Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาสากล

ศาสนาสากล

Published by mirumo602, 2020-08-28 20:30:28

Description: หน่วยที่ 7

Search

Read the Text Version

พระพทุ ธศาสนา ม.๔-๖ หนว่ ยที่ ๙ ศาสนาต่าง ๆ และการอยู่ร่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ขุ

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอย่รู ่วมกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ประวตั ศิ าสดาของศาสนาต่าง ๆ

ศาสนาต่าง ๆ และการอยูร่ ว่ มกันอย่างสนั ตสิ ขุ ศาสนาครสิ ต์

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยู่ร่วมกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ความหมายและความเป็นมาของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์เกิดข้ึนในดินแดนปาเลสไตน์ และเผยแผ่อย่างรุ่งโรจน์ใน โลกตะวนั ตก ศาสนาครสิ ต์มีอิทธพิ ลตอ่ ความร้สู กึ นกึ คิดและจิตใจของชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในสมัยกลางของยุโรป คริสตจักรได้เข้ามามีบทบาทแทน อาณาจักรโรมันในทุก ๆ ด้าน และพระสันตะปาปาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นราชา แห่งราชาทงั้ หลาย มีอานาจเตม็ ท่ีในการกาหนดบทบาทวถิ ีชีวิตของคนในสมยั นน้ั เร่ือยมา จากตอนปลายยุคกลางสบื ตอ่ จนกระทง่ั ยุคแห่งวิทยาศาสตร์สมยั ใหม่ ในปัจจุบันซ่ึงเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ศาสนาคริสต์ยังเป็นท่ียอมรับของสังคม โดยท่ัว ๆ ไปในฐานะทเ่ี ปน็ ศาสนาหนึง่ ซ่งึ มีผูน้ บั ถือมากเป็นอนั ดบั ๑ ของโลก

ศาสนาต่าง ๆ และการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ประวัติศาสดาของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ มีศาสดาหรือผู้ก่อตั้งคือ พระจีซัส ไครสต์ (Jesus Christ) หรือที่ เรียกกันว่า พระเยซู ประสูติเมื่อวันท่ี ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๕๔๓ (ค.ศ. ๑) ในเมืองนาซาเร็ธ แควน้ กาลิลี เป็นบตุ รของนายโยเซฟกับนางมาเรีย พระเยซู หรือรู้จักในชือ่ เยซูแห่งนาซาเร็ธ เป็นชาวยวิ ชาวคริสต์ถือว่าพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเจ้า และเป็นหน่ึงใน พระตรีเอกานุภาพ

ศาสนาต่าง ๆ และการอยูร่ ่วมกนั อย่างสนั ตสิ ขุ เม่ือพระเยซูมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา ได้พบกับโยฮันหรือจอห์น ผู้ให้ศีลจุ่ม การรับศีลจุ่มเป็นการใช้น้าเทลงบนศีรษะ ๓ ครั้ง หมายถึง การชาระล้างบาป มลทินโทษต่าง ๆ อันเป็นเคร่ืองหมายแสดงว่าผู้เข้าพิธีเป็นผู้เข้าถึงพระเจ้า พระเยซูได้ขอรับศีลจุ่มตามลัทธิ ของโยฮัน ณ บริเวณแมน่ า้ จอร์แดน แต่ไม่นานหลงั จากน้ันโยฮันก็ถูกประหารชวี ิตเหตุเพราะให้ศลี จุ่มแก่พระองคแ์ ละสอน ศาสนาท่ีวิปริตผิดไปจากคัมภีร์เดิม เมื่อพระเยซูทราบจึงหนีเข้าไปอยใู่ นป่า และได้พบ ๒ พี่น้อง ชาวประมงที่ตอ่ มาได้เป็นอคั รสาวกของพระองค์

ศาสนาต่าง ๆ และการอยู่รว่ มกันอย่างสนั ติสขุ พระองคม์ ีอัครสาวกรวมทง้ั หมด ๑๒ คน ครั้งหน่ึง พระองค์ได้เสด็จข้ึนไปบนยอดเขา พร้อมกับอัครสาวก ๑๒ คน แต่เช้าตรู่ มีพระประสงค์จะให้อัครสาวกได้สัมผัสกับรสชาติแห่ง ความสงบในบรรยากาศส่วนตัว ไกลจากสังคมมนุษย์ แต่ก็มีฝูงชนที่รู้ติดตามพระองค์ขึ้นไป เป็นจานวนมาก พระองค์จึงพยายามทาความเข้าใจกับฝูงชน โดยดาเนินตามคาสอนดั้งเดิมของ โมเสสในคัมภีร์เก่า เมื่อคาสอนน้ีแพร่หลายออกไป ทาให้คนบางกลุ่มบางพวกเห็นว่าคาสอนของ พระเยซหู ลายเรอ่ื งผิดจากคาสอนเดิมของศาสนายิว และยิ่งพระเยซกู ลา่ วตาหนิผนู้ าศาสนายิวว่า ทาตนไม่เหมาะสม เป็นพวกหน้าซ่ือใจคด จึงทาให้พระองค์มีผู้เกลียดชังเป็นจานวนมาก ในตอนหลังเม่ือพระเยซูประกาศว่าจะพาคนทั้งหลายไปสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ในทานองว่าตน เปน็ บุตรของพระเจ้า

ศาสนาต่าง ๆ และการอย่รู ่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ขุ พวกนักบวชชาวยิวยิ่งไม่พอใจมากข้ึน และได้ตั้งข้อคัดค้านพระเยซูว่าพระเยซู ไม่ใช่ พระเมสสิอาห์ (Messiah : ผมู้ าโปรดชาวยิว) ที่จะชว่ ยชาวยิวตามคาทานาย เพราะพระเมสสอิ าห์น้นั จะต้องเปน็ ผกู้ ลา้ หาญและมีความสามารถ เป็นนกั รบทีไ่ มอ่ ่อนแอ แต่หากมาเพื่อยุยงชาติชาวยิวให้แตกแยกกัน การที่พระเยซูสอนให้คนมีความ เมตตากรุณา เสียสละ และให้อภัยแม้กระทั่งแก่ศัตรูนั้นผิดประเพณีนิยม พวกนักบวชชาวยวิ จงึ ถือเอามาเป็นเหตุสาคญั ในการกาจดั พระองคว์ ่าเป็นกบฏตอ่ อาณาจักรโรมัน เพิม่ จากขอ้ หา ว่าคาสอนของพระองคข์ ดั แย้งตอ่ คาสอนของโมเสสและบงั อาจอ้างตนว่าเปน็ บุตรของพระเจ้า และเป็นพระเมสสอิ าห์

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอย่รู ่วมกนั อย่างสันตสิ ขุ ภายหลังท่ีพระเยซูได้ประกาศศาสนา ได้มีโอกาสส่ังสอนให้คนเป็นคนดีมีเมตตา มีความรักต่อกันและกัน รวมท้ังได้อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้เจ็บป่วย ผู้ไม่มี ทพี่ ่ึงทางใจ และประสบผลสาเรจ็ อย่างน่าพอใจยง่ิ โดยใชเ้ วลาเพียง ๓ ปี ชวี ิตของพระเยซูก็ถึง คราอวสาน พระองค์ถูกจับตัวโดยง่ายเพราะพระองค์ไม่ได้ต่อสู้ป้องกันตัว ทั้งยังมีสติปล่อยให้ จบั ด้วยดี การถกู จบั ของพระองค์เพราะมีอคั รสาวกคนหนึง่ เป็นผู้ทรยศต่อพระองค์

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอย่รู ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ พวกทหารโรมันก็ได้จับพระเยซูขึ้นตรึง กับไม้กางเขน เพื่อเป็นการประจาน โดยให้พระองค์ กางแขนและเอาตะปูตอกมือที่เหยียดยาวท้ังสอง ข้าง ส่วนเท้าท้ังสองข้างไขว้ติดกันแล้วเอาตะปูตอก พระองค์มีรับส่ังว่า “ขอทรงยกโทษให้เขา เพราะเขาได้ทาไปในสิ่งที่เขาไม่รู้”เพราะ หลงั จากพดู จบกเ็ กดิ ความวิปริตทางดินฟ้าอากาศไป ทั่วท้ังแผ่นดิน แล้วไม่นานก็มีโลหิตซึมจากมือและ เท้าท่ีถูกตะปูตอก และคอตก ทาให้พระองค์ ส้ินพระชนม์ชีพไปอย่างเหลือที่จะทนทรมานได้ใน พ.ศ. ๕๗๕ ขณะมอี ายุ ๓๓ ปี

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอย่รู ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ศาสนาอิสลาม

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยู่ร่วมกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ ความหมายและความเปน็ มาของศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งสันติ เพราะความศรัทธาในข้อบัญญัติ เก่ียวกับการปฏิบตั ิและจริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดาท่ีอัลเลาะห์ (อัลลอฮ์) ได้ประทานลงมา เป็นผู้นา เพื่อมาส่ังสอนและแนะนาแก่มวลมนุษยชาติ ส่ิงท้ังหมดเหล่าน้ีเรียกว่า ดีน หรือ ศาสนา ผู้ท่ีมีความศรัทธาจะตระหนักอยู่เสมอว่าชีวิตของเขาได้พันธนาการเข้ากับอานาจ สูงสุดของพระผู้ทรงสร้างโลก ในทุกสถานภาพของเขาจะราลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และ มอบหมายตนเองให้อยูภ่ ายใตก้ ารคมุ้ ครองของพระองค์ ตลอดเวลาเขาเปน็ ผมู้ ีจติ ใจม่ันคงและ มีสมาธิเสมอ ศาสนาอิสลามเขา้ มาในประเทศไทยตงั้ แต่สมัยสโุ ขทัย

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยรู่ ว่ มกันอย่างสันตสิ ขุ ประวัติศาสดาของศาสนาอสิ ลาม ศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ ท่านมุฮัมมัด (ค.ศ. ๕๗๐-ค.ศ. ๖๓๒) มุสลิม เรียกมุฮัมมัด ว่า นบี หรือ รอซูล คาว่า นบี หมายถึง ผู้ได้รับโองการและข้อบัญญัติต่าง ๆ จากอัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้า คาว่า รอซูล หมายถึง ผู้ทาหน้าที่นาบัญญัติน้ันออกเผยแผ่ สู่บุคคลอ่ืน ๆ มุฮัมมัด จึงเป็นท้ัง นบี (ศาสดา) และรอซลู ท่านสุดทา้ ยที่ได้นาหลักคาสอนจาก อัลเลาะหม์ าเผยแผ่แกม่ วลมนษุ ยชาติและจะไมม่ ศี าสดาคนใหม่

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยู่รว่ มกันอย่างสันตสิ ขุ ท่านนบีมุฮัมมัด เกิดท่ีนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮ์ และบิดาของท่านได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังอยใู่ นครรภ์ของมารดา ส่วนมารดาของ ท่านชื่อ อามีนะห์ และได้เสียชีวิตลงขณะที่ท่านมีอายุได้ ๖ ขวบ ท่านจึงได้รับการอุปการะ เล้ียงดูจากปูข่ องท่านและต่อมาก็อยู่ในความอปุ การะของลงุ ท่ชี ่อื วา่ อะบูฏอลบิ

ศาสนาต่าง ๆ และการอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ขณะเยาว์วัยท่านได้ดารงชีวิตด้วยการเลี้ยงแกะในชนบทชานเมืองมักกะ ฮ์ เมอื่ เข้าส่วู ยั หน่มุ ได้ทาหน้าทเ่ี ป็นผนู้ ากองคาราวานสนิ ค้าของนางคอดญี ะห์ เดินทางค้าขาย ระหว่างเมืองต่าง ๆ และได้นากาไรมหาศาลกลับมาให้นางคอดีญะห์ จนได้รับฉายาว่า อลั อามีน ซ่งึ แปลวา่ ผ้ซู ื่อสัตย์ เมื่ออายุครบ ๒๕ ปี ท่านได้แต่งงานกับนางคอดีญะห์ ซึ่งใน ขณะน้นั นางเปน็ หญิงหม้ายอายุ ๔๐ ปี เมอื่ ทา่ นอายไุ ด้ ๔๐ ปี อลั เลาะหท์ รงแต่งตั้งท่านให้ เป็นนบีและรอซูล เพ่ือรับข้อบัญญัติจากพระองค์และนาคาสอนของบัญญัติต่าง ๆ มาเผยแผ่

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยู่ร่วมกนั อย่างสันตสิ ขุ ในช่วงเรมิ่ แรกของการเผยแผค่ าสอนอสิ ลามน้ัน ทา่ นได้รับการต่อต้านและถูกทาร้าย อย่างหนักจากชาวกุเรช ในนครมักกะฮ์ จึงทาให้มีผู้ยอมรับและศรัทธาในคาสอนที่ท่านนามา เผยแผ่ โดยท่านได้เผยแผ่คาสอนอิสลามที่นครมักกะฮ์ เป็นเวลา ๑๓ ปี และไม่สามารถทนต่อ การทาร้ายของชาวกุเรชได้ ท่านจึงใช้ให้ผู้ศรัทธาอพยพไปยังนครมะดีนะห์ก่อน และตัวท่านได้ อพยพตามไปในภายหลัง ท่านได้ทาการเผยแผ่ศาสนาอิสลามท่ีนครมะดีนะห์เป็นเวลา ๑๐ ปี ณ นครมะดีนะห์ ศาสนาอิสลามสามารถแผ่ขยายออกไปสู่ดินแดนห่างไกลนอกคาบสมุทร อาหรับ รวมเวลาในการเผยแผ่คาสอนของอิสลามท้ังสิ้น ๒๓ ปี ท่านนบีมุฮัมมัดได้เสียชีวิตที่ นครมะดีนะห์ในวันจันทร์ที่ ๑๒ เดือนรอบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. ๑๑ ตรงกับ วันท่ี ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๖๓๒ (พ.ศ. ๑๑๗๖) รวมอายุได้ ๖๓ ปี ศพของท่านถูกฝังอยู่ ณ นครมะดีนะห์ ราชอาณาจกั รซาอดุ อี าระเบยี

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอย่รู ว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ศาสนาพรามณ์-ฮนิ ดู

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ความหมายและความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่มีวิวัฒนาการมาพร้อม ๆ กับการมาของ ชาวอารยัน ราว ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ในช้ันต้นพวกอารยันนับถือภูต ผี ปีศาจ และอานาจต่าง ๆ ทางธรรมชาติท่ีไม่สามารถอธิบายได้ ต่อมาการนับถือดังกล่าวได้พัฒนามาสู่การทารูปเคารพ และเทพีต่าง ๆ มากมาย เชน่ พระอินทร์ พระวริ ฬุ พระอคั นี พระพฆิ เนศ ลัทธิความเช่ือเหล่านี้เองท่ีได้พัฒนาการมาเป็นศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาที่ไม่มี ศาสดาเปน็ ผู้ก่อต้งั เหมือนหลาย ๆ ศาสนา ปจั จุบนั เรยี กวา่ ศาสนาฮินดู

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยู่รว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ หลกั คาสอนของศาสนาตา่ ง ๆ เพอ่ื การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ุข

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยูร่ ว่ มกันอยา่ งสันตสิ ขุ หลกั คาสอนในศาสนาครสิ ต์ ศาสนาคริสต์ มีรากฐานมาจากศาสนายิว ซึ่งมีโมเสสเป็นศาสดาและเป็นผู้ยนื ยนั ว่า พระเจ้า (พระยะโฮวา) ได้ประทานบัญญัติมาให้โดยคริสต์ศาสนิกชนต้องมีความศรัทธาใน พระเยซูอย่างสุดชีวิต และจงรักเพื่อนบ้าน เพ่ือนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง ตามหลักธรรม คาสอน ดังนี้

ศาสนาต่าง ๆ และการอยรู่ ว่ มกนั อย่างสันตสิ ขุ ๑) หลักบัญญัติ ๑๐ ประการ ท่พี ระเจา้ ประทานให้ ดังนี้ (๑) จงอยา่ มีพระเจา้ อน่ื ใดนอกเหนือจากพระยะโฮวา (๒) จงอย่าสร้างรปู เคารพใด ๆ และอยา่ กราบไหว้ หรือปฏบิ ัตติ อ่ รปู เคารพนั้น ๆ (๓) อยา่ ออกนามพระยะโฮวาโดยไมส่ มควร (๔) จงนบั ถือวันซะบาโต (Sabbath day) คือวนั อาทิตย์ เพราะถอื วา่ เปน็ วันบริสทุ ธ์ิ (๕) จงนบั ถือบดิ ามารดาของตน (๖) อยา่ ฆ่าคน (๗) อย่าล่วงประเวณีในผวั เมยี ของเขา (๘) อยา่ ลกั ขโมย (๙) อยา่ เปน็ พยานเท็จตอ่ เพือ่ นบา้ น (๑๐) อยา่ โลภอยากไดเ้ รอื นของเพอ่ื นบา้ น หรือสิง่ ใด ๆ ซ่งึ เปน็ ของเพื่อนบา้ น

ศาสนาต่าง ๆ และการอยรู่ ่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ขุ ๒) หลักตรเี อกานุภาพ เป็นหลกั คาสอนทใี่ หศ้ รัทธาในพระเจา้ องค์เดยี ว แต่มี ๓ สภาวะ ประกอบด้วย (๑) พระบิดา คือ องคพ์ ระเจ้าผู้สร้างโลกและมนษุ ย์ (๒) พระบตุ ร คือ ผู้เกิดมาเพอื่ ช่วยไถบ่ าปใหแ้ กม่ นษุ ย์ (๓) พระจติ คือ พระวิญญาณอนั บรสิ ทุ ธิเ์ พอื่ มอบความรกั และบนั ดาลใหม้ นษุ ย์ ประพฤตดิ ี ๓) หลักความรัก ศาสนาคริสตส์ อนใหศ้ าสนิกชนมคี วามรักต่อองค์พระเจา้ ปฏบิ ตั ติ ามคาสง่ั สอนของพระเจา้ และใหม้ คี วามรกั ต่อเพื่อนมนุษยด์ ว้ ยกัน โดยสอนให้ รักกนั เหมอื นพีน่ อ้ ง ควรใหค้ วามรักแกท่ กุ คนแมก้ ระทงั่ ศตั รู

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยรู่ ่วมกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ๔) หลักอาณาจักรของพระเจ้า เป็นหลักคาสอนที่เน้นให้มนุษย์สร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น ในจติ ใจ รู้จักการเตรยี มตวั รับฟงั คาส่งั สอน เพอื่ จะได้นาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ถูกต้อง ซ่งึ อาณาจักรของ พระเจ้าแบ่งได้ ๒ ส่วนคือ อาณาจักรบนโลกมนุษย์ ให้มนุษย์กระทาตนให้ดีท่ีสุดโดย การสวดมนต์ เพื่อเป็นการแสดงความศรัทธาในพระเจา้ และอาณาจกั รสวรรค์ เม่อื มนุษย์ตาย ไป วญิ ญาณจะไดไ้ ปเฝา้ พระเจ้าในสวรรค์ มีชีวิตนริ ันดร์

ศาสนาต่าง ๆ และการอยรู่ ว่ มกันอย่างสันตสิ ขุ หลักคาสอนในศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาท่ีนับถือพระเจ้า (อัลเลาะห์หรืออัลลอฮ์) ในทุก สถานภาพของเขาจะราลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าเสมอ เพราะพระเจ้าเป็นผู้นาทางในการดารงชีวิต ทุกด้านแกม่ นุษย์ทกุ คนโดยไมม่ ีการยกเว้น ศาสนาอสิ ลามไดแ้ บ่งหลกั คาสอนไว้ ๓ หมวด ดังนี้

ศาสนาต่าง ๆ และการอย่รู ว่ มกันอย่างสนั ตสิ ขุ ๑) หลักศรทั ธา มี ๖ ประการ คอื (๑) ศรัทธาตอ่ พระเจ้า คือ อัลลอฮ์ (๒) ศรัทธาตอ่ คมั ภีร์ท่พี ระเจา้ ทรงประทานใหแ้ กศ่ าสนทตู เพอ่ื ประกาศให้ประชาชน ได้ทราบถงึ หลักคาสอน (๓) ศรทั ธาตอ่ บรรดารอซลู หรือศาสนทูตที่พระเจา้ ไดท้ รงสง่ มายงั หมู่มนษุ ย์หนึ่งใน นน้ั คือท่านนบีมุฮมั มัด ศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาอสิ ลาม (๔) ศรัทธาต่อบรรดามะลาอิกะห์ หรอื เทวทตู ผ้รู ับใช้พระเจา้ (๕) ศรทั ธาต่อวันสิน้ สุดทา้ ย คอื หลงั จากสน้ิ โลกแล้วมนษุ ยจ์ ะฟน้ื ขน้ึ เพื่อรับการ ตอบสนองความดีความช่วั ท่ไี ดท้ าไปบนโลกนี้ (๖) ศรทั ธาตอ่ กฎสภาวการณ์ของพระเจา้

ศาสนาต่าง ๆ และการอยรู่ ่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ขุ ๒) หลกั จริยธรรม ศาสนาอสิ ลามสอนว่า ในการดาเนินชีวิตจงเลอื กสรรเฉพาะส่ิงท่ีดีอันเป็นท่ียอมรับ ของสังคม จงทาตนให้เป็นผู้ดารงอยู่ในศีลธรรม พัฒนาตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพท่ีดี เป็นคนท่ีรู้จักหน้าที่ ห่วงใย มีเมตตา มีความรัก ซ่ือสัตย์ต่อผู้อื่น รู้จักปกป้องสิทธิของตน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อ่ืน เป็นผู้มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว และหมั่นใฝ่หาความรู้ ทั้งหมดที่ กลา่ วมาน้เี ปน็ คณุ สมบตั ขิ องผูม้ จี ริยธรรม ซงึ่ ความสมบูรณท์ ั้งหมดอย่ทู ี่ความยตุ ิธรรม

ศาสนาต่าง ๆ และการอย่รู ว่ มกันอย่างสนั ตสิ ขุ ๓) หลกั ปฏิบัติ มี ๕ ประการ คอื (๑) การปฏิญาณตนตอ่ พระเจา้ (๒) การละหมาด คือ การนมัสการต่อพระเจ้าเพ่ือแสดงความภักดี โดยละหมาด วันละ ๕ เวลา (ยา่ รงุ่ กลางวนั เย็น พลบคา่ กลางคนื ) (๓) การถือศีลอด คือ การละเว้นจากการกนิ การด่ืม และการมเี พศสมั พนั ธ์ เป็นเวลา ๑ เดือน (เดือนที่ ๙ ของฮจิ เราะห์ศักราช) (๔) การบริจาคซะกาต คอื การจา่ ยทานบังคับจากผู้มที รพั ย์สนิ ครบรอบหน่งึ ปี แกผ่ มู้ ีสิทธิรับบริจาค ไดแ้ ก่ คนยากจน (๕) การประกอบพิธีฮจั ญ์ คือ การเดินทางไปประกอบศาสนกจิ ณ เมืองมักกะฮ์

ศาสนาต่าง ๆ และการอย่รู ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ หลักคาสอนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอริยกะหรืออารยัน ในสมัยพุทธกาล เป็นศาสนาพราหมณ์ แต่ในปัจจุบันเป็นศาสนาฮินดู ในศาสนาพราหมณ์คาว่า ธรรม แปลได้ หลายอยา่ ง คือ แปลว่าหน้าท่ีก็ได้ แปลว่าสิ่งที่ควรทาก็ได้ นอกจากน้ียังแปลได้ว่า ความเจริญ ความรู้ของจรงิ การร้คู วามถกู ต้อง และรตู้ รรกศาสตร์ หลกั ธรรมสาคัญในศาสนา มีดังน้ี

ศาสนาต่าง ๆ และการอย่รู ่วมกนั อยา่ งสันตสิ ขุ ๑) พรหมธรรม คือ การปฏิบัติธรรมของพระพรหม (มีหลักธรรมคล้ายกับ พรหมวิหาร ๔ ในทางพระพุทธศาสนา) ประกอบดว้ ย เมตตา หมายถึง ความรัก ความสงสารท่ีเกิดจากจิตใจโดยไม่มีตัณหามาเกี่ยวข้อง มคี วามพร้อมทง้ั กาย วาจา ใจ เป็นความคดิ ปรารถนาทีจ่ ะใหผ้ ู้อนื่ มีความสุข กรุณา หมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข โดยที่ตนจะทาการช่วยเหลือ เมือ่ มโี อกาส และต้องทาทง้ั กาย วาจา ใจ โดยไม่มตี ณั หามาเกีย่ วข้อง เป็นความคิดปรารถนาให้ ผูอ้ ื่นพน้ ทกุ ข์ มุทิตา หมายถึง ความยินดีเม่ือเห็นผู้อื่นมีความสุข ต้องทาทั้งกาย วาจา ใจ โดยไม่มตี ัณหามาเก่ยี วขอ้ ง อเุ บกขา หมายถึง การวางเฉย ในสิ่งท่ีผู้อื่นให้ร้ายแก่ตนและการวางเฉยในฐานะ ทเ่ี ราไมส่ ามารถทจ่ี ะชว่ ยเหลือผ้อู น่ื ได้ จะต้องมีทั้งกาย วาจา ใจ

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยู่รว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ๒) พระธรรมศาสตร์ มีอยู่ ๑๐ ประการ คอื (๑) ธฤติ คือ ความพอใจคล้ายกับคาว่า สันโดษ มีความพยายามอยู่ด้วย ความมน่ั คงเสมอ มีความร้สู ึกยนิ ดีและพอใจในส่ิงทีต่ นมอี ยู่โดยปราศจากความโลภ (๒) กษมา คือ ความอดกล้ันหรือความอดโทษ มีความพากเพียร พยายาม อดทน โดยถือเอาความเมตตากรุณาเป็นทต่ี ง้ั (๓) ทมะ คือ การระงับจิตใจ รู้จักข่มใจของตนด้วยความสานึกในเมตตาและมีสติ อยเู่ สมอ ไมป่ ล่อยใหห้ วั่นไหวไปตามอารมณ์ไดง้ ่าย ๆ (๔) อสั เตยะ คอื ไมล่ กั ไมข่ โมย (๕) เศาจะ คือ ความบริสทุ ธิ์ท้ังกายและใจ

ศาสนาต่าง ๆ และการอยู่ร่วมกันอยา่ งสันตสิ ขุ (๖) อินทริยนิครหะ คือ การปราบปรามอินทรียท์ ั้ง ๑๐ ได้แก่ ประสาทความรู้สึก ทางความรู้ ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนัง กับประสาทความรู้สึกทางการกระทา ได้แก่ มอื เท้า ทวารหนกั ทวารเบา และลาคอ (๗) ธี เหมอื นกับธติ ิ ธีร หรอื พุทธิ ไดแ้ ก่ ปัญญา สติ ความคิด ความมนั่ คง (๘) วิทยา คอื ความรูท้ างปรัชญาศาสตร์ คอื ร้ลู กึ ซึง้ และมคี วามรเู้ กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ะ กับมายา และกับพระพรหม (๙) สตยะ คอื ความจรงิ ความเหน็ อนั สจุ ริต ความซื่อสตั ยต์ ่อกนั จนเปน็ ทไี่ วว้ างใจ กัน เชือ่ ใจกนั ได้ (๑๐) อโกธะ คอื ความไมโ่ กรธ มีความอดทน สงบเสงีย่ ม รจู้ ักทาจติ ใจใหส้ งบ

ศาสนาตา่ ง ๆ และการอยูร่ ว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ การขจัดความขัดแย้งเพ่อื อยู่รว่ มกันอยา่ งสนั ติสุข การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข หมายถึง การท่ีมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม สามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันในรูปของกฎระเบียบหรือกฎหมาย และมีคุณธรรม จริยธรรมในการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของสังคม เช่น การมี สว่ นร่วมในกิจกรรมการเมืองการปกครอง การมีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการ ปฏิบัติตามคุณธรรมของการอยู่ร่วมกันตามหลักศาสนาที่ตนเองนับถือ จะทาให้ประชาชน สามารถอย่รู ่วมกนั อยา่ งสนั ติสุขได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook