51 เมื่อนําคําทัง้ 26 ชนดิ ท่ปี รากฏในการพูดเลา่ เร่ืองของเด็กออทิสติกมานับจํานวน จะเหน็ ว่าคาํ แต่ละ ชนิดมีจาํ นวนในการใช้แตกตา่ งกนั โดยแสดงได้ดังตารางต่อไปน้ี ตารางท่ี 6 ตารงแสดงจํานวนชนิดของคําทปี่ รากฏในการพูดเล่าเรื่อง ชนดิ ของคํา จํานวนทป่ี รากฏในเรอ่ื งเล่า คา่ รอ้ ยละ 1.คํานาม 110 27.36 2.คาํ กรยิ าอกรรม 59 14.64 3.คํากริยาอกรรมย่อย 3 0.75 4.คาํ กริยาสกรรม 62 15.42 5.คํากรยิ าทวกิ รรม 3 0.75 6.คําสรรพนาม 6 1.49 7.คําลกั ษณนาม 14 3.48 8.คาํ คุณศัพท์ 11 2.74 9.คาํ จํานวนนับ 5 1.24 10.คาํ ลําดับท่ี 3 0.75 11.คาํ หน้าท่จี าํ นวน 3 0.75 12.คาํ บอกกาํ หนดเสียงโท 1 0.25 13.คําบอกกาํ หนดเสยี งตรแี ละจัตวา 2 0.5 14.คําบอกเวลา 26 6.46 15.คําลงทา้ ย 3 0.75 16.คาํ พิเศษ 1 0.25 17.คําช่วยหลังกรยิ า 3 0.75 18.คําชว่ ยหน้ากรยิ า 10 2.48 19.คําปฏิเสธ 1 0.25 20.คําหน้ากริยา 2 0.5 21.คําหลังกริยา 6 1.49 22.คาํ กรยิ าวิเศษณ์ 35 8.71 23.คาํ บุพบท 11 2.74 24.คาํ เช่อื มนาม 5 1.24 25.คาํ เช่ือมอนุภาค 16 3.98 26.คําอุทาน 1 0.25 รวม 402 100 จากตารางที่ 6 แสดงให้เหน็ ว่าเดก็ ออทสิ ติกใช้คาํ ในการเล่าเรื่อง 26 ชนิด ชนดิ ของคําที่เด็ก ออทสิ ตกิ ใชม้ ากทสี่ ุดคือ คํานาม ปรากฎ 110 คํา คดิ เป็นร้อยละ 27.36 รองลงมาคือ คํากรยิ าสกรรม ปรากฏ 62 คาํ คํากริยาอกรรม ปรากฏ 59 คํา คาํ กริยาวเิ ศษณ์ ปรากฏ 35 คาํ คาํ บอกเวลา ปรากฏ 26 คาํ และคําเช่ือม อนุภาค ปรากฎ 16 คํา คิดเป็นร้อยละ 15.42 14.67 8.71 6.46 และ 3.98 ตามลาํ ดบั สว่ นคําชนิดอน่ื ปรากฏ ไมม่ ากนัก
52 2.2 การใช้คาํ ในการพูดเลา่ เร่ืองของเด็กออทิสติก จากการวิเคราะหก์ ารใชค้ าํ ในการพูดเลา่ เรื่องของเดก็ ออทสิ ติก พบว่าเด็กออทสิ ติกยังมี ข้อบกพรอ่ ง ดา้ นการใช้คําอยู่บ้าง แต่พบไม่มากนัก ข้อบกพรอ่ งดังกล่าวคอื การใช้คําผดิ ความหมาย การใชค้ ําไม่คงที่ การใช้ คําไม่ถูกระดับ การใชค้ าํ ผดิ หลกั ไวยากรณ์และการใชค้ ําตกหล่น สามารถ แสดงรายละเอียดไดด้ งั น้ี 2.2.1 การใช้คําผดิ ความหมาย การใช้คําผิดความหมาย คือ การใช้คาํ ไมต่ รงกบั ความหมายท่ีต้องการสอ่ื โดยผูใ้ ช้ ภาษาไม่รู้ ความหมายที่แทจ้ รงิ ของคาํ นั้นหรอื เข้าใจผดิ คิดว่าอาจใชแ้ ทนกันได้ สามารถแสดง รายละเอียดไดด้ งั นี้ “พระสององค์นจ้ี ะเดินไปใหค้ นบณิ ฑบาต แลว้ แล้วก็มีคนหนง่ึ นเี่ ขา เขา เขาบณิ ฑบาต” จากตัวอยา่ งดังกล่าว คําวา่ “บณิ ฑบาต” เป็นคํากริยาทใ่ี ช้กบั พระภกิ ษุ สามเณร หมายถึงกริ ยิ าที่พระภิกษุสามเณรรบั ส่ิงของจากผ้ทู น่ี ํามาใส่บาตร แต่เดก็ ออทิสตกิ ใช้คําว่า \"บิณฑบาต” ทาํ หนา้ ที่เปน็ คํากรยิ า หมายถงึ กริ ิยาท่ีบุคคลท่ัวไปนําส่งิ ของไปใส่บาตรซง่ึ มี ความหมายผิดไปจากเดิม คํากริยา ดังกลา่ วควรแก้ไขเปน็ “ตกั บาตร” จึงจะเหมาะสม “พระสงฆก์ ําลังจะไปทาํ อะไรเอ่ย ตักบาตรไกล จบแล้ว” จากตัวอย่างดังกล่าว คาํ ว่า “ตกั บาตร\" เปน็ คํากรยิ าที่ใชก้ ับบุคคลท่วั ไป หมายถงึ กิริยาท่บี ุคคลทั่วไปนาํ สงิ่ ของไปใส่บาตร แตเ่ ด็กออทิสติกใชค้ าํ ว่า “ตักบาตร” ทําหนา้ ที่ เป็นคํากริยา หมายถงึ กิรยิ าทพี่ ระภกิ ษรุ บั สิง่ ของจากผู้ท่นี าํ มาใสบ่ าตรซ่งึ มีความหมายผดิ ไปจากเดมิ คํากริยาดังกลา่ วควรแก้ไขเป็น “บิณฑบาต” จงึ จะเหมาะสม 2.2.2 การใช้คําไม่คงที่ การใช้คาํ ไม่คงท่ี คือ การใช้คําต่างกันแต่มหี น้าท่ีและความหมายเหมือนกนั ใน ข้อความ เดียวกนั สามารถแสดงรายละเอยี ดได้ดงั น้ี “ฉันชอบอยู่ที่วัดมาก แต่ผมก็จาํ พ่อแม่ผมได้ ทุกคนใส่บาตรให้ฉนั หมด จาก จากนั้น ฉนั ฉันต้องนอนอยูท่ วี่ ดั พ่อแมก่ ไ็ มอ่ ยู่ แต่พระอยู่ แต่พระเล้ยี งแต่พระเลยี้ งผมให้” จากตวั อย่างดังกล่าว คาํ ว่า “ฉัน” และ “ผม” เป็นคําสรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 เชน่ เดียวกนั แตเ่ ดก็ ออทสิ ตกิ ใชค้ าํ บรุ ุษสรรพนามทัง้ 2 คาํ ในขอ้ ความเดยี วกนั คาํ บุรุษสรรพนาม ดงั กลา่ วควร แก้ไขโดยเลอื กใช้คาํ ใดคําหนงึ่ จงึ จะเหมาะสม 2.2.3 การใช้คาํ ไม่ถูกระดับ การใช้คําไม่ถูกระดับ คอื การใชค้ ําไม่เหมาะสมกบั ระดับภาษาและวัฒนธรรม การใชภ้ าษา เช่น เพศ อายุ ความสัมพันธ์ระหวา่ งผพู้ ดู และผูฟ้ ัง และสถานภาพทางสังคม เปน็ ต้น สามารถแสดง รายละเอียดไดด้ ังน้ี “ มเี ด็กชายคนหนึ่ง เขาเปน็ เณร เขาอายุแคป่ ระมาณ 7 ปีเอง เขาก็มา บวช” จากตัวอย่างดังกลา่ ว คาํ วา่ “เขา” เป็นคาํ บรุ ษุ สรรพนาม ใชแ้ ทนบุคคล ทวั่ ไปทีถ่ ูก กล่าวถึง แต่เด็กออทิสติกใชค้ ําบรุ ษุ สรรพนามดังกลา่ วกบั สามเณรซึง่ เปน็ สมณเพศ คํา บุรุษสรรพนามดังกลา่ ว ควรแกไ้ ขเป็น “ท่าน” จงึ จะเหมาะสม “พระเดนิ กลบั จะไปบิณฑบาต บิณฑบาตเสร็จก็กลับแลว้ ก็สวดมนต์ เยน็ แล้วกอ็ าบน้าํ อาบน้ํา แปรงฟัน แลว้ ก็ แล้วก็นอน แลว้ กต็ ืน่ แปรงฟนั อาบน้าํ แปรงฟนั แต่งตวั แล้วกท็ านขา้ ว แลว้ กส็ วดมนต์”
53 จากตวั อยา่ งดังกลา่ ว คําวา่ “สวดมนต์” “อาบน้าํ ” “นอน” “แตง่ ตัว” และ “ทาน ข้าว” เปน็ คาํ กรยิ าทใ่ี ช้กบั บุคคลทั่วไป แต่เด็กออทสิ ติกใช้คํากรยิ าดังกลา่ วกับพระสงฆ์ ซ่ึงเปน็ สมณเพศ คํากริยาดังกล่าวควรแก้ไขเป็น “ทาํ วัตร” “สรงนา้ํ ” “จําวคั ” “ครองผา้ ห่มจีวร” และ “ฉันภตั ตาหาร\" ตามลาํ ดับจึงจะเหมาะสม 2.2.4 การใช้คําผิดหลกั ไวยากรณ์ การใชค้ าํ ผดิ หลักไวยากรณ์ คือ การใช้คาํ แตล่ ะชนิดผดิ หนา้ ท่ี เช่น คําสันธาน คําบพุ บท และ คาํ ลกั ษณนาม จากการวิเคราะห์การใชค้ ําผดิ หลักไวยากรณ์ที่ปรากฏในการพูดเลา่ เรื่องของเด็กออทิสติกพบว่า เดก็ ออทสิ ติกใชค้ ําผดิ หลกั ไวยากรณ์ 2 ชนดิ ได้แก่ คาํ สันธานและคาํ ลกั ษณนาม สามารถแสดงรายละเอียดได้ ดงั นี้ 2.2.4.1 คําสนั ธาน “หมาจงึ แอบมาดูเด็กทั้งสองคนด้วย แตเ่ ดก็ คนนี้จึงต่นื นอน...” จากตัวอย่างดังกลา่ ว คาํ ว่า “แต”่ เป็นคาํ สนั ธานที่ใช้เชอ่ื มประโยคเพ่ือ แสดงความ ขดั แย้ง แต่เด็กออทิสติกใช้คําว่า “แต”่ เชือ่ มประโยคซ่งึ ไม่ได้มีความหมายที่แสดงความ ขัดแยง้ กนั ดังนนั้ ควร ตดั คาํ ว่า “แต”่ ในข้อความดังกล่าวออก “หมาจึงแอบมาดเด็กทั้งสองคนด้วย แตเ่ ดก็ คนนี้จงึ ตื่นนอน แลว้ เขาจึง เดินออกไป ขา้ งลา่ ง แล้วเขาจึงรบี กินข้าวดกี วา่ ...” จากตัวอย่างดังกล่าว คําวา่ “จึง” เป็นคําท่ีใชเ้ ช่ือมประโยคเพอื่ แสดงความ ท่ีเป็นผล เนื่องจากเหตขุ ้างหน้า แต่นอกจากเด็กออทิสติกจะใช้คําว่า “จงึ ” เพ่ือแสดงความหมาย ดังกล่าวแล้ว ยังใช้ใน ประโยคท่ัวๆไป โดยท่ีคาํ วา่ “จึง” ไม่ได้แสดงความหมายในประโยคอยา่ งเป็น เหตุเป็นผลกนั ดังนั้นควรตดั คาํ ว่า “จึง” ตาํ แหนง่ ท่ี 2, 3 และ 4 ในข้อความดังกล่าวออกหรืออาจ เปลีย่ นจากคําว่า “จงึ ” เป็น “ก” ซึ่งเปน็ คําเชือ่ มทแี่ สดงความหมายแบบคลอ้ ยตาม 2.2.4.2 คาํ ลกั ษณนาม “ มีพระสององคเ์ นี้ยถือบาตร...” “แบบว่าเณรสองคนน้ีกําลงั เดินไป” จากตวั อย่างดังกลา่ ว คําว่า “องค์” และ “คน” เปน็ คําลักษณนามทใ่ี ชก้ ับ พระพุทธรปู และบคุ คลทั่วไปตามลําดบั แตเ่ ดก็ ออทสิ ตกิ ใช้คําลักษณนามดงั กล่าวกับพระภิกษุ สามเณร คาํ ลักษณนามดังกล่าวควรแก้ไขเปน็ “รปู ” จงึ จะเหมาะสม “มีตํารวจใจร้ายมาทาํ ลายพระพุทธรูปอนั นี้ด้วย” จากตัวอย่างดังกลา่ ว คําว่า “อนั ” เป็นคาํ ลักษณนามท่ีใชก้ ับสิง่ ของท่วั ไป แต่เด็ก ออทิสติกใช้คาํ ลักษณนามดงั กลา่ วกับพระพทุ ธรูปซึ่งมีคําลักษณนามท่ีเหมาะสมอยู่แล้ว คํา ลกั ษณนามดงั กลา่ ว ควรแกไ้ ขเป็น “องค์” จงึ จะเหมาะสม 2.2.5 การใช้คาํ ตกหลน่ การใชค้ ําตกหล่น คือ การใชค้ ําโดยมบี างสว่ นของคําขาดหายไปทาํ ให้คาํ นั้นมี ความหมายไม่ สมบูรณ์ สามารถแสดงรายละเอียดได้ดังน้ี “ฉนั ต่ืนแตเ่ ชา้ ฉันต่นื แตเ่ ชา้ แล้วก็ ก็มาเปดิ ประตู แลว้ ก็ เปิดตู..” จากตวั อยา่ งดังกล่าว เด็กออทิสติกใช้คาํ ว่า “ตู” หมายถึง “ประตู” เห็นได้ ว่า พยางคห์ นา้ ของคําดังกลา่ วขาดหายไปทาํ ให้มีความหมายไม่สมบรู ณ์
54 จากการวิเคราะหเ์ ร่อื งการใช้คําในการพดู เล่าเร่ืองของเด็กออทสิ ตกิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ เดก็ ออทิส ตกิ ใช้คําส่วนใหญ่ไดถ้ ูกตอ้ ง อาจมีข้อบกพรอ่ งบ้างซึ่งปรากฏไม่มากดังที่ไดก้ ลา่ วมาแล้ว 3. การวิเคราะหว์ ลีท่ีใชใ้ นการพูดเล่าเรอื่ งของเดก็ ออทสิ ติก 3.1 ชนิดของวลีท่ีปรากฏในการพูดเลา่ เรอ่ื งของเดก็ ออทิสตกิ วลี คือ หนว่ ยทางภาษาท่ีใชเ้ ปน็ ส่วนประกอบของประโยค อยา่ งไรกต็ ามวลบี างวลสี ามารถ ทาํ หนา้ ที่ เป็นประโยคหนง่ึ ประโยคได้ ดังน้ันการวเิ คราะห์วลีท่ใี ช้ในการพูดเลา่ เร่ืองของเดก็ ออทสิ ติกครง้ั น้ี ผู้วิจยั จะ พจิ ารณาให้ขอ้ ความนน้ั ๆเปน็ วลีหรอื ประโยค โดยพจิ ารณาจาก ความสัมพนั ธ์ในเนอ้ื ความ กล่าวคอื หากเปน็ ข้อความท่ีไม่มคี วามสมั พนั ธใ์ ดๆ กบั ประโยคก่อนหนา้ หรือประโยคหลังผู้วจิ ัยจะจัดใหข้ ้อความน้ันเป็นวลีไมใ่ ช่ ประโยค จากการวเิ คราะห์วลีทปี่ รากฏใน การพดู เล่าเร่ืองของเดก็ ออทิสติก พบว่าเด็กออทิสตกิ ใชว้ ลีในการพูด เลา่ เร่อื งทง้ั หมด 2 ชนิด สามารถแสดงรายละเอยี ดได้ดังนี้ 3.1.1 นามวลี จากการวิเคราะห์พบว่า เดก็ ออทิสติกใชน้ ามวลใี นการพดู เล่าเรอื่ งเป็นจํานวนไม่ มากนัก โดย ปรากฏการใช้นามวลีทง้ั สิน้ 17 วลี นามวลีทป่ี รากฏในการพดู เลา่ เรอ่ื งของเดก็ ออทสิ ติก สามารถจําแนกได้ 3 ชนิด คือ คาํ นามคําเดยี ว คาํ นามสองคํา และคําสรรพนามคําเดยี ว ดังนี้ 3.1.1.1 คาํ นามคําเดยี ว เชน่ ชอ่ื ตา เด็ก คณุ แม่ 3.1.1.2 คาํ นามสองคํา เช่น ตายาย บูทกบั แอนดี พอ่ กับแม่ 3.1.1.3 คําสรรพนามคําเดียว ปรากฏเพยี ง 1 คาํ ดังนี้ เขา 3.1.2 กรยิ าวลี จากการวเิ คราะหพ์ บวา่ เด็กออทสิ ตกิ ใช้กรยิ าวลีในการพดู เล่าเร่ืองเปน็ จาํ นวนนอ้ ย เช่นเดยี วกบั นามวลี โดยปรากฏการใชก้ รยิ าวลที ั้งส้ิน 3 วลี กรยิ าวลที ีป่ รากฏในการพูดเล่าเรอื่ งของ เด็กออทิ สตกิ สามารถจาํ แนกได้ 2 ชนดิ คือ คาํ กริยาคําเดยี ว และคํากรยิ ากับคําหลงั กรยิ า ดังน้ี 3.1.2.1 คาํ กริยาคาํ เดียว ปรากฏเพียง 2 คาํ ดงั น้ี มา เดิน 3.1.2.2 คํากรยิ าและคาํ หลังกริยา ปรากฏเพยี ง 1 คําดงั นี้ เอา(กงุ้ ) /มา คํากริยา คาํ หลงั กรยิ า
55 เมือ่ นําวลที ้งั 2 ชนิดที่ปรากฏในการพูดเล่าเรอ่ื งของเดก็ ออทิสตกิ มานับจํานวน จะเห็นว่าวลี แต่ละ ชนดิ มจี าํ นวนในการใชแ้ ตกต่างกัน แสดงไดด้ งั ตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 7 ตารางแสดงจํานวนชนิดของวลจี ากการพูดเลา่ เร่ือง ชนิดของวลี จาํ นวนวลีทีป่ รากฏในเรอ่ื งเล่า คา่ ร้อยละ 85 นามวลี 17 15 100 กรยิ าวลี 3 รวม 20 จากตารางที่ 7 แสดงใหเ้ หน็ ว่าเด็กออทสิ ติกใช้วลใี นการพดู เล่าเร่ืองเพียง 2 ชนิด วลที เ่ี ดก็ ออทิสติกใช้ มากกวา่ คือ นามวลี ปรากฏ 17 วลี คดิ เป็นรอ้ ยละ 85 สว่ นกริยาวลี ปรากฏเพียง 3 วลี คิด เปน็ รอ้ ยละ 15 3.2 โครงสรา้ งของวลที ่ีปรากฏในการพูดเลา่ เรื่องของเด็กออทสิ ติก วลที ี่นํามาวเิ คราะห์โครงสรา้ งมีเพยี ง 2 ชนดิ คือ นามวลีและกริยาวลี โดยมี รายละเอียดดงั น้ี 3.2.1 โครงสรา้ งนามวลี จากการวเิ คราะหน์ ามวลที ีป่ รากฏในการพดู เลา่ เรอ่ื งของเด็กออทสิ ตกิ จํานวน 17 วลี พบว่ามี จาํ นวนโครงสร้างนามวลีเพียง 1 รูปแบบ คอื 3.2.1.1 แบบหน่วยหลกั (ล) เชน่ พอ่ กับแม่ ล บูทกบั แอนดี ล เด็ก ล ชือ่ ล 3.2.2 โครงสรา้ งกริยาวลี จากการวิเคราะหก์ รยิ าวลที ี่ปรากฏในการพูดเลา่ เรอ่ื งของเดก็ ออทิสติก จํานวน 3 วลี พบวา่ มจี ํานวนโครงสรา้ งกรยิ าวลี 1 รปู แบบ คือ 3.2.2.1 แบบหนว่ ยแกน่ (ก) ไดแ้ ก่ มา ก เดนิ ก เอากุง้ มา ก เมอ่ื พิจารณาโครงสร้างของวลที ง้ั 2 ชนดิ พบว่า โครงสร้างนามวลีและกรยิ าวลีมเี พยี ง 1 รูปแบบ เนือ่ งจากวลีทปี่ รากฏในการพูดเล่าเร่อื งมจี าํ นวนไม่มากนกั จึงทําใหโ้ ครงสรา้ งของวลี ปรากฏนอ้ ยเช่นกัน
56 4. การวิเคราะหป์ ระโยคท่ใี ช้ในการพดู เล่าเร่อื งของเด็กออทิสตกิ 4.1 ชนิดของประโยคทปี่ รากฏในการพดู เลา่ เรือ่ งของเดก็ ออทิสติก จากการวิเคราะห์ประโยคทป่ี รากฏในการพูดเล่าเรอ่ื งของเด็กออทสิ ติกจํานวน 220 ประโยค พบวา่ เด็กออทิสติกใช้ประโยค 3 ชนดิ ในการเลา่ เรื่อง คือ ประโยคสามัญ ประโยคซบั ซ้อน และ ประโยคผสม โดยสามารถแสดงรายละเอียดไดด้ ังนี้ 4.1.1 ประโยคสามญั ประโยคสามญั เป็นประโยคชนิดทเ่ี ด็กออทสิ ติกใช้ในการพูดเลา่ เรื่องมาก ท่ีสุด เช่น ตุ๊กตาหมตี ัวเนยี้ มนั เกือบจะตกพื้นแล้วดว้ ย ชา้ งแปรนั แปรนั กาํ ลงั พ่นน้ําเบเบ ไมร่ แู้ ล้ว เป็นอย่างเงี้ย 4.1.2 ประโยคซับซ้อน ประโยคซบั ซ้อนทเี่ ด็กออทิสติกใช้ในการพูดเล่าเร่ืองสามารถจําแนกได้ 3 ประเภท คือ ประโยคซบั ซ้อนท่ีมีอนพุ ากยน์ าม ประโยคซับซ้อนทีม่ ีอนพุ ากย์คุณศัพท์ และประโยค ซับซอ้ นที่มีอนุพากย์ วเิ ศษณ์ ดังนี้ 4.1.2.1 ประโยคซับซ้อนทมี่ ีอนุพากยน์ าม เช่น เหน็ ดอกไม้กําลงั งอกข้นึ มา ตัวอยา่ งน้เี ป็นประโยคซบั ซ้อนท่ีประกอบด้วยอนุพากยห์ ลัก และ อนุพากย์นาม อนพุ ากยห์ ลักคือ “เห็นดอกไม้\" อนพุ ากยน์ ามคอื “กําลังงอกขึน้ มา\" ซ่ึงอนุพากย์นาม ในประโยคดังกล่าวน้ที ํา หน้าท่เี ปน็ กรรมของประโยค สัตวต์ วั นัน้ บอกช้างว่าทาํ แบบนกี้ บั ฉันได้ยังไง ฉันไมช่ อบ ตวั อยา่ งนเ้ี ปน็ ประโยคซับซ้อนที่ประกอบดว้ ยอนุพากย์หลัก และ อนุพากย์นาม อนุพากย์หลักคือ “สัตวต์ วั นน้ั บอกชา้ ง” อนุพากยน์ ามคือ “ว่าทาํ แบบนี้กับฉันได้ ยงั ไง ฉันไมช่ อบ” ซึง่ อนุ พากย์นามในประโยคดังกลา่ วนท้ี าํ หน้าท่ีเปน็ กรรมของประโยค 4.1.2.2 ประโยคซับซอ้ นท่ีมีอนพุ ากย์คุณศัพท์ ปรากฏ 2 ประโยคไดแ้ ก่ ในขณะนนั้ ตอนทเี่ ขาโตมา แม่เขากเ็ สียชวี ิตจากไป ตัวอย่างนเ้ี ป็นประโยคซบั ซ้อนที่ประกอบดว้ ยอนุพากย์หลัก และ อนุพากย์คณุ ศพั ท์ อนุพากย์หลักคือ “ในขณะนน้ั ตอนแมเ่ ขากเ็ สียชีวิตจากไป” อนุพากยค์ ุณศัพท์ คือ “ท่เี ขาโตมา” ซึง่ อนุพากย์ คณุ ศัพทใ์ นประโยคดงั กลา่ วนท้ี าํ หน้าทีข่ ยายนามวลี “ตอน” ใน อนพุ ากย์หลกั เขาจาํ สิง่ ที่พระสอนได้ ตวั อย่างนี้เปน็ ประโยคซบั ซ้อนท่ปี ระกอบด้วยอนุพากยห์ ลัก และ อนุพากยค์ ุณศพั ท์ อนพุ ากยห์ ลักคือ “เขาจําส่ิงได้\" อนพุ ากย์คณุ ศัพทค์ ือ “ทพี่ ระสอน” ซง่ึ อนุพากย์คณุ ศัพท์ในประโยคดังกลา่ วน้ี ทาํ หน้าท่ขี ยายนามวลี “สงิ่ ” ในอนพุ ากย์หลัก 4.1.2.3 ประโยคซบั ซ้อนที่มีอนุพากย์วิเศษณ์ เชน่ พระสององคน์ ีจ้ ะเดินไปใหค้ นบิณฑบาต ตัวอย่างนี้เปน็ ประโยคซับซ้อนทีป่ ระกอบดว้ ยอนพุ ากยห์ ลกั และ อนุพากย์วิเศษณ์
57 อนพุ ากยห์ ลกั คือ “พระสององค์นีจ้ ะเดนิ ไป\" อนพุ ากย์วเิ ศษณค์ ือ “ให้คน บณิ ฑบาต” ซ่งึ อนุพากยว์ ิเศษณ์ใน ประโยคดังกล่าวนที้ ําหนา้ ท่ขี ยายกรยิ าวลี “จะเดนิ ไป” ใน อนพุ ากย์หลัก พ่อกับแม่ไปส่งผมที่บ้านคุณตาคณุ ยายเพ่อื คา้ งคนื หนึ่งคืน ตัวอย่างนี้เปน็ ประโยคซบั ซ้อนท่ปี ระกอบดว้ ยอนุพากย์หลัก และ อนุพากยว์ เิ ศษณ์ อนุพากย์หลักคือ “พอ่ กบั แม่ไปส่งผมที่บา้ นคุณตาคุณยาย” อนุพากย์วเิ ศษณค์ ือ “เพ่ือค้างคืนหน่งึ คนื \" ซ่ึงอนุ พากยว์ เิ ศษณ์ในประโยคดงั กล่าวน้ีทําหนา้ ทขี่ ยายกริยาวลี “ไปสง่ ” ใน อนุพากย์หลัก 4.1.3 ประโยคผสม ประโยคผสมทีเ่ ด็กออทิสติกใช้ในการพูดเลา่ เรอื่ งสามารถจาํ แนกได้ 3 ประเภท คือ ประโยค ผสมท่ีเกดิ จากประโยคสามัญรวมกบั ประโยคสามัญ ประโยคผสมทเี่ กดิ จากประโยคสามัญ รวมกับประโยค ซบั ซ้อน และประโยคผสมที่เกิดจากประโยคซับซอ้ นรวมกับประโยคซบั ซ้อน นอกจากนย้ี ังสามารถจาํ แนก ประโยคผสมแตล่ ะประเภทตามใจความของประโยคไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ ประโยคผสมท่ีมีใจความคล้อยตาม กัน และประโยคผสมทีม่ ใี จความขัดแยง้ กัน ดังน้ี 4.1.3.1 ประโยคผสมท่เี กดิ จากประโยคสามัญรวมกบั ประโยคสามญั สามารถจําแนก ได้ 2 ประเภท ดงั นี้ 4.1.3.1.1 ประโยคผสมทม่ี ีใจความคล้อยตามกัน เช่น พอไปถงึ โรงเรยี นลูกก็ไปสวสั ดีคุณครู ตัวอยา่ งนเี้ ปน็ ประโยคผสมทเ่ี กดิ จากประโยคสามญั 2 ประโยค คือประโยค “ไปถึงโรงเรียน” และประโยค “ลกู ไปสวสั ดคี ณุ ครู” โดยมคี ําวา่ “พอก” เป็นคําเชือ่ ม ประโยค แปรงฟัน แลว้ ก็นอน แลว้ กต็ ื่น ตัวอย่างนี้เป็นประโยคผสมทเ่ี กดิ จากประโยคสามญั 3 ประโยค คอื ประโยค “แปรงฟนั ” “นอน” และ “ตน่ื ” โดยมีคําวา่ “แล้วก” เป็นคาํ เชอื่ มประโยค 4.1.3.1.2 ประโยคผสมทีม่ ใี จความขัดแย้งกัน เชน่ เขาตน่ื แต่วา่ อกี คนหนึ่งไม่ตื่น ตวั อยา่ งนี้เปน็ ประโยคผสมที่เกิดจากประโยคสามัญ 2 ประโยค คอื ประโยค “เขาตืน่ ” และประโยค “อีกคนหน่ึงไม่ต่นื ” โดยมคี ําว่า “แต่ว่า” เปน็ คําเช่อื มประโยค ทาํ ไมคนน้ีเป็นผชู้ ายแต่ถักเปีย ตวั อยา่ งน้ีเป็นประโยคผสมทเ่ี กดิ จากประโยคสามัญ 2 ประโยค คือประโยค “ทําไมคนน้ีเป็นผ้ชู าย\" และประโยค “ถักเปีย” โดยมีคําว่า “แต่\" เปน็ คําเชอ่ื มประโยค 4.1.3.2 ประโยคผสมทเ่ี กดิ จากประโยคสามัญรวมกบั ประโยคซบั ซ้อน สามารถ จําแนกได้ 2 ประเภท ดงั นี้ 4.1.3.2.1 ประโยคผสมที่มีใจความคลอ้ ยตามกัน เช่น มีเด็กสองคนกําลังนอน แล้วแม่กม็ าปลูก แล้วเขาตน่ื ตัวอย่างนเี้ ปน็ ประโยคผสมทีเ่ กิดจากประโยคซบั ซ้อนคือ “มเี ดก็ สองคน กําลงั นอน” และประโยคสามัญ 2 ประโยคคือ “แมก่ ็มาปลุก” และ “เขาตื่น” โดยมีคําว่า “แลว้ \" เป็นคาํ เชื่อม ประโยค คาดวา่ ช้างอาจจะด่มื นาํ้ แลว้ ก็พ่นนํ้า ตัวอยา่ งน้ีเป็นประโยคผสมท่ีเกดิ จากประโยคซบั ซ้อนคือ \"คาดว่า ชา้ ง อาจจะดื่มนาํ้ \" และประโยคสามญั “พน่ น้าํ ” โดยมีคําว่า “แล้วก\"็ เปน็ คาํ เชอ่ื มประโยค
58 4.1.3.2.2 ประโยคผสมท่มี ใี จความขัดแย้งกนั เช่น มีคณุ แมข่ องเขามาเรียกลกู ๆให้ตื่น แตค่ นนย้ี ังไมต่ น่ื แต่คนน้กี ็ ตนื่ แล้ว ตวั อย่างน้เี ป็นประโยคผสมที่เกดิ จากประโยคซับซ้อนคือ “มคี ุณ แม่ของเขา มาเรียกลกู ให้ตนื่ ” และประโยคสามญั 2 ประโยคคือ “คนนย้ี ังไมต่ นื่ ” และ “คนนกี้ ต็ ่ืน แลว้ ” โดยมคี ําว่า “แต่” เปน็ คําเชอื่ มประโยค ตอนวยั โตฉนั เป็นนกั ร้องเพลง แตพ่ อตอนน้ฉี ันบวชเป็นพระแล้ว ฉันเลยเฝ้า อยูท่ ี่วดั ตัวอยา่ งนเ้ี ปน็ ประโยคผสมทีเ่ กดิ จากประโยคสามญั คอื “ตอนวัย โตฉนั เปน็ นกั ร้องเพลง” และประโยคซับซอ้ น “พอตอนนฉี้ ันบวชเปน็ พระแลว้ ฉนั เลยเฝา้ อยู่ทวี่ ดั ” โดยมีคาํ ว่า “แต”่ เปน็ คาํ เชือ่ มประโยค 4.1.3.3 ประโยคผสมที่เกิดจากประโยคซบั ซอ้ นรวมกับประโยคซับซ้อน สามารถ จําแนกได้ 2 ประเภท ดงั นี้ 4.1.3.3.1 ประโยคผสมทีม่ ใี จความคลอ้ ยตามกนั เช่น เขากําลงั จะกนิ ปอยู่ เขาจงึ บอกพ่อกับแมว่ า่ อยากกินแล้วคะ่ แลว้ พอกินไป อรอ่ ยจงึ ชอบกนิ ปู ตัวอยา่ งนเี้ ปน็ ประโยคผสมท่เี กิดจากประโยคซบั ซ้อนคือ “เขา กําลงั จะกิน ปูอยู่ เขาจงึ บอกพ่อกับแมว่ า่ อยากกนิ แลว้ ค่ะ” และประโยคซบั ซอ้ น “พอกนิ ไปอร่อยจึง ชอบกนิ ปู” โดยมีคําวา่ “แล้ว” เปน็ คําเชอื่ มประโยค กาลครงั้ หนึง่ นานมาแล้วมีชา้ งช่อื โปโปกําลังเดินเล่นอยู่ แล้วเขาก็ เผลอพ่นนํา้ ออกมาจนโดนนก ตัวอยา่ งน้ีเป็นประโยคผสมที่เกดิ จากประโยคซบั ซ้อนคือ “กาลคร้ังหน่ึงนาน มาแล้วมชี ้างช่ือโปโปกําลังเดินเล่นอยู่” และประโยคซับซ้อน “เขาก็เผลอพน่ นาํ้ ออกมาจนโคนนก” โดยมคี ําวา่ “แลว้ \" เปน็ คาํ เชือ่ มประโยค 4.1.3.3.2 ประโยคผสมทม่ี ีใจความขัดแย้งกนั เชน่ ตอนเขา้ มาแมป่ ลุกใหฉ้ ันตื่น แต่ฉันยงั หลับอยู่ พ่ีเลยตื่นเปน็ คนเเรก ตัวอยา่ งน้เี ปน็ ประโยคผสมทเ่ี กิดจากประโยคซับซ้อนคือ “ตอน เข้ามาแม่ ปลุกใหฉ้ ันตน่ื ” และประโยคซับซอ้ น “ฉนั ยงั หลับอยู่ พ่ีเลยต่นื เปน็ คนแรก” โดยมีคําวา่ “แต่” เป็นคําเช่อื ม ประโยค วนั ตอ่ มามนั ทนไม่ไหว มันจงึ ผลักชา้ งนอ้ ยลงแม่นาํ้ แตไ่ ม่ตก เพราะมันเอา ตัวรอด ตัวอยา่ งนเ้ี ปน็ ประโยคผสมท่ีเกิดจากประโยคซบั ซ้อนคือ “วนั ตอ่ มามนั ทน ไมไ่ หว มนั จึงผลกั ชา้ งน้อยลงแมน่ าํ้ ” และประโยคซบั ซอ้ น “ไมต่ กเพราะมันเอาตัว รอด” โดยมคี าํ วา่ “แต่” เป็นคําเช่อื มประโยค
59 เมอ่ื นาํ ประโยคทั้งสามชนิดท่ีปรากฏในการพูดเลา่ เรอื่ งของเดก็ ออทิสติกมานับจาํ นวน จะ เหน็ ว่า ประโยคแต่ละชนิดมีจาํ นวนในการใช้แตกต่างกนั โดยแสดงได้ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี ตารางท่ี 8 ตารางแสดงจาํ นวนชนิดของประโยคในการพดู เลา่ เรือ่ ง ชนิดของประโยค จํานวนประโยคที่ปรากฏในการพูดเล่าเรื่อง ค่ารอ้ ยละ 51.37 ประโยคสามญั 113 22.27 26.36 ประโยคซบั ซ้อน 49 100 ประโยคผสม 58 รวม 220 จากตารางท่ี 8 แสดงใหเ้ หน็ ว่าประโยคทีเ่ ด็กออทิสติกใช้เล่าเร่ืองมี 3 ชนิด คอื ประโยค สามญั ประโยคซบั ซ้อน และประโยคผสม ประโยคที่เด็กออทิสตกิ ใชม้ ากท่สี ุดคือประโยคสามัญ ปรากฏ 113 ประโยค คิดเปน็ รอ้ ยละ 51.37 รองลงมาคือประโยคผสม ปรากฎ 58 ประโยค คดิ เปน็ ร้อยละ 26.36 สว่ นประโยค ซับซอ้ นปรากฏนอ้ ยทส่ี ดุ ปรากฎ 49 ประโยค คดิ เป็นร้อยละ 22.27 4.2 โครงสรา้ งประโยคทปี่ รากฏในการพูดเลา่ เรื่องของเด็กออทสิ ตกิ ผูว้ ิจยั จะจําแนกการวิเคราะหโ์ ครงสร้างประโยคออกเปน็ 2 ประเภท คือ โครงสรา้ ง ของ ประโยคสามัญ และโครงสร้างของประโยคซบั ซ้อน โดยมรี ายละเอียดดังนี้ 4.2.1 โครงสร้างของประโยคสามญั จากการวิเคราะหโ์ ครงสร้างของประโยคสามญั ในการพดู เล่าเรื่องของเด็ก ออทิสติก พบว่ามจี ํานวนโครงสรา้ งทง้ั ส้ิน 22 รปู แบบ ดังน้ี 4.2.1.1 แบบกรยิ าอรรม (อ) 4.2.1.2 แบบประธาน-กรยิ าอกรรม (ปอ) 4.2.1.3 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ส/ต) 4.2.1.4 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ป/ส/ต) 4.2.1.5 แบบกริยาสกรรม (ส) 4.2.1.6 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม (ป/ส) 4.2.1.7 แบบนามเด่ยี ว-นามเดี่ยว (นด/นด.) 4.2.1.8 แบบกาลวลี-ประธาน-กรยิ าอกรรม (วปอ) 4.2.1.9 แบบกาลวลี-ประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (วปส./ต) 4.2.1.10 แบบกาลวลี-ประธาน-กริยาสกรรม-สถานวลี (วป/ส/ถ) 4.2.1.11 แบบกาลวลี-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ว/ส/ต) 4.2.1.12 แบบกาลวลี-กริยาอกรรม (ว/อ) 4.2.1.13 แบบประธาน-กริยาอกรรม-สถานวลี (ปอ/ถ) 4.2.1.14 แบบกริยาอกรรม-สถานวลี (อ/ถ) 4.2.1.15 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กาลวลี (ป/ส/ว) 4.2.1.16แบบประธาน-กริยาสกรรม-สถานวลี-กาลวลี (ปเส/ถ/ว) 4.2.1.17 แบบประธาน-กรยิ าอกรรม-กาลวลี (ปอ/ว)
60 4.2.1.18 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-สถานวลี (ป/ส/ถ) 4.2.1.19 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ปเส/ด/ถ) 4.2.1.20 แบบกริยาสกรรม-กรรมตรง-กาลวลี (ส/ต/ว) 4.2.1.21 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ส/ด/ถ) 4.2.1.22 แบบประธาน-กรยิ าทวิกรรม-กรรมตรง (ปท/ต) โครงสร้างประโยคสามัญของเดก็ ออทสิ ติกทั้ง 22 รูปแบบสามารถแสดง รายละเอียดได้ดังน้ี 4.2.1.1 แบบกรยิ าอรรม (อ) โครงสรา้ งประโยคสามญั แบบกรยิ าอกรรมปรากฏ 40 ประโยค เช่น จบแลว้ คะ่ อ แค่นี้ อ นอน อ ตกั บาตรไกล อ 4.2.1.2 แบบประธาน-กรยิ าอกรรม (ปอ) โครงสรา้ งประโยคสามญั แบบประธานและกริยาอกรรมปรากฏ 12 ประโยค เชน่ เณรสองคนน้ี / กําลงั เดนิ ไป ปอ นก / กบ็ นิ ลง ปอ ชา้ ง/ ไมย่ อม ปอ อนั นี้ / หมดแลว้ ปอ 4.2.1.3 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ส/ต) โครงสร้างประโยคสามญั แบบกริยาสกรรมและกรรมตรงปรากฏ 8 ประโยค เช่น มี / เด็กชายคนหน่งึ สต มี / หมดี ้วย สต เหน็ / ตุ๊กตาหมดี ว้ ย
61 สต แกล้งเป็น / เด็ก สต 4.2.1.4 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ป/ส/ต) โครงสร้างประโยคสามญั แบบประธาน กรยิ าสกรรมและกรรม ตรงปรากฏ 19 ประโยค เชน่ ช้างตัวหนึ่ง / พ่น / น้ํา ป สต เขา / เป็น / เณร ป สต คุณแม่ / ก็เปดิ / ประตู / ดว้ ย ป ส_ ต _ส เขา/ กิน/ ปู ป สต 4.2.1.5 แบบกรยิ าสกรรม (ส) โครงสรา้ งประโยคสามัญแบบกรยิ าสกรรมปรากฏ 2 ประโยค ได้แก่ ไม่รแู้ ลว้ ส ยงิ ส 4.2.1.6 แบบประธาน-กริยาสกรรม (ปส) โครงสรา้ งประโยคสามญั แบบประธานและกรยิ าสกรรมปรากฏ 4 ประโยค ไดแ้ ก่ เด็กๆ / จงึ ดูอยนู่ นี่ า ปส ชา้ งหนา้ แบ็น / กย็ งิ พ่นนา้ํ ใส่ ปส เขา / กไ็ มท่ าํ ปส นอ้ ง / เลยตกทลี ะเล็กทลี ะน้อย ปส 4.2.1.7 แบบนามเดยี่ ว -นามเดยี่ ว (นค.นค.) โครงสร้างประโยคสามัญแบบนามเกี่ยวปรากฏ 2 ประโยค ได้แก่ ตัว / อะไรเนยี่ นค. นค. เขา/อายุแคป่ ระมาณ 7 ปเี อง นค. นค.
62 4.2.1.8 แบบกาลวลี-ประธาน-กรยิ าอกรรม (ว/ปอ) โครงสรา้ งประโยคสามัญแบบกาลวลี ประธานและกรยิ าอกรรม ปรากฏ 2 ประโยค ไดแ้ ก่ ขณะนัน้ / น้องหมี / กต็ กลงไป วป อ ตอนน้ัน / เขา / กท็ ํางานแลว้ วป อ 4.2.1.9 แบบกาลวลี-ประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง (วปส.ต) โครงสร้างประโยคสามัญแบบกาลวลี ประธาน กริยาสกรรมและ กรรมตรงปรากฏ 2 ประโยค ได้แก่ ตอนเด็ก / ฉัน / เป็น / แค่คนธรรมดา ว ปส ต ตอนวยั หนุ่ม / ฉัน / เปน็ / นักเรยี น ว ป สต 4.2.1.10 แบบกาลวลี-ประธาน-กรยิ าสกรรม-สถานวลี (ว/ป/ส/ถ) โครงสรา้ งประโยคสามญั แบบกาลวลี ประธาน กริยาสกรรมและ สถานวลปี รากฏเพียง 1 ประโยค ได้แก่ ขณะน้นั / เขา / กอ็ ยู่* / ทีว่ ดั / กบั พระ ว ป ส_ ถ _ส 4.2.1.11 แบบกาลวลี-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ว/ส/ต) โครงสร้างประโยคสามญั แบบกาลวลี กรยิ าสกรรมและกรรมตรง ปรากฏ 5 ประโยค เชน่ กาลคร้งั หน่งึ นานมาแลว้ / มี / วดั อยแู่ หง่ หนึ่งชอื่ ว่าวดั พระแก้ว วสต กาลครง้ั หน่งึ / มี / เดก็ คนหน่งึ ชอื่ วา่ แอนนา วส ต วันต่อมา / คดิ / แผนใหม่ วส ต 4.2.1.12 แบบกาลวลี-กรยิ าอกรรม (วเอ) โครงสรา้ งประโยคสามัญแบบกาลวลแี ละกรยิ าอกรรมปรากฏ 3 ประโยค ได้แก่ มืดแล้ว / กอ็ าบนํ้า วอ เชา้ แลว้ / ก็อาบน้าํ วอ เยน็ แลว้ / กอ็ าบน้ํา วอ 4.2.1.13 แบบประธาน-กริยาอกรรม-สถานวลี (ป/อ/ถ) โครงสรา้ งประโยคสามัญแบบประธาน กรยิ าอกรรมและ สถานวลปี รากฎ 4 ประโยค
63 ได้แก่ ตกุ๊ ตาหมตี ัวเนยี้ มัน / เกือบจะตก / พน้ื แล้วด้วย ป อถ ฉนั / ต้องนอนอยู่ /ทีว่ ัด ปอ ถ 4.2.1.14 แบบกริยาอกรรม-สถานวลี (อ/ถ) โครงสร้างประโยคสามัญแบบกรยิ าอกรรมและสถานวลปี รากฏ 1 ประโยค ดังนี้ เลยตก / น้าํ ป่มุ ปมุ่ / อีกครัง้ อ_ ถ _อ 4.2.1.15 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กาลวลี (ป/ส/ว) โครงสร้างประโยคสามญั แบบประธาน กริยาสกรรมและกาลวลี ปรากฏ 1 ประโยค ดงั นี้ เขา / ไปกนิ / เยน็ ๆ ปส ว 4.2.1.16 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง-กาลวลี (ป/ส/ถว) โครงสร้างประโยคสามัญแบบประธาน กรยิ าสกรรม สถานวลี และกาลวลีปรากฏ 1 ประโยค ดงั นี้ พระ / ก็อยู่ / ในวัด/ ทุกวนั ป ส ถว 4.2.1.17 แบบประธาน-กรยิ าอกรรม-กาลวลี (ปอ/ว) โครงสร้างประโยคสามญั แบบประธาน กริยาอกรรมและกาลวลี ปรากฎ 1 ประโยค ดงั น้ี พระ/กไ็ ม่ออกมาบิณฑบาต / แคว่ ันพุธวันเดียวเทา่ นัน้ ต่อไปน้ี ปอ ว 4.2.1.18 แบบประธาน-กริยาสกรรม-สถานวลี (ป/ส/ถ) โครงสร้างประโยคสามญั แบบประธาน กริยาสกรรมและ สถานวลีปรากฏ 1 ประโยค ดังน้ี นกสองตวั / มาเกาะ / ทห่ี ลังชา้ งหนา้ แป็น ป สถ 4.2.1.19 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ปส./ต/ถ) โครงสร้างประโยคสามญั แบบประธาน กริยาสกรรม กรรมตรง และสถานวลีปรากฏ 1 ประโยค ดงั นี้ เด็กหญงิ คนหนึ่ง / พา / หมาตัวหน่งึ / มา / ทหี่ ้องนอน ป ส_ ต _ส ถ 4.2.1.20 แบบกริยาสกรรม-กรรมตรง-กาลวลี (ส/ต/ว) โครงสร้างประโยคสามัญแบบกริยาสกรรม กรรมตรงและ สถานวลปรากฎ 1 ประโยค ดังนี้
64 กนิ / เจ้าน่ี / ก่อน สต ว 4.2.1.21 แบบกรยิ าสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ส./ต/ถ) โครงสรา้ งประโยคสามญั แบบกริยาสกรรม กรรมตรงและ สถานวลีปรากฏ 1 ประโยค ดงั น้ี จับ / ปู / จากทะเลสาบ สตถ 4.2.1.22 แบบประธาน-กรยิ าทวิกรรม-กรรมตรง (ปท/ต) โครงสรา้ งประโยคสามัญแบบประธาน กริยาทวิกรรมและ กรรมตรงปรากฎ 1 ประโยค ดงั นี้ เขา / ให้ /อาหารพิษ ปท ต เมือ่ นําโครงสร้างประโยคสามัญรปู แบบตา่ งๆ จากการพดู เล่าเรอ่ื งของเด็กออทสิ ติกมานบั จํานวน จะ เห็นวา่ โครงสร้างประโยคสามัญแตล่ ะรูปแบบมจี าํ นวนในการใช้แตกต่างกัน โดยแสดง ได้ดงั ตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 9 ตารางแสดงจาํ นวนโครงสร้างประโยคสามัญท่ปี รากฏในการพูดเล่าเรือ่ ง โครงสรา้ งประโยคสามัญ จาํ นวนประโยคท่ปี รากฎ ค่ารอ้ ยละ 35.4 1.แบบ อ 40 10.62 7.08 2.แบบ ป/อ 12 16.81 1.78 3.แบบ ส/ต 8 3.55 1.78 4.แบบ ป/ส/ต 19 1.78 1.78 5.แบบ ส 2 0.88 4.42 6.แบบ ป/ส 4 2.65 3.55 7.แบบ นด./นด. 2 0.88 0.88 8.แบบ ว/ป/อ 2 0.88 0.88 9.แบบ ว/ป/ส/ต 2 0.88 0.88 10.แบบ ว/ป/ส/ถ 1 11.แบบ ว/ส/ต 5 12.แบบ ว/อ 3 13.แบบ ป/อ/ถ 4 14.แบบ อ/ถ 1 15.แบบ ป/ส/ว 1 16.แบบ ป/ส/ถ/ว 1 17.แบบ ป/อ/ว 1 18.แบบ ป/ส/ถ 1 19.แบบ ป/ส/ต/ถ 1
65 20.แบบ ส/ต/ว 1 0.88 21.แบบ ส/ต/ถ 1 0.88 22.แบบ ป/ท/ต 1 0.88 รวม 113 100 จากตารางท่ี 9 แสดงใหเ้ ห็นว่าเดก็ ออทสิ ติกใช้โครงสร้างประโยคสามญั ในการพดู เล่าเรือ่ ง 22 รูปแบบ โครงสร้างท่ีเด็กใช้มากท่สี ุดคือ โครงสรา้ งแบบกริยาอกรรม ปรากฏ 40 ประโยค คิดเปน็ รอ้ ยละ 35.40 รองลงมาคือโครงสร้างแบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง ปรากฏ 19 ประโยค คิด เป็นรอ้ ยละ 16.81 โครงสรา้ งแบบประธาน-กรยิ าอกรรม ปรากฏ 12 ประโยค คดิ เปน็ ร้อยละ 10.62 และโครงสรา้ งแบบกริยาสก รรม-กรรมตรงปรากฏ 8 ประโยค คดิ เปน็ ร้อยละ 7.08 ส่วนโครงสร้าง รปู แบบอ่ืนๆ ปรากฏไมม่ ากนกั 4.2.2 โครงสร้างของประโยคซบั ซอ้ น จากการวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งประโยคซับซ้อนในการพูดเล่าเร่ืองของเด็ก ออทสิ ติก พบวา่ มีจํานวนโครงสร้างประโยคทงั้ ส้ิน 12 รูปแบบ ดังน้ี 4.2.2.1 แบบกรยิ าอรรม (อ) 4.2.2.2 แบบประธาน-กรยิ าอกรรม (ปอ) 4.2.2.3 แบบกริยาสกรรม-กรรมตรง (ส/ต) 4.2.2.4 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ปส./ต) 4.2.2.5 แบบกรยิ าสกรรม (ส) 4.2.2.6 แบบประธาน-กริยาสกรรม (ป/ส) 4.2.2.7 แบบกาลวลี-ประธาน-กริยาอกรรม (วปอ) 4.2.2.8 แบบกาลวลี-กริยาสกรรม-กรรมตรง (ว/ส/ต) 4.2.2.9 แบบประธาน-กริยาทวิกรรม (ปท/ต) 4.2.2.10 แบบกริยาอรรม-สถานวลี-กาลวลี (อ/ถ/ว) 4.2.2.11 แบบประธาน-กริยาทวิกรรม-กรรมรอง-กรรมตรง (ปท/ร/ต) 4.2.2.12 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ปส./ต/ถ) โครงสร้างประโยคซบั ซ้อนของเดก็ ออทิสติกท้งั 12 รูปแบบสามารถ แสดง รายละเอียดไดด้ ังน้ี 4.2.2.1 แบบกรยิ าอรรม (อ) โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนแบบกรยิ าอกรรม ปรากฏเพียง 1 ประโยค ได้แก่ รอ้ งไหแ้ งๆ จนตุ๊กตาหมหี ล่นไป อ ตัวอยา่ งน้เี ปน็ ประโยคซับซ้อนทีป่ ระกอบดว้ ยอนุพากยห์ ลักและ อนุพากย์ วิเศษณ์ อนุพากย์หลักคือ “รอ้ งไห้แงๆ\" และมีอนุพากย์วิเศษณ์ “จนตกุ๊ ตาหมีหลน่ ไป\" ทํา หน้าท่ขี ยาย “รอ้ งไห้แงๆ” ซงึ่ เป็นกริยาอกรรมในอนุพากยห์ ลัก
66 4.2.2.2 แบบประธาน-กริยาอกรรม (ปอ) โครงสร้างประโยคซบั ซ้อนแบบประธานและกริยาอกรรม ปรากฏ 12 ประโยค เช่น พระสององค์นี้ / จะเดินไปให้คนบณิ ฑบาต ปอ ตัวอยา่ งนเี้ ปน็ ประโยคซบั ซ้อนทปี่ ระกอบด้วยอนุพากย์หลักและ อนพุ ากย์ วเิ ศษณ์ อนุพากยห์ ลักคือ “พระสององคน์ ีจ้ ะเดินไป” และมีอนุพากยว์ ิเศษณ์ “ใหค้ น บิณฑบาต” ทําหนา้ ท่ี ขยาย “จะเดินไป” ซงึ่ เปน็ กริยาอกรรมในอนุพากยห์ ลัก ทกุ คน / ใส่บาตรให้ฉนั หมด ปอ ตัวอยา่ งน้เี ป็นประโยคซับซ้อนทีป่ ระกอบด้วยอนุพากยห์ ลกั และ อนุพากย์ วเิ ศษณ์ อนุพากยห์ ลักคือ “ทุกคนใสบ่ าตร” และมีอนุพากย์วเิ ศษณ์ “ใหฉ้ นั หมด” ทาํ หนา้ ที่ขยาย “ใส่บาตร” ซงึ่ เป็นกริยาอกรรมในอนุพากย์หลกั ผม / รบี ไปอาบน้ําแปรงฟันเพื่อจะไปโรงเรียน ปอ ตวั อย่างนี้เปน็ ประโยคซับซ้อนที่ประกอบด้วยอนุพากยห์ ลกั และ อนุพากย์ วิเศษณ์ อนุพากย์หลักคือ “ผมรบี ไปอาบนาํ้ แปรงฟัน” และมีอนพุ ากย์วิเศษณ์ “เพื่อจะไป โรงเรยี น” ทาํ หนา้ ท่ี ขยาย “รีบไปอาบนา้ํ แปรงฟัน” ซง่ึ เป็นกริยาอกรรมในอนุพากยห์ ลกั 4.2.2.3 แบบกริยาสกรรม-กรรมตรง (ส/ต) โครงสรา้ งประโยคซับซ้อนแบบกริยาสกรรมและกรรมตรง ปรากฏ 12 ประโยค เช่น เหน็ / คอกไมก้ ําลงั งอกขึน้ มา สต ตวั อย่างนี้เป็นประโยคซบั ซ้อนท่ีประกอบดว้ ยอนพุ ากย์หลกั และ อนุพากย์ นาม อนุพากยห์ ลักคือ “เห็นดอกไม้ และมีอนุพากย์นาม “ดอกไม้กําลงั งอกขนึ้ มา” ทาํ หน้าท่เี ป็นกรรมตรง ของประโยค มี / เด็กๆยืนคอยอยู่ สต ตัวอย่างนเี้ ป็นประโยคซบั ซ้อนทป่ี ระกอบดว้ ยอนุพากย์หลกั และ อนุพากย์ นาม อนุพากย์หลักคือ “มเี ด็กๆ” และมีอนุพากยน์ าม “เด็กๆยืนคอยอยู่” ทําหน้าที่เป็น กรรมตรงของประโยค 4.2.2.4 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ปส./ต) โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนแบบประธาน กรยิ าสกรรมและกรรม ตรงปรากฏ 13 ประโยค เช่น เขา / ใช้ / งาไลน่ กออกไป ปส ต ตัวอยา่ งนเี้ ปน็ ประโยคซับซ้อนทปี่ ระกอบดว้ ยอนุพากยห์ ลกั และ อนพุ ากย์ วเิ ศษณ์ อนุพากยห์ ลกั คือ “เขาใช้งา\" และมีอนุพากย์วิเศษณ์ “ไลน่ กออกไป\" ทาํ หน้าที่ ขยายคาํ วา่ “ใช้” ซง่ึ เป็นกรยิ าสกรรมของประโยค
67 เขา / ให้ / คนน้ีแต่งชดุ เปน็ ผู้หญงิ ปส ต ตวั อยา่ งนี้เป็นประโยคซับซ้อนทป่ี ระกอบดว้ ยอนพุ ากย์หลกั และ อนพุ ากย์ นาม อนพุ ากย์หลักคือ “เขาใหค้ นนี้” และมีอนุพากย์นาม “แตง่ ชดุ เปน็ ผ้หู ญงิ ” ทําหน้าที่ เปน็ กรรมตรงของ ประโยค 4.2.2.5 แบบกรยิ าสกรรม (ส) โครงสร้างประโยคซับซ้อนแบบกรยิ าสกรรมปรากฏ 2 ประโยค ดงั นี้ กินเร่ือยๆ จนเดนิ ไม่ไหวเลย ส ตวั อยา่ งนีเ้ ป็นประโยคซบั ซ้อนที่ประกอบดว้ ยอนพุ ากยห์ ลักและ อนพุ ากย์ วิเศษณ์ อนุพากยห์ ลักคือ “กนิ เรื่อยๆ และมอี นุพากย์วิเศษณ์ “จนเดนิ ไม่ไหวเลย” ทาํ หนา้ ท่ีขยายกรยิ าวลี “กนิ เรอ่ื ยๆ” ซงึ่ เปน็ กริยาสกรรมของประโยค 4.2.2.6 แบบประธาน-กรยิ าสกรรม (ปส) โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนแบบประธานและกริยาสกรรม ปรากฏ 2 ประโยค ไดแ้ ก่ แม่ / จงึ มาปลุกว่าใหต้ ่นื ไดแ้ ล้วลกู ปส ตวั อย่างนี้เป็นประโยคซบั ซ้อนท่ปี ระกอบดว้ ยอนุพากยห์ ลกั และ อนุพากย์ นาม อนุพากย์หลักคอื “แม่จึงมาปลุก” และมีอนพุ ากย์นาม “วา่ ให้ตืน่ ได้แล้วลกู ” ทํา หน้าทีเ่ ปน็ กรรมตรงของ ประโยค 4.2.2.7 แบบกาลวลี-ประธาน-กรยิ าอกรรม (วปอ) โครงสร้างประโยคซบั ซ้อนแบบกาลวลี ประธาน และกริยา อกรรม ปรากฏ เพยี ง 1 ประโยค ดงั นี้ ในขณะนน้ั ตอนท่ีเขาโตมา / แมเ่ ขา / กเ็ สียชวี ิตจากไป ว ปอ ตวั อยา่ งนีเ้ ป็นประโยคซบั ซ้อนท่ีประกอบดว้ ยอนุพากย์หลกั และ อนพุ ากย์ คุณศัพท์ อนุพากย์หลกั คือ “ในขณะนั้นตอน แมเ่ ขากเ็ สยี ชวี ติ จากไป” และมีอนพุ ากย์ คุณศัพท์ “ทเ่ี ขาโตมา” ทําหนา้ ทขี่ ยายนามวลี “ตอน” ซ่ึงเป็นกาลวลีในอนุพากยห์ ลัก 4.2.2.8 แบบกาลวลี-กรยิ าสกรรม-กรรมตรง (ว/ส/ต) โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนแบบกาลวลี กริยาสกรรม และกรรม ตรง ปรากฏเพียง 1 ประโยค ดังน้ี ทันใดน้ัน / ก็ได้ยิน / เสียงแม่เรียกว่าไปโรงเรียนแล้วค่ะลูก ว สต ตัวอย่างนเี้ ป็นประโยคซับซ้อนทป่ี ระกอบด้วยอนพุ ากย์หลักและ อนุพากย์ นาม อนพุ ากยห์ ลกั คอื “ทนั ใดนัน้ ก็ไดย้ ินเสียงแมเ่ รยี ก” และมอี นุพากย์นาม “วา่ ไป โรงเรียนแล้วคะ่ ลูก\" ทํา หน้าท่ีขยาย “เสียงแม่เรียก” ซึ่งเป็นกรรมตรงของประโยค
68 4.2.2.9 แบบประธาน-กริยาทวิกรรม (ปท/ต) โครงสร้างประโยคซับซ้อนแบบประธาน กริยาทวิกรรม และ กรรมตรง ปรากฏเพียง 1 ประโยค ไดแ้ ก่ นก / บอก / ว่าจะมาเกาะเพราะวา่ ตรงน้มี นั สบาย ปท ต ตัวอยา่ งนี้เป็นประโยคซบั ซ้อนที่ประกอบด้วยอนุพากยห์ ลกั และ อนพุ ากย์ นาม อนุพากย์หลักคือ “นกบอก” และมีอนพุ ากย์นาม “วา่ จะมาเกาะเพราะว่าตรงนี้มนั สบาย” ทาํ หนา้ ที่เปน็ กรรมตรงของประโยค 4.2.2.10 แบบกริยาอรรม-สถานวลี -กาลวลี (อ/ถ/ว) โครงสรา้ งประโยคแบบกริยาอรรมและสถานวลี และกาลวลี ปรากฏเพยี ง 1 ประโยค ไดแ้ ก่ ขณะน้นั ตอนนัง่ รถกลับก็ไดเ้ วลานอน จงึ นอน / บนรถ / ไปกอ่ น อ ถว ตวั อย่างน้ีเปน็ ประโยคซบั ซ้อนท่ีประกอบด้วยอนุพากยห์ ลักและ อนพุ ากย์ วเิ ศษณ์ อนุพากยห์ ลกั คือ “จงึ นอนบนรถไปก่อน” และมีอนุพากยว์ ิเศษณ์ “ขณะนัน้ ตอน นัง่ รถกลบั ก็ไดเ้ วลา นอน \" ทาํ หนา้ ท่ขี ยาย “นอนบนรถไปก่อน” ซง่ึ เป็นกรยิ าอกรรมในอนพุ ากย์ หลกั 4.2.2.11 แบบประธาน-กรยิ าทวกิ รรม-กรรมตรง (ปท/ร/ต) โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนแบบประธาน กรยิ าทวกิ รรม กรรม รอง และ กรรมตรง ปรากฏ 2 ประโยค ได้แก่ พระ / สอน / เขา / วา่ ทําดีได้ดี ทาํ ช่ัวไดช้ ั่ว ปทร ต ตวั อยา่ งนีเ้ ปน็ ประโยคซบั ซ้อนที่ประกอบด้วยอนุพากย์หลกั และ อนุพากย์ นาม อนพุ ากยห์ ลักคือ “พระสอนเขา” และมีอนพากย์นาม “วา่ ทาํ ดไี ดด้ ี ทําชั่วได้ช่วั ” ทํา หน้าท่ีเปน็ กรรมตรง ของประโยค สัตว์ตัวนน้ั / บอก / ชา้ ง / ว่าทาํ แบบนก้ี บั ฉนั ได้ยัง ฉนั ไมช่ อบ ป ทร ต ตัวอย่างนเ้ี ป็นประโยคซับซ้อนที่ประกอบด้วยอนุพากยห์ ลกั และ อนุพากย์ นาม อนพุ ากยห์ ลักคอื “สตั ว์ตวั น้นั บอกชา้ ง” และมีอนุพากยน์ าม “วา่ ทาํ แบบนก้ี ับฉนั ได้ ยังไง ฉนั ไม่ชอบ” ทํา หน้าท่ีเป็นกรรมตรงของประโยค 4.2.2.12 แบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง-สถานวลี (ป/ส/ต/ถ) โครงสร้างประโยคซบั ซ้อนแบบประธาน กริยาสกรรม กรรมตรง และสถาน วลี ปรากฏเพยี ง 1 ประโยค ได้แก่ พ่อกับแม่ / ไปส่ง /ผม / ทบี่ า้ นคณุ ตาคุณยายเพอ่ื ค้างคืนหน่ึงคนื ป สต ถ ตัวอย่างนเ้ี ป็นประโยคซับซ้อนที่ประกอบด้วยอนุพากย์หลักและ อนุพากย์ วเิ ศษณ์ อนุพากย์หลักคือ “พ่อกับแม่ไปสง่ ผมท่ีบ้านคุณตาคณุ ยาย” และมีอนุพากย์วเิ ศษณ์ “เพื่อคา้ งคืนหน่ึง คืน ” ทาํ หนา้ ท่ีขยายกรยิ าวลี “ไปสง่ ” ซึ่งเปน็ กรยิ าสกรรมในอนุพากย์หลัก
69 เม่อื นําโครงสร้างประโยคซับซ้อนรูปแบบต่างๆจากการพูดเล่าเรื่องของเด็กออทิสติกมานับ จํานวน จะ เหน็ วา่ โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนแต่ละรูปแบบมจี าํ นวนในการใช้แตกต่างกัน โดย แสดงได้ดงั ตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 10 ตารางแสดงจํานวนโครงสร้างประโยคซับซ้อนทีป่ รากฏในการพูดเล่าเรื่อง โครงสร้างประโยคซบั ซ้อน จํานวนประโยคท่ปี รากฎ ค่ารอ้ ยละ 2.04 1.แบบ อ 1 24.49 24.49 2.แบบ ป/อ 12 26.54 4.08 3.แบบ ส/ต 12 4.08 4.08 4.แบบ ปสต 13 2.04 2.04 5.แบบ ส 2 2.04 2.04 6.แบบ ป/ส 2 2.04 100 7.แบบ ว/ป/อ 2 8.แบบ ว/ส/ต 1 9.แบบ ป/ท/ต 1 10.แบบ อ/ถ/ว 1 11.แบบ ป/ท/ร/ต 1 12.แบบ ป/ส/ต/ถ 1 รวม 49 จากตารางท่ี 10 แสดงให้เหน็ วา่ เดก็ ออทสิ ตกิ ใชโ้ ครงสรา้ งประโยคซับซ้อนในการพดู เล่า เรอื่ ง 12 รูปแบบ โครงสรา้ งทเ่ี ด็กใชม้ ากทสี่ ุดคือ โครงสรา้ งแบบประธาน-กริยาสกรรม-กรรมตรง ปรากฏจาํ นวน 13 ประโยค คิดเป็นร้อยละ 26.54 รองลงมาคอื โครงสรา้ งแบบประธาน-กริยาอกรรม และแบบกรยิ าสกรรม-กรรม ตรง ปรากฏจํานวน 12 ประโยคเท่ากนั คดิ เป็นร้อยละ 24.49 ส่วน โครงสรา้ งรูปแบบอน่ื ๆ ปรากฏไม่มากนัก 5. การวิเคราะห์สัมพนั ธสารทใ่ี ชใ้ นการพูดเลา่ เร่อื งของเดก็ ออทิสตกิ การวิเคราะหส์ มั พนั ธสารทีป่ รากฏในการพูดเลา่ เรอ่ื งของเด็กออทิสติกสามารถจําแนก การวิเคราะห์ได้ เป็น 2 หวั ขอ้ คือ การวิเคราะหก์ ารเรม่ิ ตน้ และการลงทา้ ยเร่ือง (starting and ending) และการเช่อื มโยง ความ (cohesion) 5.1 การเร่มิ ต้นเรอ่ื งและการลงท้ายเรื่อง (starting and ending) 5.1.1 การเรม่ิ ตน้ เรอ่ื ง (starting) จากการวิเคราะหเ์ รื่องเล่าของเดก็ ออทิสติกจาํ นวน 28 เรอ่ื ง พบวา่ เดก็ ออทสิ ติกมี วธิ กี าร เริ่มต้นเร่ือง 6 วิธี คอื การเรม่ิ ต้นดว้ ยการกล่าวถึงตวั ละคร การเรม่ิ ต้นด้วยคาํ กริยา “ม”ี ตาม ด้วยตัวละคร การเริม่ ต้นดว้ ยคําว่า “แบบว่า” ตามดว้ ยตวั ละคร การเรมิ่ ต้นดว้ ยกาลวลี ตามดว้ ย ตัวละครสถานทหี่ รอื เหตกุ ารณ์ การเร่ิมตน้ ดว้ ยวลีตามดว้ ยตวั ละครหรอื เหตกุ ารณ์ และการเร่ิมต้น ดว้ ยประโยคคําถาม โดยสามารถ แสดงรายละเอียดได้ดงั น้ี
70 5.1.1.1 การเร่ิมต้นดว้ ยการกล่าวถึงตัวละคร การเรมิ่ ต้นดว้ ยการกล่าวถงึ ตัวละคร คือ การใช้ตวั ละครซงึ่ อาจเปน็ คน สตั วห์ รอื ส่งิ ของเป็นผแู้ สดงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในเร่ืองทันที เดก็ ออทิสตกิ ใช้การเรมิ่ ต้นเร่ืองด้วยวธิ ี น้ใี นการพูดเล่าเร่ือง มากทีส่ ดุ โดยพบการเร่มิ ตน้ เรอ่ื งด้วยวิธนี ้ี 1 คร้ัง คิดเป็นร้อยละ 39.28 ของ วิธีการเร่มิ ต้นเร่ืองท้ังหมด ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ ช้างตัวหนงึ่ เขา เขาพน่ น้าํ แล้วก็มีนกสองตวั มาเกาะ จากตวั อยา่ งนเ้ี ห็นไดว้ ่า เดก็ ออทิสตกิ เริ่มต้นเรอื่ งด้วยการใช้ นามวลี “ช้างตัวหน่งึ ” เพ่ือกลา่ วถงึ ตวั ละครของเรื่อง คน คนกาํ ลังกนิ ข้าวอยคู่ รับ คนนี้กนิ แตค่ นน้ีกําลัง แต่คุณแม่ กําลัง กนิ ขา้ วอยู่ จากตัวอย่างที่เห็นได้ว่า เด็กออทิสติกเร่ิมตน้ เรือ่ งดว้ ยการใช้ นามวลี “คน” เพอื่ กลา่ วถงึ ตัวละครของเร่อื ง พระสงฆก์ ําลังไปที่ต้นไม้ เหน็ ดอกไม้กาํ ลงั งอกข้นึ มา จากตัวอย่างน้ีเห็นไดว้ า่ เด็กออทสิ ติกเร่ิมตน้ เรือ่ งด้วยการใช้ นามวลี “พระสงฆ์” เพอื่ กล่าวถึงตัวละครของเร่ือง 5.1.1.2 การเรม่ิ ตน้ ดว้ ยคํากริยา “มี” ตามดว้ ยตัวละคร การเริม่ ตน้ เร่ืองดว้ ยวิธีนีพ้ บ 6 ครงั้ คดิ เปน็ ร้อยละ 21.43 ของวิธกี าร เร่มิ ตน้ เรื่อง ท้งั หมด ดังตวั อย่างต่อไปนี้ มีคณุ แม่ของเขามาเรยี กลูกๆ ให้ตื่น แตค่ นนีย้ ังไม่ต่ืน จากตวั อยา่ งนีเ้ หน็ ไดว้ ่า เดก็ ออทิสตกิ เริ่มตน้ เรอื่ งด้วยการใช้ คํากรยิ า “ม”ี ตามด้วยตวั ละครของเร่ืองคือ “คณุ แม่ของเขา” มชี ้างตัวหน่ึงอยใู่ นปา่ กําลงั กําลังรดนํา้ ใหต้ ้นไม้งอก จากตัวอย่างน้ีเห็นไดว้ ่า เด็กออทิสตกิ เร่ิมต้นเร่อื งด้วยการใช้ คาํ กริยา“มี” ตามด้วยตัวละครของเรื่องคือ “ชา้ งตวั หน่งึ ” มเี ด็กสองคนกําลงั นอน แล้ว แล้วแม่ก็มาปลุก จากตวั อย่างน้เี ห็นได้ว่า เดก็ ออทิสตกิ เริ่มต้นเรือ่ งดว้ ยการใช้ คํากรยิ า“มี” ตามดว้ ยตวั ละครของเรื่องคือ “เดก็ สองคน” 5.1.1.3 การเร่ิมต้นด้วยคําว่า “แบบว่า” ตามด้วยตวั ละคร การเริม่ ตน้ เรื่องดว้ ยวธิ นี ี้พบเพียง 1 คร้ัง คดิ เป็นรอ้ ยละ 3.57 ของวิธกี าร เรม่ิ ตน้ เร่ืองทัง้ หมด ดังนี้ แบบว่า ว่า วา่ เณรสองคนนี้กําลังเดินไป ไปให้มา เดนิ จากตวั อย่างนี้เห็นได้วา่ เด็กออทสิ ติกเริ่มต้นเร่อื งดว้ ยการใช้คาํ วา่ “แบบว่า” ตามดว้ ยตัวละครของเร่ืองคือ “เณรสองคนนี้” 5.1.1.4 การเรม่ิ ตน้ ดว้ ยกาลวลีตามดว้ ยตัวละคร สถานทห่ี รือเหตุการณ์ การเรมิ่ ตน้ เรื่องด้วยวธิ ีน้พี บ 4 ครงั้ คิดเป็นร้อยละ 14.29 ของวิธกี าร เริม่ ต้นเรื่อง ทัง้ หมด ดงั นี้
71 กาลคร้งั หนึง่ มเี ด็กคนหน่งึ ชอื่ ว่าแอนนา เขากาํ ลงั จะกนิ ปูอยู่ จากตัวอยา่ งนเ้ี หน็ ได้วา่ เด็กออทิสติกเริ่มต้นเรื่องด้วยการใช้ กาลวลี “กาลครง้ั หนึ่ง” ตามดว้ ยตวั ละครของเรื่องคือ “เด็กคนหน่ึง” กาลครง้ั หนึง่ นานมาแลว้ มชี ้างชื่อโป ชา้ งช่ือโป ชา้ งช่ือโปโป กําลงั เดนิ เลน่ อยู่ จากตัวอย่างนี้เห็นได้ว่า เดก็ ออทิสติกเร่ิมต้นเรื่องดว้ ยการใช้ กาลวลี “กาลครง้ั หนึ่ง นานมาแล้ว” ตามด้วยตวั ละครของเรื่องคือ “ช้าง” กาลคร้งั หนงึ่ นานมาแลว้ กาลคร้ังหนง่ึ นานมาแลว้ มีวดั อยแู่ หง่ หนึ่งช่ือวา่ วัดพระ แกว้ จากตวั อย่างนี้เห็นได้ว่า เด็กออทิสตกิ เร่ิมต้นเรอื่ งด้วยการใช้ กาลวลี “กาลครง้ั หน่งึ นานมาแลว้ ” ตามดว้ ยสถานท่ใี นเร่ืองคอื “วดั ” 5.1.1.5 การเรมิ่ ต้นด้วยวลีตามด้วยตัวละครหรือเหตุการณ์ การเร่ิมตน้ เร่ืองด้วยวิธีน้ีใกล้เคยี งกับการเร่มิ ต้นด้วยการกล่าวถงึ ตัวละคร แตต่ า่ งกัน ทกี่ ารเริ่มตน้ ดว้ ยการกลา่ วถงึ ตวั ละครนั้น ตวั ละครท่ีใช้เร่ิมตน้ เรือ่ งจะทาํ หน้าท่ีเป็นผู้ แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขนึ้ ทนั ที ส่วนการเรม่ิ ต้นด้วยวลี วลดี ังกล่าวไมไ่ ด้ทําหน้าท่เี ปน็ ผูแ้ สดงเหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ข้ึนและไม่ได้แสดง ความสัมพนั ธ์ดา้ นเนื้อหากับประโยคท่ีตามมา การเริ่มต้นเร่ือง ดว้ ยวธิ ีนี้พบ 5 ครัง้ คดิ เป็นร้อยละ 17.86 ของ วธิ กี ารเร่ิมต้นเรอื่ งท้งั หมด ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ ช่ือ กเ็ ขา ตา ตายาย แล้ว แล้วเดก็ กส็ องคนก็มากนิ จากตวั อยา่ งนี้เหน็ ไดว้ า่ เด็กออทสิ ตกิ เริ่มต้นเร่ืองด้วยการใช้วลี ไดแ้ ก่ “ชื่อ” “ก็” “เขา” “ตา” และ“ตายาย” คณุ แม่ แตค่ นนต้ี ื่น แตน่ ้องคนนี้หลับอยู่ และหมา และหมาตวั นี้ มาดู.... จากตัวอย่างนเ้ี หน็ ไดว้ ่า เด็กออทสิ ตกิ เริ่มตน้ เรื่องดว้ ยการใช้วลี “คุณแม่” เด็ก ปแู อนเน็ต อัน ปดั แอนดี้ ปาค แมค็ ตู้ แลว้ บทกับแอนดี เดก็ สองคนน้ีกาํ ลัง ทานปู จากตวั อยา่ งนี้เห็นไดว้ า่ เด็กออทิสตกิ เร่ิมตน้ เรอ่ื งดว้ ยการใช้วลี ไดแ้ ก่ “เด็ก” “ปู” “แอนเนต็ ” “อนั ” “ป๊ด” “แอนด้ี” “ปาดู” “แม็ค” “แล้วบทู กับแอนดี” 5.1.1.6 การเร่มิ ตน้ ดว้ ยประโยคคําถาม การเร่ิมต้นเรื่องดว้ ยวธิ นี ี้พบเพยี ง 1 ครั้ง คดิ เป็นรอ้ ยละ 3.57 ของ วิธีการเรมิ่ ตน้ เรอ่ื งท้ังหมด ดังนี้ ตวั อะไรเน่ยี พระ พระองค์นี้กําลงั จะไปบิณฑบาต จากตัวอย่างนเ้ี ห็นได้ว่าเด็กออทสิ ตกิ เริ่มต้นเร่อื งด้วยประโยค คาํ ถาม “ตัวอะไรเนีย่ ”
72 ผลการวิเคราะหว์ ิธกี ารเร่ิมต้นเร่อื งในการพดู เล่าเรื่องของเด็กออทิสติกสามารถแสดงได้ดัง ตาราง ตอ่ ไปนี้ ตารางที่ 11 ตารางแสดงวิธกี ารเร่มิ ต้นเรื่องในการพูดเล่าเรื่อง วธิ กี ารเร่ิมต้นเรอื่ งในการพดู เล่าเรือ่ งของเด็กออทสิ ติก จาํ นวนครง้ั ที่ปรากฎ คา่ รอ้ ยละ 39.28 1.การเรม่ิ ตน้ ด้วยการกล่าวถงึ ตัวละคร 11 21.43 3.57 2.การเริ่มต้นดว้ ยคาํ กริยา “มี” ตามดว้ ยตัวละคร 6 14.29 3.การเร่ิมต้นด้วยคาํ ว่า “แบบว่า”ตามดว้ ยตวั ละคร 1 17.86 3.57 4.การเร่มิ ตน้ ด้วยกาลวลตี ามด้วยตวั ละครหรือ 4 100 เหตุการณ์ 5.การเรม่ิ ต้นดว้ ยวลตี ามด้วยตัวละครหรือเหตุการณ์ 5 6.การเริ่มตน้ ด้วยประโยคคาํ ถาม 1 รวม 28 จากตารางท่ี 11 แสดงให้เหน็ วา่ วธิ กี ารเร่มิ ตน้ เร่ืองของเด็กออทสิ ตกิ มี 6 วธิ ี การเร่ิมต้นเร่ือง ทีเ่ ด็ก ออทสิ ติกใช้มากทสี่ ดุ คือ การเริม่ ตน้ ดว้ ยการกล่าวถงึ ตวั ละคร ปรากฏรอ้ ยละ 39.28 รองลงมา คอื การเร่ิมต้น ด้วยคํากรยิ า “ม”ี ตามดว้ ยตัวละคร ปรากฏร้อยละ 21.43 สว่ นวิธกี ารเริม่ ต้นเรื่องที่ ปรากฏน้อยทส่ี ุด คือการ เริ่มต้นดว้ ยคําว่า “แบบว่า” ตามด้วยตัวละคร และการเริ่มต้นดว้ ยประโยค คาํ ถาม โดยท้ังสองวิธีปรากฏรอ้ ย ละ 3.57 5.1.2 การลงท้ายเรื่อง (ending) จากการวเิ คราะห์เร่ืองเลา่ ของเด็กออทิสติกจาํ นวน 28 เรอ่ื ง พบวา่ เดก็ ออทสิ ติกมี วธิ ีการลง ทา้ ยเร่อื ง 2 วธิ ี คอื การลงท้ายดว้ ยการใชว้ ลเี พอ่ื ยุตเิ รื่องเล่า และการลงท้ายเร่อื งด้วยเนื้อหา 5.1.2.1 การลงทา้ ยดว้ ยการใชว้ ลีเพอ่ื ยตุ เิ ร่ืองเล่า การลงทา้ ยดว้ ยวธิ ีน้ผี เู้ ล่าจะใช้วลีทแ่ี สดงตอนจบของเร่ือง เช่น “จบ” “จบ แลว้ ” “หมดแล้ว” เปน็ ตน้ จากการวเิ คราะหพ์ บการลงท้ายเรื่องดว้ ยวิธถี งึ นี้ 27 ครัง้ คิด เปน็ รอ้ ยละ 96.43 ของวธิ ีการลงท้ายเรอ่ื งทัง้ หมด ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี ขณะนนั้ ตอนนงั่ รถกลบั ก็ได้ ก็ไดเ้ วลานอน จึงนอนบนรถไป กอ่ น จบแลว้ ค่ะ จากตัวอย่างนี้ ปรากฏวลี “จบแลว้ ค่ะ” แสดงการลงท้ายเรื่อง ทาํ ไมคนนีเ้ ปน็ ผชู้ ายแตถ่ ักเปยี เอากุ้งมา อนั น้ีเป็นผู้ชายหรือว่า ผหู้ ญิง แล้วเร่อื งนีก้ ็จบลง จากตัวอย่างน้ี ปรากฏวลี “เรือ่ งนก้ี ็จบลง” แสดงการลงทา้ ยเร่อื ง เย็นกก็ ลับ แล้วกท็ าํ การบ้าน แลว้ กท็ านข้าว แล้วก็ทาํ การบ้าน แลว้ ก็ อาบนํ้า แปรงฟนั แตง่ ตวั นอน หมดแลว้ จากตัวอยา่ งนี้ ปรากฎวลี “หมดแลว้ ” แสดงการลงทา้ ยเรอ่ื ง อาบํน้า แปรงฟนั แต่งตวั แล้วก็ทานข้าว แล้วกส็ วดมนต์ อันนี้ หมดแล้ว จากตัวอยา่ งนี้ ปรากฏวลี “อันนหี้ มดแล้ว” แสดงการลงทา้ ยเรื่อง
73 5.1.2.2 การลงทา้ ยเร่อื งด้วยเน้ือหา การลงทา้ ยเรื่องด้วยเน้อื หา คือ การลงทา้ ยเร่ืองโดยไม่ได้แสดง ตอนจบหรอื ขอ้ สรุปของเหตุการณ์ อกี ทั้งไมม่ ีวลีทีแ่ สดงการยุตเิ รอื่ งเล่า การลงทา้ ยเรื่องด้วยวธิ ีน้ี ผู้เลา่ มกั จะหยุดเรือ่ ง เพราะไม่สามารถให้รายละเอียดของเรื่องต่อไปได้ จากการวิเคราะหพ์ บ การลงท้ายเร่ืองดว้ ยวธิ ีนีเ้ พยี ง 1 คร้ัง คิดเปน็ ร้อยละ 3.57 ของวธิ ีการลงทา้ ยเร่อื งทัง้ หมด ดงั ตัวอย่าง ต่อไปน้ี เขากม็ หี มามาแอบมองด้วย แลว้ คณุ แม่ก็เปิดประตูด้วย แล้วก็ ตกุ๊ ตาหมี ตัวเน้ยี มนั เกอื บจะตกพื้นแลว้ ด้วย แล้วกม็ ีนาฬกิ ามนั ปลุกให้ตื่นแล้วดว้ ย ผลการวิเคราะห์วิธีการลงท้ายเร่อื งในการพูดเล่าเรื่องของเด็กออทิสตกิ สามารถแสดงไดด้ ัง ตารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 12 ตารางแสดงวิธีการลงท้ายเรอ่ื งในการพดู เลา่ เรื่อง ค่าร้อยละ วธิ กี ารลงทา้ ยเร่ืองในการพดู เลา่ เรอ่ื งของเด็กออทิสติก จาํ นวนคร้งั ท่ีปรากฏ 96.43 1. การลงทา้ ยดว้ ยการใช้วลเี พ่ือยุติเร่ืองเลา่ 27 3.57 2. การลงท้ายเร่ืองด้วยเนอื้ หา 1 100 28 รวม จากตารางที่ 12 แสดงใหเ้ หน็ วา่ วธิ ีการลงท้ายเรอ่ื งในการพูดเล่าเรอื่ งของเด็กออทิสติกมี 2 วธิ ี วิธกี าร ลงทา้ ยเรื่องดว้ ยการใชว้ ลเี พอ่ื ยตุ ิเรอ่ื งเล่าเปน็ วิธที ี่เด็กออทิสติกใช้มากท่สี ุด ปรากฏรอ้ ยละ 96,43 ส่วนการลง ท้ายเร่ืองดว้ ยเนื้อหานัน้ ปรากฏเพียงรอ้ ยละ 3.57 เท่านั้น 5.2 การเช่ือมโยงความ (cohesion) การเชอื่ มโยงความ คือ การแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งหน่วยภาษาด้วยการใช้ กลวธิ ีต่างๆ การเช่อื มโยงความทป่ี รากฏในการพูดเล่าเรื่องของเด็กออทิสติกแบง่ ไดเ้ ป็น 4 ประเภท คือ การอา้ งถงึ (reference) การใช้คาํ เชื่อม (conjunction) การซ้ํา (repetition) และการเชื่อมโยง คาํ ศพั ท์ (lexical cohesion) ผลการวเิ คราะห์พบว่าปรากฏการเช่ือมโยงความทง้ั สนิ้ 1,489 คร้ัง แบง่ เปน็ การเชื่อมโยงความดว้ ย การอ้างถึง 302 ครงั้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 20.28 การเช่อื มโยงความดว้ ย การใช้คําเช่อื ม 371 ครง้ั คิดเปน็ รอ้ ยละ 24.92 การเชือ่ มโยงความดว้ ยการซ้ํา 647 ครัง้ คดิ เปน็ ร้อยละ 43.45 และการเชอ่ื มโยงความด้วยคาํ ศัพท์ 169 ครัง้ คดิ เป็นร้อยละ 11.35 การเช่ือมโยงความ แตล่ ะประเภทมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ 5.2.1 การอ้างถึง (reference) การอ้างถึง คือ การเช่ือมโยงความดว้ ยการใช้คําหรอื วลีท่ีเป็นรปู แทนเพื่อ อ้างถงึ คาํ หรือวลที ีเ่ ป็นรูปหลกั ที่ปรากฏในบรบิ ทภาษา การเชื่อมโยงความดว้ ยการอ้างถึงในเร่ืองเล่า ของเด็กออทสิ ติก จาํ นวน 302 ครัง้ แบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ การอ้างถึงหน่วยนาม 293 ครัง้ การอา้ งถงึ หน่วยกริยา 2 คร้งั และการอ้างถึงอนุพากยห์ รอื ประโยค 7 คร้ัง ดงั นี้
74 5.2.1.1 การอ้างถงึ หน่วยนาม การอ้างถึงหน่วยนาม คือ การใชร้ ูปแทนอ้างถงึ หนว่ ยนามซึ่งเปน็ รูปหลกั ที่ ปรากฏในข้อความ จากการวเิ คราะห์การพดู เลา่ เร่ืองของเด็กออทิสติกพบวา่ ปรากฏ การอ้างถึงหน่วยนาม ทงั้ สิ้น 293 ครั้ง การอา้ งถึงหนว่ ยนามน้ีผเู้ ลา่ จะใชร้ ปู แทนเพือ่ อ้างถึงรูปหลกั ท่ี เปน็ หนว่ ยนาม 3 ชนิด คือรูป แทนทเี่ ปน็ คําสรรพนาม รปู แทนทเ่ี ปน็ นามวลี และรูปแทนท่เี ป็นสุญรปู ดงั นี้ 5.2.1.1.1 รูปแทนท่ีเป็นคาํ สรรพนาม รูปแทนท่เี ป็นคําสรรพนามปรากฏในการพดู เลา่ เรื่อง ของเด็กออทิ สตกิ จํานวน 76 ครั้ง คดิ เปน็ ร้อยละ 25.94 ของการอ้างถึงหนว่ ยนามท้งั หมด การอา้ งถึง หน่วยนามดว้ ยรูป แทนสรรพนามมรี ายละเอยี ดดังตวั อย่างต่อไปนี้ ช้างตวั หนึ่ง เขา เขาพ่นนํ้า แล้วกม็ ีนก 2 ตวั มาเกาะ เขา รําคาญ นก เขาใช้งาไลน่ กออกไป คาํ ว่า “เขา” เปน็ รูปแทนสรรพนามของหน่วยนาม “ช้าง ตวั หน่ึง” คณุ แม่กเ็ ปดิ ประตูด้วย แล้วก็ตุ๊กตาหมตี วั เนี้ย มัน เกอื บจะตกพนื้ แลว้ ด้วย คําว่า “มนั ” เป็นรปู แทนสรรพนามของหนว่ ยนาม “ตกุ๊ ตาหมี ตวั เนย้ี ” 5.2.1.1.2 รปู แทนที่เปน็ นามวลี รูปแทนทเี่ ปน็ นามวลี คอื รูปแทนท่ีเป็นคํานามคาํ เดยี ว หรอื คาํ นามและส่วนขยาย อาจเป็นคําบง่ ชหี้ รอื คาํ แสดงจํานวนนับหรอื คาํ วเิ ศษณซ์ ง่ึ อาจมี ลักษณนามปรากฏอยู่ ด้วย รูปแทนที่เปน็ นามวลปี รากฏในการพูดเล่าเร่ืองของเด็กออทสิ ตกิ จํานวน 86 ครงั้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 29.35 ของการอา้ งถงึ หนว่ ยนามทงั้ หมด การอ้างถงึ หน่วยนามด้วยรปู แทน นามวลมี ีรายละเอียดดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี มคี ณุ แมข่ องเขามาเรียกลกู ๆให้ตืน่ แต่คนน้ียงั ไม่ตนื่ แต่ คนน้ีก็ตน่ื แล้ว” คําวา่ “คนนี้” เปน็ รูปแทนนามวลีของหนว่ ยนาม “ลกู ๆ” กาลคร้ังหน่งึ นานมาแล้วมีเด็กหญงิ คนหนงึ่ และน้องชาย เขากาํ ลัง นอนอยู่ แมจ่ ึงมาปลุกวา่ ให้ตื่นไดแ้ ล้วลกู ขณะนนั้ น้องหมกี ็ตกลงไป แล้วก็ไดย้ นิ เสียง นาฬิกา จึง เด็กสองคน นัน้ จึงมา มาแต่งตัว คาํ ว่า “เดก็ สองคนน้ัน เปน็ รปู แทนนามวลีของหน่วย นาม “เดก็ หญงิ คนหน่ึงและน้องชาย” 5.2.1.1.3 รปู แทนทเี่ ป็นสุญรูป รูปแทนท่ีเป็นสุญรูป คือ รูปแทนทีอ่ ้างถงึ หนว่ ยนามโดย ไม่ปรากฏ รปู รปู แทนทเ่ี ป็นสญุ รปู ปรากฏในการพดู เลา่ เร่ืองของเด็กออทสิ ติกมากทส่ี ุด โดยปรากฏ จํานวน 131 ครงั้ คิด เปน็ รอ้ ยละ 44.71 ของการอ้างถงึ หนว่ ยนามทั้งหมด การอ้างถงึ หนว่ ยนามด้วย รูปแทนสุญรปู มีรายละเอยี ดดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้
75 กาลครัง้ หนึ่งมเี ด็กหญิงคนหน่ึงชื่อวา่ แอนนา เขากําลงั จะ กินปูอยู่ เขาจงึ บอกพ่อกบั แมว่ ่าอยากกนิ Øแล้วคะ่ แลว้ พอกนิ Øไปอรอ่ ย จึงชอบกินปู Øเปน็ รปู แทนสุญรปู ของหน่วยนาม “ปู” ...แลว้ แม่ ก็คิดวา่ นอ้ ง เป็นเด็กผ้หู ญิง แต่เผอิญว่า ว่าชุด ก็เลยเห็น ความจรงิ ว่า Ø1 ถูกปลอมตัวมา Ø2 กเ็ ลย กเ็ ลยให้ ให้คนท่ี ให้ที่ใสป่ ลอมตวั มัน Ø1ขาดไง คนฝ่งั น้ีไปแทน Ø1 เปน็ รูปแทนสญุ รูปของหนว่ ยนาม “แม”่ สว่ น Ø2เปน็ รปู แทน สญุ รูปของหนว่ ยนาม “นอ้ ง” ผลการวิเคราะหก์ ารเชื่อมโยงความดว้ ยการอ้างถงึ หน่วยนามสามารถแสดงได้ดังตาราง ต่อไปนี้ ตารางที่ 13 ตารางแสดงการเปรยี บเทียบการใช้รูปแทนเพ่ืออา้ งถึงหน่วยนามในการพดู เล่าเร่ือง ชนิดรูปแทนของหนว่ ยนาม จาํ นวนครั้งท่ปี รากฏ คา่ รอ้ ยละ 1. รปู แทนทเี่ ป็นสรรพนาม 76 25.94 2. รปู แทนท่ีเป็นนามวลี 86 29.35 3. รูปแทนท่เี ป็นสุญรูป 131 44.71 รวม 293 100 จากตารางท่ี 13 แสดงใหเ้ ห็นวา่ เด็กออทิสตกิ ใช้รูปแทนเพ่ืออ้างถึงหน่วยนาม 3 ชนิด รูป แทนทเ่ี ด็ก ออทิสตกิ ใชม้ ากที่สดุ ในการพูดเล่าเรื่องคือ รปู แทนท่ีเปน็ สุญรูป ปรากฏร้อยละ 44.71 รองลงมาคือรูปแทนที่ เปน็ นามวลี ปรากฏร้อยละ 29.35 และรูปแทนทปี่ รากฏน้อยท่ีสุดคอื รูปแทนที่ เป็นสรรพนาม ปรากฏร้อยละ 25.94 5.2.1.2 การอา้ งถงึ หนว่ ยกริยา การอ้างถงึ หนว่ ยกริยา คือ การใช้รปู แทนอ้างถึงหน่วยกริยาซ่ึงเปน็ รูป หลกั ทป่ี รากฏในข้อความ จากการวเิ คราะหก์ ารพูดเล่าเรื่องของเด็กออทิสติกพบว่าเด็กออทสิ ติกใช้ รูปแทนทเ่ี ปน็ กรยิ าวลจี ํานวน 2 ครั้ง โดยรูปแทนกริยาวลีทปี่ รากฏเปน็ คํากรยิ าคําเดียว และคาํ กรยิ า และสว่ นขยาย ได้แก่ คําบ่งชี้ มีรายละเอยี ดดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี ชา้ งเดินตกนา้ํ จงึ เจอสัตว์ตวั หนึง่ สตั วต์ วั นน้ั ก็บอกชา้ งว่า ทําแบบ น้ีกับฉันได้ยังไง ฉันไมช่ อบ เขาก็ไม่ทํา คาํ ว่า “ทําแบบน้ี” และ “ทาํ ” เป็นรูปแทนกริยาวลขี อง หน่วย กริยา “เดินตกน้ํา” 5.2.1.3 การอา้ งถึงอนุพากยห์ รอื ประโยค จากการวเิ คราะห์การพูดเลา่ เรื่องของเด็กออทสิ ติกพบวา่ ปรากฏ การอา้ ง ถึงอนุพากยห์ รือประโยคท้ังส้ิน 7 ครงั้ การอ้างถึงอนุพากย์หรือประโยคนีผ้ ู้เลา่ จะใชร้ ปู แทน เพื่ออ้างถึงรปู หลัก ทเี่ ป็นอนุพากยห์ รือประโยค 2 ชนดิ คือรูปแทนทีเ่ ปน็ กรยิ าวลี และรูปแทนท่เี ป็น สญุ รปู ดังนี้
76 5.2.1.3.1 รปู แทนที่เปน็ กรยิ าวลี รูปแทนท่ีเป็นกรยิ าวลี คือ รปู แทนทเี่ ปน็ คํากริยาคาํ เดียว หรอื คาํ กรยิ าและสว่ นขยาย ได้แก่คําบง่ ช้ี รปู แทนท่เี ปน็ กริยาวลีปรากฏในการพูดเล่าเรอ่ื งของเดก็ ออทิสตกิ จาํ นวน 2 ครั้ง คิดเปน็ ร้อยละ 28.57 ของการอา้ งถึงอนุพากย์หรปี ระโยคท้งั หมด การอ้างถึง อนุพากย์หรือประโยคดว้ ย รูปแทนทเี่ ป็นกรยิ าวลี มรี ายละเอยี ดดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ เขาก็เผลอพ่นนํา้ ลาย พน่ น้ําออกมาจนโดนนก นกจงึ บอกว่าทาํ แบบน้ีไม่ไดน้ ะ แลว้ ชา้ งจงึ ไม่ทํา คาํ ว่า “ทําแบบน้ี” และ “ทํา” เปน็ รปู แทนกรยิ าวลีของ อนุพากย์ “เผลอพ่นนาํ้ ลาย พน่ นา้ํ ออกมาจนโดนนก” 5.2.1.3.2 รปู แทนทเ่ี ป็นสุญรูป รูปแทนท่ีเปน็ สุญรูปปรากฏในการพูดเลา่ เร่ืองของเด็ก ออทิสตกิ จาํ นวน 5 ครง้ั คิดเปน็ รอ้ ยละ 71.43 ของการอ้างถึงอนุพากย์หรือประโยคท้งั หมด การอ้าง ถึงอนุพากยห์ รอื ประโยคด้วยรปู แทนทเ่ี ปน็ สุญรูปมีรายละเอยี ดดงั ตัวอย่างต่อไปนี้ น่ีมชี ้างกาํ ลงั พ่นนํา้ อยู่ เด็กๆจึงคู Ø อยูน่ น่ี า Ø เป็นรปู แทนสุญรปู ของประโยค “ช้างกาํ ลังพน่ นํ้า” ผมรบี ไปอาบนํ้า Ø แปรงฟนั เพื่อจะไปโรงเรียน Ø เป็นรปู แทนสุญรปู ของอนุพากย์ “ผมรีบไป” ผลการวเิ คราะห์การเช่ือมโยงความด้วยการอ้างถงึ อนุพากย์หรอื ประโยคสามารถแสดงได้ ดังตาราง ตอ่ ไปน้ี ตารางท่ี 14 ตารางแสดงการเปรียบเทยี บการใชร้ ูปแทนเพื่ออา้ งถึงอนุพากย์หรือประโยคในการพูด เล่าเรอ่ื ง ชนดิ รปู แทนของอนุพากยห์ รือประโยค จํานวนครง้ั ทปี่ รากฏ คา่ รอ้ ยละ 1. รปู แทนทเ่ี ปน็ กรยิ าวลี 2 28.57 2. รูปแทนทเี่ ปน็ สุญรปู 5 71.43 รวม 7 100 จากตารางท่ี 14 แสดงใหเ้ หน็ ว่าเด็กออทสิ ติกใชร้ ปู แทนเพื่ออ้างถึงอนุพากยห์ รือประโยค 2 ชนิด รปู แทนท่เี ด็กออทสิ ติกใช้ในการพดู เล่าเรือ่ งมากกวา่ คือ รูปแทนท่เี ปน็ สญุ รูป ปรากฏร้อยละ 71.43 ส่วนรูปแทนที่ เป็นกรยิ าวลี ปรากฏรอ้ ยละ 28.57 5.2.2 การใช้คาํ เชือ่ ม (conjunction) การใช้คาํ เช่ือม คอื การใช้คําเพือ่ แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งเหตกุ ารณ์ใน ประโยคท่ี อยู่ใกลเ้ คียงกันให้มีความต่อเนื่องสัมพนั ธ์กนั การเช่ือมโยงความดว้ ยการใช้คาํ เช่ือมใน การพูดเล่าเร่ืองของเด็ก ออทสิ ตกิ จํานวน 371 ครั้ง สามารถแบง่ ได้เปน็ 11ประเภทตามความสัมพนั ธ์ระหว่างเหตุการณใ์ นประโยคท่ีอยู่ ต่อเน่ืองกนั หรือใกล้เคียงกนั ได้แก่ ความสัมพนั ธ์แบบคล้อยตาม กัน ความสัมพนั ธ์แบบขัดแย้งกนั ความสัมพนั ธ์ แบบแสดงทางเลอื ก ความสัมพนั ธ์แบบแสดง เหตุผล ความสมั พนั ธ์แบบขยายความ ความสัมพันธแ์ บบแสดง วัตถปุ ระสงค์ ความสมั พันธ์แบบ แสดงเวลา ความสัมพันธ์แบบแสดงจดุ ส้นิ สดุ ความสมั พันธ์แบบแสดงวธิ กี าร
77 ความสัมพันธแ์ บบ แสดงการอา้ งถึงคําพูด ความคิด หรอื ข้อเทจ็ จรงิ และความสัมพนั ธแ์ บบแสดงการ เปรียบเทียบ การ เช่ือมโยงความด้วยการใชค้ ําเชื่อมแต่ละประเภทสามารถแสดงรายละเอียดไดด้ ังนี้ 5.2.2.1 ความสัมพันธ์แบบคล้อยตาม การเช่อื มโยงความด้วยคําเชื่อมประเภทคล้อยตามพบมากท่ีสดุ กลา่ วคอื ปรากฏทงั้ ส้นิ 179 ครัง้ คิดเป็นร้อยละ 48.25 ของการใชค้ ําเชือ่ มท้ังหมด คําเชอ่ื มประเภทนี้ จะแสดงใหเ้ ห็นว่า เหตุการณท์ ่เี กิดขึ้นในเน้อื ความนนั้ มีความต่อเนื่องเปน็ เร่ืองเดยี วกัน หรอื เปน็ ไป ในทํานองเดียวกนั คําเชอ่ื มที่ เดก็ ออทสิ ติกใชไ้ ด้แกค่ ําว่า “แล้ว” “แล้วก” “แล้วก” “และ” “และก\" “และก” “ก” และคําว่า “พร้อมกบั ” คําเช่ือมที่แสดงความสมั พนั ธ์แบบคลอ้ ยตามมรี ายละเอียดดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี วันต่อมามนั ทนไม่ไหว มันจึงผลักชา้ งนอ้ ยลงแม่นํ้า แตไ่ ม่ตก เพราะมันเอา ตวั รอด และมันกต็ กน้ําแทน และก็จบ 5.2.2.2 ความสมั พันธ์แบบขัดแยง้ การเชื่อมโยงความดว้ ยคาํ เชือ่ มประเภทขัดแยง้ ปรากฏทัง้ ส้ิน 29 คร้งั คดิ เป็นร้อยละ 7.82 ของการใชค้ ําเชอื่ มทัง้ หมด คาํ เชือ่ มประเภทนจ้ี ะแสดงให้เห็นวา่ เหตกุ ารณ์ ในเนอื้ ความที่อยู่ ใกล้เคยี งกันนน้ั ไม่เป็นไปในทํานองเดียวกนั คําเชอ่ื มทเี่ ด็กออทิสตกิ ใช้ได้แกค่ ําว่า “แต่” “แต่ว่า” “แต่...ก” และ “แต่เผอิญว่า” คาํ เชือ่ มทแ่ี สดงความสัมพันธแ์ บบขัดแย้งมีรายละเอยี ด ดังตวั อย่างต่อไปน้ี ตอนวยั โต ตอนวัยโต ฉัน ฉันเป็นนกั ร้องเพลง แต่พอตอนน้ี ฉนั บวชเป็น พระแลว้ ฉันเลยเฝ้าอยู่ที่วัด ฉันชอบอยทู่ ี่วดั มาก แตผ่ มกจ็ าํ พอ่ แม่ผมได้ 5.2.2.3 ความสมั พนั ธแ์ บบแสดงทางเลอื ก การเชื่อมโยงความด้วยคาํ เชอ่ื มประเภทแสดงทางเลือกปรากฏ เพยี ง 1 ครั้ง คดิ เปน็ ร้อยละ 0.27 ของการใชค้ ําเชอื่ มทงั้ หมด คาํ เชื่อมประเภทนี้จะแสดงให้เหน็ ทางเลือกระหวา่ งเหตกุ ารณ์ หรือข้อความที่อยู่ใกล้เคียงกนั คาํ เชอื่ มท่ีเด็กออทสิ ตกิ ใชไ้ ด้แก่คําวา่ “หรือว่า” มรี ายละเอยี ดดังตัวอย่างต่อไปนี้ อนั น้เี ปน็ ผู้ชายหรอื วา่ ผ้หู ญิง แล้วเรอ่ื งน้กี จ็ บลง คําว่า “หรือวา่ ” ทีป่ รากฏในตัวอยา่ งเป็นคาํ เชื่อมที่แสดง ความสัมพนั ธ์ แบบแสดงทางเลือก 5.2.2.4 ความสัมพนั ธแ์ บบแสดงเหตผุ ล การเชื่อมโยงความด้วยคาํ เชอื่ มประเภทแสดงเหตผุ ลปรากฏ ทัง้ ส้นิ 54 ครงั้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 14.56 ของการใช้คาํ เชอ่ื มท้ังหมด คําเชื่อมประเภทนจี้ ะแสดงใหเ้ ห็น ว่าเหตกุ ารณ์ในเนื้อความที่ อยใู่ กล้เคียงกันเปน็ เหตเุ ปน็ ผลซึง่ กนั และกัน คําเช่ือมทีเ่ ด็กออทสิ ติกใช้ ได้แก่คาํ ว่า “เพราะ” “เพราะวา่ ” “จึง” “เลย” และ “ก็เลย” คําเชอ่ื มที่แสดงความสมั พันธ์แบบแสดง เหตุผลมีรายละเอียดดังตวั อยา่ งต่อไปนี้ แลว้ ตาํ รวจกจ็ ับคนทใ่ี ห้อาหารพษิ ได้ เพราะพระโทร เพราะ พระแจง้ ตาํ รวจ 5.2.2.5 ความสมั พันธแ์ บบขยายความ การเชอ่ื มโยงความดว้ ยคาํ เชอื่ มประเภทขยายความปรากฏทั้งสน้ิ 13 ครง้ั คิดเป็นร้อยละ 3.50 ของการใชค้ าํ เชือ่ มทั้งหมด คาํ เชอ่ื มประเภทนี้จะใช้ขยายคาํ วลี หรอื ประโยคเพ่อื ใหม้ ี ความหมายชดั เจนย่งิ ขึ้น คาํ เช่อื มที่เด็กออทิสติกใช้ได้แก่คาํ วา่ “ท”่ี มรี ายละเอียดดัง ตวั อยา่ งต่อไปนี้ ตอนนัน้ เขาก็ทาํ เป็น ทํางานแลว้ เขาจึงจํา จาํ สิ่งท่ีพระสอนได้ ว่าวา่ ความ ดี ทาํ ดีไดด้ ี ทําชั่วได้ชัว่ จากตวั อย่างขา้ งตน้ เห็นได้วา่ อนพุ ากย์ทต่ี ามหลงั คําวา่ “ที่” คอื “พระ สอน” ทําหน้าท่ขี ยายคําวา่ “สง่ิ ” ซึ่งเปน็ นามวลีท่ีปรากฏอยขู่ ้างหนา้
78 5.2.2.6 ความสัมพันธแ์ บบแสดงวตั ถุประสงค์ การเชือ่ มโยงความดว้ ยคาํ เชอื่ มประเภทแสดงวัตถุประสงค์ ปรากฏท้ังส้นิ 9 ครงั้ คิดเป็นร้อยละ 2.43 ของการใช้คาํ เชอื่ มทง้ั หมด คําเชอ่ื มประเภทนจี้ ะใชเ้ พ่ือบอกจุดประสงคข์ องการ กระทาํ หรือกจิ กรรมทเ่ี กิดขึ้น คําเช่อื มที่เด็กออทิสติกใช้ได้แกค่ ําวา่ “เพือ่ ” และ “ให้” คาํ เชื่อมที่แสดง ความสมั พนั ธแ์ บบแสดงวตั ถปุ ระสงคม์ รี ายละเอียดดังตวั อย่างต่อไปน้ี พอ่ พอ่ แม่ พ่อแม่ไป พ่อกับแม่ พอ่ กับแม่ไปสง่ สง่ ผมทบี่ ้านคณุ ตาคุณยาย เพ่ือค้าง เพื่อค้างคืนหนง่ึ คนื 5.2.2.7 ความสัมพันธ์แบบแสดงวธิ ีการ การเชอื่ มโยงความด้วยคําเช่อื มประเภทแสดงวิธกี ารปรากฏเพียง 1 คร้งั คดิ เป็นรอ้ ยละ 0.27 ของการใชค้ าํ เชอื่ มทง้ั หมด คาํ เช่ือมประเภทน้ีจะใชเ้ พือ่ แสดงวา่ เหตุการณ์หนึ่งเกดิ ขนึ้ ดว้ ยวิธีการอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งโดยมคี ําเชือ่ มแสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ ง เหตกุ ารณ์กับวธิ กี ารนั้นๆ คําเชอ่ื มทเี่ ด็ก ออทิสติกใชไ้ ด้แก่คําว่า “โดย” มรี ายละเอียดดังตัวอย่าง ตอ่ ไปนี้ วนั ตอ่ มา คิด คิดแผนใหม่ วาง วางกับดักโดยใชเ้ ชือกทหี่ มุนอยู่ แลว้ ก็ แลว้ กม็ กี ล้วย อ้อย คาํ ว่า “โดย” ทีป่ รากฏในตัวอยา่ งข้างต้นเป็นคาํ เชอ่ื มเหตกุ ารณ์ท่ี แสดง ความสัมพันธ์แบบแสดงวธิ ีการ โดยเหตกุ ารณ์ท่ปี รากฏหน้าคําเชือ่ มเปน็ เหตุการณ์ที่แสดงให้ เหน็ วา่ สามารถ เกดิ ขน้ึ ได้ดว้ ยวิธกี ารทปี่ รากฏอย่หู ลังคาํ เชอื่ ม 5.2.2.8 ความสมั พนั ธแ์ บบแสดงเวลา การเชื่อมโยงความดว้ ยคาํ เชอ่ื มประเภทแสดงเวลาปรากฏทั้งสิน้ 65 ครง้ั คดิ เปน็ รอ้ ยละ 17.52 ของการใชค้ ําเช่อื มทั้งหมด คาํ เช่ือมประเภทนจี้ ะใชเ้ พอื่ แสดงให้เหน็ ความเกี่ยวพนั กนั ทางเวลาระหว่างเหตกุ ารณ์ตา่ งๆท่ีดาํ เนนิ ไปอย่างต่อเนื่อง คําเชอื่ มที่เด็กออทสิ ติก ใช้ไดแ้ ก่คาํ วา่ “ทนั ใดนัน้ ” “ขณะนนั้ ” “กาลครั้งหน่งึ ” “เทย่ี ง” “บ่าย” “เป็น” เปน็ ต้น คาํ เช่ือมที่แสดง ความสัมพันธ์แบบแสดงเวลามี รายละเอียดดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี ขณะน้ันน้องหมีก็ตกลงไปแลว้ ก็ไดย้ ินเสียงนาฬิกา จงึ เด็กสอง คนน้นั จึงมา มาแต่งตัว เด็ก ทันใดนนั้ ก็ไดย้ ินเสยี งแม่เรียกวา่ ไปโรงเรยี นแล้วค่ะลูก.... คาํ ว่า “ขณะน้นั ” “ทันใดน้นั ” “กาลคร้ังหน่ึง” “เท่ียง” “บา่ ย\" และ “เยน็ ” ทป่ี รากฏในตวั อยา่ งข้างตน้ เปน็ คาํ เชอื่ มท่แี สดงความสมั พันธ์ทางเวลาของเหตุการณ์ ต่างๆ 5.2.2.9 ความสมั พันธ์แบบแสดงจดุ สน้ิ สุด การเช่อื มโยงความด้วยคําเชือ่ มแสดงจดุ สน้ิ สุดปรากฏท้ังส้นิ 6 ครั้ง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 1.61 ของการใช้คาํ เช่ือมท้ังหมด คาํ เชื่อมประเภทนี้จะใช้เพื่อแสดงจดุ สดุ ทา้ ย หรอื จดุ หมายปลายทาง ของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึง คาํ เช่อื มทเี่ ด็กออทิสติกใช้ได้แก่คําวา่ “จน” มีรายละเอยี ดดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี ชา้ งชอ่ื โปโปกาํ ลงั เดนิ เลน่ อยู่แลว้ เขากเ็ ผลอพน่ น้ําลาย พน่ น้ํา ออกมาจน โคนนก... เขากินปู กนิ ทุกอยา่ งแลว้ เขาก็ เขา เขายังไม่อิ่ม เขาไปกนิ เย็นๆ กินเรอ่ื ยๆ จนเดนิ ไม่ไหวเลย คําว่า “จน” ท่ีปรากฏในตัวอย่างข้างต้นเป็นคําเชือ่ มที่แสดง จุดส้ินสุดของ
79 เหตุการณ์ โดยเหตกุ ารณ์ที่ปรากฏหลงั คําเช่ือมเป็นจุดสิน้ สุด หรือจดุ หมายปลายทาง ของเหตกุ ารณ์ท่ปี รากฎ หนา้ คําเชอ่ื ม 5.2.2.10 ความสัมพันธ์แบบแสดงการอ้างถึงคําพูด ความคิด หรือ ข้อเทจ็ จริง การเชือ่ มโยงความดว้ ยคําเชือ่ มแสดงการอา้ งถึงคาํ พูด ความคดิ หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏท้ังสน้ิ 12 ครัง้ คดิ เป็นร้อยละ 3.23 ของการใชค้ าํ เชอื่ มทั้งหมด คําเช่ือม ประเภทนีจ้ ะอยู่ หลังกริยาแสดงการรบั รู้ เช่น คดิ พูด ร้สู ึก เปน็ ต้น คําเชอ่ื มทีเ่ ดก็ ออทิสตกิ ใชไ้ ดแ้ ก่ คําว่า “วา่ ” มรี ายละเอียด ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ช้างตวั หน่ึงพน่ นาํ้ แลว้ ก็มตี น้ ไม้ แล้วกม็ สี ัตวต์ ัวนี้ แล้วก็ตน้ หญา้ แล้วกม็ ีนา้ํ คาดวา่ ช้างอาจจะดืม่ นํ้าแล้วกพ็ น่ นา้ํ คาํ วา่ “ว่า” ท่ปี รากฏในตวั อย่างขา้ งต้นเปน็ คําเชอื่ มทแ่ี สดงการ อา้ งถงึ คําพูด ความคดิ หรือข้อเท็จจริงซึง่ ปรากฎหลังคํากรยิ าแสดงการรับรตู้ ่างๆ 5.2.2.11 ความสัมพนั ธ์แบบแสดงการเปรยี บเทียบ การเช่อื มโยงความดว้ ยคําเช่ือมแสดงการเปรยี บเทียบปรากฏเพยี ง 2 ครัง้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 0.54 ของการใชค้ าํ เช่ือมท้ังหมด คําเชอื่ มประเภทน้จี ะใชเ้ พอื่ แสดงการ เปรียบเทยี บระหวา่ ง เหตกุ ารณท์ ีน่ ํามากอ่ นและเหตกุ ารณท์ ่ีตามมา คําเช่อื มท่ีเด็กออทิสติกใชไ้ ดแ้ ก่ คําวา่ “เหมอื นกัน” และ “เท่ากบั ” มีรายละเอียดดังตัวอย่างต่อไปนี้ แลว้ คนน้เี ขาก็ชี้มาตรงนี้ แล้วคณุ แม่เนย่ี กเ็ ปน็ คนชม้ี าตรงนี้อกี เหมือนกัน แตอ่ าหารทะเลก็อร่อยนะเท่ากบั ฝมี อื ของคณุ ตาคณุ ยายเลย.. คาํ วา่ “เหมือนกนั ” และ “เท่ากบั ” ทปี่ รากฏในตัวอย่างข้างต้นเปน็ คําเช่ือมทีแ่ สดงการเปรยี บเทียบระหวา่ งเหตุการณ์สองเหตุการณ์ ผลการวิเคราะห์การเชอ่ื มโยงความด้วยการใช้คําเชื่อมสามารถแสดงไดด้ ังตาตางตอ่ ไปน้ี ตารางที่ 15 ตารางแสดงการเปรียบเทียบการใช้คําเชอ่ื มทปี่ รากฏในการพูดเลา่ เรอ่ื ง ประเภทของคําเชื่อม จาํ นวนครั้งท่ีปรากฏ คา่ รอ้ ยละ 48.25 1.ความสัมพนั ธ์แบบคล้อยตาม 179 7.82 0.27 2. ความสมั พันธแ์ บบขัดแย้ง 29 14.56 3.50 3.ความสมั พนั ธ์แบบแสดงทางเลือก 1 2.43 0.27 4.ความสัมพันธ์แบบแสดงเหตุผล 54 17.52 1.61 5.ความสัมพนั ธแ์ บบขยายความ 13 3.23 6.ความสมั พนั ธ์แบบแสดงวตั ถปุ ระสงค์ 9 0.54 100 7.ความสัมพนั ธ์แบบแสดงวธิ กี าร 1 8.ความสมั พนั ธแ์ บบแสดงเวลา 65 9.ความสัมพันธแ์ บบแสดงจดุ ส้ินสุด 6 10.ความสัมพนั ธแ์ บบแสดงการอา้ งถึงคาํ พดู 12 ความคิด หรอื ข้อเท็จจริง 11.ความสมั พนั ธ์แบบแสดงการเปรยี บเทยี บ 2 รวม 371
80 จากตารางที่ 15 แสดงให้เหน็ วา่ คําเชื่อมทเี่ ดก็ ออทสิ ตกิ ใชใ้ นการพดู เลา่ เร่ืองมี 11 ประเภท คําเชอ่ื มท่ี เดก็ ใช้มากที่สุดคือ คําเช่ือมท่ีแสดงความสัมพนั ธ์แบบคล้อยตาม ปรากฏรอ้ ยละ 48.25 รองลงมาคือ คําเชื่อมท่ี แสดงความสมั พันธ์แบบแสดงเวลา และคําเช่อื มทแ่ี สดงความสมั พนั ธแ์ บบ แสดงเหตผุ ล ปรากฏร้อยละ 17.52 และ 14.56 ตามลาํ ดับ ส่วนคําเชือ่ มทเี่ ด็กออทสิ ติกใชน้ ้อยทีส่ ุด คือคําเชือ่ มทีแ่ สดงความสมั พันธ์แบบแสดง ทางเลือก และคําเชือ่ มท่ีแสดงความสัมพนั ธแ์ บบแสดง วธิ กี าร ซ่ึงคําเช่ือมทงั้ 2 ประเภทปรากฏอยา่ งละ 1 ครงั้ คดิ เปน็ ร้อยละ 0.27 5.2.3 การซา้ํ (repetition) การซํ้า คือ การใชร้ ูปภาษาเดิมอีกคร้งั หลงั จากทหี่ นว่ ยภาษาน้นั เคยปรากฏ แลว้ การซ้ําทีป่ รากฏในการพดู เล่าเร่ืองของเด็กออทสิ ติกสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ การซ้ํา รูป (recurrence) การซาํ้ ความ (paraphrase) และการซํ้าโครงสรา้ ง (parallel structure) จากการ วเิ คราะห์ พบว่าเดก็ ออทสิ ติกมีวธิ กี ารเช่ือมโยงความดว้ ยการซา้ํ ทั้งส้นิ 647 ครง้ั แบ่งเป็นการซํ้ารูป 585 ครง้ั คดิ เปน็ ร้อย ละ 90.41 การซ้ําความ 8 คร้ัง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 1.24 และการซ้าํ โครงสร้าง 54 ครัง้ คิดเป็นร้อยละ 8.35 ทง้ั นี้ การวิเคราะห์การเชอื่ มโยงความดว้ ยการซํา้ รูปในการพดู เล่าเรื่องพบว่า ปรากฏการซาํ้ 2 ประเภท ได้แก่ การ เชอื่ มโยงความดว้ ยการซาํ้ ซ่งึ เป็นการซ้าํ แบบสัมพันธสาร เน่ืองจากหนา้ ทข่ี องการซาํ้ ดงั กลา่ วคอื การเนน้ ยํ้าเพื่อ สร้างน้าํ หนกั ให้เน้ือความชัดเจนขนึ้ หรอื เช่อื มโยงข้อมูลเดิมท่กี ล่าวไปก่อนหน้า รวมถงึ ขยายความให้ รายละเอยี ดของเนอ้ื หา สว่ นการซ้าํ รูป อกี ประเภทหนง่ึ คอื การซา้ํ ทเ่ี ป็นข้อบกพร่องทางการพดู การซํา้ ลักษณะ น้ีไม่ได้มหี น้าที่เพื่อเชื่อมโยง ความแตเ่ กดิ จากความผิดปกติทางการพูดของเด็กออทิสติกซง่ึ มีลักษณะการพดู ซํ้าๆแบบติดอา่ ง การซํ้าแต่ละประเภทมรี ายละเอยี ดดังนี้ 5.2.3.1 การซํา้ รูป 5.2.3.1.1 การซ้ํารปู เพื่อเชอ่ื มโยงความ การซ้าํ รปู เพื่อเชอ่ื มโยงความเกิดจากการซา้ํ บางสว่ นของเร่ืองท่มี ี รปู ภาษา เหมอื นกนั เพื่อเนน้ ย้ําความ เช่อื มโยงข้อมูลเดิมทกี่ ล่าวไปก่อนหน้า รวมถงึ ขยายความใหร้ ายละเอยี ด ของเน้ือหา การซํ้ารูปเพ่ือเชอ่ื มโยงความทปี่ รากฏในเรือ่ งเล่าของเด็กออทสิ ตกิ ทั้ง 585 ครงั้ สามารถ แบ่งได้ เป็น 3 ชนิด คอื การซาํ้ รูปคาํ การซ้ํารปู วลี และการซํา้ รปู ประโยคดังนี้ 5.2.3.1.1.1 การซ้ํารูปคาํ การเช่ือมโยงความด้วยการซาํ้ รปู คาํ ปรากฏท้ังสิ้น 476 ครั้ง คิด เป็นรอ้ ยละ 81.37 ของการซาํ้ รูปท้งั หมด จากการวเิ คราะห์พบวา่ คาํ ท่ปี รากฏการซ้าํ รูปสว่ นใหญค่ อื คํานาม คาํ สรรพนาม คํากริยา และคําสนั ธาน การซ้าํ รปู คําจะปรากฏท้ังการซ้ําทกุ ส่วนและการ บางสว่ น มี รายละเอียดดังตวั อยา่ งต่อไปนี้ ชา้ ง₁ ชื่อโป ชา้ งช่อื โป ช้างช่ือโปโป กําลงั เดินเลน่ อยู่ แล้วเขาก็ เผลอพ่นนา้ํ ลาย พ่นน้าํ ออกมาจนโดนนก₂ นก₂จงึ บอกวา่ ทําแบบนีไ้ ม่ไดน้ ะ แล้วช้าง₁ จึงไมท่ ําแลว้ ชา้ ง₁ก็เดิน เลน่ ต่อไป จากตัวอยา่ งข้างตน้ ปรากฏการซํ้ารปู คําท้ังหมด 3 ครัง้ โดยซ้าํ คํา วา่ “ชา้ ง” 2 คร้ัง และคําวา่ “นก” 1 ครงั้ การซาํ้ รปู คาํ ในตัวอยา่ งนีป้ รากฏเฉพาะการซํ้าทกุ สว่ น
81 5.2.3.1.1.2 การซา้ํ รูปวลี การเชอ่ื มโยงความด้วยการซา้ํ รปู วลี ปรากฏท้ังสน้ิ 75 คร้งั คิด เป็นรอ้ ยละ 12.82 ของการซํ้ารปู ท้งั หมด จากการวเิ คราะห์พบวา่ วลีท่ปี รากฏการซาํ้ ส่วนใหญ่ คอื นามวลี และ กริยาวลี การซํา้ รปู วลีจะปรากฏทง้ั การซ้ําทุกสว่ นและการซ้ําบางส่วน มีรายละเอียดดัง ตวั อย่างตอ่ ไปนี้ เพือ่ นช้างท่สี ดุ จะเจา้ เล่ห์₁ ก็หา ก็ ก็หาทางวางแผนกําจัดเจ้าน้ี เจา้ ช้างนอ้ ย แต่โชคดที ่ี₂ ชา้ งจอมเจา้ เลห่ ์₁ ไม่ ตาม ไม่ ตามมาไม่ทัน จึง จึงตกนํา้ จึงตกนํา้ วันต่อมา คิด คิดแผน ใหม่วาง วางกบั ดกั โดยใช้เชือกที่หมุนอยแู่ ล้วก็ แล้วกม็ ีกล้วย อ้อย แตโ่ ชคดที ่ี₂ยงั ไม่ หลง หลงกลกบั ดักของ ช้างเจ้าเล่ห์₁ ชา้ งเจา้ เล่ห์₁ เลยโดนแทน จากตัวอยา่ งขา้ งต้นปรากฏการซ้ํารปู วลีทั้งหมด 4 คร้ัง โดยซ้ําวลี “ช้างทสี่ ดุ จะเจ้าเล่ห์\" 2 ครง้ั เป็นการซาํ้ บางสว่ น และซํา้ วลี “ช้างเจ้าเล่ห์” อีก 1 ครั้ง เป็นการซ้ําทุก สว่ น และวลี “แตโ่ ชคดที ่ี 1 ครัง้ เป็นการซํา้ ทุกส่วน 5.2.3.1.1.3 การซ้ํารปู ประโยค การเชอ่ื มโยงความดว้ ยการซํา้ รปู ประโยค ปรากฏท้ังสนิ้ 34 คร้ัง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 5.81 ของการซาํ้ รปู ทั้งหมด จากการวิเคราะห์พบวา่ การซ้ํารูปประโยคจะปรากฏท้ัง การซาํ้ ทุก ส่วนและการซาํ้ บางสว่ น มรี ายละเอียดดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี ช้างขอโทษหนอน แลว้ หนอนก แล้วช้างกไ็ ดย้ ินเสียงอะไร หนอน หนอนจึงร้องวา่ เจบ็ นะเจ็บนะ ช้างจึง จึงชว่ ย ช่วยใหห้ นอน ช่วยใหห้ นอนมคี วามสุข จากตัวอยา่ งขา้ งตน้ ปรากฏการซํ้ารปู ประโยค “เจ็บนะ” 1 ครง้ั การซาํ้ รปู ประโยคในตัวอยา่ งน้เี ป็นการซ้ําทุกสว่ น ผลการวิเคราะห์การเชอ่ื มโยงความด้วยการซ้ํารูปสามารถแสดงได้ดงั ตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 16 ตารางแสดงการเปรยี บเทยี บการซ้ํารูปทป่ี รากฏในการพูดเล่าเรื่อง การซ้าํ รูป การซา้ํ รูป จาํ นวนคร้ังท่ีปรากฏ คา่ ร้อยละ 1. การซาํ้ รปู คํา 476 81.37 2. การซ้ํารปู วลี 75 12.82 3. การซ้าํ รปู ประโยค 34 5.81 รวม 585 100 จากตารางที่ 16 แสดงใหเ้ ห็นวา่ การเชอื่ มโยงความดว้ ยการซาํ้ รปู ท่เี ด็กออทิสตกิ ใชใ้ นการ พดู เล่าเรอ่ื ง มี 3 ประเภท การซํ้ารปู ทีเ่ ด็กออทสิ ติกใชม้ ากทีส่ ดุ คือ การซา้ํ รูปคํา ปรากฏร้อยละ 81.37 รองลงมาคือการซ้ํา รูปวลีเเละประโยค ปรากฏร้อยละ 12.82 และ 5.81ตามลําดับ 5.2.3.1.2 การซ้ํารปู ท่เี ป็นข้อบกพร่อง การซํ้ารปู ที่เปน็ ขอ้ บกพรอ่ งเกิดจากการซํ้าบางส่วนของเรอื่ งท่ีมีรูปภาษา เหมือนกนั แต่การซ้ําน้ันไม่ไดเ้ กิดข้นึ เพ่ือเชื่อมโยงความ เพราะเมื่อตดั รปู ภาษาทซ่ี ้ํากนั ออกไป เน้ือความยังมี ความหมายคงเดมิ การซ้ํารูปลกั ษณะน้คี ือการพูดซ้าํ ๆแบบตดิ อา่ งซ่ึงมผี ลมาจากความ ผิดปกตดิ า้ นการพูดของ เดก็ ออทสิ ติกหรืออาจเกิดจากกระบวนการคิดท่เี ด็กไมส่ ามารถเรียบเรยี ง ถ้อยคําที่จะกล่าวต่อไปไดท้ ันที จึง ปรากฏการซ้ํารปู ลักษณะน้ี การซํ้ารูปท่ีเปน็ ข้อบกพร่องของเด็ก ออทิสตกิ ปรากฏในเรื่องเล่าทัง้ สิน้ 157 คร้งั
82 สามารถแบง่ ได้เป็น 3 ชนิดเชน่ เดียวกบั การเชื่อมโยง ความดว้ ยการซาํ้ ได้แก่ การซ้ํารูปคํา การซา้ํ รูปวลี และ การซ้ํารปู ประโยคดงั นี้ 5.2.3.1.2.1 การซาํ้ รปู คํา การซาํ้ รปู คําทีเ่ ป็นข้อบกพร่อง ปรากฏท้งั ส้ิน 91 ครั้ง คิดเปน็ ร้อยละ 57.96 ของการซา้ํ รปู ทัง้ หมด การซํ้ารูปคําจะปรากฏท้งั การซ้าํ ทุกส่วนและการซ้ําบางสว่ น มี รายละเอียดดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ พีเ่ ลยบอกว่า อ่ิม อร่อยจงั แต่ แต่นอ้ งยงั ไมห่ ยดุ พ่ี พี่ พเ่ี ลยบอก ว่า อยา่ กนิ จุนะน้อง จากตวั อยา่ งข้างตน้ ปรากฏการซาํ้ รูปคํา “พ่ี\" 2 ครัง้ การซํ้ารปู คาํ ในตวั อย่างนเ้ี ป็นการซ้าํ ทุกส่วน 5.2.3.1.2.2 การซ้ํารปู วลี การซํ้ารปู วลที ี่เปน็ ข้อบกพร่อง ปรากฏทัง้ สนิ้ 58 ครง้ั คิดเป็น ร้อย ละ 36.94 ของการซา้ํ รปู ทั้งหมด การซํ้ารูปวลีจะปรากฏท้งั การซาํ้ ทุกสว่ นและการซํา้ บางส่วน มี รายละเอียด ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ กาลครงั้ หนง่ึ นานมาแล้วมีชา้ งชอื่ โป ชา้ งชือ่ โป ชา้ งชือ่ โปโป กําลงั เดินเลน่ อยู่ จากตัวอย่างขา้ งตน้ ปรากฏการซํ้ารปู วลี “ช้างชือ่ โปโป\" 2 ครั้ง การซ้ํารูปวลีในตวั อย่างนี้ปรากฏทัง้ การซ้ําทุกส่วนและการซ้าํ บางส่วน 5.2.3.1.2.3 การซํ้ารูปประโยค การซํ้ารูปประโยคท่เี ป็นข้อบกพรอ่ ง ปรากฏทัง้ ส้นิ 8 ครง้ั คิดเป็น ร้อยละ 5.1 ของการซาํ้ รูปทง้ั หมด การซา้ํ รูปประโยคจะปรากฏทง้ั การซ้าํ ทุกส่วนและการซํา้ บางสว่ น มี รายละเอียดดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ คุณแม่ แตค่ นนตี้ ืน่ แต่น้องคนน้หี ลับอยู่ และหมา และ หมาตวั น้ี มาดู เดก็ ชายคนน้ีจงึ รีบตื่นนอน เดก็ คนนีจ้ ึงตน่ื นอน จากตัวอยา่ งข้างต้นปรากฏการซํา้ รูปประโยค “เด็กชาย คนน้จี งึ รบี ตื่นนอน” 1 คร้ัง การซาํ้ รูปประโยคในตัวอยา่ งนี้เป็นการซ้ําบางสว่ น ผลการวเิ คราะหก์ ารซาํ้ รปู ท่เี ป็นขอ้ บกพร่องสามารถแสดงได้ดงั ตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 17 ตารางแสดงการเปรยี บเทียบการซํา้ รปู ท่เี ปน็ ข้อบกพร่องในการพดู เลา่ เรื่อง การซ้าํ รูป จํานวนครงั้ ที่ปรากฏ คา่ ร้อยละ 1. การซํ้ารูปคํา 91 57.96 2. การซา้ํ รูปวลี 58 36.94 3. การซ้ํารูปประโยค 8 5.1 รวม 157 100 จากตารางที่ 17 แสดงใหเ้ ห็นว่าการซ้าํ รปู ท่ีเป็นข้อบกพร่องของเด็กออทิสติกปรากฏในการ พูดเลา่ เรอ่ื ง 3 ประเภท การซํา้ รปู ท่ีเด็กออทสิ ติกใชม้ ากทสี่ ุดคือ การซา้ํ รปู คาํ ปรากฏร้อยละ 57.96 รองลงมาคือการ ซาํ้ รูปวลีและการซาํ้ รูปประโยค ปรากฏร้อยละ 36.94 และ 5.1 ตามลาํ ดับ
83 5.2.3.2 การซํา้ ความ การซา้ํ ความเป็นการเชื่อมโยงความโดยการใช้รูปภาษาต่างกนั แต่ ใหค้ วามหมาย เหมือนหรือใกลเ้ คยี งกัน การซํ้าความท่ปี รากฏในการพูดเล่าเร่อื งของเด็กออทสิ ติก ปรากฏทงั้ สิน้ 8 ครงั้ แบ่งได้ เป็น 3 ชนดิ คอื การซํ้าความระดบั คํา การซา้ํ ความระดับวลี และการซา้ํ ความระดับอนุพากยห์ รือประโยคดังน้ี 5.2.3.2.1 การซ้าํ ความระดับคาํ การเช่ือมโยงความด้วยการซ้ําความในระดับคาํ ปรากฎ 1 ครัง้ คดิ เปน็ ร้อยละ 12.5 ของการซา้ํ ความทั้งหมด การซ้าํ ความประเภทนี้จะปรากฏในรปู ของคาํ ซ้อน มี รายละเอียดดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ ทันใดน้ันก็ไดย้ นิ เสยี งแม่เรียกว่า ไปโรงเรยี นแลว้ ค่ะลูก ลูกจึง ไปโรงเรยี น พรอ้ ม พร้อมกบั สีหน้าย้ิมแย้ม 5.2.3.2.2 การซ้ําความระดับวลี การเชอ่ื มโยงความด้วยการซ้ําความในระดับวลปี รากฏ 2 ครั้ง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 25 ของการความท้ังหมด การซ้ําความประเภทนีเ้ ป็นการใช้วลีทีม่ ีความหมาย เหมอื นกันหรือใกล้เคียงกัน มี รายละเอยี ดดังตวั อย่างต่อไปน้ี ตอนทเี่ ขาโตมา แมเ่ ขาก็เสยี ชีวติ จากไป ขณะนั้นเขาก็อยทู่ ่ีวัด กับพระ พ่ีเลยบอกวา่ อ่มิ อรอ่ ยจัง แต่ แต่น้องยงั ไมห่ ยุด พ่ี พ่ี พเี่ ลยบอก วา่ อย่ากนิ จุนะ น้อง นอ้ งเลย น้องเลยตกทีละเลก็ ทีละน้อย วลี “เสียชีวิต และ “จากไป” และวลี “ทลี ะเลก็ ”และ“ทลี ะนอ้ ย” ทปี่ รากฏใน ตวั อย่างขา้ งตน้ เปน็ วลที มี่ ีความหมายใกล้เคียงกนั ซ่ึงเปน็ การซา้ํ ความระดับวลี 5.2.3.2.3 การซา้ํ ความระดบั อนพุ ากยห์ รือประโยค การเช่อื มโยงความดว้ ยการซาํ้ ความในระดับอนุพากย์หรือ ประโยค ปรากฎ 5 ครงั้ คิดเป็นรอ้ ยละ 62.5 ของการซ้ําความท้ังหมด การซ้ําประเภทนีเ้ ป็นการ ใชอ้ นุพากยห์ รือประโยคท่ีมี ความหมายใกล้เคยี งกัน มรี ายละเอยี ดดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี โชคดที ่ีชา้ งจอมเจา้ เลห่ ์ไม่ ตาม ไม่ ตามมาไมท่ นั จึง จึงตกนํา้ จึงตกน้าํ วนั ต่อมา คิด คดิ แผนใหม่วาง วางกับดกั โดยใช้เชือกท่หี มุนอยู่ แลว้ ก็ แล้วก็มกี ลว้ ย อ้อย แตโ่ ชคดีทยี่ ังไม่หลง หลงกลกับดกั ของชา้ งเจ้าเลห่ ์ ชา้ งเจา้ เลห่ เ์ ลยโดนแทน เลยตกนา้ํ ปุ่มๆอกี ครั้ง ประโยค “ช้างเจา้ เลห่ เ์ ลยโดนแทน” และประโยค “เลยตกน้าํ ปมุ่ ๆอีกคร้ัง” ท่ี ปรากฏในตวั อยา่ งข้างตน้ เปน็ การซ้าํ ความระคบั ประโยค เพราะประโยคท้งั สองมี ความหมายใกลเ้ คียงกัน ผลการวเิ คราะหก์ ารเชื่อมโยงความด้วยการซ้ําความสามารถแสดงได้ดงั ตารางต่อไปนี้ ตารางท่ี 18 ตารางแสดงการเปรยี บเทยี บการซ้าํ ความที่ปรากฏในการพูดเลา่ เรื่อง การชํ้าความ จํานวนครง้ั ทป่ี รากฏ คา่ รอ้ ยละ 12.5 1. การซํ้าความระดับคาํ 1 25 62.5 2. การซ้ําความระดับวลี 2 100 3. การซํา้ ความระดบั อนุพากย์หรือประโยค 5 รวม 8
84 จากตารางที่ 18 แสดงใหเ้ ห็นว่าการเชือ่ มโยงความดว้ ยการความที่เด็กออทสิ ติกใชใ้ นการ พูดเล่าเร่ือง มี 3 ประเภท การซ้ําความที่เด็กออทิสติกใช้มากท่สี ดุ คือ การซาํ้ ความระดับอนุพากย์หรอื ประโยค ปรากฏร้อย ละ 62.5 รองลงมาคือการซ้ําความระคับวลแี ละการซ้ําความระดับคํา ปรากฏ รอ้ ยละ 25 และ 12.5 ตามลาํ ดบั 5.2.3.3 การซาํ้ โครงสร้าง การซ้ํา โครงสรา้ งเปน็ การเชื่อมโยงความที่เกิดจากการใช้ โครงสรา้ งภาษาท่ี เหมือนกนั แตม่ คี ําทป่ี รากฏในโครงสรา้ งต่างกัน การซ้ําโครงสรา้ งท่ีปรากฏใน การพดู เล่าเรอื่ งของเด็กออทิสติก ท้ัง 54 คร้งั สามารถแสดงได้ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี ตอนเด็กฉันเปน็ แค่คนธรรมดา ตอนวยั หนุ่มฉันเปน็ นักเรยี น ตอนวัยโต ตอนวยั โต ฉัน ฉันเป็นนกั รอ้ งเพลง แต่พอตอนนี้ฉนั บวชเปน็ พระแลว้ จากตัวอย่างข้างต้นแสดงใหเ้ หน็ วา่ ประโยคในตัวอย่างนี้ใช้ โครงสรา้ งภาษา เหมือนกันคือ โครงสร้างประโยค กาลวลฉี่ ันเป็นนามวลี 5.2.4 การเชอื่ มโยงคําศัพท์ (lexical cohesion) การเชื่อมโยงคําศัพทเ์ ปน็ การแสดงความสมั พันธ์ โดยใช้คาํ ศพั ท์ทมี่ ี ความหมายเก่ียวข้อง สัมพนั ธก์ ันระหว่างประโยคหรอื ข้อความทีน่ ํามาก่อนกับประโยคหรอื ข้อความ ทีต่ ามมา การเชื่อมโยงคําศัพทท์ ่ี ปรากฏในการพดู เล่าเร่อื งของเดก็ ออทสิ ติกปรากฏทง้ั สิ้น 169 ครงั้ แบง่ ได้เป็น 5 ชนดิ คอื การใชค้ ําพ้อง ความหมาย การใชค้ ําทมี่ ีลักษณะเก่ียวข้องกันแบบ คาํ เฉพาะเจาะจง-ท่ัวไป การใชค้ ําทมี่ ีลกั ษณะเกี่ยวข้องกัน แบบคาํ แสดงองค์ประกอบย่อย-ท้ังหมด การใช้คําตรงกนั ขา้ ม และการใช้คาํ ที่สมั พนั ธ์กนั หรอื คาํ ทเ่ี ข้าคู่กันดังนี้ 5.2.4.1 การใชค้ ําพ้องความหมาย การเชื่อมโยงคําศัพท์ดว้ ยการใชค้ าํ พ้องความหมายปรากฏทั้งสิ้น 4 ครัง้ คดิ เปน็ รอ้ ย ละ 2.37 ของการเชื่อมโยงคาํ ศัพท์ทงั้ หมด การเชอ่ื มโยงคาํ ศัพทป์ ระเภทน้คี ือการ ใชค้ าํ ที่มคี วามหมาย เหมือนกัน คลา้ ยคลึงกัน หรือมคี วามหมายบรบิ ทในทาํ นองเดียวกนั มี รายละเอียดดงั ตวั อย่างต่อไปนี้ เทย่ี งแลว้ ก็ทานข้าว เยน็ ก็ กลับบ้าน แลว้ ก็ทําการบ้าน แลว้ ก็กิน ขา้ ว อาบนาํ้ แปรง ฟัน แต่งตวั นอน.. ช้างกบั นกก็เดินไปตรงคลองตรงนา้ํ จากตัวอย่างขา้ งต้น คําวา่ “ทาน” และ “กิน” มีความหมาย เหมอื นกัน และคาํ วา่ “คลอง” และ “น้าํ ” ในตวั อยา่ งนม้ี ีความหมายในบริบทเดียวกัน คําที่ปรากฏ ในตัวอยา่ งดงั กลา่ วเป็นการใชค้ ํา พ้องความหมายกนั 5.2.4.2 การใชค้ ําที่มลี ักษณะเกีย่ วข้องกันแบบคําเฉพาะเจาะจง-ท่ัวไป การเชอ่ื มโยงคําศัพท์ด้วยการใชค้ าํ ท่ีมีลกั ษณะเกี่ยวข้องกนั แบบ คาํ เฉพาะเจาะจง ท่วั ไป ปรากฏทั้งสน้ิ 6 ครัง้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 3.55 ของการเชื่อมโยงคาํ ศัพทท์ ง้ั หมด การเช่ือมโยงคําศพั ท์ ประเภทน้คี ือการใช้คาํ ท่ีแสดงลักษณะเฉพาะและทว่ั ไป มรี ายละเอยี ดดัง ตวั อยา่ งต่อไปนี้ คุณตาคุณยายชวนไปกนิ ข้าว พ่ี พเี่ ลยบอกว่า อ่ิม อร่อยจงั แต่ แตน่ อ้ งยังไม่หยุด พี่ พี่ พี่เลยบอกว่า อยา่ กินจนุ ะน้อง น้องเลย น้องเลยตกทีละเล็กทีละนอ้ ย แลว้ ก็ กนิ เจ้าน่กี อ่ น กนิ เน้ือปู ไป กอ่ น แลว้ ตอ่ ไปก็กนิ แกง ตอนน้ัน คุณตาคุณยายไปเท่ียว ไปเที่ยวทางท่ีอยู่ ใน ท่ีอยู่ ที่อยู่บนเกาะท่ีอยบู่ นทะเล แตอ่ าหารทะเลก็อร่อยนะ จากตัวอยา่ งข้างต้นคําวา่ “เนื้อปู” “แกง” และ “อาหารทะเล” เปน็ คํา เฉพาะเจาะจงระบวุ ่าเปน็ ลกั ษณะของอาหาร ซึ่งมีความสัมพนั ธ์ทางความหมายเชื่อมโยงกับ คําวา่ “ข้าว” ซง่ึ เป็นคําทวั่ ไปทหี่ มายถึงอาหารทุกประเภท
85 5.2.4.3 การใช้คาํ ที่มลี ักษณะเกย่ี วข้องกันแบบคาํ แสดงองค์ประกอบย่อยทงั้ หมด การใชค้ าํ ที่มีลักษณะเกีย่ วข้องกันแบบคําแสดงองค์ประกอบย่อย ทงั้ หมด ปรากฏ ทั้งสน้ิ 17 ครั้ง คดิ เปน็ ร้อยละ 10.06 ของการเชอ่ื มโยงคําศัพท์ท้งั หมด การเชื่อมโยงคาํ ศัพท์ประเภทนีค้ ือการ ใช้คําท่แี สดงความสัมพนั ธ์ระหว่างสว่ นย่อยและท้งั หมด มรี ายละเอียดดัง ตัวอยา่ งต่อไปน้ี ช้างตวั หนึง่ เขา เขาพ่นนํ้า แล้วก็มีนกสองตวั มาเกาะ เขารําคาญ นกเขาใช้ ใช้งาไล่ นกออกไป จากตวั อยา่ งข้างต้น คําวา่ “ช้าง” เป็นคําแสดงองค์ประกอบ ทั้งหมด โดยมคี ําวา่ “งา” เป็นคาํ แสดงองค์ประกอบยอ่ ย 5.2.4.4 การใชค้ ําตรงกนั ข้าม การใช้คาํ ตรงกันข้าม ปรากฏทั้งส้นิ 47 ครง้ั คดิ เป็นรอ้ ยละ 27.81 ของการเชื่อมโยง คําศัพท์ทั้งหมด การเช่ือมโยงคาํ ศัพท์ประเภทนค้ี ือการใช้คําท่แี สดงความสัมพนั ธ์ ของคาํ ทีม่ ีความหมายตรง ขา้ มกนั มรี ายละเอียดดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี เอากุ้งมา อนั นี้เป็นผูช้ ายหรอื ว่าผ้หู ญงิ จากตัวอยา่ งดังกลา่ ว คําวา่ “ผชู้ าย” และ “ผหู้ ญงิ ” เปน็ คําตรงกัน ขา้ ม พระสอนเขาวา่ ทําดีไดด้ ี ทําชวั่ ไดช้ ่วั เขาจึงทาํ ดตี ลอดจนหมด จากตัวอย่างดังกล่าว คาํ ว่า “ดี” และ “ช่วั ” เปน็ คําตรงกันขา้ ม คนน้ีต่นื แต่นอ้ งคนนี้หลับอยู่ จากตวั อยา่ งดังกล่าว คําวา่ “ตน่ื ” และ “หลบั ” เป็นคาํ ตรงกัน ข้าม 5.2.4.5 การใช้คาํ ทส่ี มั พันธก์ ันหรือคาํ ทเี่ ขา้ คู่กนั การใชค้ าํ ทส่ี ัมพนั ธ์กันหรือคําทเ่ี ขา้ คู่กนั ปรากฏทัง้ ส้นิ 95 คร้งั คิดเป็นร้อยละ 56.21 ของการเชือ่ มโยงคําศัพทท์ งั้ หมด การเช่ือมโยงคําศัพทป์ ระเภทนคี้ ือการใช้คํา เข้าคูก่ นั เป็นความสมั พนั ธท์ ่ีเกิด จากการใชค้ ําศัพทท์ ี่มคี วามหมายเกีย่ วข้องกันอย่างต่อเนื่องใน ข้อความเดียวกัน มรี ายละเอียดดงั ตัวอยา่ ง ต่อไปนี้ แลว้ กม็ ีตน้ ไม้สองตน้ นี้ แลว้ ก็มีนกเกาะบนหลังช้าง แล้วก็มี ก้อนหนิ อยู่ แล้วก็มีพุ่มไม้ แลว้ กด็ อกไม้ แลว้ ก็มี อะไร แล้วก็มีต้นหญ้า จากตวั อย่างขา้ งตน้ คําวา่ “ต้นไม้” “ก้อนหิน” “พ่มุ ไม้” “ดอกไม้” และ “ตน้ หญ้า” เปน็ คําทีส่ ัมพนั ธเ์ ข้าชุดเป็นกลมุ่ เดียวกัน โดยบรรยายถึงสภาพธรรมชาติ
86 ผลการวิเคราะหก์ ารเชื่อมโยงคําศัพท์สามารถแสดงไดด้ ังตารางต่อไปนี้ ตารางท่ี 19 ตารางแสดงการเปรยี บเทียบการเชอ่ื มโยงคาํ ศัพทท์ ี่ปรากฏในการพดู เล่าเร่ือง การเช่อื มโยงคําศัพท์ จาํ นวนคําท่ีปรากฏ คา่ ร้อยละ 2.37 1. การใช้คาํ พ้องความหมาย 4 3.55 2. การใชค้ ําท่ีมลี ักษณะเก่ียวข้องกนั แบบคํา 6 10.06 เฉพาะเจาะจง-ท่ัวไป 27.81 56.21 3. การใช้คําทีม่ ลี ักษณะเกีย่ วขอ้ งกนั แบบคําแสดง 17 100 องค์ประกอบย่อย-ท้ังหมด 4. การใช้คําตรงกนั ขา้ ม 47 5. การใช้คาํ ที่สัมพันธก์ ันหรอื คาํ ท่เี ขา้ ค่กู ัน 95 รวม 169 จากตารางที่ 19 แสดงใหเ้ ห็นว่าการเชอ่ื มโยงคาํ ศัพท์ที่เด็กออทสิ ติกใชใ้ นการพูดเลา่ เร่ืองมี 5 ประเภท การเชอื่ มโยงคําศัพทท์ ่ีเด็กออทิสติกใชม้ ากที่สดุ คือ การใชค้ ําที่สมั พันธ์กนั หรือคาํ ทเ่ี ข้าคู่ กัน ปรากฏรอ้ ยละ 56.21 รองลงมาคือการใช้คําตรงกันข้าม ปรากฏร้อยละ 27.81 ส่วนการใช้คําพ้อง ความหมายปรากฏน้อย ทสี่ ดุ โดยปรากฏร้อยละ 2.37 เม่อื พจิ ารณาผลการวเิ คราะห์การเชอื่ มโยงความทุกประเภททีป่ รากฏในการพูดเล่าเรื่องของ เด็กออทิ สตกิ สามารถแสดงได้ดังตารางตอ่ ไปน้ี ตารางที่ 20 ตารางแสดงประเภทของการเชื่อมโยงความท่ีปรากฏในการพดู เลา่ เรอ่ื ง ประเภทของการเชื่อมโยงความ จํานวนครง้ั ท่ีปรากฏ ค่าร้อยละ 1. การอ้างถงึ 19.68 0.13 1.1 การอา้ งถึงหน่วยนาม 293 0.47 20.28 1.2 การอา้ งถึงหน่วยกรยิ า 2 12.02 1.3 การอ้างถึงอนุพากย์หรือประโยค 7 1.95 0.07 รวม 302 3.63 0.87 2. การใชค้ ําเช่อื ม 0.6 0.07 2.1ความสมั พันธ์แบบคลอ้ ยตาม 179 4.37 0.4 2.2 ความสมั พนั ธ์แบบขดั แยง้ 29 2.3 ความสมั พนั ธ์แบบแสดงทางเลือก 1 2.4 ความสัมพันธ์แบบแสดงเหตผุ ล 54 2.5 ความสมั พนั ธแ์ บบขยายความ 13 2.6 ความสัมพนั ธ์แบบแสดงวัตถุประสงค์ 9 2.7 ความสัมพนั ธ์แบบแสดงวธิ กี าร 1 2.8 ความสัมพันธแ์ บบแสดงเวลา 65 2.9 ความสมั พนั ธแ์ บบแสดงจุดสนิ้ สุด 6
87 2.10 ความสัมพันธแ์ บบแสดงการอ้างถึงคาํ พดู 12 0.81 ความคิด หรอื ข้อเท็จจริง 2.11 ความสัมพันธแ์ บบแสดงการเปรียบเทียบ 2 0.13 รวม 371 24.92 3. การซ้ํา 585 39.29 3.1 การซํ้ารูป 8 0.54 3.2 การซ้ําความ 54 3.62 3.3 การซํ้าโครงสร้าง 647 43.45 รวม 4 0.27 4. การเช่ือมโยงคาํ ศพั ท์ 6 0.4 4.1 การใชค้ าํ พ้องความหมาย 4.2 การใชค้ ําทีม่ ลี ักษณะเกี่ยวขอ้ งกันแบบคาํ 17 1.14 เฉพาะเจาะจง-ทั่วไป 4.3 การใช้คําที่มีลักษณะเก่ียวขอ้ งกนั แบบคาํ 47 3.16 แสดงองค์ประกอบย่อย-ทั้งหมด 95 6.38 4.4 การใช้คําตรงกันข้าม 169 11.35 4.5 การใชค้ ําท่ีสัมพันธก์ ันหรือคําทีเ่ ข้าคู่กนั 1,489 100 รวม รวม จากตารางท่ี 20 แสดงใหเ้ หน็ ว่า การเชื่อมโยงความท่เี ด็กออทสิ ติกใชม้ ี 4 ประเภทใหญ่คือ การอ้างถงึ การใช้คําเชอื่ ม การซ้ํา และการเชอื่ มโยงคําศัพท์ การเชื่อมโยงความทเี่ ด็กออทสิ ตกิ ใช้ มากทีส่ ดุ คือการซา้ํ ปรากฏร้อยละ 43.45 รองลงมาคอื การใช้คาํ เช่ือมปรากฏรอ้ ยละ 24.92 การอ้างถงึ ปรากฏรอ้ ยละ 20.28 ส่วน การเชอ่ื มโยงความทปี่ รากฏนอ้ ยทสี่ ดุ คือการเช่ือมโยงคาํ ศัพท์ ปรากฏรอ้ ยละ 11.35 เม่ือพจิ ารณาการเช่ือมโยงความโดยจําแนกตามประเภทย่อยพบว่า เดก็ ออทิสติกใช้วธิ ีการ ซ้าํ รปู เพือ่ เชือ่ มโยงความมากที่สดุ คอื ปรากฏมากถึง 585 ครงั้ คิดเปน็ ร้อยละ 39.29 รองลงมาคอื การอา้ งถึงหนว่ ยนาม การใชค้ าํ ที่แสดงความสัมพันธ์แบบคล้อยตาม การใช้คาํ ทส่ี มั พันธ์กนั หรือคาํ ท่ีเข้าคูก่ ัน ปรากฏร้อยละ 19.68 12.02 และ 6.38 ตามลาํ ดับ สว่ นวิธีการเชอ่ื มโยงความที่เด็ก ออทิสตกิ ใช้น้อยท่สี ุดคือ การใช้คาํ ทแี่ สดง ความสัมพันธแ์ บบแสดงทางเลือก และการใชค้ าํ ที่แสดง ความสัมพนั ธแ์ บบแสดงวธิ กี าร ซึ่งปรากฏประเภทละ 1 ครัง้ คิดเปน็ ร้อยละ 0.07 กล่าวโดยสรปุ จากการศึกษาภาษาทใ่ี ชใ้ นการพูดเลา่ เรอื่ งของเด็กออทสิ ติกพบวา่ เด็ก ออทิสติกออก เสยี งพยญั ชนะ สระ และวรรณยุกต์ในภาษาไทยได้คอ่ นขา้ งชัดเจน แต่ยังมีบางหนว่ ย เสยี งทเี่ กดิ การแปร เม่ือ พจิ ารณาการแปรเสียงพบวา่ การแปรเสยี งเกดิ ขึ้นกับหน่วยเสยี งพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์ โดยหนว่ ยเสยี งท่ี เกดิ การแปรเป็นส่วนใหญ่ คือ หนว่ ยเสยี งพยัญชนะ ผลการวิเคราะห์คาํ ที่ใช้ในการพดู เล่าเรือ่ งของเด็กออทสิ ติกพบว่า เดก็ ออทสิ ติกใชค้ ํา 26 ชนิดในการ พดู เล่าเร่ือง คอื คาํ นาม คํากริยาอกรรม คาํ กริยาอกรรมย่อย คํากริยาสกรรม คํากริยา ทวกิ รรม คําสรรพนาม คาํ ลกั ษณนาม คาํ คุณศัพท์ คําจาํ นวนนบั คําลาํ ดบั ท่ี คําหนา้ จํานวน คําบอก กําหนดเสยี งโท คาํ บอกกาํ หนด เสียงตรีและจตั วา คาํ บอกเวลา คําลงทา้ ย คาํ พเิ ศษ คําชว่ ยหลังกรยิ า คําช่วยหนา้ กริยา คาํ ปฏเิ สธ คาํ หน้า
88 กรยิ า คําหลังกรยิ า คํากริยาวิเศษณ์ คําบุพบท คาํ เช่อื มนาม คาํ เชื่อมอนุภาค และคาํ อุทาน ชนดิ ของคําทเ่ี ด็ก ออทสิ ติกใช้มากท่ีสุดคือ คาํ นาม นอกจากนเี้ มื่อ พิจารณาการใช้คําแล้วพบว่า เดก็ ออทิสติกยังมีขอ้ บกพร่อง ด้านการใช้คาํ อยู่บ้าง คอื การใชค้ ําผิด ความหมาย การใช้คําไมค่ งท่ี การใช้คําไม่ถูกระดบั การใชค้ าํ ผดิ หลกั ไวยากรณแ์ ละการใช้คําตกหล่น ผลการวิเคราะห์ชนดิ และโครงสร้างวลีจากการพูดเลา่ เรื่องของเด็กออทิสติกพบว่า เด็กออทิสติกใช้วลี 2 ชนดิ ในการพูดเลา่ เรอ่ื ง คือ นามวลีและกรยิ าวลี โดยนามวลเี ป็นวลีท่ีพบ มากกวา่ เมื่อพิจารณาโครงสรา้ ง ของนามวลีและกรยิ าวลีพบว่า เด็กออทิสตกิ สรา้ งโครงสร้างนามวลี และโครงสรา้ งกริยาวลไี ด้ 1 รูปแบบ ผลการวเิ คราะห์ชนดิ และโครงสร้างประโยคจากการพดู เลา่ เร่อื งของเด็กออทิสติกพบวา่ เดก็ ออทสิ ติก ใช้ประโยค 3 ชนดิ ในการพดู เล่าเรื่อง คือ ประโยคสามญั ประโยคผสม และประโยค ซับซ้อน โดยประโยค สามัญเป็นประโยคท่ีพบมากที่สุด เมอื่ พจิ ารณาโครงสร้างของประโยคสามัญ และประโยคซบั ซอ้ นพบว่า เดก็ ออทสิ ตกิ สร้างโครงสร้างประโยคสามัญได้ 22 รูปแบบ และสรา้ ง โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อนได้ 12 รูปแบบ เมื่อพจิ ารณาการวิเคราะห์สมั พนั ธสารพบว่า เดก็ ออทสิ ติกใช้วิธีเรม่ิ ตน้ เรือ่ งเล่าจากการพูด เล่าเร่อื ง 6 วิธี คอื การเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการกล่าวถึงตวั ละคร การเร่ิมต้นด้วยคาํ กรยิ า “มี” ตามดว้ ยตวั ละคร การเริ่มตน้ ดว้ ยคํา วา่ “แบบวา่ ” ตามดว้ ยตวั ละคร การเรมิ่ ตน้ ดว้ ยกาลวลีตามด้วยตวั ละคร สถานที่หรือเหตกุ ารณ์ การเริ่มต้น ด้วยนามวลตี ามด้วยตัวละครหรอื เหตุการณ์ และการเรม่ิ ต้นดว้ ย ประโยคคําถาม วิธที ี่พบมากที่สุดคือการ กลา่ วถึงตวั ละคร ส่วนวิธีการลงท้ายเรือ่ งจากการพูดของ เดก็ ออทสิ ติกพบ 2 วธิ ี คอื การลงท้ายเรอ่ื งดว้ ยการใช้ วลเี พือ่ ยตุ ิเรอ่ื งเล่า และการลงท้ายเร่ืองดว้ ย เน้ือหาวธิ ีทพี่ บมากกว่าคือการใช้วลเี พอ่ื ยุติเร่ืองเล่า การเชอื่ มโยงความพบวา่ เด็กออทิสติกใชก้ ารเชื่อมโยงความ 4 ประเภทใหญ่ คอื การอ้างถึง การใช้ คําเช่ือม การซา้ํ และการเชอ่ื มโยงคําศัพท์ การเชื่อมโยงความทเ่ี ด็กออทสิ ติกใช้ในการพูด เลา่ เร่ืองมากทีส่ ุดคือ การซํา้ นอกจากน้เี มอื่ พจิ ารณาการเชอ่ื มโยงความตามประเภทยอ่ ยพบวา่ การซาํ้ รปู เปน็ การเช่อื มโยงความที่ พบมากทีส่ ุด สาํ หรับการใชภ้ าษาในการเขียนเล่าเร่ืองของเด็กออทิสติกจะกล่าวในบทถัดไป
89 บทที่ 4 การใชภ้ าษาในการเขยี นเลา่ เรื่องของเด็กออทิสติก วจิ ัยจะกลา่ วถึงการวเิ คราะห์ภาษาทใี่ ชใ้ นการเขยี นเล่าเร่ืองของเดก็ ออทสิ ติกที่ได้ จากการเกบ็ ข้อมูล นักเรียนออทสิ ตกิ ของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ โดยผวู้ จิ ยั จะ นาํ เสนอข้อมลู 5 ประเด็น หลกั ได้แก่ การวเิ คราะหก์ ารเขียนสะกดคาํ การวิเคราะหค์ ํา การวิเคราะห์ วลี การวเิ คราะหป์ ระโยค และการ วเิ คราะหส์ มั พันธสารจากการเขยี นเลา่ เร่อื งของเด็กออทิสติก ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ 1. การวิเคราะห์การเขียนสะกดคําของเด็กออทิสตกิ การวเิ คราะห์รปู เขยี นในการสะกดคําท่ีปรากฏในการเขียนเลา่ เรอ่ื งของเด็กออทสิ ติกแบ่งได้ เปน็ 4 ประเภท คอื รูปเขียนพยัญชนะ รูปเขยี นสระ รูปเขียนวรรณยกุ ต์ และรูปเขียนเคร่ืองหมาย ประกอบคาํ และ เครื่องหมายวรรคตอน จากการวิเคราะห์พบวา่ เด็กออทสิ ติกเขียนสะกดคําใน ภาษาไทยได้คอ่ นขา้ งถูกตอ้ ง แต่ ยังพบข้อบกพร่องในการเขียนสะกดคําบางคํา สามารถแสดง รายละเอยี ดดังนี้ 1.1 รปู เขยี นพยญั ชนะ 1.1.1 รปู เขยี นพยัญชนะต้นเด่ียว จากการวิเคราะห์รปู เขียนพยัญชนะตน้ เดีย่ วในภาษาไทยท่ีปรากฏในการเขยี นเลา่ เรอื่ งของ เด็กออทิสติกพบวา่ รปู เขยี นพยญั ชนะตน้ เด่ียวปรากฏท้ังสิ้น 31 รปู ท้ังน้ีรูปเขียนทีเ่ ดก็ ออทิสติกใชเ้ ขียนสะกด คําได้ถกู ต้องโดยไมป่ รากฎการแปรมีท้งั สิ้น 29 รปู ไดแ้ ก่ ก, ค, ง, จ, ฉ, ช, ซ, ค,ต, ถ, ท, ธ, น, บ, ป ผ ฝ พ ฟ, ม, ย, ร, ว, ศ, ข, ส, ห, ฬ, อ ส่วนรูปเขียนพยญั ชนะต้นเดยี่ วที่ เดก็ ใช้เขียนสะกดคําไม่ถูกต้องโดยปรากฎการ แปรมที งั้ ส้ิน 2 รูป ได้แก่ (ข, ล) 1.1.1.1 รูปเขยี นพยญั ชนะตน้ เดยี่ วที่ไม่ปรากฎการแปร ก พยัญชนะดงั กลา่ ว เช่น กนิ ค พยญั ชนะดงั กล่าว เช่น คน ง พยัญชนะดังกล่าว เชน่ งาน 1.1.1.2 รปู เขียนพยัญชนะต้นเด่ยี วทป่ี รากฎการแปร ข คาํ ทสี่ ะกดด้วยรูปพยัญชนะดังกล่าวปรากฏรปู เขียนแปร 2 รูป ได้แก่ (ข, ค) (ข) คาํ ทสี่ ะกดด้วยรปู เขยี นแปรดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ เขา (สรรพนาม) (ค) คาํ ทีส่ ะกดด้วยรปู เขียนแปรดังกล่าว ได้แก่ เขา (สรรพนาม)
90 เมื่อนาํ รปู เขยี นพยญั ชนะต้นเดี่ยวทง้ั 31 รปู ที่ปรากฏในการเขียนเล่าเรื่องของเดก็ ออทิสตกิ มา พจิ ารณาจะเห็นวา่ รปู เขียนพยัญชนะตน้ เดี่ยวส่วนใหญ่ไมป่ รากฏรูปเขียนแปรและบางรปู ปราก รปู เขียนแปร ต่างกันออกไป ดังตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 21 ตารางแสดงรปู เขียนแปรของพยัญชนะต้นเดยี่ วที่ปรากฏในการเขียนเล่าเร่ือง รปู เขียนพยัญชนะต้นเดีย่ ว รปู เขียนแปร ก- ข (ข,ค) ค- ง- จ- ฉ- ช- ซ- ด- ต- ถ- ท- ธ- น- บ- ป- ผ- ฝ- พ- ฟ- ม- ย- ร- ล (ล,ร) ว- ศ- ษ- ส- ห- ฬ- อ-
91 จากตารางที่ 21 แสดงใหเ้ หน็ ว่ารปู เขียนพยัญชนะตน้ เดยี่ วในภาษาไทยของเดก็ ออทิสตกิ ปรากฏ ท้ังสิ้น 31 รปู รูปเขียนพยัญชนะต้นเดีย่ วในภาษาไทยท่ีเด็กออทสิ ติกใชเ้ ขยี นสะกดคําได้ ถูกต้องมที ั้งสิ้น 29 รูป ได้แก่ ก, ค, ง, จ, ฉ, ช, ซ, ค,ต, ถ, ท ธ น บ ป ผ ฝ พ ฟ, ม, ย, ร, ว, ศ, ข, ส, ห ฬ อ ส่วนรูปเขยี นพยัญชนะ ตน้ เด่ยี วในภาษาไทยทเี่ ด็กออทสิ ติกใชเ้ ขยี นสะกดคําไม่ถกู ต้อง โดยปรากฏการแปรมเี พยี ง 2 รูป ไดแ้ ก่ (ข, ล) เมอื่ พิจารณารูปเขียนพยญั ชนะต้นเด่ียวทป่ี รากฏรูป แปรพบว่า รูปเขียน ข เมื่อใชส้ ะกดคาํ อื่นจะไมป่ รากฏรูป เขียนแปร มเี พียงคําว่า “เขา” เท่านน้ั ที่ ปรากฏรูปเขยี นแปรซ่งึ ปรากฏทั้งรปู แปรท่ถี ูกต้อง (ข) และไม่ถกู ต้อง (ค) การสะกดคาํ ด้วยรูปแปรที่ ไมถ่ ูกตอ้ งเชน่ นี้อาจกลา่ วไดว้ า่ รปู เขียนแปร (ค) มคี วามสัมพนั ธ์กบั รูปเขยี น วรรณยุกตแ์ ละการออก เสียง เนอื่ งจากคาํ ว่า “เขา” เมื่อพดู ออกเสยี งมักปรากฎการแปรเสยี งจาก [k_w] - [khaw] จึงอาจ ส่งผลตอ่ รูปเขียน คําวา่ “เขา” จึงแปรเป็น “เค้า” ส่วนรูปเขยี น ล เมือ่ ใชส้ ะกดคําอื่นจะ ปรากฏรูป แปรที่ถูกตอ้ งเสมอ (ล) มีเพยี งคําวา่ “ลง” เท่าน้ันที่ปรากฏรปู เขียนแปร (ร) ซ่ึงเป็นรปู เขยี นแปรท่ี ไมถ่ ูกต้อง การสะกดคําดว้ ยรูปเขยี นพยญั ชนะต้นที่ไมถ่ ูกต้องนีอ้ าจเกิดจากความผดิ พลาดในการ สะกดคาํ ของ เดก็ ซ่งึ เปน็ ลกั ษณะเฉพาะบุคคล 1.1.2 รปู เขยี นพยัญชนะต้นทเี่ ปน็ อักษรนาํ จากการวิเคราะหร์ ูปเขยี นพยัญชนะต้นอักษรนาํ ในภาษาไทยท่ีปรากฏในการเขียน เล่าเร่ือง ของเด็กออทสิ ติกพบวา่ เด็กออทิสตกิ ใชร้ ปู เขียนพยัญชนะต้นอักษรนําในการสะกดคาํ ทั้งสนิ้ 10 รปู รูปเขียน พยัญชนะต้นอักษรนําทีใ่ ช้สะกดคาํ ไดถ้ ูกต้องโดยไม่ปรากฎการแปรมที ั้งสิ้น 7 รปู ไดแ้ ก่ หญ, หล, อย, ขน, ฉล, ถล, สน ส่วนรปู เขยี นพยญั ชนะตน้ อักษรนําที่ใชส้ ะกดคําไม่ถกู ต้อง โดยปรากฏการแปรมีทัง้ สิ้น 3 รปู ได้แก่ ขณ, หน, หม สามารถแสดงรายละเอียดไดด้ ังน้ี 1.1.2.1 รปู เขียนพยญั ชนะตน้ อักษรนําทไ่ี มป่ รากฎการแปร รปู เขียนพยัญชนะต้นทีใ่ ช้ ห และ อ นาํ หญ รปู เขียนพยัญชนะตน้ ทีใ่ ช้อกั ษรกลางหรอื อกั ษรสูงอน่ื ๆนํา ขน คาํ ที่สะกดดว้ ยรูป พยัญชนะดงั กลา่ ว เช่น ขนม 1.1.2.2 รูปเขียนพยัญชนะต้นอกั ษรนําท่ีปรากฎการแปร รูปเขียนพยัญชนะต้นทีใ่ ช้ ห และ อ นํา รปู เขยี นพยญั ชนะต้นท่ใี ช้อกั ษรกลางหรืออกั ษรสงู อ่นื ๆนํา เม่อื นาํ รูปเขียนพยัญชนะต้นอักษรนาํ ทัง้ 10 รปู ท่ีปรากฏในการเขียนเลา่ เรื่องของ เด็ก ออทิสตกิ มาพิจารณาจะเหน็ วา่ รปู เขยี นพยญั ชนะตน้ อักษรนาํ สว่ นใหญไ่ มป่ รากฏรูปเขียนแปรและ บางรปู ปรากฏรปู เขยี นแปรต่างกนั ออกไป ดงั ตารางต่อไปน้ี
92 ตารางที่ 22 ตารางแสดงรปู เขียนแปรของพยัญชนะต้นอักษรนําทีป่ รากฏในการเขยี นเล่าเร่ือง รูปเขยี นพยญั ชนะต้นอักษรนํา รปู เขียนแปร หญ - หน (หน,น) หม (หม,ม) หล - อย - ขน - ขณ (ขน,คณ) ฉล - ถล - สน - จากตารางที่ 22 แสดงให้เห็นวา่ รปู เขียนพยญั ชนะต้นอักษรนาํ ในภาษาไทยของเด็ก ออทิสตกิ ปรากฏ ทงั้ สิน้ 10 รูป รูปเขียนพยัญชนะตน้ อักษรนําในภาษาไทยท่ีเด็กออทสิ ติกใชเ้ ขียน สะกดคําได้ถูกต้องมีท้ังส้นิ 7 รูป ไดแ้ ก่ หญ, หล, อย, ขน, ฉล, ถล, สน ส่วนรูปเขียนพยญั ชนะต้น อักษรนาํ ในภาษาไทยทเ่ี ด็กออทิสตกิ ใช้ เขยี นสะกดคาํ ไมถ่ ูกต้องโดยปรากฎการแปรมี 3 รปู ได้แก่ (หน, หม, ขณ) เม่ือพิจารณารูปเขียนพยัญชนะต้น อักษรนําทีป่ รากฏรปู แปรพบว่า รูปเขยี น หม และ หน ปรากฏทง้ั รปู แปรที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้อง เม่ือพจิ ารณา การสะกดคําด้วยรูปแปรท่ไี ม่ถูกต้อง แลว้ อาจกล่าวได้ว่ารปู เขยี นแปร (น) และ (ม) มคี วามสมั พันธก์ ับรปู เขยี น วรรณยุกตแ์ ละการออก เสียง เน่ืองจากคําวา่ “หนง่ึ ” เมื่อพูดออกเสยี งมักปรากฎการแปรเสยี ง จาก [nuin) – (Inun) และ “ไหม” เมือ่ พูดออกเสียงมักปรากฏการแปรเสียง จาก [maj] - [maj] ดังนั้นจึงอาจส่งผลต่อรูป เขียน ด้วย คําวา่ “หนง่ึ ” จึงแปรเป็น “นึ่ง” “ไหม” จงึ แปรเป็น “ไม้” สว่ นรูปเขียน ขณ ไม่ปรากฏรปู แปรท่ี ถูกต้อง ทง้ั น้ีอาจเกิดจากความผดิ พลาดในการสะกดคาํ ของเด็กซง่ึ เปน็ ลักษณะเฉพาะบคุ คล 1.1.3 รูปเขยี นพยัญชนะต้นควบ จากการวเิ คราะห์รูปเขียนพยัญชนะตน้ ควบในภาษาไทยที่ปรากฏในการเขยี นเลา่ เรือ่ งของ เด็กออทิสติกพบว่า รูปเขยี นพยญั ชนะต้นควบในภาษาไทยของเดก็ ออทสิ ตกิ ปรากฏทง้ั สิ้น 7 รูป รปู เขยี น พยัญชนะต้นควบท่เี ด็กออทิสติกใชเ้ ขยี นสะกดคําได้ถกู ต้องโดยไม่ปรากฎการแปรมี ท้งั ส้ิน 4 รูป ได้แก่ กร, คร, ตร, พร ส่วนรูปเขยี นทปี่ รากฎการแปรมีท้ังสิ้น 3 รปู ได้แก่ (กล, ปร, สร) สามารถแสดงรายละเอียดดังน้ี 1.1.3.1 รปู เขียนพยัญชนะต้นควบทไี่ มป่ รากฎการแปร กร คาํ ทสี่ ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าว เชน่ กระโดด คร คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เช่น ครอบครวั ตร คาํ ทีส่ ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าว เช่น เตรยี มตัว พร คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เช่น เพราะ 1.1.3.2 รูปเขียนพยัญชนะต้นควบทป่ี รากฎการแปร กล คําท่ีสะกดด้วยรปู เขียนแปรดังกล่าว เชน่ กลับบา้ น ปร คําที่สะกดด้วยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เช่น แปรงฟัน
93 สร คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เช่น สระนาํ้ เม่อื นํารปู เขียนพยัญชนะต้นควบทง้ั 7 รูปท่ปี รากฏในการเขียนเล่าเรือ่ งของเด็กออทิสติกมา พจิ ารณา จะเห็นว่า รปู เขยี นพยัญชนะต้นควบสว่ นใหญ่ไม่ปรากฏรูปเขียนแปรและบางรปู ปรากฏรูป เขียนแปรตา่ งกนั ออกไป ดังตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 23 ตารางแสดงรปู เขียนแปรของพยัญชนะตน้ ควบทปี่ รากฏในการเขยี นเล่าเร่ือง รูปเขยี นพยญั ชนะต้นควบ รปู เขยี นแปร กร - กล (กล,ก) คร - ตร - พร - ปร (ปร,ปล) สร (สร,ส) จากตารางท่ี 23 แสดงให้เหน็ วา่ รูปเขยี นพยญั ชนะตน้ ควบในภาษาไทยของเด็กออทิสติก ปรากฏทั้งส้ิน 7 รูป รูปเขยี นพยญั ชนะตน้ ควบในภาษาไทยที่เดก็ ออทิสติกใช้เขยี นสะกดคาํ ได้ ถูกต้องมีท้ังส้นิ 4 รูป ไดแ้ ก่ กร, คร, ตร, พร ส่วนรปู เขียนพยัญชนะตน้ ควบในภาษาไทยท่ีเด็ก ออทสิ ตกิ ใชเ้ ขยี นสะกดคาํ ไมถ่ ูกต้องโดยปรากฏ การแปรมี 3 รูป ไดแ้ ก่ (กล, ปร,สร) เม่ือพจิ ารณารปู เขียนพยัญชนะตน้ ควบทปี่ รากฏรปู แปรพบว่า รูปเขียน กล ปร และ สร ปรากฏท้งั รปู แปรทถ่ี ูกต้อง และไมถ่ ูกต้อง ทง้ั นกี้ ารสะกดคําดว้ ยรูปแปรทไ่ี ม่ถกู ต้องดงั กล่าว อาจเกดิ จากความผดิ พลาดในการ สะกดคําของเด็กเอง หรอื อาจมสี าเหตเุ นอ่ื งมาจากการออกเสียงคาํ ทสี่ ะกด ดว้ ยพยัญชนะตน้ ควบไม่ ถูกต้อง เนอื่ งจากเด็กมักออกเสยี งพยญั ชนะต้นควบโดยละเสียงพยัญชนะตน้ ตําแหน่ง ที่ 2 ดังนน้ั จึง อาจสง่ ผลต่อรูปเขยี นดว้ ย 1.1.4 รูปเขียนพยัญชนะทา้ ย จากการวิเคราะหร์ ปู เขียนพยัญชนะทา้ ยในภาษาไทยที่ปรากฏในการเขียนเลา่ เร่อื ง ของเด็ก ออทิสตกิ พบวา่ รูปเขยี นพยัญชนะท้ายในภาษาไทยของเด็กออทิสตกิ ปรากฏทั้งส้นิ 20 รปู รปู เขยี นพยัญชนะ ท้ายทีเ่ ด็กออทิสติกใช้เขยี นสะกดคําไดถ้ ูกต้องโดยไมป่ รากฎการแปรมีท้ังส้นิ 17 รูป ไดแ้ ก่ ข, บ, พ. จ, ค, รถ, ท, ส, ม, น, ญ. ณ, ร, ล, ว,ย, งส่วนรูปเขียนทป่ี รากฎการแปรมที ั้งสิน้ 3 รูป ได้แก่ ก, ติ, ฮ สามารถแสดง รายละเอียดดังน้ี 1.1.4.1 รูปเขยี นพยญั ชนะท้ายที่ไมป่ รากฏการแปร แม่กก ข คําทสี่ ะกดด้วยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เชน่ เลข แมก่ บ บ คําที่สะกดด้วยรูปพยัญชนะดังกล่าว เชน่ บีบ พ คาํ ทส่ี ะกดด้วยรูปพยัญชนะดังกลา่ ว เชน่ เคารพ แม่กด จ คาํ ท่สี ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าว เช่น เสรจ็ ด คาํ ทีส่ ะกดด้วยรูปพยัญชนะดังกลา่ ว เช่น สดใส รถ คาํ ท่สี ะกดด้วยรปู พยัญชนะดังกล่าว เช่น สามารถ ท คาํ ทสี่ ะกดด้วยรปู พยัญชนะดังกล่าว เชน่ วิทยาศาสตร์
94 ไดแ้ ก่ (ก, Ø) ส คาํ ที่สะกดด้วยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เช่น ประวัตศิ าสตร์ แมก่ ม ม คาํ ท่สี ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าว เช่น ถาม แมก่ น น คําทส่ี ะกดดว้ ยรูปพยัญชนะดังกล่าว เชน่ คน ญ คาํ ทีส่ ะกดดว้ ยรูปพยัญชนะดังกลา่ ว เชน่ ราํ คาญ ณ คาํ ที่สะกดดว้ ยรูปพยัญชนะดังกล่าว เช่น คณุ ยาย ร คาํ ทส่ี ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าว เช่น อาหาร ล คาํ ทีส่ ะกดด้วยรปู พยัญชนะดังกล่าว เชน่ กาลครัง้ หนง่ึ แม่เกอว ว คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าว เชน่ เทีย่ ว แม่เกย ย คาํ ทส่ี ะกดด้วยรูปพยัญชนะดังกลา่ ว เช่น อาศยั แมก่ ง ง คําทส่ี ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกลา่ ว เชน่ เสียง 1.1.4.2 รูปเขยี นพยัญชนะท้ายท่ปี รากฎการแปร แมก่ ก ก คําทส่ี ะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าวปรากฏรูปเขียนแปร 2 รูป (ก) คําทส่ี ะกดด้วยรปู เขียนแปรดังกลา่ ว เช่น อกี แปรเปน็ อกี (Ø) คําท่ีสะกดดว้ ยรปู เขยี นแปรดงั กลา่ ว เชน่ อีก แปรเปน็ อี แม่กด ติ คาํ ที่สะกดดว้ ยรูปพยัญชนะดังกล่าวปรากฏรปู เขียนแปร 2 รปู ได้แก่ (ติ, ต) (ต)ิ คําทสี่ ะกดดว้ ยรปู เขยี นแปรดงั กลา่ ว เชน่ ธงชาติ แปรเป็น ธงชาติ (ต) คาํ ทส่ี ะกดด้วยรูปเขียนแปรดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ ธงชาติ แปรเปน็ ธงไชย แม่ก กา Ø คําที่สะกดดว้ ยรปู พยัญชนะดังกล่าวปรากฏรปู เขยี นแปร 2 รูป ได้แก่ (Ø, ค) (Ø) คาํ ที่สะกดด้วยรูปเขยี นแปรดงั กล่าว เช่น ให้ แปรเปน็ ให้ (ค) คาํ ท่สี ะกดดว้ ยรปู เขียนแปรดังกล่าว ไดแ้ ก่ ขณะ แปรเป็น ขนาดน้ัน เมื่อนํารูปเขียนพยัญชนะทา้ ยทง้ั 20 รูปทป่ี รากฏในการเขียนเล่าเรื่องของเด็กออทิสติกมา พจิ ารณาจะ เหน็ ว่า รูปเขยี นพยญั ชนะท้ายสว่ นใหญ่ไมป่ รากฏรปู เขยี นแปรและบางรูปปรากฏรูป เขยี นแปรต่างกนั ออกไป ดงั ตารางต่อไปน้ี
95 ตารางที่ 24 ตารางแสดงรูปเขียนแปรของพยัญชนะทา้ ยท่ีปรากฏในการเขยี นเล่าเร่อื ง รูปเขยี นพยญั ชนะท้าย รปู เขยี นแปร แม่กก ก (ก,Ø) ข- แม่กบ บ- พ- แมก่ ด จ- ด- ติ (ต,ิ ต) รถ - ท- ส- แม่กม ม- แม่กน น- ญ- ณ- ร- ล- แมเ่ กอว ว - แมเ่ กย ย - แมก่ ง ง - แม่ก กา Ø - จากตารางที่ 24 แสดงใหเ้ ห็นว่ารูปเขยี นพยญั ชนะทา้ ยในภาษาไทยของเด็กออทิสตกิ ปรากฏ ท้ังสน้ิ 20 รูป รปู เขยี นพยัญชนะทา้ ยในภาษาไทยที่เด็กออทิสติกใชเ้ ขยี นสะกดคําได้ถูกตอ้ งมที ั้งสิ้น 17 รูปไดแ้ ก่ ข, บ, พ, จ, ค, รถ, ท, ส, ม, น, ญ, ณ, ร, ล, ว, ย, ง ส่วนรปู เขียนพยญั ชนะทา้ ยใน ภาษาไทยที่เดก็ ออทิสติกใชเ้ ขียนสะกดคํา ไม่ถูกตอ้ งโดยปรากฎการแปรมี 3 รูป ได้แก่ (ก, ติ, ฮ) เม่ือ พิจารณารูปเขยี นพยัญชนะท้ายท่ปี รากฏรปู แปร
96 พบวา่ รูปเขยี น ก, ติและg ปรากฏทง้ั รปู แปรที่ ถูกต้องและไมถ่ กู ต้อง ทง้ั นี้การสะกดคําด้วยรปู แปรทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง ดังกลา่ วอาจเกดิ จากความผดิ พลาด ในการสะกดคาํ ของเด็กซ่ึงเปน็ ลกั ษณะเฉพาะบุคคล 1.2 รูปเขียนสระ 1.2.1 รปู เขียนสระเด่ียว จากการวเิ คราะหร์ ูปเขียนสระเดีย่ วในภาษาไทยทป่ี รากฏในการเขียนเล่าเร่ืองของ เด็กออทิ สตกิ ทงั้ 17 รปู พบว่าเดก็ ออทิสติกใช้รปู เขยี นพยัญชนะต้นเด่ยี วสะกดคาํ ได้ถูกต้องโดยไม่ ปรากฏการแปร ทั้งสิน้ 11 รปู ไดแ้ ก่ –ิ , -ี , -ึ , -ื , -ุ , -ู ,เ- , แ-ะ , / แ-็ ,แ- ,โ-ะ ,-อ และใชร้ ูปเขยี นสระ เด่ียวสะกดคําไมถ่ ูกต้อง โดยปรากฏการแปรทง้ั สิน้ 6 รปู ไดแ้ ก่ (-ะ/-ั , -า , เ-ะ/เ- ,เ-าะ / -็อ , เ-อ / เ-ิ , โ- )สามารถแสดงรายละเอยี ด ดงั นี้ 1.2.1.1 รูปเขียนสระเด่ียวท่ีไมป่ รากฎการแปร –ิ คาํ ท่สี ะกดด้วยรูปสระดังกล่าว เชน่ ลิง -ี คําทส่ี ะกดดว้ ยรูปสระดงั กล่าว เชน่ ดี -ึ คําทส่ี ะกดดว้ ยรปู สระดังกล่าว เชน่ ลึก -ือ/-ื คาํ ที่สะกดด้วยรปู สระดังกลา่ ว เช่น ชื่อ -ุ คาํ ที่สะกดด้วยรปู สระดงั กล่าว เชน่ บกุ รกุ -ู คาํ ทส่ี ะกดด้วยรปู สระดงั กลา่ ว เชน่ อยู่ เ- คาํ ที่สะกดด้วยรูปสระดงั กล่าว เช่น เวลา แ-ะ/แ-็ คาํ ทีส่ ะกดด้วยรปู สระดงั กลา่ ว เชน่ และ แ- คําที่สะกดดว้ ยรปู สระดังกลา่ ว เชน่ แว่น โ-ะ คาํ ทีส่ ะกดดว้ ยรปู สระดงั กล่าว เช่น กบ -อ คาํ ทส่ี ะกดด้วยรปู สระดังกล่าว เชน่ สอง 1.2.1.2 รปู เขียนสระเดีย่ วท่ปี รากฎการแปร -ะ/-ั คําที่สะกดดว้ ยรปู สระดงั กลา่ วปรากฏรปู เขียนแปร 2 รูป ไดแ้ ก่ (-ะ/ - ั, -า) (-ะ/ -ั ) คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู สระดงั กล่าว เชน่ ตะกละ ( -า ) คาํ ทส่ี ะกดด้วยรูปสระดงั กล่าว เชน่ ขณะนั้น -า คาํ ทส่ี ะกดด้วยรูปสระดงั กลา่ วปรากฏรูปเขยี นแปร 2 รูป ได้แก่ (-า,ไ-) (-า ) คําที่สะกดดว้ ยรปู สระดงั กลา่ ว เช่น ธงชาติ ( ไ-) คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู สระดังกลา่ ว เชน่ ธงชาติ แ-ะ/เ-็ คาํ ท่ีสะกดด้วยรปู สระดังกลา่ วปรากฏรปู เขียนแปร 2 รูป ได้แก่ (เ-็, แ-) (เ-็) คาํ ทสี่ ะกดด้วยรูปสระดังกลา่ ว เชน่ เด็ก (แ-) คําทส่ี ะกดดว้ ยรปู สระดงั กล่าว เช่น เชด็ ตวั เ-าะ / -็อคาํ ท่สี ะกดดว้ ยรปู สระดงั กลา่ วปรากฏรปู เขยี นแปร 2 รูป ได้แก่ (เ-า, เ-า) (เ-าะ,-็) คาํ ทส่ี ะกดดว้ ยรปู สระดงั กลา่ ว เชน่ เพราะ คาํ ท่ีสะกดด้วยรปู สระดงั กล่าว เช่น ก็
97 (เ-า) คาํ ทีส่ ะกดด้วยรูปสระดงั กลา่ ว เช่น เกาะ เ-อ/เ-ิ คาํ ท่ีสะกดดว้ ยรปู สระดังกล่าวปรากฏรปู เขียนแปร 2 รูป ไดแ้ ก่(เ-อ/เ-ิ,เ-็) (เ-อ/เ-ิ) คําที่สะกดดว้ ยรปู สระดังกลา่ ว เชน่ เจอ คาํ ทีส่ ะกดดว้ ยรปู สระดังกลา่ ว เชน่ เกิน (เ-็) คาํ ที่สะกดด้วยรปู สระดงั กลา่ ว เช่น เดิม โ- คําทส่ี ะกดด้วยรูปสระดังกล่าวปรากฏรปู เขยี นแปร 2 รูป ไดแ้ ก่(โ-,-อ) (โ-) คาํ ที่สะกดดว้ ยรูปสระดงั กล่าว เชน่ โดย (-อ) คาํ ที่สะกดดว้ ยรปู สระดังกล่าว เช่น โหน เม่อื นาํ รูปเขียนสระเด่ียวทั้ง 17 รูปท่ีปรากฏในการเขยี นเลา่ เร่ืองของเด็กออทิสติกมา พิจารณาจะเหน็ ว่า รปู เขียนสระเดี๋ยวส่วนใหญ่ไม่ปรากฏรปู เขยี นแปรและบางรปู ปรากฏรูปเขียน แปรต่างกันออกไป ดังตาราง ต่อไปนี้ ตารางที่ 25 ตารางแสดงรูปเขียนแปรของสระเดยี่ วทปี่ รากฏในการเขยี นเล่าเร่ือง รปู เขียนสระเด่ยี ว รปู เขยี นแปร -ะ / -ั (-ะ / -ั,-า) -า (-า,ไ-) -ิ - -ี - -ึ - -ือ / -ื - -ุ - -ู - เ-ะ/เ-็ (เ-็,แ-) เ- - แ-ะ/แ ็- - แ- - เ-าะ/ -็ อ (เ-าะ,เ-า) -อ - เ-อ/เ-ิ (เ-อ/เ-ิ,เ-็) โ-ะ/-- - โ- (โ-,-อ) จากตารางท่ี 25 แสดงให้เห็นวา่ รปู เขียนสระเดยี่ วในภาษาไทยของเดก็ ออทสิ ติกปรากฏ ท้งั สน้ิ 17 รปู รูปเขียนสระเดย่ี วในภาษาไทยท่ีเดก็ ออทสิ ติกใชเ้ ขยี นสะกดคาํ ได้ถกู ต้องมีทัง้ สนิ้ 11 รูป ได้แก่–ิ , -ี , -ึ , -ื , -ุ , -ู ,เ- , แ-ะ , / แ-็ ,แ- ,โ-ะ ,-อ ส่วนรปู เขียนสระเดีย่ วในภาษาไทยที่เดก็ ออทิสตกิ ใช้เขียนสะกดคําไม่ถูกต้องโดย ปรากฏการแปรมี 6 รูป ไดแ้ ก่ (-ะ/-ั , -า , เ-ะ/เ- ,เ-าะ / -็อ , เ-อ / เ-ิ , โ- ) เม่อื พจิ ารณารูปเขียนสระเดี่ยวที่
98 ปรากฏรปู แปรพบว่าปรากฏทั้งรปู แปรที่ถูกตอ้ งและไม่ ถูกต้อง ทงั้ น้ีการสะกดคาํ ด้วยรปู แปรทีไ่ ม่ถกู ต้อง ดงั กล่าวอาจเกิดจากความผดิ พลาดในการสะกดคํา ของเด็กซึง่ เป็นลักษณะเฉพาะบุคคล 1.2.2 รปู เขียนสระประสม จากการวิเคราะหร์ ปู เขยี นสระประสมในภาษาไทยทปี่ รากฏในการเขียนเลา่ เรื่อง ของเด็กออทิ สตกิ พบวา่ รูปเขียนสระประสมปรากฏทัง้ สิน้ 3 รปู รปู เขียนสระประสมท่ีเด็กออทสิ ตกิ ใชเ้ ขียนสะกดคาํ ได้ ถูกต้องโดยไม่ปรากฎการแปรมที ั้งส้ิน 2 รปู ไดแ้ ก่ เสยี และ เสือ สว่ นรปู เขียนสระประสมทใ่ี ชส้ ะกดคําไม่ ถูกต้องโดยปรากฏการแปรมี 1 รูป ได้แก่ ( ั ว) สามารถแสดง รายละเอียดไดด้ งั น้ี 1.2.2.1 รูปเขียนสระประสมท่ีไมป่ รากฎการแปร เ-ือ คําทีส่ ะกดดว้ ยรูปสระดงั กล่าว เชน่ เม่ือ เ-ีย คําท่สี ะกดด้วยรูปสระดงั กล่าว เช่น เรยี ก 1.2.2.2 รูปเขยี นสระประสมที่ปรากฏการแปร -ัว –ว คาํ ทสี่ ะกดด้วยรปู สระดงั กล่าวปรากฏรปู เขียนแปร 2 รูป ไดแ้ ก่ ( ั-ว-ว, Ø) เมอ่ื นาํ รปู เขยี นสระประสมทง้ั 3 รูปทปี่ รากฏในการเขยี นเล่าเรอ่ื งของเด็กออทสิ ติกมา พจิ ารณาจะ เหน็ ว่า รูปเขยี นสระประสมส่วนใหญ่ไมป่ รากฏรูปเขียนแปรและบางรปู ปรากฏรูปเขยี น แปร ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 26 ตารางแสดงรปู เขียนแปรของสระประสมท่ปี รากฏในการเขียนเลา่ เรื่องของเด็กออทสิ ติก รูปเขยี นสระประสม รปู เขียนแปร เ-ือ - เ-ีย - (-ัว) –ว ( ั-ว-ว, Ø) จากตารางท่ี 26 แสดงใหเ้ ห็นว่ารปู เขยี นสระประสมในภาษาไทยของเด็กออทสิ ติกปรากฏ ทงั้ ส้ิน 3 รปู รูปเขียนสระประสมในภาษาไทยท่ีเด็กออทิสตกิ ใชเ้ ขยี นสะกดคาํ ได้ถูกต้องมี 2 รูป ได้แก่ เร่ือ,เรีย ส่วนรูปเขยี น สระประสมภาษาไทยท่เี ด็กออทสิ ตกิ ใช้เขยี นสะกดคาํ ไม่ถูกตอ้ งโดยปรากฏการแปรมี 1 รปู ไดแ้ ก่ ( ั-ว, -ว) เมอ่ื พจิ ารณารปู เขยี นสระประสมทปี่ รากฏรปู แปรพบวา่ ปรากฏทง้ั รูปแปรท่ีถูกต้องและไม่ถกู ต้อง ทั้งน้ีการ สะกดคําด้วยรูปแปรที่ไมถ่ ูกต้องดังกลา่ วอาจเกิด จากความผดิ พลาดในการสะกดคาํ ของเดก็ ซึ่งเป็น ลักษณะเฉพาะบุคคล 1.2.3 รูปเขียนสระเกิน จากการวเิ คราะหร์ ูปเขยี นสระเกินในภาษาไทยทป่ี รากฏในการเขยี นเล่าเรือ่ งของ เด็กออทิ สติกพบว่า รูปเขยี นสระเกินในภาษาไทยของเดก็ ออทิสตกิ ปรากฏท้ังส้นิ 4 รปู ได้แก่ –ำ ใ- ไ- เ-า โดยรูปเขียน สระเกนิ ดงั กล่าวเด็กออทิสตกิ ใชเ้ ขยี นสะกดคาํ ไดถ้ ูกตอ้ งทงั้ ส้ินโดยไม่ปรากฏ การแปร สามารถแสดง รายละเอยี ดดังนี้ –ำ คําที่สะกดดว้ ยรปู สระดงั กลา่ ว เช่น นาํ้ ใ- คําทสี่ ะกดดว้ ยรปู สระดังกล่าว เช่น ให้ ไ- คาํ ทส่ี ะกดด้วยรปู สระดังกลา่ ว เช่น ไล่ เ-า คําทีส่ ะกดดว้ ยรูปสระดังกล่าว เช่น เรา
99 1.3 รปู เขยี นวรรณยกุ ต์ จากการวิเคราะหร์ ปู เขยี นวรรณยกุ ต์ภาษาไทยทปี่ รากฏในการเขยี นเล่าเรื่องของ เด็กออทิ สติกพบว่า รูปเขียนวรรณยุกต์ในภาษาไทยของเด็กออทิสติกปรากฏทั้งส้นิ 2 รปู ได้แก่ : โดยรปู เขียน วรรณยุกตด์ ังกล่าวเด็กออทิสตกิ ใชเ้ ขียนสะกดคําไม่ถกู ต้องโดยปรากฏการแปร นอกจากนย้ี งั ปรากฏรูปแปร ของวรรณยุกตส์ ามญั ซึ่งเป็นวรรณยุกต์ที่ไมม่ รี ปู เขยี น สามารถแสดง รายละเอียดดงั น้ี วรรณยุกตส์ ามญั (ไม่มรี ูปวรรณยกุ ต)์ คาํ ท่ีสะกดดว้ ยวรรณยุกต์ดงั กล่าวปรากฏรูป เขยี นแปร 2 รูป ไดแ้ ก่ (Ø , ้ ) (Ø) คาํ ทีส่ ะกดด้วยรูปเขียนแปรดังกลา่ ว เชน่ นาน ( ้ ) คําท่ีสะกดด้วยรปู เขียนแปรดังกล่าว เช่น ตอนนนั้ -่ รูปวรรณยกุ ตเ์ อก คําทีส่ ะกดดว้ ยวรรณยุกตด์ ังกล่าวปรากฏรปู เขียนแปร 2 รูป ไดแ้ ก่ (-่ Ø) (-่) คาํ ท่สี ะกดดว้ ยรูปเขยี นแปรดังกล่าว เช่น ไม่ (Ø) คาํ ทส่ี ะกดดว้ ยรูปเขยี นแปรดังกลา่ ว เชน่ ไม -้ รูปวรรณยกุ ต์โท คาํ ที่สะกดดว้ ยวรรณยุกต์ดังกล่าวปรากฏรูปเขยี นแปร 3 รปู ได้แก่ ( -้ -่ Ø) ( ้ ) คําที่สะกดดว้ ยรูปเขยี นแปรดังกลา่ ว เชน่ รอ้ ง ปรเปน็ รอ้ ง ( -่ ) คําทีส่ ะกดด้วยรปู เขยี นแปรดังกล่าว เชน่ บว้ นปาก ( Ø ) คาํ ท่ีสะกดด้วยรูปเขยี นแปรดังกลา่ ว เช่น เกา้ อี้ เมอื่ นํารูปเขยี นวรรณยุกต์ทั้ง 3 รปู ทป่ี รากฏในการเขยี นเลา่ เรอื่ งของเด็กออทิสติกมา พิจารณาจะเหน็ ว่า รูปเขยี นวรรณยุกตท์ ้ังหมดปรากฏรูปเขียนแปร โดยแสดงไดด้ ังตารางต่อไปน้ี ตารางท่ี 27 ตารางแสดงรปู เขียนแปรของวรรณยุกตท์ ีป่ รากฏในการเขียนเลา่ เร่ือง รูปเขยี นวรรณยกุ ต์ รปู เขียนแปร วรรณยกุ ตส์ ามัญ (Ø) ( Ø )้ (-่ ) (-่ Ø ) ( ้ ) ( ้ -่ Ø ) จากตารางที่ 27 แสดงใหเ้ ห็นวา่ รูปเขียนวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทยของเด็กออทิสติกปรากฏ ทงั้ ส้ิน 3 รูป ได้แก่ วรรณยุกต์สามญั ( Ø ), ( -่ ) ( ้ ) เม่อื พิจารณารปู เขียนวรรณยุกตท์ ัง้ หมดทปี่ รากฏพบวา่ รปู วรรณยุกต์ ดังกล่าวปรากฏท้ังรปู แปรที่ถูกต้องและไมถ่ ูกต้อง ทงั้ นี้การสะกดคําดว้ ยรปู แปรที่ไม่ 1.4 รปู เขียนเครอื่ งหมายประกอบคําและเครื่องหมายวรรคตอน จากการวเิ คราะหร์ ปู เขยี นเคร่ืองหมายประกอบคําและเคร่อื งหมายวรรคตอนใน ภาษาไทยท่ี ปรากฏในการเขยี นเลา่ เร่อื งของเดก็ ออทสิ ตกิ พบวา่ รูปเขยี นเคร่ืองหมายดังกลา่ วของเด็ก ออทิสตกิ ปรากฏ ทงั้ สิ้น 3 รปู ไดแ้ ก่ ๆ \" โดยรปู เขียนเคร่ืองหมายดังกล่าวเด็กออทสิ ติกเขียนได้ ถูกต้องท้งั สนิ้ โดยไมป่ รากฎการ แปร สามารถแสดงรายละเอยี ดได้ดงั นี้ ๆ ไมย้ มก การใช้เคร่อื งหมายดังกล่าว เชน่ เพื่อน ๆ -์ ทณั ฑฆาต การใช้เครื่องหมายดังกล่าว เชน่ วิทยาศาสตร์ “”อญั ประกาศ การใช้เครื่องหมายดังกลา่ ว ไดแ้ ก่
100 “เธอตะกละเกนิ ไป จงึ ปวดท้อง” จากการสงั เกตรูปเขียนพยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์และเคร่ืองหมายวรรคตอนท่ีใชใ้ นการ เขียนสะกดคํา ของเด็กออทสิ ติกแล้วพบวา่ ข้อบกพร่องในการเขียนสะกดคําของเด็กออทิสติกเกดิ จากรูปเขียนพยัญชนะ สระ และวรรณยกุ ต์ โดยแตล่ ะรูปเขยี นเดก็ ออทิสตกิ จะใชเ้ ขยี นสะกดคาํ โดย ปรากฏทงั้ รปู แปรท่ถี ูกต้องและไม่ ถกู ต้องตา่ งกนั ไป นอกจากนคี้ ําบางคาํ อาจปรากฏรปู แปรท่ีไม่ ถกู ต้องท้งั รปู พยัญชนะและวรรณยกุ ต์ร่วมกนั เน่อื งจากรูปเขยี นทัง้ สองมีความสัมพนั ธก์ ันตามหลกั ไตรยางศ์ ซง่ึ คําที่ปรากฏรูปเขียนแปรท่ีไม่ถูกต้องดงั กลา่ ว อาจมผี ลมาจากการออกเสยี งท่ีปรากฏการ แปรเช่นกัน 2. การวเิ คราะห์คาํ ท่ีใช้ในการเขยี นเลา่ เร่อื งของเด็กออทิสตกิ 2.1 ชนิดของคาํ ท่ีปรากฏในการเขียนเลา่ เรือ่ งของเด็กออทิสติก จากการวิเคราะหค์ ําท่ีปรากฏในการเขียนเลา่ เร่ืองของเด็กออทิสติกพบว่า เดก็ ออทิสตกิ ใช้ คาํ ในการเขยี นเลา่ เร่ืองทัง้ หมด 24 ชนดิ สามารถแสดงรายละเอียดได้ดงั นี้ 2.2.1 คาํ นาม คํานามเป็นคาํ ชนดิ ทีเ่ ด็กออทิสติกใชใ้ นการเขียนเล่าเรอ่ื งมากท่ีสดุ เชน่ เดยี วกับการ พูดเลา่ เรื่อง โดยปรากฏการใชค้ าํ นามท้ังส้ิน 86 คํา 2.2.2 คาํ กรยิ าอกรรม คาํ กรยิ าอกรรมปรากฏการใช้ท้งั สิ้น 27 คํา 2.2.3 คาํ กริยาอกรรมย่อย คาํ กริยาอกรรมย่อยปรากฏการใช้ทงั้ สิ้น 5 คํา 2.2.4 คาํ กรยิ าสกรรม คาํ กรยิ าสกรรมปรากฏการใชท้ ง้ั ส้ิน 50 คาํ 2.2.5 คํากรยิ าทวกิ รรม คาํ กรยิ าทวิกรรมปรากฎการใช้ทง้ั สนิ้ 6 คาํ 2.2.6 คําสรรพนาม คาํ สรรพนามปรากฏการใช้ทั้งสิน้ 7 คาํ 2.2.7 คาํ ลกั ษณนาม คาํ ลักษณนามปรากฏการใช้ท้ังส้ิน 6 คํา 2.2.8 คําคณุ ศพั ท์ คาํ คุณศพั ทป์ รากฏการใช้ท้งั สิ้น 8 คาํ 2.2.9 คาํ จาํ นวนนบั คาํ จํานวนนับอาจใช้ตวั อักษรหรือตวั เลขในการเขียน ปรากฏการใชท้ ัง้ ส้ิน 13 คาํ 2.2.10 คาํ ลาํ ดับที่ คําลาํ ดับที่ปรากฎการใช้ทงั้ สิ้น 3 คํา 2.2.11 คําหน้าจาํ นวน คําหน้าจํานวนปรากฏการใช้ทง้ั สิน้ 2 คาํ 2.2.12 คําบอกกําหนดเสียงโท คาํ บอกกาํ หนดเสยี งโทปรากฏการใช้เพียง 1 คาํ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152