101 2.2.13 คําบอกกาํ หนดเสียงตรแี ละจตั วา คาํ บอกกําหนดเสียงตรแี ละจัตวาปรากฏการใช้ท้ังส้ิน 2 คาํ 2.2.14 คําบอกเวลา คาํ บอกเวลาปรากฏการใชท้ ั้งส้นิ 13 คํา 2.2.15 คําลงท้าย คําลงทา้ ยปรากฏการใช้ท้งั สิน้ 2 คาํ 2.2.16 คําชว่ ยหลังกรยิ า คําช่วยหลงั กรยิ าปรากฏการใชท้ ัง้ สนิ้ 4 คาํ 2.2.17 คําชว่ ยหนา้ กรยิ า คาํ ชว่ ยหนา้ กริยาปรากฎการใช้ท้ังส้นิ 9 คาํ 2.2.18 คาํ ปฏเิ สธ คําปฏิเสธปรากฎการใช้ 1 คาํ 2.2.19 คําหน้ากรยิ า คาํ หน้ากรยิ าปรากฏการใช้ทงั้ สน้ิ 2 คํา 2.2.20 คําหลังกริยา คําหลงั กรยิ าปรากฏการใช้ทงั้ ส้นิ 3 คํา 2.2.21 คาํ กรยิ าวิเศษณ์ คาํ กริยาวเิ ศษณป์ รากฏการใช้ทงั้ สนิ้ 16 คาํ 2.2.22 คาํ บพุ บท คําบพุ บทปรากฏการใช้ท้งั ส้ิน 9 คาํ 2.2.23 คําเชือ่ มนาม คาํ เชือ่ มนามปรากฏการใชท้ ั้งสนิ้ 2 คํา 2.2.24 คาํ เช่ือมอนุภาค คําเชื่อมอนุภาคปรากฎการใช้ทง้ั สิ้น 11 คาํ เมือ่ นาํ คําทัง้ 24 ชนิดท่ปี รากฏในการเขยี นเล่าเร่ืองของเด็กออทสิ ตกิ มานับจํานวน จะเห็นว่า คําแต่ละ ชนดิ มีจํานวนการใช้แตกต่างกัน แสดงไดด้ ังตารางต่อไปน้ี ชนิดของคําจํานวนคาํ ทปี่ รากฏในเร่ืองเล่า 1.คาํ นาม 2.คาํ กริยาอกรรม 3.คํากรยิ าอกรรมย่อย 4.คํากรยิ าสกรรม 5.คาํ กรยิ าทวกิ รรม 6.คําสรรพนาม 7.คาํ ลกั ษณนาม 8.คาํ คณุ ศัพท์ 9.คําจํานวนนับ 10.คาํ ลาํ ดับที่ 11.คําหนา้ จํานวน 12.คาํ บอกกาํ หนดเสียงโท 13.คําบอกกาํ หนดเสยี งตรีและจตั วา 14.คําบอกเวลา 15.คําลงท้าย 16.คําชว่ ยหลงั กริยา 17.คาํ ชว่ ยหน้ากรยิ า 18.คําปฏิเสธ 19.คําหนา้ กริยา 20.คําหลัง กรยิ า 21.คาํ กริยาวเิ ศษณ์ 22.คาํ บพุ บท 23.คาํ เชื่อมนาม 24.คําเช่อื มอนุภาค
102 ตารางที่ 28 ตารางแสดงจาํ นวนชนิดของคาํ ทปี่ รากฏในการเขียนเล่าเร่ือง ชนดิ ของคํา จาํ นวนคาํ ท่ีปรากฏในเร่ืองเลา่ ค่าร้อยละ 29.37 1.คํานาม 84 9.44 1.74 2.คํากริยาอกรรม 27 17.48 2.09 3.คาํ กริยาอกรรมย่อย 5 2.45 2.09 4.คํากรยิ าสกรรม 50 2.8 4.55 5.คํากรยิ าทวิกรรม 6 1.05 0.7 6.คําสรรพนาม 7 4.55 0.7 7.คําลกั ษณนาม 6 1.4 3.15 8.คําคุณศัพท์ 8 0.35 0.7 9.คาํ จํานวนนับ 13 1.05 5.59 10.คําลาํ ดบั ที่ 3 3.15 0.7 11.คําหนา้ จํานวน 2 3.85 0.7 12.คาํ บอกกําหนดเสยี งโท 1 3.85 100 13.คาํ บอกกาํ หนดเสียงตรแี ละจัตวา 2 14.คาํ บอกเวลา 13 15.คําลงท้าย 2 16.คําชว่ ยหลงั กริยา 4 17.คาํ ช่วยหน้ากรยิ า 9 18.คาํ ปฏิเสธ 1 19.คําหนา้ กรยิ า 2 20.คาํ หลงั กริยา 3 21.คํากริยาวเิ ศษณ์ 16 22.คําบุพบท 9 23.คําเชอ่ื มนาม 2 24.คาํ เชอ่ื มอนภุ าค 11 รวม 286 จากตารางที่ 28 แสดงให้เห็นว่าเดก็ ออทสิ ตกิ ใชค้ าํ ในการเขียนเลา่ เรื่อง 24 ชนดิ ชนดิ ของคาํ ที่เด็ก ออทิสตกิ ใชม้ ากทีส่ ุดคอื คํานาม ปรากฏ 84 คาํ คดิ เปน็ ร้อยละ 29.37 รองลงมาคือ คํากรยิ า สกรรม ปรากฏ 50 คาํ คาํ กรยิ าอกรรม ปรากฏ 27 คาํ คํากริยาวเิ ศษณป์ รากฏ 16 คํา คาํ จํานวนนับ และคาํ บอกเวลาปรากฏ 13 คาํ และคาํ เช่อื มอนภุ าคปรากฏ 11 คํา คดิ เปน็ ร้อยละ 17.48 9.44 5.59 4.55 และ 3.85 ตามลําดับ สว่ น คาํ ชนดิ อนื่ ปรากฏไม่มากนัก 2.2 การใช้คาํ ในการเขยี นเลา่ เรอ่ื งของเดก็ ออทสิ ตกิ จากการวิเคราะห์การใช้คําในการเขยี นเล่าเรื่องของเด็กออทสิ ติก พบวา่ เด็กออทิสติกยังมี ขอ้ บกพร่อง ดา้ นการใชค้ าํ อยบู่ า้ ง แตพ่ บไม่มากนัก ข้อบกพรอ่ งดังกลา่ วได้แก่ การใช้คาํ ผดิ ความหมาย การใช้คาํ ผิดหลัก ไวยากรณ์ การใชค้ าํ ตกหลน่ และการใช้คาํ โดยเขยี นฉีกคํา สามารถ แสดงรายละเอยี ดดังน้ี
103 2.2.1 การใชค้ ําผดิ ความหมาย การใช้คาํ ผิดความหมาย คือ การใช้คาํ ไม่ตรงกับความหมายทต่ี อ้ งการสอื่ โดยผู้ใช้ ภาษาไม่รู้ ความหมายที่แทจ้ ริงของคํานั้นหรอื เขา้ ใจผิดคิดว่าอาจใชแ้ ทนกนั ได้ 2.2.2 การใช้คาํ ผดิ หลกั ไวยากรณ์ การใชค้ าํ ผิดหลักไวยากรณ์ คือ การใช้คําแตล่ ะชนิดผิดหน้าท่ี เชน่ คําสันธาน คาํ บพุ บท และ คาํ ลักษณนาม จากการวเิ คราะห์การใช้คําผดิ หลักไวยากรณ์ที่ปรากฏในการเขยี น เล่าเรื่องของเดก็ ออทสิ ตกิ พบว่าเดก็ ออทสิ ติกใชค้ ําผิดหลกั ไวยากรณ์ 1 ชนิด คือ คาํ ลักษณนาม 2.2.3 การใชค้ าํ ตกหล่น การใชค้ ําตกหลน่ คอื การใช้คําโดยมบี างส่วนของคําขาดหายไปทาํ ให้คาํ นัน้ มี ความหมายไม่ สมบรู ณ์ 2.2.4 การใชค้ ําโดยเขียนฉีกคํา การเขียนฉีกคาํ คือ การเขยี นแยกพยางคข์ องคาํ ไวต้ า่ งบรรทัดกัน สามารถแสดง รายละเอยี ด 3. การวเิ คราะหว์ ลีท่ใี ช้ในการเขียนเล่าเรื่องของเด็กออทิสติก 3.1 ชนดิ ของวลที ่ีปรากฏในการเขยี นเลา่ เรือ่ งของเด็กออทิสตกิ จากการวเิ คราะหว์ ลที ี่ปรากฏในการเขยี นเลา่ เร่ืองของเด็กออทิสตกิ พบวา่ เด็กออทิสตกิ ใช้ วลใี นการ เขียนเล่าเรอ่ื งเพียง 1 ชนิดเทา่ นน้ั 3.2 โครงสรา้ งของวลที ่ีปรากฏในการเขียนเล่าเรือ่ งของเดก็ ออทิสตกิ โครงสรา้ งนามวลี จากการวเิ คราะหน์ ามวลีทป่ี รากฏในการเขยี นเลา่ เรอื่ งของเด็กออทิสติก พบว่า โครงสรา้ งนามวลี คือ โครงสร้างนามวลแี บบหน่วยหลกั -หนว่ ยจาํ นวน ชนดิ และโครงสร้างของนามวลีดงั กลา่ วปรากฏเพยี ง 1 รปู แบบ เนื่องจากวลีท่ี ปรากฏในการเขียนเล่า เร่อื งมีจาํ นวนน้อยมาก ปรากฏเพยี ง 1 วลี จงึ ทาํ ใหช้ นดิ และโครงสร้างของวลี ปรากฏน้อยเช่นกนั 4. การวเิ คราะหป์ ระโยคทใ่ี ช้ในการเขยี นเลา่ เรอื่ งของเดก็ ออทิสตกิ 4.1 ชนิดของประโยคท่ปี รากฏในการเขียนเล่าเรือ่ งของเด็กออทสิ ตกิ จากการวเิ คราะห์ประโยคที่ปรากฏในการเขยี นเล่าเรื่องของเด็กออทสิ ติกจาํ นวน 144 ประโยค พบวา่ เด็กออทสิ ติกใช้ประโยค 3 ชนดิ ในการเลา่ เร่ือง คือ ประโยคสามญั ประโยค ซบั ซ้อนและประโยคผสม โดย สามารถแสดงรายละเอียดได้ดงั น้ี 4.1.1 ประโยคสามญั ประโยคสามัญเปน็ ประโยคชนดิ ทเี่ ดก็ ออทิสติกใช้ในการเขียนเล่าเรอ่ื ง มากทีส่ ุด 4.1.2 ประโยคซับซ้อน ประโยคซบั ซ้อนที่เด็กออทิสติกใช้ในการพดู เล่าเร่ืองสามารถจําแนกได้ 3 ประเภท คอื ประโยคซบั ซ้อนทมี่ ีอนพุ ากย์นาม ประโยคซบั ซ้อนท่ีมีอนพุ ากย์คุณศัพท์ และประโยค ซบั ซ้อนท่มี ีอนุพากย์ วิเศษณ์ 4.1.3 ประโยคผสม ประโยคผสมท่เี ด็กออทิสติกใชใ้ นการเขยี นเล่าเร่ืองสามารถจําแนกได้ 3 ประเภท คือ
104 ประโยคผสมทเ่ี กิดจากประโยคสามัญรวมกับประโยคสามัญ ประโยคผสมท่ีเกิดจากประโยค สามัญรวมกบั ประโยคซบั ซ้อน และประโยคผสมท่เี กดิ จากประโยคซบั ซอ้ นรวมกับประโยค ซับซ้อน นอกจากนยี้ ังสามารถ จาํ แนกประโยคผสมแต่ละประเภทตามใจความของประโยคได้เป็น 2 ประเภท คือ ประโยคผสมทม่ี ีใจความ คลอ้ ยตามกัน และประโยคผสมท่ีมใี จความขดั แย้งกัน เมอ่ื นาํ ประโยคท้งั สามชนดิ ท่ีปรากฏในการพดู เล่าเรอื่ งของเดก็ ออทสิ ติกมานบั จํานวน จะ เหน็ วา่ ประโยคแต่ละชนดิ มีจาํ นวนในการใชแ้ ตกต่างกัน ดงั ตารางต่อไปนี้ ตารางท่ี 29 ตารางแสดงจํานวนชนิดของประโยคจากการเขยี นเล่าเร่อื ง ชนดิ ของประโยค จาํ นวนประโยคที่ปรากฏในการพูดเล่าเร่อื ง ค่ารอ้ ยละ 61.81 ประโยคสามัญ 89 28.47 9.72 ประโยคซับซ้อน 41 100 ประโยคผสม 14 รวม 144 จากตารางที่ 29 แสดงใหเ้ หน็ วา่ ประโยคท่เี ด็กออทิสตกิ ใชเ้ ขียนเลา่ เรอ่ื งมี 3 ชนดิ คอื ประโยคสามัญ ประโยคซับซ้อน และประโยคผสม ประโยคที่เดก็ ออทสิ ติกใช้มากทส่ี ุดคือประโยค สามัญ ปรากฏ 89 ประโยค คดิ เปน็ รอ้ ยละ 61.81 รองลงมาคือประโยคซับซอ้ น ปรากฏ41 ประโยค คิดเป็นร้อยละ 28.47 ส่วนประโยค ผสมปรากฏน้อยท่สี ุด ปรากฏ 14 ประโยค คิดเปน็ ร้อยละ 9.72 4.2 โครงสรา้ งประโยคท่ีปรากฏในการเขยี นเล่าเรอื่ งของเด็กออทสิ ตกิ ผวู้ จิ ัยจะจําแนกการวเิ คราะห์โครงสรา้ งประโยคออกเปน็ 2 ประเภท คอื โครงสร้าง ของ ประโยคสามญั และโครงสรา้ งของประโยคซับซ้อน โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี 4.2.1 โครงสรา้ งของประโยคสามัญ จากการวเิ คราะห์โครงสร้างของประโยคสามัญในการเขยี นเลา่ เรอื่ งของ เด็กออทิ สตกิ พบว่ามีจาํ นวนโครงสร้างท้งั สิ้น 15 รปู แบบ ดงั นี้ 4.2.1.1 แบบกริยาอรรม (อ) 4.2.1.2 แบบประธาน-กริยาอกรรม (ปอ) 4.2.1.3 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ส/ต) 4.2.1.4 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ปส./ต) 4.2.1.5 แบบกริยาสกรรม (ส) 4.2.1.6 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม (ปเส) 4.2.1.7 แบบนามเด่ยี ว (นค.) 4.2.1.8 แบบนามเดี่ยว-นามเด่ยี ว (นค.นค.) 4.2.1.9 แบบกาลวลี-ประธาน-กรยิ าอกรรม (วปอ) 4.2.1.10 แบบกาลวลี-ประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ว/ป/ส/ต) 4.2.1.11 แบบกาลวลี-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ว/ส/ต) 4.2.1.12 แบบกรยิ อกรรม-สถานวลี (อ/ถ) 4.2.1.13 แบบประธาน-กริยาสกรรม-สถานวลี (ป/ส/ถ)
105 4.2.1.14 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ส/ต/ถ) 4.2.1.15 แบบสถานวลี-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ถ/ส/ต) เมื่อนาํ โครงสรา้ งประโยคสามัญรปู แบบตา่ งๆจากการเขยี นเล่าเรอ่ื งของเด็กออทสิ ติกมานับ จํานวน จะ เห็นว่าโครงสรา้ งประโยคสามัญแตล่ ะรปู แบบมจี ํานวนในการใช้แตกต่างกัน โดยแสดง ได้ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 30 ตารางแสดงจาํ นวน โครงสร้างประโยคสามญั ทีป่ รากฏในการเขยี นเล่าเรื่อง โครงสร้างประโยคสามญั จํานวนประโยคทป่ี รากฏ ค่าร้อยละ 1. แบบ อ 22 24.72 2. แบบ ป / อ 11 12.36 3. แบบ ส / ต 18 20.22 4. แบบ ป / ส / ต 15 16.86 5. แบบ ส 4 4.49 6. แบบ ป / ส 2 2.25 7. แบบ นค. 1 1.12 8. แบบ นค./นค. 2 2.25 9. แบบ ว/ป/อ 1 2.25 10. แบบ ว / ป / ส / ต 2 3.37 11. แบบ ว / ส / ต 2 3.37 12. แบบ อ / ถ 3 1.12 13. แบบ ป ป ส./ถ 3 2.25 14. แบบ ส/ต/ถ 1 1.12 15. แบบ ถ/ส/ต 2 2.25 รวม 89 100 จากตารางที่ 30 แสดงใหเ้ หน็ วา่ เดก็ ออทิสตกิ ใชโ้ ครงสร้างประโยคสามญั ในการเขยี น เล่าเรื่อง 15 รปู แบบ โครงสรา้ งท่ีเดก็ ใช้มากทส่ี ุดคือ โครงสรา้ งแบบกรยิ าอกรรม ปรากฏ 22 ประโยค คิดเปน็ ร้อยละ 24.72 รองลงมาคอื โครงสร้างแบบกริยาสกรรม-กรรมตรง ปรากฏ 18 ประโยค คดิ เป็นร้อยละ 20.22 โครงสร้างแบบ ประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง ปรากฏ 15 ประโยค คดิ เป็นร้อยละ 16.86 และโครงสร้างแบบประธาน- กรยิ าอกรรมปรากฏ 11 ประโยค คิดเป็นร้อยละ 12.36 สว่ นโครงสรา้ งรปู แบบอน่ื ๆ ปรากฏไม่มากนัก
106 4.2.2 โครงสร้างของประโยคซับซอ้ น จากการวเิ คราะห์โครงสรา้ งประโยคซับซ้อนในการเขียนเลา่ เรือ่ งของเด็ก ออทิสตกิ พบวา่ มจี าํ นวนโครงสร้างประโยคทัง้ สิน้ 12 รูปแบบ ดังนี้ 4.2.2.1 แบบกรยิ าอรรม (อ) 4.2.2.2 แบบประธาน-กริยาอกรรม (ปอ) 4.2.2.3 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ส/ต) 4.2.2.4 แบบกรรมตรง-กริยาสกรรม (ต/ส) 4.2.2.5 แบบประธาน-กริยาสกรรม (ป/ส) 4.2.2.6 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ป/ส/ต) 4.2.2.7 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ป/ส/ต/ถ) 4.2.2.8 แบบประธาน-กริยาทวกิ รรม-กรรมตรง (ปท/ต) 4.2.2.9 แบบกริยาทวิกรรม-กรรมรอง-กรรมตรง (ท/ร/ต) 4.2.2.10 แบบกาลวลี-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ว/ส/ต) 4.2.2.11 แบบกาลวลี-ประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (วป/ส/ต) 4.2.2.12 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง-กาลวลี (ป/ส/ต/ว) เม่อื นาํ โครงสร้างประโยคซบั ซ้อนรปู แบบต่างๆจากการเขยี นเล่าเรือ่ งของเด็กออทสิ ติกมา นบั จํานวน จะเหน็ ว่าโครงสรา้ งประโยคซับซ้อนแต่ละรูปแบบมจี ํานวนในการใชแ้ ตกต่างกนั ดงั ตารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 31 ตารางแสดงจาํ นวนโครงสร้างประโยคซับซ้อนท่ปี รากฏในการเขยี นเล่าเรื่อง โครงสร้างประโยคซับซ้อน จาํ นวนประโยคที่ปรากฏ ค่ารอ้ ยละ 1. แบบ อ 1 2.44 2. แบบ ป/อ 4 9.76 3. แบบ ส/ต 9 21.94 4. แบบต/ส 1 2.44 5. แบบ ป/ส 4 9.76 6. แบบ ป/ส.ต 6 14.63 7. แบบ ป/ส/ต/ถ 1 2.44 8. แบบ ป/ท/ต 5 12.19 9. แบบ ท/ร/ต 2 4.89 10.แบบว/ส/ต 6 14.63 11. แบบ วปส./ต 1 2.44 12. แบบ ป/ส/ต/ว รวม 41 100 จากตารางที่ 31 แสดงใหเ้ หน็ ว่าเดก็ ออทิสตกิ ใชโ้ ครงสร้างประโยคซับซ้อนในการเขยี นเลา่ เรือ่ ง 12 รูปแบบ โครงสร้างท่ีเด็กใช้มากทสี่ ุดคือโครงสรา้ งแบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรงปรากฏ จํานวน 9 ประโยค คดิ เป็นรอ้ ยละ 21.94 รองลงมาคือโครงสร้างแบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรม ตรง และโครงสรา้ งแบบกาลวลี-
107 กริยาสกรรม-กรรมตรง ปรากฏ 6 ประโยคเทา่ กนั คิดเปน็ ร้อยละ 14.63 สว่ นโครงสรา้ งรปู แบบอนื่ ๆ ปรากฏไม่ มากนกั 5. การวเิ คราะห์สัมพนั ธสารที่ใชใ้ นการเขยี นเลา่ เรอื่ งของเดก็ ออทิสตกิ การวิเคราะห์สัมพันธสารทีป่ รากฏในการเขียนเลา่ เร่อื งของเดก็ ออทิสติกสามารถจําแนก การวิเคราะห์ ไดเ้ ปน็ 2 หวั ขอ้ คอื การวิเคราะหก์ ารเริ่มตน้ และการลงทา้ ยเร่อื ง (starting and ending) และการเชอื่ มโยง ความ (cohesion) 5.1 การเร่ิมต้นเร่ืองและการลงท้ายเรือ่ ง (starting and ending) 5.1.1 การเริม่ ตน้ เรือ่ ง (starting) จากการวิเคราะหเ์ รือ่ งเล่าของเด็กออทสิ ติกจํานวน 28 เร่ือง พบว่าเดก็ ออทสิ ติกมี วธิ กี าร เร่มิ ตน้ เร่อื ง 6 วิธี คอื การเร่ิมต้นดว้ ยการกลา่ วถึงตัวละคร การเร่มิ ต้นดว้ ยคํากริยา “ม”ี ตาม ดว้ ยตัวละคร การเรมิ่ ตน้ ด้วยนามวลี การเร่ิมต้นด้วยกาลวลีตามดว้ ยตัวละครสถานที่หรอื เหตุการณ์ การเริม่ ตน้ ดว้ ยกริยาวลี บรรยายเหตุการณ์ของเรื่อง และการเริ่มตน้ ด้วยสถานวลีตามดว้ ยตัวละคร หรือเหตุการณ์ ผลการวิเคราะห์วธิ กี ารเร่ิมตน้ เรือ่ งในการเขียนเลา่ เรื่องของเดก็ ออทิสติกสามารถแสดงได้ ดังตาราง ต่อไปนี้ ตารางที่ 32 ตารางแสดงวธิ ีการเริ่มต้นเร่อื งในการเขียนเล่าเร่ือง วิธกี ารเรมิ่ ต้นเร่ืองในการเขยี นเลา่ เร่อื งของเด็กออทิสติก จาํ นวนครง้ั ทป่ี รากฏ คา่ รอ้ ยละ 39.28 1. การเร่มิ ต้นดว้ ยการกล่าวถึงตัว 11 17.86 3.57 2. การเริ่มต้นดว้ ยคํากริยา “ม”ี ตามดว้ ยตวั ละคร 5 25 3. การเริม่ ตน้ ด้วยนามวลี 1 7.14 7.14 4. การเริม่ ตน้ ด้วยกาลวลีตามด้วยตวั ละคร สถานท่ีหรอื 7 100 เหตุการณ์ 5. การเริ่มต้นด้วยกริยาวลบี รรยายเหตุการณ์ของ 2 6. การเรม่ิ ตน้ ด้วยสถานวลีตามด้วยตวั ละครหรอื 2 เหตุการณ์ รวม 28 จากตารางที่ 32 แสดงให้เหน็ วา่ วิธีการเร่มิ ตน้ เรือ่ งของเด็กออทสิ ตกิ มี 6 วธิ ี วธิ ีการเร่มิ ตน้ เรอ่ื งท่ีเด็ก ออทิสติกใชม้ ากที่สดุ คือการเร่ิมตน้ ด้วยการกล่าวถึงตวั ละคร ปรากฏร้อยละ 39.28 รองลงมาคือการเริม่ ตน้ ด้วยกาลวลีตามดว้ ยตวั ละคร สถานทห่ี รือเหตุการณ์ ปรากฏรอ้ ยละ 25 ส่วน วธิ กี ารเร่ิมต้นเรื่องท่ปี รากฏน้อย ท่ีสดุ คือการเร่ิมต้นดว้ ยนามวลี ปรากฏร้อยละ 3.57 5.1.2 การลงทา้ ยเรอื่ ง (ending) จากการวเิ คราะห์เรอ่ื งเลา่ ของเดก็ ออทิสติกจํานวน 28 เรื่อง พบวา่ เดก็ ออทิสติกมี วธิ ีการลง ท้ายเรื่อง 3 วธิ ี คอื การลงทา้ ยด้วยการแสดงตอนจบของเหตุการณ์ในเร่ือง การลงทา้ ยด้วย การแสดงบทสรุป ของเหตุการณ์ในเร่ือง และลงท้ายเรอื่ งดว้ ยเนื้อหา ผลการวเิ คราะห์วธิ ีการลงท้ายเรื่องในการเขยี นเลา่ เรื่องของเด็กออทิสติกสามารถแสดงได้ ดงั ตาราง ต่อไปน้ี
108 ตารางที่ 33 ตารางแสดงวิธกี ารลงทา้ ยเรื่องในการเขียนเล่าเรอื่ ง วธิ กี ารลงท้ายเร่ืองในการเขยี นเลา่ เรอื่ งของเด็กออทสิ ติก จํานวนครัง้ ทปี่ รากฏ คา่ ร้อยละ 25 1. การลงทา้ ยดว้ ยการแสดงตอนจบของเหตุการณ์ในเร่ือง 7 42.86 32.14 2. การลงทา้ ยดว้ ยการแสดงบทสรุปของเหตุการณ์ในเร่ือง 12 100 3. การลงท้ายเรอื่ งดว้ ยเนือ้ หา 9 รวม 28 จากตารางที่ 33 แสดงให้เหน็ วา่ วธิ ีการลงทา้ ยเรือ่ งในการเขียนเลา่ เรอื่ งของเด็กออทิสติกมี 3 วธิ ี วิธกี ารลงท้ายเรอ่ื งด้วยการแสดงบทสรปุ ของเหตุการณใ์ นเร่ืองเป็นวธิ ีทเี่ ดก็ ออทิสติกใชม้ ากท่ีสุด ปรากฏร้อยละ 42.86 รองลงมาคือการลงท้ายเรอ่ื งด้วยเนื้อหา ปรากฏรอ้ ยละ 32.14 สว่ นวิธกี ารลง ทา้ ยเรื่องที่ปรากฏนอ้ ย ทส่ี ุดคอื การแสดงตอนจบของเหตกุ ารณ์ในเรื่อง ปรากฏร้อยละ 25 5.2 การเช่อื มโยงความ (cohesion) การเชอ่ื มโยงความ คือ การแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างหน่วยภาษาด้วยการใช้ กลวิธตี ่างๆ การเชื่อมโยงความทปี่ รากฏในการเขียนเล่าเรื่องของเด็กออทิสตกิ แบ่งไดเ้ ป็น 5 ประเภท คือ การอา้ งถึง (reference) การละ (ellipsis) การใช้คําเช่ือม (conjunction) การซ้ํา (repetition) และ การเช่อื มโยงคําศัพท์ (lexical cohesion) ผลการวเิ คราะห์พบวา่ ปรากฏการเช่ือมโยงความท้ังสนิ้ 627 ครัง้ แบ่งเปน็ การเชอื่ มโยง ความด้วยการอ้างถงึ 175 คร้ัง คิดเปน็ ร้อยละ 27.91 การเช่ือมโยงความ ด้วยการละ 12 ครั้ง คิดเปน็ รอ้ ยละ 1.91 การเชอื่ มโยงความด้วยการใชค้ าํ เชือ่ ม 81 ครัง้ คิดเป็น รอ้ ยละ 12.92 การเช่ือมโยงความดว้ ยการซ้าํ 217 คร้ัง คิดเป็นร้อยละ 34.61 และการเชอ่ื มโยงความ ด้วยคําศัพท์ 142 ครง้ั คดิ เปน็ ร้อยละ 22.65 การเชอ่ื มโยง ความแตล่ ะประเภทมรี ายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 5.2.1 การอา้ งถงึ (reference) การอ้างถึง คือ การเช่ือมโยงความดว้ ยการใช้คาํ หรอื วลีเพอ่ื อ้างถึงคาํ หรือ วลที ี่ปรากฏก่อน หนา้ การเชอื่ มโยงความดว้ ยการอา้ งถึงในเร่ืองเล่าของเด็กออทิสตกิ ปรากฏเพียง 1 ประเภท คือการอา้ งถึง หนว่ ยนามปรากฏ 175 ครั้ง ผลการวิเคราะห์การเชอ่ื มโยงความด้วยการอ้างถึงหนว่ ยนามสามารถแสดงได้ดังตาราง ต่อไปน้ี ตารางที่ 34 ตารางแสดงการเปรยี บเทียบการใช้รปู แทนเพ่ืออ้างถึงหนว่ ยนามในการเขยี นเล่าเรอ่ื ง ชนดิ รูปแทนของหน่วยนาม จํานวนครัง้ ทปี่ รากฏ จํานวนครัง้ ทป่ี รากฏ 1. รูปแทนทเ่ี ปน็ สรรพนาม 18 10.29 2. รปู แทนทเี่ ปน็ นามวลี 93 53.14 3. รูปแทนท่เี ป็นสุญรปู 64 36.57 รวม 175 100 จากตารางท่ี 34 แสดงให้เหน็ ว่าเด็กออทิสติกใชร้ ปู แทนเพอื่ อา้ งถึงหน่วยนาม 3 ชนดิ รูป แทนที่เด็ก ออทิสตกิ ใช้มากทส่ี ุดในการเขียนเล่าเร่ืองคือ รูปแทนทีเ่ ป็นนามวลี ปรากฏร้อยละ 53.14 รองลงมาคือรูป แทนท่เี ป็นสญุ รปู ปรากฏรอ้ ยละ 36.57 และรูปแทนท่ีปรากฏนอ้ ยที่สดุ คือรูปแทนที่ เป็นสรรพนาม ปรากฏ รอ้ ยละ 10.29
109 5.2.1 การละ (ellipsis) การเชอ่ื มโยงความดว้ ยการละ คือ การเช่ือมโยงความดว้ ยการใชส้ ญุ รูป แทนวลีหรืออนุพากย์ท่ีผเู้ ล่า เรอ่ื งไม่ได้กล่าวถงึ มาก่อน แต่ผ้รู บั สารสามารถสันนษิ ฐานได้ว่าสว่ นท่ี ละหมายถงึ ใครหรอื ส่งิ ใด การเชื่อมโยง ความด้วยการละใกล้เคียงกับการเชอื่ มโยงความดว้ ยการอา้ ง ถึงสุญรูป แต่แตกตา่ งกนั ทกี่ ารอ้างถึงสญุ รปู จะ อา้ งถึงวลีหรืออนุพากย์ท่ปี รากฏมาก่อนแลว้ การเชื่อมโยงความดว้ ยการละปรากฏท้ังสิ้น 12 ครงั้ 5.2.2 การใชค้ ําเชื่อม (conjunction) การใช้คําเชื่อม คือ การใช้คาํ เพือ่ แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างเหตุการณ์ใน ประโยคท่ีอยใู่ กลเ้ คยี งกันให้ มคี วามต่อเนอ่ื งสัมพันธ์กัน การเชอ่ื มโยงความด้วยการใชค้ ําเชือ่ มใน การเขียนเลา่ เร่ืองของเดก็ ออทสิ ติกจาํ นวน 81 ครงั้ สามารถแบ่งได้เปน็ 2 ประเภทตามความสมั พันธ์ ระหวา่ งเหตุการณใ์ นประโยคที่อยตู่ ่อเนื่องกันหรอื ใกล้เคียงกนั ไดแ้ ก่ ความสัมพันธแ์ บบคลอ้ ยตาม กัน ความสมั พนั ธแ์ บบขดั แยง้ กนั ความสมั พนั ธแ์ บบแสดง เหตผุ ล ความสมั พันธ์แบบขยายความ ความสมั พนั ธ์แบบแสดงวัตถุประสงค์ ความสมั พันธ์แบบแสดงเวลา ความสมั พนั ธแ์ บบแสดง จดุ สนิ้ สุด และความสมั พนั ธแ์ บบแสดงการอ้างถึงคาํ พูด ความคิด หรือข้อเทจ็ จรงิ การ เชื่อมโยง ความด้วยการใช้คําเชือ่ มแตล่ ะประเภทสามารถแสดงรายละเอียดได้ ผลการวเิ คราะห์การเชอ่ื มโยงความด้วยการใช้คาํ เชื่อมสามารถแสดงได้ดงั ตาตางต่อไปน้ี ตารางที่ 35 ตารางแสดงการเปรยี บเทียบการใชค้ ําเชือ่ มท่ปี รากฏในการเขยี นเล่าเร่ือง ประเภทของคําเชื่อม จํานวนครัง้ ที่ปรากฏ คา่ ร้อยละ 1.ความสัมพนั ธ์แบบคล้อยตาม 18 22.22 2. ความสัมพนั ธแ์ บบขัดแยง้ 5 6.18 3.ความสัมพันธ์แบบแสดงเหตุผล 16 19.75 4.ความสัมพนั ธ์แบบขยายความ 4 4.94 5.ความสัมพันธแ์ บบแสดงวตั ถปุ ระสงค์ 3 3.7 6.ความสมั พนั ธแ์ บบแสดงเวลา 29 35.8 7.ความสัมพนั ธแ์ บบแสดงจดุ สิ้นสดุ 1 1.23 8.ความสัมพนั ธ์แบบแสดงการอา้ งถึงคาํ พดู 5 6.18 ความคดิ หรือข้อเทจ็ จรงิ รวม 81 100 จากตารางที่ 35 แสดงให้เหน็ วา่ คาํ เชื่อมท่ีเด็กออทิสติกใช้ในการเขียนเล่าเร่ืองมี 8 ประเภท คาํ เช่อื มท่ี เดก็ ใช้มากท่ีสดุ คือ คาํ เชื่อมท่ีแสดงความสมั พันธแ์ บบแสดงเวลา ปรากฏร้อยละ 35.8 รองลงมาคือ คาํ เชือ่ มที่ แสดงความสมั พนั ธแ์ บบคล้อยตาม และคําเชอ่ื มที่แสดงความสัมพันธ์แบบ แสดงเหตผุ ล ปรากฏรอ้ ยละ 22.22 และ 19.75 ตามลําดับ สว่ นคําเชอ่ื มที่เด็กออทสิ ติกใชน้ อ้ ยท่ีสุด คือคําเชอื่ มท่แี สดงความสมั พนั ธ์แบบแสดง จุดสนิ้ สุด ปรากฏเพียง 1 คร้งั คิดเปน็ รอ้ ยละ 1.23 5.2.3 การซํา้ (repetition) การซ้ํา คือ การใชร้ ูปภาษาเดิมอีกคร้ังหลงั จากท่หี น่วยภาษานัน้ เคยปรากฏ แลว้ การซํา้ ท่ปี รากฏใน การเขยี นเลา่ เร่ืองของเด็กออทสิ ติกสามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื การ ซาํ้ รปู (recurrence) การซ้ําความ (paraphrase) และการซ้าํ โครงสรา้ ง (parallel structure) จากการวเิ คราะห์พบว่าเด็กออทสิ ติกมวี ิธีการ
110 เชือ่ มโยงความด้วยการซ้าํ ทัง้ สิ้น 217 ครงั้ แบง่ เป็น การซาํ้ รูป 191 คร้ัง คดิ เป็นร้อยละ 88.02 การซ้าํ ความ 12 คร้งั คดิ เปน็ ร้อยละ 5.53 และการซํา้ โครงสร้าง 14 ครง้ั คดิ เปน็ รอ้ ยละ 6.45 ผลการวเิ คราะหก์ ารเชือ่ มโยงความด้วยการซํ้ารปู สามารถแสดงไดด้ ังตารางตอ่ ไปน้ี ตารางท่ี 36 ตารางแสดงการเปรียบเทียบการซํ้ารูปทป่ี รากฏในการเขียนเลา่ เรื่อง การซ้าํ รปู จํานวนครง้ั ท่ีปรากฏ คา่ ร้อยละ 1. การซ้าํ รูปคํา 137 71.73 19.37 2. การซํา้ รปู วลี 37 8.9 100 3. การซํ้ารปู ประโยค 17 รวม 191 จากตารางท่ี 36 แสดงใหเ้ ห็นว่าการเช่ือมโยงความด้วยการซาํ้ รปู ที่เด็กออทิสตกิ ใช้ในการ เขียนเล่า เรือ่ งมี 3 ประเภท การซํ้ารปู ท่เี ด็กออทิสตกิ ใชม้ ากทส่ี ุดคอื การซา้ํ รูปคาํ ปรากฏรอ้ ยละ 71.73 รองลงมาคือ การซํ้ารปู วลแี ละการซํ้ารปู ประโยค ปรากฏร้อยละ 19.37 และ 8.9 ตามลําดบั กล่าวโดยสรปุ จากการศึกษาภาษาทีใ่ ช้ในการเขียนเลา่ เร่ืองของเด็กออทสิ ติกพบวา่ เดก็ ออทสิ ตกิ ใชร้ ูป เขยี นพยัญชนะ สระ วรรณยกุ ต์ เครอื่ งหมายประกอบคําและเคร่ืองหมาย วรรคตอนในการเขียนสะกดคําสว่ น ใหญไ่ ดถ้ ูกต้อง แต่ยังพบข้อบกพร่องอยูบ่ ้าง ข้อบกพร่อง ดังกล่าวเกดิ จากการใชร้ ูปเขยี นพยญั ชนะ สระ และ วรรณยกุ ต์ ซึ่งแต่ละรูปเขยี นเด็กออทสิ ติกจะใช้ เขียนสะกดคาํ โดยปรากฏทั้งรปู แปรที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ต่างกันไป นอกจากน้คี ําบางคําอาจ ปรากฏรูปแปรทีไ่ ม่ถูกต้องทง้ั รูปพยัญชนะและวรรณยุกตร์ ว่ มกนั เนื่องจาก รปู เขยี นท้ังสองมี ความสัมพนั ธก์ นั ตามหลักไตรยางศ์ ท้ังนค้ี ําทีป่ รากฏรปู เขียนแปรที่ไมถ่ ูกต้องดงั กล่าวอาจมี ผลมา จากการออกเสียงทีป่ รากฎการแปรเช่นกนั ผลการวิเคราะหค์ ําท่ีใช้ในการเขยี นเล่าเร่ืองของเดก็ ออทสิ ติกพบว่า เดก็ ออทิสติกใช้คาํ 24 ชนดิ ในการ เขยี นเลา่ เรอ่ื ง คือ คํานาม คาํ กริยาอกรรม คํากริยาอกรรมยอ่ ย คํากรยิ าสกรรม คาํ กรยิ า ทวิกรรม คาํ สรรพ นาม คาํ ลกั ษณนาม คําคุณศัพท์ คาํ จํานวนนบั คาํ ลาํ ดับท่ี คําหน้าจาํ นวน คาํ บอก กาํ หนดเสียงโท คาํ บอก กาํ หนดเสียงตรีและจัตวา คําบอกเวลา คําลงท้าย คําชว่ ยหลงั กริยา คาํ ช่วย หนา้ กริยา คําปฏเิ สธ คาํ หน้ากริยา คําหลังกริยา คํากรยิ าวเิ ศษณ์ คําบุพบท คาํ เช่อื มนาม คาํ เชอ่ื ม อนภุ าค ชนิดของคําท่เี ด็กออทสิ ตกิ ใช้มากท่ีสดุ คือ คํานาม นอกจากน้ีเมื่อพจิ ารณาการใชค้ ําแลว้ พบว่า เด็กออทิสตกิ ยังมขี ้อบกพร่องด้านการใช้คาํ อยู่บา้ ง คือ การใชค้ าํ ผดิ ความหมาย การใช้คําผิด หลกั ไวยากรณ์ การใช้คาํ ตกหล่นและการใชค้ ําโดยเขยี นฉกี คาํ ผลการวิเคราะหช์ นิดและโครงสร้างวลีจากการเขียนเล่าเรื่องของเด็กออทสิ ตกิ พบวา่ เดก็ ออทสิ ติกใช้ วลีเพียง 1 ชนดิ ในการเขียนเล่าเรื่อง คือ นามวลี มโี ครงสรา้ ง 1 รปู แบบ ผลการวเิ คราะห์ชนิดและโครงสรา้ งประโยคจากการเขียนเลา่ เรอ่ื งของเด็กออทสิ ติกพบว่า เด็กออทิ สตกิ ใช้ประโยค 3 ชนดิ ในการเขยี นเล่าเรือ่ ง คือ ประโยคสามญั ประโยคผสม และประโยค ซบั ซ้อน โดย ประโยคสามัญเปน็ ประโยคท่ีพบมากทส่ี ุด เม่ือพิจารณาโครงสรา้ งของประโยคสามัญ และประโยคซบั ซ้อน พบว่า เดก็ ออทิสติกสร้างโครงสรา้ งประโยคสามญั ได้ 15 รปู แบบ และสรา้ ง โครงสร้างประโยคซับซ้อนได้ 12 รูปแบบ เมอ่ื พจิ ารณาการวเิ คราะห์สมั พนั ธสารพบว่า เด็กออทิสตกิ มวี ิธเี ร่มิ ต้นเรอื่ งเล่าจากการเขียน 6 วธิ ี คือ การเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการกลา่ วถึงตัวละคร การเรม่ิ ต้นด้วยคํากรยิ า “มี” ตามด้วยตัวละคร การเร่ิมต้นด้วยนามวลี การเริ่มตน้ ด้วยกาลวลตี ามด้วยตวั ละครสถานท่หี รือเหตกุ ารณ์ การเริ่มต้น ดว้ ยกรยิ าวลีบรรยายเหตกุ ารณ์ของ
111 เรื่อง และการเรมิ่ ต้นดว้ ยสถานวลตี ามด้วยตวั ละครหรอื เหตุการณ์ วธิ ีท่ีพบมากท่ีสดุ คือการกล่าวถงึ ตวั ละคร ส่วนวธิ ีการลงท้ายเร่ืองจากการเขยี นของเด็กออทสิ ติก พบ 3 วธิ ี คือ การลงท้ายเรื่องดว้ ยการแสดงบทสรปุ ของ เหตุการณ์ในเรื่อง การแสดง ตอนจบของเหตุการณใ์ นเร่ือง และการลงท้ายเรือ่ งดว้ ยเนื้อหา วิธที ีพ่ บมากทสี่ ุด คือการลงทา้ ยเร่ือง ด้วยการแสดงบทสรุปของเหตุการณใ์ นเรอื่ ง การเชือ่ มโยงความพบวา่ เด็กออทสิ ติกใชก้ ารเชื่อมโยงความ 5 ประเภทใหญ่ คอื การอา้ งถึง การละ การใชค้ าํ เชือ่ ม การซาํ้ และการเชอื่ มโยงคําศัพท์ การเชอื่ มโยงความท่เี ด็กออทสิ ตกิ ใช้ในการ เขียนเล่าเร่ืองมาก ท่ีสุดคือ การซํ้า นอกจากนีเ้ ม่ือพจิ ารณาการเช่ือมโยงความตามประเภทย่อยพบวา่ การซ้ํารูปเป็นการเชื่อมโยง ความที่พบมากทีส่ ุด
112 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวจิ ัยและข้อเสนอแนะ 1. สรปุ ผลการวจิ ัย งานวจิ ัยนีม้ ุ่งศึกษาเปรียบเทียบ การออกเสียง การเขียนสะกดคาํ ชนดิ ของคํา ชนิดและ โครงสรา้ ง ของวลี ประโยค รวมท้งั สัมพันธสารในการพูดเล่าเรื่องและการเขยี นเล่าเรื่องของเด็ก ออทิสติก โดยเก็บข้อมลู จากนักเรยี นออทสิ ติกโรงเรยี นสาธติ แห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 2 จาํ นวน 7 คน ผู้วจิ ยั เก็บข้อมลู โดยให้นักเรยี นแตล่ ะคนเล่าเร่ืองคนละ 8 เรื่องจากแผน่ ภาพท่ีกําหนดให้ 8 ภาพ แบ่งเปน็ การ พูดเล่าเรือ่ ง 4 เรอ่ื ง และเขียนเล่าเร่อื ง 4 เร่อื ง โดย ภาพทก่ี ําหนดให้มีหัวเรือ่ งเกีย่ วกบั ชีวิตประจําวันและ สิ่งแวดลอ้ มใกลต้ วั เด็ก ได้แก่ หมวดกจิ วัตร ประจําวนั จาํ นวน 2 ภาพ หมวดกิจกรรมทป่ี ฏิบตั ิร่วมกับสมาชกิ ใน ครอบครวั จาํ นวน 2 ภาพ หมวด สตั ว์จาํ นวน 2 ภาพ และหมวดสถานทจ่ี าํ นวน 2 ภาพ การเก็บข้อมูลครงั้ นี้ได้ เรอื่ งเลา่ จากการพูดและ การเขยี นท่นี าํ มาศกึ ษาทั้งสน้ิ 56 เรอื่ ง ดา้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล ผูว้ ิจัยแบ่งประเดน็ การวเิ คราะหเ์ ป็น 5 ประเด็นหลัก คือ การวิเคราะหก์ าร ออกเสยี งและการเขียนสะกดคํา การวิเคราะห์คาํ การวิเคราะห์วลี การวิเคราะห์ ประโยค และการวเิ คราะหส์ มั พนั ธสาร โดยเร่ิมวิเคราะหข์ ้อมูลจากการพูดเลา่ เร่ือง การเขียนเล่าเรอื่ ง และเปรยี บเทยี บผลการวเิ คราะห์ ข้อมูลวธิ ีการเลา่ เรื่องท้ัง 2 รูปแบบตามลําดับ ผลการวิเคราะหก์ ารใชภ้ าษาในการพูดเล่าเร่ืองและการเขียนเล่าเรอ่ื งของเด็กออทิสติก สามารถสรปุ ประเด็นตา่ งๆ ได้ดงั น้ี 1.1 การวเิ คราะห์การออกเสียงและการเขยี นสะกดคาํ จากการวเิ คราะห์การออกเสียงในการพดู เล่าเร่อื งและการเขียนสะกดคําใน การเขียนเลา่ เรื่องสรุปได้ดังนี้ 1.1.1 การวิเคราะห์การออกเสยี งในการพูดเลา่ เร่อื ง การออกเสียงของเดก็ ออทสิ ติกสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภทหลัก คอื เสียงพยัญชนะ เสียง สระ และเสียงวรรณยุกต์ จากการวิเคราะห์พบว่า หน่วยเสยี งพยัญชนะเปน็ หน่วยเสยี งที่ปรากฏรูปแปรมาก ที่สุดเมอื่ พจิ ารณาจากจาํ นวนหนว่ ยเสียงท่ีปรากฏรปู แปรและ จํานวนรปู แปรของหน่วยเสียงแต่ละหนว่ ยเสยี ง โดยหน่วยเสยี งพยญั ชนะต้นเดีย่ วปรากฏรูปแปรท้งั สน้ิ 9 หนว่ ยเสยี ง จากจํานวนทป่ี รากฏทั้งสน้ิ 21 หนว่ ย เสยี ง คิดเป็นร้อยละ 42.86 หน่วยเสยี ง พยัญชนะต้นควบปรากฏรูปแปรทงั้ ส้นิ 8 หนว่ ยเสยี ง จากจํานวนท่ี ปรากฏทัง้ สน้ิ 10 หนว่ ยเสยี ง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 80 และหนว่ ยเสยี งพยัญชนะทา้ ยปรากฏรูปแปรทัง้ ส้ิน 2 หน่วย เสียง จากจาํ นวนท่ี ปรากฏทงั้ สิ้น 7 หน่วยเสียง คดิ เปน็ ร้อยละ 16.67 หน่วยเสียงสระเด๋ยี วปรากฏรูปแปร ท้ังสิ้น 4 หนว่ ยเสียง จากจํานวนท่ีปรากฏทง้ั สิน้ 17 หน่วยเสียง คิดเปน็ รอ้ ยละ 23.53 หน่วยเสียงสระประสม ไมป่ รากฏรูปแปร สว่ นหนว่ ยเสียงวรรณยกุ ต์ปรากฏรูปแปรท้ังสิ้น 2 หนว่ ยเสยี ง จากจาํ นวนท่ี ปรากฏท้งั สนิ้ 5 หนว่ ยเสียง คดิ เป็นรอ้ ยละ 40 สาเหตทุ ี่ปรากฏรปู แปรของหน่วยเสยี งพยัญชนะมากท่ีสุดน่าจะสอดคลอ้ ง กับการศกึ ษาเรอ่ื ง การพดู ของเดก็ ออทิสตกิ ของนติ ยา รํ่ารวย (2531) ที่ศกึ ษาลกั ษณะการพดู ของเด็ก ออทิสตกิ ทีพ่ ดู ได้ในช่วงอายุ 4-11ปี ผลการศกึ ษาแสดงให้เหน็ ว่าการพูดของเด็กออทิสติกมี 2 ประเภท คอื การพดู เลียนแบบและการพดู ได้ เองซงึ่ มีลักษณะที่ผดิ ปกติ 2 ลกั ษณะ คือการพดู ไมช่ ดั และมีเสียงผดิ ปกติ ลกั ษณะการพูดไมช่ ดั นัน้ พบวา่ มี เสียงพยญั ชนะท่ยี งั พูดไมช่ ดั เปน็ จํานวนมาก เนอ่ื งจากเด็กนกั เรยี นออทสิ ตกิ มที า่ ทีแสดงความไม่สนใจฟังครู หรือนักแก้ไขการพูดจึงอาจทําให้ เด็กไมไ่ ดส้ งั เกตการเคลื่อนไหวอวยั วะในการพูดที่ชัดเจนซงึ่ อาจเปน็ แบบอย่าง
113 ทีด่ แี ก่เด็กได้ นอกจากนี้อาจเปน็ ไปไดว้ า่ เด็กออทสิ ติกมีพัฒนาการออกเสยี งพยญั ชนะล่าชา้ กวา่ เด็กปกติ รจนา ทรรทานนท์, 2528 : Baltaxe and simmons, 1975) จากการสงั เกตการออกเสียงของเดก็ ออทสิ ติกกลุม่ ตวั อย่างพบวา่ ความ บกพร่องทปี่ รากฏใน การออกเสียงส่วนใหญ่ คือ การออกเสียงพยญั ชนะตน้ ไม่ชดั ลกั ษณะการออก เสยี งไม่ชดั ดังกลา่ วเกิดจากการ วางอวัยวะภายในชอ่ งปากไม่ตรงตามตําแหน่งการเกดิ เสยี ง ส่วนมาก เปน็ หนว่ ยเสียงพยญั ชนะต้นเดีย่ วกล่มุ ที่มี ฐานกรณ์การเกดิ เสยี งที่ปุ่มเหงือกและแปรไปเปน็ การใช้ ฐานฟันในการออกเสียง เชน่ (t) - [t], (d) - [4], (s) - [s ] สว่ นหนว่ ยเสียงพยัญชนะต้น เดี่ยวท่ีไม่ปรากฎการแปรเสียงส่วนใหญ่จะอยู่ในกลมุ่ ท่ีมีฐานกรณ์การเกดิ เสียงทร่ี มิ ฝีปาก เชน่ Ip, ph, m, w/ การออกเสียงที่ปรากฏและไม่ปรากฎการแปรนีส้ ันนษิ ฐานโดยใชค้ วามรู้ เรื่องระบบ เสยี งภาษาไทยมาอธิบายกล่าวคือ ในระบบเสียงภาษาไทยเสียงที่ออกง่ายมักเกิดจากชุดอวัยวะทม่ี ี ฐานกรณร์ ิมฝปี าก (สุกานดา ทองประศรี, 2556 : 152) ดงั น้นั หน่วยเสียงที่มฐี านกรณ์รมิ ฝปี ากจงึ ไม่ ปรากฏ การแปรในการศึกษาคร้ังน้ี ขณะท่หี น่วยเสียงที่ปรากฎการแปรในการศึกษาครั้งนีส้ ว่ นใหญ่ จะมีฐานกรณ์ปุ่ม เหงือก ซงึ่ ต้องเคล่ือนไหวอวัยวะภายในช่องปาก โดยใชป้ ลายลิ้นแตะปมุ่ เหงือก แตเ่ ด็กออทิสติกกลุ่มตัวอยา่ ง บางคนใช้ปลายล้ินแตะฟันบนจึงทําให้หน่วยเสยี งพยัญชนะต้น ดงั กล่าวปรากฎการแปร ทง้ั น้กี ารเคลอื่ นไหว อวยั วะทใ่ี ช้ในการพดู ไมด่ ี หรือการควบคุมการ เคลื่อนไหวภายในช่องปากไม่ไดใ้ นกลุม่ ตัวอย่างบางคนอาจมผี ล มาจากความผดิ ปกติของอวยั วะในช่องปากท่ีใช้ในการผลิตเสยี ง เช่น มีลน้ิ ใหญก่ ว่าปกติ หรืออาจเกดิ จากภาวะ ความผดิ ปกติของสมอง จึงสง่ ผลต่อพัฒนาการดา้ นการออกเสียงของเด็กด้วย 1.1.2 การวิเคราะห์การเขยี นสะกดคําในการพูดเลา่ เรื่อง การเขียนสะกดคําของเดก็ ออทิสตกิ สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ประเภทหลกั ได้แก่ รปู พยัญชนะ รปู สระ รูปวรรณยุกต์ และรูปเครอ่ื งหมายประกอบคําและเครื่องหมายวรรค ตอน จากการวเิ คราะห์ พบว่ารูปเขียนทั้ง 4 ประเภทปรากฏรูปแปรในสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกันมาก นกั กลา่ วคือรปู เขยี นพยัญชนะต้น เดย่ี วปรากฏรปู แปรทง้ั สิ้น 2 รปู จากจํานวนท่ปี รากฏทง้ั สิ้น 31 รปู คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.45 รูปเขยี นพยญั ชนะตน้ ควบปรากฏรูปแปรทง้ั สิน้ 3 รปู จากจํานวนทปี่ รากฏทงั้ สน้ิ 7 รูป คดิ เป็นร้อยละ 42.86 รปู เขียนพยญั ชนะต้น อกั ษรนําปรากฏรปู แปรท้ังสิ้น 3 รปู จาก จํานวนทป่ี รากฏท้ังส้ิน 10 รปู คดิ เป็นรอ้ ยละ 30 รปู เขยี นพยญั ชนะ ทา้ ยปรากฏรปู แปรท้ังสิ้น 3 รปู จากจํานวนทปี่ รากฏทัง้ สนิ้ 20 รปู คิดเป็นร้อยละ 15 รูปเขียนสระเดยี๋ ว ปรากฏรปู แปรท้งั ส้ิน 6 รปู จากจํานวนทปี่ รากฏทั้งสิ้น 17 รูป คดิ เปน็ ร้อยละ 35.29 รปู เขยี นสระประสม ปรากฏรูปแปรท้งั ส้นิ 1 รูป จากจาํ นวนทปี่ รากฏทั้งส้นิ 3 รูป คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.33 รปู เขยี นสระเกินปรากฏ ทง้ั สน้ิ 4 รปู โดย ไม่ปรากฏรูปแปร รปู เขยี นวรรณยกุ ตป์ รากฏรูปแปรมากทีส่ ุดท้งั 3 รปู คดิ เปน็ ร้อยละ 100 สว่ น เครื่องหมายประกอบคําและเคร่ืองหมายวรรคตอนท้ัง 3 รูป ไม่ปรากฏรปู แปร 1.1.3 การเปรยี บเทียบการออกเสียงและการเขียนสะกดคาํ ในการพูดเล่าเร่ืองและ การเขียน เล่าเรื่อง จากการเปรยี บเทียบรูปแปรท่ีปรากฏในการพูดเล่าเรื่องและการเขยี นเล่า เรือ่ ง พบว่า ในการพูดเลา่ เร่ืองมีอัตราการปรากฏรูปแปรของพยัญชนะทกุ ชนดิ ที่ปรากฏร่วมกัน ได้แก่ พยญั ชนะตน้ เดี่ยว พยัญชนะต้นควบ และพยัญชนะท้ายมากกวา่ ในการเขยี นเลา่ เรอื่ ง ท้ังน้ีอาจ มผี ลมาจากพฒั นาการและ ลกั ษณะภาษาของเด็กออทสิ ติกตามที่กลา่ วไวแ้ ล้วในข้อ 1.1.1 สว่ นการ เขียนเลา่ เร่อื งมีอัตราการปรากฏรปู แปรของสระทุกชนดิ ท่ปี รากฏรว่ มกนั ได้แก่ สระเดี่ยว และสระ ประสมรวมท้งั วรรณยุกต์มากกวา่ การพดู เลา่ เร่อื ง ทั้งนี้อาจเปน็ เพราะรูปเขียนสระและรปู เขยี น วรรณยุกตม์ ีความซับซ้อนมากกวา่ รปู เขยี นพยัญชนะ กล่าวคือ รูปเขียนสระบางตวั มีจํานวนรูปสระ ที่นํามาประกอบเป็นจาํ นวนมาก หรือเม่ือนํามาเขยี นสะกดคาํ สระน้นั อาจมีการเปลยี่ นแปลงรปู สว่ นรูปเขยี นวรรณยกุ ตน์ ั้นเมอ่ื นาํ มาเขยี นสะกดคําทม่ี ีพยัญชนะต้นเป็นอักษร
114 สูงหรอื อักษรตา่ํ ก็จะ ปรากฏรปู วรรณยุกตไ์ ม่ตรงกบั เสียง อีกทัง้ รปู เขียนวรรณยุกต์เป็นรูปเขียนสุดทา้ ยท่ีจะ ปรากฏเมื่อ เด็กเขียนสะกดคําจึงอาจทาํ ให้เด็กลมื เขยี นรูปวรรณยุกตไ์ ด้ นบั เปน็ ส่วนหนง่ึ ท่ีทําให้เด็กสบั สนจงึ ทําใหป้ รากฏรปู แปรของสระและวรรณยกุ ต์ในการเขียนมากกว่าการพูด เมอื่ พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการออกเสยี งและการเขียนสะกดคํา ของเด็กออทสิ ตกิ แลว้ พบว่า สว่ นใหญม่ ีความสัมพนั ธ์กัน กล่าวคอื เมื่อเด็กออทิสตกิ ออกเสียง พยญั ชนะ สระ หรอื วรรณยุกต์ที่ประกอบใน คําได้ถูกต้อง เดก็ กจ็ ะเขยี นสะกดคําไดถ้ ูกตอ้ งเชน่ กัน หากเด็กออกเสยี งพยัญชนะ สระ หรอื วรรณยกุ ต์ไม่ ถกู ต้อง เด็กก็จะเขียนสะกดคําไม่ถูกต้องตาม การออกเสยี ง อย่างไรกต็ ามการเขียนสะกดคําท่ีถูกตอ้ งหรือไม่ ถกู ต้องบางคําอาจไม่ได้มีผลมาจาก การออกเสยี ง แตเ่ กิดจากความสบั สนในการเขียนสะกดคาํ ของเดก็ ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะเฉพาะบุคคล เน่ืองจากคาํ บางคาํ เด็กเขยี นสะกดคาํ ถกู ต้องแต่ออกเสียงไมถ่ ูกตอ้ ง หรอื บางคําเด็กเขียน สะกดคําไม่ ถกู ต้องแต่ออกเสียงถูกต้องซึ่งพบเป็นสว่ นน้อย 1.2 การวเิ คราะห์คําและการใช้คาํ จากการวเิ คราะหค์ ําและการใชค้ าํ ในการพดู เล่าเร่ืองและการเขยี นเล่าเรอื่ งสรุปได้ ดังน้ี 1.2.1 การวิเคราะห์คาํ ที่ใชใ้ นการพูดเล่าเรื่อง จากการวิเคราะห์คาํ ที่ใชใ้ นการพดู เล่าเร่ืองพบจาํ นวนคําที่นํามาศึกษา ทั้งสิน้ 402 คาํ จําแนกได้เปน็ 26 ชนิด คอื 1.คาํ นาม 2.คํากรยิ าอกรรม 3.คาํ กริยาอกรรมย่อย 4.คํากริยาสกรรม 5.คาํ กรยิ าทวกิ รรม 6.คาํ สรรพนาม 7.คําลักษณนาม 8. คาํ คณุ ศัพท์ 9.คาํ จํานวนนับ 10.คําลาํ ดบั ที่ 11.คําหน้าจาํ นวน 12.คาํ บอกกาํ หนดเสยี งโท 13.คําบอกกําหนดเสยี งตรีและจตั วา 14.คําบอกเวลา 15.คําลงทา้ ย 16.คาํ พิเศษ 17.คําช่วยหลงั กรยิ า 18.คาํ ช่วยหนา้ กริยา 19.คาํ ปฏเิ สธ 20.คําหน้ากริยา 21.คําหลังกริยา 22.คํากรยิ าวิเศษณ์
115 23.คําบพุ บท 24.คาํ เชือ่ มนาม 25.คาํ เชือ่ มอนุภาค 26.คําอุทาน ชนิดคาํ ที่ปรากฏมากทส่ี ดุ สามอันดับแรก คือ คํานาม ปรากฏจาํ นวน 110 คาํ คดิ เป็นร้อยละ 27.36 รองลงมาคือคาํ กรยิ าสกรรมและคํากรยิ าอกรรม ปรากฏจาํ นวน 62 คํา และ 59 คาํ คดิ เป็นร้อยละ 15.42 และ 14.67 ตามลําดบั สว่ นคาํ ชนดิ อ่นื ปรากฏไม่มากนกั ด้านการใช้คํา เด็กออทิสติกมีขอ้ บกพร่องด้านการใช้คํา 5 ประเภท ไดแ้ ก่ การใช้คําผิดความหมาย การใชค้ ําไม่คงท่ี การใชค้ ําไมถ่ ูกระดบั การใช้คําผดิ หลกั ไวยากรณ์ และการใช้คาํ ตก หลน่ 1.2.2 การวิเคราะห์คาํ ทีใ่ ช้ในการเขียนเล่าเร่ือง จากการวเิ คราะห์คําท่ีใช้ในการเขียนเลา่ เรอื่ งพบจาํ นวนคาํ ทน่ี ํามาศึกษา ท้ังส้นิ 286 คํา จําแนกไดเ้ ป็น 24 ชนิด คอื 1.คาํ นาม 2.คาํ กริยาอกรรม 3.คํากริยาอกรรมยอ่ ย 4.คํากริยาสก รรม 5.คํากรยิ าทวิกรรม 6.คําสรรพนาม 7.คาํ ลักษณนาม 8.คําคุณศัพท์ 9.คําจํานวนนับ 10.คาํ ลาํ ดบั ท่ี 11.คํา หนา้ จํานวน 12 คาํ บอกกาํ หนดเสยี งโท 13.คําบอกกําหนดเสียงตรีและจตั วา 14.คาํ บอกเวลา 15.คาํ ลงท้าย 16.คําชว่ ยหลงั กรยิ า 17.คาํ ช่วยหน้ากริยา 18.คาํ ปฏเิ สธ 19.คาํ หน้ากริยา20.คําหลังกรยิ า 21.คํากรยิ าวเิ ศษณ์ 22.คําบุพบท 23.คาํ เชอื่ มนาม และ 24.คําเช่ือมอนุภาค ชนิดคําที่ ปรากฏมากทส่ี ุดสามอันดับแรก คือ คํานาม ปรากฏจาํ นวน 84 คาํ คดิ เป็นร้อยละ 29.37 รองลงมาคือ คํากริยาสกรรมและคํากรยิ าอกรรม ปรากฏจาํ นวน 50 คาํ และ 27 คํา คดิ เป็นรอ้ ยละ 17.48 และ 9.44 ตามลําดับ สว่ นคําชนิดอืน่ ปรากฏไม่มากนัก ดา้ นการใชค้ าํ เด็กออทสิ ติกมีข้อบกพร่องด้านการใช้คาํ 4 ประเภท ได้แก่ การใชค้ าํ ผดิ ความหมาย การใช้คําผดิ หลกั ไวยากรณ์ การใชค้ าํ ตกหล่น และการเขียนฉีกคาํ 1.2.3 การเปรียบเทียบคําท่ีใช้ในการพูดเล่าเร่ืองและการเขียนเล่าเรอื่ ง จากการเปรียบเทียบจาํ นวนคําที่ใชใ้ นการพูดเลา่ เรื่องและการเขยี นเล่า เรอื่ งพบว่า การพูดเล่าเรื่องปรากฏจาํ นวนคํามากกวา่ การเขียนเลา่ เร่ือง กลา่ วคือ การพูดเลา่ เรื่อง ปรากฏ จาํ นวนคาํ ทง้ั สิ้น 402 คาํ ส่วนการเขียนเลา่ เร่ืองปรากฏจาํ นวนคาํ ทงั้ ส้นิ 286 คํา เมือ่ พจิ ารณาชนดิ คําทใ่ี ช้ในการพดู เลา่ เรอ่ื งและการเขยี นเล่าเรอ่ื งสรปุ ไดว้ า่ วิธกี ารเล่าเร่อื งทั้งสองรปู แบบปรากฏการใชค้ ํานามมากทส่ี ุด รองลงมาคือคํากริยาสกรรมและ คาํ กรยิ าอกรรม ซ่งึ ผลการศกึ ษานี้สอดคล้องกับผลการศกึ ษาของนติ ยา ํร่ารวย (2531) ทศี่ กึ ษา ลกั ษณะการพูดของเด็กออทิ สตกิ ผลการศกึ ษาแสดงให้เห็นว่าการพดู ของเด็กออทิสตกิ มี 2 ประเภท คือการพดู เลยี นแบบและการพูดไดเ้ อง ซึ่งการพดู ไดเ้ องพบวา่ เด็กออทสิ ตกิ สามารถพูด คํานามได้มากท่ีสดุ เนอ่ื งจากคาํ นามสว่ นใหญ่เป็นคําที่ใชแ้ ทน ส่ิงทเี่ ปน็ รูปธรรม และสว่ นใหญ่เป็น คาํ หมวดทป่ี รากฏอยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี ก่ยี วข้องกับชีวติ ประจาํ วันของเดก็ รองลงมาคือคํากรยิ า ซึ่ง เปน็ หมวดคาํ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ชีวิตประจําวันของเดก็ เช่นกัน เด็กจะเรยี นรคู้ ํากรยิ าจาก การแสดงกริ ิยา ท่าทางงา่ ยๆ การเคลื่อนไหวทีม่ องเห็นไดช้ ัดเจน แต่เน่อื งจากเดก็ ออทิสติกมีปัญหาด้านทักษะ การ แสดงออก การเรียนรู้คาํ กริยาของเดก็ จึงมขี อบเขตจาํ กดั มากกว่าคาํ นาม จากผลการศึกษาของนติ ยา ข้อนี้ จึงน่าจะเป็นคําอธิบายการใชค้ ํานามและคาํ กรยิ าท่ีปรากฏมากกว่าคาํ ชนดิ อ่นื ๆของเดก็ ออทสิ ติกได้
116 เมื่อเปรยี บเทยี บด้านการใช้คําพบวา่ ข้อบกพร่องทัง้ การพดู เลา่ เรอื่ งและ การเขียนเล่าเรื่องไมแ่ ตกต่างกนั มากนัก กล่าวคือ ข้อบกพรอ่ งทีป่ รากฏรว่ มกันเป็นการใช้คาํ ผดิ ความหมาย การใช้คาํ ผิดหลักไวยากรณ์ และการใช้คาํ ตกหลน่ แตก่ ารพูดเลา่ เรื่องจะปรากฏ ข้อบกพร่องด้านการใชค้ าํ มากกว่าการเขยี นเล่าเรื่อง กล่าวคือ ยังปรากฏการใชค้ าํ ไม่คงท่ี การใช้คาํ ไม่ถูกระดับ และการใชค้ ําผดิ หลกั ไวยากรณเ์ ร่ืองคาํ สันธานดว้ ย ซ่งึ ไมป่ รากฏในการเขียนเลา่ เรอ่ื ง สาเหตุที่ปรากฏการใช้คาํ ไมค่ งท่ีอาจมผี ลมาจากความสับสนของกลุ่ม ตัวอย่างบางคน และการใชค้ าํ ไมถ่ ูกระดับมผี ลมาจากภาพหน่ึงทผ่ี ู้วิจัยกาํ หนดให้เด็กใชใ้ นการพดู เล่าเร่ืองเปน็ ภาพวดั คาํ ท่ีเด็กใช้จึงเปน็ คาํ ทเี่ กย่ี วข้องกับศาสนาซ่ึงเด็กอาจยังไม่คุ้นเคยจึงเลือกใชค้ ําสามญั ท่ีคุ้นเคยมาใช้ใน การเล่าเร่อื ง ส่วนข้อบกพร่องเรื่องคําสันธานนน้ั ผู้วิจยั พบว่าการใช้ คําสันธานท่ีบกพร่องนี้เปน็ ลักษณะการใช้ ภาษาของเด็กออทิสติกเพยี งคนเดียวซึง่ อาจเปน็ ข้อบกพร่องเฉพาะบุคคล ส่วนเรอื่ งเลา่ ที่ปรากฏในการเขยี น ของเด็กคนดังกลา่ วมีเน้ือหาเพียงเรอื่ ง ละ 1 ประโยคจงึ ไม่ปรากฎการใช้คําสันธาน 1.3 การวเิ คราะห์วลีและโครงสรา้ งวลี จากการวเิ คราะหว์ ลีและโครงสร้างวลี ในการพูดเลา่ เร่ืองและการเขยี นเล่าเรอื่ งสรุปได้ดงั น้ี 1.3.1 การวิเคราะห์วลที ี่ใชใ้ นการพดู เลา่ เรื่อง จากการวิเคราะห์วลีทีใ่ ชใ้ นการพดู เลา่ เรอื่ งพบจํานวนวลีท่นี ํามาศึกษา ทัง้ สิ้น 20 วลี จําแนกไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ คือ นามวลีและกรยิ าวลี วลีท่ปี รากฏมากกว่าคือ นามวลี ปรากฏ ท้ังสิ้น 17 วลี คิดเป็นรอ้ ยละ 85 ส่วนกริยาวลีปรากฏทงั้ ส้นิ 3 วลี คดิ เป็นรอ้ ยละ 15 เม่อื พิจารณาโครงสรา้ งนามวลีและโครงสร้างกริยาวลสี รปุ ได้ว่า โครงสร้าง นามวลที ่ีปรากฏในการพดู เล่าเรื่องมเี พียง 1 รปู แบบ คอื โครงสร้างแบบหนว่ ยหลกั สว่ น โครงสรา้ งกริยาวลี ปรากฏ 1 รูปแบบเชน่ กัน คือโครงสรา้ งแบบหน่วยแก่น 1.3.2 การวเิ คราะห์วลีที่ใช้ในการเขียนเล่าเร่ือง จากการวิเคราะห์วลที ่ใี ชใ้ นการเขียนเล่าเรอ่ื งพบจํานวนวลีทนี่ ํามาศึกษา เพียง 1 วลี คือ นามวลี เมือ่ พิจารณาโครงสร้างนามวลสี รปุ ได้วา่ โครงสรา้ งนามวลที ่ีปรากฏใน การเขียนเลา่ เร่ือง คือ โครงสรา้ งแบบหน่วยหลัก-หนว่ ยจํานวน 1.3.3 การเปรยี บเทียบวลีทใ่ี ช้ในการพูดเลา่ เร่อื งและการเขียนเลา่ เรื่อง จากการเปรียบเทยี บจาํ นวนวลที ใี่ ช้พดู เลา่ เร่อื งและเขยี นเล่าเร่ืองพบวา่ ใน การพดู เลา่ เรื่องปรากฏจาํ นวนวลีมากกวา่ การเขยี นเล่าเรื่อง กลา่ วคือ ในการพูดเลา่ เรอื่ งปรากฏ จาํ นวนวลี ทง้ั สนิ้ 20 วลี สว่ นในการเขียนเล่าเรอ่ื งปรากฏจํานวนวลีเพียง 1 วลี เมอื่ พิจารณาการใชว้ ลีท่ปี รากฏในการพดู เล่าเร่ืองและการเขียนเลา่ เรอื่ ง สรปุ ได้ว่าการพูดเลา่ เรือ่ งปรากฏการใช้นามวลีในการเล่าเรื่องมากที่สุด ส่วนการเขยี นเลา่ เรือ่ ง ปรากฏเฉพาะ การใช้นามวลเี พียง 1 วลี ผลการเปรียบเทียบข้อนีส้ อดคล้องกับคาํ อธิบายขา้ งต้นที่ กลา่ วว่าเดก็ ออทสิ ติกพูด คาํ นามไดม้ ากกว่าคาํ ชนิดอื่น สว่ นกริยาวลปี รากฏเฉพาะการพูดเล่าเรอ่ื ง เท่านั้น ทงั้ นเ้ี มอ่ื พิจารณาจาํ นวนวลที ่ี ปรากฏในการพดู เลา่ เร่อื งพบวา่ มกี ารใช้จํานวนวลีมากกว่าการ เขยี นเลา่ เร่ืองซ่งึ สัมพันธ์กบั วิธกี ารเริ่มต้นเรื่อง ด้วยวลที ปี่ รากฏเฉพาะการพูดเลา่ เร่อื งเท่านั้น นอกจากนี้ผลการศึกษาคร้งั นยี้ ังสอดคล้องกบั การศึกษาของ Brown & Yule (1983, อา้ งถงึ ใน ชลธิชา บํารงุ รักษ์, 2539 : 16) ทกี่ ลา่ ววา่ ภาษาพดู ประกอบด้วยประโยคที่ ไมส่ มบูรณ์คอ่ นข้างมาก
117 บางคร้งั เป็นวลที ี่อยตู่ ่อเนื่องกัน จากผลการศึกษาของ Brown & Yule ใน ขอ้ นี้จงึ น่าจะเป็นคําอธิบาย การใช้วลที ่ปี รากฏเปน็ จํานวนมากในการพูดเลา่ เร่ืองได้ การใชโ้ ครงสร้างนามวลีและกรยิ าวลที ีป่ รากฏในการพดู เลา่ เรื่องและ การ เขียนเล่าเร่ืองสรุปได้วา่ โครงสรา้ งนามวลีท่ปี รากฏในการพูดเลา่ เร่อื งคือ โครงสร้างแบบ หน่วยหลัก สว่ น โครงสร้างนามวลีท่ปี รากฏในการเขียนเล่าเร่ืองคือ โครงสร้างแบบหน่วยหลักหนว่ ยจาํ นวน ขณะท่ีโครงสรา้ ง กรยิ าวลปี รากฏเฉพาะในการพูดเล่าเรอื่ งเท่าน้นั โดยโครงสรา้ งท่ี ปรากฏ คือ โครงสรา้ งแบบหนว่ ยแกน่ 1.4 การวเิ คราะห์ประโยคและโครงสร้างประโยค จากการวิเคราะห์ประโยคและโครงสรา้ งประโยคในการพดู เลา่ เรือ่ งและการเขียน เล่าเร่ืองสรปุ ไดด้ ังน้ี 1.4.1 การวเิ คราะห์ประโยคท่ีใชใ้ นการพดู เลา่ เรอ่ื ง จากการวเิ คราะห์ประโยคที่ใช้ในการพูดเล่าเรอ่ื งพบวา่ ปรากฏจํานวน ประโยค ทัง้ สน้ิ 220 ประโยค โดยจําแนกเปน็ 3 ชนดิ คอื ประโยคสามญั ประโยคซบั ซอ้ น และ ประโยคผสม ในการพดู เลา่ เร่อื งปรากฏการใช้ประโยคสามญั มากท่สี ุด ปรากฏร้อยละ 51.37 รองลงมาคือประโยคผสม ปรากฏร้อยละ 26.36 สว่ นประโยคซับซ้อนเป็นประโยคทปี่ รากฏนอ้ ย ทส่ี ุด ปรากฏรอ้ ยละ 22.27 เม่อื นาํ ประโยคสามัญและประโยคซบั ซ้อนมาวิเคราะห์โครงสรา้ งสรปุ ได้ วา่ ในการ พดู เล่าเร่ืองปรากฏการใชโ้ ครงสรา้ งประโยคสามญั 22 รปู แบบ โครงสร้างประโยคสามัญ ท่ปี รากฏมากท่สี ดุ คือ โครงสร้างแบบกรยิ าอกรรม ปรากฏร้อยละ 35.4 รองลงมาคอื โครงสร้างแบบ ประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรม ตรง คิดเปน็ รอ้ ยละ 16.81 แบบประธาน-กริยาอกรรม ปรากฏ ร้อยละ 10.62 และแบบกริยาสกรรม-กรรมตรง ปรากฏรอ้ ยละ 7.08 ตามลาํ ดับ สว่ นโครงสรา้ งประโยคทีม่ ี ส่วนเสริมพเิ ศษกาลวลแี ละสถานวลีและโครงสรา้ ง ประโยครูปแบบอนื่ ปรากฏไม่มากนัก กล่าวคือ ปรากฏไม่ถึงรอ้ ยละ 5 ของโครงสรา้ งประโยคสามญั ท้งั หมด ส่วนการวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนสรุปได้ว่าการพูดเล่าเร่อื ง ปรากฏการใช้ โครงสร้างประโยคซบั ซ้อน 12 รปู แบบ โครงสรา้ งประโยคซับซอ้ นทป่ี รากฏมาก ทสี่ ดุ คือ โครงสร้างแบบ ประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง ปรากฏร้อยละ 26.54 รองลงมาคอื โครงสร้างแบบประธาน-กรยิ าอกรรม และแบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง ปรากฏร้อยละ 24.49 เท่ากนั ส่วนโครงสรา้ งรปู แบบอืน่ ปรากฏไมม่ ากนัก กล่าวคือปรากฏไม่ถึงรอ้ ยละ 5 1.4.2 การวเิ คราะห์ประโยคที่ใช้ในการเขยี นเล่าเรื่อง จากการวิเคราะหป์ ระโยคทใี่ ช้เขยี นเล่าเร่อื งพบว่า ปรากฏจํานวนประโยค ทั้งสน้ิ 144 ประโยค โดยจาํ แนกเปน็ 3 ชนดิ คอื ประโยคสามญั ประโยคซับซ้อน และประโยคผสม การเขยี นเล่าเร่ือง ปรากฏการใชป้ ระโยคสามัญมากที่สดุ ปรากฏร้อยละ 61.81 รองลงมาคือประโยค ซบั ซ้อน ปรากฏร้อยละ 28.47 สว่ นประโยคผสมเปน็ ประโยคทปี่ รากฏนอ้ ยทส่ี ดุ ปรากฏรอ้ ยละ 9.72 เมื่อพิจารณาโครงสร้างประโยคสามัญและโครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อน สรปุ ไดว้ า่ ใน การเขียนเลา่ เร่ืองปรากฏการใชโ้ ครงสรา้ งประโยคสามัญทั้งสิน้ 15 รปู แบบ โครงสร้าง ประโยคสามญั ทีป่ รากฏ มากท่สี ุดคือ โครงสร้างแบบกรยิ าอกรรม ปรากฏรอ้ ยละ 24.72 รองลงมาคือ โครงสร้างแบบกริยาสกรรม- กรรมตรง คิดเปน็ ร้อยละ 20.22 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง ปรากฏ ร้อยละ 16.86 และแบบ ประธาน-กริยาอกรรมปรากฏร้อยละ 12.36 ตามลาํ ดับ ส่วน โครงสรา้ งประโยคทม่ี สี ่วนเสรมิ พิเศษกาลวลแี ละ สถานวลีและโครงสร้างประโยครูปแบบอ่ืน ปรากฏไม่มากนัก กล่าวคือปรากฏไม่ถงึ ร้อยละ 5 ของโครงสรา้ ง ประโยคสามญั ท้ังหมด
118 สว่ นการวิเคราะหโ์ ครงสรา้ งประโยคซับซ้อนสรปุ ได้ว่าการเขียนเล่าเรือ่ ง ปรากฏการ ใชโ้ ครงสร้างประโยคซบั ซ้อนท้งั สิน้ 12 รูปแบบ โครงสร้างทปี่ รากฏมากที่สุดคือ โครงสร้างแบบกรยิ าสกรรม- กรรมตรง ปรากฏร้อยละ 21.94 รองลงมาคือโครงสรา้ งแบบประธาน กรยิ าสกรรม-กรรมตรงและแบบกาลวลี- กรยิ าสกรรม-กรรมตรง ปรากฏรอ้ ยละ 14.63 เทา่ กนั และ โครงสรา้ งแบบประธาน-กริยาทวกิ รรม-กรรมตรง ปรากฏรอ้ ยละ 12.19 ตามลําดบั สว่ นโครงสร้าง รปู แบบอ่ืนปรากฏไม่มากนัก 1.4.3 การเปรียบเทียบประโยคทใ่ี ชใ้ นการพูดเล่าเร่ืองและการเขียนเล่าเรื่อง จากการเปรียบเทยี บจาํ นวนประโยคทป่ี รากฏในการพูดเล่าเรอื่ งและ การเขยี นเล่า เรอ่ื งพบว่า การพดู เล่าเร่ืองปรากฏการใช้จํานวนประโยคมากกวา่ การเขยี นเลา่ เร่อื ง กล่าวคอื การพูดเลา่ เรื่อง ปรากฏจํานวนประโยคทง้ั สนิ้ 220 ประโยค สว่ นการเขียนเล่าเรือ่ งปรากฏ จาํ นวนประโยคทง้ั สน้ิ 144 ประโยค เมอ่ื พจิ ารณาการใช้ประโยคชนิดตา่ งๆ ท่ีปรากฏในการพูดเล่าเร่อื งและ การเขียนเล่า เรอ่ื งสรุปไดว้ ่า วิธกี ารเลา่ เรื่องทั้งสองรูปแบบปรากฏการใชป้ ระโยคสามญั เลา่ เร่ืองมาก ที่สดุ ผลการศกึ ษาข้อน้ี สอดคล้องกบั ผลการศกึ ษาของวีนา พรรุง่ สรุ ิยะพันธ์ (2533) ทศ่ี ึกษาลักษณะ โครงสรา้ งประโยคของหนังสอื ร้อยแกว้ สําหรับเด็กไทย เบญจมาศ เลื่องเลิศ (2537) ท่ศี ึกษา โครงสรา้ งวลีและประโยคในภาษาไทยของเดก็ กะเหรี่ยงโป และเกยี รตชิ ัย เดชพิทักษ์ศิริกุล (2551) ทีศ่ ึกษาเปรยี บเทียบโครงสร้างวลี ประโยค และสัมพัน ธสารของเด็กปกตแิ ละเด็กออทิสตกิ จงึ อาจ กล่าวได้วา่ การทป่ี รากฏการใชป้ ระโยคสามัญมากกว่าประโยคชนดิ อนื่ ๆนา่ จะเปน็ ลกั ษณะการใช้ ภาษาของเดก็ ในช่วงวัย 3-9 ปี เมอ่ื เปรยี บเทยี บโครงสร้างประโยคสามญั ที่ปรากฏในการพูดเล่าเรอ่ื งและ ในการ เขยี นเล่าเรอื่ งสรุปได้วา่ การพูดเลา่ เรอื่ งปรากฏโครงสร้างประโยคสามัญมากกวา่ การเขียน เล่าเร่อื ง โดยการพูด เลา่ เร่ืองปรากฏโครงสรา้ งประโยคสามัญทง้ั สิน้ 22 รูปแบบ นอกจากนีย้ งั พบว่า โครงสร้างประโยคสามญั ที่ ปรากฏมากที่สุดในการพูดเล่าเร่ืองและการเขียนเล่าเรื่องคือ โครงสรา้ ง แบบกริยาอกรรมเหมอื นกนั ผล การศกึ ษาข้อนีไ้ มส่ อดคลอ้ งกับการศึกษาของเกียรตชิ ยั เดชพทิ ักษ์ศริ ิกลุ (2551) กล่าวคอื จากผลการศึกษาของ เกียรติชัยแสดงให้เหน็ วา่ โครงสรา้ งประโยค สามัญท่ปี รากฏมากทส่ี ดุ ในการพดู เลา่ เรอ่ื งของเด็กออทิสติกคอื โครงสร้างแบบนามเดี่ยว ผู้วจิ ยั สนั นษิ ฐานว่าสาเหตทุ ่ผี ลการศกึ ษาครงั้ นไ้ี มส่ อดคล้องกับผลการศกึ ษาของ เกยี รตชิ ยั อาจเปน็ เพราะ วธิ กี ารลงทา้ ยเร่ืองในการพูดเลา่ เร่ืองของเด็กออทสิ ติกปรากฏการใชว้ ลีเพ่อื ยุติเรื่อง เล่าเปน็ จาํ นวน มาก เช่น จบแลว้ หมดแล้ว ซง่ึ วลีเหล่านีท้ ําหนา้ ท่เี ป็นประโยคเม่ือปรากฏในเร่ืองเลา่ โดยมี โครงสรา้ งแบบกริยาอกรรม ส่วนการเขียนเล่าเรอ่ื งนั้นภาพท่ผี ู้วิจัยกําหนดให้เด็กเขยี นเล่าเรอื่ งเป็น ภาพที่ เกี่ยวข้องกับชวี ติ ประจาํ วนั และสงิ่ แวดล้อมใกลต้ ัวเด็ก ดังน้ันจึงปรากฏประโยคที่เกี่ยวข้องกับ กิจวตั รประจําวัน ซง่ึ ส่วนใหญ่มีคํากริยาอกรรมเป็นจํานวนมาก เช่น อาบนํา้ แปรงฟัน นอน เป็นตน้ อีกทัง้ ผ้วู จิ ัยพบวา่ เด็กออทิ สตกิ คนหนงึ่ มักเลา่ เรื่องโดยใช้ คํากริยาอกรรมดังกล่าวดาํ เนินเหตุการณ์ ซํา้ ไปมา รวมท้ังอาจเป็นไปได้ว่า เคร่ืองมอื ทผี่ วู้ จิ ัยใช้เกบ็ ขอ้ มูลคือรูปภาพซงึ่ รายละเอยี ดของภาพนนั้ จะแสดงให้เห็นตัวละครรวมทั้งเหตกุ ารณ์ หรอื เรอื่ งราวในภาพทําให้เด็กสามารถเชื่อมโยงความคดิ จากประสบการณเ์ ดิมของตนเองแล้วถ่ายทอด เร่ืองราวออกมาเป็นประโยคได้ ขณะที่การศกึ ษาของ เกียรติชัยใชก้ ารกําหนดหัวข้อเรือ่ งแล้วให้เดก็ เลา่ เร่ือง จากหวั ขอ้ ดงั กลา่ วจึงอาจทาํ ใหเ้ ด็กไม่มีสอ่ื ที่ สามารถเช่ือมโยงความคดิ ได้ ทาํ ให้ถ่ายทอดภาษาออกมาไดจ้ าํ กัด กวา่ ภาษาท่ถี ่ายทอดออกมาจึง ปรากฏในลักษณะโครงสร้างประโยคแบบนามเดยี่ วซึง่ เปน็ ชนิดคําท่ีเดก็ ออทิ สติกพดู ไดม้ ากทส่ี ดุ
119 สว่ นโครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนสรุปไดว้ า่ การพูดเล่าเร่อื งและการเขียน เลา่ เร่อื ง ปรากฏโครงสร้างประโยคซับซอ้ นจํานวน 12 รูปแบบเท่ากัน แต่มรี ปู แบบโครงสร้าง ตา่ งกัน นอกจากน้ียงั พบว่าวธิ ีการเลา่ เรื่องทง้ั สองรูปแบบปรากฏโครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อน แตกต่างกัน โดยโครงสร้างที่ปรากฏมาก ที่สุดในการพดู เลา่ เรื่องคือ โครงสร้างแบบประธาน-กรยิ า สกรรม-กรรมตรง ส่วนโครงสร้างแบบกรยิ าสกรรม- กรรมตรงเปน็ โครงสรา้ งทีป่ รากฏมากท่ีสุดใน การเขยี นเล่าเรอื่ ง จากผลการศึกษาข้อ 1.1 การวเิ คราะหก์ ารออกเสยี งและการเขียนสะกดคํา จะเหน็ ไดว้ ่าการออกเสยี งและการเขียนสะกดคําสว่ นใหญข่ องเดก็ ออทิสตกิ มีความสัมพันธก์ นั ผลการศึกษาข้อน้ี สอดคล้องกบั สมมติฐานข้อท่ี 1 ท่ีผวู้ จิ ยั ต้งั ไว้ว่าการออกเสยี งและการเขียนสะกดคํา สว่ นใหญข่ องเด็กออทสิ ติก มีความสมั พันธก์ ัน นอกจากนีเ้ ม่ือพจิ ารณาผลการศกึ ษาเปรียบเทยี บคํา วลี และประโยคที่ ปรากฏใน การพูดเลา่ เร่ืองและการเขยี นเล่าเรอื่ งพบวา่ การพูดเล่าเรอื่ งปรากฏจาํ นวนคาํ วลี และ ประโยคมากกว่าการ เขียนเลา่ เรอ่ื งรวมทงั้ มรี ปู แบบโครงสรา้ งประโยคมากกว่า แตม่ ีรูปแบบ โครงสรา้ งนามวลีทีต่ ่างกันในจาํ นวน เทา่ กัน อย่างไรกต็ ามการพูดเลา่ เรอ่ื งยังปรากฏโครงสรา้ ง กรยิ าวลีอีก 1 รปู แบบดว้ ย ผลการศึกษาข้อนี้ สอดคล้องกับสมมตฐิ านข้อที่ 2 และ 3 ทผ่ี ู้วจิ ัยตั้งไว้ว่า เด็กออทิสติกใช้จํานวนคํา วลี และประโยคในการเขียน นอ้ ยกวา่ การพูด และเดก็ ออทิสตกิ ใช้ รูปแบบโครงสร้างวลีและประโยคในการเขียนน้อยกวา่ การพดู 1.5 การวิเคราะห์สัมพนั ธสาร จากการวิเคราะห์สัมพนั ธสารในการพูดเล่าเร่อื งและการเขียนเล่าเรือ่ งสรปุ ได้ดังนี้ 1.5.1 การวิเคราะห์สัมพนั ธสารในการพูดเล่าเรอ่ื ง การเรมิ่ ต้นเรื่องและการลงท้ายเรอ่ื งสรปุ ได้ว่า วธิ กี ารเรม่ิ ตน้ เรอื่ งทป่ี รากฏ ในการพูด เลา่ เรื่องมี 6 วธิ ี การเริม่ ต้นด้วยการกล่าวถงึ ตัวละครปรากฏมากทส่ี ดุ ปรากฏร้อยละ 39.28 รองลงมาคือการ เริ่มตน้ ด้วยคํากรยิ า “ม”ี ตามด้วยตัวละคร ปรากฏรอ้ ยละ 21.43 การเรมิ่ ต้นดว้ ยวลี ตามดว้ ยตัวละครหรอื เหตุการณ์ ปรากฏร้อยละ 17.86 การเรมิ่ ตน้ ด้วยกาลวลตี ามดว้ ยตัวละครหรอื เหตุการณ์ ปรากฏรอ้ ยละ 14.29 สว่ นการเรมิ่ ตน้ ดว้ ยคาํ ว่า “แบบว่า” ตามดว้ ยตัวละครและ การเริ่มต้นด้วยประโยคคาํ ถามปรากฏน้อย ท่สี ดุ โดยปรากฏรอ้ ยละ 3.57 เทา่ กัน การวเิ คราะห์การเช่อื มโยงความสรุปได้ว่า การเช่ือมโยงความท่ปี รากฏใน การพดู เลา่ เรอื่ งมี 4 ประเภท ไดแ้ ก่ การอา้ งถึง การใชค้ ําเชื่อม การซํ้า และการเช่ือมโยงคาํ ศัพท์ การเชอ่ื มโยงความท่ี ปรากฏมากทีส่ ุดคือ การซา้ํ ปรากฏร้อยละ 43.45 รองลงมาคือการใชค้ าํ เชื่อม ปรากฏร้อยละ 24.92 การอ้าง ถงึ ปรากฏร้อยละ 20.28 และการเชอ่ื มโยงคําศัพท์ปรากฏนอ้ ยทส่ี ุด โดยปรากฏรอ้ ยละ 11.35 เมือ่ พิจารณา การเชื่อมโยงความตามประเภทย่อยพบวา่ ปรากฏ การเช่ือมโยงความดว้ ยการซาํ้ รูปมากทส่ี ดุ โดยปรากฏร้อย ละ 39.29 ของการเชือ่ มโยงความทัง้ หมด รองลงมาคือการอา้ งถึงหนว่ ยนาม การใช้คาํ เช่อื มเพ่ือแสดง ความสัมพันธแ์ บบคล้อยตาม และการ ใช้คาํ ทสี่ ัมพนั ธ์กันหรือคาํ ที่เขา้ คู่กัน ปรากฏร้อยละ 19.68 12.02 และ 6.38 ตามลําดบั ส่วนวธิ ีการ เช่อื มโยงความประเภทอ่นื ปรากฏไม่มากนัก 1.5.2 การวิเคราะหส์ มั พันธสารในการเขียนเล่าเร่ือง การเร่มิ ตน้ เรื่องและการลงท้ายเรอื่ งสรุปไดว้ า่ วธิ ีการเริ่มต้นเรือ่ งทป่ี รากฏ ในการ เขยี นเล่าเรอ่ื งมี 6 วธิ ี การเริม่ ตน้ ดว้ ยการกล่าวถงึ ตัวละครปรากฏมากท่ีสุด ปรากฏรอ้ ยละ39.28 รองลงมาคือ การเรม่ิ ต้นด้วยกาลวลีตามดว้ ยตัวละครหรอื เหตุการณ์ ปรากฏรอ้ ยละ 25 การเร่ิมต้นด้วยคํากริยา “มี” ตาม ด้วยตัวละคร ปรากฏรอ้ ยละ 17.86 การเริม่ ต้นดว้ ยกรยิ าวลบี รรยาย เหตกุ ารณ์ของเร่ืองและการเร่ิมต้นดว้ ย
120 สถานวลีตามด้วยตวั ละครหรือเหตุการณ์ ปรากฏรอ้ ยละ 7.14 เทา่ กนั ส่วนการเริ่มต้นด้วยนามวลปี รากฏนอ้ ย ท่ีสดุ โดยปรากฏร้อยละ 3.57 การวิเคราะห์การเชอื่ มโยงความสรุปไดว้ า่ การเช่ือมโยงความทป่ี รากฏใน การเขียน เล่าเรื่องมี 5 ประเภท ไดแ้ ก่ การอ้างถึง การละ การใช้คําเชอ่ื ม การซํ้า และการเช่ือมโยง คาํ ศัพท์ การเชื่อมโยง ความที่ปรากฏมากทีส่ ดุ คอื การซ้ํา ปรากฏรอ้ ยละ 34.61 รองลงมาคอื การอ้าง ถึง ปรากฏร้อยละ 27.91 การ เชอ่ื มโยงคาํ ศัพท์ ปรากฏร้อยละ 22.65 การใช้คาํ เช่ือม ปรากฏรอ้ ยละ 12.92 และการละปรากฏนอ้ ยที่สุด โดยปรากฏร้อยละ 1.91 เม่ือพจิ ารณาการเชอ่ื มโยงความตาม ประเภทย่อยพบวา่ ปรากฏการเช่ือมโยงความ ดว้ ยการซาํ้ รปู มากทสี่ ดุ โดยปรากฏร้อยละ 30.47 ของ การเช่อื มโยงความท้ังหมด รองลงมาคือการอ้างถึง หนว่ ยนาม และการใช้คําทส่ี มั พนั ธ์กนั หรอื คําท่ี เข้าคู่กัน ปรากฏร้อยละ 27.91 และ 11.64 ตามลาํ ดับ ส่วน วิธกี ารเชอ่ื มโยงความประเภทอ่นื ปรากฏ ไม่มากนกั 1.5.3 การเปรยี บเทยี บสัมพันธสารในการพูดเล่าเร่ืองและการเขียนเลา่ เรอื่ ง จากการเปรยี บเทยี บสัมพนั ธสารในการพูดเลา่ เร่ืองและการเขียนเลา่ เรื่อง พบว่า วธิ ีการเล่าเรอ่ื งท้งั สองรปู แบบปรากฏวิธีการเริม่ ต้นเร่ืองด้วยการกล่าวถงึ ตัวละครมากทส่ี ดุ เหมอื นกนั ส่วนผล การลงท้ายเรื่องจากวธิ กี ารเล่าเรอื่ งทัง้ สองรูปแบบพบวา่ การลงทา้ ยด้วยการใช้วลี ยุติเรอ่ื งเลา่ ปรากฏมากท่ีสุด ในการพูดเล่าเรือ่ งแต่ไมป่ รากฏในการเขยี นเล่าเรื่อง ส่วนในการเขยี นเล่า เรอ่ื งการลงท้ายดว้ ยการแสดงบทสรปุ ของเหตุการณ์ในเร่อื งเปน็ วธิ ีท่ีปรากฏมากท่ีสุดโดยไมป่ รากฏ ในการพดู เล่าเรื่องเช่นกนั การเปรยี บเทยี บการเชื่อมโยงความในการพูดเล่าเรื่องและการเขยี น เลา่ เร่ืองสรปุ ได้ วา่ วิธกี ารเล่าเรอ่ื งทัง้ สองรปู แบบปรากฏกลวธิ กี ารเช่อื มโยงความรว่ มกนั 4 ประเภท ได้แก่ การอ้างถึง การใช้ คาํ เช่อื ม การซ้าํ และการเชื่อมโยงคําศัพท์ ซงึ่ วิธกี ารซํา้ เปน็ วธิ ีการเชื่อมโยง ความท่ีวธิ กี ารเลา่ เรื่องทัง้ สอง รูปแบบปรากฏมากท่สี ดุ เหมือนกัน เมื่อเปรยี บเทยี บค่าร้อยละของการ เชอ่ื มโยงความแต่ละประเภทพบวา่ การ พดู เลา่ เรอื่ งปรากฏการใชค้ าํ เชื่อมและการซ้ํามากกวา่ การ เขียนเล่าเรอ่ื ง สว่ นการเขียนเล่าเรือ่ งปรากฏการ เชอ่ื มโยงคําศัพท์และการอา้ งถึงมากกวา่ การพดู เล่า เรื่อง แต่เมื่อพิจารณาจากจํานวนการเชอื่ มโยงความแต่ละ ประเภทพบว่าการพูดเล่าเรื่องจะปรากฏ จํานวนการเช่อื มโยงความทุกประเภทที่ปรากฏร่วมกนั มากกวา่ การ เขียนเลา่ เร่อื ง สว่ นการละเป็น วธิ กี ารเชอื่ มโยงความทป่ี รากฏเฉพาะการเขยี นเลา่ เรื่องเทา่ นัน้ ซึง่ สัมพันธก์ ับ วิธีการเรมิ่ ตน้ เร่ืองดว้ ย กริยาวลีบรรยายเหตกุ ารณข์ องเร่ืองทปี่ รากฏเฉพาะการเขียนเลา่ เร่อื ง เนื่องจากเมื่อเด็ก เริม่ ต้นเร่อื ง
121 2. อภปิ รายผลการวิจัย จากการศึกษาเปรยี บเทยี บภาษาทใี่ ชใ้ นการพดู เล่าเร่ืองและการเขยี นเลา่ เร่ืองพบประเด็นท่ี นา่ สนใจ ดงั นี้ 2.1 จากผลการศึกษาเปรยี บเทียบการใช้คําของเด็กออทสิ ติกท่ปี รากฏในการพูดเลา่ เรอ่ื งและ การ เขียนเลา่ เรื่องพบว่าในการพูดเลา่ เร่ืองปรากฏชนิดคํามากกวา่ ในการเขียนเล่าเรื่อง 2 ชนดิ ได้แก่ คําพิเศษ และ คําอุทาน คําทัง้ สองชนดิ น้ีไม่ปรากฏในการเขียนเล่าเรอ่ื ง อาจเปน็ เพราะคาํ ทัง้ สองชนดิ เป็นคาํ ท่ีเอ้อื ต่อการพูด มากกวา่ การเขียน โดยเฉพาะคําอุทานเนอ่ื งจากเปน็ คําทเ่ี ปลง่ เสียงออกมาเพ่ือ แสดงอารมณค์ วามรู้สึกต่างๆ นอกจากน้ีเมื่อพจิ ารณาข้อบกพร่องด้านการใช้คาํ ของเด็กออทสิ ติก แลว้ พบว่าในการพูดเล่าเรอื่ งปรากฏ ข้อบกพร่องด้านการใชค้ ํามากกวา่ การเขียนโดยเฉพาะด้านการ ใช้คาํ ไม่คงทซ่ี ่ึงอาจมีผลมาจากความสบั สนของ เดก็ เนื่องจากการเล่าเรือ่ งดว้ ยการพูดเปน็ วิธกี าร สื่อสารท่ไี ม่สามารถย้อนกลบั ไปตรวจสอบสิง่ ท่ีพูดไปแล้วได้ ดังนั้นจึงปรากฏการใชค้ าํ ทมี่ ีหนา้ ที่ และความหมายอย่างเดียวกันแตเ่ ป็นคนละคาํ ในข้อความเดียวกนั สลบั ไป มา ขณะที่ไมป่ รากฏ ข้อบกพร่องชนิดนใี้ นการเขียนเล่าเรอ่ื งซึง่ อาจมีสาเหตมุ าจากการเล่าเร่อื งดว้ ยการเขียน เปน็ วิธีการ ส่ือสารท่สี ามารถย้อนกลบั ไปตรวจสอบส่ิงทเี่ ขียนไปแล้วได้ 2.2 จากผลการศึกษาเปรยี บเทยี บการใชว้ ลีของเดก็ ออทิสติกที่ปรากฏในการพูดเล่าเรอ่ื ง และการ เขียนเลา่ เรื่องพบวา่ การพดู เล่าเรื่องปรากฏท้งั นามวลแี ละกริยาวลีจํานวน 20 วลี ขณะที่ใน การเขียนเลา่ เรื่อง ปรากฏนามวลีเพยี ง 1 วลี อาจกล่าวไดว้ ่าการปรากฎวลีซงึ่ ไมม่ คี วามสมั พนั ธใ์ ดกับ ประโยคกอ่ นหน้าหรอื ประโยคหลังในข้อความเดียวกันเป็นจาํ นวนมากในการพดู เล่าเรื่อง มีสาเหตุ มาจากการเลา่ เร่ืองด้วยการพูด เปน็ วิธีทตี่ อ้ งดาํ เนินอย่างต่อเนือ่ งภายใตก้ ําหนดเวลา บางครง้ั เด็กอาจ ไม่สามารถเรียบเรียงความคดิ แลว้ ถ่ายทอดออกมาเปน็ คําพูดได้อย่างสมบรู ณ์ทันที อกี ท้ังยังไม่ สามารถย้อนกลับไปตรวจสอบแก้ไขได้ นอกจากนี้ ยังอาจมีผลมาจากพัฒนาการดา้ นการสอื่ สารของ เด็กออทิสตกิ ที่มักมีปัญหาด้านการเรียบเรยี งถ้อยคาํ รจนา ทรรทรานนท์, 2528 : 44) ดง้ั นนั้ จะเห็น วา่ เมื่อเร่ิมตน้ เล่าเร่ือง เด็กออทิสตกิ บางคนจะใช้วลีหลายวลีตอ่ กัน กอ่ นที่จะใช้ประโยคในการเล่า เรอ่ื ง เช่น “ชอื่ กเ็ ขา ตา ตายาย แล้ว แลว้ เดก็ กส็ องคนก็มากิน\" หรือขณะท่ีเดก็ ใช้ประโยคเล่าเรอ่ื ง กจ็ ะใชว้ ลีแทรกอยูร่ ะหวา่ งประโยคดว้ ย เชน่ “ทาํ ไมคนน้ีเป็นผชู้ ายแตถ่ กั เปีย เอากุง้ มา อัน น้เี ปน็ ผูช้ ายหรือว่าผูห้ ญงิ ” ดังน้ันด้วยขอ้ จาํ กัดของวิธกี ารส่ือสารรวมทง้ั ความผดิ ปกติของกระบวนการ ส่ือสาร ทีอ่ าจมีผลมาจากความผดิ ปกตขิ องสมองของเดก็ ออทิสติกบางคนจงึ ทําให้เด็กออทิสติก เรยี บเรียงถ้อยคําและ ใชว้ ลีพูดเลา่ เร่อื งเป็นจาํ นวนมากกวา่ ขณะทีก่ ารเล่าเร่ืองด้วยการเขียนน้ันเปน็ วิธีท่ีสามารถใช้เวลาคดิ ได้มากกว่าและมีโอกาส ยอ้ นกลับไป ตรวจสอบส่งิ ทีเ่ ขยี นและแก้ไขได้ จงึ ทําให้การเขยี นเลา่ เร่ืองปรากฏนามวลีเพยี ง 1 วลี เท่านั้น แสดงใหเ้ ห็นวา่ แม้เด็กออทสิ ตกิ กลุ่มตัวอย่างบางคนจะมีข้อบกพร่องด้านการเรียบเรยี ง ถ้อยคําเพ่ือสื่อ ภาษาพูดแต่เมือ่ มเี วลาใชก้ ระบวนการเรียบเรียงความคิด เดก็ กส็ ามารถสอื่ ภาษาเขียน ออกมาได้ค่อนขา้ ง สมบูรณใ์ กล้เคียงกบั เดก็ ปกติ 2.3 จากผลการศึกษาเปรียบเทียบการใชป้ ระโยคของเด็กออทสิ ติกในการพดู เล่าเรื่องและ การเขยี น เล่าเรื่องพบวา่ จาํ นวนประโยคทกุ ชนดิ ปรากฏในการพดู เล่าเรอื่ งมากกวา่ การเขียนเลา่ เรื่อง ท้งั นอี้ าจมีผลมาจากพฒั นาการดา้ นภาษาของเดก็ ซ่ึงลขิ ติ กาญจนาภรณ์ (2548 : 33,72) กล่าวว่า เดก็ ระดับประถมศึกษาตอนตน้ คือ เด็กท่ีอยู่ในชว่ งอายุระหวา่ ง 7-9 ปี จะชอบพูดมากกวา่ เขียน ท้งั น้ี อาจเป็นไป ไดว้ า่ ทักษะการเขยี นเป็นทักษะท่ีมีขัน้ ตอนซับซ้อนกว่าการพูด กลา่ วคือ การเขียนต้องใช้ กระบวนการคิดและ เรยี บเรียงขอ้ มูลรวมทง้ั ต้องใช้การจดจาํ การประกอบรูปคําจากตัวอักษร จากน้ัน ต้องนํากระบวนการดังกล่าว มาถา่ ยทอดดว้ ยการใชม้ อื เขียนตวั อักษร ขณะท่ีเขียนกต็ อ้ งใชส้ ายตาใน การรบั ร้ตู ัวอักษรต่างๆท่เี ขียนดว้ ย
122 กระบวนการดังกลา่ วใช้ระบบประสาททํางานรว่ มกันหลายอย่าง ขณะทวี่ ิธีการพดู ใชเ้ พยี งการเรยี บเรยี งความ คดิ แล้วเปลง่ เสียงพูด ดงั น้นั การพูดจงึ เป็นวธิ กี ารส่อื สาร ที่สามารถทําได้ง่ายกว่า จงึ อาจทําใหเ้ ดก็ ออทิสติกกลุม่ ตวั อย่างถา่ ยทอดเรื่องราวดว้ ยการใช้ประโยค ชนดิ ตา่ งๆ ในการพดู เลา่ เร่ืองมากกว่าในการเขียนเล่าเรอ่ื งซ่ึง สัมพนั ธก์ ับจํานวนคําและจาํ นวนการ เชื่อมโยงความท่ปี รากฏในการพูดมากกวา่ การเขยี นดว้ ย นอกจากน้ีเมื่อพิจารณาประโยคชนดิ ตา่ งๆ ในการพูดและการเขยี นพบวา่ การพูดเล่าเรื่องมี ประโยค ผสมปรากฏมากเป็นลาํ ดบั ทส่ี องรองจากประโยคสามัญ ส่วนการเขียนเล่าเรื่องมีประโยค ผสมปรากฏเป็นลาํ ดบั สดุ ทา้ ย และเมื่อเปรยี บเทียบคา่ ร้อยละการใช้ประโยคผสมจากวิธกี ารเล่าเร่ือง ท้ังสองรปู แบบพบว่ามีความ แตกต่างกันมาก ผลการศึกษาขอ้ นส้ี อดคล้องกับการใช้คําเช่ือมท่ีแสดง ความสัมพันธ์แบบคล้อยตามซงึ่ ปรากฏ เปน็ จาํ นวนมากในการพดู เล่าเร่อื งจึงทําให้จํานวนประโยค ผสมปรากฏเป็นจํานวนมากในการพูดเล่าเร่ือง เชน่ กัน ในทางกลับกนั คาํ เชื่อมประเภทดังกลา่ ว ปรากฏในการเขียนเล่าเรื่องเป็นจาํ นวนน้อยจงึ ทาํ ใหจ้ าํ นวน ประโยคผสมในการเขยี นเล่าเรือ่ ง ปรากฏเปน็ จํานวนน้อยด้วย นอกจากน้เี มื่อพิจารณาลักษณะท่ีแตกต่างกนั ระหวา่ งภาษาพูดและภาษา เขียนตามการศกึ ษาของ Brown & Yule (1983, อ้างถึงใน ชลธชิ า บาํ รุงรักษ์, 2539 : 17) พบวา่ ภาษา พดู มักพบคาํ เชื่อมทั่วไป ได้แก่ and, but, then มากกวา่ ภาษาเขยี น ดงั น้ันคําเชือ่ มท่ี แสดง ความสัมพันธ์แบบคล้อยตาม เช่น คําว่า “แลว้ ” “แลว้ ก”็ ในการศึกษาครง้ั น้จี งึ ปรากฏในการพดู เลา่ เรื่องมากกว่าการเขียนเล่าเร่ืองเน่ืองจากลักษณะทีแ่ ตกตา่ งกนั ระหวา่ งภาษาท่ใี ช้ในการพูดและภาษา ท่ีใช้ใน การเขียนตามที่กลา่ วไว้ 2.4 จากผลการศึกษาเปรียบเทียบสมั พนั ธสารของเด็กออทิสตกิ ท่ีปรากฏในการพูดเลา่ เร่ือง และการ เขียนเล่าเรื่องพบวา่ วธิ กี ารเรมิ่ ต้นเรือ่ งทั้งการพดู เลา่ เรือ่ งและการเขียนเลา่ เร่ืองปรากฏวธิ ีการ เริม่ ต้นดว้ ยการกล่าวถึงตวั ละครมากท่สี ดุ ผลการศกึ ษาข้อน้นี า่ จะมีสาเหตุมาจากเครือ่ งมือที่ใช้ใน การเกบ็ ข้อมูลคอื แผ่นภาพ ซง่ึ แผ่นภาพส่วนใหญจ่ ะมรี ูปคนและสัตวท์ ่ีเอ้ือต่อการเร่มิ ตน้ เร่ืองด้วย การกลา่ วถงึ ตัวละคร นอกจากน้ีเม่ือพจิ ารณาการเริ่มตน้ เรอื่ งดว้ ยวิธอี ่ืนพบว่า วธิ ีการเริ่มต้นเรื่องด้วยคาํ วา่ “แบบว่า” ตาม ดว้ ยตวั ละคร การเริม่ ต้นดว้ ยประโยคคําถาม และการเรม่ิ ต้นด้วยวลตี ามดว้ ยตวั ละคร หรอื เหตกุ ารณ์ ปรากฏ เฉพาะการพูดเล่าเรื่องเทา่ น้นั ท้งั น้ีอาจเป็นเพราะคําวา่ “แบบวา่ ” เป็นลกั ษณะ ของภาษาทใี่ ชใ้ นการพูด การ เรม่ิ ต้นด้วยประโยคคําถามเป็นวิธกี ารใชภ้ าษาพดู แบบมคี สู่ นทนา สว่ น การเร่มิ ตน้ ดว้ ยวลีตามดว้ ยตวั ละครหรือ เหตกุ ารณน์ นั้ เป็นวธิ ีการเริ่มต้นเรอื่ งทยี่ ังไมส่ มบูรณเ์ พราะ วลดี ังกล่าวไม่ไดแ้ สดงความสัมพันธด์ ้านเนอ้ื หาของ เรื่องกับประโยคทต่ี ามมา ทัง้ นอี้ าจมผี ลมาจาก การเล่าเรื่องดว้ ยการพดู เปน็ วิธที ี่ต้องดาํ เนนิ อยา่ งต่อเน่ือง ภายใต้กาํ หนดเวลา ตามท่ีได้กลา่ วไว้แล้ว ในขอ้ 2.2 จึงทาํ ใหป้ รากฎการเรมิ่ ต้นเรือ่ งด้วยวิธนี ้เี ฉพาะการพูดเลา่ เรอ่ื งเท่านั้น เม่อื เปรยี บเทียบวิธกี ารลงทา้ ยเร่อื งในการพดู เลา่ เรื่องและการเขียนเลา่ เรือ่ งพบวา่ วธิ กี าร ลงทา้ ยเรอ่ื ง ดว้ ยการใช้วลเี พ่อื ยตุ เิ รื่องเล่าปรากฏเฉพาะการพดู เป็นจํานวนมากอยา่ งเห็นไดช้ ดั แต่ไม่ปรากฏการลงทา้ ยเรื่อง ด้วยวธิ ีนี้ในการเขียนเล่าเรือ่ งเลย ทั้งนอี้ าจมีผลมาจากการเลา่ เรอื่ งด้วย การพดู เปน็ วธิ ีการสื่อสารท่ีมคี ูส่ นทนา ดังน้นั เดก็ จึงอาจใชก้ ารลงท้ายเรือ่ งด้วยวธิ นี เี้ พ่ือส่ือสารให้ ผู้วจิ ัยทราบได้ชดั เจนวา่ ตนเลา่ เรอ่ื งนนั้ ๆจบแล้ว และ พรอ้ มจะเล่าเร่ืองต่อไป ด้านการเชอื่ มโยงความท่ีปรากฏในการพดู เล่าเรอื่ งและการเขยี นเลา่ เรอื่ งพบว่ามีขอ้ สังเกตท่ี นา่ สนใจ คือ การพูดเลา่ เร่ืองนอกจากเด็กออทสิ ติกจะใช้การเชอ่ื มโยงความดว้ ยการซา้ํ เช่นเดยี วกับที่ ปรากฏในการเขียน เล่าเรื่องแลว้ ยงั ปรากฏการซาํ้ ที่แสดงข้อบกพร่องในการพูดของเด็กออทิสติก ด้วยซ่ึงการซาํ้ ลักษณะน้มี ีลักษณะ การพดู ซ้ําๆแบบติดอ่าง โดยปรากฏทั้งการซ้ํารูปคาํ วลี และ ประโยคถึง 157 คร้ัง ลกั ษณะการพดู ซา้ํ ดังกล่าว สอดคลอ้ งกับลักษณะทางภาษาของเด็กออทิสติกท่ี มักมกี ารพูดซ้าํ ซาก หรอื พูดวกไปวนมา (เพญ็ แข ลมิ้ ศลิ า,
123 2540 : 17-19, อา้ งถึงใน ศรเี รือน แก้วกังวาล, 2543 : 218) รวมทั้งมกั พูดเลียนแบบ (Echolalia) การพูด เลยี นแบบมีท้ังทง้ั การพดู ตาม ทนั ทที ่ีได้ยินคาํ พดู น้ันๆ หรอื พูดตามในระยะเวลาท่ีไม่ห่างจากเมื่อไดย้ ินคําพูด (Immediate echolalia) และการพูดตามสิ่งท่ไี ดย้ ินภายหลัง เมอื่ ผ่านเหตกุ ารณ์นนั้ ไปแล้วเปน็ เวลานาน (Delayed echolalia) (รจนา ทรรทรานนท์, 2528 : 44) ลกั ษณะการพูดเลยี นแบบบ่อยๆ เมือ่ ได้ยินเสียงจึง อาจ ส่งผลให้เด็กออทิสตกิ มักออกเสียงตามเสยี งท่ีได้ยินรวมทัง้ การออกเสียงของตนเองซา้ํ ๆดว้ ย ลักษณะทาง ภาษาท่ีบกพร่องดงั กลา่ วอาจมผี ลมาจากปญั หาทางอารมณ์ ปญั หาทางระบบประสาท และสาเหตุดา้ นการ เรยี นรู้ (ศรเี รอื น แกว้ กังวาล, 2543 : 309, 310) อาจกลา่ วไดว้ า่ การพูดซา้ํ ๆเชน่ น้ี เป็นลักษณะของความ ผดิ ปกติทางการพูดของเด็กออทสิ ตกิ กล่มุ ตวั อย่างที่ปรากฏเด่นชัด ซง่ึ ลกั ษณะการใช้รูปภาษาซ้ําเชน่ นี้จะไม่ ปรากฏในการเขียนเล่าเรือ่ ง เนอื่ งจากเป็นความผิดปกติทีป่ รากฏเฉพาะ การพดู เท่านน้ั อนงึ่ ผู้วิจัยสงั เกตว่าข้อความที่ปรากฏในวิธีการเลา่ เรอ่ื งท้งั สองรูปแบบของเดก็ ออทสิ ตกิ ไม่ใชข่ ้อความ แบบสมั พันธสารทั้งหมด แต่เปน็ การนาํ ประโยคหลายๆประโยคมาเรียงต่อกนั เท่านนั้ ผลการศึกษาในข้อ 2.1 - 2.4 แสดงให้เห็นว่าความแตกตา่ งระหวา่ งวธิ ีการสอื่ สารด้วยการ พูดและ วธิ ีการสอ่ื สารดว้ ยการเขยี นสง่ ผลตอ่ การใช้ภาษาเรื่องเลา่ ของเดก็ ออทสิ ติก 2.5 จากผลการศึกษาด้านการใช้คําบุพบทของเดก็ ออทสิ ตกิ ในการพูดเล่าเร่ืองและการเขียน เลา่ เรือ่ ง พบวา่ ไม่สอดคล้องกับคําอธบิ ายของรจนา ทรรทานนท์ (2528: 43-49, อา้ งถึงใน ศรีเรือน แก้วกงั วาล, 2543 : 226) ท่ีกล่าววา่ เดก็ ออทสิ ติกมีปัญหาในการใช้คําเชื่อมประเภทคุณศัพท์ และคาํ บุพบทต่างๆ เดก็ ออทสิ ติกอาจ ไมเ่ ขา้ ใจหรอื มีความสบั สนในการเลอื กใชค้ าํ เหลา่ นี้ เช่น พูดวา่ “วาง แก้วในโตะ๊ ” แทนการพดู วา่ “วางแกว้ บน โต๊ะ” นอกจากนเ้ี ด็กออทสิ ติกบางคนอาจเวน้ ไม่พดู คํา เหล่านใ้ี นประโยค เช่น พูดวา่ “หนงั สอื อยโู่ ต๊ะ” แทน การพดู ว่า “หนังสืออยู่บนโต๊ะ” เนื่องจาก การศึกษาครัง้ นไ้ี มพ่ บข้อบกพร่องดา้ นการใช้คําบพุ บท 2.6 จากการสงั เกตโครงสร้างประโยคในการพดู เลา่ เร่ืองและการเขียนเล่าเรื่องของเดก็ ออทสิ ตกิ พบว่า เดก็ ออทสิ ติกใชโ้ ครงสรา้ งประโยคทีป่ ระกอบดว้ ยภาคประธานและภาคแสดงได้ เปน็ จํานวนมาก แสดงใหเ้ ห็น วา่ เดก็ ออทสิ ตกิ กลมุ่ ตวั อย่างมีการแสดงออกทางภาษาที่ค่อนขา้ ง สมบรู ณ์ เพราะสามารถเลา่ เร่ืองด้วย โครงสรา้ งประโยคทส่ี มบรู ณไ์ ดเ้ ปน็ จาํ นวนมาก ผลการศึกษาในข้อ 2.5 และ 2.6 แสดงให้เห็นพัฒนาการด้านการใชภ้ าษาของเด็กออทิสติก เป็นอย่าง มาก ท้งั นี้ผวู้ จิ ัยสังเกตว่าการเรียนการสอนอาจมสี ่วนชว่ ยทําใหพ้ ฒั นาการทางภาษาของ เดก็ ออทสิ ติกกลุม่ ตวั อย่างดขี น้ึ ได้ เนื่องจากในห้องเรียนของโรงเรยี นสาธิตแห่งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ฯมีจํานวนนกั เรียน ออทสิ ติกเพยี ง 7 คน แตม่ ีครูผู้สอนถงึ 5 คน ทําใหเ้ ด็กไดร้ ับการ ดูแลเอาใจใส่จากครผู ู้สอนอย่างเต็มท่ีและทํา ใหก้ ารเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ การศึกษาภาษาที่ใช้ในการพูดและการเขียนเลา่ เรือ่ งของเดก็ ออทิสตกิ ดังกลา่ วนีท้ ําใหเ้ หน็ วา่ การ แสดงออกทางภาษาของเด็กออทสิ ตกิ กล่มุ ตวั อย่างซง่ึ ได้รบั การเรียนการสอนทีเ่ หมาะสมแล้ว สามารถ แสดงออกทางภาษาผ่านการพดู และการเขียนได้ใกลเ้ คียงกับเด็กปกติแตอ่ าจมพี ัฒนาการ ทางภาษาทล่ี ่าช้ากวา่ ซ่ึงมสี าเหตมุ าจากความบกพรอ่ งดา้ นรา่ งกายหรือสตปิ ัญญา แต่พัฒนาการทาง ภาษาทล่ี า่ ชา้ ดังกล่าวน้สี ามารถ แกไ้ ขใหด้ ขี ึ้นได้ดว้ ยการดแู ลเอาใจใส่ ให้กําลังใจและสนับสนนุ จาก บุคคลรอบข้างรวมทง้ั การเรียนการสอนที่ เหมาะสมกับเด็กซงึ่ จะทําให้เดก็ เหลา่ นีม้ ีพฒั นาการทาง ภาษาที่ดขี ้นึ ไดต้ ามลาํ ดับ ผู้วจิ ยั จงึ ขอนาํ ความรู้ที่ได้ จากผลการศึกษาครงั้ น้ีเสนอแนวทางอันเปน็ ประโยชนแ์ กบ่ ุคคลท่เี กย่ี วข้อง ดังนี้ ผลการศกึ ษาดา้ นโครงสร้างประโยคแสดงใหเ้ หน็ วา่ เด็กออทสิ ตกิ สามารถใชโ้ ครงสรา้ ง ประโยคท่ี ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดงซึ่งเป็นโครงสรา้ งของประโยคที่สมบูรณ์ไดเ้ ปน็ จํานวนมาก อาจ เป็นไปไดว้ า่ เครื่องมือท่ผี ้วู จิ ยั ใชเ้ กบ็ ขอ้ มูลคือรูปภาพซงึ่ รายละเอยี ดของภาพนนั้ จะ แสดงใหเ้ ห็นตวั ละครรวมท้ัง
124 เหตุการณ์หรือเร่ืองราวในภาพ ภาพท่ีผูว้ ิจยั ใช้นนั้ เป็นภาพการ์ตูนท่มี ี รายละเอียดของภาพเกีย่ วข้องกับ สิ่งแวดลอ้ มใกลต้ ัวเด็กทาํ ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงความคดิ จาก ประสบการณเ์ ดิมของตนเองแลว้ ถ่ายทอด เรอื่ งราวออกมาเปน็ ประโยคได้ หากนกึ รายละเอียดท่จี ะ เล่าตอ่ ไปไม่ไดก้ ็ยังสามารถมองรายละเอียดของภาพ เพ่ิมเติมแลว้ เช่ือมโยงความคดิ จาก ประสบการณเ์ ดมิ ต่อไปได้อีกซ่ึงประสบการณน์ ้นั อาจมาจากการดําเนนิ ชวี ิตประจําวันของเด็กเอง หรืออาจเกิดจากประสบการณ์ท่ีได้มาจากการเรยี นรู้ด้วยการฟังเรือ่ งเลา่ นทิ าน หรือ การดรู ายการ โทรทัศน์ตา่ งๆ ขณะที่การศึกษาของเกยี รตชิ ยั เดชพทิ กั ษ์ศิริกลุ (2551) ใช้การกําหนดหัวข้อ เรื่อง แล้วให้เด็กเลา่ เร่ืองจากหวั ขอ้ ดงั กล่าวจึงอาจทําใหเ้ ด็กไม่มีสื่อท่สี ามารถเช่ือมโยงความคดิ ได้ ทําให้ ถ่ายทอดภาษาออกมาได้จาํ กัดกว่า ภาษาท่ถี ่ายทอดออกมาจึงปรากฏในลกั ษณะโครงสรา้ งประโยค แบบนาม เดยี่ วซง่ึ เปน็ ชนดิ คําท่ีเด็กออทิสติกพดู ไดม้ ากท่ีสุด อาจกลา่ วไดว้ ่ารปู ภาพเป็นสอ่ื การเรียน การสอนอย่างหนึง่ ที่ สนับสนุนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะสามารถกระตุ้นใหเ้ ด็ก แสดงออกทางภาษาได้ไมว่ ่าจะเป็น เด็กปกติหรือเด็กออทิสติก็ตาม ดงั นนั้ ครกู ารศกึ ษาพเิ ศษหรือ ผปู้ กครองจึงสามารถนําผลการศึกษาดงั กลา่ วน้ี ไปใช้ประโยชน์เพ่ือส่งเสรมิ พัฒนาการทางภาษาของ เดก็ ออทสิ ตกิ ได้ต่อไป ภาวะบกพร่องด้านการออกเสียงไม่ชดั ไมว่ ่าจะเกิดจากการวางอวัยวะภายในช่องปากไม่ ตรงตาํ แหน่ง การเกิดเสียง การ ไมร่ ะวงั ในการออกเสยี ง การแก้ไขเกนิ เหตุ กระท่ังความผิดปกตใิ น การพูดท่ีปรากฏใน ลกั ษณะของการพูดซํ้าๆหรือการพูดแบบตดิ อา่ งนั้นครูฝึกพูดและนักแกไ้ ขการ พูดสามารถนําผลการศึกษาท่ีได้ ไปใช้สังเกตเพ่อื เป็นข้อมลู พน้ื ฐานและประยุกต์ใชใ้ นการสอนเพอ่ื แกไ้ ขข้อบกพร่องดา้ นความผดิ ปกตทิ างการ พดู ของเด็กออทิสติกได้อีกทางหน่งึ ส่วนภาวะบกพรอ่ ง ด้านการเขียนสะกดคํา การใชค้ าํ วลี ประโยคและสัม พันธสารในการพดู และการเขียนเล่าเรื่องของ เด็กออทสิ ติกน้นั ครกู ารศึกษาพิเศษรวมทัง้ ผู้ปกครองกส็ ามารถ นําผลการศกึ ษาครง้ั น้ีไปใชฝ้ กึ สอน เพื่อส่งเสรมิ พัฒนาการการใชภ้ าษาของเดก็ ออทิสตกิ ได้เช่นกัน 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 ศกึ ษาพัฒนาการการใชภ้ าษาท่ีใชใ้ นการเขียนของเดก็ ออทิสติกในชว่ งวัยตา่ งๆ 3.2 ศึกษาเปรยี บเทยี บภาษาที่ใช้ในการเขียนของเดก็ ปกติกับเด็กออทสิ ติก 3.3 ศึกษาเปรียบเทยี บภาษาท่ีใช้ในการเขียนของเดก็ พิเศษกลมุ่ ตา่ งๆ เชน่ กลมุ่ เรียนช้า กล่มุ ดาวน์ ซินโดรม เปน็ ตน้
125 รายการอา้ งอิง กฤษณี ตั้งประเสริฐสขุ . (2550). “ลกั ษณะการรบั รู้ การเขา้ ใจ และการใช้ภาษาของเดก็ พิเศษ : การศกึ ษาเชงิ ภาษาศาสตร์ จิตวทิ ยา.” วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต สาขาวิชา ภาษาศาสตร์เพ่ือการส่อื สาร คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. กาญจนา นาคสกุล. (2520). ระบบเสียงภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . กาญจนา นาคสกุล และคณะ. (2545). บรรทัดฐานภาษาไทยเล่ม 1 : ระบบเสยี ง อักษรไทย การอ่าน คาํ และการเขยี นสะกดคาํ . กรุงเทพฯ : สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เกียรติชัย เดชพิทักษ์ศิริกุล. (2551). “การศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างวลี ประโยค และสมั พันธสาร ของเด็กปกตแิ ละเด็กออทิสติก.” วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาอักษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขา ภาษาไทย บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. ชลธิชา บาํ รุงรักษ.์ (2539). การวเิ คราะหภ์ าษาระดบั ข้อความประเภทตา่ งๆในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. นติ ยา ราํ่ รวย. (2531). “การศึกษาการพูดของเด็กออทิสติก.” วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบณั ฑิต สาขา ความผดิ ปกติของการสอื่ ความหมาย บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล. เบญจมาศ เลื่องเลศิ . (2537). “โครงสรา้ งวลแี ละประโยคในภาษาไทยทีพ่ ูดโดยเด็กกะเหร่ียงโป.” วิทยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต สาขาภาษาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ปิยนารถ แสวงศกั ด์ิ. (2536). “การใช้กลไกในการเชื่อมโยงความในภาษาพดู และภาษาเขียนของเด็ก วยั 7-9 ปี \"วิทยานพิ นธ์ ปริญญามหาบัณฑติ สาขาภาษาศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. พณิ เพชร บรู ณภญิ โญ. (2545). “การเปรยี บเทียบความสามารถด้านการเขียนเชงิ สรา้ งสรรคข์ อง นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ทเี่ รียนโดยใชแ้ บบฝึกภาพถา่ ยและแบบฝึกภาพการ์ตูน.” วิทยานิพนธป์ ริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร. พูนสุข บณุ ย์สวสั ด์.ิ (2544). การสอนเขียนเบ้ืองตน้ : เม่ือหนูน้อยหัดเขียน, พิมพ์ครงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เพชรรัตน์ มณฑา. (2541). “ขอ้ ผิดของการใชร้ ูปวรรณยกุ ต์ในการเขยี นของผู้ปว่ ยที่มีภาวะวิปกติภาษา” วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาอกั ษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. เพ็ญแข ลม่ิ ศลิ า. (2540), การวินจิ ฉัยโรคออทิซึม, กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ อ้างถึงใน ศรีเรือน แก้วกังวาล. (2543), จติ วิทยาเด็กพิเศษแนวคดิ สมัยใหม่, กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รจนา ทรรทรานนท.์ (2528). “ภาษาและการพูดของเด็กออทสิ ติก” ภาษาและภาษาศาสตร์ 3, 2 : มกราคม-มถิ ุนายน 43-49, รัชนี สภุ วัตรจรยิ ากุล. (2532) “ความเข้าใจและการพดู คาํ นามของเด็กออทสิ ติก.” วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญามหาบัณฑติ สาขาความผดิ ปกตขิ องการส่อื ความหมาย บัณฑติ วทิ ยาลยั
126 มหาวิทยาลยั มหิดล ราชบัณฑิตยสถาน. (2546), พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2542. กรุงเทพฯ : นานมบี ุ๊คส์ ลอรน์ า วิ่ง (2527). เดก็ ออทิสตกิ : คําแนะนาํ สาํ หรับบดิ ามารดาและนักวชิ าการ แปลโดย รจนา ทรรทรานนท์ กรงุ เทพฯ: เกียรตธิ ุรกิจจาํ กดั ลขิ ิต กาญจนาภรณ์. (2548), จติ วิทยาการศึกษา: จิตวทิ ยาประยกุ ตเ์ พื่อการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ พมิ พค์ ร้ังท่ี 3. ม.ป.ท. วจิ นิ ตน์ ภาณุพงศ.์ (2527) “ไวยากรณโ์ ครงสร้าง : ประโยคและวลี” ใน เอกสารการสอนชดุ ภาษาไทย 3 หน่วยที่ 7-15 มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 11.นนทบุรี : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช ________. (2543). โครงสร้างของภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์, พมิ พค์ ร้งั ท่ี 15 กรุงเทพฯ : สาํ นกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคําแหง วิจนิ ตน์ ภาณพุ งศ์ และคณะ. (2552), บรรทดั ฐานภาษาไทย เล่ม 3 : ชนิดของคาํ วลี ประโยคและ สมั พนั ธสาร, กรงุ เทพฯ : สถาบันภาษาไทย สํานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร วไิ ลวรรณ ขนิษฐานันท.์ (2526), ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ : วิวฒั นาการภาษาไทยและภาษาองั กฤษ กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ วีนา พรรงุ่ สุริยะพันธ์. (2533), “การวิเคราะหโ์ ครงสร้างประโยคของหนงั สอื สาํ หรับเด็กวัย 3-5 ปี ฉบับชนะการประกวดปี พ.ศ. 2536-2530 : การศึกษาเชงิ เปรียบเทยี บ. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญา มหาบัณฑติ สาขาภาษาศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศิวลกั ษณ์ เจือจลุ . (2554). “การศึกษาการแปรเสียงพยัญชนะในภาษาไทยของเด็กท่ีมีความบกพร่อง ทางการไดย้ ินระดบั หูตึงอยา่ งรนุ แรง.” วิทยานิพนธป์ ริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑติ สาขา ภาษาไทย บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศลิ ปากร ศรยี าและประภสั สร นิยมธรรม. (2540), พฒั นาการทางภาษา, กรุงเทพฯ : รําไทยเพรส จํากัด ศรเี รือน แกว้ กงั วาล. (2543), จิตวทิ ยาเด็กพเิ ศษแนวคิดสมัยใหม่, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ศุภรัตน์ เอกอัศวนิ . (2539), “พฤติกรรมทางสังคมของเดก็ ออทิสติค” คู่มือสาํ หรับผปู้ กครองเดก็ ออทิสติค, กรุงเทพฯ : ศนู ยส์ ุขวิทยาจิต กรมสขุ ภาพจิต, อ้างถึงใน ศรเี รือน แกว้ กงั วาล (2543), จิตวทิ ยาเด็กพิเศษแนวคิดสมยั ใหม่, กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศนู ยพ์ ฒั นาการหลกั สูตร กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2543). การพัฒนาเดก็ ออทิสติก กรงุ เทพมหานคร : คุรุสภาลาดพร้าว สารภี เจริญโภคราช. (2542). “หน้าท่ขี องการพูดเลยี นแบบแบบทนั ทใี นเด็กออทสิ ตกิ .” วิทยานพิ นธ์ ปริญญามหาบณั ฑติ สาขาความผิดปกติของการส่ือความหมาย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหดิ ล. สริ นิ าถ ปริยะวงศก์ ร. (2547). “การศึกษาเปรยี บเทยี บภาษาทีใ่ ช้ในการเล่าเรื่องและการบอกวธิ ที ํา จากความจาํ ของเดก็ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3.” วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าภาษาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, สุกานดา ทองประศร.ี (2556). “ความเขา้ ใจและความสามารถพดู คํานามของเดก็ ท่ีมีความต้องการ พเิ ศษ : กรณีศึกษาเด็กดาวน์ซินโดรมเดก็ ปญั ญาอ่อนและเดก็ ออทิสติก.” วิทยานพิ นธ์
127 ปรญิ ญาอักษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาภาษาไทย บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศิลปากร สุวฒั ชัย คชเพต. (2553). “การเช่อื มโยงความในเร่ืองเล่าของเดก็ ไทยอายุ 4-7 ปที ่ีมพี ื้นฐาน สิ่งแวดลอ้ มต่างกัน.” วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาศาสตร์เพื่อ การสอื่ สาร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สุวัฒนา เลยี่ มประวัติ. (2545). เสยี งและระบบเสียงภาษาไทย. นครปฐม : ภาควชิ าภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร อมรา ประสิทธร์ิ ัฐสินธ.์ุ (2550), ภาษาศาสตรส์ ังคม, กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย อมรา ประสิทธิร์ ัฐสินธุ์ ยุพาพรรณ ห่นุ จําลอง และ สรญั ญา เศวตมาลย์. (2544). ทฤษฎีไวยากรณ์ กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อุมาพร ตรังคสมบตั ิ. (2550). ชว่ ยลกู ออทิสติก, กรงุ เทพฯ : ศูนย์วจิ ัยและพัฒนาครอบครวั สอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์. (2554). ประกาศกระทรวงพฒั นาสังคมและ ความมัน่ คงของมนุษย์เร่อื งประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ. เข้าถึงเมื่อ 29 พฤษภาคม เขา้ ถงึ ได้จาก kksped9.go.th/low/109.doc ชมรมพัฒนาการและพฤติกรรมเดก็ แหง่ ประเทศไทย. (2554). รายช่ือโรงเรยี นสาํ หรบั เดก็ ออทิสตกิ ระดบั ประถมศึกษาทร่ี ับเด็กออทสิ ตกิ เข้าเรียนร่วม. เข้าถึงเมือ่ 11 พฤษภาคม. เข้าถึงได้จาก http://www.thai-dbp.org/network005.html อมั พวรรณ[นามแฝง]. (2554). เดก็ ออทิสตกิ มักมีปญั หาดา้ นการเขยี น, เขา้ ถึงเมื่อ 10 มถิ ุนายน เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://healthy.in.th/categories/healthfulnews/1799 สัมภาษณ์ กชพรรณ มณฑาลพ. (2554). ครฝู ่ายการศึกษาพิเศษ, สัมภาษณ์, 21 ตุลาคม พชั รินทร์ สายศร. (2554). ครู คศ. 3. สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม วลนิ ดา นาคณู . (2554), ครูอัตราจ้าง. สมั ภาษณ์, 20 ตลุ าคม
128 ภาคผนวก
129 ภาคผนวก ก ระบบเสียงภาษาไทย
130 ระบบเสยี งภาษาไทย ระบบเสียงภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสยี งพยญั ชนะ หน่วยเสยี งสระ และหนว่ ยเสยี ง วรรณยุกต์ ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ 1.หน่วยเสียงพยญั ชนะ (Consonant) หน่วยเสยี งพยญั ชนะ(Consonant) คือเสียงท่เี กิดจากลมแล้วผา่ นเสน้ เสยี งโดยทาํ ใหเ้ ส้น เสยี งสัน่ หรอื ไม่กไ็ ด้ แล้วออกทางช่องปากหรือทั้งช่องปากและช่องจมูก ลมอาจถูกกักภายในปาก หรือผา่ นช่องแคบ ภายในปากก็ได้ (สวุ ฒั นา เล่ียมประวตั ิ, 2545 : 43) หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะในภาษาไทยมี 21 หนว่ ยเสียงดังนี้ 1. /p/ เสียงกกั ไม่ก้อง ไมม่ ีลม ริมฝปี ากทงั้ สอง 2. /ph/ เสยี งกัก ไม่ก้อง มลี ม ริมฝีปากทง้ั สอง 3. /b/ เสียงกกั ก้อง ริมฝปี ากทง้ั สอง 4. /t/ เสยี งกกั ไมก่ ้อง ไมม่ ลี ม ปุ่มเหงือก [ t̪ ]* เสยี งกัก ไมก่ ้อง ไม่มีลม ฐานฟนั [ t̟ ] เสยี งกัก ไม่ก้อง ไม่มลี ม ฐานฟัน-ปุม่ เหงอื ก [ t ] เสยี งกัก ไม่ก้อง ไมม่ ลี ม ฐานฟัน เพดานอ่อน [ t̟ ] เสยี งกกั ไม่ก้อง ไม่มีลม ฐานฟัน-ปมุ่ เหงอื ก เพดานออ่ น 5./th/ เสยี งกกั ไมก่ ้อง มีลม ปุ่มเหงือก [ t̪h ] เสยี งกัก ไม่ก้อง มีลม ฐานฟัน [ t̟h ] เสยี งกกั ไม่ก้อง มีลม ฐานฟนั -ปุ่มเหงอื ก 6./d/ เสยี งกัก ก้อง ปุ่มเหงอื ก [ d̪ ] เสยี งกกั ก้อง ฟัน [ d̟ ] เสียงกกั กอ้ ง ฐานฟัน-ปุ่มเหงอื ก 7./tc/ เสยี งกกั เสียดแทรก ไมก่ ้อง ไมม่ ีลม ปุ่มเหงือก-เพดานแขง็ [ c ] เสยี งกัก ไมก่ ้อง ไม่มีลม เพดานแข็ง 8./tch/ เสียงกักเสียดแทรก ไมก่ ้อง มีลม ปมุ่ เหงอื ก-เพดานแขง็ [ t∫] เสียงกักเสียดแทรก ไม่ก้อง ไมม่ ีลม เพดานแขง็ -ปุ่มเหงือก [ ∫ ] เสียงเสยี ดแทรก ไม่ก้อง เพดานแขง็ -ปุ่มเหงอื ก [ ch ] เสียงกกั ไมก่ ้อง มลี ม เพดานแข็ง 9./k/ เสยี งกัก ไม่ก้อง ไม่มีลม เพดานอ่อน 10./kh/ เสยี งกกั ไม่ก้อง มีลม เพดานออ่ น 11./ʔ/ เสียงกกั ไม่ก้อง เส้นเสยี ง 12./f/ เสียงเสยี ดแทรก ไมก่ ้อง ริมฝปี ากฟนั 13./s/ เสียงเสียดแทรก ไมก่ ้อง ปุม่ เหงอื ก 14./h/ เสียงเสียดแทรก ไม่ก้อง เส้นเสียง [ h ] เสยี งเสียดแทรก กอ้ ง เสน้ เสยี ง
131 [ h ] เสยี งนาสกิ ก้อง เส้นเสียง 15./m/ เสนี ยงนาสกิ ก้อง รมิ ฝปี ากทัง้ สอง 16./n/ เสีนยงนาสิก กอ้ ง ป่มุ เหงอื ก [ n̪ ] เสีนยงนาสิก กอ้ ง ฐานฟนั [ n̟ ] เสีนยงนาสิก ก้อง ฐานฟนั -ปุ่มเหงอื ก 17./ᵑ/ เสีนยงนาสกิ ก้อง เพดานอ่อน 18./ɾ/ เสยี งกระทบ กอ้ ง ปุ่มเหงอื ก [ r ] เสยี งรวั ก้อง ปุ่มเหงือก [ ɹ ] เสียงเปดิ ก้อง ปมุ่ เหงือก [ r ] เสียงลิ้นสะบัด ก้อง ปมุ่ เหงอื ก 19./І/ เสยี งข้างล้นิ ก้อง ปุม่ เหงอื ก [ І̪ ] เสยี งข้างลน้ิ ก้อง ฐานฟนั [ І̟ ] เสยี งข้างลน้ิ กอ้ ง ฐานฟัน-ป่มุ เหงอื ก 20./w/ เสยี งกึ่งสระ กอ้ ง รมิ ฝีปาก 21./j/ เสยี งกง่ึ สระ ก้อง เพดานแขง็ [ Ӡ ] เสยี งเสียดแทรก กอ้ ง เพดานแขง็ -ปุ่มเหงอื ก [ Ɉ ] เสียงเสียดแทรก ก้อง เพดานแขง็ [dӠ] เสียงกง่ึ เสียดแทรก ก้อง ปุ่มเหงอื ก-เพดานแข็ง หน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทยสามารถจําแนกเปน็ 3 ประเภท ตามการปรากฏในตําแหน่งตา่ งๆ ของพยางคไ์ ด้ดังนี้ 2.หน่วยเสียงสระ (Vowels) หน่วยเสยี งสระ (Vowel) คอื เสยี งที่เกิดข้นึ โดยอาศยั การเคลอื่ นไหวของลิน้ เปน็ สําคญั และ มีลกั ษณะ การดดั แปลงลมเป็นแบบกวา้ ง สภาพของเสน้ เสียงจะส่นั สะเทือน ขณะเปล่งเสยี งจะไม่มี การปดิ กักในชอ่ งปาก (สุวฒั นา เลี่ยมประวตั ิ, 2545 : 49) หน่วยเสยี งสระในภาษาไทย แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ สระเดี่ยว และสระประสม 2.1 สระเดย่ี ว คือ สระซ่ึงขณะเปล่งเสยี ง ลกั ษณะของลนิ้ และลักษณะของริมฝีปากจะไม่มี การเปลีย่ นแปลง หรือมีการเปล่ยี นแปลงนอ้ ยมาก และตําแหนง่ ของจดุ สูงสดุ ของล้นิ มเี พียงตาํ แหนง่ เดียว สระ เดีย่ วแบง่ เปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สระเดยี๋ วเสยี งยาว 9 หนว่ ยเสยี ง และสระเดยี๋ วเสียงส้ัน 9 หนว่ ยเสยี ง 1. /i/ สระสงู ล้ินสว่ นหนา้ ริมฝีปากไมห่ ่อ เสียงสน้ั 2. /i:/ สระสูง ลิ้นสว่ นหนา้ ริมฝปี ากไมห่ อ่ เสยี งยาว 3. /e/ สระกลาง ลิ้นส่วนหนา้ ริมฝีปากไมห่ ่อ เสียงสั้น 4. /e:/ สระกลาง ลน้ิ สว่ นหนา้ ริมฝีปากไม่หอ่ เสียงยาว 5. /ԑ/ สระต่ํา ลน้ิ ส่วนหน้า รมิ ฝีปากไม่ห่อ เสยี งสัน้ 6. /ԑ:/ สระต่าํ ลน้ิ ส่วนหนา้ รมิ ฝีปากไมห่ ่อ เสยี งยาว
132 7. /Ɯ/ สระสงู ลิ้นส่วนกลาง รมิ ฝีปากไม่หอ่ เสยี งสนั้ 8. /Ɯ:/ สระสูง ลิ้นส่วนกลาง ริมฝปี ากไม่ห่อ เสยี งยาว 9. /Ə/ สระกลาง ลิ้นส่วนกลาง ริมฝปี ากไม่ห่อ เสยี งสั้น 10. /Ə:/ สระกลาง ลน้ิ สว่ นกลาง ริมฝปี ากไมห่ อ่ เสยี งยาว 11. /a/ สระต่ํา ลิ้นสว่ นกลาง รมิ ฝปี ากไมห่ อ่ เสยี งสนั้ 12./a:/ สระตาํ่ ล้นิ ส่วนกลาง ริมฝีปากไม่ห่อ เสียงยาว 13. /u/ สระสูง ลน้ิ สว่ นหลงั ริมฝปี ากห่อ เสียงส้นั 14. /u:/ สระสงู ลน้ิ ส่วนหลงั ริมฝปี ากห่อ เสยี งยาว 15. /o/ สระกลาง ลน้ิ สว่ นหลงั ริมฝปี ากห่อ เสยี งสั้น 16. /o:/ สระกลาง ลน้ิ สว่ นหลัง รมิ ฝปี ากหอ่ เสียงยาว 17. /ɔ/ สระตํ่า ลิ้นสว่ นหลัง รมิ ฝีปากห่อ เสียงสน้ั 18. /ɔ:/ สระตาํ่ ลน้ิ สว่ นหลัง รมิ ฝปี ากห่อ เสียงยาว 2.2 สระประสม คือ สระซึ่งลักษณะของล้นิ มีการเปลีย่ นแปลงอย่างชดั เจนขณะเปลง่ เสียง สว่ น ลักษณะของริมฝีปากจะเปลย่ี นแปลงหรอื ไม่ก็ได้ จุดสูงสุดของลิน้ จะมีมากกวา่ หน่ึงจดุ สระ ประสมมีจํานวน 3 หน่วยเสยี ง ดังน้ี 1./ia/ สระประสม เรมิ่ จากสระสงู ลิ้นสว่ นหนา้ ริมฝีปากไม่ห่อ ลงท้ายดว้ ย สระตํา่ ล้นิ สว่ นกลาง ริม ฝปี ากไม่ห่อ 2./Ɯa/ สระประสม เริ่มจากสระสูง ล้นิ สว่ นกลาง ริมฝปี ากไมห่ ่อ ลงทา้ ยดว้ ย สระต่ํา ล้ินส่วนกลาง รมิ ฝีปากไมห่ อ่ 3. /ua/ สระประสม เร่ิมจากสระสูง ล้นิ สว่ นหลงั รมิ ฝีปากหอ่ ลงทา้ ยด้วย สระต่าํ ลิน้ ส่วนกลาง รมิ ฝีปากไม่ห่อ 3.หนว่ ยเสียงวรรณยกุ ต์ (Tone) หนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์ (Tone) คือ ระดับเสียงซ่งึ เป็นองค์ประกอบของพยางค์เช่นเดยี วกับ เสียง พยญั ชนะและสระ ซ่ึงสามารถเปลี่ยนความหมายของคําท้ังทีอ่ ยู่ในส่งิ แวดล้อมเดียวกนั (สวุ ัฒนา เลย่ี มประวัติ, 2545 : 54) หนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทยมี 5 หน่วยเสยี ง ดังนี้ 1. วรรณยุกตก์ ลางระดับ // หรือเสียงวรรณยุกตส์ ามัญ 2. วรรณยกุ ตต์ ่าํ ระดับ / ˋ / หรอื เสียงวรรณยกุ ตเ์ อก 3. วรรณยกุ ตส์ งู ระดับ / ˊ / หรือเสยี งวรรณยุกตโ์ ท 4. วรรณยุกตส์ ูงตก / ˆ / หรอื เสยี งวรรณยกุ ตต์ รี 5. วรรณยกุ ต์ตาํ่ ข้นึ / ˇ / หรอื เสียงวรรณยุกต์จตั วา
133 ภาคผนวก ข แผน่ ภาพทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มูล
134 แผน่ ภาพทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มูล รปู ภาพท่ี 1 ภาพท่ใี ช้เกบ็ ข้อมูลจากการพูดหมวดกิจวัตรประจาํ วัน ทม่ี า : ขบวนการครนู ก. (2554). ไปกระบ่ี (สระอา อีอู), กรุงเทพฯ : แฮปป้เี ลริ ์นนิง่ บรษิ ัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จํากดั . รูปภาพที่ 2 ภาพที่ใช้เกบ็ ข้อมูลจากการเขียนหมวดกิจวตั รประจําวัน ที่มา : ขบวนการครนู ก. (2554). ไปกระบี่ (สระอา อีอู), กรุงเทพฯ : แฮปปเี้ ลริ ์นนง่ิ บรษิ ัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จํากดั .
135 รูปภาพที่ 3 ภาพทใ่ี ชเ้ ก็บข้อมูลจากการพูดหมวดกิจกรรมที่ปฏบิ ตั ริ ว่ มกับสมาชิกในครอบครวั ที่มา : ขบวนการครนู ก. (2554). ไปกระบี่ (สระอา อีอู), กรงุ เทพฯ : แฮปป้เี ลิร์นนิ่ง บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จํากัด. รูปภาพที่ 4 ภาพท่ีใชเ้ ก็บข้อมูลจากการเขยี นหมวดกจิ กรรมท่ีปฏบิ ัติรว่ มกับสมาชกิ ในครอบครัว ที่มา : ขบวนการครูนก. (2554). ไปกระบ่ี (สระอา อยี ู), กรงุ เทพฯ : แฮปป้ีเลริ น์ น่ิง บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จาํ กดั .
136 รูปภาพท่ี 5 ภาพท่ีใช้เก็บข้อมูลจากการพูดหมวดสัตว์ ทีม่ า : ตบุ๊ ปอง (นามแฝง]. (2551). กุ๊กไก่, กรงุ เทพฯ : แฮปปี้คิดส์ บรษิ ทั แปลน ฟอร์ คิดส์ จาํ กัด. รูปภาพที่ 6 ภาพทใี่ ชเ้ กบ็ ข้อมูลจากการเขยี นหมวดสตั ว์ ทม่ี า : ตบุ๊ ปอง (นามแฝง]. (2551). กกุ๊ ไก่, กรงุ เทพฯ : แฮปปี้คดิ ส์ บรษิ ัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จาํ กัด.
137 ภาคผนวก ค เรอ่ื งเล่าจากการพดู และการเขยี นของเด็กออทสิ ติก
138 เร่ืองเล่าจากการพดู ของเดก็ ออทิสตกิ เดก็ หญงิ คนท่ี1 รูปภาพที่ 1 มีคณุ แมข่ องเขา มาเรียกลูกๆ ให้ตนื่ แตค่ นน้ี แต่คนน้ียงั ไม่ตื่น แต่คนน้กี ต็ ่ืนแลว้ แลว้ เขาก็มี หมามา แอบมองดว้ ย แลว้ คุณแมก่ เ็ ปิดประตดู ้วย แลว้ ก็ต๊กุ ตาหมตี ัวเน้ยี มันเกอื บจะตกพน้ื แล้วด้วย แล้วก็มนี าฬกิ ามัน ปลกุ ให้ตื่นแล้วด้วย รปู ภาพที่ 3 มคี รอบครัวครอบครวั หนึ่งเน่ียเขาไปเที่ยวทะเล แล้วเขาก็กินปู คนนี้ มคี นนี้เขาก็ช้ี คนนีก้ ินปู แล้วเขา กจ็ บั กา้ มปู แล้วคนนเี้ ขาก็ช้มี าตรงนี้ แล้วคณุ แม่เนี่ยก็เปน็ คนชม้ี าตรงนอี้ ีกเหมอื นกัน แล้วก็ อันนีค้ ุณพ่อเนย่ี ก็ ทํามอื ยังง้ี กม็ ีอาหารเต็มไปหมดเลย แล้วก็มีแก้วนํ้า คน แลว้ ก็มหี ม้อขา้ ว แลว้ กม็ ี กับข้าว แลว้ ก็มบี รรยากาศ ข้างนอก แลว้ ก็มรี วั้ แลว้ กม็ ีพื้น แล้วก็มโี ตะ๊ หมดแล้ว รูปภาพที่ 5 ช้างตัวหนึ่งพ่นน้ํา แล้วก็มตี ้นไม้ แล้วกม็ สี ตั ว์ตัวนี้ แล้วก็ต้นหญา้ แลว้ กม็ ีนา้ํ คาดวา่ ช้างอาจจะ ดืม่ น้าํ แล้วกพ็ ่นนาํ้ แล้วกม็ ีต้นไมส้ องต้นนี้ แล้วก็มีนกเกาะบนหลงั ชา้ ง แลว้ ก็มีก้อนหนิ อยแู่ ลว้ ก็มี พมุ่ ไม้ แล้วก็ดอกไม้ แลว้ ก็มี อะไร แล้วก็มีต้นหญา้ หมดแล้ว
139 เดก็ หญงิ คนที่ 2 รูปภาพท่ี 1 เด็ก กาลครง้ั หนึ่งนานมาแลว้ มเี ด็กหญงิ คนหนึ่งและนอ้ งชาย เขากําลังนอนอยู่แมจ่ ึงมาปลุกวา่ ให้ต่ืน ไดแ้ ล้วลูก ขณะนัน้ น้องหมีก็ตกลงไป แล้วก็ได้ยินเสยี งนาฬิกา จงึ เด็กสองคนน้นั จงึ มา มา แตง่ ตวั เดก็ ทันใด นัน้ กไ็ ด้ยินเสยี งแม่เรียกว่า ไปโรงเรียนแลว้ ค่ะลูก ลกู จึงไปโรงเรียน พร้อม พรอ้ มกบั สหี น้าย้มิ แย้ม พอถึง โรงเรยี นลูกก็ไปสวัสดีคณุ ครู ขณะน้นั ก็ไดเ้ วลาเข้าเรียนแล้ว ลกู จงึ เข้า เรียน จบ รปู ภาพที่ 3 กาลครง้ั หนึ่งมเี ดก็ คนหนงึ่ ชอื่ ว่าแอนนา เขากําลงั จะกินปู อยู่ เขาจึงบอกพ่อกับแม่วา่ อยากกนิ แล้วคะ่ แลว้ พอกินไปอร่อย จึงชอบกินปู ขณะนนั้ ก็ได้ยนิ เสียงธงชาติ ทุกคนจึงยืนตรง เสรจ็ แล้ว ทกุ คนก็มา มากินขา้ ว พร้อมกัน แล้วพอกินข้าวเสร็จทกุ คนก็บอก ทุกคนกบ็ อกแม่ว่า กลับไดแ้ ล้วคะ่ แม่จงึ บอกว่าได้ค่ะ ขณะนั้นตอน น่ังรถกลบั ก็ได้ ก็ได้เวลานอน จึงนอนบนรถไปก่อน จบแล้วค่ะ รปู ภาพท่ี 5 กาลครัง้ หนง่ึ นานมาแล้วมีช้างชื่อ โป ชา้ งชือ่ โป ช้างชอ่ื โปโป กําลงั เดินเล่นอยู่ แลว้ เขาก็เผลอ พน่ น้ําลาย พน่ น้าํ ออกมาจนโดนนก นกจึงบอกวา่ ทําแบบนี้ไม่ได้นะ แล้วช้างจงึ ไม่ทาํ แลว้ ช้างก็ เดินเล่นต่อไป ขณะนน้ั ช้างก็เดนิ เดินตกน้าํ จงึ เจอสตั ว์ตัวหน่งึ สตั วต์ ัวนน้ั ก็บอกชา้ งวา่ ทําแบบน้ีกับ ฉนั ได้ยงั ไง ฉันไมช่ อบ เขาก็ไมท่ ํา พอไปถึงอีกทห่ี น่งึ ช้างเผลอไปปีนตน้ ไม้ ปรากฏชา้ งเหยียบ อะไรน้า ชา้ งเหยียบหนอน หนอนจึง ตาย ชา้ งขอโทษหนอน แลว้ หนอนก็แลว้ ชา้ งก็ได้ยนิ เสียงอะไร หนอน หนอนจงึ ร้องว่า เจ็บนะ เจ็บนะ ชา้ งจงึ จงึ ชว่ ย ช่วยให้หนอน ชว่ ยใหห้ นอนมีความสุข จบ
140 เดก็ ชายคนท่ี 3 รปู ภาพที่ 1 มนั เป็นเรอื่ ง ตอนแรก ตอนเข้ามาแม่ แมป่ ลกุ ใหฉ้ นั ต่นื แตฉ่ ันยงั หลบั อยู่ พี่ พ่ีเลยต่นื เปน็ คนแรก ฉัน ตนื่ คนที่ 2 ผมรีบไปอาบนา้ํ แปรงฟันเพื่อจะไปโรงเรียน พอโรงเรียนเปิด ฉนั ก็ ฉนั ฉันก็ เขา้ แถว แล้วก็เรยี นวิชา ตา่ งๆ แลว้ ฉัน ฉัน พอฉันกลับบา้ น พอ่ ฉันไปรบั แลว้ ถงึ แล้วถงึ บา้ นฉันพอดี แลว้ ก็จบ รปู ภาพที่ 3 พอ่ พอ่ แม่ พ่อแม่ไป พ่อกับแม่ พ่อกบั แม่ไปสง่ ส่งผมท่ีบ้านคุณตาคุณยาย เพื่อค้าง เพื่อค้างคนื หน่ึง คนื คณุ ตาคณุ ยายชวนไปกินข้าว พ่ี พี่เลยบอกวา่ อม้ั อรอ่ ยจงั แต่ แต่นอ้ งยังไมห่ ยุด พ่ี พี่ พี่เลย บอกว่า อย่า กนิ จนุ ะน้อง น้องเลย นอ้ งเลยตกทลี ะเล็กทลี ะน้อย แล้วก็กินเจา้ นก่ี อ่ น กินเนอื้ ปูไปก่อน แลว้ ตอ่ ไปก็กินแกง ตอนนน้ั คณุ ตาคุณยายไปเท่ยี ว ไปเทย่ี วทางท่ีอยใู่ น ท่ีอยู่ ที่อยบู่ นเกาะที่อยู่บน ทะเล แต่อาหารทะเลก็อรอ่ ย นะ เทา่ กบั ฝีมือของคุณตาคุณยายเลยแลว้ ก็แค่นี้ รูปภาพท่ี 5 มีชา้ งตวั หนึ่งอย่ใู นป่า กาํ ลงั กําลงั รดน้าํ ใหต้ ้นไม้ งอก งอกออกมาก่อน แต่ไม่ทันไร เพ่ือนชา้ ง ทส่ี ดุ จะ เจา้ เลห่ ์ ก็หา ก็ ก็หาทางวางแผนกําจดั เจ้านี่ เจา้ ช้างนอ้ ย แตโ่ ชคดีทช่ี า้ งจอมเจ้าเลห่ ์ไม่ ตามไม่ ตามมาไมท่ ัน จึง จงึ ตกนํ้า จงึ ตกน้ํา วนั ตอ่ มา คิด คิดแผนใหม่ วาง วางกับดกั โดยใช้เชือกทหี่ มุนอยู่ แล้วก็ แล้วก็มกี ล้วย ออ้ ย แตโ่ ชคดีที่ยังไมห่ ลง หลงกลกับดกั ของชา้ งเจ้าเลห่ ์ ช้างเจา้ เลห่ ์เลยโดน แทน เลยตกนา้ํ ป่มุ ปุ่มอีกคร้ัง วนั ต่อมา มนั ทนไมไ่ หว มนั จงึ ผลัก มันจึงผลกั ช้างนอ้ ยลงแม่นาํ้ แตไ่ ม่ ตก เพราะมันเอาตวั รอด และมันกต็ กน้ําแทน และ กจ็ บ
141 เด็กชายคนท่ี 4 รปู ภาพที่ 1 มีเด็ก 2 คนกําลงั นอน แลว้ แลว้ แมก่ ม็ าปลกุ แลว้ เขาต่นื แต่วา่ อีกคนหนึ่งไม่ตน่ื อีกคนหน่งึ นอน เขา ตนื่ จะไปโรงเรยี น แตว่ ่า แตว่ ่าเด็ก แตว่ ่า แต่วา่ เขาอจิ ฉาน้อง นอ้ งคนเล็ก เพราะวา่ เขาต้อง ไปโรงเรยี น เพราะวา่ เพราะวา่ เขายงั เล็ก เขาเลยไมต่ ้องเข้าโรงเรยี น เขาจงึ ทําตวั เปน็ เดก็ แกล้งเปน็ เดก็ ปลอมตวั เป็นเด็ก คนนี้ แลว้ คน แลว้ ก็ แตง่ ชุด เขาให้คนนี้แตง่ ชุดเปน็ ผู้หญงิ แล้ว แล้วน้อง แลว้ แม่กค็ ิดว่านอ้ งเป็นเด็กผู้หญิง แต่ เผอิญวา่ ว่าชุดท่ใี สป่ ลอมตัวมันขาดไงกเ็ ลยเหน็ ความจรงิ วา่ ถูก ปลอมตวั มา ก็เลย ก็เลยให้ ใหค้ นท่ี ให้คนฝั่งน้ี ไปแทน จบแล้ว รปู ภาพท่ี 3 ชื่อ ก็ เขา ตา ตายาย แลว้ แลว้ เด็กก็ 2 คน ก็มากนิ แต่ว่าเขาจับปูมากิน จบั ปจู ากทะเลสาบจบั ปู จาก จับปทู ่ที ะเล ตรง ใกล้ๆตรงน้ีมากนิ แล้วเขาก็กิน กนิ กินหมดเลย เขา เขากินปู กนิ ทุกอย่างแล้ว เขาก็ เขา เขา ยังไม่อ่มิ เขาไปกินเย็นๆ กนิ เร่ือยๆ จนเดินไมไ่ หวเลย จบ รปู ภาพที่ 5 ชา้ งตวั หนึ่งเขา เขาพน่ นํ้า แล้วกม็ ีนก 2 ตัวมาเกาะ เขารําคาญนกเขาใช้ ใช้งาไล่นกออกไป แล้วก็ นก ก็บอกว่าจะมากนิ จะมา จะมาเกาะเพราะว่าตรงนี้มันสบาย ช้างไม่ยอม ชา้ ง ชา้ งรอ้ ง แปรนั แปรัน แล้วกไ็ ลม่ ัน แล้วชา้ งก็ถล่มตน้ ไม้ไปทลี ะต้นจนหมดแลว้ ชา้ ง แล้วช้างกถ็ ลม่ บ้านทน่ี ก 2 ตัวอาศัยท่ีมาเกาะอยบู่ น บนช้าง จบ แล้ว
142 เดก็ ชายคนท่ี 5 รปู ภาพท่ี 1 คณุ แม่ แต่คนน้ีต่นื แต่น้องคนนี้หลบั อยู่ และหมา และหมาตวั นมี้ าดู เดก็ ชายคนน้จี ึงรบี ต่ืน นอน เดก็ คนนจี้ งึ ตื่นนอน เหน็ ตุ๊กตาหมีดว้ ย มีหมา มีหมาอยู่ตรงนี้ ดูอยู่ ห้อง หมาจึงแอบมาดู มาดู เดก็ ทัง้ 2 คนดว้ ย แต่ แตเ่ ดก็ คนนีจ้ ึงตน่ื นอน แล้วเขาจงึ เดนิ ออกไปขา้ งลา่ ง เดินลงไปข้างล่างอยู่ เดนิ ลงไปข้างล่างอยู่แล้วเขาจึง รีบไปกินข้าวดกี ว่า มหี มีดว้ ย มีหมอี ยู่ตรงน้ีครับ หมดแลว้ รปู ภาพที่ 3 คน คนกาํ ลงั กินข้าวอยคู่ รบั คนนีก้ นิ แตค่ นน้ี กําลัง แต่คุณแมก่ ําลงั นงั่ กินข้าวอยู่ คุณแม่กาํ ลงั กนิ ข้าว อยู่ พอคนนี้กินข้าวเสร็จ แล้วพอคนนี้กนิ ข้าวเสร็จ เขาจงึ รีบกินนํ้า แลว้ เขาจงึ ไป ไปที่บ้าน ญาติของเขา จบ แล้ว รูปภาพท่ี 5 มีช้างด้วย น่ีมีชา้ งกําลังพ่นนา้ํ อยู่ เดก็ ๆจึงดอู ยู่นนี่ า ชา้ งมีนกอย่เู กาะอยู่ ชา้ งจะไปเลน่ น้ํา จบแล้ว
143 เด็กชายคนที่ 6 รปู ภาพท่ี 1 เด็กหญิงคนหนึ่ง พา พาแม พาหมาตวั หนง่ึ มาทีห่ ้องนอน เขาเจอเดก็ ผูห้ ญิงกับเด็กหญงิ ร้องไห้ แง แง รอ้ งไห้แง แง จนตุ๊กตาหมีหล่นไป หมาจงึ แลบล้ิน ไม่ร้แู ล้ว จบแลว้ ครับ รปู ภาพที่ 3 เด็ก ปแู อนเน็ต อนั ปดั แอนดี้ ปาดู แมด็ ตู้ แลว้ บทู กบั แอนดี เดก็ สองคนนีก้ ําลงั ทานปู พ่อกับ แม่ แลว้ คนนี้ ทาํ ไมคนนี้ เปน็ ผชู้ ายแต่ถักเปีย เอากุ้งมา อนั น้ีเป็นผู้ชายหรือวา่ ผหู้ ญงิ แล้วเร่ืองน้กี ็ จบลง รปู ภาพท่ี 5 ชา้ งแปรัน แปรันกาํ ลังพ่นนํ้า เบเบ ชา้ งแปรนั แปรัน กําลังพ่นน้าํ นก 2 ตวั มาเกาะท่ีหลังช้าง หน้า แบิน ช้างหนา้ แบน ชา้ งหน้าแบันกย็ ิงพน่ น้ําใส่ ยงิ จบแล้ว
144 เดก็ ชายคนที่ 7 รปู ภาพที่ 1 ฉนั ต่นื แต่เช้า ฉนั ตนื่ แตเ่ ช้า แล้วก็ กม็ าเปิดประตู แลว้ ก็ เปิดตู แลว้ กใ็ หไ้ ปอาบนาํ้ แปรงฟนั แลว้ ก็ รบั ประทานข้าว แปรงฟนั เสร็จ ก็แตง่ ตัว ทานขา้ ว แล้วก็ไปโรงเรียน แล้วก็ แล้วกเ็ ทีย่ งก็ ทานข้าว เย็นกก็ ลับ แลว้ ก็ทาํ การบ้าน แล้วก็ทานข้าว แลว้ กท็ าํ การบา้ น แล้วก็อาบนาํ้ แปรงฟัน แต่งตัว นอน หมดแลว้ รปู ภาพท่ี 3 เขาทานข้าวที่ร้านอาหาร เขา แลว้ กท็ านข้าว ดูทะเล แลว้ กท็ าน แลว้ ก็ แล้วก็เสร็จก็เล่นนํ้าทะเล เล่น นํ้าทะเลแล้วก็ นาํ้ ทะเล เสร็จแล้วกก็ ลับบ้าน แล้วก็นอน แลว้ ก็ แล้วก็ แล้วก็เยน็ แล้วก็ทานข้าว แล้วก็ แลว้ ก็ อาบน้าํ แลว้ กแ็ ปรงฟนั แต่งตัว นอนแลว้ ก็ต่ืนแต่เชา้ อาบนํ้าแปรงฟัน แต่งตวั ทานข้าว แลว้ ก็ไปโรงเรยี น แลว้ ก็เท่ยี งแล้วก็ทานขา้ ว แลว้ ก็ บา่ ยแล้วก็เรยี น เท่ียงแล้วก็ทานขา้ ว เปน็ ก กลบั บ้าน แลว้ ก็ทาํ การบา้ น แลว้ ก็กิน ขา้ ว อาบนาํ้ แปรงฟัน แต่งตวั นอน หมดแลว้ รปู ภาพท่ี 5 ชา้ ง ชา้ ง ช้างกบั นกเดินไป นา้ํ เดินไปตรงคลอง ช้างกบั นกก็เดินไปตรงคลอง ตรงนํ้า นกก็บิน บนิ ลง บนิ กินนา้ํ แล้วก็เดินต่อ เดินต่อ แล้วกม็ ืดแลว้ ก็นอน มืดแล้วกอ็ าบนา้ํ นอน แปรงฟนั ฟนั แล้ว ก็แต่งตวั แลว้ ก็ นอน เชา้ แล้วกอ็ าบน้าํ แปรงฟนั ทานข้าว แล้วก็ แล้วก็ แล้วก็เดินไป แลว้ กเ็ ดนิ ไปต่อ แล้ว แล้วกอ็ ันน้ีจบแล้ว หมดแล้ว อนั นีห้ มดแล้ว
145 เร่อื งเล่าจากการเขยี นของเดก็ ออทสิ ติก เดก็ หญงิ คนท่ี 1
146 เดก็ หญงิ คนท่ี 2
147 เด็กชายคนท่ี 3
148 เด็กชายคนท่ี 4
149 เด็กชายคนท่ี 5
150 เด็กชายคนท่ี 6
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152