การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 1 1 (ร่าง 2) 2 หน่วยท่ี 12 3 การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปล่ยี นแปลงในการสง่ เสรมิ 4 และพฒั นาการเกษตร 5 6 รองศาสตราจารย์ ดร.สนิ ีนุช ครุฑเมือง แสนเสรมิ 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 ช่ือ รองศาสตราจารย์ ดร.สนิ นี ุช ครุฑเมอื ง แสนเสรมิ 20 วฒุ ิ วท.บ., วท.ม. (เกษตรศาสตร)์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ 21 Ph.D. (Agricultural Education) Oklahoma State University 22 ตาแหน่ง รองศาสตราจารยป์ ระจาสาขาวชิ าเกษตรศาสตรแ์ ละสหกรณ์ 23 มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช 24 หน่วยท่ีเขยี น หน่วยท่ี 12 25 26
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 2 1 แผนการสอนประจาหน่วย 2 3 ชุดวชิ า หลกั การบรหิ ารการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 4 หน่วยท่ี 12 การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 5 6 ตอนท่ี 7 12.1 แนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 8 12.2 ความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 9 12.3 การบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 10 11 แนวคดิ 12 1. ความขดั แยง้ คือ การทบ่ี ุคคลตงั้ แต่สองคนข้นึ ไป มคี วามแตกต่างกนั ในเร่อื งความคิด ความเชอ่ื เป้าหมาย 13 ผลประโยชน์ เป็นตน้ การแสดงออกอนั เน่อื งมาจากความเชอ่ื หลา่ น้ที ไ่ี มเ่ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั ทาใหเ้กิดเป็นความขดั แยง้ 14 เกิดข้นึ ความขดั แยง้ จึงเป็นเร่ืองธรรมชาติ มลี กั ษณะเฉพาะ และมที งั้ ผลดแี ละผลเสยี ต่อคู่ขดั แยง้ ทง้ั สองฝ่ายและองคก์ ร 15 โดยความขดั แยง้ มสี าเหตุหลายประการ เช่น จากโครงสรา้ งและอานาจหนา้ ท่ี จากผลประโยชน์ จากคณุ ลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพ 16 เฉพาะตวั ของบคุ คล เป็นตน้ โดยสามารถแบง่ ประเภทความขดั แยง้ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ระดบั บุคคล 17 ระดบั กลมุ่ และระดบั องคก์ าร แนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ สามารถแบง่ ได้ 3 แนวคดิ ไดแ้ ก่ แนวคดิ แบบดง้ั เดมิ แนวคดิ 18 ดา้ นมนุษยส์ มั พนั ธ์ และแนวคิดสมยั ใหม่ 19 2. สาเหตุท่สี าคญั ของความขดั แยง้ ในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร มี 5 สาเหตทุ ส่ี าคญั ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู และ 20 สารสนเทศ ผลประโยชนร์ ่วม ดา้ นพฤตกิ รรมและความสมั พนั ธ์ ความเชอ่ื และค่านยิ ม และโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี โดย 21 สถานการณก์ ารเปลย่ี นแปลงทม่ี ผี ลต่อความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร เชน่ การเปลย่ี นแปลง กฎ กตกิ า 22 ดา้ นการคา้ และการลงทนุ ของโลก ทศิ ทางการพฒั นา การเปลย่ี นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละ 23 การพฒั นาไปสูก่ ารเป็นเศรษฐกจิ และสงั คมดจิ ทิ ลั เป็นตน้ เงอ่ื นไขทเ่ี ก่ยี วขอ้ งความขดั แยง้ พลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคใ์ นการ 24 ส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรมี 3 ประการ คือ ปจั จยั สาเรจ็ แห่งความขดั แยง้ มกี ารเปลย่ี นกระบวนทศั น์ และมหี ลกั การ 25 ทกั ษะ ศกั ยภาพ กลยุทธ์ กลวธิ ี และเทคนิคตา่ ง ๆ ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 3 1 3. วธิ ีการบริหารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร มี 3 วธิ ี ดงั น้ี วธิ ีการบริหารความขดั แยง้ พ้นื ฐาน 2 วธิ ีการบริหารความขดั แยง้ แบบสนั ติวธิ ี และวิธกี ารบริหารความขดั แยง้ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา กระบวนการบริหาร 3 ความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรแบ่งออกเป็น 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี เตรียมการพ้นื ฐานเพ่อื ความสาเร็จในการ 4 จดั การความขดั แยง้ วเิ คราะหเ์ พอ่ื ประเมนิ คู่กรณีและกาหนดกลยุทธก์ ารเจรจา กาหนดกฎกติกาพ้นื ฐาน ทาความชดั เจนของ 5 ปญั หาขดั แยง้ ร่วมกนั แสวงหาและประเมนิ ทางเลอื กท่ดี ที ่สี ุด และกาหนดขอ้ ตกลงร่วมกนั และกลยุทธก์ ารบริหารความ 6 ขดั แยง้ ในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร ท่สี าคญั มี 9 กลยุทธ์ ไดแ้ ก่ กลยุทธใ์ ชใ้ นการไกลเ่ กลย่ี และเจรจาเพอ่ื แกป้ ญั หา 7 ความขดั แยง้ กลยุทธก์ ารลดระดบั ความตอ้ งการของคู่เจรจาฝ่ ายตรงขา้ มลง กลยุทธก์ รอบความคดิ ในการต่อรอง กลยุทธ์ 8 การเนน้ ขอ้ ยุติแบบชนะ-ชนะแทนแบบชนะ–แพ้ กลยุทธก์ ารสรา้ งความไวว้ างใจ กลยุทธก์ ารสรา้ งพลงั ร่วม กลยุทธก์ าร 9 ร่วมมอื กนั การผสมผสาน หรือการแกป้ ญั หา กลยุทธก์ ารมคี วามเหน็ สอดคลอ้ ง และกลยุทธก์ ารตดั สนิ ใจแบบผสมผสาน 10 11 วตั ถปุ ระสงค์ 12 เมอ่ื ศึกษาหน่วยท่ี 12 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 13 1. อธิบายแนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรได้ 14 2. อธิบายความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรได้ 15 3. อธิบายการบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรได้ 16 กจิ กรรมระหวา่ งการเรียน 17 1. ทาแบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรยี นหน่วยท่ี 12 18 2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนท่ี 12.1 – 12.2 ปฎบิ ตั ิกิจกรรมตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอนแต่ละเร่ือง 19 3. ทาแบบประเมนิ กิจกรรมภาคปฏบิ ตั ิเสริมประสบการณ์เพอ่ื เกบ็ คะแนน (ถา้ ม)ี 20 4. ฟงั รายการวทิ ยุกระจายเสยี ง (ถา้ ม)ี 21 5. ชมรายการวทิ ยุโทรทศั น์ (ถา้ ม)ี 22 6. ชมรายการสอนเสริมผา่ นระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (ถา้ ม)ี 23 7. เขา้ รบั การสอนเสรมิ แบบเผชญิ หนา้ หรอื ผ่านดาวเทยี ม (ถา้ ม)ี 24 8. ทาแบบประเมนิ ผลตนเองหลงั เรียนหน่วยท่ี 12 25 สอ่ื การสอน 26 1. เอกสารการสอน 27 2. แบบฝึกปฏบิ ตั ิ 28 3. CD เสยี งประกอบชดุ วชิ า 29 4. DVD ประจาชดุ วชิ า
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 4 1 5. รายการสอนทางวทิ ยุกระจายเสยี ง (ถา้ ม)ี 2 6. รายการสอนทางวทิ ยุโทรทศั น์ (ถา้ ม)ี 3 7. การสอนเสรมิ (ถา้ ม)ี 4 การประเมิน 5 1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมนิ ตนเองก่อนเรียนและหลงั เรียน 6 2. ประเมนิ ผลจากกิจกรรมประจาชดุ วชิ า 7 3. ประเมนิ ผลจากการสอบไลป่ ระจาภาคการศกึ ษา 8 9 เม่ืออา่ นแผนการสอนแลว้ ขอใหท้ าแบบประเมินตนเองกอ่ นเรยี น หน่วยท่ี 12 ในแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 10 แลว้ จงึ ศกึ ษา เอกสารการสอนต่อไป 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 5 1 ตอนท่ี 12.1 2 แนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 3 โปรดอ่านหวั เร่อื ง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 12.1 แลว้ จึงศกึ ษารายละเอยี ดต่อไป 4 หัวเร่ือง 5 6 เร่ืองท่ี 12.1.1 แนวคิดทวั่ ไปเกย่ี วกบั ความขดั แยง้ 7 เร่ืองท่ี 12.1.2 สาเหตุ และประเภทของความขดั แยง้ เร่ืองท่ี 12.1.3 แนวคิดและทฤษฎกี ารบรหิ ารความขดั แยง้ 8 9 แนวคดิ 10 1. ความขดั แยง้ คอื การท่บี คุ คลตง้ั แต่สองคนข้นึ ไป มคี วามแตกต่างในเร่อื งของความสนใจ ความคดิ ความ 11 เช่อื ค่านยิ ม ทศั นคติ เป้าหมาย ผลประโยชน์ ทรพั ยากร เป็นตน้ รวมถงึ การแสดงออกอนั เน่อื งมาจากความเช่อื 12 แนวความคดิ ตลอดจนการรบั รู ้ เหลา่ น้ที ไ่ี มเ่ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั ทาใหเ้กิดเป็นความขดั แยง้ เกดิ ข้นึ องคป์ ระกอบ 13 ของความขดั แยง้ ประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบทวั่ ไปของความขดั แยง้ และองคป์ ระกอบของความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล 14 ความขดั แยง้ จึงเป็นเร่อื งธรรมชาติ มลี กั ษณะเฉพาะ และมที งั้ ผลดแี ละผลเสยี ต่อคู่ขดั แยง้ ทงั้ สองฝ่าย และองคก์ ร 15 2. ความขดั แยง้ มสี าเหตุสาคญั 5 ประการ ดงั น้ี ความขดั แยง้ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั โครงสรา้ งและอานาจหนา้ ท่ี 16 ความขดั แยง้ เกิดจากผลประโยชน์ ความขดั แยง้ มาจากคุณลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพเฉพาะตวั ของบคุ คล ความขดั แยง้ ท่ีเกิด จากการส่อื ความหมายท่ผี ดิ และไมถ่ กู กบั กาลเทศะและบุคคล และความขดั แยง้ จากความแตกต่าง ในดา้ นต่างๆ เช่น 17 ค่านิยม โลกทศั น์ ความเช่อื เป็นตน้ โดยสามารถแบ่งประเภทความขดั แยง้ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ 18 ระดบั บคุ คล ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ และความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร 19 3. แนวคิดเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ สามารถแบ่งได้ 3 แนวคดิ ไดแ้ ก่ แนวคดิ แบบดง้ั เดมิ แนวคดิ ดา้ นมนุษย์ 20 สมั พนั ธ์ และแนวคิดสมยั ใหม่ 21 22 วตั ถปุ ระสงค์ 23 เมอ่ื ศึกษาตอนท่ี 12.1 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 24 1. อธบิ ายแนวคิดทวั่ ไปเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ได้ 2. อธบิ ายสาเหตุ และประเภทของความขดั แยง้ ได้ 25 3. อธิบายแนวคิดและทฤษฎกี ารบริหารความขดั แยง้ ได้ 26
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 6 1 เร่ืองท่ี 12.1.1 2 แนวคดิ ทว่ั ไปเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ 3 4 การทางานส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรเก่ียวขอ้ งกบั คน กลุ่มคน และหน่วยงานต่าง ๆ ทงั้ ภาครฐั ภาคเอกชน 5 และภาคประชาชนมากมาย ทงั้ จากการทางานร่วมกบั สมาชิกในหน่วยงานเดยี วกนั และ ต่างหน่วยงาน โดยในการทางาน 6 ย่อมจะก่อใหเ้กิดความขดั แยง้ ในระดบั ต่าง ๆ มาข้นึ ได้ หากทกุ คนในองคก์ รเขา้ ใจว่าความขดั แยง้ เป็นเร่ืองธรรมชาติ เป็นสง่ิ 7 ทห่ี ลกี เล่ยี งไม่ได้ แต่สามารถจดั การได้ และเขา้ ใจธรรมชาติของความขดั แยง้ ก็จะสามารถเปลย่ี นความขดั แยง้ ใหเ้ ป็นส่งิ ท่ี 8 สรา้ งสรรคต์ ่อกลุ่มหรือองคก์ ารได้ เน่ืองจากความขดั แยง้ ในปริมาณท่เี หมาะสมสามารถก่อใหเ้ กิดการจูงใจใหค้ นเกิด 9 ความคิดริเร่ิม สรา้ งสรรคใ์ นการพฒั นและหาแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาต่าง ๆ ได้ ดงั นนั้ การบริหารความขดั แยง้ จึงเป็น 10 พ้นื ฐานสาคญั สาหรบั นกั ส่งเสริมการเกษตรและนกั พฒั นาการเกษตร โดยเน้อื หาในหน่วยการบริหารความขดั แยง้ ภายใต้ 11 การเปล่ยี นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร จะเร่ิมตง้ั แต่การใหค้ วามรูแ้ ละความเขา้ ใจเก่ยี วกบั แนวคดิ เก่ยี วกบั 12 ความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร ความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 13 ไปจนถึงการบริหารความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร โดยเร่ิมจากแนวคิดทวั่ ไปเก่ียวกบั ความขดั แยง้ ซ่งึ 14 แบง่ เป็น 4 ประเดน็ หลกั คือ ความหมายของความขดั แยง้ องคป์ ระกอบของความขดั แยง้ ลกั ษณะและธรรมชาติของความ 15 ขดั แยง้ และผลดแี ละผลเสยี ของความขดั แยง้ โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี 16 17 ความหมายของความขดั แยง้ 18 ความหมายของ “ความขดั แยง้ ” ตามรากศพั ท์ ความขดั แยง้ ตรงกบั ภาษาองั กฤษ คือ Conflict เป็นคาท่มี าจาก 19 ภาษาละตนิ ว่า confligere ตามความหมายของ Webster Dictionary คาว่า Conflict หมายถงึ การต่อสู ้ การสงคราม การ 20 ไมถ่ กู กนั เมอ่ื ความสนใจ ความคิดหรือการกระทาไมเ่ หมอื นกนั สาหรบั ในภาษาไทยตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน 21 (ราชบณั ฑติ , 2556 น. 183) ไดใ้ หค้ วามหมาย “ความขดั แยง้ ” วา่ ประกอบดว้ ยคาสองคา คอื “ขดั ” หมายถงึ การไมท่ าตาม 22 ฝ่ าฝืน ขนื ไว้ และ “แยง้ ” หมายถึง ไม่ตรง หรือลงรอยเดียวกนั ตา้ นไว้ ทานไว้ สรุปไดว้ ่า ความขดั แยง้ หมายถงึ การท่ี 23 บุคคลสองฝ่ ายไมล่ งรอยกนั จึงพยายามท่ีจะตา้ นทานฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงท่ตี นเองมคี วามคิด หรือการกระทาท่ไี ม่สอดคลอ้ ง 24 หรือไมส่ มนยั กบั บุคคลหรือกลมุ่ บุคคลอ่นื ในครอบครวั หรอื สงั คม 25 ความหมายของ “ความขดั แยง้ ” ตามแนวคิดของนกั วชิ าการดา้ นการบรหิ ารบุคลากรในองคก์ ร ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ 26 ดงั น้ี 27 Robbins S.P. & Judge T.A. (2013, pp. 446-447) กลา่ ววา่ “ความขดั แยง้ ” เป็นกระบวนการทเ่ี กดิ ข้นึ เมอ่ื 28 บุคคลหรือกลมุ่ บุคคลฝ่ายหน่งึ มคี วามพยายามท่จี ะตอบโตอ้ กี ฝ่ายหน่งึ โดยการขดั ขวาง ไมใ่ หฝ้ ่ายตรงขา้ มสามารถบรรลุ 29 เป้าหมายหรอื ไดร้ บั ผลประโยชนต์ ามตอ้ งการ
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 7 1 Montana P.J. & Charnov B.H. (2008, pp. 366-367) ไดใ้ หค้ าจากดั ความไวว้ า่ ความขดั แยง้ คอื ความไมล่ ง 2 รอยกนั ในกระบวนการทจ่ี ะทาใหบ้ รรลุเป้าหมายขององคก์ ร ซ่งึ ความไมล่ งรอยกนั น้เี กดิ ข้นึ ระหวา่ งบคุ คลตงั้ แต่สองฝ่ายข้นึ ไป 3 หรือบคุ คลทอ่ี ยู่ในตาแหน่งทแ่ี ตกต่างกนั 4 Barki & Harwick (2004) ไดอ้ ธบิ ายวา่ ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล เป็นกระบวนการพลวตั ทเ่ี กิดข้นึ ระหว่างสอง 5 ฝ่ายท่มี คี วามเก่ยี วขอ้ งกนั โดยทง้ั สองฝ่ายตา่ งแสดงออกทางอารมณ์ในทางลบ ดว้ ยการแสดงความไมเ่ หน็ ดว้ ย และขดั ขวาง 6 หรอื เป็นอุปสรรคต่อการบรรลเุ ป้าหมายของอกี ฝ่าย โดยช้ใี หเ้หน็ วา่ ความขดั แยง้ ตอ้ งมอี งคป์ ระกอบเกดิ ข้นึ พรอ้ มกนั สาม 7 องคป์ ระกอบ คอื (1) การแสดงออกความไมเ่ หน็ ดว้ ย (disagreement) (2) การขดั ขวาง (interference) และ (3) อารมณ์ 8 ดา้ นลบ (negative emotion) การมเี พยี งองคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหน่งึ ไมถ่ อื เป็นความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล 9 สมติ สชั ฌกุ ร (2561) อธบิ ายวา่ ความขดั แยง้ หมายถงึ ความรูส้ กึ ของบุคคลหรือกลมุ่ บุคคลตงั้ แต่ 2 คนข้นึ ไป ท่ี 10 มคี วามคดิ เหน็ หรอื ความเขา้ ใจวา่ เป้าหมายหรอื ผลประโยชนข์ องตนเองนน้ั ถูกขดั ขวาง สกดั กน้ั หรอื ไมล่ งรอย 11 (incompatible goal) กบั บคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลอ่นื 12 เสรมิ ศกั ด์ิ วศิ าลาภรณ์ (2540, น.11) ไดส้ รุปวา่ ความขดั แยง้ (Conflict) หมายถงึ ความขดั แยง้ ของบคุ คลเกดิ จาก 13 การทบ่ี ุคคลจะตอ้ งตดั สนิ ใจเลอื กอย่างใดอย่างหน่งึ โดยทก่ี ารเลอื กนน้ั อาจเตม็ ใจเลอื ก หรอื จาใจเลอื ก ความขดั แยง้ 14 ระหว่างบคุ คลเป็นสถานการณท์ ่กี ารกระทาของฝ่ายหน่งึ ไปขดั ขวาง หรือการท่บี ุคคลทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั ในค่านยิ ม ความ 15 สนใจ แนวคิด วธิ ีการ เป้าหมาย ตอ้ งมาติดต่อกนั ทางานดว้ ยกนั หรืออยู่ร่วมกนั ในสงั คมเดียวกนั โดยท่คี วามแตกต่างน้ี 16 เป็นส่งิ ทไ่ี มส่ อดคลอ้ งกนั หรอื ไปดว้ ยกนั ไมไ่ ด้ 17 ศิรวิ รรณ มนอตั ระผดุง (2559, น.195) สรุปความหมายของความขดั แยง้ ไวว้ า่ ความขดั แยง้ หมายถงึ สภาวการณ์ 18 ทบ่ี คุ คลสองฝ่ายมคี วามแตกต่างทางความคดิ ความเช่อื การรบั รูร้ บั เหน็ คา่ นิยม ทศั นคติ เป้าหมายประสบการณ์ 19 ผลประโยชนแ์ ละทรพั ยากร ทาใหเ้กดิ พฤติกรรมทต่ี กลงกนั ไมไ่ ด้ โดยอกี ฝ่ายหน่งึ ไมเ่ หน็ พอ้ ง ไมพ่ อใจ พยายามกีดกนั และ 20 ต่อตา้ นอกี ฝ่ายหน่งึ 21 รฐั พล เยน็ ใจมา และสรุ พล สยุ ะพรหม (2561, น.226-227) อธบิ ายวา่ ความขดั แยง้ เป็นความรูส้ กึ นกึ คดิ หรอื การ 22 กระทาทข่ี ดั กนั ทงั้ ภายในตนเอง ระหวา่ งบคุ คลและระหวา่ งกลมุ่ ซ่งึ มผี ลทาใหเ้กิดการแขง่ ขนั หรอื การทาลายกนั สามารถสรุป 23 ออกเป็น ความหมายในแงบ่ วก และความหมายในแงล่ บ ไดด้ งั น้ี ความหมายของความขดั แยง้ ในแงบ่ วก หมายถงึ ความ 24 ขดั แยง้ ท่กี ่อใหเ้กดิ ในเชงิ สรา้ งสรรค์ และก่อใหเ้กิดผลดตี ่อตวั เอง องคก์ ร และสงั คมทง้ั ในแงข่ องทศั นคติ และพฤตกิ รรมใน 25 บางคราวเมอ่ื เกดิ ความขดั แยง้ แลว้ ก็สามารถทจ่ี ะหาทางออกในเชงิ สมานฉนั ท์ สาหรบั ความหมายของความขดั แยง้ ในแงล่ บ 26 หมายถงึ ความขดั แยง้ ท่กี อ่ ใหเ้กดิ ผลเสยี และบรรยากาศทไ่ี มด่ ตี ่อตวั เอง องคก์ รและสงั คม อนั เป็นการสะทอ้ นรูปลกั ษณ์ 27 ของความขดั แยง้ ออกมา 28 29 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ หมายถงึ การท่บี คุ คลตง้ั แตส่ องคนข้นึ ไป มคี วามแตกตา่ งในเร่อื งของความสนใจ 30 ความคดิ ความเช่อื ค่านิยม ทศั นคติ เป้ าหมาย ผลประโยชน์ ทรพั ยากร เป็ นตน้ รวมถงึ การแสดงออกอนั เน่ืองมาจาก 31 ความเช่ือ แนวความคิด ตลอดจนการรบั รู้ เหล่าน้ีท่ไี มเ่ ป็ นไปในทศิ ทางเดยี วกนั ทาใหเ้ กดิ เป็ นความขดั แยง้ เกดิ ข้ึน ความ
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 8 1 ขดั แยง้ เป็นเสมอื นดาบสองคม หากไมแ่ กไ้ ข กจ็ ะเกดิ ผลเสยี ต่อฝ่ายใด ฝ่ายหน่งึ หรอื ทงั้ สองฝ่าย แต่หากมกี ารแกไ้ ขดว้ ย 2 ความร่วมมอื ร่วมใจ และมฉี นั ทามตหิ รือขอ้ ตกลงร่วม (consensus) จะก่อใหเ้กดิ การเปลย่ี นแปลงทางบวกเกิดพลงั ร่วม 3 (synergy) 4 5 องคป์ ระกอบของความขดั แยง้ 6 ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลมอี งคป์ ระกอบสาคญั 5 ประการ (บษุ บา สุธีธร, 2560, น.56-57) ดงั น้ี 7 8 9 10 ภาพท่ี 12.2 องคป์ ระกอบของความขดั แยง้ 11 12 1) มีบุคคลท่ีเก่ยี วขอ้ ง 2 ฝ่ าย โดยทง้ั 2 ฝ่ ายมีความเก่ยี วขอ้ ง มีอิทธิพล หรือมีการพ่งึ พากนั และกนั 13 และรบั รูใ้ นความขดั แยง้ หรือความไม่ลงรอยระหวา่ งกนั ความขดั แยง้ เป็นเร่ืองร่วมกนั ระหว่าง 2 ฝ่ าย ความเก่ียวขอ้ ง 14 สมั พนั ธน์ ้ีจงึ เป็นไปไดท้ งั้ ความสมั พนั ธใ์ นลกั ษณะของความสมั พนั ธส์ ่วนตวั หรือความสมั พนั ธจ์ ากเหตุผลดา้ นการงาน ดว้ ย 15 เหตขุ องความสมั พนั ธท์ เ่ี ชอ่ื มบคุ คล 2 ฝ่ายไวด้ ว้ ยกนั ดงั นนั้ การแสดงออกซ่งึ ความไมเ่ หน็ ดว้ ย การต่อตา้ น หรอื การขดั ขวาง 16 ต่อเป้าหมายของฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ จึงมอี ทิ ธพิ ลหรอื ผลกระทบต่อความคดิ ความรูส้ ึก ความเป็นอยู่ หรือผลประโยชนข์ องอีก 17 ฝ่ายท่ตี อ้ งเก่ยี วขอ้ งสมั พนั ธซ์ ่งึ กนั และกนั ทางใดทางหน่ึง ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลจงึ ตอ้ งมี 2 ฝ่ายท่รี บั รูใ้ นความขดั แยง้ 18 และไดร้ บั ผลกระทบจากความขดั แยง้ ระหวา่ งกนั เสมอ ดงั นน้ั การมอี งคป์ ระกอบเพยี งฝ่ายเดยี ว หรือฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ ไมร่ บั รู ้ 19 ในความขดั แยง้ จะไมส่ ามารถเกดิ เป็นองคป์ ระกอบของความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลได้ 20 2) มีการแสดงออกอารมณ์หรือพฤติกรรมในทางลบเพ่อื ใหเ้ ห็นถึงการไม่ยอมรบั ความขดั แยง้ ระหว่าง 21 บุคคลไมใ่ ช่เพยี งความคิดหรือความขดั แยง้ ภายในใจ เพราะถา้ เป็นเพยี งความคิดท่ขี ดั แยง้ ภายในใจจดั ไดว้ ่าเป็น “ความ 22 ขดั แยง้ ภายในตวั บุคคล” ตวั อยา่ งความขดั แยง้ ภายในตวั บคุ คล เชน่ การตกอยู่ในสถานการณ์ท่ตี อ้ งคดิ เพอ่ื ตดั สนิ ใจเลอื ก
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 9 1 อย่างใดอยา่ งหน่งึ ทอ่ี ยากไดท้ ง้ั สองอย่าง หรอื การทต่ี อ้ งตดั สนิ ใจทาในส่งิ ทต่ี วั เองไมอ่ ยากทา ซ่งึ ก่อใหเ้กิดความไมส่ บายใจ 2 ในขณะท่ี “ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล” นนั้ ตอ้ งมกี ารแสดงออกถงึ ความรูส้ กึ และท่าทขี องการไมย่ อมรบั ใหอ้ ีกฝ่ายหน่งึ รบั รู ้ 3 ดว้ ย โดยพฤติกรรมท่แี สดงออกถงึ ความไมย่ อมรบั หรือความไมล่ งรอยกนั น้ี สามารถแสดงออกดว้ ยวจั นภาษา ไดแ้ ก่ การ 4 พูด การเขยี น หรืออาจแสดงออกการต่อตา้ น ความผดิ หวงั การเป็นปฏปิ กั ษต์ ่อกนั ทาง อวจั นภาษาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สี 5 หนา้ ท่าทาง นา้ เสยี ง เป็นตน้ ทงั้ น้ี ระดบั ของการแสดงออกใหเ้หน็ ถงึ ความหมายของการปฏเิ สธ หรือไมเ่ หน็ ดว้ ยมตี ง้ั แต่การ 6 แสดงออกความไมเ่ หน็ ดว้ ยนอ้ ยทส่ี ุด ไปจนถงึ ระดบั รุนแรง เช่น ไมค่ ่อยเห็นดว้ ย ไม่เหน็ ดว้ ย ไม่ใหค้ วามร่วมมอื โตแ้ ยง้ 7 ต่อตา้ น ขดั ขวาง การฟ้องรอ้ งไปจนถงึ การต่อสู ้ การโตเ้ ถยี งกนั ดว้ ยเสยี ง คาพูดและสหี นา้ ทา่ ทที ่ไี มเ่ ป็นมติ รต่อกนั เพ่อื ใหไ้ ด้ 8 ตามเป้าหมายของตน 9 3) ท้งั 2 ฝ่ ายต่างตอ้ งการบรรลุเป้ าหมายหรือความตอ้ งการของตนเอง นนั่ คือในสถานการณ์ความ 10 ขดั แยง้ ระหว่างบุคคลนน้ั สาเหตุท่ที าใหเ้ กิดความขดั แยง้ มกั เป็นเร่ืองท่ที งั้ 2 ฝ่ ายต่างเขา้ ใจว่าเป็นไปไม่ไดท้ ่จี ะทาใหบ้ รรลุ 11 เป้าหมายดว้ ยความพอใจของทง้ั 2 ฝ่ายไดพ้ รอ้ มกนั และทง้ั 2 ฝ่ายต่างตอ้ งการบรรลุเป้าหมายของตวั เองเท่านนั้ 12 4) ความขดั แยง้ มีแนวโนม้ เกดิ ข้ึนในเร่ืองท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ทรพั ยากรท่ีตนเองรบั รูห้ รือคิดวา่ มีอยู่อย่าง 13 จากดั ทรพั ยากรทก่ี ลา่ วถงึ น้ไี มไ่ ดจ้ ากดั อยูเ่ พยี งส่งิ ของ วตั ถทุ ่มี องเหน็ หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทป่ี รากฏเทา่ นนั้ แต่ครอบคลุมถงึ ส่งิ ท่ี 14 ไม่ใชส่ ่งิ ของ หรือส่งิ ท่คี ู่ขดั แยง้ เขา้ ใจว่ามอี ย่างจากดั ความขดั แยง้ ป็นเร่ืองของการรบั รู ้ (perception) หรอื ความเขา้ ใจของ 15 บุคคลท่มี ตี ่อเร่ืองนน้ั มากกว่าจะเป็นขอ้ เทจ็ จริง ตวั อยา่ งเช่น การท่เี กษตรกรขดั แยง้ กบั เจา้ หนา้ ท่สี ่งเสริมการเกษตรเพราะ 16 เขา้ ใจว่าเจา้ หนา้ ทม่ี คี วามลาเอียงในการใหบ้ ริการ เป็นตน้ 17 5) ความขดั แยง้ มกั เกดิ ข้นึ ร่วมกบั พฤติกรรมการขดั ขวางไมใ่ หอ้ กี ฝ่ ายบรรลุเป้ าหมายของตวั เอง ความ 18 คิดเห็นท่แี ตกต่างเป็นเร่ืองปกตทิ ่ที ุกคนต่างเคยเผชญิ แต่ความคิดเหน็ หรอื ความแตกต่างมกั จะเปลย่ี นไปเป็นความขดั แยง้ 19 ระหวา่ งกนั กต็ ่อเมอ่ื อกี ฝ่ายมพี ฤตกิ รรมท่ขี ดั ขวางทาใหอ้ ีกฝ่ายไมส่ ามารถบรรลุเป้าหมายของตวั เอง 20 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลจะเกดิ ข้นึ ไดต้ อ้ งมอี งคป์ ระกอบร่วมกนั ดงั น้ี คือ เมอ่ื บคุ คลทง้ั 21 2 ฝ่ายทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั รูส้ ึกวา่ อกี ฝ่ ายขดั ขวางทาใหต้ นไมส่ ามารถบรรลุเป้าหมายได้ หรือเพราะคิดว่าทรพั ยากรท่ีทงั้ 2 22 ฝ่ายตอ้ งการมอี ยา่ งจากดั ไมเ่ พยี งพอตอบสนองความตอ้ งการไดท้ งั้ 2 ฝ่าย นอกจากนน้ั ยงั ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั 23 ดา้ นพฤติกรรมการแสดงออกในทางลบ เพ่อื ส่อื สารใหอ้ กี ฝ่ ายไดร้ บั รูใ้ นอารมณ์และความรูส้ กึ ไมเ่ หน็ ดว้ ย หรือไมพ่ อใจใน 24 ระดบั ต่าง ๆ ดงั นนั้ ผลของความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คลจึงส่งผลกระทบดา้ นความสมั พนั ธท์ ม่ี ตี ่อกนั มากนอ้ ยตามระดบั ความ 25 รุนแรงของการแสดงออกซ่งึ ความไมพ่ อใจนน้ั 26 27 ลกั ษณะและธรรมชาตขิ องความขดั แยง้ 28 1. ลกั ษณะทวั่ ไปของความขดั แยง้ 29 การจดั การกบั ความขดั แยง้ ขนั้ ตอนแรกจะตอ้ งทาความเขา้ ใจลกั ษณะของความขดั แยง้ ก่อน โดยลกั ษณะ 30 ทวั่ ไปของความขดั แยง้ มี 5 ประการดงั น้ี (Mary Cantando, 2018 อา้ งใน ณฐั ชานนั ท์ วรี ะกลุ (2561, น. 32-33)
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 10 1 1) ความขดั แยง้ เป็ นสว่ นหน่ึงของชีวติ (conflict is a normal part of life) การเขา้ ใจว่าความขดั แยง้ 2 เป็นสว่ นหน่งึ ของชวี ติ โดยความขดั แยง้ เกิดข้นึ ไดใ้ นทุกองคก์ รและในบางความสมั พนั ธ์ กุญแจสาคญั ในการแกป้ ญั หา คือ 3 การเรียนรูจ้ ากสถานการณเ์ หลา่ น้เี พอ่ื ใหเ้ขา้ ใจวา่ ความขดั แยง้ เป็นส่วนหน่งึ ของชวี ติ และสามารถจดั การได้ 4 2) บอ่ ยครง้ั ท่คี วามขดั แยง้ สามารถหลกี เล่ยี ง หรือลดลงได้ (conflict can often be avoided or 5 minimized) การลดความขดั แยง้ คอื การทาความเขา้ ใจทศั นคติของบุคคลเองในเร่อื งของการเอาชนะ การสนทนามี 6 ความสาคญั ตอ่ ความสมั พนั ธร์ ะยะยาวหรอื ไม่ หรอื บุคคลตอ้ งการเอาชนะ หรือยอมได้ ส่งิ เหลา่ น้ี คอื การทาความเขา้ ใจกบั 7 ความรูส้ กึ ของบคุ คล เพอ่ื ทจ่ี ะช่วยลดหรอื หลกี เลย่ี งความขดั แยง้ ได้ 8 3) การแยกความขดั แยง้ หลกั ออกจากความขดั แยง้ เลก็ นอ้ ย (separate major from minor 9 conflicts) ในการจดั การกบั ความขดั แยง้ ควรมงุ่ เนน้ ไปท่สี ่งิ ทส่ี าคญั และการช่วยใหผ้ ูอ้ ่นื ทาเชน่ เดยี วกนั ไมค่ วรเสยี เวลา 10 ทรพั ยากร และพลงั งานเพอ่ื จดั การในสง่ิ ท่ไี มส่ าคญั 11 4) ความขดั แยง้ ทุกอยา่ งไม่จาเป็ นตอ้ งมีผูช้ นะและผูแ้ พ้ (every conflict does not have to 12 generate a winner and a loser) บอ่ ยครงั้ ท่จี ุดก่งึ กลางหรือทางสายกลางเป็นเป็นทางออกของการแกป้ ญั หาท่สี มบรู ณ์ 13 แบบ โดยการเลอื กวธิ กี ารประนีประนอมเป็นส่งิ แรกในการทาขอ้ ยนิ ยอมร่วมกนั 14 5) บคุ คลสามารถเรียนรูจ้ ากความขดั แยง้ (you can learn from a conflict) เมอ่ื บคุ คลปรบั เปลย่ี น 15 ทศั นคติแบบชนะ/แพ้ ดว้ ยทศั นคติแบบเรยี นรู ้ โดยบุคคลเร่ิมจากการเรียนรูจ้ ากความขดั แยง้ แลว้ ยอ่ มจะลดผลกระทบลง 16 ไดใ้ นอนาคต 17 กลา่ วโดยสรุป บุคคลควรทาความเขา้ ใจวา่ ความขดั แยง้ เป็นส่วนหน่งึ ของชวี ติ สามารถหลกี เลย่ี งหรอื ทา 18 ใหล้ ดลงได้ แต่ไมค่ วรเสยี เวลาและพลงั งานตอ่ ส่งิ ท่ไี มส่ าคญั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ และการเรียนรูจ้ ากความขดั แยง้ วา่ ทุก 19 ความขดั แยง้ ไมจ่ าเป็นตอ้ งสรา้ งใหเ้กดิ ผูช้ นะและผูแ้ พ้ 20 21 2. ลกั ษณะเฉพาะของความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคล ไมว่ ่าความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คลจะเป็นประเภทใดกต็ าม Floyd 22 (2012 อา้ งถงึ ในบษุ บา สธุ ธี ร, 2560, น.8-11) ช้ใี หเ้หน็ ลกั ษณะเฉพาะของความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลดงั น้ี 23 1) ความขดั แยง้ เป็ นเร่ืองธรรมชาตขิ องความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล เราทกุ คนลว้ นต่างเคยเผชญิ กบั 24 ความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคล ความขดั แยง้ เกดิ ข้นึ ไดท้ ุกระดบั ความสมั พนั ธ์ เชน่ ระหวา่ งสามกี บั ภรรยา ระหวา่ งพอ่ แมล่ ูก 25 ระหวา่ งเพอ่ื นร่วมงาน ระหวา่ งผูบ้ งั คบั บญั ชากบั ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชา หรือระหวา่ งแผนกหน่งึ กบั อีกแผนกหน่งึ ในองคก์ ร ฯลฯ 26 การทเ่ี ราพบกบั ความขดั แยง้ ระหว่างกนั ไมไ่ ดห้ มายความวา่ เป็นสง่ิ ทเ่ี ลวรา้ ยหรอื เป็นการทาลายความสมั พนั ธท์ ่มี ตี ่อกนั เทา่ นนั้ 27 ในทางกลบั กนั เมอ่ื มกี ารจดั การท่ดี ี ความขดั แยง้ อาจกลบั กลายเป็นเร่อื งสรา้ งสรรคเ์ ป็นแรงขบั ใหแ้ ต่ละฝ่ายกา้ วไปสเู่ ป้ าหมาย 28 เกดิ ผลผลติ ท่ดี ไี ด้ 29 2) ความขดั แยง้ ประกอบดว้ ยมิติทง้ั เน้ือหา มิติความสมั พนั ธ์ และมติ ดิ า้ นขน้ั ตอนในการจดั การความ 30 ขดั แยง้ เมอ่ื มคี วามขดั แยง้ เกดิ ข้นึ ระหวา่ ง 2 ฝ่ายในเรอ่ื งใดก็ตาม สง่ิ ท่เี กดิ ข้นึ รวมถงึ ผลทต่ี ามมาประกอบดว้ ยมติ ทิ ซ่ี บั ซอ้ น
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 11 1 สามมติ ิ คือ มติ ิดา้ นเน้อื หาทท่ี าใหเ้กิดความขดั แยง้ นนั้ มติ ิดา้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสองฝ่าย และมติ ิดา้ นขน้ั ตอนทท่ี ง้ั สอง 2 ฝ่ายใชใ้ นการจดั การกบั ความขดั แยง้ นนั้ มติ ดิ า้ นเน้อื หา (Content dimension) ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal Conflict) มติ ดิ า้ นความสมั พนั ธ์ มติ ดิ า้ นขน้ั ตอนในการจดั การ (Relational dimension) ความขดั แยง้ (Procedural dimension) 3 4 ภาพท่ี 12.2 องคป์ ระกอบความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล 5 ท่ีมา: ดดั แปลงจาก Floyd (2012) 6 7 กรณีตวั อยา่ ง “เม่ือสมาชิกกลมุ่ เกษตกรจบั ไดว้ า่ ประธานกลมุ่ พดู โกหก” 8 (1) มติ ิดา้ นเน้ือหา (Content dimension) คือ การพูดโกหก การไมพ่ ูดความจริงในเรอ่ื งใดเร่อื งหน่งึ 9 (2) มติ ิดา้ นความสมั พนั ธ์ (Relational dimension) คอื ส่งิ ท่เี ป็นผลตามคอื ความไวเ้น้อื เชอ่ื ใจทม่ี ตี อ่ 10 กนั ไดล้ ดทอนลงไป และตอ้ งใชเ้วลาอกี นานกว่าความไวเ้น้อื เชอ่ื ใจนนั้ จะกลบั มาเป็นเชน่ เดมิ 11 (3) มิตดิ า้ นขน้ั ตอนในการจดั การความขดั แยง้ (Procedural dimension) รวมถงึ กฎระเบยี บ หรอื 12 ความคาดหวงั ทแ่ี ต่ละฝ่ายใชจ้ ดั การกบั ปญั หาความขดั แยง้ นนั้ ซ่งึ หากทงั้ สองฝ่ายมวี ธิ กี าร มมุ มอง หรือความคาดหวงั ท่ี 13 แตกต่างกนั แลว้ สง่ิ ท่เี กิดข้นึ อาจกลบั กลายเป็น “ความขดั แยง้ บนความขดั แยง้ ” (conflict about conflict) คือ แมว้ า่ 14 สมาชกิ กลมุ่ เกษตกรจะไมพ่ อใจอยา่ งมากกบั เหตุการณท์ พ่ี บวา่ ประธานกลมุ่ พูดโกหก แต่อาจเหน็ ว่าวธิ ที ่ดี ที ส่ี ดุ ของการแกไ้ ข 15 ความขดั แยง้ คอื การไมพ่ ูดไมต่ ่อวา่ แต่ทาเฉยชา เพอ่ื ใหป้ ระธานกลมุ่ เกรงใจ คาดหวงั ว่าประธานกลมุ่ จะมาขอโทษและจะไม่ 16 พูดปดอีก ในขณะท่ปี ระธานกลมุ่ อาจคิดว่าเหตทุ ่สี มาชกิ กลมุ่ ไมแ่ สดงออกซ่งึ ความไมพ่ อใจคงเป็นเพราะไม่ทราบหรอื เหน็ เป็น 17 เร่ืองเลก็ ๆ การพูดโกหกจงึ เป็นสง่ิ ท่เี ขาอาจใชอ้ กี ในโอกาสต่อไป ดงั นน้ั จึงดูเสมอื นไมม่ ปี ญั หาใดๆ เกิดข้นึ ในความสมั พนั ธ์ 18 ระหวา่ งทง้ั สอง แต่ในความเป็นจรงิ ความขดั แยง้ ไมไ่ ดห้ มดไป ถา้ ทง้ั สองฝ่ายมวี ธิ คี ดิ ในการจดั การกบั ความขดั แยง้ ทต่ี ่างกนั 19 และไมเ่ ป็นไปดงั ท่ฝี ่ายใดฝ่ายหน่งึ คาดหวงั ทง้ั สองอาจตอ้ งเผชญิ กบั ปญั หาความขดั แยง้ บนความขดั แยง้ ดงั กลา่ ว
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 12 1 หากทงั้ สองฝ่ายอาจเลอื กวธิ กี ารแสดงออกใหเ้ หน็ ความขดั แยง้ ไดท้ างตรง ดว้ ยการแสดงพฤตกิ รรมความ 2 ไมพ่ อใจ หรอื อาจใชว้ ธิ ีแสดงออกทางออ้ มดว้ ยการไม่แสดงออก เช่น ไมพ่ ูดดว้ ย หรอื การปฏเิ สธไมย่ อมร่วมทางานดว้ ย แต่ 3 ไมว่ ่าวธิ ีการใด ความขดั แยง้ ก็ไดเ้ กิดข้นึ แลว้ และเม่อื เผชญิ กบั ความขดั แยง้ ดงั กล่าวไมม่ ใี ครตอบไดว้ า่ การแสดงออกดว้ ย 4 วธิ ีการใดจะดกี ว่ากนั เพราะข้นึ อยูก่ บั สถานการณ์ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสองฝ่าย และผลลพั ธท์ ่ที ง้ั สองฝ่ายคาดว่าจะเกิดข้ึน 5 หลงั จากการแสดงออกความขดั แยง้ นนั้ ๆ 6 4) ความขดั แยง้ สามารถสง่ ผลทางลบตอ่ ทง้ั 2 ฝ่ ายท่ขี ดั แยง้ ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลอาจส่งผล 7 กระทบทางลบต่อทงั้ สองฝ่ายไมว่ า่ จะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ โดยเฉพาะจากความเครยี ดขณะท่เี กิดความขดั แยง้ ความ 8 ขดั แยง้ ระหว่างบุคคลนามาซ่งึ ความรูส้ กึ ในทางลบ ในบางกรณีประสบการณค์ วามขดั แยง้ อาจทาใหค้ ู่ขดั แยง้ คนใดคนหน่งึ ปิด 9 กนั้ ตวั เองจากการติดต่อสมั พนั ธท์ างสงั คม หรือไมเ่ ปิดใจทจ่ี ะใหค้ วามสนิทสนมกบั ผอู ้ ่นื หรอื ในทางกลบั กนั อาจใชว้ ธิ กี าร 10 หยุดความสมั พนั ธก์ บั คู่ทข่ี ดั แยง้ แลว้ แสวงหาความสมั พนั ธใ์ หมๆ่ ท่ปี ระทบั ใจกวา่ การตกอยูใ่ นภาวะท่ตี อ้ งเผชญิ กบั ความ 11 ขดั แยง้ 12 5) ความขดั แยง้ สามารถใหผ้ ลท่ีเป็ นประโยชน์ต่อคู่ขดั แยง้ ได้ ถา้ ทง้ั 2 ฝ่ ายรูว้ ธิ ีการจดั การ ในขณะท่ี 13 ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลส่งผลทางลบต่อความสมั พนั ธด์ งั กล่าวขา้ งตน้ ความขดั แยง้ ดงั กลา่ วก็สามารถใหผ้ ลท่ีเป็ น 14 ประโยชนต์ ่อความสมั พนั ธข์ องทงั้ สองฝ่ายไดโ้ ดยพบวา่ 15 (1) ความขดั แยง้ เป็นเงอื่ นไขสาคญั ของการทาใหเ้กดิ การเปลยี่ นแปลง เพราะทาใหแ้ ต่ละฝ่ายเร่ิม 16 มองหรอื ตระหนกั ในปญั หาทเ่ี กิดข้นึ หาขอ้ สรุปทเ่ี ก่ยี วขอ้ งทเ่ี ป็นไปไดเ้พอ่ื การแกไ้ ข และพรอ้ มท่จี ะปรบั ปรุงเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาท่ี 17 เกิดข้นึ ดงั นนั้ หากไมม่ กี ารตระหนกั ในปญั หาหรอื เผชญิ กบั ปญั หานนั้ ร่วมกนั ก็คงไมเ่ กิดความตอ้ งการทจ่ี ะเปลย่ี นแปลง 18 (2) เมอื่ เกิดความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล สิง่ ที่เกิดพรอ้ มๆ กนั คือ เกิดพฒั นาการของการ 19 แกป้ ญั หา เมอ่ื แต่ละฝ่ายเร่ิมไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ขอ้ มลู ของอีกฝ่ายก็จะมกี ารแบ่งปนั ขอ้ มลู ของกนั และกนั และจะไดเ้ รยี นรูค้ วาม 20 คดิ เหน็ ท่แี ตกต่างออกไปซ่งึ ชว่ ยพฒั นาความเขา้ ใจและการแสดงออก ประเดน็ การเปลย่ี นแปลงและการพฒั นาในการแกไ้ ข 21 ปญั หาจงึ เป็นประเดน็ หลกั ของประสทิ ธิภาพท่เี กิดข้นึ ความขดั แยง้ ทาใหท้ ง้ั สองฝ่ายเรียนซ่งึ รูก้ นั และกนั และรูว้ ิธจี ดั การกบั 22 ปญั หาทเ่ี กิดกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั และหากสามารถแกไ้ ขปญั หาร่วมกนั ไดส้ าเร็จ ความสมั พนั ธท์ ่มี ตี ่อกนั จะแนบแน่น 23 มากข้นึ จากการไดเ้ รียนรูแ้ ละปรบั ปรุงระหวา่ งกระบวนการแกไ้ ขดงั กลา่ วร่วมกนั การรูว้ ธิ ีจดั การกบั ความขดั แยง้ ของทงั้ สอง 24 ฝ่ายช่วยทาใหป้ ญั หาเลก็ ๆ ท่อี าจเกิดข้นึ ไม่พอกพูนกลายเป็นปญั หาใหญ่ท่ตี ามมา ทงั้ น้ีความสามารถในการจดั การปญั หา 25 ดว้ ยมมุ มองท่เี ป็นบวกสามารถสรา้ งความมนั่ ใจใหก้ บั ทงั้ สองฝ่ ายในการใชท้ กั ษะในการสอ่ื สารเพ่อื ธา รงความสมั พนั ธท์ ่ดี ี 26 ระหว่างกนั 27 ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลเป็นเร่อื งธรรมชาติ ทใ่ี หผ้ ลเกิดข้นึ ไดท้ ง้ั ทางบวกและทางลบ ข้นึ อยูก่ บั พ้นื ฐาน 28 ความคิดหรือมมุ มองท่แี ต่ละคนมตี ่อความขดั แยง้ ประกอบกบั ความสามารถในการจดั การกบั ความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคลนน้ั 29 การจดั การกบั ความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คลจึงตอ้ งมงุ่ เนน้ ทาความเขา้ ใจกบั สาเหตุและการตอบสนองต่อความขดั แยง้ ท่เี กดิ ข้นึ 30 ระหว่างบุคคล และควบคมุ หรือลดระดบั ความขดั แยง้ ใหอ้ ยู่ในระดบั ท่เี หมาะสม เพ่อื สรา้ งผลทางบวกใหเ้ กิดข้นึ จากความ 31 ขดั แยง้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 13 1 2. ธรรมชาติของความขดั แยง้ 2 เปรมปรีด์ิ ชวนะนรเศรษฐ์ (2560, น.5-6) ไดอ้ ธิบายธรรมชาติของความขดั แยง้ วา่ 3 (1) ความขดั แยง้ นนั้ เป็นไปไดใ้ นหลายรูปแบบ โดยส่งิ ท่ไี มล่ งรอยกนั ของบุคคลนน้ั อาจจะเป็นไปไดว้ า่ 4 เป็นเร่อื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความถกู ผดิ โดยอาจจะมคี นหน่งึ ท่คี ดิ ไดถ้ ูกตอ้ ง แต่อีกคนหน่งึ อาจจะพลาดและคดิ ผดิ ซ่งึ ทาให้ 5 ความคิดเหน็ ของแต่ละฝ่ายแตกต่างกนั ออกไป แต่ไมใ่ ช่ทุกความขดั แยง้ ทเ่ี กิดข้ึนจากการท่มี ฝี ่ายใดฝ่ายหน่งึ เป็นผผู ้ ดิ 6 (2) ในบางครงั้ ความขดั แยง้ เกดิ จากความตอ้ งการทแี่ ตกตา่ งกนั ของบคุ คลแต่ละฝ่าย มนุษยเ์ รานน้ั มคี วาม 7 แตกต่างหลากหลาย ไมม่ ใี ครในโลกทเ่ี หมอื นกนั หมดไมว่ ่าจะเป็นรูปร่างหนา้ ตา ดงั นน้ั ความตอ้ งการ และความคิดเหน็ ก็มี 8 ความแตกต่างเช่นเดยี วกนั 9 (3) ในความขดั แยง้ บางครงั้ ไมม่ ฝี ่ายใดถูกหรือผดิ เพยี งแต่ความตอ้ งการแตกต่างกนั 10 จากทก่ี ลา่ วมาจะเหน็ ไดว้ า่ ความขดั แยง้ จึงเป็นเร่ืองธรรมชาตทิ จ่ี ะเกิดข้นึ เมอ่ื เราอยูร่ ่วมกบั คนอ่นื มนุษยเ์ รานน้ั ชอบ 11 ความคงเสน้ คงวา ถา้ เราคิดอยา่ งไร เราก็อยากใหค้ นอ่ืนคิดแบบเดยี วกนั ความขดั แยง้ จึงมกั นามาซ่งึ ความอดึ อดั คบั ขอ้ งใจ 12 แต่อย่างไรก็ตาม หากเราเขา้ ใจในธรรมชาติของมนุษยท์ ่เี ป็นเร่ืองปกติท่จี ะคิดต่างหรือมคี วามตอ้ งการแตกต่าง เราก็จะ 13 สามารถอยู่กบั ความขดั แยง้ ไดด้ ขี ้นึ หากเรามองว่าเป้าหมายของความขดั แยง้ จรงิ ๆ แลว้ คือความเป็นหน่งึ เดยี วหรอื ความ 14 กลมกลนื การทค่ี นเราหาเหตผุ ล หาขอ้ โตเ้ ถยี งทจ่ี ะขดั แยง้ กนั แทจ้ รงิ กค็ อื ความพยายามใหท้ ุกฝ่ายกลบั มารวมเป็นหน่งึ เดยี ว 15 อีกครงั้ ความขดั แยง้ จึงตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื เพ่อื ทส่ี ุดแลว้ ผลท่อี อกมาจะดที ส่ี ดุ ต่อทุกฝ่าย 16 17 ผลดีและผลเสยี ของความขดั แยง้ 18 1. ผลดีของความขดั แยง้ 19 บุญฑรกิ า วงษว์ านชิ และทพิ ยร์ ตั น์ เลาหวเิ ชยี ร (2560, น.37-38) กลา่ ววา่ ผลดขี องความขดั แยง้ ทจ่ี ะทา 20 ใหผ้ ลงานของบคุ คล ของกลมุ่ และขององคก์ รดขี ้นึ คือ ทาใหค้ วามขดั แยง้ ท่ถี ูกมองขา้ มหรือถกู ละเลยไดร้ บั การสนใจนามา 21 พจิ ารณามากข้นึ ทาใหเ้กิดแรงจูงใจใหค้ นทง้ั สองฝ่ายรูแ้ ละเขา้ ใจจุดยนื ของกนั และกนั ไดม้ ากข้นึ กระตุน้ ใหเ้กิดแนวคดิ และ 22 แนวทางใหม่ ๆ ซง่ึ จะนาไปสู่การเกิดสง่ิ ใหม่ ๆ และการเปลย่ี นแปลงทด่ี ขี ้นึ ชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจดขี ้นึ กลา่ วคอื เมอ่ื ผูต้ ดั สนิ ใจ 23 รบั ขอ้ มลู ท่มี มี มุ มองแตกตา่ งไปจากตน ซง่ึ อาจขดั แยง้ กนั แตก่ ารมขี อ้ มลู ทห่ี ลากหลายครอบคลุมมากข้นึ ยอ่ มชว่ ยใหก้ าร 24 ตดั สนิ ใจดขี ้นึ กวา่ เดมิ ทง้ั น้เี พราะความขดั แยง้ ทาใหเ้กิดความจาเป็นตอ้ งพสิ ูจนส์ มมติฐานและความเชอ่ื ของแต่ละฝ่าย ตอ้ ง 25 เผชญิ กบั ความคดิ ใหม่ ๆ และตอ้ งพจิ ารณาในการปรบั จดุ ยนื ใหมข่ องตน นอกจากน้คี วามขดั แยง้ ยงั ส่งเสริมใหค้ นเกดิ ความ 26 ภกั ดตี ่อกลมุ่ สง่ ผลใหเ้กิดแรงจูงใจทจ่ี ะทางานของกลมุ่ หรอื ของหน่วยงานใหม้ คี วามสาเรจ็ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ความขดั แยง้ 27 เชงิ แนวคิด (Cognitive conflict) ทแ่ี ตกต่างกนั ยอ่ มนามาสกู่ ารเปิดกวา้ ง ในการนาแนวคิดเหลา่ นนั้ มาอภปิ รายถกเถยี ง 28 อยา่ งเต็มท่ี ส่งผลใหผ้ เู ้ก่ยี วขอ้ งเกิดความผกู พนั ตอ่ องคก์ ารเพ่มิ ขน้ึ 29 นอกจากน้ี ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจนิ ดา ขลบิ ทอง (2554, น.11-12) ไดก้ ลา่ วถงึ ผลดขี องความขดั แยง้ ไวด้ งั น้ี
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 14 1 (1) การทาใหป้ ญั หาทีเ่ คยถูกมองขา้ มหรอื ทถี่ ูกละเลย ไดร้ บั ความสนใจนามาพจิ ารณามากข้นึ เพ่อื ทจ่ี ะหา 2 วธิ ีการแกไ้ ขความขดั แยง้ ของทงั้ สองฝ่าย 3 (2) เป็นแรงจูงใจใหค้ ่กู รณีทงั้ สองฝ่ายรูแ้ ละเขา้ ใจถงึ ความตอ้ งการในผลประโยชน์ และจุดยนื ของกนั และ 4 กนั ไดม้ ากข้นึ ส่งเสรมิ ใหค้ นในกลมุ่ เกิดความภกั ดตี ่อกลมุ่ ท่เี ป็นฝ่ายตน ก่อใหเ้กดิ แรงจูงใจทจ่ี ะทางานของกลมุ่ หรือของ 5 หน่วยงานใหม้ คี วามสาเรจ็ 6 (3) ช่วยกระตนุ้ ใหเ้กดิ ความคิดใหม่ แนวทางใหม่ ทศิ ทางใหม่ ซ่งึ จะนามาสูก่ ารเกดิ นวตั กรรมและการ 7 เปลย่ี นแปลงางบวกทส่ี ามารถมกี ารกาหนดภาพรวมอนาคต และควบคุมติดตามใหม้ คี วาม เป็นไปไดข้ องการปฏบิ ตั ใิ ห้ 8 เกิดผลมากข้นึ และดขี ้นึ ความขดั แยง้ เชงิ ความคดิ (cognitive conflict) ทแ่ี ตกต่างกนั อาจนามาสูก่ ารเปิดกวา้ งในการนา 9 ความคดิ เหลา่ นน้ั มาอภปิ รายถกเถยี งกนั อย่างเต็มท่ี ส่งผลใหผ้ ูเ้กย่ี วขอ้ งเกดิ ความผูกพนั ต่อองคก์ ารเพม่ิ ข้นึ จึงเป็นการ 10 กระตุน้ ใหเ้กิดการเรียนรู ้ โดยการเรยี นรูเ้ พอ่ื มาจดั การปญั หาทเ่ี กดิ ข้ึน กระตนุ้ ใหแ้ สวงหาคาตอบ คือ ทางออกของการ 11 แกป้ ญั หานนั่ เอง สรา้ งโอกาส เมอ่ื มคี วามขดั แยง้ กจ็ ะด้นิ รน ซ่งึ อาจพบทางท่ดี ใี หมๆ่ ข้นึ ไดจ้ ึงป้องกนั การหยุดอยูก่ บั ท่ี 12 เพราะความขดั แยง้ จะทาใหเ้กดิ การพฒั นา 13 (4) ชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจดขี ้นึ กลา่ วคอื เมอ่ื คกู่ รณีไดร้ บั ขอ้ มลู ทม่ี มี มุ มองแตกต่างไปจากตนมคี วาม 14 หลากหลาย ครอบคลุมมากข้นึ ยอ่ มช่วยใหก้ ารตดั สนิ ใจดขี ้นึ กวา่ เดมิ ทง้ั น้เี พราะความขดั แยง้ ทาใหเ้กิดความจาเป็นทจ่ี ะตอ้ ง 15 วนิ จิ ฉยั สาเหตุปญั หาท่สี าคญั และตรวจสอบความเชอ่ื ของแต่ละฝ่าย ท่ตี อ้ งเผชญิ กบั ความคดิ ใหม่ แนวทารงใหม่ ทศิ ทาง 16 ใหม่ และตอ้ งพจิ ารณาในการปรบั จดุ ยนื ใหมต่ ารมผลประโยชนร์ ว่ มท่ไี ดร้ บั การจดั สรรอยา่ งยุติธรรมของตน 17 2. ผลเสยี ของความขดั แยง้ 18 บุญฑริกา วงษว์ านิช และทพิ ยร์ ตั น์ เลาหวเิ ชยี ร (2560, น.38) กลา่ วว่า ผลเสยี ของความขดั แยง้ คือ ทา 19 ใหค้ นทางานหมดกาลงั ใจ ทอ้ แท้ เบ่อื หน่ายเกิดความเครยี ด ถา้ ในองคก์ ารมคี วามขดั แยง้ ระดบั สูง ทาใหบ้ ุคลากรบางคน 20 ตดั สนิ ใจยา้ ยหรอื ลาออก โดยเฉพาะคนทม่ี คี วามขดั แยง้ ทางความคดิ เก่ียวกบั เป้าหมายขององคก์ าร มผี ลทาใหเ้กดิ การขาด 21 กาลงั คน หน่วยงานอ่อนแอ องคก์ ารอยู่ไมไ่ ดเ้พราะผลผลติ ตกตา่ ขาดสมั พนั ธภาพระหวา่ งบคุ คล ส่งผลใหบ้ รรยากาศของ 22 ความเช่อื ถือและไวว้ างใจระหว่างบุคคลหมดไป นามาซ่งึ การทะเลาะเบาะแวง้ เกิดแรงต่อตา้ นทาใหก้ ารทางานขาดความ 23 ร่วมมอื ร่วมใจกนั จนไมส่ ามารถทางานร่วมกนั หรือทางานเป็นทีมได้ (กาญจนา สามภิ กั ด์ิ, 2551) และความขดั แยง้ ทาให้ 24 ผลงานของกลุ่มหรือองคก์ ารลดลง ดว้ ยความขดั แยง้ ก่อใหเ้ กิดอารมณเ์ ชิงลบท่เี ป็นปฏิปกั ษต์ ่อกนั อยา่ งรุนแรง ส่งผลใหแ้ ต่ 25 ละฝ่ ายท่เี ก่ยี วขอ้ งกนั เกิดความเครียด อีกทง้ั เป็นส่งิ ท่ขี ดั ขวาง และทาลายเสน้ ทางส่อื สารระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่ม หรือ 26 แผนกงาน ทาใหก้ ารประสานงานในการปฏบิ ตั ิงานเกิดการชะงกั งนั ทาใหค้ วามตง้ั ใจ และการใชพ้ ลงั ความพยายามในการ 27 ทางานใหบ้ รรลุเป้าหมายขององคก์ ารของแต่ละคนถดถอยลดลง อีกทง้ั ยงั ส่งผลกระทบทาใหผ้ ูน้ าตอ้ งปรบั เปลย่ี นแบบผูน้ า 28 (Leadership style) เช่น จากผูน้ าแบบมสี ่วนร่วม (Participative style) ไปเป็นแบบเผด็จการ (Authoritarian style) 29 ดว้ ยความจาเป็น เป็นตน้ และความขดั แยง้ นนั้ อาจก่อเกดิ การเลน่ พรรคเลน่ พวก เกิดอคติ ลาเอียง ขาดความยุตธิ รรม และ 30 อาจรุนแรงถงึ ขน้ั ใหร้ า้ ยป้ายสเี พอ่ื จอ้ งทาลายกนั ทุกวถิ ที าง (วรชยั วฒุ สิ ารกลุ , 2551) 31 นอกจากน้ี ดเิ รก ฤกษห์ รา่ ย และจินดา ขลบิ ทอง (2554, น.11-12) ไดก้ ลา่ วถงึ ผลเสยี ของความขดั แยง้ ไวด้ งั น้ี
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 15 1 (1) ก่อใหเ้กิดอารมณเ์ ชงิ ลบทีเ่ ป็นปฏปิ กั ษต์ อ่ กนั อย่างรุนแรง ส่งผลใหแ้ ต่ละฝ่ายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งเกดิ 2 ความเครียด การไมส่ ามารถทางานร่วมกนั ได้ และส่งผลตอ่ ผลงานขององคก์ รตามมา 3 (2) ขดั ขวางและทาลายเสน้ ทางสอื่ สารระหวา่ งบคุ คล กลมุ่ หรือแผนกงาน ทาใหก้ ารประสานงานในการ 4 ปฏบิ ตั งิ านเกดิ การชะงกั งนั 5 (3) ทาใหค้ วามตงั้ ใจและการใชพ้ ลงั ความพยายามในการทางานถดถอยลดลง ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายองคก์ าร 6 ของแต่ละคนถดถอยลดลง 7 (4) สง่ ผลกระทบทาใหผ้ ูน้ าตอ้ งปรบั เปลยี่ นแบบผูน้ า เช่น จากผูน้ าแบบการมสี ่วนร่วม (participative 8 style) ไปเป็นแบบเผดจ็ การ (authoritarian style) ดว้ ยความจาเป็น เพราะภาวะของความขดั แยง้ ทาใหท้ ุกฝ่ายมี 9 ความเครยี ดสูง ผูน้ า จึงตอ้ งเขา้ มากากบั ดูแลและสงั่ การดว้ ยตนเองมากข้นึ เพอ่ื ไมใ่ หท้ ศิ ทางทเ่ี ป็นเป้าหมายของงาน หรอื 10 องคก์ ารเบย่ี งเบนไป ซ่งึ สภาวะแบบภาวะผูน้ าเช่นน้ที าใหบ้ รรยากาศทด่ี ขี องการทางานลดลงไปดว้ ยเชน่ กนั 11 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ คอื การทบ่ี ุคคลตง้ั แต่สองคนข้นึ ไป มคี วามแตกต่างในเรอ่ื งของความสนใจ ความคดิ 12 ความเชอ่ื ค่านยิ ม ทศั นคติ เป้าหมาย ผลประโยชน์ ทรพั ยากร เป็นตน้ รวมถงึ การแสดงออกอนั เน่อื งมาจากความเชอ่ื 13 แนวความคิด ตลอดจนการรบั รู ้ เหลา่ น้ที ไ่ี มเ่ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั ทาใหเ้กิดเป็นความขดั แยง้ เกดิ ข้นึ องคป์ ระกอบของ 14 ความขดั แยง้ ประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบทวั่ ไปของความขดั แยง้ และองคป์ ระกอบของความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล ความ 15 ขดั แยง้ จงึ เป็นเร่อื งธรรมชาติ มลี กั ษณะเฉพาะ และมที ง้ั ผลดแี ละผลเสยี ต่อคู่ขดั แยง้ ทงั้ สองฝ่าย และองคก์ ร 16 17 18 กจิ กรรมท่ี 12.1.1 19 1. จงอธบิ ายองคป์ ระกอบของความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คล 20 21 แนวการตอบกจิ กรรมท่ี 12.1.1 22 ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลมอี งคป์ ระกอบสาคญั 5 ประการดงั น้ี 23 1) มบี ุคคลทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 2 ฝ่าย โดยทง้ั 2 ฝ่ายมคี วามเก่ียวขอ้ ง มอี ทิ ธพิ ล หรอื มกี ารพ่งึ พากนั และกนั และ 24 รบั รูใ้ นความขดั แยง้ หรอื ความไมล่ งรอยระหว่างกนั 25 2) มกี ารแสดงออกอารมณห์ รือพฤตกิ รรมในทางลบเพ่อื ใหเ้หน็ ถงึ การไมย่ อมรบั 26 3) ทงั้ 2 ฝ่ายต่างตอ้ งการบรรลเุ ป้าหมายหรอื ความตอ้ งการของตนเอง 27 4) ความขดั แยง้ มแี นวโนม้ เกดิ ข้นึ ในเร่อื งท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ทรพั ยากรท่ตี นเองรบั รูห้ รอื คิดวา่ มอี ยู่อย่างจากดั 28 5) ความขดั แยง้ มกั เกดิ ข้นึ ร่วมกบั พฤตกิ รรมการขดั ขวางไมใ่ หอ้ กี ฝ่ายบรรลุเป้าหมายของตวั เอง 29 30
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 16 1 เร่ืองท่ี 12.1.2 2 สาเหตุ และประเภทของความขดั แยง้ 3 4 5 ท่มี าของความขดั แยง้ ท่เี กดิ ข้นึ มสี าเหตทุ ห่ี ลากหลาย และก่อใหเ้กดิ ประเภทของความขดั แยง้ ท่หี ลากหลาย สาหรบั 6 เน้อื หาในส่วนน้จี ะกลา่ วถงึ 2 ประเดน็ คอื สาเหตุ และประเภทของความขดั แยง้ 7 8 สาเหตขุ องความขดั แยง้ 9 ความขดั แยง้ ท่เี กิดข้นึ นนั้ ย่อมมที ม่ี า หรอื มสี าเหตุท่หี ลากหลาย โดย ศิรวิ รรณ มนอตั ระผดงุ (2559, น.198-199) 10 ไดร้ วบรวมแนวคิดเกย่ี วกบั สาเหตุของความขดั แยง้ จากนกั วชิ าการต่าง ๆ ไวด้ งั น้ี 11 ตามแนวคดิ ของ Pneuman & Bruehl (1982) ไดจ้ าแนกสาเหตขุ องความขดั แยง้ มาจาก 3 สาเหตุ ไดแ้ ก่ 12 1. องคป์ ระกอบสว่ นบุคคล ไดแ้ ก่ ภูมหิ ลงั ของบุคคลซ่งึ มคี วามแตกต่างกนั ทางวฒั นธรรม การศึกษา 13 ประสบการณ์ ค่านิยม ความเช่อื รวมทง้ั อารมณค์ วามรูส้ กึ ทศั นคติ อปุ นิสยั ส่วนตวั รวมทงั้ ภาวะผูน้ าของแต่ละบคุ คลและ 14 การรบั รูท้ ่แี ตกต่างกนั ทาใหม้ คี วามเขา้ ใจและความคดิ เหน็ ต่างกนั ซ่งึ อาจก่อใหเ้กิดความขดั แยง้ ข้นึ ได้ 15 2. การปฏสิ มั พนั ธแ์ ละกระบวนการสอ่ื สารท่ไี ม่มีคุณภาพ ขาดความชดั เจน ขอ้ มลู บดิ เบอื น รวมทง้ั ความ 16 ลา่ ชา้ ของการสอ่ื สาร 17 3. สภาพขององคก์ าร ไดแ้ ก่ การมที รพั ยากรจากดั ความไม่ชดั เจนในบทบาทหนา้ ท่ี และสายงานการ 18 บงั คบั บญั ชา กฎเกณฑท์ เ่ี ขม้ งวด และการแขง่ ขนั เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลประโยชนแ์ ละอานาจ 19 ในขณะท่ี Moore (1996) ไดอ้ ธิบายถงึ สาเหตุของความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล หมายถงึ เงอ่ื นไข ท่นี าไปสู่ความ 20 ขดั แยง้ ของคนในองคก์ าร ซ่งึ จะประกอบไปดว้ ยปจั จยั ต่าง ๆ มากมาย และแต่ละปจั จยั มคี วามสมั พนั ธซ์ ่งึ กนั และกนั อยา่ ง 21 แยกไมอ่ อก โดยสาเหตขุ องความขดั แยง้ มี 5 ประการหลกั ดงั น้ี 22 1. ดา้ นความขดั แยง้ จากขอ้ มูล (Data Conflict) หมายถึง การขาดขอ้ มูล ขอ้ มูลไม่ตรงกนั ส่ือสาร 23 บกพร่อง ความแตกต่างของวธิ ีการแปรผลขอ้ มลู และความแตกต่างในการรบั รูข้ อ้ มลู เป็นตน้ 24 2. ดา้ นความขดั แยง้ จากผลประโยชน์ (Interest Conflict) หมายถงึ การแยง่ ชงิ ทรพั ยากร ทม่ี อี ยู่อยา่ ง 25 จากดั มกี ารแก่งแยง่ เพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการทางอารมณ์ ความรกั เกียรตยิ ศ ชอ่ื เสยี ง เป็นตน้ 26 3. ด้านความขัดแยง้ ทางด้านโครงสรา้ ง (Structural Conflict) หมายถึง กระบวนการทางาน 27 กฎระเบยี บ ระบบความยุติธรรมและเสมอภาค ระบบการควบคมุ ระบบอานาจและบารมี ระบบ การกระจายทรพั ยากร เป็น 28 ตน้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 17 1 4. ดา้ นความขดั แยง้ จากความสมั พนั ธ์ (Relationship Conflict) หมายถงึ ความแตกต่าง หรือเขา้ กนั 2 ไมไ่ ดใ้ นเร่อื งของบุคลกิ ภาพ พฤตกิ รรม การสาคญั ผดิ และการส่อื สารทบ่ี กพร่อง 3 5. ดา้ นความขดั แยง้ จากค่านิยม (Value Conflict) หมายถึง ความแตกต่างในโลกทศั น์ ความเช่ือ 4 ความคาดหวงั ทศั นคติ เป้ าหมาย ฐานคติ การตดั สินใจ ความประพฤติ การตีค่าประเมนิ ประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม 5 ขนบธรรมเนียมประเพณี ประวตั ิสว่ นตวั การเล้ยี งดู 6 จากท่กี ลา่ วมาจะเหน็ ไดว้ า่ ความขดั แยง้ ทงั้ ความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คลและในองคก์ ารมสี าเหตสุ าคญั ดงั น้ี 7 8 9 10 ภาพท่ี 12.3 สาเหตุสาคญั ของความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคลและในองคก์ าร 11 12 1. ความขดั แยง้ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั โครงสรา้ งและอานาจหน้าท่ี เช่น ความไม่ชดั เจนเร่ืองหนา้ ท่ี งานท่ี 13 รบั ผิดชอบ การตดั สินใจ เป้าหมาย กฎระเบียบขอ้ บงั คบั ขอ้ มลู การติดต่อส่อื สารท่ีเป็นทางการ และไม่เป็นทางการใน 14 องคก์ าร เป็นตน้ 15 2. ความขัดแยง้ เกิดจากผลประโยชน์ มีการแย่งชิงทรพั ยากร งบประมาณ บุคลากร เพ่ือรกั ษา 16 ผลประโยชนใ์ หก้ บั ตน กลมุ่ และองคก์ าร 17 3. ความขดั แยง้ มาจากคุณลกั ษณะบุคลิกภาพเฉพาะตวั ของบุคคล เช่น ผูท้ ่มี คี วามสามารถควบคุม 18 ตนเองไดด้ ี จะมคี วามระมดั ระวงั ในการปฏบิ ตั ิต่อผูอ้ ่ืนไดด้ ไี ปดว้ ย และมกั ใชว้ ธิ ีจดั การความขดั แยง้ อย่างสรา้ งสรรค์ เช่น 19 การจดั การความขดั แยง้ ดว้ ยการประนปี ระนอม หรือใหค้ วามร่วมมอื เป็นตน้ 20 4. ความขดั แยง้ ท่ีเกิดจากการส่อื ความหมายท่ีผิด และไมถ่ ูกกบั กาลเทศะและบุคคล ทาใหเ้ กิดการรบั รู ้ 21 เขา้ ใจ มคี ่านิยมและทศั นคติท่ไี ม่ถกู ตอ้ ง เชน่ ใชค้ าพูดหรือแสดงท่าทางยวั่ ยุใหผ้ ูอ้ ่นื โกรธหรือเกิดความราคาญ โดยตงั้ ใจ 22 หรอื ไมก่ ต็ าม เป็นตน้ 23 5. ความขดั แยง้ จากความแตกต่าง ในดา้ นต่างๆ เช่น ค่านิยม โลกทศั น์ ความเช่ือ ความคาดหวงั 24 ทศั นคติ เป้ าหมาย ฐานคติ การตดั สนิ ใจ ความประพฤติ ประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ประวตั ิ 25 สว่ นตวั การเล้ยี งดู เป็นตน้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 18 1 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ มสี าเหตสุ าคญั 5 ประการ ดงั น้ี ความขดั แยง้ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั โครงสรา้ งและอานาจหนา้ ท่ี 2 ความขดั แยง้ เกิดจากผลประโยชน์ ความขดั แยง้ มาจากคุณลกั ษณะบุคลกิ ภาพเฉพาะตวั ของบุคคล ความขดั แยง้ ท่เี กดิ จาก 3 การสอ่ื ความหมายทผ่ี ดิ และไมถ่ ูกกบั กาลเทศะและบุคคล และความขดั แยง้ จากความแตกต่าง ในดา้ นต่างๆ เชน่ ค่านิยม 4 โลกทศั น์ ความเชอ่ื เป็นตน้ 5 6 ประเภทของความขดั แยง้ 7 8 ความขดั แยง้ เป็นปรากฏการณ์โดยทวั่ ไป ท่สี ามารถเกิดข้นึ ไดก้ บั ทุกคนไมว่ า่ จะอยู่ในสถานท่ใี ด เวลาใด ขนาดใด 9 หรือเป็นใครก็ตาม ความขดั แยง้ สามารถเกดิ ข้นึ ไดเ้สมอ ไมว่ ่าจะเป็นองคก์ รนน้ั จะขนาดเลก็ หรอื ขนาดใหญ่ แต่โดยทวั่ ไป 10 แลว้ สามารถแบ่งประเภทความขดั แยง้ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ระดบั บุคคล ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ และ 11 ความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี (จนั ทนา แสนสขุ , 2559, น. 110 อา้ งถงึ ใน สตุ าภทั ร จนั ทรป์ ระเสรฐิ , 12 2560 น. 219-221) 13 14 15 16 ภาพท่ี 12.4 ประเภทของความขดั แยง้ 17 18 1. ความขดั แยง้ ระดบั บุคคล (Personal conflict) นบั เป็นความขดั แยง้ ทเ่ี ลก็ ทส่ี ุดเกิดข้นึ ทต่ี วั บคุ คล แบ่ง 19 ออกเป็น 2 ประเภท คอื 20 1) ความขดั แยง้ ภายในบคุ คล (Intrapersonal conflict) เป็นความรูส้ กึ ท่บี ุคคลเกดิ ความขดั แยง้ ข้นึ 21 ภายในจิตใจของตนเอง โดยเกิดมาจากความคิด อารมณ์ของตน เมอ่ื เผชญิ เป้าหมาย ค่านิยม ความเชอ่ื ความตอ้ งการหลาย 22 ๆ อย่างทแ่ี ตกต่างในเวลาเดยี วกนั หรอื อาจเป็นความขดั แยง้ ท่เี กดิ ข้นึ เมอ่ื บคุ คลมคี วามไมแ่ น่ใจวา่ ตนปฏบิ ตั ิถูกตอ้ งหรอื ไม่ 23 รวมทงั้ เมอ่ื เผชญิ กบั สภาวะแวดลอ้ มทงั้ ภายในและภายนอก ซ่งึ ทาใหต้ ดั สนิ ใจลาบากวา่ จะเลอื กหรอื ไมเ่ ลอื ก ซ่งึ ความขดั แยง้ 24 ภายในบุคคล จาแนกได้ 3 ประเภท ดงั น้ี 25 (1) ความขดั แยง้ ทีเ่ กดิ ข้นึ เมอื่ บคุ คลมคี วามพอใจหรอื หรอื ตอ้ งการทงั้ สองอย่าง (Approach- 26 approach conflict) เพราะตวั เลอื กทง้ั คู่มคี วามนา่ สนใจเทา่ เทยี มกนั แต่จาเป็นตอ้ งเลอื กเพยี งอยา่ งเดยี ว ทาใหเ้กดิ 27 ความรูส้ กึ เสยี ดายเขา้ ทานองสานวนท่วี า่ “รกั พเ่ี สยี ดายนอ้ ง”
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 19 1 (2) ความขดั แยง้ ทีบ่ คุ คลตอ้ งเผชญิ หรือจาเป็นตอ้ งพบทงั้ สงิ่ ทพี่ อใจและไมพ่ อใจอยรู่ ่วมกนั ทงั้ 2 สองอย่างในเวลาเดยี วกนั (Approach-avoidance conflict) โดยไมม่ ที างเลอื ก เขา้ ทานองสานวนท่วี ่า “เกลยี ดตวั กินไข่ 3 เกลยี ดปลาไหลกนิ นา้ แกง” 4 (3) ความขดั แยง้ ทบี่ คุ คลจาเป็นตอ้ งเลอื กกบั เหตกุ ารณท์ ตี่ อ้ งเผชญิ ทีไ่ มพ่ อใจหรอื ไมต่ อ้ งการทงั้ 5 2 เหตกุ ารณ์ หรอื ทงั้ สองอยา่ ง (Avoidance-avoidance conflict) แต่จาเป็นตอ้ งทาหรอื เลอื ก 6 2) ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal conflict) เป็นความขดั แยง้ ทเ่ี กิดข้นึ ระหวา่ งบคุ คลตงั้ แต่ 7 2 คนข้นึ ไป เป็นความขดั แยง้ น้เี กิดจากความแตกตา่ งกนั ในดา้ นความคิด ทศั นคติ การรบั รู ้ วฒั นธรรม สถานภาพ อานาจ 8 บทบาทหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ ผลประโยชน์ หรือแมก้ ระทงั่ พฤติกรรมการแสดงออก วถิ ชี วี ติ ของแต่ละบุคคล อาจเกดิ ข้นึ 9 ในระดบั สายการบงั คบั บญั ชาเดยี วกนั เชน่ ระหว่างเพ่อื นร่วมงาน หรือตา่ งระดบั กนั เชน่ หวั หนา้ กบั ลูกนอ้ ง เป็นตน้ โดย 10 ความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคลยอ่ มมผี ลตอ่ ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ และระดบั องคก์ ารโดยส่วนรวมตามมาดว้ ย เพราะบคุ คลเป็น 11 องคป์ ระกอบสาคญั ขององคก์ าร 12 2. ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ (Group Conflict) เป็นความขดั แยง้ ทเ่ี ก่ียวกบั บุคคลภายในองคก์ าร แบ่งออกเป็น 2 13 ประเภท ดงั น้ี 14 1) ความขดั แยง้ ภายในกลมุ่ (Within group conflict) เป็นความขดั แยง้ ในบทบาทหนา้ ท่ี (Role 15 conflict) ความขดั แยง้ ในอานาจ (Authority conflict) หรือความขดั แยง้ ในผลประโยชนท์ ่ไี มเ่ ทา่ เทยี มกนั ทเ่ี กดิ จากบุคคล 16 ภายในกลมุ่ ท่ไี มส่ ามารถหาขอ้ ตกลงกนั ได้ อาจเกิดจากความขดั แยง้ เก่ยี วกบั งาน เป้าหมาย วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ หรือกระบวนการ 17 ในการทางานทแ่ี ตกต่างกนั 18 2) ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ (Between group conflict) เป็นความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ บุคคลตง้ั แต่ 2 19 กลมุ่ ข้นึ ไป เกิดข้นึ ไดโ้ ดยงา่ ย อาจเกดิ จากความขดั แยง้ ตามหนา้ ท่ี (Functional conflict) ความขดั แยง้ ระดบั สายงาน 20 (Line–Staff conflict) หรอื ความขดั แยง้ ตามระดบั ชน้ั (Hierarchy conflict) มกั จะพบเหน็ ในหน่วยงานส่วนใหญ่ 21 เน่อื งจากต่างฝ่ายมกั มงุ่ แต่ประโยชนข์ องกลมุ่ มากกวา่ สว่ นรวม มงุ่ การแขง่ ขนั เพอ่ื “ศกั ด์ศิ ร”ี มากกวา่ “สรา้ งสรรค”์ จงึ ทาให้ 22 การจดั การความขดั แยง้ ประเภทน้ที าไดย้ ากกวา่ ความขดั แยง้ ระดบั บคุ คล 23 3. ความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร (Organization conflict) เป็นความขดั แยง้ ในระดบั ใหญ่ เกิดข้นึ ไดเ้สมอใน 24 หน่วยงาน หรอื องคก์ ารโดยรวม ซ่งึ รวมถงึ สภาพแวดลอ้ มหรือระบบองคก์ ารทบ่ี ุคคลตอ้ งมปี ฏสิ มั พนั ธใ์ นการปฏบิ ตั งิ าน 25 ร่วมกนั ความขดั แยง้ ประเภทน้ี จะมคี วามรุนแรงมากนอ้ ยเพยี งใด ข้นึ อยูก่ บั นา้ หนกั ของสาเหตุและผลกระทบท่จี ะเกดิ 26 ตามมา และแสดงออกมาใหเ้หน็ ไดเ้ด่นชดั ในลกั ษณะต่าง ๆ พฒั นาเตบิ โตข้นึ ในวงกวา้ ง กระจายไปสู่องคก์ าร ความขดั แยง้ 27 ระดบั องคก์ าร แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 28 1) ความขดั แยง้ ภายในองคก์ าร (Intra-organizational conflict) ความขดั แยง้ ภายในองคก์ ารน้ี อาจ 29 เร่ิมก่อตวั มาจากระดบั บคุ คล ระดบั กลมุ่ และกระจายไปสูร่ ะดบั องคก์ าร จะเกดิ ข้นึ เมอ่ื บุคคลแต่ละกลมุ่ แต่ละแผนกมาอยู่ 30 ทากจิ กรรมต่าง ๆ ร่วมกนั และมคี วามแตกต่างกนั ทางความคดิ มตี าแหน่งหนา้ ทก่ี ารทางาน วธิ ีการปฏบิ ตั ิ ค่านยิ ม การรบั รู ้ 31 ทไ่ี มเ่ หมอื นกนั ซง่ึ ลว้ นเป็นสาเหตุท่ที าใหเ้กิดความไมพ่ อใจ นาไปสู่ความขดั แยง้ ไดท้ ง้ั ส้นิ นอกจากนน้ั อาจเกิดจากความ
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 20 1 แตกต่างของผลประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั ความไมเ่ ท่าเทยี มในการแบง่ สรรทรพั ยากรและงบประมาณท่มี จี านวนจากดั เพอ่ื หาวธิ กี าร 2 แกไ้ ขโดยเร่งด่วน เป็นการป้องกนั ไมใ่ หอ้ งคก์ ารลม่ สลายได้ 3 2) ความขดั แยง้ ระหวา่ งองคก์ าร (Inter-organization conflict) เป็นความขดั แยง้ ท่เี กิดข้นึ ระหวา่ ง 4 องคก์ ารกบั องคก์ ารทม่ี ผี ลประโยชนข์ ดั กนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การแขง่ ขนั กนั ทางธุรกิจท่มี คี วามรุนแรงมากข้นึ ตามลาดบั เป็น 5 ผลใหแ้ ต่ละองคก์ ารพยายามคิดหากลยุทธต์ ่างๆ มาใชใ้ นการแขง่ ขนั เพอ่ื แย่งชงิ ความไดเ้ปรยี บ ซ่งึ วธิ กี ารต่างๆ ทอ่ี งคก์ าร 6 นามาใชน้ น้ั อาจเป็นวธิ กี ารท่สี รา้ งสรรคเ์ พอ่ื การพฒั นา หรือทาลายลา้ ง ซ่งึ กนั และกนั เพอ่ื ความอยู่รอด เหลา่ น้ีลว้ นนามาซง่ึ 7 สาเหตุของความขดั แยง้ ระหวา่ งองคก์ ารได้ 8 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ มสี าเหตสุ าคญั 5 ประการ ดงั น้ี ความขดั แยง้ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั โครงสรา้ งและอานาจหนา้ ท่ี 9 ความขดั แยง้ เกิดจากผลประโยชน์ ความขดั แยง้ มาจากคณุ ลกั ษณะบุคลกิ ภาพเฉพาะตวั ของบุคคล ความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ จาก 10 การสอ่ื ความหมายทผ่ี ดิ และไมถ่ กู กบั กาลเทศะและบคุ คล และความขดั แยง้ จากความแตกต่าง ในดา้ นต่างๆ เช่น ค่านยิ ม 11 โลกทศั น์ ความเช่อื เป็นตน้ โดยสามารถแบ่งประเภทความขดั แยง้ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ระดบั บุคคล 12 ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ และความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร 13 14 15 กจิ กรรมท่ี 12.1.2 16 จงอธิบายประเภทของความขดั แยง้ 17 18 แนวตอบกจิ กรรมท่ี 12.1.2 19 ประเภทความขดั แยง้ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 20 1. ความขดั แยง้ ระดบั บคุ คล โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 21 1) ความขดั แยง้ ภายในบุคคล 22 2) ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล 23 2. ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 24 1) ความขดั แยง้ ภายในกลมุ่ 25 2) ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ 26 3. ความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร โดยแบง่ เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 27 1) ความขดั แยง้ ภายในองคก์ าร 28 2) ความขดั แยง้ ระหวา่ งองคก์ าร 29 30
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 21 1 เร่ืองท่ี 12.1.3 2 แนวคดิ และทฤษฎีการบรหิ ารความขดั แยง้ 3 4 5 แนวคดิ เก่ยี วกบั ความชดั แยง้ 6 แนวคิดเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ สามารถแบ่งได้ 3 แนวคิดไดแ้ ก่ แนวคดิ แบบดง้ั เดมิ แนวคิดดา้ นมนุษยส์ มั พนั ธ์ 7 และแนวคดิ สมยั ใหม่ ณฐั ชานนั ท์ วรี ะกุล (2561, น.8-9) และศริ ิวรรณ มนอตั ระผดงุ (2559, น.196) โดยมรี ายละเอยี ด 8 ดงั น้ี 9 1. แนวคิดแบบดง้ั เดิม (Traditional View) ช่วง ค.ศ. 1930-1940 มมี มุ มองว่าความขดั แยง้ เป็นส่งิ ไม่ดี และมี 10 ผลกระทบดา้ นลบต่อองคก์ รอยู่เสมอ ความขดั แยง้ ถูกมองในแงล่ บ โดยมองวา่ เป็นการสรา้ งความรุนแรง (Violence) การ 11 ทาลาย (Destruction) หรือความไรเ้ หตุผล (Irrationality) มองว่าความขดั แยง้ จึงเป็นเร่ืองท่เี สยี หาย ควรหลกี เล่ยี ง และ 12 ไม่ใหเ้ กิดข้นึ ในองคก์ ร เน่ืองจากความขดั แยง้ จะทาใหเ้ กดิ ความเสยี หาย ผูบ้ ริหารจะตอ้ งมคี วามรบั ผิดชอบท่จี ะตอ้ งกาจดั 13 ความขดั แยง้ ขององคก์ ารใหห้ มดไปหรอื เหลอื นอ้ ยท่สี ุด 14 2. แนวคิดดา้ นมนุษยส์ มั พนั ธ์ (Human Relations View) ช่วง ค.ศ. 1940-1970 มมี มุ มองว่าความขดั แยง้ 15 ภายในทกุ องคก์ รเป็นเร่ืองปกติท่เี กิดข้นึ ตามธรรมชาติและไมส่ ามารถหลกี เลย่ี งได้ แนวคิดน้จี ึงสนบั สนุนการยอมรบั ความ 16 ขดั แยง้ ว่าความขดั แยง้ เป็นส่งิ ทม่ี อิ าจหลกี เล่ยี งได้ ไมส่ ามารถขจดั ใหห้ มดไป และหลายครง้ั ท่คี วามขดั แยง้ ไดส้ ่งเสรมิ การ 17 ทางานของกลมุ่ ดงั นน้ั ความขดั แยง้ อาจจะมปี ระโยชนต์ ่อองคก์ รไดบ้ า้ งในบางเวลา 18 3. แนวคดิ สมยั ใหม่ (Contemporary View) มมี มุ มองท่สี นบั สนุนความขดั แยง้ บนรากฐานทว่ี ่าองคก์ รทม่ี คี วาม 19 สามคั คี ความสงบสุข ความเงยี บสงบและมคี วามร่วมมอื หากไมย่ อมรบั ปญั หาท่เี กิดข้นึ จากความขดั แยง้ การใหค้ วาม 20 ร่วมมอื กบั องคก์ รจะกลายเป็นความเฉ่ือยชา อยู่เฉย และไมต่ อบสนองต่อความตอ้ งการเพอ่ื การเปลย่ี นแปลงและการคิดคน้ 21 ใหม่ ๆ ดงั นนั้ แนวความคดิ สมยั ใหม่ จึงสนบั สนุนใหผ้ ูบ้ ริหาร รกั ษาระดบั ความขดั แยง้ ภายในองคก์ ร ใหอ้ ยูใ่ นระดบั ตา่ ทส่ี ุด 22 เพยี งพอต่อการสรา้ งสรรคอ์ งคก์ รใหเ้จริญเตบิ โต 23 สรุปไดว้ ่า ในการบริหารองคก์ ารในอดตี มองวา่ ความขดั แยง้ เป็นส่งิ ท่เี ลวรา้ ย เป็นส่งิ ท่ไี มด่ ถี า้ เกิดข้นึ จะทาใหอ้ งคก์ ร 24 เส่อื มถอย แต่ในปจั จุบนั ผูบ้ ริหารไดเ้ รียนรูท้ กั ษะการบริหารความขดั แยง้ จากการทางาน การฝึกอบรมจะทาใหค้ วามคิด 25 เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ เปลย่ี นไป ความขดั แยง้ เป็นส่งิ ท่หี ลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ แต่ความขดั แยง้ ย่อมสามารถท่จี ะเปลย่ี นสภาพความ 26 ขดั แยง้ ใหเ้ป็นความสมั พนั ธเ์ ชงิ สรา้ งสรรคแ์ ละเป็นประโยชนไ์ ด้ ความขดั แยง้ จะกลายเป็นความรุนแรง การทาลายและการไร้ 27 เหตุผล และความขดั แยง้ อาจเกิดข้นึ ตามธรรมชาติและหลกี เลย่ี งไมไ่ ดภ้ ายในทกุ องคก์ ร แต่ความขดั แยง้ อาจจะมปี ระโยชน์ 28 ต่อองคก์ รไดบ้ า้ งบางเวลา
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 22 1 สามารถสรุปแนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ทง้ั 3 กลมุ่ น้ี ออกเป็น 2 กลมุ่ คอื แนวคิดแบบดงั้ เดมิ และแนวคดิ 2 ปจั จุบนั ซ่งึ ไดแ้ สดงไวด้ งั ตารางท่ี 12.1 (พรนพ พุกกะพนั ธุ,์ 2542, 133) ไดด้ งั น้ี 3 4 ตารางท่ี 12.1 เปรียบเทยี บแนวคิดเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ แบบดง้ั เดมิ กบั แนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ปจั จุบนั 5 แนวคดิ แบบดง้ั เดมิ แนวคิดปจั จุบนั 1. ความขดั แยง้ ควรถูกกาจัดใหห้ มดไปจาก 1. ความขดั แยง้ อาจก่อใหเ้กดิ ผลดใี นการส่งเสริมการ องคก์ าร ความขดั แยง้ จะทาใหอ้ งคก์ ารเกิดความแตกแยก ปฏบิ ตั ิงานในองคก์ าร มแี นวคดิ ใหม่ ๆ ในการบริหารงาน และเป็นตวั การทาใหไ้ มม่ ปี ระสทิ ธิภาพ หรอื อาจก่อใหเ้กดิ ผลเสยี จากความขดั แยง้ ไดเ้ชน่ กนั ดงั นน้ั ความขดั แยง้ จะประโยชนห์ รอื โทษข้นึ อยูก่ บั วธิ กี ารจดั การ ความขดั แยง้ 2. ในองคก์ ารท่มี กี ารบรหิ ารท่ดี ี จะไมม่ คี วามขดั แยง้ 2. ความขดั แยง้ ในองคก์ ารในระดบั ท่เี หมาะสมจะชว่ ย กระตุน้ และจูงใจการทางานใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ 3. ความขดั แยง้ สามารถหลกี เลย่ี งได้ 3. ความขดั แยง้ เป็นสว่ นหน่งึ ขององคก์ าร 4. ความขดั แยง้ เป็นผลมาจากความผดิ พลาดของการบริหาร 4. ความขดั แยง้ เป็นผลมาจากความแตกต่างของ ส่งิ จูงใจทไ่ี ดร้ บั เป้าหมายและค่านิยมในองคก์ าร รวมทงั้ จากความกา้ วรา้ วตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ 5. ความขดั แยง้ เป็นส่งิ เลวรา้ ย เพราะนาไปสูค่ วามเครียด ไม่ 5. ความขดั แยง้ เป็นส่งิ ท่ดี ี เพราะจะชว่ ยกระตุน้ ใหค้ น พอใจกนั และไมส่ ามารถปฏบิ ตั งิ านได้ พยายามแกป้ ญั หาและสรา้ งสรรคค์ วามคิดใหม่ ๆ 6. การสรา้ งบรรยากาศใหเ้หมาะสมชว่ ยใหผ้ ูบ้ ริหารสามารถ 6. มปี จั จยั หลายอยา่ งทส่ี ่งผลต่อการทางานของคน โดย ควบคุมและปรบั พฤติกรรมของผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชา บางอยา่ ง ปจั จยั เหลา่ น้ผี ูบ้ รหิ ารไมส่ ามารถควบคุมได้ เชน่ ปจั จยั ได้ เช่น ความกา้ วรา้ ว ทางดา้ นจติ วทิ ยา 6 7 จะเหน็ ไดว้ า่ แนวคดิ แบบดงั้ เดมิ มองความขดั แยง้ เป็นส่งิ ทไ่ี มม่ ปี ระโยชนเ์ ป็นการทาใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านมผี ลสมั ฤทธ์ติ า่ 8 ก่อใหเ้กดิ ความเฉ่อื ยชา และไมส่ รา้ งสรรค์ โดยไดค้ น้ หาวธิ ีแกป้ ญั หาความขดั แยง้ อาทิ การออกกฎระเบยี บ มกี ระบวนการท่ี 9 เขม้ งวด เพ่อื ท่จี ะใหค้ วามขดั แยง้ หมดไป แต่สาหรบั แนวคดิ ปจั จุบนั มคี วามเหน็ ว่าความขดั แยง้ เป็นธรรมชาตหิ ลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ 10 จงึ ตอ้ งรกั ษาระดบั ใหเ้หมาะสม เพอ่ื สง่ ผลใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านดแี ละองคก์ ารมคี วามเจริญกา้ วหนา้ 11 12
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 23 1 ทฤษฎเี ก่ยี วกบั ความขดั แยง้ 2 ทฤษฎีเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ นน้ั มพี ฒั นาการจากทฤษฎีดงั้ เดมิ ทเ่ี ป็นแนวคิดชน้ั คลาสสิก (Classic) ก่อนทจ่ี ะมกี าร 3 พฒั นาและขยายใหก้ วา้ งขวางข้นึ ตามสถานการณ์ท่เี กิดข้นึ โดย ณฐั ชานนั ท์ วรี ะกุล (2561, น.8-9) และ รฐั พล เยน็ ใจมา 4 และสรุ พล สยุ ะพรหม (2561 น.227-229) ไดอ้ ธิบายวา่ มนี กั วชิ าการหลายท่านไดใ้ หท้ รรศนะไวด้ งั น้ี 5 1. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตามแนวคดิ ของ Socrates นกั ปราชญช์ าวกรีกโบราณท่ใี ชก้ ารถามตอบหรอื วาทศิลป์เพ่อื 6 แสวงหาความรูท้ ถ่ี กู ตอ้ งและสมเหตุสมผลมากกวา่ เดมิ ถอื เป็นความขดั แยง้ ในทางความรูข้ องบคุ คลสองฝ่าย คอื ผูถ้ ามและ 7 ผูต้ อบ ผูถ้ ามมกั จะตอ้ งถามจนผูต้ อบไมส่ ามารถโตแ้ ยง้ ไดแ้ ละยอมจานน ผูถ้ ามจงึ จะบอกคาตอบท่ถี กู ตอ้ งให้ ความขดั แยง้ 8 แบบน้ีเรียกว่า \"ความขดั แยง้ แบบสมเหตุสมผลมากกว่าเดมิ ” (Logical Consistency) ซ่ึงถอื เป็นวธิ ีการท่ี Socrates ใช้ 9 สอนศษิ ยแ์ ละผูค้ นในสมยั นน้ั 10 2. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Karl Mark (ค.ศ. 1904) เช่อื ว่าความขดั แยง้ และการเปล่ยี นแปลงเป็น 11 ของคู่กนั ความขดั แยง้ เป็นกฎพ้ืนฐานของชีวิต เป็นสภาพกรณ์ปกติของสงั คม และความขดั แยง้ เป็นเคร่ืองมอื ในการ 12 เปลย่ี นแปลงหรอื พฒั นาสงั คม Karl Marx ยงั เชอ่ื ว่า จดุ เร่ิมตน้ ของความขดั แยง้ มาจากเศรษฐกิจ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุม่ 13 เกิดข้นึ เพราะแต่ละกลุม่ มคี วามสนใจทางเศรษฐกจิ ท่ตี รงขา้ มกนั ความขดั แยง้ ทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งกลมุ่ เป็นสง่ิ ท่หี ลกี เลย่ี ง 14 ไดย้ าก และจะนาไปสูค่ วามขดั แยง้ ทางสงั คมและทางการเมอื ง โดยท่กี ลมุ่ หน่งึ พยายามสนองประโยชนข์ องตนแลว้ ฝ่ ายหน่ึง 15 จะเสยี ประโยชน์ จดุ เนน้ ในแนวคิดของ Karl Marx จึงอยู่ท่เี ศรษฐกิจ การต่อสูข้ องชนชน้ั ธรรมชาติของการแขง่ ขนั การ 16 แสวงหาประโยชน์ และการปฏวิ ตั ิ 17 3. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Gaetano Mosca (ค.ศ. 1939) เป็นนกั สงั คมวทิ ยาชาวอิตาลที เ่ี ช่อื วา่ ความ 18 ขดั แยง้ ในสงั คมไม่ว่าจะเป็นความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลกบั บุคคล หรือ ระหว่างกลุ่มกบั กลุ่ม เป็นเร่ืองปกติท่เี กิดโดย 19 ธรรมชาตแิ ละไมส่ ามารถหลกี เลย่ี งไดใ้ นการดารงชีวติ และยงั เป็นสาเหตุในการสรา้ งความกา้ วหนา้ ความเป็นระเบยี บของ 20 สงั คม และเสรีภาพทางการเมอื ง Gaetano Mosca เช่อื ว่าความขดั แยง้ ท่สี าคญั ท่สี ุดในสงั คม คือ ความขดั แยง้ เก่ียวกบั 21 อานาจระหว่างบุคคล หรอื ระหว่างกลมุ่ เพ่อื ความตอ้ งการเป็นสมาชกิ ของกลมุ่ ท่มี อี านาจ ซ่งึ ก็คอื ชนชนั้ ปกครองนนั่ เอง 22 4. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคดิ ของ Ralf Dahrendorf (ค.ศ. 1949) เป็นนกั สงั คมวทิ ยาชาวเยอรมนั ทปี ฏเิ สธ 23 แนวความคิดของมารก์ ซ์ และเสนอวา่ ความไมเ่ ท่าเทียมกนั ในสงั คมนน้ั เกดิ จากความไม่เทา่ เทียมกนั ในเร่ืองของสทิ ธอิ านาจ 24 (Authority) กลุ่มท่เี กิดข้นึ ภายในสงั คม สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็นสองประเภทคือ กลุ่มท่มี สี ทิ ธิอานาจกบั กลุม่ ท่ไี มม่ สี ทิ ธิ 25 อานาจ สงั คมจึงเกิดกลุ่มแบบไม่สมบูรณ์ (Guasi-groups) ของทงั้ สองฝ่ ายท่ีต่างก็มีผลประโยชน์แอบแฝง (Latent 26 interest) อยู่เบ้อื งหลงั แต่ละฝ่ ายจึงตอ้ งพยายามรกั ษาผลประโยชนข์ องตนเอาไว้ โดยมผี ูน้ าทาหนา้ ท่ใี นการเจรจาเพ่ือ 27 ปรองดองผลประโยชนซ์ ่งึ กนั และกนั ระดบั ของความขดั แยง้ ทเ่ี กิดข้นึ จะรุนแรงมากหรอื รุนแรงนอ้ ยนนั้ ข้นึ อยู่กบั การจดั การ 28 และการประสานผลประโยชนข์ องกลมุ่ ท่คี รอบงา และเสนอความคิดว่า ความขดั แยง้ ท่เี กดิ ข้นึ ในสงั คมเป็นผลมาจากความ 29 กดดนั จากภายนอกโดยสงั คมอ่ืน ๆ และความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ ในสงั คมสามารถควบคุมได้ ตามแนวความคิดของดาห์
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 24 1 เรนดอรฟ์ ความขดั แยง้ สามารถทาใหโ้ ครงสรา้ งมกี ารเปล่ยี นแปลงได้ การเปลย่ี นแปลงความรวดเร็ว และขนาดของการ 2 เปลย่ี นแปลงข้นึ อยู่กบั เงอ่ื นไข เชน่ อานาจของกลมุ่ ความกดดนั ของกลมุ่ 3 5. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Lewis A. Coser (ค.ศ. 1965) เป็นนกั สงั คมวทิ ยาชาวอเมริกนั ท่พี ยายาม 4 ช้ใี หเ้ หน็ ว่าความขดั แยง้ เป็นทง้ั ส่งิ ท่เี ป็นประโยชนแ์ ละไมเ่ ป็นประโยชน์ และ ความขดั แยง้ อาจนาไปสู่ความกลมเกลยี วหรือ 5 ความแตกแยกได้ เชน่ ความขดั แยง้ กบั กลุ่มภายนอกจะนาไปสูค่ วามกลมเกลยี วภายในท่แี น่นแฟ้ นของคนในกลุม่ Lewis 6 A. Coser ไดแ้ สดงความเหน็ เก่ียวกบั ความขดั แยง้ โดยบูรณาการทางสงั คม (social integration) วา่ ความขดั แยง้ นาไปสู่ 7 ความกลมเกลยี ว 8 6. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคดิ ของ Max Weber (ค.ศ. 1968) ยอมรบั วา่ ความขดั แยง้ ในผลประโยชนร์ ะหวา่ ง 9 บคุ คลพบไดท้ กุ หนทุกแห่งในสงั คม ความขดั แยง้ เกดิ จากการกระทาของบุคคลท่ตี อ้ งการท่จี ะบรรลุความปรารถนาของตน 10 เกิดปะทะกบั การต่อตา้ นของอีกฝ่ ายหน่ึง หรือ หลาย ๆ กลุม่ และความขดั แยง้ เป็นผลมาจากการมที รพั ยากรหรือรางวลั 11 อย่างจากดั Max Weber ยงั ถอื ว่า \"การแขง่ ขนั \" (Competition) เป็นรูปแบบหน่งึ ของความขดั แยง้ เพราะในการแขง่ ขนั นน้ั 12 ถงึ จะมกี ฎหรือกติกาท่ที กุ ฝ่ายยอมรบั แต่การแพ-้ ชนะ กจ็ ะเป็นชนวนสาคญั ทน่ี ามาซ่งึ ความขดั แยง้ ดว้ ย 13 7. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Georg Simmel (ค.ศ. 1968) เป็นนกั สงั คมวทิ ยาชาวเยอรมนั ทช่ี ้ใี หเ้หน็ 14 ว่าบุคคลใดๆ หรือองคก์ ารไมส่ ามารถจะหนีพน้ ความขดั แยง้ ไปไดเ้ พราะ \"ความขดั แยง้ \" เป็นปฏิสมั พนั ธร์ ูปแบบหน่ึง 15 (Sociation) ท่เี กิดข้นึ ในกลุ่มท่สี มาชกิ มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกนั ซง่ึ เป็นผลมาจากความรูส้ ึกเขา้ ขา้ งตนเองมากกว่าเขา้ ขา้ ง 16 ฝ่ ายอ่ืน โดย Georg Simmel ยงั เช่อื ว่า ความขดั แยง้ ระหว่างสองฝ่ ายแสดงใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะความสมั พนั ธ์และความ 17 สามคั คีกลมเกลียวภายในกลุม่ ขณะเดียวกนั ความกลมเกลยี วภายในกลุ่มก็เป็นอีกสาเหตุทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ ได้ 18 เช่นเดยี วกนั ซง่ึ ความขดั แยง้ นามาสูก่ ารเป่ียนแปลงทางสงั คม 19 8. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Fredrich Hegel (ค.ศ. 1987) เป็นนกั ทฤษฎีความขดั แยง้ ชาวเยอรมนั 20 โดยมองวา่ ความขดั แยง้ จะเกิดข้นึ กต็ ่อเมอ่ื ผูป้ กครองรฐั บางรฐั พยายามทจ่ี ะครอบครองและควบคุมรฐั อ่ืน ๆ ไว้ จงึ เป็นเหตุ 21 ใหเ้กดิ สงครามระหวา่ งรฐั ข้นึ ถอื เป็นความขดั แยง้ ทางประวตั ศิ าสตร์ (Historical Conflict) 22 9. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Ludwig Feuerbach (ค.ศ. 1987) เป็นอีกหน่ึงนกั ทฤษฎคี วามขดั แยง้ 23 ของชาวเยอรมนั ทม่ี องวา่ มนุษยแ์ ต่ละคนต่างมคี วามเหน็ แก่ตวั และมคี วามพยายามท่จี ะครอบครองวตั ถตุ ่าง ๆ ไวใ้ หไ้ ดม้ าก 24 ท่สี ุด และเม่อื มนุษยไ์ ม่สามารถท่ีจะครองครองวตั ถุไดม้ ากดงั ท่ีตงั้ ใจ ความขดั แยง้ จากการแก่งแย่งแข่งขนั จึงเกิดข้นึ 25 ปรากฏการณน์ ้จี งึ เรยี กว่า \"ความขดั แยง้ ทางวตั ถ\"ุ (Material Dialectic) 26 10. ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ตามแนวคิดของ Immanuel Kant (ค.ศ. 2001) นกั ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ชาวเยอรมนั ทไ่ี ด้ 27 เสนอทฤษฎคี วามขดั แยง้ ทม่ี สี าระสาคญั คอื ความขดั แยง้ (Dialectic) ทเ่ี ร่ิมจาก \"ขอ้ เสนอเบ้อื งตน้ \" (Thesis) แลว้ มขี อ้ 28 ขดั แยง้ (Antithesis) จงึ ทาใหเ้กดิ ความขดั แยง้ กนั ข้นึ มนุษยแ์ ตล่ ะคนจะมคี วามขดั แยง้ ธรรมชาติ (Natural Dialectics) 29 คอื ความขดั แยง้ ในจิตใจ และมนุษยท์ กุ คนมคี วามเหน็ แก่ตวั ละเมดิ และเอารดั เอาเปรยี บอยูเ่ สมอซง่ึ ถอื เป็นมลู เหตุสาคญั 30 ของปญั หาความขดั แยง้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 25 1 ตารางท่ี 12.2 สรุปทฤษฎเี ก่ยี วกบั ความขดั แยง้ 2 ทฤษฎเี กย่ี วกบั ความขดั แยง้ แนวคดิ ท่สี าคญั ของทฤษฎี 1. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม เป็นวิธีการท่ี Socrates ใชส้ อนศิษยแ์ ละผูค้ นในสมยั นนั้ โดยถือเป็นความขดั แยง้ แนวคิดของ Socrates ในทางความรูข้ องบุคคลสองฝ่ าย คือ ผูถ้ ามมกั จะตอ้ งถามจนผูต้ อบไมส่ ามารถโตแ้ ยง้ ไดแ้ ละยอมจานน ผูถ้ ามจึงจะบอกคาตอบท่ีถูกตอ้ งให้ ความขดั แยง้ แบบน้ีเรียกว่า \"ความขดั แยง้ แบบสมเหตสุ มผลมากกวา่ เดมิ ” 2. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม เชอ่ื วา่ ความขดั แยง้ และการเปลย่ี นแปลงเป็นของคู่กนั ความขดั แยง้ เป็นกฎพ้นื ฐานของ แนวคิดของ Karl Mark ชวี ติ เป็นสภาพกรณ์ปกติของสงั คม และความขดั แยง้ เป็นเคร่ืองมอื ในการเปลย่ี นแปลง หรอื พฒั นาสงั คม และเช่อื วา่ จดุ เร่มิ ตน้ ของความขดั แยง้ มาจากเศรษฐกิจ และจะนาไปสู่ ความขดั แยง้ ทางสงั คมและทางการเมอื ง 3. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม เชอ่ื ว่าความขดั แยง้ ในสงั คมทงั้ ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลกบั บุคคล หรอื ระหว่างกลุ่ม แนวคิดของ Gaetano Mosca กบั กลุ่ม เป็นเร่ืองปกติท่ีเกิดโดยธรรมชาติและไม่สามารถหลกี เล่ยี งได้ และยงั เป็น สาเหตุในการสรา้ งความกา้ วหนา้ ความเป็นระเบยี บของสงั คม และเสรภี าพทางการเมอื ง และเชอ่ื วา่ ความขดั แยง้ ท่สี าคญั ท่สี ดุ ในสงั คม คือ ความขดั แยง้ เก่ียวกบั อานาจระหว่าง บุคคล หรอื ระหวา่ งกลมุ่ เพ่อื ความตอ้ งการเป็นสมาชกิ ของกลมุ่ ทม่ี อี านาจ 4. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม เสนอว่า ความไมเ่ ทา่ เทียมกนั ในสงั คมนน้ั เกิดจากความไมเ่ ท่าเทยี มกนั ในเร่ืองของสทิ ธิ แนวคิดของ Ralf Dahrendorf อานาจ (Authority) ของกลมุ่ ท่เี กิดข้นึ ภายในสงั คม คือ กลุม่ ท่มี สี ทิ ธิอานาจกบั กลุม่ ท่ี ไม่มีสิทธิอานาจ และความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ ในสงั คมเป็นผลมาจากความกดดนั จาก ภายนอกโดยสงั คมอ่นื ๆ และความขดั แยง้ ท่เี กิดข้นึ ในสงั คมสามารถควบคุมได้ ความ ขดั แยง้ สามารถทาใหโ้ ครงสรา้ งมกี ารเปลย่ี นแปลงได้ ความรวดเร็ว และขนาดของการ เปลย่ี นแปลงข้นึ อยูก่ บั เงอ่ื นไข เช่น อานาจของกลมุ่ ความกดดนั ของกลมุ่ 5. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม มองว่าความขดั แยง้ เป็นทงั้ ส่งิ ท่เี ป็นประโยชนแ์ ละไม่เป็นประโยชน์ และ ความขดั แยง้ แนวคดิ ของ Lewis A. Coser อาจนาไปสูค่ วามกลมเกลยี วหรือความแตกแยกได้ เช่น ความขดั แยง้ กบั กลมุ่ ภายนอก จะนาไปสู่ความกลมเกลียวภายในท่ีแน่นแฟ้ นของคนในกลุ่ม และไดแ้ สดงความเห็น เก่ียวกบั ความขดั แยง้ โดยบูรณาการทางสงั คม (social integration) วา่ ความขดั แยง้ นาไปสู่ความกลมเกลยี ว 3 4 5
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 26 1 ตารางท่ี 12.2 สรุปทฤษฎเี ก่ยี วกบั ความขดั แยง้ (ต่อ) 2 ทฤษฎเี ก่ยี วกบั ความขดั แยง้ แนวคดิ ท่สี าคญั ของทฤษฎี 6. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม มองวา่ ความขดั แยง้ ในผลประโยชนร์ ะหว่างบุคคลพบไดท้ ุกหนทุกแห่งในสงั คม ความ แนวคดิ ของ Max Weber ขดั แยง้ เกิดจากการกระทาของบุคคลท่ตี อ้ งการท่จี ะบรรลุความปรารถนาของตนเกิด ปะทะกบั การต่อตา้ นของอีกฝ่ายหน่ึง หรือ หลาย ๆ กลุม่ และความขดั แยง้ เป็นผลมา จากการมที รพั ยากรหรือรางวลั อย่างจากดั และถอื วา่ การแขง่ ขนั เป็นชนวนสาคญั ท่นี ามา ซ่งึ ความขดั แยง้ ดว้ ย 7. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม มองว่าบุคคลใดๆ หรือองคก์ ารไม่สามารถจะหนีพน้ ความขดั แยง้ ไปไดเ้ พราะ \"ความ แนวคิดของ Georg Simmel ขดั แยง้ \" เป็ นปฏิสมั พันธ์รูปแบบหน่ึง (Sociation) ท่ีเกิดข้ึนในกลุ่มท่ีสมาชิกมี ความสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกนั และเช่ือว่า ความขดั แยง้ ระหว่างสองฝ่ ายแสดงใหเ้ ห็นถึง ลกั ษณะความสมั พนั ธแ์ ละความสามคั คีกลมเกลยี วภายในกลมุ่ ขณะเดยี วกนั ความกลม เกลยี วภายในกลมุ่ กเ็ ป็นอกี สาเหตทุ าใหเ้กดิ ความขดั แยง้ ไดเ้ช่นเดยี วกนั ซง่ึ ความขดั แยง้ นามาสูก่ ารเป่ียนแปลงทางสงั คม 8. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม มองว่าความขดั แยง้ จะเกดิ ข้นึ กต็ ่อเมอ่ื ผปู ้ กครองรฐั บางรฐั พยายามทจ่ี ะครอบครองและ แนวคดิ ของ Fredrich Hegel ควบคุมรฐั อ่ืน ๆ ไว้ จงึ เป็นเหตุใหเ้ กิดสงครามระหว่างรฐั ข้นึ ถือเป็นความขดั แยง้ ทาง ประวตั ศิ าสตร์ 9. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม มองว่ามนุษยแ์ ต่ละคนต่างมคี วามเหน็ แก่ตวั และมคี วามพยายามท่จี ะครอบครองวตั ถุ แ น ว คิ ด ข อ ง Ludwig ต่าง ๆ ไวใ้ หไ้ ดม้ ากท่สี ุด และเมอ่ื มนุษยไ์ มส่ ามารถท่จี ะครองครองวตั ถไุ ดม้ ากดงั ทต่ี ง้ั ใจ Feuerbach ความขดั แยง้ จากการแก่งแย่งแข่งขนั จึงเกิดข้นึ ปรากฏการณ์น้ีจึงเรียกว่า ความขดั แยง้ ทางวตั ถุ 10. ทฤษฎีความขดั แยง้ ตาม มองว่าความขดั แยง้ ท่เี ร่ิมจาก ขอ้ เสนอเบ้อื งตน้ แลว้ มขี อ้ ขดั แยง้ จึงทาใหเ้กิดความ แนวคดิ ของ Immanuel Kant ขดั แยง้ กนั ข้นึ มนุษยแ์ ต่ละคนจะมคี วามขดั แยง้ ธรรมชาติ คือ ความขดั แยง้ ในจิตใจ และมนุษยท์ ุกคนมคี วามเหน็ แก่ตวั ละเมดิ และเอารดั เอาเปรียบอยูเ่ สมอซ่งึ ถอื เป็น มลู เหตสุ าคญั ของปญั หาความขดั แยง้ 3 4 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ นน้ั สามารถทจ่ี ะเกิดข้นึ ไดใ้ นหลายลกั ษณะตามทน่ี กั ทฤษฎตี ่าง ๆ กลา่ วมาขา้ งตน้ โดย 5 หลายคนมมี ุมมองว่าความขดั แยง้ เกิดจากการต่อสูก้ นั เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงความรู ้ การมแี นวคิดท่ีจะแก่งแย่งแข่งขนั เพ่ือเขา้ 6 ควบคมุ หรือครอบครองบางสง่ิ บางอยา่ ง โดยมพี ้ืนฐานท่มี าจากความเหน็ แก่ตวั ท่มี อี ยู่ในตวั ตนของมนุษย์ ขณะเดยี วกนั ใน 7 อีกมุมมองหน่ึงกลบั เห็นว่าเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ต่างหากท่เี ป็นชนวนใหผ้ ูค้ นแก่งแย่งแข่งขนั จนเกิดความขดั แยง้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 27 1 ในขณะท่อี กี มมุ มองหน่งึ เหน็ ว่าการความขดั แยง้ เกดิ จากการแสวงหาอานาจเพ่อื จะไดเ้ ขา้ ไปควบคุมหรือครอบครองอย่าง 2 เบด็ เสรจ็ เดด็ ขาด โดยผ่านกระบวนการแขง่ ขนั ต่อสู ้ ด้นิ รน ทง้ั ในระหว่างตวั ตนหรือกลมุ่ กอ้ นท่มี รี ากฐานการปฏสิ มั พนั ธท์ ่ดี ี 3 ต่อกนั อยา่ งไรกต็ ามความสมั พนั ธย์ งั สามารถแปรเปลย่ี นสภาพจากความกลมเกลยี วสู่ความขดั แยง้ หรือจากความขดั แยง้ มงุ่ 4 สู่ความกลมเกลียวสมานฉนั ท์ ทง้ั น้ีทง้ั นน้ั อาจจะกระทาต่อกนั ในลกั ษณะตวั ต่อตวั กลุม่ ต่อกลุ่ม หรือมกี ารจบั มอื กนั ใน 5 ลกั ษณะท่มี ากกว่าพหุภาคีก็เกิดข้นึ ได้ แนวคิดเก่ียวกบั ความขดั แยง้ สามารถแบ่งได้ 3 แนวคิดไดแ้ ก่ แนวคิดแบบดง้ั เดิม 6 แนวคดิ ดา้ นมนุษยส์ มั พนั ธ์ และแนวคิดสมยั ใหม่ 7 8 9 กจิ กรรมท่ี 12.1.3 10 จงอธิบายแนวคดิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง้ แนวคดิ สมยั ใหม่ (Contemporary View) ว่าเป็นอย่างไร 11 12 แนวตอบกจิ กรรมท่ี 12.1.3 13 แนวคิดสมยั ใหม่ มมี มุ มองท่สี นบั สนุนความขดั แยง้ บนรากฐานท่วี ่าองคก์ รท่มี คี วามสามคั คี ความสงบสขุ ความ 14 เงยี บสงบและมคี วามร่วมมอื หากไมย่ อมรบั ปญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ จากความขดั แยง้ การใหค้ วามร่วมมอื กบั องคก์ รจะกลายเป็น 15 ความเฉ่ือยชา อยู่เฉย และไมต่ อบสนองต่อความตอ้ งการเพอ่ื การเปลย่ี นแปลงและการคิดคน้ ใหม่ ๆ ดงั นนั้ แนวความคิด 16 สมยั ใหม่ จงึ สนบั สนุนใหผ้ ูบ้ รหิ าร รกั ษาระดบั ความขดั แยง้ ภายในองคก์ ร ใหอ้ ยู่ในระดบั ตา่ ท่สี ดุ เพยี งพอต่อการสรา้ งสรรค์ 17 องคก์ รใหเ้จริญเตบิ โต 18 19 20 21 22 23 24 25
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 28 1 ตอนท่ี 12.2 2 ความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปล่ยี นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 3 โปรดอ่านหวั เร่ือง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 12.2 แลว้ จงึ ศึกษารายละเอียดต่อไป 4 5 หวั เร่ือง 6 เร่ืองท่ี 12.2.1 สาเหตุของความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 7 เร่ืองท่ี 12.2.2 สถานการณ์การเปลย่ี นแปลงท่ีมผี ลต่อความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 8 เร่ืองท่ี 12.2.3 ความขดั แยง้ พลงั แห่งความสรา้ งสรรคใ์ นการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 9 แนวคดิ 10 1. สาเหตทุ ส่ี าคญั ของความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร มี 5 สาเหตุ ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ท่มี ี 11 สาเหตเุ ก่ยี วกบั ขอ้ มูลและสารสนเทศ ความขดั แยง้ ท่มี สี าเหตุเก่ยี วกบั ผลประโยชนร์ ่วม ความขดั แยง้ ดา้ นพฤติกรรม 12 และความสมั พนั ธ์ ความขดั แยง้ ทม่ี สี าเหตจุ ากความเชอ่ื และค่านิยม และความขดั แยง้ ทางโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี 13 2. สถานการณ์การเปลย่ี นแปลงท่ีมผี ลต่อความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร ไดแ้ ก่ การ 14 เปลย่ี นแปลง กฎ กติกาดา้ นการคา้ และการลงทนุ ของโลก ทศิ ทางการพฒั นาในระดบั โลกมแี นวโนม้ ท่จี ะปรบั ตวั เขา้ สู่ 15 การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื มากข้นึ การเปลย่ี นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละการพฒั นาไปสู่ 16 การเป็นเศรษฐกิจและสงั คมดิจิทลั ภาคการเกษตรยงั คงมคี วามสาคญั และเป็นรากฐานในการพฒั นาเศรษฐกิจและ 17 สงั คมของไทย สินคา้ เกษตรของไทยเป็นท่รี ูจ้ กั และยอมรบั ในตลาดโลก สถานการณ์การผลติ ในภาพรวมของภาค 18 การเกษตร เกษตรกรมจี านวนลดลงอย่างต่อเน่อื ง และการเพ่มิ ข้นึ ของประชากรและโครงสรา้ งประชากร 19 3. เงอ่ื นไขทเ่ี ก่ยี วขอ้ งความขดั แยง้ พลงั แห่งความสรา้ งสรรคใ์ นการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรมี 3 ประการ 20 คอื ปจั จยั สาเร็จแห่งความขดั แยง้ มกี ารเปล่ยี นกระบวนทศั น์ และมหี ลกั การ ทกั ษะ ศกั ยภาพ กลยุทธ์ กลวิธี และ 21 เทคนิคต่าง ๆ ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์ ความขดั แยง้ ต่าง ๆ ท่เี กิดข้นึ หากมกี ารจดั การความขดั แยง้ ท่เี หมาะสม และ 22 ก่อใหเ้กดิ ประโยชนร์ ่วมกนั ของฝ่ายต่าง ๆ แลว้ ยอ่ มนามาซ่งึ การพฒั นา และการอยูร่ ่วมกนั อยา่ งสงบสุข 23 24 วตั ถปุ ระสงค์ 25 เมอ่ื ศึกษาตอนท่ี 12.2 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 26 1. อธิบายสาเหตุของความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตรได้ 27 2. อธิบายสถานการณ์การเปลย่ี นแปลงท่มี ผี ลต่อความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตรได้ 28 3. อธบิ ายความขดั แยง้ พลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคใ์ นการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตรได้ 29
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 29 1 เร่ืองท่ี 12.2.1 2 สาเหตขุ องความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 3 4 5 สาเหตขุ องความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 6 ความขดั แยง้ ระหว่างผูท้ ่มี สี ว่ นไดส้ ่วนเสยี (Stake-holder) อาจเก่ยี วขอ้ งกบั สาเหตขุ องความขดั แยง้ เรอ่ื งใดเร่อื ง 7 หน่งึ หรือมากกว่า สาเหตทุ ส่ี าคญั ของความขดั แยง้ มี 5 สาเหตทุ ส่ี าคญั ดงั ต่อไปน้ี (ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจินดา ขลบิ ทอง, 8 2554, น. 12-23 -12-25) 9 10 11 12 ภาพท่ี 12.5 สาเหตุของความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 13 14 1. ความขดั แยง้ ท่ีมสี าเหตุเกย่ี วกบั ขอ้ มลู และสารสนเทศ (data & Information conflict) ซง่ึ อาจมตี น้ ตอของ 15 ความขดั แยง้ มาจาก สาเหตุทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ (สถาบนั สนั ติศกึ ษา, 2538, น.45) 16 1.1 การขาดขอ้ มลู สารสนเทศ 17 1.2 ความสบั สนเก่ยี วกบั ขอบเขต ของบทบาท หนา้ ท่ี และความรบั ผดิ ชอบ 18 1.3 ความไมเ่ ขา้ ใจซง่ึ กนั และกนั 19 1.4 การตดิ ต่อสอ่ื สารทบ่ี กพร่อง 20 1.5 วธิ ีการท่แี ตกตา่ งกนั ในการการตีความหมาย (meaning) หรอื การ แปลขอ้ มลู 21 1.6 ความแตกต่างกนั ในวธิ ีการประเมนิ (evaluation) ของปจั จยั นาเขา้ (inputs) ประเมนิ กระบวนการ 22 (process evaluation) และประเมนิ ผลได้ (outputs evaluation)
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 30 1 2. ความขดั แยง้ ท่ีมสี าเหตเุ กย่ี วกบั ผลประโยชนร์ ่วม (common benefit conflict) ซ่งึ อาจจะมตี น้ ตอทข่ี ดั แยง้ ใน 2 ดา้ นความคดิ ความสนใจ ความตอ้ งการ ในสาระท่สี าคญั ทเ่ี ป็นมลู เหตสาคญั ในการแยง่ ชงิ ผลประโยชน์ หรอื ทรพั ยากร 3 โดยมสี าเหตุมาจากสาเหตใุ ดสาเหตุหน่งึ หรอื หลายสาเหตุ ไดแ้ ก่ (สถาบนั สนั ตศิ กึ ษา, 2538) 4 2.1 ความคิดในหลกั การ ความสนใจ การรบั รู ้ ความตอ้ งการ ความรูส้ กึ รวมทง้ั อารมณ์ ท่เี กดิ ความ พงึ 5 พอใจทไ่ี ดร้ บั การตอบสนอง ความตอ้ งการหลกั ในผล ประโยชน์ และ ทรพั ยากร 6 2.2 การแข่งขนั ช่วงชิงทรพั ยากรท่มี จี ากดั ในกระบวนการดาเนนิ การทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง หรอื คลา้ ยคลงึ กนั 7 3. ความขดั แยง้ ดา้ นพฤติกรรม และความสมั พนั ธ์ (Behavior & Relationship Conflict) เก่ยี วขอ้ งกบั สาเหตุ 8 ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ 9 3.1 พฤติกรรมทเ่ี ปิ ดเผย (overt behavior) และพฤติกรรมท่ไี มเ่ ปิ ดเผย (covert behavior) 10 โดยเฉพาะพฤติกรรมทางลบ และพฤตกิ รรมทต่ี ่างจากเกณฑม์ าตรฐานในกลมุ่ สงั คมนนั้ ทอ่ี าจจะเกดิ จากการติดต่อส่อื สารท่ี 11 บกพรอ่ ง ไมว่ ่าจะ เป็นการพูด การฟงั การแปลความหมาย และการแสดงออกทางภาษากาย พฤตกิ รรมของมนุษยม์ ี 12 อทิ ธพิ ลมาจากการเรียนรู ้ ความคดิ ทศั นคติ ความเชอ่ื และค่านยิ ม รวมทง้ั วฒั นธรรม สภาพทางเศรษฐกจิ สงั คม ฯลฯ 13 3.2 ความสมั พนั ธ์ (relationship) และปฏสิ มั พนั ธ์ (interaction) ในสงั คมในเร่อื งท่ที าใหเ้กิดความ 14 ขดั แยง้ ไดแ้ ก่ 15 1) การขาดการสรา้ งบรรยากาศของความไวเ้น้อื เชอ่ื ใจระหวา่ งบคุ คลทงั้ ในองคก์ รเดยี วกนั หรอื ต่าง 16 องคก์ ร จึงเกิดผลตามมาในเรอ่ื งของการขาดความไวว้ างใจต่อกนั โดยเฉพาะเมอ่ื เกิดความสงสยั ว่าคนใดคนหน่งึ ของกลมุ่ เอา 17 ใจออกหา่ ง ความสมั พนั ธท์ ม่ี ตี ่อผูน้ นั้ จะเสอ่ื มทรามลงจนกลายเป็นความขดั แยง้ ได้ 18 2) การติดตอ่ ส่อื สาร ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ประเดน็ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 19 (1) สอ่ื ความหมายทผ่ี ดิ (faulty communication) และไมถ่ กู กบั กาลเทศะ เช่น ใชค้ าพูดหรอื 20 แสดงทา่ ทางยวั่ ยุใหผ้ ูอ้ ่นื โกรธหรอื เกิดความราคาญจะโดยตงั้ ใจหรือไมก่ ต็ าม 21 (2) การแปลความหมายของถอ้ ยคาผดิ เพ้ยี นไปต่อลกั ษณะของนา้ เสยี งท่ใี ชใ้ นการสอ่ื สาร ซง่ึ 22 อาจจะเกิดจากการศกึ ษาหรือการฝึกอบรม การเลอื กท่จี ะรบั รู ้ และการขาดขอ้ มลู ทเ่ี ก่ยี วกบั ผอู ้ ่นื อย่างเพยี งพอ 23 (3) มกี ารสอ่ื สารทน่ี อ้ ยหรือมากเกนิ ไปและใชไ้ มถ่ ูกกาลเทศะ รวมทง้ั การเลอื กใชช้ อ่ งทางในการ 24 ส่อื สารท่ไี มเ่ หมาะสม 25 (4) การทข่ี อ้ มลู ถกู ปรุงแต่งหรือถกู บดิ เบอื นเพอ่ื วตั ถปุ ระสงคส์ ว่ นตวั ของบางคน ซ่งึ ขอ้ ใดขอ้ 26 หน่งึ หรอื หลายขอ้ ดงั กลา่ วน้ี ความขดั แยง้ จะค่อย ๆ ก่อตวั ข้นึ ตามลาดบั 27 3) จากอารมณข์ นุ่ เคอื ง (grudges) ของคนท่ตี อ้ งเสยี หนา้ ขณะทอ่ี ยูท่ า่ มกลางสาธารณชน จะรูส้ กึ ว่า 28 ตนเสยี หายอย่างใหญ่หลวง กจ็ ะเกบ็ เร่ืองดงั กลา่ วกลบั มาครุ่นคิด เพอ่ื หาโอกาสและหนทางรอจดั การกบั คนทเ่ี ป็นสาเหตุ 29 4) การเขา้ ใจวา่ มคี นจอ้ งจบั ผดิ ตน (faulty attributions) จงึ พยายามหาเหตทุ ่อี ยูเ่ บ้อื งหลงั 30 พฤติกรรมของผูน้ นั้ วา่ เพราะเหตุใด จึงขดั ขวางผลประโยชนข์ องตน
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 31 1 4. ความขดั แยง้ ท่ีมสี าเหตุจาก ความเช่ือ และคา่ นิยม (belief & values conflict) ความแตกต่างระหว่างบุคคล 2 ทเ่ี ก่ยี วกบั ระบบความเช่อื ค่านยิ ม ท่สี ่งผลต่อคุณลกั ษณะดา้ นบคุ ลกิ ภาพมกั เป็นเหตุใหเ้กิดความขดั แยง้ ไดม้ าก สาหรบั ตวั 3 แปรท่เี ป็นตวั แปรส่วนบุคคล (personal variables) ในองคก์ าร และระหว่างองคก์ าร ความเช่อื มผี ลในการชกั นาพฤตกิ รรม 4 ยง่ิ เป็นศรทั ธามพี ้นื ฐานของความมเี หตผุ ลย่งิ มี อทิ ธพิ ลมากข้นึ ความเช่อื ท่มี เี หตผุ ลของสมองซกี ซา้ ย ทาใหเ้ราเขา้ ใจตรรกะ 5 ของความมเี หตแุ ละผล แต่เราก็ตอ้ งเขา้ ใจในเร่ืองของกาลามาสตู ทต่ี อ้ งไมเ่ ช่อื อะไรจนเกนิ ไป ความเช่อื ของสมองซกี ขวา 6 อาจจะไมต่ อ้ งการแมเ้หตผุ ล รวมทงั้ ขอ้ มลู ไมเ่ พยี งพอ ในการสนบั สนุน แต่มผี ลในการสรา้ งความคดิ นอกกรอบ ความคิด 7 ริเร่ิม ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การสรา้ งจินตนาการทม่ี คี วามเป็นไปไดจ้ ากการแสวงหาโอกาส และเลย่ี งภาวะคุกคาม ซง่ึ เบ้อื งตน้ จะสง่ 8 ผลใหเ้กิดการมองภาพ (perspective) ของอนาคตขา้ งหนา้ ดว้ ยวสิ ยั ทศั น์ ท่เี ป็นบวกดว้ ยการสนบั สนุนของแนวความคิด 9 ท่วี า่ มนษยท์ ุกคนมศี กั ยภาพ จงึ ไมจ่ าเป็นทม่ี เี หตผุ ลวา่ สถานะภาพ ปจั จุบนั เรามี “หนา้ ตกั ” แค่ไหน เพยี งแต่ตอ้ งเขา้ ใจ 10 ถอ่ งแทว้ า่ เราอยูต่ รงไหนในปจั จุบนั มปี ญั หาอะไร โดยปญั หาคอื ชอ่ งว่าง (gap) ระหว่างปจั จบุ นั กบั อนาคต ดว้ ยการคดิ 11 เชงิ กลยุทธ์ (strategic thinking) วา่ เราจะกา้ วไปในทางไหน จะใชว้ ธิ กี าร อนั ชาญฉลาด (กลยทุ ธ)์ อะไรและ ทาอย่างไรจงึ 12 จะบรรลุเป้าหมายทก่ี าหนด เชน่ ตามแนวทาง (approach ) ของ อริยสจั ส่ี : ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค 13 โดยเฉพาะค่านิยมของสงั คม (social values) ทถ่ี อื เป็นทางเลอื กท่เี ป็นบรรทดั ฐานของสงั คม ทม่ี กั จะขดั แยง้ กนั ใน 14 เร่ืองของ เกณฑก์ ารประเมนิ ความคิด และพฤติกรรมท่แี สดงออก แต่ถา้ เราใชป้ ญั ญา ดว้ ยการเอาการรูเ้ หตผุ ลตามความจริง 15 ตามธรรมชาติเป็นพ้นื ฐาน และไดเ้หตผุ ลทเ่ี ป็นความ ตอ้ งการของชวี ติ (ไมใ่ ช่ความตอ้ งการของบุคคลทไ่ี มม่ ที ่สี ้นิ สุด) มี 16 ความมนั่ คงและมนั่ ใจทจ่ี ะเป็นอิสระมากข้นึ เมอ่ื มกี ารศึกษามากข้นึ กส็ ามารถลดอิทธพิ ลของค่านิยมในสงั คมลงไป และ 17 กา้ วเขา้ มาอยูใ่ นความเป็นจริงของธรรมชาตมิ ากข้นึ (ป.อ.ปยุตโต ; พระพรหมคณุ าภรณ,์ 2544, น.143-5) 18 5. ความขดั แยง้ ทางโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี (Structural & Functional Conflict) อาจเก่ยี วขอ้ งกบั ประเดน็ ต่าง ๆ 19 คอื 20 5.1 โครงสรา้ งจากภายในท่เี นน้ ดา้ นอานาจ และ การบงั คบั บญั ชา (power & authority) พ้นื ท่ที าง 21 ภูมศิ าสตร์ รวมทง้ั วฒั นธรรม ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ซง่ึ มกั เก่ยี วขอ้ งกบั ประเดน็ ท่สี าคญั ดา้ นความ เสมอภาค และความยตุ ิธรรม 22 (equity & justice ) ท่มี ปี ญั หา เช่น ในเร่อื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การระดมและจดั สรรทรพั ยากร (allocation & mobilization 23 of resources) ความเป็นเจา้ ของ หรอื วธิ กี ารท่ใี ชต้ อ้ งมมี าตรฐานเดยี ว ไมใ่ ชใ่ ชส้ องมาตรฐาน หรอื มาก กวา่ หรอื ในเรอ่ื งท่ี 24 เก่ยี วกบั วฒั นธรรม โดยเฉพาะในสงั คมท่ยี งั คงมชี นชน้ั ความเทา่ เทยี มและ บทบาท ทด่ี ู เหมอื นจะเทา่ เทยี ม การแสดงออก 25 เก่ยี วกบั ความเสมอภาค และความยุตธิ รรม ฯลฯ ก่อใหเ้กดิ ผลทอ่ี าจจะมรี ะดบั ความรุนแรง ท่แี ตกต่างกนั ใน แต่ละ 26 สถานการณ์ และกฎระเบยี บ 27 ดา้ นโครงสรา้ งนน้ั มผี ลการวจิ ยั พบวา่ ขนาด และความเช่ยี วชาญเฉพาะทางของกลมุ่ เป็นเหตุ 28 หน่งึ ท่ที าใหเ้กิดความขดั แยง้ ข้นึ กลา่ วคอื เมอ่ื กลมุ่ มขี นาดใหญ่ และมคี วามเช่ยี วชาญเฉพาะทางมากข้นึ ยง่ิ มโี อกาสขดั แยง้ 29 มากข้นึ ส่วนอายุของการทางานกบั ความขดั แยง้ มกั ผกผนั กนั กลา่ วคือ คนหนุ่มสาวท่มี อี ายุการทางานนอ้ ยมแี นวโนม้ ทจ่ี ะ 30 ขดั แยง้ มากและลาออกจากงานสูง (Conflict and Negotiation, 2010)
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 32 1 ผูน้ าแบบท่มี งุ่ การควบคุมและสอดสอ่ งการทางานของผูอ้ ่นื อยา่ งใกลช้ ดิ มแี นวโนม้ เพม่ิ ความ 2 ขดั แยง้ ไดม้ ากข้นึ ผลงานวจิ ยั ยงั พบว่าการเขา้ มสี ่วนร่วม(participation) มคี วามสมั พนั ธก์ บั การมคี วามขดั แยง้ เพราะการมี 3 สว่ นร่วมกระตนุ้ ใหเ้กิดความแตกตา่ งกนั มากข้นึ ระบบการใหค้ วามดคี วามชอบเป็นเหตสุ าคญั ของการขดั แยง้ เพราะผูไ้ ดร้ บั 4 พเิ ศษตอ้ ง แขง่ ขนั ย้อื แย่งจากส่วนทผ่ี ูอ้ ่นื คาดหวงั เชน่ กนั นอกจากน้กี ารทก่ี ลมุ่ จาเป็นตอ้ งอาศยั พง่ึ พาจากกลมุ่ อ่นื จึงจะทาให้ 5 งานของตนสาเรจ็ และผลงานท่สี าเรจ็ จะกลบั เป็นสาเหตหุ น่งึ ของความขดั แยง้ (Conflict and Negotiation, 24 มยิ .2010) 6 5.2 โครงสรา้ งจากภายนอกท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ ท่สี าคญั ในเร่ืองของโอกาส และภาวะคุกคาม ความไม่ 7 ชดั เจนเรอ่ื งหนา้ ท่ีงานรบั ผิดชอบและการตดั สนิ ใจ (Ambiguity over responsibility and ambiguity over 8 jurisdiction) ทงั้ น้ี ในบางองคก์ าร การแบง่ งานรบั ผดิ ชอบใหแ้ ต่กลมุ่ หรอื แผนกยงั ขาดความชดั เจนวา่ ใครรบั ผดิ ชอบงาน 9 หรือหนา้ ท่อี ะไร จึงทาใหเ้กดิ การแก่งแยง่ หรือทางตรงกนั ขา้ มอาจเก่ยี งกนั ก็ได้ ซ่งึ ทาใหเ้กิดความขดั แยง้ ข้นึ ปญั หาอยา่ ง 10 เดยี วกนั อาจเกดิ ข้นึ ไดจ้ ากความไมช่ ดั เจนดา้ นบทบาทในการตดั สนิ ใจ 11 จากสาเหตทุ ง้ั หมดขา้ งตน้ น้ี ไดก้ าหนดและเรยี งตามลาดบั ตามสาเหตคุ วาม ขดั แยง้ ท่ี สามารถจะแกไ้ ขจากระดบั 12 ท่มี คี วามงา่ ยกวา่ และเกิดผลมากกวา่ ในการสรา้ งความร่วมมอื ร่วมใจ ในการกาจดั ความขดั แยง้ ไป ยงั ประเภทท่มี ี ความ 13 ยุง่ ยากสลบั ซบั ซอ้ นและเกิดผลในการแกไ้ ข ความขดั แยง้ ท่อี าจ นอ้ ยกวา่ ตามลาดบั ของสาเหตุ สาคญั ของความขดั แยง้ 14 กลา่ วโดยสรุป สาเหตุท่สี าคญั ของความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร มี 5 สาเหตทุ ่สี าคญั ไดแ้ ก่ 15 ความขดั แยง้ ทม่ี สี าเหตเุ ก่ยี วกบั ขอ้ มลู และสารสนเทศ ความขดั แยง้ ทม่ี สี าเหตุเก่ยี วกบั ผลประโยชนร์ ่วม ความขดั แยง้ ดา้ น 16 พฤตกิ รรม และความสมั พนั ธ์ ความขดั แยง้ ท่มี สี าเหตจุ ากความเช่อื และค่านิยม และความขดั แยง้ ทางโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี 17 18 กจิ กรรมท่ี 12.2.1 19 1. จงอธิบายสาเหตขุ องความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 20 21 แนวการตอบกจิ กรรมท่ี 12.2.1 22 สาเหตุทส่ี าคญั ของความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร มี 5 สาเหตุท่สี าคญั 23 1) ความขดั แยง้ ทม่ี สี าเหตุเก่ยี วกบั ขอ้ มลู และสารสนเทศ 24 2) ความขดั แยง้ ทม่ี สี าเหตุเก่ยี วกบั ผลประโยชนร์ ่วม 25 3) ความขดั แยง้ ดา้ นพฤติกรรม และความสมั พนั ธ์ 26 4) ความขดั แยง้ ทม่ี สี าเหตจุ าก ความเชอ่ื และค่านยิ ม 27 5) ความขดั แยง้ ทางโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี 28 29
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 33 1 เร่ืองท่ี 12.2.2 2 สถานการณก์ ารเปล่ยี นแปลงท่ีมีผลต่อความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการ 3 เกษตร 4 5 สถานการณ์การเปล่ยี นแปลงท่มี ีผลต่อความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ การกษตร 6 แผนยุทธศาสตรก์ รมส่งเสรมิ การเกษตร พ.ศ. 2560-2564 (กรมส่งเสรมิ การเกษตร, 2559, น. 1-3) ไดว้ เิ คราะห์ 7 สถานการณ์ทส่ี ง่ ผลกระทบต่อการส่งเสรมิ การกษตรท่สี าคญั โดยในปจั จบุ นั สถานการณต์ า่ ง ๆ ทง้ั ทางดา้ นเศรษฐกจิ 8 สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม และเทคโนโลยี มกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ซ่งึ การเปลย่ี นแปลงเหลา่ น้สี ่งผลกระทบต่อภาค 9 การเกษตร ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม และเป็นทง้ั โอกาสและความทา้ ทายในการพฒั นาภาคการเกษตร สถานการณก์ าร 10 เปลย่ี นแปลงท่สี าคญั ท่นี ามากาหนดกรอบทศิ ทางของแผนยุทธศาสตร์ กรมส่งเสรมิ การเกษตร พ.ศ. 2560-2564 มดี งั น้ี 11 12 13 14 ภาพท่ี 12.6 สถานการณก์ ารเปลย่ี นแปลงทม่ี ผี ลต่อความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ การกษตร 15 16 1. การเปล่ยี นแปลง กฎ กติกาดา้ นการคา้ และการลงทนุ ของโลก ทาใหป้ ระเทศต่าง ๆ จาเป็นตอ้ งปรบั บทบาทและ 17 พฒั นาขดี ความสามารถในการผลติ การแขง่ ขนั ทางการคา้ จะมคี วามรุนแรง และมกี ารใชม้ าตรการกีดกนั ทางการคา้ ท่ไี มใ่ ช่
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 34 1 ภาษี มากข้นึ (Non-Tariff Barriers : NTB) ดงั นนั้ เกษตรกรและผูป้ ระกอบการ ดา้ นการเกษตรตอ้ งยกระดบั การผลติ ใหไ้ ด้ 2 มาตรฐานเพอ่ื ใหส้ ามารถแขง่ ขนั ได้ ประกอบกบั การรวมกลมุ่ เศรษฐกจิ ในภูมภิ าคนาไปสู่ความเช่อื มโยงทกุ ระบบ และศูนย์ 3 รวมอานาจทางเศรษฐกจิ โลกเคลอ่ื นยา้ ยมาสูเ่ อเชยี จะทาใหป้ ระชาคมอาเซยี น (ASEAN Community) มบี ทบาทและ 4 ความสาคญั มากข้นึ การเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วนอกจากนามาซ่งึ ความขดั แยง้ ในการแขง่ ขนั ทางการคา้ แลว้ ยงั เป็นสว่ นกระตุน้ 5 และผลกั ดนั ใหเ้กิดการพฒั นาการผลติ และผลติ ภณั ฑใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของตลาดและผูบ้ รโิ ภค โดยอาจจะ 6 ก่อใหเ้กดิ ความขดั แยง้ ในระดบั ตา่ ง ๆ ไดเ้ชน่ กนั เชน่ ความขดั แยง้ ในระหว่างองคก์ าร (Inter-organization conflict) ท่ี 7 เกิดข้นึ ระหวา่ งองคก์ ารกบั องคก์ ารทม่ี ผี ลประโยชนข์ ดั กนั หรอื ความขดั แยง้ ทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศ โดยเฉพาะอยา่ ง 8 ยง่ิ การแขง่ ขนั กนั ทางธุรกจิ ทม่ี คี วามรุนแรงมากข้นึ ตามลาดบั ซง่ึ อาจนามาซ่งึ ความขดั แยง้ ทางดา้ นสงั คมและดา้ นการเมอื ง 9 ตามมา เน่อื งจากแต่ละองคห์ รอื ประเทศต่าง ๆ พยายามคิดหากลยุทธต์ า่ งๆ มาใชใ้ นการแขง่ ขนั เพอ่ื แย่งชงิ ความไดเ้ปรยี บ 10 ซ่งึ วธิ ีการตา่ งๆ ทอ่ี งคก์ ารหรอื ประเทศตา่ ง ๆ นามาใชน้ นั้ อาจเป็นวธิ กี ารทส่ี รา้ งสรรคเ์ พอ่ื การพฒั นา หรือทาลายลา้ ง ซ่งึ กนั 11 และกนั เพอ่ื ความอยู่รอด เหลา่ น้ลี ว้ นนามาซ่งึ สาเหตุของความขดั แยง้ ระหวา่ งองคก์ ารในภาคการเกษตรและภาคอ่นื ๆ ได้ 12 2. ทศิ ทางการพฒั นาในระดบั โลกมแี นวโนม้ ทจ่ี ะปรบั ตวั เขา้ สูก่ ารพฒั นาอย่างยงั่ ยนื มากข้นึ สอดคลอ้ งกบั 13 เป้าหมายการพฒั นาทย่ี งั่ ยนื ของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDG) ซ่งึ ไดเ้ชอ่ื มโยงการพฒั นาเชงิ 14 เศรษฐกิจ สงั คม และส่งิ แวดลอ้ มเขา้ ดว้ ยกนั สถานการณด์ งั กลา่ วเป็นทงั้ โอกาสและความทา้ ทายของการพฒั นาภาค 15 การเกษตรของไทย การเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วนอกจากนามาซง่ึ ความขดั แยง้ ในระดบั ต่าง ๆ ได้ เช่น ความขดั แยง้ ภายใน 16 บุคคล (Intrapersonal conflict) ตวั อย่างเช่น เกษตรกรเกิดความขดั แยง้ ข้นึ ภายในจิตใจของตนเอง โดยเกิดมาจาก 17 ความคดิ วา่ ตอ้ งการผลติ เกษตรอินทรยี ต์ ามกระแสความตอ้ งการของตลาด แต่ยงั มคี วามเช่ือว่าการไมใ่ ชป้ ๋ยุ เคมแี ละสารเคมี 18 ป้องกนั กาจดั ศตั รูพชื จะทาใหผ้ ลผลติ มปี รมิ าณและคณุ ภาพลดลง หรืออาจเป็นความขดั แยง้ ท่เี กิดข้นึ เมอ่ื เกษตรกรมคี วามไม่ 19 แน่ใจวา่ หากตนตอ้ งทาเกษตรตามมาตรฐานการปฏบิ ตั ทิ างการเกษตรท่ดี ี (Good Agricultural Practice) ตนจะปฏบิ ตั ิ 20 ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ ซง่ึ ทาใหต้ ดั สนิ ใจลาบากวา่ จะเลอื กหรอื ไมเ่ ลอื กทา ซง่ึ ความขดั แยง้ ภายในบคุ คล 21 3. การเปล่ยี นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ สง่ ผลใหเ้กิดภยั ธรรมชาติท่มี คี วามรุนแรงมากข้นึ ทง้ั ปญั หาภยั แลง้ 22 อุทกภยั โรคและแมลงศตั รูพชื ระบาด และความแปรปรวนของฤดูกาลสง่ ผลกระทบต่อการผลติ ทางการเกษตร นอกจากน้ี 23 ความกงั วลเก่ยี วกบั ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ทาใหผ้ ูบ้ ริโภคตระหนกั ถงึ ความจาเป็นท่จี ะตอ้ งปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมไปสกู่ ารบรโิ ภค 24 สนิ คา้ ทเ่ี ป็นมติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ มมากข้นึ จงึ เป็นโอกาสในการขยายการผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารท่เี ป็นมติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ ม (Green 25 Product) เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของผูบ้ ริโภค นอกจากน้ี ยงั เป็นโอกาสในการผลกั ดนั การผลติ ตามระบบเกษตรกรรม 26 ยงั่ ยนื ซง่ึ จะชว่ ยแกไ้ ขปญั หาส่งิ แวดลอ้ มในระยะยาว โดยการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วโดยอาจนามาซง่ึ ความขดั แยง้ ในระดบั 27 ต่างๆ เชน่ ความขดั แยง้ ระดบั บคุ คลทบ่ี คุ คลตอ้ งเผชญิ หรอื จาเป็นตอ้ งพบทงั้ สง่ิ ทพ่ี อใจและไมพ่ อใจอยูร่ ่วมกนั ทงั้ สองอยา่ ง 28 ในเวลาเดยี วกนั (Approach-avoidance conflict) โดยไมม่ ที างเลอื ก ตวั อยา่ งเชน่ เกษตรกรสนใจทาการผลติ ตามระบบ 29 เกษตรกรรมยงั่ ยนื ตอ้ งการลดการใชส้ ารเคมปี ้องกนั และกาจดั ศตั รูพชื แต่มโี รคและแมลงศตั รูพชื ระบาดเกิดข้นึ ทาใหเ้กดิ 30 ความขดั แยง้ ภายในตวั บคุ คลตาม เป็นตน้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 35 1 4. ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละการพฒั นาไปสูก่ ารเป็ นเศรษฐกจิ และสงั คมดิจทิ ลั ทาใหเ้กดิ ยุคอินเทอรเ์ นต็ 2 ในทกุ สง่ิ ทุกอยา่ ง (Internet of Things) เกษตรกรสามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และองคค์ วามรูไ้ ดอ้ ยา่ งไรข้ ดี จากดั เปิดโอกาสใน 3 การผลติ และขายสนิ คา้ เชงิ สรา้ งสรรคท์ ่มี มี ลู ค่าสูง เกษตรกรในอนาคตจะเป็นผูป้ ระกอบการ ทม่ี ที กั ษะสูงและมแี นวคดิ เชงิ 4 สรา้ งสรรค์ ดงั นนั้ รูปแบบและวธิ ีการทางานส่งเสริมการเกษตรจะตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นใหส้ อดคลอ้ งกบั ทศิ ทางดงั กลา่ ว 5 รวมทงั้ สอดคลอ้ งกบั แนวทางขบั เคลอ่ื นภาคการเกษตรยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจนามาซง่ึ ความ 6 ขดั แยง้ จากขอ้ มลู (Data Conflict) เชน่ เกษตรกรขาดขอ้ มลู หรอื ไดร้ บั ขอ้ มลู ไมต่ รงกนั การสอ่ื สารบกพรอ่ ง ความแตกต่าง 7 ของวธิ กี ารแปรผลขอ้ มลู และความแตกต่างในการรบั รูข้ อ้ มลู อนั เน่อื งมาจากทกั ษะทางเทคโนโลยที ่ไี มเ่ ทา่ กนั ของเกษตรกร 8 5. ภาคการเกษตรยงั คงมคี วามสาคญั และเป็ นรากฐานในการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของไทย เป็นแหลง่ 9 รายไดห้ ลกั ของคนสว่ นใหญ่ เป็นฐานในการสรา้ งมลู ค่าเพ่มิ ของภาคอุตสาหกรรมและภาคบรกิ าร โดยเฉพาะบริการดา้ น การ 10 ท่องเทย่ี วเชงิ เกษตรซง่ึ ยงั คงมศี กั ยภาพในการพฒั นาและการเกษตรยงั เป็น วถิ ชี วี ติ ของคนไทย นอกจากน้อี กี หน่งึ บทบาทท่ี 11 สาคญั ของภาคการเกษตร คอื เป็นแหลง่ รองรบั แรงงานจากภาคการผลติ อ่นื ๆ ในภาวะวกิ ฤตเศรษฐกจิ โดยการ 12 เปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจนามาซง่ึ ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ และความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร อนั เน่อื งมาความขดั แยง้ จาก 13 ผลประโยชน์ (Interest Conflict) เชน่ มกี ารแย่งชงิ ทรพั ยากรทม่ี อี ยูอ่ ย่างจากดั ในระหว่างภาคการเกษตรและ 14 ภาคอตุ สาหกรรมและบรกิ าร เช่น แหลง่ นา้ พ้นื ทท่ี าการเกษตร เป็นตน้ 15 6. สนิ คา้ เกษตรของไทยเป็ นท่ีรูจ้ กั และยอมรบั ในตลาดโลก ทาใหป้ ระเทศไทยเป็ นผูส้ ง่ ออกสาคญั ของสนิ คา้ 16 เกษตรหลายชนิด แต่ยงั คงมปี ญั หาในเร่ืองคุณภาพของสนิ คา้ ทย่ี งั ไมไ่ ดม้ าตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภยั ซ่งึ 17 นอกจาก จะทาใหส้ ูญเสยี สว่ นแบ่งทางการตลาดแลว้ ยงั สง่ ผลกระทบต่อภาพลกั ษณ์ สนิ คา้ ไทยในภาพรวม นอกจากน้กี ารใช้ 18 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมเพอ่ื สรา้ ง มลู ค่าเพ่มิ ยงั มนี อ้ ย โดยการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจนามาซง่ึ ความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คล 19 (Interpersonal conflict) เป็นความขดั แยง้ น้เี กดิ จากความแตกต่างกนั ในดา้ นความคดิ ทศั นคติ เช่น เกษตรกรบางรายทา 20 การผลติ โดยไมค่ านงึ ถงึ ความปลอดภยั ของผูบ้ รโิ ภค หรอื สมาชกิ กลมุ่ ทท่ี าการเกษตรแบบมพี นั ธะสญั ญา (Contract 21 farming) เพ่อื สง่ ผลผลติ ตามมาตรฐาน ขอ้ ตกลงในสญั ญาไปจาหน่าย แต่มสี มาชกิ กลมุ่ บางรายไมไ่ ดท้ าการทาการผลติ ตาม 22 ขอ้ ตกลง เมอ่ื มกี ารตรวจสอบคณุ ภาพสนิ คา้ แลว้ ไมไ่ ดม้ าตรฐานทาใหม้ กี ารปฏเิ สธสนิ คา้ ของกลมุ่ ทงั้ หมด เป็นตน้ 23 7. สถานการณ์การผลติ ในภาพรวมของภาคการเกษตร ผลติ ภาพการผลติ ยงั อยู่ในระดบั ตา่ การใชอ้ งคค์ วามรู ้ 24 เทคโนโลยนี วตั กรรมและการใชป้ ระโยชนจ์ ากงานวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาการผลติ ยงั มนี อ้ ย มจี ุดอ่อนของการบรหิ ารจดั การระบบนา้ 25 มกี ารพง่ึ พาปจั จยั การผลติ จากต่างประเทศทาใหต้ น้ ทุนการผลติ สูง ทรพั ยากรธรรมชาตเิ สอ่ื มโทรม มกี ารปลูกพชื ในพ้นื ท่ไี ม่ 26 เหมาะสม พ้นื ทท่ี าการเกษตรลดลงเน่อื งจากการปรบั เปลย่ี นไปใชป้ ระโยชนด์ า้ นอ่นื ซง่ึ รวมถงึ การเติบโตและขยายตวั ของ 27 เมอื ง (Urbanization) อยา่ งไรก็ตาม สภาพทางภมู ศิ าสตรท์ ่เี หมาะสมสาหรบั การผลติ ทางการเกษตร ความกา้ วหนา้ ทาง 28 เทคโนโลยกี ารผลติ และการปรบั ปรุงดา้ นการบรหิ ารจดั การทาใหป้ ระเทศไทยสามารถพฒั นาการผลติ ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมาก 29 ข้นึ โดยการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจนามาซง่ึ ความขดั แยง้ ในระดบั ต่าง ๆ ได้ เช่น ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล 30 (Interpersonal conflict) ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ (Group Conflict) และความขดั แยง้ ระดบั องคก์ าร (Organization
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 36 1 conflict) เชน่ ปญั หาความขดั แยง้ ในการใชน้ า้ ในระหวา่ งเกษตรกรดว้ ยกนั เอง และในระหว่างความขดั แยง้ ในการใชน้ า้ ใน 2 ระหว่างภาคการเกษตรและภาคอตุ สาหกรรมและภาคบริการ เป็นตน้ 3 8. เกษตรกรมจี านวนลดลงอยา่ งต่อเน่ือง อนั เป็นผลจากการเคลอ่ื นยา้ ยแรงงาน ออกนอกภาคเกษตร เขา้ สู่ 4 ภาคอตุ สาหกรรมและภาคบรกิ ารซ่งึ ใหค้ ่าตอบแทน สูงกว่าในขณะท่กี ารทางานในภาคเกษตรข้นึ อยูก่ บั ฤดูกาล รายไดไ้ ม่ 5 แน่นอน และขาดสวสั ดกิ ารและการคมุ้ ครองแรงงาน นอกจากน้ี เกษตรกรยงั สูญเสยี ท่ดี นิ ทากนิ และเปลย่ี นสถานะเป็น 6 เกษตรกรรบั จา้ ง (ผูเ้ช่า) มากข้นึ การทเ่ี กษตรกร ไมม่ ที ่ดี นิ ทากนิ เป็นของตนเอง นอกจากจะทาใหข้ าดความมนั่ คงในอาชพี 7 เกษตรกรรมแลว้ ยงั สง่ ผลใหเ้กษตรกรขาดแรงจูงใจในการพฒั นาการผลติ ประกอบกบั คนรุ่นใหมไ่ มส่ นใจอาชพี การเกษตร 8 โดยการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจนามาซ่งึ ความขดั แยง้ ในระดบั ต่างๆ เช่น ความขดั แยง้ ภายในบุคคล (Intrapersonal 9 conflict) ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล (Interpersonal conflict) ได้ ตวั อยา่ งเชน่ ลูกหลานเกษตรกรตอ้ งการกบั มาทาอาชพี 10 เกษตร แต่ครอบครวั ไมเ่ หน็ ดว้ ยเพราะเหน็ วา่ เรยี นมาสูง และมคี วามเชอ่ื วา่ ประกอบอาชพี อ่นื จะสบายกวา่ ประกอบอาชพี 11 เกษตรจงึ ไมส่ นบั สนุน หรอื ขดั ขวางไมใ่ หร้ ูห้ ลานกลบั มาทาการเกษตร เพราะกลวั หรอื อายเพ่อื นบา้ นมองว่าลกู หลานไป 12 ประกอบอาชพี อ่นื ไมร่ อดแลว้ จึงกลบั มาทาการเกษตร เป็นตน้ 13 9. การเพ่มิ ข้ึนของประชากรและโรงสรา้ งประชากร การเพ่มิ ข้นึ ของประชากรจะส่งผลต่อความมนั่ คงทางอาหาร 14 และการเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งประชากรเขา้ สู่สงั คมผูส้ ูงอายุ เป็นทง้ั โอกาสและความทา้ ทายในการพฒั นาภาคการเกษตร 15 โดยเป็นโอกาสในการขยายการผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารสาหรบั ผูส้ ูงอายุ โดยเฉพาะสนิ คา้ เกษตรประเภทอาหาร ขณะเดยี วกนั 16 สดั ส่วนผูส้ ูงอายุท่มี ากข้นึ จะส่งผลใหเ้กิดการขาดแคลนแรงงาน และเพ่มิ ค่าใชจ้ ่าย ดา้ นสวสั ดิการและสาธารณสุข โดยการ 17 เปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจนามาซ่งึ ความขดั แยง้ ในระดบั ต่างๆ เช่น ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ (Group Conflict) ความขดั แยง้ 18 ระดบั องคก์ าร (Organization conflict) เช่น เกษตรกรผูส้ ูงวยั มกั จะทาการเกษตรในรูปแบบทต่ี นเองเคยทามาแต่เดมิ และ 19 ไม่ชอบการเปลย่ี นแปลง ทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ ในความคิดและเป้าหมายในการทางานส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรกบั 20 เจา้ หนา้ ท่ที ่ตี อ้ งการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตรท่ตี อ้ งการส่งเสริมเทคโนโลยกี ารผลติ ใหมๆ่ ท่มี ปี ระสทิ ธิภาพแก่เกษตรกร 21 หรือตอ้ งการส่งเสริมการทาการเกษตรปลอดภยั หรือเกษตรอินทรียแ์ ทนการทาเกษตรเคมแี บบท่เี กษตรกรเคยทามา เป็นตน้ 22 จากสถานการณ์ดงั กลา่ วขา้ งตน้ กรมสง่ เสริมการเกษตรจึงไดก้ าหนดยุทธศาสตรใ์ นการสง่ เสรมิ การเกษตร ซง่ึ เป็น 23 สว่ นสาคญั ทจ่ี ะนาไปสู่การปฏบิ ตั แิ ละทาใหก้ ารดาเนินงานของกรมสง่ เสริมการเกษตรประสบผลสาเรจ็ โดยการดาเนินงาน 24 ภายใตแ้ ผนยุทธศาสตรก์ รมสง่ เสรมิ การเกษตร พ.ศ. 2560 - 2564 ไดก้ าหนดไว้ 3 ยุทธศาสตร์ ซ่งึ มคี วามเชอ่ื มโยง 25 สอดคลอ้ ง และสนบั สนุนกนั และกนั ในการดาเนนิ งานส่งเสรมิ การเกษตร ประกอบดว้ ย 26 1. การพฒั นาเกษตรกร พฒั นาการผลติ สนิ คา้ เกษตร และสง่ เสริมเศรษฐกิจพอเพยี ง 27 2. การขบั เคลอ่ื นการดาเนินงานโดยใชเ้ คร่อื งมอื ส่งเสรมิ การเกษตร 28 3. การเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการสง่ เสริมการเกษตรโดยใช้ Smart Officer และ Smart Office 29 โดยแต่ละยุทธศาสตรจ์ ะมแี นวทางในการดาเนนิ งาน เพอ่ื ใหห้ นว่ ยงานท่เี กย่ี วขอ้ งนาไปใชเ้ป็นแนวทางปฏบิ ตั ิ การมี 30 กรอบยุทธศาสตรแ์ ละแนวทางการดาเนนิ งานทช่ี ดั เจน และเหมาะสมเหลา่ น้จี ะช่วยในการลดความขดั แยง้ ทจ่ี ะเกิดข้นึ ในการ 31 ดาเนนิ การ ทง้ั ความขดั แยง้ ระดบั บุคคล ความขดั แยง้ ระดบั กลมุ่ และความขดั แยง้ ระดบั องคก์ ร
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 37 1 กลา่ วโดยสรุป สถานการณก์ ารเปลย่ี นแปลงทม่ี ผี ลต่อความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร มี 9 2 ประเดน็ ไดแ้ ก่ การเปลย่ี นแปลง กฎ กตกิ าดา้ นการคา้ และการลงทุนของโลก ทศิ ทางการพฒั นาในระดบั โลกมแี นวโนม้ ทจ่ี ะ 3 ปรบั ตวั เขา้ สูก่ ารพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื มากข้นึ การเปลย่ี นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละการพฒั นา 4 ไปสู่การเป็นเศรษฐกจิ และสงั คมดจิ ทิ ลั ภาคการเกษตรยงั คงมคี วามสาคญั และเป็นรากฐานในการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คม 5 ของไทย สนิ คา้ เกษตรของไทยเป็นท่รี ูจ้ กั และยอมรบั ในตลาดโลก สถานการณก์ ารผลติ ในภาพรวมของภาคการเกษตร 6 เกษตรกรมจี านวนลดลงอยา่ งต่อเนอ่ื ง และการเพ่มิ ข้นึ ของประชากรและโครงสรา้ งประชากร 7 8 9 10 กจิ กรรมท่ี 12.2.2 11 จงอธิบายสถานการณ์การเปลย่ี นแปลงท่มี ผี ลต่อความขดั แยง้ ในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร วา่ มอี ะไรบา้ ง 12 13 แนวตอบกจิ กรรมท่ี 12.2.2 14 สถานการณก์ ารเปลย่ี นแปลงท่มี ผี ลต่อความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร มดี งั น้ี 15 1. การเปลย่ี นแปลง กฎ กตกิ าดา้ นการคา้ และการลงทุนของโลก 16 2. ทศิ ทางการพฒั นาในระดบั โลกมแี นวโนม้ ท่จี ะปรบั ตวั เขา้ สูก่ ารพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื มากข้นึ 17 3. การเปลย่ี นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ 18 4. ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละการพฒั นาไปสกู่ ารเป็นเศรษฐกิจและสงั คมดจิ ทิ ลั 19 5. ภาคการเกษตรยงั คงมคี วามสาคญั และเป็นรากฐานในการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของไทย 20 6. สนิ คา้ เกษตรของไทยเป็นทร่ี ูจ้ กั และยอมรบั ในตลาดโลก 21 7. สถานการณ์การผลติ ในภาพรวมของภาคการเกษตร 22 8. เกษตรกรมจี านวนลดลงอยา่ งต่อเนอ่ื ง 23 9. การเพม่ิ ข้นึ ของประชากรและโครงสรา้ งประชากร 24 25 26 27 28 29
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 38 1 เร่ืองท่ี 12.2.3 2 ความขดั แยง้ พลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคใ์ นการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 3 4 การมองความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในทางบวก จะทาเหน็ วา่ ความขดั แยง้ สามารถเป็นพลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคใ์ นการ 5 สง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรได้ โดย ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจินดา ขลบิ ทอง (2554, น.12-26 -12-29) ไดอ้ ธบิ ายไวด้ งั น้ี 6 หวั ใจของกลมุ่ ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ทางสงั คมมปี ระเดน็ วา่ การขดั แยง้ นาไปสู่การเปลย่ี นแปลงท่ดี ขี ้นึ ความขดั แยง้ ต่าง ๆ ท่มี ี 7 อยู่ ไมว่ า่ จะเป็นในระดบั บคุ คลหรอื สงั คม ถอื ไดว้ า่ เป็นปรากฎการณ์ทด่ี ี มปี ระโยชน์ เพราะเป็นการนาไปสู่ภาวะใหมท่ ด่ี กี วา่ 8 เดมิ ความขดั แยง้ มใิ ช่ปรากฎการณ์ปลกี ยอ่ ยในสงั คม ไมว่ า่ จะเป็นสงั คมมนุษยห์ รอื สตั วก์ ต็ าม หากแต่เป็นปรากฎการณท์ ม่ี ี 9 อยู่ทวั่ ไปและเป็นสาเหตสุ าคญั ท่ที าใหม้ กี ารเปลย่ี นแปลงต่าง ๆ เกิดข้นึ ซง่ึ โดยรวมแลว้ มกั นาไปสู่สภาวะใหม่ท่ดี กี วา่ เก่าเสมอ 10 ดว้ ยเหตนุ ้จี งึ ไมค่ วรมองพฤติกรรมขดั แยง้ วา่ เป็นพฤติกรรมท่ไี มด่ ี หรอื เป็นปรากฎการณท์ ่ผี ดิ ปกติแต่อยา่ งใด การนาทฤษฎี 11 ความขดั แยง้ มาใชพ้ ฒั นาองคก์ าร เช่น การนาพนกั งานท่มี คี วามคิดเหน็ หรอื ความตอ้ งการท่แี ตกต่างกนั มาร่วมกนั ระดม 12 ความคดิ เขา้ กลมุ่ ถกเถยี ง เพอ่ื หาขอ้ ยุตทิ ท่ี กุ ฝ่ายพงึ พอใจ เพ่อื นามาใชก้ าหนดข้นึ เป็นกฎระเบยี บ ขอ้ บงั คบั ขององคก์ ารต่อ 13 ใหท้ กุ คนปฏบิ ตั ติ าม 14 อยา่ งไรกต็ าม เมอ่ื มคี วามขดั แยง้ เกิดข้นึ คนส่วนใหญ่จะสรุปโดยอตั โนมตั วิ า่ กาลงั บนั่ ทอนการทางานและสรา้ ง 15 ความเสยี หายตอ่ องคก์ าร บทเรยี นน้ชี ้ใี หเ้หน็ วา่ ความเช่อื ดงั กลา่ วไมถ่ ูกตอ้ งเสมอไป ความขดั แยง้ สามารถทาใหเ้กดิ ผลดา้ น 16 สรา้ งสรรคห์ รอื เกดิ ผลเชงิ ทาลายกไ็ ดถ้ า้ ดาเนินการไมถ่ ูกตอ้ ง ความขดั แยง้ ทม่ี ากหรือนอ้ ยเกนิ ไป ทงั้ สองกรณีจะเป็น 17 อุปสรรคต่อการทางาน แต่ถา้ ความขดั แยง้ ทอ่ี ยูใ่ นระดบั ทพ่ี อเหมาะ (Optimal level) กลา่ วคอื มคี วามขดั แยง้ แต่ไมถ่ งึ ขน้ั 18 ทาใหเ้กิดการแตกแยกจะเป็นส่งิ ท่ดี ี เพราะช่วยกระตุน้ ใหเ้กดิ ความคิดริเร่ิมใหม่ ๆ ชว่ ยลดระดบั ความเครียดใหน้ อ้ ยลง ก่อ 19 เกิดความคดิ ใหม้ กี ารเปลย่ี นแปลงใหม่ ๆ ข้นึ จงึ เป็นความขดั แยง้ ทม่ี ใิ ช่การแตกแยกหรอื เป็นอปุ สรรคขดั ขวางต่อการสอ่ื สาร 20 และการประสานงานแต่อย่างใด 21 ความขดั แยง้ ท่มี นี อ้ ยเกนิ ไปหรอื มากเกนิ ไป ลว้ นเป็นอปุ สรรคตอ่ ความมปี ระสทิ ธผิ ลของกลมุ่ หรือต่อองคก์ าร 22 โดยรวม และมผี ลใหค้ วามพงึ พอใจของกลมุ่ ลดลง การขาดงานและการลาออกจากงานมากข้นึ ซ่งึ ทา้ ยทส่ี ุดคอื ผลผลติ ลดลง 23 แต่ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ความขดั แยง้ อยู่ในระดบั พอเหมาะ จะทาใหค้ วามรูส้ กึ เอาใจตนเองทม่ี ากเกินไปและความรูส้ กึ ส้นิ หวงั 24 ของบคุ คลไดร้ บั การปรบั ใหอ้ ยูใ่ นระดบั พอดี เกิดแรงจูงใจ และถูกเสรมิ แรงดว้ ยความคิดใหม่ ๆ สรา้ งบรรยากาศของการ 25 ทางานทม่ี ชี วี ติ ชวี า น่าสนใจ และทา้ ทายความสามารถของทกุ ฝ่าย จะมเี พยี งคนทต่ี อ้ งทางานทต่ี นไมถ่ นดั หรอื ไมต่ รงกบั 26 ความสามารถ รวมทงั้ คนทไ่ี มม่ ผี ลงานเทา่ นน้ั ทอ่ี ดึ อดั และลาออกไปในทส่ี ดุ โดยไมม่ วี ธิ ีการใดท่ดี ที ส่ี ุดซ่งึ สามารถแกป้ ญั หา 27 ความขดั แยง้ ไดอ้ ย่างเบด็ เสร็จ จึงตอ้ งรูจ้ กั เลอื กใชใ้ หเ้หมาะกบั เหตุการณ์ 28 29
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 39 1 เง่อื นไขท่เี ก่ยี วขอ้ งความขดั แยง้ พลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคใ์ นการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 2 ความขดั แยง้ ก่อใหเ้กิดพลงั ทส่ี รา้ งสรรค์ เพราะพ้นื ฐานของชวี ติ ท่พี งึ ปรารถนาของมนุษย์ ตอ้ งมฉี นั ทะ คือ ใฝ่รู ้ ใฝ่ 3 สรา้ งสรรค์ เพอ่ื เป็นแสงเงนิ แสงทองชวี ติ ท่ีดงี าม (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต; พระพรหมคณุ าภรณ)์ , 2544, น. 174-175) 4 ในการสลายความขดั แยง้ แลว้ ก่อใหเ้กดิ ผลทางบวกแกท่ งั้ สองฝ่าย โดยเฉพาะความรว่ มมอื ร่วมใจกนั ของฝ่ายทข่ี ดั แยง้ กนั 5 เพอ่ื เกดิ พลงั ร่วม และเพ่มิ คุณค่าของความสรา้ งสรรค์ ทาใหม้ กี ารสรา้ งโอกาสจากภาวะคกุ คามในดา้ นความขดั แยง้ ทางดา้ น 6 การสง่ เสรมิ การเกษตรและการพฒั นาการเกษตร มเี งอ่ื นไขพ้นื ฐานทเ่ี ก่ยี วขอ้ งท่สี าคญั 3 เงอ่ื นไข ดงั น้ี 7 1. ปจั จยั สาเรจ็ แหง่ ความขดั แยง้ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เร่อื งต่างๆ ไดแ้ ก่ (ปรบั ปรุงจากจรวยพร ธรณินทร,์ 2553) 8 1.1 มีความไวว้ างใจกนั จากภายในและภายนอก โดยแต่ละฝ่ายใหค้ วามนบั ถอื ใหเ้กยี รติ ความหว่ ง 9 กงั วลและความคิดของคนทงั้ หลาย โดยถูกนาไปพจิ ารณาอยา่ งจรงิ จงั ดว้ ยการเปิดโอกาสใหแ้ ต่ละฝ่ายมสี ว่ นร่วมในการ 10 คดั เลอื กแนวทางตามทศิ ทางท่เี หมาะสม ตลอดจนการตดั สนิ ใจทเ่ี ป็นอิสระตามควร 11 1.2 มคี วามยตุ ธิ รรมอยา่ งเหมาะสม คงเสน้ คงวา ทงั้ น้มี กี ารปกป้องผลประโยชนข์ องสาธารณชนอยา่ ง 12 ยุตธิ รรม อยา่ งเปิดเผย และซอ่ื สตั ย์ ตลอดจนมสี านกึ รบั ผดิ ชอบ กระทาในวถิ ที างท่คี าดหวงั หรอื เป็นทย่ี อมรบั 13 1.3 ทาตามกาหนดเวลาท่ีตกลงกนั ไว้ โดยมกี ารควบคุมติดตาม (monitoring) อยา่ งต่อเน่อื ง ตาม 14 สญั ญา เพอ่ื ลดขนาดความเสย่ี งของผลท่ตี ามมาใหม้ คี วามเป็นไปไดใ้ นการปฏบิ ตั ติ าม ท่ไี ดผ้ ลมากท่สี ดุ 15 2. มีการเปล่ยี นกระบวนทศั น์ (paradigm shift) ดว้ ยการมองทางบวกวา่ ความขดั แยง้ เป็นส่งิ ท่หี ลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ 16 เป็นเหตกุ ารณ์หรอื ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดตามธรรมชาติ เพราะการแยง่ ชงิ ผลประโยชน์ ตลอดจนการไมย่ อมรบั ความคดิ ท่ี 17 แตกต่างกนั นน้ั หากสามารถจดั การไดเ้ป็นทพ่ี งึ พอใจร่วมของทงั้ สองฝ่ายคกู่ รณีจะเกิดภาวะการทางานแบบเกิดพลงั ร่วม และ 18 เกิดภาวะสรา้ งสรรคใ์ นการทางานดว้ ยซา้ ไป ความขดั แยง้ หากมองทางลบอาจเขา้ ใจวา่ เป็นสง่ิ ทค่ี วรหลกี เลย่ี งเพราะมกั จะเกิด 19 ความเสยี หายใหแ้ ก่คกู่ รณีทง้ั สองฝ่ายหรอื มากกวา่ โดยมแี นวทางในการเปลย่ี นกระบวนทศั นด์ งั น้ี 20 2.1 การเปล่ยี นกระบวนทศั น์ดว้ ยการเร่ิมจากเปล่ยี นมมุ มอง (จรวยพร ธรณินทร,์ 2553) ดงั น้ี 21 มมุ มองแบบดง้ั เดมิ : ความขดั แยง้ เป็นสง่ิ ท่ตี อ้ งการหลกี เลย่ี ง/เป็นความลม้ เหลวของกลไก 22 พ้นื ฐาน โดยเปลย่ี นมมุ มองใหมเ่ ป็น 23 มมุ มองแบบมนุษยส์ มั พนั ธ:์ ความขดั แยง้ เป็นเร่ืองธรรมชาติและยากทจ่ี ะหลกี เลย่ี ง/ไมใ่ ช่เร่อื ง 24 เลวรา้ ยเสมอไป/กาหนดแนวทางในการแสดงออกได้ หรือ 25 มมุ มองแบบสมยั ใหม่: ความขดั แยง้ ทาใหเ้กดิ ผลดตี ่อกลมุ่ เพราะเป็นตวั บงั คบั ใหเ้กิด 26 ประสทิ ธิภาพ/คลา้ ยการแขง่ ขนั /เป็นส่วนหน่งึ ของชวี ติ องคก์ าร 27 หรือการเปลย่ี นมมุ มองสูก่ ารป้องกนั ความขดั แยง้ (บรรพต ตน้ ธรี วงศ,์ 2553) ดว้ ยการมงุ่ สรา้ งสมั พนั ธภาพ หรอื 28 ความไวว้ างใจของผูเ้กย่ี วขอ้ งทกุ ฝ่ายท่มี สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี (total stakeholder satisfaction) ดว้ ยการมสี ่งิ ต่างๆ ไดแ้ ก่ 29 (1) ใจกวา้ งใชก้ ระบวนการมสี ่วนร่วม 30 (2) ใชอ้ านาจร่วม ไมใ่ ชอ้ านาจเหนอื
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 40 1 (3) ใชป้ ระโยชนค์ วามขดั แยง้ ทเ่ี กิดข้นึ ใหเ้ป็นโอกาส 2 (4) ใชก้ ารเจรจาไกลเ่ กลย่ี โดยยดึ ประโยชนร์ ว่ ม ดว้ ยปฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี ี และการสอ่ื สารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ 3 รูจ้ กั การแสดงความชน่ื ชม การกลา่ วคาขอโทษ ฯลฯ 4 (5) ตง้ั อยู่บนพ้นื ฐานของการเนน้ ผลประโยชนร์ ว่ มทต่ี อ้ งการไมใ่ ชก่ ารเนน้ จดุ ยนื (position) ไมว่ ่าจดุ ยนื 5 จะมาจากตน้ ตอใดก็ตาม แมจ้ ดุ ยนื จะมาจากรากฐานของผลประโยชนก์ ็ตาม 6 2.2 การเปล่ยี นกระบวนทศั นด์ ว้ ยการมองถงึ ประโยชน์ของความขดั แยง้ โดยมองวา่ ความขดั แยง้ จะช่วย 7 กระตุน้ ใหเ้กิดการแขง่ ขนั ช่วยใหผ้ ทู ้ ม่ี ผี ลประโยชนเ์ ก่ยี วขอ้ งมกี ารรวมกลมุ่ กนั ทางานมากข้นึ นามาซ่งึ เกดิ ความคิด 8 สรา้ งสรรค์ และสงั เกตไดว้ ่ากลมุ่ ใดท่ขี ดั แยง้ กนั สมาชกิ แต่ละกลมุ่ จะเกาะกลมุ่ กนั เหนียวแน่นข้นึ (สมชาย ภคภาสววิ ฒั น,์ 9 2553) 10 ประเด็นทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในการเปล่ยี นกระบวนทศั น์ หากวเิ คราะหถ์ งึ ผลดขี องการมองภาพโดยรวมของการ 11 ขดั แยง้ เพ่อื เป็นการเปลย่ี นมมุ มองท่ีนาไปสูก่ ารเปลย่ี นกระบวนทศั น์ จะเกย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งต่าง ๆ ไดแ้ ก่ (อรณุ รกั ธรรม 12 ,2532, น. 18) 13 (1) การทาใหป้ ญั หาทเี่ คยถกู มองขา้ มหรือทถี่ กู ละเลย ไดร้ บั ความสนใจนามาพจิ ารณามากข้นึ เพ่อื หาทาง 14 ในการจดั การกบั ความขดั แยง้ 15 (2) เป็นแรงจูงใจใหค้ ่กู รณีทงั้ สองฝ่ายรูแ้ ละเขา้ ใจถงึ ความตอ้ งการในผลประโยชน์ และจุดยนื ของกนั และ 16 กนั ไดม้ ากข้นึ สง่ เสรมิ ใหค้ นในกลมุ่ เกดิ ความภกั ดตี ่อกลมุ่ ท่เี ป็นฝ่ายตน ก่อใหเ้กดิ แรงจูงใจทจ่ี ะทางานของกลมุ่ หรือของ 17 หน่วยงานใหม้ คี วามสาเรจ็ 18 (3) ชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้กิดความคิดใหม่ แนวทางใหม่ ทศิ ทางใหม่ ซ่งึ จะนามาสูก่ ารเกิดนวตั กรรมและการ 19 เปลย่ี นแปลงางบวกทส่ี ามารถมกี ารกาหนดภาพรวมอนาคต และควบคมุ ติดตามใหม้ คี วาม เป็นไปไดข้ องการปฏบิ ตั ใิ ห้ 20 เกดิ ผลมากข้นึ และดขี ้นึ ความขดั แยง้ เชงิ ความคิด (cognitive conflict) ท่แี ตกตา่ งกนั อาจนามาสู่การเปิดกวา้ งในการนา 21 ความคิดเหลา่ นน้ั มาอภปิ รายถกเถยี งกนั อย่างเตม็ ท่ี ส่งผลใหผ้ ูเ้กย่ี วขอ้ งเกิดความผูกพนั ต่อองคก์ ารเพม่ิ ข้นึ จงึ เป็นการ 22 กระตนุ้ ใหเ้กิดการเรียนรูโ้ ดยการเรยี นรูเ้พอ่ื มาจดั การปญั หาทเ่ี กิดข้นึ กระตนุ้ ใหแ้ สวงหาคาตอบ คอื ทางออกของการ 23 แกป้ ญั หานนั่ เอง สรา้ งโอกาสเมอ่ื มคี วามขดั แยง้ กจ็ ะด้นิ รน ซ่งึ อาจพบทางท่ดี ใี หม่ ๆ ข้นึ ได้ จึงป้องกนั การหยุดอยู่กบั ท่ี 24 เพราะความขดั แยง้ จะทาใหเ้กิดการพฒั นา 25 (4) ชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจดขี ้นึ กลา่ วคือ เมอ่ื ค่กู รณีไดร้ บั ขอ้ มลู ท่มี มี มุ มองแตกต่างไปจากตนมคี วาม 26 หลากหลาย ครอบคลุมมากข้นึ ยอ่ มชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจดขี ้นึ กวา่ เดิม ทงั้ น้เี พราะความขดั แยง้ ทาใหเ้กดิ ความจาเป็นทจ่ี ะตอ้ ง 27 วนิ จิ ฉยั สาเหตปุ ญั หาทส่ี าคญั และตรวจสอบความเช่อื ของแต่ละฝ่าย ท่ตี อ้ งเผชญิ กบั ความคดิ ใหม่ แนวทารงใหม่ ทศิ ทาง 28 ใหม่ และตอ้ งพจิ ารณาในการปรบั จุดยนื ใหมต่ ารมผลประโยชนร์ ่วมทไ่ี ดร้ บั การจดั สรรอยา่ งยุตธิ รรมของตน 29 อยา่ งไรกต็ ามคนสว่ นใหญ่มกั ไมพ่ อใจทจ่ี ะดาเนินการตามแนวทางดงั กลา่ ว จึงปลอ่ ยใหค้ วามขดั แยง้ เกดิ บานปลาย 30 จนกลายเป็นความแตกแยกข้นึ ผลเสยี ของความขดั แยง้ จึงเกดิ หรือบานปลายโดยเฉพาะในกลมุ่ และองคก์ าร ซ่งึ ส่งผลใหผ้ ล 31 งานของกลมุ่ /องคก์ ารลดลง (อรุณ รกั ธรรม, 2532, น.18) ดว้ ยสาเหตุ ดงั น้ี
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 41 1 (1) ก่อใหเ้กดิ อารมณเ์ ชงิ ลบทีเ่ ป็นปฏปิ กั ษต์ ่อกนั อย่างรุนแรง ส่งผลใหแ้ ต่ละฝ่ายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งเกิด 2 ความเครียด 3 (2) ขดั ขวางและทาลายเสน้ ทางสอื่ สารระหวา่ งบคุ คล กลมุ่ หรือแผนกงาน ทาใหก้ ารประสานงานในการ 4 ปฏบิ ตั งิ านเกิดการชะงกั งนั 5 (3) ทาใหค้ วามตงั้ ใจและการใชพ้ ลงั ความพยายามในการทางานใหบ้ รรลเุ ป้าหมายองคก์ ารของแต่ละคน 6 ถดถอยลดลง 7 (4) สง่ ผลกระทบทาใหผ้ ูน้ าตอ้ งปรบั เปลยี่ นแบบผูน้ า เช่น จากผูน้ าแบบการมสี ว่ นรว่ ม (participative 8 style) ไปเป็นแบบเผดจ็ การ (authoritarian style) ดว้ ยความจาเป็น เพราะภาวะของความขดั แยง้ ทาใหท้ ุกฝ่ายมี 9 ความเครยี ดสูง ผูน้ าจึงตอ้ งเขา้ มากากบั ดูแลและสงั่ การดว้ ยตนเองมากข้นึ เพอ่ื ไมใ่ หท้ ศิ ทางท่เี ป็นเป้าหมายของงาน หรอื 10 องคก์ ารเบ่ยี งเบนไป ซ่งึ สภาวะแบบภาวะผูน้ าเชน่ น้ที าใหบ้ รรยากาศท่ดี ขี องการทางานลดลงไปดว้ ยเช่นกนั 11 (5) การเลน่ พรรคเลน่ พอ้ งหรอื การเลน่ พวกเลน่ พอ้ ง เกิดอคติ ลาเอียง ขาดความยุติธรรม และอาจ 12 รุนแรงถงึ ขน้ั ใหร้ า้ ยป้ายสเี พ่อื จอ้ งทาลายกนั ทุกวถิ ที าง 13 3. มีหลกั การ ทกั ษะ ศกั ยภาพ กลยุทธ์ กลวธิ ี และเทคนิคต่าง ๆ ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์ โดยผูท้ ่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การ 14 จดั การความขดั แยง้ นนั้ ตอ้ งมหี ลกั การ มที กั ษะ มศี กั ยภาพและกลยุทธ์ กลวธิ ี และเทคนิคต่างๆ ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์ ใน 15 การใหก้ ารปรกึ ษาแก่บคุ คล หรอื กลมุ่ หรือฝ่าย หรอื องคก์ ร ในการขจดั ความขดั แยง้ มเี ป้าหมายสาคญั ทเ่ี ร่ิมตน้ จากการสรา้ ง 16 ความเขา้ ใจอนั ดตี อ่ กนั ทเ่ี นน้ การแสวงจดุ ร่วม สงวนจุดต่าง ตลอดจนการสรา้ งบรรยากาศของการเจรจาทม่ี ผี ปู ้ ระสานงานท่ี 17 ไดร้ บั การยอมรบั ในการสรา้ งพลงั ร่วม (synergy) ในการรบั ผลประโยชนท์ พ่ี งึ ปรารถนาทม่ี ขี อ้ ตกลงร่วมทก่ี าหนดไว้ จงึ 18 สามารถเกดิ พลงั สรา้ งสรรคข์ องพลงั ร่วมในการทางานร่วมกนั ในผลประโยชนท์ ่มี จี ากดั หรอื ไมจ่ ากดั 19 ทงั้ น้กี ารทจ่ี ะเกิดภาวะพลงั สรา้ งสรรคต์ อ้ งมปี ระเดน็ สาคญั ท่ตี อ้ งพจิ ารณา คือ ในการจดั การความขดั แยง้ นน้ั อาจ 20 แบ่งไดเ้ป็น 2 วธิ ี ไดแ้ ก่ (1) การป้องกนั ความขดั แยง้ กบั (2) การบรหิ ารความขดั แยง้ ในการป้องกนั ความขดั แยง้ นนั้ อาจใช้ 21 วธิ กี ารเนน้ การมสี ่วนร่วม การใหข้ อ้ มลู ขา่ วสาร การหารอื การมบี ทบาทเก่ยี วขอ้ ง การใหค้ วามร่วมมอื ดงั น้ี 22 3.1 การกาหนดจุดเนน้ (focus) ของประเดน็ สาคญั ของความขดั แยง้ อยูท่ ่กี ารบริหารความขดั แยง้ ตาม 23 แนวคดิ ทฤษฎี กลยุทธ์ และทกั ษะท่เี หมาะสม ไมใ่ ชอ่ ยูท่ ก่ี ารเนน้ ใหค้ วามสาคญั ท่ปี ระเดน็ ความขดั แยง้ เองเพราะสง่ิ ท่พี งึ 24 ปรารถนาเป็นผลได้ (outcomes) ทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ลท่ตี อ้ งคานึงถงึ ผลกระทบ (impacts) ทจ่ี ะตามมาต่อตวั บุคคล หรือ ฝ่าย 25 หรอื องคก์ าร คือ ใหค้ วามขดั แยง้ นน้ั สง่ ผลดใี นแงข่ องการปฏบิ ตั กิ ารทท่ี างานอยา่ งเกิดผล (functional conflict) ไมใ่ ช่ 26 ก่อใหเ้กิดความขดั แยง้ กลายเป็นผลคกุ คามและขดั ขวางการทางาน (dysfunctional conflict) 27 3.2 เทคนิคการสรา้ งความไวว้ างใจเพอ่ื สรา้ งความสมานฉันท์ สาหรบั การบริหารความขดั แยง้ อยา่ ง 28 สรา้ งสรรค์ กลยุทธก์ ารเจรจาตอ่ รอง หลกั การรบั มอื และการตอบโตแ้ บบชนะ-ชนะ และหลกั จรรยาบรรณ จรยิ ธรรม และ 29 กบั ดกั ของการเจรจาต่อรอง (สมชาย ภคภาสววิ ฒั น,์ 2553)
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 42 1 3.3 การมคี วามเพยี รท่จี ะแกค้ วามขดั แยง้ ดว้ ยปญั ญา เน่อื งจากเหตปุ จั จยั ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ปญั หาความ 2 ขดั แยง้ มมี าก การมคี วามเพยี รในการแกด้ ว้ ยปญั ญากต็ อ้ งกระทาอยา่ งจรงิ จงั เพราะระบบก็ครอบงาเอาไว้ สภาพคนไมเ่ อ้อื 3 ต่อระบบท่คี รอบเอาไว้ สภาพแวดลอ้ มกย็ อมใหเ้ รอ่ื ยๆ เฉ่อื ยๆ ไป จงึ ตอ้ งแกป้ ญั หาสองดา้ น คือ 4 1) ดา้ นการพฒั นาคณุ ภาพคน เพ่อื ใหเ้กิดองคป์ ระกอบ ท่เี ก้อื หนุน ระบบความสมั พนั ธข์ อง 5 ธรรมชาตเิ ป็นไปในทางทเ่ี ก้อื กูลกนั ยง่ิ ข้นึ ท่ถี อื ว่า “เป็นทางสายกลาง” คือ มนุษยจ์ ะเป็นองคป์ ระกอบเป็นส่วนร่วมทด่ี ี เพ่อื 6 เสริมสรา้ งระบบความสมั พนั ธข์ องธรรมชาติทงั้ หมด โดยเราสามารถฝึกใหเ้ป็นมนุษยท์ ม่ี กี ารพฒั นามนุษยข์ ้นึ ไป ทง้ั การมี 7 จดุ มงุ่ หมายใหเ้ป็นโลกท่เี ป็นสุข ไรก้ ารเบยี ดเบยี นกนั ดว้ ยการใหก้ ารศกึ ษาหนั มาสู่การศกึ ษาทเ่ี ป็นชวี ติ จริง ใหค้ นทม่ี ที ุนใน 8 ตวั พรอ้ มทจ่ี ะร่วมสรา้ งสงั คมทด่ี ไี ด้ คอื ตอ้ งรูค้ วามจรงิ ของธรรมชาติ แลว้ ใชค้ วามรูน้ นั้ มาจดั การเร่ืองต่าง ๆ ตามทต่ี นเอง 9 ตอ้ งการ คือ ตอ้ งรูค้ วามจริงของธรรมชาตพิ อเพยี ง ไมค่ ดิ เอาชนะธรรมชาติ มกี ารตงั้ เป้าหมายชวี ติ และเป้าหมายการงาน ใน 10 รูปแบบท่มี กี ารคิดทด่ี ี การทาทเ่ี สริมและเก้อื หนุนความจริงตามธรรมชาติ ไมใ่ ช่การมงุ่ พชิ ติ ธรรมชาติ หรอื แบบปลอ่ ยตาม 11 ธรรมชาติ 12 2) ดา้ นระบบสงั คม ดว้ ยการจดั ตงั้ ใหเ้ก้อื หนุนในการเพ่มิ โอกาสแก่ผูค้ น ในการพฒั นาการพง่ึ พา 13 ตนเอง (ป.อ.ปยุตโต; พระพรหมคณุ าภรณ์ 2544, น.232-42) การทจ่ี ะแกป้ ญั หาโดยเฉพาะความขดั แยง้ และเพ่อี สรา้ งสรรค์ 14 ส่งิ ทด่ี งี ามแก่สงั คมและประเทศ กต็ อ้ งเขม้ แขง็ ในการทาดเี สมอื นหรอื ใกลเ้คยี งปณิธานของพระโพธสิ ตั ว์ แมถ้ กู ทารา้ ยหรอื ฆ่า 15 ก็ยงั ไมห่ ว่ งตนเอง คือ ไมต่ อ้ งกงั วลวา่ จะเกดิ ผลดแี ก่ตนเองทเ่ี ป็นผลดเี ชงิ บุคคล (ไมใ่ ช่ ผลดตี ามกฏธรรมชาติ) หรือไม่ 16 หรือมวั ไปหว่ งค่านิยมของสงั คมอยู่ คือ เอาแค่ไมล่ ะท้งิ ผลดที ่ตี รงตามธรรม ผลดตี ่อชวี ติ และผลดที แ่ี ทต้ อ่ สงั คมในระบบ 17 ชนะ-ชนะ (ป.อ.ปยุตโต; พระพรหมคณุ าภรณ์ 2544, น. 228) 18 19 กรณีตวั อยา่ งการจดั การความขดั แยง้ พลงั แหง่ ความสรา้ งสรรค์ 20 สาหรบั กรณีตวั อยา่ งการจดั การความขดั แยง้ พลงั แห่งความสรา้ งสรรคใ์ นระดบั ต่าง ๆ ทน่ี ่าสนใจ ทง้ั ในระดบั 21 ทอ้ งถน่ิ และระดบั ชมุ ชน รวมถงึ ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลและกลมุ่ บคุ คลกบั หน่วยงาน โดย ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจนิ ดา 22 ขลบิ ทอง (2554, น.12-29 -12-33) ไดย้ กตวั อยา่ งงไวด้ งั น้ี 23 1. การจดั การความขดั แยง้ ในทอ้ งถน่ิ กรณีศกึ ษา: การจดั การป่าพรุควนเครง็ 24 1.1 บรบิ ททเ่ี กย่ี วขอ้ ง พ้นื ทต่ี าบลเครง็ อาเภอชะอวด นครศรีธรรมราช เป็นเขตเชอ่ื มต่อลมุ่ นา้ ปากพนงั 25 และทะเลสาบสงขลา 26 1) ลกั ษณะทีส่ าคญั ของการขดั แยง้ และสาเหตหุ ลกั ความขดั แยง้ ท่เี กดิ จากการใชท้ รพั ยากร 27 ระหวา่ งชาวบา้ น ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ในการทานา การประมง และการใชห้ ญา้ กระจูด จงึ เป็นสาเหตุสาคญั หน่งึ ทท่ี าให้ 28 ทรพั ยากรป่าพรุถกู ทาลายอยา่ งรวดเร็ว 29 2) ชาวบา้ นกบั หน่วยงานภาครฐั ต่อระบบการจดั การทรพั ยากรของชมุ ชน ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ ท่ี 30 เกดิ จากใชก้ ฎระเบยี บอยา่ งเขม้ งวดกบั การใชท้ รพั ยากรของชาวบา้ น และการจดั ทาโครงการอนุรกั ษข์ องหน่วยงานท่ไี ม่
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 43 1 สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการในการใชท้ รพั ยากรของชาวบา้ น ปญั หาความขดั แยง้ ขยายวงกวา้ งออกไปและมคี วามซบั ซอ้ นมาก 2 ยง่ิ ข้นึ อนั เน่อื งจากกลมุ่ ผูม้ สี ว่ นไดส้ ่วนเสยี มจี านวนเพม่ิ ข้นึ 3 ความขดั แยง้ ในอดตี ลกั ษณะเคยปรากฏแลว้ ทาใหเ้กิดความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ ผูใ้ ชท้ รพั ยากร 4 ในพ้นื ชมุ ชน เชน่ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ ทาประมง กลมุ่ ทานา กลมุ่ ใชก้ ระจูด กลมุ่ ใชไ้ ม ้ เป็นตน้ ซ่งึ ความขดั แยง้ เหลา่ น้ี 5 ถกู บรหิ ารจดั การโดยการใชก้ ติกา ความเช่อื ประเพณี และผูน้ า ทช่ี มุ ชนกาหนดข้นึ และสามารถคลค่ี ลาย ลดความรุนแรง 6 ของปญั หาความขดั แยง้ ได้ ซง่ึ สมยั ก่อนชมุ ชนมกี ารฉนั ทามติในการกาหนดกตกิ า เชน่ การใชท้ รพั ยากรสตั วน์ า้ ในบรเิ วณ 7 แมน่ า้ ลาคลองและพ้นื ทน่ี า้ ทว่ มในชว่ งหนา้ ฝนจะถอื ว่าเป็นทส่ี าธารณะใครจะจบั ปลากไ็ ด้ แต่บริเวณใดทเ่ี ป็นบอ่ ลอ่ ปลาถอื วา่ 8 เป็นท่มี เี จา้ ของ หรอื เร่ืองการใชไ้ มเ้สมด็ มกี ตกิ าชมุ ชนหา้ มบคุ คลภายนอกชมุ ชนเขา้ มาใชไ้ มเ้สมด็ ชาวบา้ นในชมุ ชนเอง 9 สามารถใชไ้ ดเ้ฉพาะเทา่ ท่จี าเป็นเท่านนั้ และหา้ มตดั ไมเ้พอ่ื นาไปจาหน่าย ฯลฯ 10 เมอ่ื หน่วยงานพฒั นาของรฐั เขา้ มามบี ทบาทในการพฒั นา และจดั สรรทรพั ยากร กลบั มองขา้ มกติกาชมุ ชนเหลา่ น้วี า่ 11 มบี ทบาทสาคญั ต่อการดูแลรกั ษาทรพั ยากรในพ้นื ทอ่ี ยา่ งไร หน่วยงานรฐั และองคก์ รตา่ ง ๆ กลบั มงุ่ เนน้ การสรา้ งความ 12 ร่วมมอื และจดั ตง้ั องคก์ รทเ่ี หมาะสมโดยมไิ ดใ้ หค้ วามสนใจต่อบรบิ ทการใชก้ ติกา ภมู ปิ ญั ญา และความเชอ่ื ในการใช้ 13 ทรพั ยากรของชมุ ชน 14 1.2 การจดั การความขดั แยง้ กรณีการจดั การป่าพรุควนเคร็งทน่ี กั พฒั นาพยายามผลกั ดนั ใหช้ มุ ชนเป็น 15 องคก์ รหลกั ในการบรหิ ารจดั การ จงึ เกิดคาถามเพอ่ื การวจิ ยั คอื ชมุ ชนสามารถนาวฒั นธรรม ประเพณี ความเชอ่ื มาปรบั ใช้ 16 ในการแกไ้ ขความขดั แยง้ การใชท้ รพั ยากรทงั้ ภายในชมุ ชน และระหว่างชมุ ชน ไดอ้ ย่างไรบา้ ง 17 ขอ้ คน้ พบทไ่ี ด้ คอื แนวความคดิ ของชมุ ชนในการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งชมุ ชนกบั หน่วยงาน 18 ภาครฐั และระหวา่ งชมุ ชนกบั ชมุ ชน โดยการนาวฒั นธรรมของชมุ ชนดา้ น ประเพณี ความเช่อื ของชมุ ชนในการแกไ้ ขปญั หา 19 ความขดั แยง้ ในการใชท้ รพั ยากร (ท่เี คยทาสาเรจ็ ในอดตี ) หาทางมาปรบั ใชใ้ นปจั จุบนั 20 21 2. กรณีความขดั แยง้ ในพ้นื ท่ีชมุ ชนแหง่ หน่ึงในจงั หวดั เลย 22 พรสวรรค์ สวุ รรณศรี (2551) ไดก้ ลา่ ววา่ จากการสารวจพ้นื ท่ชี มุ ชนแหง่ หน่งึ ในจงั หวดั เลย ซ่งึ คดั เลอื ก 23 โดยไดร้ บั คาแนะนาจากสานกั งานคมุ้ ครองสทิ ธิและช่วยเหลอื ทางกฎหมายแก่ประชาชนจงั หวดั เลย (ส.ค.ช.) สานกั งาน 24 อยั การจงั หวดั เลย มขี อ้ มลู ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ 25 2.1 บริบททเ่ี กย่ี วขอ้ ง 26 1) ปญั หาพ้นื ฐาน คือ ปญั หาทะเลาะววิ าท ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนชกต่อยทารา้ ยร่างกาย และมกั เกิด 27 เหตใุ นงานเทศกาลหรอื บุญประจาปีของหมบู่ า้ น และปญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ จากความประมาท สว่ นใหญ่เป็นอบุ ตั เิ หตจุ าก 28 ยานพาหนะ เชน่ รถจกั รยานยนตช์ นกนั นอกจากน้กี ม็ อี บุ ตั เิ หตจุ ากการจุดบงั้ ไฟ 29 2) ปญั หาทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การส่งเสริมการเกษตร ไดแ้ ก่ 30 (1) ปญั หาลกั ขโมย ส่วนใหญ่เป็นการขโมยเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เช่น ขโมยเป็ด ไก่ เพ่อื นามา 31 ประกอบอาหาร
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 44 1 (2) ปญั หาดา้ นทรพั ยากร ปญั หาทพ่ี บสว่ นใหญ่ คือ 2 (ก) ความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คลกบั บคุ คล ทส่ี าคญั คอื 3 - การลกุ ลา้ เขตแดนท่ที ากิน 4 - การเผาไร่แลว้ ลุกลามไปยงั ไร่ของคนอ่นื 5 - การแยง่ นา้ กนั แต่ปญั หาน้ไี มถ่ งึ ขน้ั ไกลเ่ กลย่ี แต่มกี ารพูดคยุ กนั ในทป่ี ระชมุ ชาวบา้ น 6 - ปญั หาหน้สี นิ ไดแ้ ก่ หน้สี ่วนบคุ คล 7 - ปญั หาความผดิ เก่ยี วกบั เพศ เชน่ การลว่ งละเมดิ ทางเพศ สามภี รรยาทะเลาะกนั 8 (ข) ปญั หาระหวา่ งบคุ คลกบั องคก์ ร ทส่ี าคญั คอื ปญั หารหน้กี องทุนหมบู่ า้ น 9 (ค) ความขดั แยง้ ระหวา่ งรฐั กบั ชมุ ชน ท่สี าคญั เช่น 10 - ความขดั แยง้ ระหวา่ งองคก์ รบรหิ ารสว่ นตาบลกบั หมบู่ า้ นเร่ืองการถมถนนทบั ทข่ี อง 11 ชาวบา้ น 12 - ความขดั แยง้ ระหวา่ งบรษิ ทั เอกชนกบั ชาวบา้ นเร่ืองการขดุ เจาะแร่ เป็นตน้ 13 2.2 การจดั การความขดั แยง้ 14 ความขดั แยง้ ทพ่ี บกนั ในชมุ ชนเป็นความขดั แยง้ ท่ไี ม่ซบั ซอ้ น เป็นความขดั แยง้ ตามเหตกุ ารณ์ท่ี 15 เกดิ ข้นึ และพฤตกิ รรมทพ่ี บเหน็ จึงสามารถแกไ้ ขปญั หาได้ แต่ความขดั แยง้ ท่มี าจากภายนอกชมุ ชน มกั เป็นความขดั แยง้ ท่ี 16 ซบั ซอ้ น เก่ยี วขอ้ ง เช่อื มโยงกบั ผลประโยชนห์ รอื กลมุ่ บุคคล จึงเป็นความขดั แยง้ ท่ไี มส่ ามารถตกลงกนั ได้ และขยายวงกวา้ ง 17 ข้นึ จนเขา้ สูก่ ระบวนการยตุ ธิ รรมสายหลกั 18 ชมุ ชนดงั กลา่ วมคี ลนิ กิ หมอความ ทม่ี ผี ูน้ าชมุ ชนทาหนา้ ท่เี ป็นคนกลางในการเจรจาไกลเ่ กลย่ี ขอ้ 19 พพิ าท และประสบความสาเรจ็ ประมาณ 95% 20 จากการวจิ ยั ศกึ ษาการจดั การความขดั แยง้ ของชมุ ชน การใชภ้ าษาในการเจรจาไกลเ่ กลย่ี ของ 21 ผูน้ าชมุ ชน ผลการศกึ ษาประเภทความขดั แยง้ ในชมุ ชน พบวา่ ความขดั แยง้ ท่กี ลายเป็นขอ้ พพิ าทและ เขา้ สู่กระบวนการไกล่ 22 เกลย่ี และประสบความสาเรจ็ แบบชนะ-ชนะ เป็นส่วนใหญ่ 23 24 3. วจิ ยั ชาวบา้ น: ตน้ แบบการจดั การน้าในคลองทเ่ี มอื งสามน้า 25 3.1 บริบททเ่ี ก่ยี วขอ้ ง กว่า 20 ปีมาแลว้ ทป่ี ญั หาความขดั แยง้ ระหว่างคนนา้ จดื และคนนา้ เคม็ ของ 26 ชาวบา้ นในตาบลแพรกหนามแดง อาเภออมั พวา จงั หวดั สมทุ รสงคราม อนั เนอ่ื งมาจากการปิด-เปิดประตูระบายนา้ ตาม 27 โครงการป้องกนั นา้ เคม็ ไมส่ ามารถคลค่ี ลายหรอื บรรเทาปญั หาได้ ทกุ ครงั้ ทฝ่ี นตก นา้ ก็จะท่วมบอ่ ปลา ท่วมนาขา้ ว ท่วมสวน 28 ผกั ชาวบา้ นฝงั่ นา้ จืด จึงตอ้ งมาเปิดประตรู ะบายนา้ ตามแนวคนั กนั้ นา้ เค็มทม่ี อี ยู่ตลอดทงั้ ตาบล เป็นเหตุใหเ้กิดขอ้ ขดั แยง้ 29 กบั ชาวนากงุ้ ธรรมชาติในฝงั่ นา้ เคม็ เพราะทกุ ครง้ั ทม่ี กี ารเปิดประตูระบายนา้ นา้ และตะกอนเลนทถ่ี กู สะสมจนเป็นของเสยี กน้ 30 คลอง จะไหลเขา้ ไปทาใหก้ งุ้ ปลาในคลองและบอ่ ของชาวบา้ นนา้ เค็มตายเป็นจานวนมาก มกี ารตง้ั กรรมการกาหนดการปิด- 31 เปิดประตู นา้ ในชว่ ง 7-8 คา่ (ชว่ งนา้ ตาย) แต่ก็ไมอ่ าจแกไ้ ขได้ ครนั้ เมอ่ื ฝนตกหนกั นา้ ท่วมนาขา้ ว ชาวนากจ็ าเป็นตอ้ งรบี เปิด
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 45 1 ประตูระบายนา้ อยา่ งรวดเร็ว และก็มกั จะเผชญิ หนา้ กบั ชาวนากงุ้ ทไ่ี มย่ อมใหเ้ปิดประตูทุกครง้ั ไป กลายเป็นปญั หาเร้อื รงั 2 ตลอดมา เพราะธรรมชาติของระบบนิเวศสามนา้ (จดื -กร่อย-เค็ม) ทย่ี ดื หยุน่ ออ่ นตวั นน้ั ไดห้ ายไป โดยเฉพาะนา้ กร่อยท่คี นั่ 3 อยู่ระหวา่ งนา้ จดื -นา้ เค็ม 4 3.2 การจดั การความขดั แยง้ กระทงั่ ชาวบา้ นมกี ารรวมตวั กนั เพ่อื รอ้ งเรยี นการปลอ่ ยนา้ เสยี จากโรงงาน 5 อุตสาหกรรมในพ้นื ท่ี ทาใหช้ าวแพรกหนามแดงเร่ิมรูว้ ่าปญั หาต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ จะตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื ของคนในชมุ ชนจึง 6 จะสาเรจ็ ไดห้ ยบิ ยกข้นึ มาเป็นประเดน็ พูดคุยของชมุ ชนอยา่ งจรงิ จงั และไดร้ บั การพฒั นาเป็นโครงการ “รูปแบบการจดั การ 7 นา้ ในคลองตาบลแพรกหนามแดง อาเภออมั พวา จงั หวดั สมทุ รสงคราม” เพอ่ื ตอบขอ้ สงสยั ท่วี ่า รูปแบบการจดั การนา้ ในลา 8 คลองตาบลแพรกหนามแดงท่เี หมาะสมและเป็นประโยชนต์ อ่ ชมุ ชน ควรเป็นอยา่ งไร มสี านกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั 9 (สกว.) สนบั สนุนทุนใหช้ าวบา้ นทาวจิ ยั เอง เร่ิมการวจิ ยั พบว่าชาวบา้ นเขา้ ใจปญั หา แต่ขาดโอกาส ขาดกระบวนการในการ 10 รวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื เสนอไปใหถ้ งึ ผูม้ อี านาจหนา้ ท่ี ฝ่ายราชการเขา้ ไมถ่ งึ แก่น ขอ้ มลู ถูกนาเสนอ และร่วมวเิ คราะหใ์ นเวทชี มุ ชน 11 อย่างตอ่ เนอ่ื ง ทาใหช้ าวบา้ นเร่ิมหนั หนา้ เขา้ มาคุยกนั มากข้นึ และเขา้ ใจวถิ กี ารดารงชวี ติ และพฤตกิ รรมการใชน้ า้ ระหวา่ งคน 12 สองฝงั่ มากข้นึ 13 รวมทง้ั ไดร้ ่วมกนั คดิ หาทางออกในการจดั การนา้ ร่วมกนั ทง้ั ในเร่อื งการกาหนด เวลาในการเปิด-ปิดประตูนา้ การขดุ 14 ลอกคลอง การประสานความช่วยเหลอื จากหน่วยงานตา่ ง ๆ ท่สี าคญั คอื ไดร้ ูปแบบประตูนา้ ใหม่ ทอ่ี าศยั หลกั การไหลของนา้ 15 จากทส่ี ูงลงสู่ท่ตี า่ เป็นบานสวงิ ซ่งึ เป็นภมู ปิ ญั ญาชาวบ่อกงุ้ ซง่ึ จะส่งผลต่อระบบนิเวศมากกวา่ บานทบึ โดยมี ช่างประดษิ ฐง์ าน 16 ไม ้ จบประถมสามคร่ึง เป็นผเู ้ขยี นแบบและทาแบบจาลองข้นึ ตามความคิดจากเวทชี าวบา้ น และประสานไปยงั ประชาคม 17 คนรกั แมก่ ลอง หอการคา้ จงั หวดั สมทุ รสงคราม เพอ่ื เสนอผลวจิ ยั และแบบประตูระบายนา้ ในการประชมุ คณะกรรมการ 18 ร่วมภาครฐั และเอกชนเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาเศรษฐกิจ จงั หวดั สมทุ รสงคราม (กรอ.) เพ่อื หน่วยรฐั และเออกชน ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งร่วมกนั 19 ประสานความร่วมมอื ในการแกไ้ ขปญั หา จากการประชมุ ครงั้ นนั้ ส่งผลใหส้ านกั งานชลประทานจงั หวดั สมทุ รสงคราม อนุญาต 20 ใหม้ กี ารทดลองแกไ้ ขประตูซง่ึ เป็นทรพั ยส์ นิ ของชมุ ชนตามแนวคิดของชมุ ชน และองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั สมทุ รสงครามก็ 21 ใหก้ ารสนบั สนุนการจดั สรา้ งประตูระบายนา้ สาหรบั การทดลองในแบบฉบบั ของชาวบา้ น 2 ประตกู ่อน 22 วนั น้แี มฝ้ นจะตก ชาวนาก็ไมต่ อ้ งว่งิ มาเปิดประตูนา้ ชาวนากงุ้ กไ็ มต่ อ้ งระวงั ในการสบู นา้ เขา้ บ่ออีกตอ่ ไป ความ 23 ขดั แยง้ ในชมุ ชนเร่มิ ลดลง มอี ะไรกห็ นั หนา้ พูดจากนั จากผลของการทดลองประตูระบายนา้ ของชมุ ชนแพรกหนามแดง ทาให้ 24 เกดิ กระแสความร่วมมอื ของชมุ ชนในเร่อื งต่าง ๆ ตามมา เชน่ การขดุ ลอกคลอง การขยายผลของการดาเนินการวจิ ยั ไปสูก่ าร 25 แกไ้ ขปญั หาในระดบั ทก่ี วา้ งข้นึ ต่อไป 26 ปจั จบุ นั นกั วจิ ยั กลายเป็นผูถ้ า่ ยทอดกระบวนการวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ เป็นพเ่ี ล้ยี งใหน้ กั วจิ ยั รุ่นใหมใ่ นการดาเนนิ การ 27 ในการพฒั นากระบวนการวจิ ยั อยา่ งไมร่ ูจ้ บของชมุ ชนต่อไป ซ่งึ แก่นของงานวิจยั ชาวบา้ นกค็ อื หนทางทจ่ี ะนาไปสูก่ ารท่ชี มุ ชน 28 ทอ้ งถ่นิ ไดเ้ขา้ ไปมสี ว่ นร่วมในการจดั การดูแล ตวั เองไดอ้ ยา่ งเขม้ แขง็ ทง้ั ในเร่อื งเศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม 29 30
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 46 1 4. กรณีงานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ : ถนนศรณี รงค์ จงั หวดั อบุ ลราชธานี (สานกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.), 2 2552) 3 4.1 บรบิ ททเ่ี กย่ี วขอ้ ง กวา่ 30 ปีมแี ลว้ ทถ่ี นนศรีณรงค์ สายเลก็ ๆ แคบๆ ตงั้ แต่ถนนยงั ไมล่ าดยาง ในเขต 4 เทศบาลเมอื งอบุ ลราชธานี ถูกเรียก “ตลาดกกยาง” เป็นตลาดเยน็ เกิดข้นึ ตามธรรมชาติ ทเ่ี ร่ิมตง้ั แต่บ่ายสองโมง พ่อคา้ 5 แมค่ า้ จะพากนั ขนขา้ วของมาขายบนสองฝงั่ ถนน สนองความตอ้ งการของชมุ ชนท่มี าจบั จ่ายซ้อื ของโดยเฉพาะสนิ คา้ จาพวกผกั 6 พ้นื บา้ น อาหารพ้นื เมอื งทห่ี าซ้อื ไม่ไดจ้ ากทอ่ี ่นื เมอ่ื ถนนทง้ั สายถกู พฒั นาข้นึ มาเป็นตลาดอยา่ งเต็มรูปแบบ ฝ่ายปกครอง คอื 7 เทศบาลกเ็ ขา้ มาอานวยความสะดวกดว้ ยการปรบั ปรุงผวิ ถนน ส่งเจา้ หนา้ ท่มี าดูแล โดยนาแผงเหลก็ มากน้ั รถเขา้ - ออกเพอ่ื 8 ความสะดวกในการจบั จา่ ยสนิ คา้ มกี ารสนบั สนุนงบประมาณบางสว่ น เมอ่ื ชาวบา้ นทากจิ กรรมภายในตลาด เทศบาลอาสา 9 มาจดั ระเบยี บใหด้ ว้ ยการทาลอ๊ ค ๆ และเก็บค่าลอ๊ คเป็นค่าทาความสะอาด ลอ๊ คละ 5 บาท กระทงั่ ผูบ้ ริหารเทศบาลคนใหม่ 10 มนี โยบายขยายผวิ จราจรภายในเขตเทศบาล ชาวบา้ นทท่ี าการคา้ บนถนนศรณี รงคเ์ กรงว่าแนวทางดงั กลา่ วจะกระทบตอ่ การ 11 ทามาหากนิ เพราะการขยายถนนตอ้ งมกี ารทุบฟุตปาธ (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ ๒๕๕๔ ใชค้ าวา่ ฟตุ พาท 12 หรือ บาทวถิ ี แต่คาท่คี นใชบ้ อ่ ย คอื ฟุตปาธ ฟตุ บาท) ตดั ตน้ ไม ้ จึงพยายามย่นื เรอ่ื งใหท้ บทวนการขยายนโยบายดงั กลา่ ว 13 แต่ทางเทศบาลบอกวา่ ไดส้ รา้ งตลาดแหง่ ใหมไ่ วใ้ หแ้ ลว้ มสี ง่ิ อานวยความสะดวกครบครนั แต่พ้นื ท่ี ตรงนน้ั อยูห่ ่างชมุ ชน ขาย 14 ของไมด่ เี หมอื นกบั ท่ขี ายในตลาดกกยาง เทศบาลยงั คงเดนิ หนา้ นโยบาย “ทบุ ฟตุ บาท – ตดั ตน้ ไม”้ ต่อไป ชาวบา้ นจงึ 15 รวมตวั กนั ย่นื เร่ืองถงึ ศาลปกครองจงั หวดั นครราชสมี า กระทงั่ ศาลปกครองมคี าสงั่ ใหเ้ทศบาลอบุ ลราชธานี หยุดโครงการ 16 ดงั กลา่ ว จงึ สง่ ผลใหเ้ทศบาล ประกาศยกเลกิ “จุดผ่อนผนั ใหจ้ าหน่ายสนิ คา้ ในทส่ี าธารณะ” ตงั้ แต่วนั ท่ี 1 สงิ หาคม 2549 17 เป็นตน้ มา หมายความวา่ พอ่ คา้ แมค่ า้ ท่อี าศยั ฟตุ ปาธบนถนนศรีณรงคท์ าการคา้ ตอ้ งยา้ ยออกไปขายในตลาดใหมท่ ่เี ทศบาล 18 ไดจ้ ดั สรา้ งไวใ้ ห้ แต่ชาวบา้ นกย็ งั ตอ้ งขาย เพราะถา้ ไมข่ ายก็ไมม่ รี ายได้ เทศบาลก็ส่งเจา้ หนา้ ทม่ี าลา้ งถนนบา้ ง ฉีดพ่นยากนั 19 ยุงบา้ ง ตง้ั เตน้ ทข์ วางทางเขา้ ออกตลาดบา้ ง 20 4.2 การจดั การความขดั แยง้ ความขดั แยง้ ดูเหมอื นว่าเร่ิมจะพอมองเหน็ ทางออกเมอ่ื อาจารยอ์ นิ ทริ า 21 ซาฮรี ์ อาจารยป์ ระจาคณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี มโี อกาสลงไปพูดคยุ กบั แกนนาตลาด และมองเหน็ 22 “ชอ่ งวา่ ง” อนั เป็นสาเหตุสาคญั ของความขดั แยง้ ท่เี ป็นอยูน่ นั่ คอื “การขาดขอ้ มลู ” คือ ต่างฝ่ายต่าง สกู ้ นั บนความตอ้ งการของ 23 ตวั เองเป็นท่ตี งั้ ไมม่ ขี อ้ มลู ใด ๆ มาสนบั สนุน ดงั นนั้ การแกไ้ ขปญั หาดว้ ยกระบวนการวจิ ยั จงึ ถูกหยบิ ยกมาหารอื ระหว่าง 24 นกั วชิ าการกบั แกนนาชมุ ชน ซง่ึ ทา้ ยท่สี ดุ ชาวบา้ นมคี วามเหน็ ร่วมกนั วา่ เหน็ ว่า “งานวจิ ยั ” นา่ เป็นทางออกของปญั หาทย่ี ดื เย้อื 25 ยาวนาน และไดร้ ่วมกนั สรรหากลมุ่ ชาวบา้ นเขา้ มารวมเป็นทมี วจิ ยั ในโครงการวจิ ยั “รูปแบบการพฒั นาตลาดกกยางใหเ้ป็น 26 ตลาดชมุ ชนอยา่ งมสี ว่ นร่วมของชมุ ชน” ภายใตก้ ารสนบั สนุนงบประมาณจากสานกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) 27 สานกั งานภาค ซง่ึ สะทอ้ นใหเ้หน็ ความพยายามของชาวบา้ นทจ่ี ะขอ “จดั การ” และ “ดูแล” ตลาดของชมุ ชนเอง โดยการมสี ว่ น 28 ร่วมของชมุ ชน นกั วจิ ยั มอื อาชพี เขา้ มาทาขอ้ มลู วชิ าการ เรียบเรยี งขอ้ มลู ทป่ี ระวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมาของตลาด ประเภทของ 29 สนิ คา้ ทน่ี ามาขาย รายได้ และกลมุ่ พอ่ คา้ แมค่ า้ ในตลาดวา่ แต่ละคนมาจากไหนกนั บา้ ง ตลอดจนใหช้ าวบา้ นไดม้ โี อกาสเสนอ 30 วา่ รูปแบบตลาดทพ่ี วกเขาตอ้ งการเป็นอย่างไร แมส้ ถานการณค์ วามขดั แยง้ จะยงั ไมย่ ุติ แต่กเ็ ร่ิมมองเหน็ แนวทางในการสลาย
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 47 1 ขอ้ ขดั แยง้ ดว้ ยแนวทางและวธิ กี ารท่ใี ชค้ วามเป็นเหตุ เป็นผล และสนั ติ เสนอใหผ้ ูบ้ ริหารองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ 2 พจิ ารณาอกี ครง้ั เพอ่ื หาแนวทาง “จดั การตลาดกกยาง” ใหเ้กิดประโยชนก์ บั ทุกฝ่าย 3 อย่างไรกต็ ามแมว้ า่ เรามองวา่ การขดั แยง้ ทาใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงและถา้ สามารถ ควบคมุ จดั การ 4 (manipulate) ไดใ้ นระบบชนะ- ชนะ การเปลย่ี นแปลงนนั้ จะเกดิ ผลทางบวกทเ่ี กดิ จากการร่วมมอื รว่ มใจกนั มฉี นั ทามติ 5 หรือขอ้ ตกลงร่วม (consensus) แต่หากมกี ารวเิ คราะห์ และหาทางลดความเสย่ี งของความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ซา้ ซากทานอง 6 เดยี วกนั แต่มรี ูปแบบไมต่ า่ งกนั ในพ้นื ทอ่ี ่นื ๆ เป็นความจาเป็นท่จี ะตอ้ งลดความเส่ยี งของการขดั แยง้ ใหม้ ากท่สี ดุ เพราะไม่ 7 มที างป้องกนั ความขดั แยง้ ได้ เนอ่ื งจากการท่กี ารขดั แยง้ เป็นเหตกุ ารณ์ปกติ ท่ไี มใ่ ชม่ สี าเหตุหรือเหตปุ จั จยั มากจากเหตเุ ดยี ว 8 หากแต่มเ่ี ร่ืองของธรรมชาติของมนุษยเ์ ขา้ มาเกย่ี วขอ้ งดว้ ยมาก ทาใหก้ ารป้องกนั เป็นไปไมไ่ ด้ แต่สามารถลดความเสย่ี งได้ 9 หรือทาการฟ้ืนฟูความขดั แยง้ ใหเ้กดิ ในแนวทางทล่ี ดความรุนแรงลงได้ 10 11 5. ตวั อยา่ งของกรมชลประทาน 12 5.1 บรบิ ททเ่ี กย่ี วขอ้ ง กรมชลประทานมปี ญั หาของความขดั แยง้ ของคู่กรณีการใชน้ า้ ในพ้นื ท่ชี ลประทาน 13 5.2 การจดั การความขดั แยง้ กรมชลประทานไดห้ าแนวคดิ ทก่ี ารจดั การบรหิ ารนา้ โดยใหเ้กษตรกรมสี ว่ น 14 ร่วม (Participatory-Irrigation Management) หลงั จากทม่ี คี วามขดั แยง้ เร่ืองการแยง่ ชงิ ทรพั ยากรณน์ า้ โดยเฉพาะใน 15 พ้นื ทซ่ี ง่ึ ตอ้ งการปลูกขา้ วปีละ 2-3 ครง้ั ประกอบกบั วกิ ฤตเศรษฐกจิ ในปี 2540 ทท่ี าใหร้ ฐั มนี โยบายดา้ นกระจายอานาจสู่ 16 ทอ้ งถ่นิ เกดิ เป็นการกระทาทเ่ี ป็นไปไดช้ ดั เจนข้นึ ในการใหอ้ านาจองคก์ รดา้ นการปกครองทอ้ งถน่ิ (อบต. และ อบจ.) และ 17 เนน้ ใหเ้กดิ จากการมสี ่วนร่วมของเกษตรกรผูใ้ ชน้ า้ ใหม้ สี ว่ นร่วมตงั้ แต่เร่ิมการก่อสรา้ ง ระหวา่ งการก่อสรา้ ง และหลงั การ 18 ก่อสรา้ ง ในการบริหารจดั การสง่ นา้ และการบารุงรกั ษาเพอ่ื ใหอ้ งคก์ รทอ้ งถ่นิ เกิดความรูส้ กึ ร่วมเป็นเจา้ ของ ทม่ี ผี ลใหก้ าร 19 จดั สรรนา้ ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลข้นึ เป็นธรรม และประหยดั และท่สี าคญั คอื การสรา้ งความเขม้ แขง็ แก่ชมุ ชน 20 เชน่ มกี ารเลอื กตง้ั หวั หนา้ คู หวั หนา้ คลอง ฯลฯ การสรา้ งกองทุนเพอ่ื เป็นค่าใชจ้ ่ายขององคก์ รผูใ้ ชน้ า้ ในการบริหารจดั การ 21 ทง้ั ตวั แทนมกี ารเขา้ ร่วมกบั เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในการวางแผนสง่ นา้ ในคูคลองในแต่ละฤดูการเพาะปลูกดว้ ย (กรมชลประทาน, 2549 22 น. 2-5, กรมชลประทาน, 2550, น. 26-7) 23 กลา่ วโดยสรุป ความขดั แยง้ ต่าง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ หากมกี ารจดั การความขดั แยง้ ท่เี หมาะสม และก่อใหเ้กดิ ประโยชน์ 24 ร่วมกนั ของฝ่ายต่าง ๆ แลว้ ยอ่ มนามาซง่ึ การพฒั นา และการอยู่ร่วมกนั อย่างสงบสุข โดยมเี งอ่ื นไขทเ่ี ก่ยี วขอ้ งความขดั แยง้ 25 พลงั แห่งความสรา้ งสรรคใ์ นการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรมี 3 ประการ คอื ปจั จยั สาเรจ็ แหง่ ความขดั แยง้ มกี ารเปลย่ี น 26 กระบวนทศั น์ และมหี ลกั การ ทกั ษะ ศกั ยภาพ กลยุทธ์ กลวธิ ี และเทคนคิ ต่าง ๆ ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์ ความขดั แยง้ ต่าง 27 ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ หากมกี ารจดั การความขดั แยง้ ทเ่ี หมาะสม และก่อใหเ้กิดประโยชนร์ ่วมกนั ของฝ่ายต่าง ๆ แลว้ ยอ่ มนามาซ่งึ การ 28 พฒั นา และการอยู่ร่วมกนั อยา่ งสงบสุข 29 30 31
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 48 1 2 กจิ กรรมท่ี 12.2.3 3 จงอธิบายเงอ่ื นไขท่เี ก่ยี วขอ้ งความขดั แยง้ พลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคใ์ นการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 4 5 แนวการตอบกจิ กรรมท่ี 12.2.3 6 เงอ่ื นไขท่เี ก่ยี วขอ้ งความขดั แยง้ พลงั แห่งความสรา้ งสรรคใ์ นการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตรทส่ี าคญั มี 3 เงอ่ื นไข 7 ดงั น้ี (1) มปี จั จยั สาเรจ็ แห่งความขดั แยง้ (2) มกี ารเปลย่ี นกระบวนทศั น์ และ (3) มหี ลกั การ ทกั ษะ ศกั ยภาพ กลยทุ ธ์ 8 กลวธิ ี และเทคนิคต่างๆ ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์ 9
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 49 1 ตอนท่ี 12.3 2 การบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 3 โปรดอ่านหวั เร่ือง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 12.3 แลว้ จงึ ศึกษารายละเอยี ดต่อไป 4 5 หวั เร่ือง 6 เร่ืองท่ี 12.3.1 วธิ กี ารบริหารความขดั แยง้ ในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 7 เร่ืองท่ี 12.3.2 กระบวนการบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 8 เร่ืองท่ี 12.3.3 กลยุทธก์ ารบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 9 แนวคิด 10 11 1. วธิ กี ารบริหารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร มี 3 วธิ ี ดงั น้ี วธิ ีการบรหิ ารความขดั แยง้ 12 พ้นื ฐาน 5 วธิ ี ไดแ้ ก่ การหลกี เล่ยี ง การปรองดอง การประนีประนอม การแขง่ ขนั การร่วมมอื วธิ กี ารบริหารความ 13 ขดั แยง้ แบบสนั ตวิ ธิ ี 4 วธิ ี ไดแ้ ก่ การเจรจา การไต่สวน การไกลเ่ กลย่ี การประนีประนอม วธิ ีการบริหารความขดั แยง้ 14 ตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา 2 วธิ ี ไดแ้ ก่ การบรหิ ารความขดั แยง้ ภายใน และการบรหิ ารความขดั แยง้ ภายนอก 15 2. กระบวนการบริหารความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรแบ่งออกเป็น 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 16 เตรียมการพ้นื ฐานเพ่อื ความสาเร็จในการจดั การความขดั แยง้ วเิ คราะหเ์ พ่อื ประเมนิ คู่กรณีและกาหนดกลยุทธก์ าร 17 เจรจา กาหนดกฎกติกาพ้นื ฐาน ทาความชดั เจนของปญั หาขดั แยง้ ร่วมกนั แสวงหาและประเมนิ ทางเลอื กทด่ี ที ่สี ุด และ 18 กาหนดขอ้ ตกลงร่วมกนั 19 3. กลยุทธก์ ารบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร ทส่ี าคญั มี 9 กลยุทธ์ ไดแ้ ก่ กลยุทธ์ 20 ใชใ้ นการไกลเ่ กลย่ี และเจรจาเพ่อื แกป้ ญั หาความขดั แยง้ กลยุทธก์ ารลดระดบั ความตอ้ งการของคู่เจรจาฝ่ายตรงขา้ มลง กลยุทธก์ รอบความคิดในการต่อรอง กลยุทธก์ ารเนน้ ขอ้ ยุตแิ บบชนะ-ชนะแทนแบบชนะ–แพ้ กลยุทธก์ ารสรา้ งความ 21 22 ไวว้ างใจ กลยุทธก์ ารสรา้ งพลงั ร่วม กลยุทธก์ ารร่วมมอื กัน การผสมผสาน หรอื การแกป้ ญั หา กลยุทธก์ ารมคี วามเห็น สอดคลอ้ ง และกลยุทธก์ ารตดั สนิ ใจแบบผสมผสาน 23 24 25 วตั ถปุ ระสงค์ 26 เมอ่ื ศกึ ษาตอนท่ี 12.3 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 27 1. อธิบายวธิ กี ารบริหารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรได้ 28 2. อธิบายกระบวนการบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรได้ 29 3. อธิบายกลยุทธก์ ารบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตรได้
การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 50 1 เร่ืองท่ี 12.3.1 2 วิธีการบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 3 4 5 การบริหารความขดั แยง้ หรอื การจดั การความขดั แยง้ หรือวธิ กี ารแกไ้ ขและลดความขดั แยง้ หรอื ในภาษาองั กฤษ 6 ใชค้ าว่า “conflict management” คอื ความสามารถทจ่ี ะหาวธิ กี ารทจ่ี ะเปลย่ี นจากการทาลายทเ่ี กดิ จากความขดั แยง้ 7 (destructive conflict) ใหก้ ลายมาเป็นการสรา้ งสรรค์ (constructive conflict) ในท่สี ุดความขดั แยง้ จึงไมจ่ าเป็นท่จี ะตอ้ ง 8 ส่งผลในทางลบเสมอไป ในขณะเดยี วกนั เราสามารถเรยี นรูว้ ธิ กี ารบริหารความขดั แยง้ ทเ่ี กิดข้นึ ใหเ้กิดผลในทางบวกเป็นไปใน 9 ดา้ นการสรา้ งสรรค์ (สมชาย ภคภาสววิ ฒั น,์ 2553) โดย รฐั พล เยน็ ใจมา และสุรพล สุยะพรหม (2561,น. 229-236) ได้ 10 อธบิ ายถงึ วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการแกไ้ ขและลดความขดั แยง้ การจดั การความขดั แยง้ หรือการบรหิ ารความขดั แยง้ ไว้ 3 แนวทาง 11 ไดแ้ ก่ วธิ ีการบริหารความขดั แยง้ พ้นื ฐาน วธิ กี ารบริหารความขดั แยง้ แบบสนั ติวธิ ี และวธิ กี ารบรหิ ารความขดั แยง้ ตาม 12 แนวทางพระพุทธศาสนา ดงั น้ี 13 14 วิธกี ารบรหิ ารความขดั แยง้ พ้นื ฐาน 15 การบรหิ ารความขดั แยง้ มหี ลายวธิ ี ข้นึ อยู่กบั สถานการณ์และบุคลกิ ของผูข้ ดั แยง้ วา่ เป็นอย่างไร บคุ คลตอ้ งเลอื กวธิ ี 16 บรหิ ารความขดั แยง้ ใหถ้ กู วธิ ีและพยายามทาใหท้ กุ คนเป็นผูช้ นะ องคก์ รจงึ จะประสบความสาเร็จ สามารถเปลย่ี นจากการ 17 ทาลายท่เี กิดจากความขดั แยง้ (Destructive Conflict) ใหก้ ลายเป็นความขดั แยง้ ทส่ี รา้ งสรรค์ (Constructive Conflict) 18 กลา่ วคือ ตอ้ งมองลงไปท่เี น้อื หาของความขดั แยง้ แทนท่จี ะมองท่ตี วั บุคคล วธิ ีการน้เี ป็นการมงุ่ ทจ่ี ะแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ 19 มากกวา่ การตาหนิ (Blaming) คู่กรณี ซง่ึ ไมก่ ่อใหเ้กดิ ผลดแี ต่กลบั เป็นการกอ่ ใหเ้กดิ ความขดั แยง้ เพม่ิ มากข้นึ เมอ่ื มคี วาม 20 ขดั แยง้ เกิดข้นึ เราจงึ จาเป็นจะตอ้ งเลอื กหาวธิ กี ารต่าง ๆ มาจดั การกบั ความขดั แยง้ นนั้ ๆ ซ่งึ จาแนกตามพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นหลกั 21 สาคญั อนั เป็นวธิ ีการบรหิ ารความขดั แยง้ พ้นื ฐาน 5 วธิ ี ไดแ้ ก่ 22 1. การหลีกเล่ียง (Avoidance) ใน 5 วิธีการแกไ้ ขความขดั แยง้ ทงั้ หมดน้ี การหลีกเล่ียงเป็ นวิธีการท่ีให้ 23 ประสทิ ธิภาพผลนอ้ ยท่สี ุด เน่อื งจากการหลกี เลย่ี งมไิ ดท้ าใหค้ วามขดั แยง้ นน้ั หมดไป แต่เป็นเพยี งการหลบเลย่ี งจากปญั หาท่ี 24 ไมไ่ ดเ้กดิ การแกไ้ ข และพรอ้ มท่จี ะกลบั มาเจอกบั ปญั หาไดอ้ กี ตลอดเวลา รวมทง้ั ยงั อาจเป็นการก่อใหค้ ู่กรณีเกิดโทสะได้ เชน่ 25 ฝ่ายตรงขา้ มอาจจะคิดว่า เราไมใ่ หค้ วามสาคญั หรอื สนใจเพยี งพอในการรบั ฟงั จงึ กลบั กลายเป็นการเพม่ิ ความขดั แยง้ มากข้นึ 26 ไปอกี ผูท้ ่ใี ชว้ ธิ กี ารน้มี กั จะพยายามใหต้ นเองหนีไปจากเหตกุ ารณ์ทเ่ี ป็นปญั หาขดั แยง้ โดยไมย่ ุง่ เก่ยี วกบั ฝ่ายตรงขา้ มทจ่ี ะนา 27 ขอ้ โตแ้ ยง้ เขา้ มาหาตน หรือโดยวิธกี ารเปลย่ี นประเดน็ การสนทนา (Changing Issues) ดงั นนั้ วิธีการหลกี เลย่ี งจึงเป็นการ 28 หนปี ญั หา ผูท้ ่ใี ชว้ ธิ กี ารหลกี เลย่ี งอาจตอ้ งคอยหวาดระแวงวา่ วนั ใดวนั หน่งึ จะหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ จงึ นิยมใชส้ าหรบั ผูอ้ ่อนแอ ไมม่ ี 29 ความสามารถในการเผชญิ หนา้ แต่อาจจะใชไ้ ดด้ สี าหรบั ประเดน็ ปญั หาท่ไี มค่ ่อยจะสาคญั นกั (Smit Sachchukorn, 2007)
Search