ Cross Industry : การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามอุตสาหกรรม แนวคิดที่ 4 คือ Cross Cultural : ออกแบบข้ามวัฒนธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook