Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore SMTE Chemistry_Abstract 2562

SMTE Chemistry_Abstract 2562

Published by kwstme, 2019-08-06 11:02:24

Description: SMTE Chemistry_Abstract 2562

Keywords: Chemistry

Search

Read the Text Version

คาํ นํา สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน เห็นชอบใหมีการจัดกิจกรรม “การประชุมวิชาการนักเรียนหองเรียนพเิ ศษ วิทยาศาสตร คณิตศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม คร้ังท่ี11 เพื่อใหนักเรียนโครงการหองเรียนพิเศษวิทยาศาสตร คณิตศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม ชั้นมัธยมศึกษาปที่6 ประจําปการศึกษา 2562 ไดนําเสนอผลงานโครงงานทางดานวิทยาศาสตรและ คณิตศาสตร พรอมท้ังแลกเปลี่ยนองคความรูกับเพ่ือนๆ นักเรียนตางโรงเรียน จํานวน 32 แหง ไดแก โรงเรียนขอนแกนวิทยายน โ ร ง เ รี ย น กั ล ย า ณ วั ต ร โ ร ง เ รี ย น แ ก น น ค ร วิ ท ย า ลั ย โ ร ง เ รี ย น ชุ ม แ พ ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น ก า ฬ สิ น ธุ พิ ท ย า ส ร ร พ โรงเรียนอนุกูลนารี โรงเรียนสารคามพิทยาคม โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนบรบือวิทยาคาร โรงเรียนวาปปทุม โ ร ง เ รี ย น ป ย ะ ม ห า ร า ช า ลั ย โ ร ง เ รี ย น น ค ร พ น ม วิ ท ย า ค ม โ ร ง เ รี ย น ส ต รี ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น ร อ ย เ อ็ ด วิ ท ย า ลั ย โ ร ง เ รี ย น ส ก ล ร า ช วิ ท ย า นุ กู ล โ ร ง เ รี ย น ธ า ตุ น า ร า ย ณ วิ ท ย า โ ร ง เ รี ย น อุ ด ร พิ ชั ย รั ก ษ พิ ท ย า โ ร ง เ รี ย น เ ต รี ย ม อุ ด ม ศึ ก ษ า ภ า ค ต ะ วั น อ อ ก เ ฉี ย ง เ ห นื อ โ ร ง เ รี ย น อุ ด ร พิ ท ย า นุ กู ล โ ร ง เ รี ย น ส ต รี ร า ชิ นู ทิ ศ โ ร ง เ รี ย น ป ร ะ จั ก ษ ศิ ล ป า ค า ร โ ร ง เ รี ย น ห น อ ง บั ว พิ ท ย า ค า ร โ ร ง เ รี ย น ศ รี บุ ญ เ รื อ ง วิ ท ย า ค า ร โ ร ง เ รี ย น ป ทุ ม เ ท พ วิ ท ย า ค า ร โ ร ง เ รี ย น ชุ ม พ ล โ พ น พิ สั ย โ ร ง เ รี ย น เ ล ย พิ ท ย า ค ม โ ร ง เ รี ย น เ ล ย อ นุ กู ล วิ ท ย า โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯหนองบัวลําภู โรงเรียนศึกษาสงเคราะหธวัชบุรี โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยกาฬสินธุ โ ร ง เ รี ย น เ ฉ ลิ ม พ ร ะ เ กี ย ร ติ ฯ ร อ ย เ อ็ ด แ ล ะ โ ร ง เ รี ย น เ ฉ ลิ ม พ ร ะ เ กี ย ร ติ ฯ ส ก ล น ค ร โ ด ย ก า ร แ บ ง รู ป แ บ บ การนําเสนอโครงงานออกเปน 2 กลุม ไดแก กลุมนําเสนอแบบปากเปลา (Oral Presentation) และกลุมนําเสนอแบบโปสเตอร (Poster Presentation) ซ่ึงจําแนกสาขาโครงงานท้ังสองกลุม ออกเปนการนําเสนอแบบปากเปลาจํานวน 7 สาขา ไดแก 1) สาขาวิชาฟสิกส 2) สาขาวิชาเคมี 3) สาขาวิชาชีววิทยา 4) สาขาวิชาคณิตศาสตร 5) สาขาเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร 6) สาขา วิทยาศาสตรโลกและส่ิงแวดลอม 7) ประเภทการนําเสนอเปนภาษาอังกฤษ การนําเสนอแบบโปสเตอรจํานวน 6 สาขา ไดแก 1) สาขาวิชาฟสิกส 2) สาขาวิชาเคมี 3) สาขาวิชาชีววิทยา 4) สาขาวิชาคณิตศาสตร 5) สาขาเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร 6) สาขา วิทยาศาสตรโลกและสิ่งแวดลอม สําหรับเอกสารเลมน้ีเปนการรวบรวมบทคัดยอของโครงงานทั้งหมดในกลุมนําเสนอ แบบปากเปลา (Oral Presentation) และกลุมนําเสนอโปสเตอร(Poster Presentation) และรายละเอียดของการจัด กิจกรรมฯ ในคร้ังน้ี คณะผูจัดทําหวังเปนอยางยิ่งวา เอกสารฉบับบนี้จะเปนประโยชนตอนักเรียน ครู คณะกรรมการตัดสินและผูเขารวม กิจกรรม และขอขอบพระคุณผเู กี่ยวขอ งทุกทา นที่ไดใหความรวมมือสนบั สนนุ การจัดกิจกรรมในครั้งน้ี คณะผูจดั ทาํ 7 สิงหาคม 2562

สารบญั นาํ เสนอแบบปากเปลา หนา O_CHM 01 การศกึ ษาฤทธ์ิการตานอนุมลู อสิ ระจากใบแสงจันทร 1 O_CHM 02 แผน ฟล ม แปง มันสําปะหลัง 2 O_CHM 03 การศึกษาประสทิ ธภิ าพของแผน ฟล ม จากเคซนี ในนํ้านม 3 O_CHM 04 การแตง เตมิ สยี อ มผา จากสธี รรมชาติ 4 O_CHM 05 ฟล ม หอหมุ อาหารจากวชั พืช 5 O_CHM 06 การสงั เคราะหไ คโตซานไฮโดรเจล โดยใชกลูตารอัลดไี ฮดเ ปนสารเช่ือมขวาง 6 O_CHM 07 การศึกษาประสิทธิภาพการปองกนั หอยทากโดยใชส ารสกัดจากใบสาบแรง สาบกาและ 7 8 ใบแมงลักคา 9 O_CHM 08 การศกึ ษาปฏิกริ ยิ าการหมกั แอลกอฮอลในขา ว กข.6 และ ขา วไรซเ บอรี่ 10 O_CHM 09 การกําจัดจอกหูหนยู ักษด วยสารทดสอบชนดิ ตา งๆ 11 O_CHM 10 การศกึ ษาสมบตั บิ างประการของกาบกลว ยเพ่ือพฒั นาเปนเสอ่ื ทอจากกาบกลว ย 12 O_CHM 11 การเปรยี บเทยี บประสิทธภิ าพการลอกกาวไหม โดยใชน ้ําดางจากวัสดธุ รรมชาติ 13 O_CHM 12 ผลิตภณั ฑขจัดคราบสกปรกบนเส้ือผาจากนา้ํ มะนาว 14 O_CHM 13 การศึกษาประสทิ ธภิ าพการดูดซับโลหะหนกั ของถานซังขาวโพด 15 O_CHM 14 การสงั เคราะหอ นุภาคซิลเวอรน าโนดว ยวิธีเคมีสีเขียวโดยใชสารสกดั จากเปลอื กผลไม 16 O_CHM 15 การศึกษาปจ จัยที่ทาํ ใหส ารละลายอิเล็กโทรไลตเ ปน พลังงานแบตเตอร่ี 17 O_CHM 16 การศึกษาการสังเคราะหฟ ลม จาก CMC 18 O_CHM 17 การเปรียบเทียบประสทิ ธภิ าพในการทนความรอ น 19 O_CHM 18 เปรียบเทียบประสทิ ธภิ าพในการดูดซับตะก่วั โดยซิลิกาจากเปลอื กขาวโพด แกลบขา ว 20 21 และชานออ ย 22 O_CHM 19 ฤทธิต์ า นอะนมุ ลู อิสระของสารสกดั โปรตีนหยาบจากดักแดไหม สายพันธุร อยเอด็ 3 23 O_CHM 20 การศกึ ษาเปรยี บเทียบอัตราสวนผสมของวสั ดดุ ูดความชนื้ ขากธรรมชาติและซลิ กิ าใน 24 25 การดดู ความช้ืนของมันฝรั่งทอดกรอบ 26 O_CHM 21 เทคนคิ การยอมสที ส่ี ามารถลดระนะเวลาการยอมดวยสารละลายเปลอื กประดู 27 O_CHM 22 ประสทิ ธภิ าพในการดูดซบั สารตะกั่วของสารสกัดจากเปลือกทับทมิ และหมาก 28 O_CHM 23 การเพ่ิมประสทิ ธิภาพโฟมโปรตีนดับเพลิงจากไมยราบยักษด วยนาโนซงิ คอ อกไซด O_CHM 24 การศึกษาฤทธิ์ในการตา นอนมุ ูลอสิ ระจากลกู หวา นาํ เสนอแบบโปสเตอร P_CHM 01 ตรวจสอบสารฟอกขาวดวยกระดาษสารสกดั จากพชื P_CHM 02 ประสทิ ธภิ าพของสารสกดั จากกระชายดาํ ตอการยับยงั้ เชื้อราในกระเทยี ม P_CHM 03 ผลของสารละลายฝก คูนและใบหูกวางตอ หอยเชอร่ี P_CHM 04 การศึกษาสียอ มผมหงอกจากใบเทียนก่ิง กากกาแฟ และดอกอญั ชัน

นําเสนอแบบโปสเตอร หนา P_CHM 05 การศึกษาการเปรยี บเทียบประสิทธภิ าพวัสดุดูดซบั จากเถา ตอซังขาวดว ยวธิ กี าร 29 30 ตกตะกอน 31 P_CHM 06 การศึกษาการบาํ บดั นํา้ จากแหลงนํ้าผิวดินทเี่ ปน นาํ้ เสียจากชมุ ชนเมอื งโดยใชพชื ลอยนาํ้ 32 P_CHM 07 การเปรยี บเทียบประสทิ ธภิ าพของกรดฟอรมิกในน้ําหมกั กลว ยนํ้าวาและมะละกอ 33 P_CHM 08 การสงั เคราะหคารบ อกซิเมทธิลเซลลูโลสจากเปลือกสมโอ 34 P_CHM 09 การศกึ ษาความเขมขน ของสารสกดั หยาบจากใบมะละกอผสมนาโนซงิ คอ อกไซด ในการ 35 36 ยบั ย้ังสาเหตุโรคของใบแหง 37 P_CHM 10 อตั ราสวนที่มีผลตอ การติดทนของสีในผา สกรีน 38 P_CHM 11 ถังดกั ไขมันดวยตวั ดดู ซบั จากฝา ย ฟางขาว และกากมะพรา ว 39 P_CHM 12 การศึกษาการเปรียบเทียบประสทิ ธภิ าพการดูดซบั โลหะหนกั ตะก่วั จากสารสกัดสมนุ ไพร 40 41 4 ชนิด 42 P_CHM 13 การหารอยลายน้วิ มือแฝงบนวัตถพุ ยานทเี่ ปนโลหะโดยใชเซลลไ ฟฟา เคมี 43 P_CHM 14 การศึกษาประสทิ ธภิ าพของแอลกอฮอลแข็งทีผ่ สมดว ยอนภุ าคนาโน 44 P_CHM 15 สบทู ํามือแบบกอ นขุน 45 P_CHM 16 การปรบั ปรุงผาดว ยซิงคออกไซดและซิลิกอลออกไซด 46 P_CHM 17 การศกึ ษาปจ จยั ท่มี ผี ลตอการตดิ สใี นการยอ มคราม 47 P_CHM 18 การพัฒนาชดุ ตรวจหารอยลายนว้ิ มอื แฝงบนวตั ถพุ ้ืนผิวเปยกไมม ีรูพรนุ 48 P_CHM 19 การศึกษาหาปรมิ าณสารประกอบฟนอลรวมจากพืชสมุนไพรพืน้ บาน 49 P_CHM 20 กระดาษจากกาบกลวย 50 P_CHM 21 การชะลอการเกดิ สีนา้ํ ตาลในผลไมโดยใชส ารส 51 P_CHM 22 ซงิ คอ อกไซดจากใบเขลง 52 P_CHM 23 การสกดั เพคตนิ จากเปลือกสม 53 P_CHM 24 การศึกษาอตั ราสวนปยุ ทม่ี ผี ลตอการเจริญเติบโตของพืช 54 P_CHM 25 การเปรียบเทยี บการกรอ นสนมิ ดว ยสารละลายอิเลก็ ทรอไลต 55 P_CHM 26 ดดู ซับตะก่ัวโลหะหนัก 56 P_CHM 27 การศึกษาสมบตั ิเบือ้ งตน ของพลาสติกทย่ี อ ยสลายไดทางชีวภาพ (Biodegradable 57 plastics) ทมี่ สี ว นผสมระหวา งโฟมกับเสนใยจากธรรมชาติ P_CHM 28 การสกัดฟอรมาลีนในอาหารทะเลดวยสารสกัดจากใบหญา นาง P_CHM 29 น้าํ หมึกจากธรรมชาติ P_CHM 30 การตรวจสอบปรมิ าณและฤทธ์ยิ ับยงั้ แบคทีเรยี ของสารแทนนินท่สี กดั จากพืช P_CHM 31 การเปรียบเทยี บประสทิ ธภิ าพของการลอกกาวของเสน ไหมระหวา งสารซาโปนิน P_CHM 32 การศกึ ษาประสิทธภิ าพการกาํ จดั สยี อมในหอ งปฏบิ ัติการจากเปลือกผลไม P_CHM 33 พลาสติกชีวภาพจากไสค ลา



หนา 1 การศกึ ษาฤทธกิ์ ารต้านอนมุ ูลอิสระจากใบแสงจนั ทร์ ยศวันต์ ธวลั รตั นเ์ ดชาธร1, คชาภรณ์ เมฆขยาย1, ภารดี สิมสวสั ด์ิ1, เจษฎา กาญจนาจินดานนั ต2์ , สุพัตรา ไชยจันหอม2 1นักเรียนโรงเรยี นเลยพิทยาคม, E-mail : [email protected] 2ครโู รงเรียนเลยพิทยาคม, E-mail : [email protected] บทคดั ย่อ การศึกษาฤทธิก์ ารต้านอนุมูลอสิ ระจากใบแสงจันทร์ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาร้อยละการต้านอนุมูลอิสระ จากสารสกดั หยาบจากใบแสงจนั ทร์ โดยใช้ตัวทาละลายอนิ ทรยี ์ท่ีแตกต่างกนั ได้แก่ เฮกเซน (Hexane) เอทานอล (Ethanol) และเมทานอล (Methanol) โดยนาใบแสงจันทร์ (Pisonia grandris R. Br.) ที่ตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียดปริมาณ 50 กรมั แช่ในตัวทาละลายอินทรยี ์ปริมาตร 500 มิลลิลติ ร ได้แก่ เฮกเซน เอทานอล และเมทานอลในภาชนะปิด เป็นระยะเวลา 5 วัน จากนั้นกรองแลว้ นาสารท่ีได้มาระเหยตวั ทาละลายออกโดยใช้เคร่ืองระเหยสุญญากาศแบบหมุน (Rotary evaporator) จะทาให้ได้สารสกัดหยาบจากใบแสงจันทร์ แล้วนาสารละลายตัวอย่างมาทดสอบฤทธ์ิการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay และนามาวัดค่าดูดกลืนคล่นื แสงที่ความยาวคลื่นแสงท่ี 515 นาโนเมตร พบว่าสารสกัดหยาบจากใบแสงจันทร์ท่ีสกัด ด้วยเมทานอลมฤี ทธิ์การต้านอนมุ ูลอสิ ระมากทีส่ ดุ โดยมีคา่ การตา้ นอนุมูลอสิ ระอย่รู อ้ ยละ 36.83 รองลงมาคือ สารสกดั หยาบ จากใบแสงจันทร์ที่สกัดด้วยเฮกเซนโดยมีค่าการต้านอนุมูลอิสระร้อยละ 21.83 ส่วนสารสกัดหยาบจากใบแสงจันทร์ท่ีสกัด ด้วยเอทานอลมคี ่าการต้านอนมุ ูลอสิ ระรอ้ ยละ 18.00 คาสาคญั : ใบแสงจนั ทร์; Pisonia grandris R. Br.; ฤทธ์ิการตา้ นอนุมลู อสิ ระ

หนา 2 แผน่ ฟิล์มจากแปง้ มนั สาปะหลังเสรมิ ด้วยเสน้ ใยเซลลูโลสจากสับปะรด กชสมนพรรณ สันหา1 , กานต์ชนก ถาละคร1 , เจตสภุ า ทาขันทา1 ชมุ พร ดอนชวนชม2 1นักเรยี นโรงเรยี นปทุมเทพวทิ ยาคาร, Email: [email protected] 2 โรงเรียนปทมุ เทพวทิ ยาคาร บทคัดย่อ การวจิ ยั ครง้ั นีม้ วี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาปรมิ าณแปง้ ท่ีเหมาะสมในการทาแผ่นฟลิ ์มชวี ภาพจากแป้ง มนั สาปะหลัง เพ่ือศึกษาความยดื หยุน่ ของแผน่ ฟลิ ม์ ชีวภาพทเี่ สริมด้วยเสน้ ใยเซลลูโลสจากสบั ปะรด เพื่อเปรียบเทียบการยอ่ ยสลายของแผน่ ฟิลม์ ชวี ภาพกับแผน่ ฟิลม์ ตามท้องตลาด และเพ่ือเพ่ิมมลู ค่าของพชื ใน ท้องถ่นิ การศกึ ษาปริมาณแป้งท่ีเหมาะสม ปจั จยั ที่ทาการศกึ ษา คือ ปริมาณแปง้ มนั สาปะหลงั โดยแปรเป็น4 ระดบั คือ 50 100 150 และ 200 กรมั โดยนาแต่ระดบั ไปผสมนา้ 1:3 ได้แก่ 150 300 450 และ 600 มลิ ลลิ ติ รตามลาดบั จากนัน้ นาไปผสมกับกลเี ซอรอลปรมิ าณ 50 มิลลิลติ รและเซลลโู ลสจากเปลือก สบั ปะรดปริมาณ 50 กรัมปั่นใหเ้ ขา้ กนั นาไปขึน้ รูปแผน่ ฟลิ ์มอบทีค่ วามร้อน 60 องศาเซลเซยี ส แล้วนามา วเิ คราะหค์ ุณภาพทางเคมีและกายภาพของแผน่ ฟลิ ม์ ชีวภาพจากแปง้ สาปะหลงั ที่เสรมิ ด้วยเส้นใยเซลลูโลสจาก สบั ปะรด ได้แก่ ลักษณะทีป่ รากฏ สีของแผน่ ฟลิ ์มคา่ ความช้ืน ความยดื หยุน่ และเปรยี บเทียบประสทิ ธภิ าพการ ย่อยสลายได้กับแผ่นฟิลม์ ตามท้องตลาด จากนนั้ ทาการคดั เลอื กการทดลองท่ีดที ่สี ุด เพือ่ นามาสร้างเป็น แผ่นฟลิ ม์ ชีวภาพท่ีสามารถใช้ประโยชนไ์ ดต้ ่อไป ผลการวิจัย พบวา่ แผ่นฟลิ ์มชวี ภาพจากแป้งมันสาปะหลงั เสรมิ ด้วยเส้นใยเซลลูโลสจากสบั ปะรดที่มี ปรมิ าณแป้ง 100 กรัม มีความเหมาะสมในการนามาผลติ เป็นแผน่ ฟิลม์ ชีวภาพจากแปง้ สาปะหลงั เสริมดว้ ย เสน้ ใยเซลลูโลสจากสบั ปะรดมากท่ีสดุ โดยมีลักษณะปรากฏสามารถเกาะตัวกันแนน่ เป็นแผ่นได้ดี สขี อง แผน่ ฟลิ ม์ มสี ีเหลอื งใส ไม่มีฟองอากาศ ค่าความชืน้ ร้อยละ 11.20 ค่าความยืดหยนุ่ 14.92 Keywords: แผน่ ฟิลม์ จากแปง้ มันสาปะหลัง, เซลลูโลสจากสบั ปะรด

หนา 3 การศึกษาประสทิ ธิภาพของแผ่นฟิล์มจากเคซนี ในนา้ นม พิชญาภา ค้าดบี ญุ 1 และ ทพิ ประภาพร แก้วค้าแสน1 สธุ าสินี เหลอื งกจิ ไพบลู ย2์ 1นกั เรยี นโรงเรยี นปทุมเทพวิทยาคาร, E-mail: [email protected] 2โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร บทคดั ย่อ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เรื่องการศึกษาประสิทธิภาพของแผน่ ฟลิ ม์ จากเคซีนในน้านม มีวตั ถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาและ พัฒนาขันตอนการท้าแผ่นฟิล์มจากเคซีนในน้านม 2.ศึกษาสมบัติทางกายภาพ ซ่ึงก็คือ ความต้านทานการซึมผ่านของไอน้า และ 3.ศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์ของแผ่นฟิล์ม เพ่ือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกใช้แผ่นฟิล์มท่ีสามารถช่วยลด ผลกระทบที่อาจเกดิ ต่อสิ่งแวดลอ้ มได้ คณะผู้จดั ท้าไดท้ ้าการสกัดเคซีน โดยใชค้ วามรอ้ นและกรดอะซิติกเขม้ ขน้ 5%v/v จากนนั นา้ เคซีนทไ่ี ด้ท้าการขึนรูป โดยใช้อตั ราสว่ นระหว่างเคซนี ตอ่ กลเี ซอรนี ที่แตกตา่ งกนั คือ 10 : 90, 30 : 50, 50 : 50, 70 :30, 90 : 10 และน้าแผ่นฟิล์มท่ี ขึนรูปได้ไปศึกษาประสิทธิภาพของแผ่นฟิล์ม คือ ความต้านทานการซึมผ่านของไอน้า โดยการวัดมวลท่ีเปลี่ยนไปของน้าใน บีกเกอร์ที่มีแผ่นฟิล์มครอบไว้ เม่ือเวลาผ่านไปทุกๆ 2 นาที เป็นเวลา 10 นาที จากนันศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์ของ แผ่นฟิล์ม ด้วยการเปรียบเทียบพริกท่ีถูกห่อด้วยแผ่นฟิล์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและพริกท่ีไม่ถูกห่อด้วยแผ่นฟิล์ม เพื่อ ทดสอบการชะลอการเนา่ เสียของพรกิ จากการศึกษาพบว่า อัตราส่วนระหว่างเคซีนต่อกลีเซอรีนที่สามารถขึนรูปได้ดี คือ 10 : 90 ซ่ึงอัตราส่วนดังกล่าว สามารถต้านทานการซึมผ่านของไอน้าได้ดีที่สุด โดยอัตราเฉลี่ยการซึมผ่านของไอน้า คือ 0.01 g/min และจากการทดสอบ การชะลอการเนา่ เสยี ของพริก โดยการเปรียบเทียบระหวา่ งพรกิ ทีถ่ กู หอ่ ดว้ ยแผ่นฟิล์มท่มี ปี ระสทิ ธิภาพมากที่สุดและพริกท่ีไม่ ถกู หอ่ ดว้ ยแผ่นฟิลม์ พบว่า พริกท่ีถกู หอ่ ด้วยแผน่ ฟิลม์ เกิดการเน่าเสยี ชา้ กวา่ พรกิ ท่ีไมถ่ ูกห่อด้วยแผ่นฟิลม์ Keywords: แผ่นฟิล์มชวี ภาพ, เคซนี , น้านม

หนา 4 การแต่งเติมสีย้อมผ้าจากสธี รรมชาติ Natural fabric dyes ชนาภทั ร แกว้ อนิ ทร์1 , นฤมล ศรคี งเพชร1 , วชริ ญา สอนสาระ1 ภาสกร กลิน่ มาลี2 , ลลิตา บุญเถงิ 2 1นักเรยี นโรงเรียนสตรรี าชินูทิศ , Email: [email protected] 2โรงเรียนสตรีราชินทู ศิ บทคัดย่อ โครงงานการแต่งเติมสีย้อมผ้าจากสีธรรมชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาหาวิธีการย้อมที่ เหมาะสมในการใช้สีที่สกัดได้จากใบเทียนกิ่ง เพื่อศึกษาสารท่ีเป็นตัวมอร์แดนท์ท่ีเหมาะสมในการย้อมจากสีที่ สกัดจากใบเทียนกิ่ง ได้ทาการศึกษาหาสารที่เป็นมอร์แดนท์ที่เหมาะสมในการสกัดสีธรรมชาติจากใบเทียนกิ่ง ซึง่ ได้จากมอร์แดนท์ 5 ตัว ได้แก่ สารส้ม นาปูนขาว นาสนิม เกลือแกง และนาปูนใส พบว่าสารส้มและนาปูน ขาวเป็นสารมอรแ์ ดนท์ที่เหมาะสมท่ีสุดและเปรยี บเทียบความเขม้ สีบนผ้าที่ย้อมด้วยวิธี 1. ย้อมร้อนในนาเดือด ที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส 2. ย้อมเย็นที่อุณหภูมิปกติ พบว่าวิธีการย้อมร้อนทาให้ผ้า มีความเข้มของสี มากกว่าวิธีการย้อมเย็น ดังนันวิธีการย้อมร้อนเป็นวิธีที่เหมาะสมท่ีสุดในการย้อมผ้าโดยใช้สารส้มและนาปูน ขาวเป็นสารมอร์แดนท์ ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้พบว่า มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มี ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.60 คาสาคญั : ใบเทียนก่ิง , มอร์แดนท์

หนา 5 ฟิลม์ หอ่ หมุ้ อาหารจากวชั พชื เจรญิ วฒุ ิ บรรณสาร1 , บารมี ชืน่ นริ นั ดร์1 , ชาลณิ ี วงศช์ า1 ธนศกั ด์ิ เจรญิ ธรรม2 , จติ รว์ ะดี ผุสดี2 1นกั เรียนโรงเรยี นอนกุ ลุ นารี , [email protected] ,2 โรงเรียนอนกุ ลู นารี บทคัดยอ่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เร่อื งฟิล์มหอ่ หุ้มอาหารจากวัชพืช ซึ่งในการศกึ ษาใช้วชั พชื 3 ชนดิ ไดแ้ ก่ ผักตบชวา ธปู ฤาษี และหญา้ คา ซ่งึ วัชพืชเหลา่ น้มี เี ซลลูโลสเปน็ องค์ประกอบ ผู้จดั ทาจงึ สนใจสกัดเซลลูโลส จากวัชพชื จากน้นั ดดั แปรเซลลูโลส เป็นคาร์บอกซเี มทลิ เซลลูโลส(CMC) กอ่ นนาไปผลิตเป็นแผน่ ฟลิ ม์ ซ่งึ ฟิล์มทีผ่ ลติ ขน้ึ สามารถย่อยสลายทางชวี ภาพได้ เพอ่ื เป็น การเพ่มิ มลู คา่ ใหแ้ กว่ ชั พืช ลดการใช้ฟลิ ์มทางการคา้ ซง่ึ ในการกาจัดส่งผลตอ่ ภาวะโลกร้อน เป็นการเพ่มิ ความสาคญั ของ ผลติ ภณั ฑ์รักษส์ ่งิ แวดลอ้ มและผลติ ภณั ฑ์ทดแทนพลาสติกท่ีทั่วโลกให้ความสาคัญ และเป็นการสง่ เสรมิ การพัฒนา อุตสาหกรรมพลาสตกิ ชีวภาพเพอ่ื ใหอ้ ตุ สาหกรรมพลาสตกิ ชีวภาพเปน็ อุตสาหกรรมเพื่ออนาคตของประเทศ ดงั นนั้ คณะผู้ทาโครงงานจึงได้ศกึ ษา 1. วัชพชื ทเี่ หมาะสมในการสกัดเซลลูโลส 2. การดดั แปรเซลลโู ลสเปน็ CMC 3. ความเข้มขน้ ทีเ่ หมาะสมในการผลติ ฟลิ ์ม CMC 4. สมบัตทิ างกายภาพและทางเคมีของฟิลม์ 5. ความพึงพอใจตอ่ การใช้ ฟิลม์ จากการศกึ ษาพบวา่ วัชพืชท่ีมปี ริมาณเซลลโู ลสสูงสดุ คอื ธูปฤาษี ผกั ตบชวา และหญ้าคา ตามลาดบั แตเ่ ลอื ก ผักตบชวาเน่ืองจากเปน็ วชั พชื ที่สาคัญในประเทศ สภาวะทเ่ี หมาะสมต่อการสกดั เซลลโู ลสจากผกั ตบชวา คือ ใช้ NaOH ความ เขม้ ขน้ 0.5 M ทอ่ี ุณหภูมิ 90ºc เป็นเวลา 2 ชั่วโมงสามารถดดั แปรเซลลโู ลสเป็น CMC ได้เซลลโู ลสและ CMC ทไ่ี ดม้ คี วาม บริสุทธใิ์ กลเ้ คยี งกับทางการค้า ทกุ ความเขม้ ขน้ ของ CMC จากผกั ตบชวาสามารถข้นึ รูปฟลิ ์มได้ เม่ือปรมิ าณของกลีเซอรอล เพ่ิมขน้ึ สง่ ผลให้คา่ การตา้ นทานแรงดงึ ขาดลดลง แตค่ ่าเปอรเ์ ซน็ ต์การยืดตัว และคา่ การแพรผ่ า่ นไอน้าเพม่ิ ขึน้ ฟลิ ม์ CMC จาก ผักตบชวา ความเขม้ ขน้ รอ้ ยละ 12.5 มีค่า tensile stress และคา่ tensile strain ใกลเ้ คยี งกับฟิลม์ ทางการค้าเมือ่ ความ เข้มข้นของฟิล์มCMC มากขน้ึ อัตราการแพรผ่ ่านไอน้ามคี ่าลดลง โดยฟลิ ์มทผ่ี ลิตขน้ึ มอี ตั ราการแพรผ่ า่ นไอน้าใกล้เคียงกับฟลิ ์ม ห่ออาหารทางการค้าฟลิ ์มCMC จากผักตบชวามีความใสใกลเ้ คียงกบั ฟลิ ม์ ทางการคา้ ฟลิ ม์ CMC จากผกั ตบชวาสามารถยอ่ ย สลายไดห้ มดภายในเวลา 11 ชว่ั โมง ในขณะทฟี่ ลิ ์มทางการคา้ ไมส่ ามารถย่อยสลายได้ ฟิลม์ CMC จากผักตบชวาคงสภาพได้ท่ี อณุ หภมู ิ 30ºc และ 60ºc ฟลิ ม์ CMC จากผักตบชวาสามารถเกบ็ กลว้ ยไวไ้ ดน้ าน 13 วัน เช่นเดยี วกบั ฟิลม์ ทางการคา้ ผ้ใู ช้ ฟลิ ์มมคี วามพึงพอใจโดยรวมระดบั มากท่สี ดุ ทัง้ 10 รายการ จากกผลการศึกษาทัง้ หมดจะเหน็ ได้วา่ ฟลิ ์มCMC จากผักตบชวาทผ่ี ลติ ข้นึ สามารถนามาใช้แทนฟลิ ม์ ทางการค้าได้ เป็นอยา่ งดี คาสาคญั : ผักตบชวา, ธปู ฤาษี, หญ้าคา, ฟลิ ์มห่อหมุ้ อาหาร

หนา 6 การสงั เคราะหไ์ คโตซานไฮโดรเจล โดยใชก้ ลูตาร์อัลดีไฮด์เป็นสารเช่ือมขวาง เพื่อปลดปล่อยปยุ๋ ฟอสเฟต ปัญญาพร ลานา้ เที่ยง1 , นนทกร ฐานวเิ ศษ1 , ณัฐชา หมืน่ ชัย1 รงุ่ ระวี ศริ บิ ญุ นาม2 และ พิเชษฐ์ กางโหลน2 1นักเรยี นโรงเรยี นสารคามพิทยาคม, E-mail: [email protected] 2โรงเรียนสารคามพิทยาคม บทคัดยอ่ โครงงานเรื่องการสังเคราะห์ไคโตซานไฮโดรเจล โดยใช้กลูตาร์อัลดีไฮด์เป็นสารเช่ือมขวาง เพ่ือปลดปล่อยปุ๋ย ฟอสเฟต มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื การสังเคราะหไ์ ฮโดรเจล อตั ราการพองตวั ของไฮโดรเจล และ อัตราการปลดปล่อยปุ๋ยฟอสเฟส ผลที่ได้จากการทดลองพบว่า การใช้กลูตาร์อัลดีไฮด์เป็นสารเชื่อมขวาง เพ่ือปลดปล่อยปุ๋ยฟอสเฟตและเม่ือนาเม็ดปุ๋ยไคโต ซานไฮโดรเจล ท่ไี ด้ไปใสท่ ่ีกระถางเพาะปลูก และรดนาเม็ดป๋ยุ ไคโตซานไฮโดรเจล เกดิ การพองตัวของเม็ดปุ๋ยไคโตซานไฮโดร เจลขึนประมาณ 2 เท่า และเม่ือนานาท่ีอยู่ในดินที่มีเม็ดปุ๋ยไคโตซานไฮโดรเจล มาตรวจสอบหาปริมาณฟอสเฟต ซึ่งพบ ปริมาณฟอสเฟตในนาอย่ใู นช่วง 16-32 µg /ml โดยพบว่าเม็ดปุ๋ยไคโตซานไฮโดรเจลที่ไม่มีปุ๋ยฟอสเฟต ปลดปล่อยฟอสเฟต ออกมามีคา่ เฉลย่ี เทา่ กบั 22.28 µg /ml เมด็ ปยุ๋ ไคโตซานไฮโดรเจลท่บี รรจฟุ อสเฟต 2 M ปลดปล่อยฟอสเฟตมีคา่ เฉลีย่ เทา่ กับ 27.66 µg /ml และเม็ดปุ๋ยไคโตซานไฮโดรเจลท่ีบรรจุฟอสเฟต 3 M ปลดปล่อยฟอสเฟตมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 31.33 µg /ml จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า เม็ดปุ๋ยไคโตซานไฮโดรเจลมีการปลดปล่อยปุ๋ยฟอสเฟตสามารถนาไปใช้สาหรับปรับปรุงดิน เพ่ิมธาตอุ าหารในดิน ยง่ิ บรรจุฟอสเฟตมากก็ย่งิ ปลดปลอ่ ยฟอสเฟตมาก คา้ สา้ คญั : ไฮโดรเจล, ปุย๋ ฟอสเฟต

หนา 7 การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพการป้องกันหอยทากโดยใช้สารสกัดจากใบสาบแรง้ สาบกาและใบแมงลักคา นางสาวธิดารัตน์ สงิ ซิว1 , นางสาววิภาดา เนียงอาชา1 คณุ ครสู มยง พวงมาลยั 2 1 นักเรยี นโรงเรยี นหนองบวั พทิ ยาคาร, Email : [email protected] 2 โรงเรียนหนองบวั พทิ ยาคาร บทคัดยอ่ การศึกษาประสทิ ธภิ าพการปอ้ งกันหอยทากโดยใชส้ ารสกดั จากใบสาบแร้งสาบกาและใบแมงลักคา จดุ ประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศกึ ษาวธิ กี ารปอ้ งกนั หอยทากโดยสารสกดั จากใบสาบแร้งสาบกาและแมงลักคา 2) เพอื่ เปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพในการ ป้องกนั หอยทาก ระหว่างสารสกดั ทไี่ ด้จากใบสาบแร้งสาบกาและใบแมงลกั คา 3) เพือ่ หาอตั ราส่วนท่เี หมาะสมของสารสกดั จากใบสาบแรง้ สาบกาและใบแมงลกั คาในการป้องกันหอยทาก ในการทดลองชุดที่ 1 การสกดั ใบสาบแร้งสาบกาและใบแมงลกั คา โดยใช้อตั ราสว่ นของใบสาบแรง้ สาบกาและใบ แมงลักคา ตอ่ น้า ในอตั ราส่วน 100 g : 100ml เมื่อไดอ้ ัตราสว่ นทต่ี อ้ งการแล้วนา้ มากรองด้วยผา้ ขาวบาง จากนันน้าสารสกดั ที่ไดจ้ ากใบสาบแร้งสาบกาและแมงลกั คาไปใช้ในการทดลองชุดที่ 2 การทดลองชดุ ที่ 2 น้าหอยทากทอ่ี ดอาหาร 1 วัน ไปวางใส่ ภาชนะละ 5 ตวั โดยนา้ สารแต่ละชนิดท่ีมอี ัตราสว่ น 100 g : 100 ml มาเจือจางดว้ ยนา้ 10 ml 20 ml และ 30 ml จากนนั ฉีดพน่ สารสกัดชนดิ ละ 5 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตรใหห้ มดและท่วั ใบพืชทีจ่ ะทดลอง โดยแยกออกเปน็ ชุดท่ี 1 ฉีดพน่ สารสกัดของใบ สาบแร้งสาบกา ชุดที่ 2 ฉีดพน่ สารสกดั ของใบแมงลักคา ชดุ ที่ 3 ฉีดพน่ ด้วยนา้ เปลา่ แล้วสงั เกตการณ์เคลอื่ นที่ของหอยทาก โดยแบง่ เปน็ 3 ชว่ ง ชว่ งละ 30 นาที เมื่อทา้ การทดลอง การสารสกดั จากใบสาบแรง้ สาบกาและใบแมงลกั คา ในอตั ราส่วน 100 g :100 ml และเจอื จางนา้ 2o ml เปน็ ปริมาณทด่ี ีท่ีสุด พบวา่ หอยทากไม่กดั กนิ พชื ชุดท่ี 1 และชุดที่ 2 เปน็ สารสกดั จาก ใบสาบแรง้ สาบกาและใบแมงลกั คาสามารถป้องกนั หอยทากจากพชื ทางการเกษตรได้ แตส่ ารสกัดจากใบแมงลักคามกี ล่นิ ฉนุ ที่ มากกว่าใบสาบแรง้ สาบกา จงึ มปี ระสิทธภิ าพในการป้องกนั หอยทากไดด้ ีกว่าสารสกัดจากใบสาบแรง้ สาบกา ดงั นนั การศกึ ษา ประสิทธภิ าพทม่ี ผี ลตอ่ การปอ้ งกนั หอยทากโดยใชส้ ารสกดั จากใบสาบแร้งสาบกาและใบแมงลกั คา สามารถปอ้ งกนั ศัตรพู ืช อย่างหอยทากได้ ไมท่ า้ ใหพ้ ืชทางการเกษตรต่างๆของเกษตรกรเสยี หาย อกี ทังทา้ ให้สามารถประหยดั ค่าใชจ้ ่ายได้ และไม่สรา้ ง มลพษิ ตอ่ สิ่งแวดล้อม จงึ เปน็ อีกแนวทางหน่ึงในการป้องกนั หอยทากทไี่ ดผ้ ลอยา่ งดี คาสาคญั : หอยทาก ใบสาบแร้งสาบกา ใบแมงลักคา

หนา 8 วจิ ยั เรื่อง บทคดั ยอ่ คณุ ครูท่ปี รึกษา การศกึ ษาปฏกิ ริ ิยาการหมกั แอลกอฮอล์ในข้าว กข.6 และ ข้าวไรซ์เบอร่ี คณะผจู้ ัดทา นางยวุ รรณ สาขา นายไกรลาศ วงคอ์ นิ อยู่ นางสาวปนัดดา อนิ ธแิ สน นายภานุพงษ์ ศรรี ะวงค์ นางสาวปัณฑติ า เมอื งยศ ประจาปีการศึกษา 2562 โครงงานน้ีเปน็ การศกึ ษาปฏิกิรยิ าการหมกั แอลกอฮอลใ์ นข้าว กข. 6 และข้าวไรซ์เบอรี่ และเปรยี บเทียบคุณภาพการ หมักจากข้าว กข. 6 และ ขา้ วไรซ์เบอร่ี โดยทาการหมกั จากขา้ วทั้งสองชนดิ ชนดิ ละ 3 ถัง ซ้า รวม 6 ถงั ใช้ระยะเวลาในการ หมัก 14 วนั ในระหว่างการหมักได้ทาการตรวจวดั คณุ ภาพของอุณหภูมิ พเี อช ความหวาน และปริมาณแอลกอฮอล์ รวมเปน็ 4 พารามเิ ตอร์ แล้วนาคา่ พารามเิ ตอรท์ ีต่ รวจวดั ไดข้ องการหมักทั้ง 2 ชนดิ มาเปรียบเทยี บกนั การหมักมีอณุ หภมู ิไมค่ งท่ี และทอี่ ุณหภมู ใิ กล้เคียงกัน การวดั ค่าพเี อช พบวา่ ขา้ วทงั้ 2 ชนิด มคี า่ ลดลงอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง การวดั ค่าความหวาน พบวา่ ขา้ วทง้ั 2 ชนิด มีค่าความหวานลดลง คา่ แอลกอฮอลลต์ รวจวดั ในระยะเวลาการหมัก ทผ่ี า่ นไป 14 วนั และพบวา่ ค่าแอลกอฮอล์ของข้าว กข. 6 มากวา่ คา่ แอลกอฮอลข์ องขา้ วไรซ์เบอรี่

หนา 9 โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง การกาจัดจอกหหู นูยักษด์ ้วยสารทดสอบชนดิ ต่างๆ นายกัปตัน แรงสงู เนนิ 1 , นายพทิ พล แถวปดั ถา1 นายภูรนิ ทร์ , ประจันนวล1 นางสาวนุชนภา พลสรรค์2 และ นายพเิ ชษฐ สุม่ มาตย์2 1นกั เรียนโรงเรยี นอดุ รพทิ ยานุกลู , Email : [email protected] 2 โรงเรยี นอุดรพทิ ยานกุ ลู บทคดั ย่อ อา่ งเกบ็ น้าพาน อ.สรา้ งคอม แหลง่ นา้ สา้ คัญของจังหวัดอดุ รธานี โดยเปน็ แหลง่ น้าเพ่อื การผลิตประปา การเกษตร และการประมง กา้ ลังประสบปญั หาจากวชั พืชนา้ ผักตบชวา จอกบ้าน โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ จอกหูหนูยกั ษ์ ขนึ ปกคลมุ เป็นพนื ท่ี กว้าง เม่ือจอกหูหนยู ักษ์ปกคลมุ เตม็ ผิวน้า ปรมิ าณแสงแดดไมเ่ พยี งพอตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืชน้า เปน็ ผลให้มีปรมิ าณ ออกซเิ จนในนา้ ลดลง ทา้ ให้สัตว์นา้ หรอื สง่ิ มชี ีวติ อ่ืนๆทตี่ อ้ งการออกซเิ จนตายได้ น้าเน่าเสีย รวมทงั ยังกีดขวางการคมนาคม ทางนา้ ด้วย คณะผจู้ ดั ทา้ จึงไดส้ นใจศกึ ษาผลการกา้ จดั จอกหหู นยู กั ษโ์ ดยใช้วธิ ีการพ่นสารทงั จากสารก้าจัดชนิดตา่ งๆท่ีสามารถ ทา้ ลายและใช้ในการควบคมุ ปริมาณจอกหูหนยู ักษไ์ ด้อย่างยงั่ ยนื ต่อไป ซึ่งมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือศกึ ษาและทดสอบหาสารท่มี ี ประสทิ ธภิ าพในการท้าลายจอกหหู นูยกั ษ์ โดยการเลือกจอกหหู นยู กั ษ์มาบรรจลุ งในภาชนะบรรจจุ ากนนั ฉดี สารทดสอบชนดิ ตา่ งๆไดแ้ ก่ ผงซักฟอก, ไบโอดเี ซล, น้ามนั เครือ่ ง, สตู รที่ 1 ผสมสารระหว่าง ผงซักฟอก ไบโอดเี ซล น้ามันเครื่อง, นา้ หัวไชเท้า, นา้ มะพรา้ ว, สารละลายกลโู คสอิ่มตัว, สูตรที่ 2 ผสมสารระหวา่ ง น้าหวั ไชเท้า น้ามะพร้าว สารละลายกลโู คสอม่ิ ตัว, นา้ เกลอื อิ่มตัว, ยเู รยี , สูตรท่ี 3 ผสมสารระหวา่ ง น้าเกลอื อ่มิ ตัว ยูเรีย จากนนั ศกึ ษาอัตราการหายใจ อตั ราการย่อยสลาย และปรมิ าณ ออกซเิ จนท่ลี ะลายในตวั อย่างน้า จากผลการศกึ ษาทา้ ให้ทราบวา่ สารทดสอบที่เหมาะสมทส่ี ุดในการท้าลายจอกหูหนูยักษ์ คือ สารละลายกลโู คสอม่ิ ตัวทมี่ รี ้อยละการตายเทา่ กับ 84.36% อัตราการยอ่ ยสลายเทา่ กับ 74.99% และค่าออกซเิ จนทลี่ ะลายใน ตวั อย่างนา้ เทา่ กับ 9.63 mL/L จากผลการทดลองดงั กลา่ วสามารถใช้เป็นขอ้ มลู เบืองตน้ และเปน็ ทางเลอื กเพ่ือนา้ ไปใช้ในการ ควบคมุ วชั พชื ด้วยสารทดสอบตอ่ ไปในอนาคต คาสาคญั : จอกหหู นูยกั ษ์ , สารทดสอบ

หนา 10 เรื่อง การศึกษาสมบัติบางประการของกาบกลว้ ยเพอื่ พฒั นาเป็นเส่อื ทอจากกาบกล้วย นางสาวนฤสรณ์ ประพัฒน์รังษี1, นางสาวชนยชา แสนเสนยา1 ,นางสาวพรรณปพร สว่างนอก1 นายเอกชยั ศรีสภุ าพ2 1นักเรียนโรงเรียนกัลยาณวตั ร,E-mail:[email protected] บทคดั ย่อ การศกึ ษาสมบตั บิ างประการของกาบกลว้ ยเพอ่ื พฒั นาเปน็ เสอื่ ทอจากกาบกลว้ ย เปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภท สิ่งทอ สาขาชวี ภาพ โดยมีวัตถุประสงคข์ องการศกึ ษา เพอ่ื ศกึ ษาคณุ สมบัตคิ วามทนทาน การตกสี และการขึน้ รา เพอ่ื ศกึ ษา การพัฒนาเสื่อจากกาบกลว้ ยใหม้ ปี ระสิทธภิ าพท่ดี ีขนึ้ ด้าเนนิ การโดยใช้วธิ กี ารทดลองโดยแบ่งเป็น 3 การทดลองคอื ทดลองความคงทนโดยการถว่ งน้าหนักดว้ ยถุงทราย ทดลองการตกสโี ดยการซกั ลา้ งจากนั้นน้านา้ มใ่ี ชัล้างไปเทียบตารางสี ทดลองการตดิ สโี ดยการเทียบตารางสี ทดลองการข้ึนรา โดยการใส่ กก กาบกล้วยตีบ กาบกลว้ ยน้าว้า ลงในกล่องพลาสตกิ พ่นน้าลงไปเพ่ือใหเ้ กิดความชืน้ จากการทดลองความคงทนท้าใหพ้ บว่ากกมีความคงทนน้อยกว่ากล้วยตีบและกาบกล้วยน้าวา้ พืชทม่ี ีความคงทนมาก ท่สี ุดคือกล้วยนา้ ว้า พืชทีม่ ีความคงทนนอ้ ยท่สี ุดคอื กก การทดลองตดิ สที า้ ให้พบว่ากกมคี วามตดิ สไี ดน้ ้อยท่ีสุด กาบกล้วย น้าว้าและกาบกล้วยตีบตดิ สยี ้อมใกลเ้ คยี งกนั การทดลองการตกสพี บวา่ กกตกสีน้อยกว่ากาบกล้วย โดยกาบกลว้ ยนา้ วา้ และ กาบกลว้ ยตบี ตกสใี กลเ้ คียงกนั การทดลองการเกดิ เชอื่ รา พบวา่ กกเกดิ เชือ่ ราได้ยากกวา่ กาบกลว้ ย โดยกาบกล้วยน้าว้าและ กาบกล้วยตบี เกิดเชื่อราใกล้เคียงกนั คำสำคัญ:กาบกล้วย,เส่ือทอจากกาบกลว้ ย

หนา 11 การเปรียบเทยี บประสทิ ธภิ าพการลอกกาวไหม โดยใชน้ า้ ดา่ งจากวสั ดธุ รรมชาติ นายปรญิ ญา มาตรา1 นางสาวสภุ าวดี ตระการ1 นายวัลลภ ปริญทอง2 1 นกั เรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะหธ์ วชั บุรี จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด, E-mail : [email protected] 2 โรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์ธวชั บรุ ี จังหวดั ร้อยเอด็ บทคดั ย่อ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการลอกกาวไหม โดยใช้น้าด่างจากวัสดุธรรมชาติ วัตถุประสงค์การทดลอง เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการลอกกาวไหม โดยใช้น้าด่างจากวัสดุธรรมชาติและเพื่อศึกษาอัตราส่วนและความเข้มข้น ของน้าด่างที่เหมาะสมในการการลอกกาวไหม การด่องไหมหรือการลอกกาวไหม เป็นการต้มฟอกไหมดิบสีเหลืองและ แขง็ กระดา้ งเพอื่ ลอกกาวไหมหรอื น้าลายของตัวหนอนไหมทพี ่นออกมาขณะพ่นใยสรา้ งรงั ไหมออก ส่วนประกอบของเส้นไหม นันจะประกอบด้วย ส่วนที่เป็นเส้นใยและส่วนท่ีเป็นกาวไหมชันนอก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25-30% ก่อนจะน้าเส้นไหมไปใช้ จะตอ้ งท้าการลา้ งกาวไหมออกจากเส้นไหมก่อน เมื่อล้างกาวออกแล้วเส้นไหมจะน่ิม และขาวขนึ แตป่ ัจจุบันนิยมใช้วิธีตม้ กับ น้าสบู่ผสมโซดาไฟ เปน็ เวลา 1-2 ชัว่ โมง จากนันจงึ น้าไปซกั น้าจนสะอาด เส้นไหมจะขาวขึนท้าใหง้ ่ายต่อการย้อมสี จาการศึกษาพบว่าการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการลอกกาวไหม โดยใช้น้าด่างจากวัสดุธรรมชาติ น้าด่าง ตน้ ส้มขีมอด > น้าด่างต้นมะพร้าว > น้าด่างต้นกล้วยและอัตราส่วนและความเข้มข้นของน้าด่างท่เี หมาะสมในการการลอก กาวไหมอัตราส่วนและความเข้มข้นของนา้ ดา่ งท่ีเหมาะสมในการการลอกกาวไหม น้าหนักเถ้า 50 (กรมั ) ต่อปริมาตรนา้ 250 (cm3) วดั โดยกระดาษยนู เิ วอรซ์ ัล อินดเิ คเตอร์ ระดบั 9 - 10 การแช่น้าด่างจากพืช น้าด่างมีมีสารบางอย่างซึ่งอาจเป็นโลหะหนัก เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี โครเมียม แคดเมียม ตะก่ัว โคบอลต์และแมงกานีส เม่ือน้าท่อนไม้มาเผาเกลือคาร์บอเนตเหล่านันจะให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และ ออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ แมื่อน้าขีเถ้าซ่ึงมีออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ อยู่ ไปละลายน้า สารประกอบออกไซด์เหล่านันจะ กลายเป็นสารประกอบไฮดรอกไซด์ ซ่ึงเมื่อละลายน้าจะได้สารละลายเบส คุณสมบัติของเซริซินสามารถละลายได้ในน้าและ สารละลายของกรดและด่าง ความสามารถในการละลายน้าของเซริซินจะแตกต่างกบั ไฟโบรอิน เน่อื งจากมีโครงสร้างทางเคมี ทม่ี ีหมู่ช่วยในการละลายน้าได้สูง มีความเป็นระเบยี บในการจัดเรียงตัวต่้าและโมเลกุลภายในมีปฏิกิรยิ าต่อกันต่้า นอกจากนี ความสามารถในการละลายน้าของเซริซินยังขึนอยู่กับอุณหภูมิที่อุณหภูมิตา้่ กว่า 90 องศาเซลเซยี ส หลักการลอกกาวไหมคือ การไฮโดรไลซ์กาวไหมหรือท้าลายพันธะเพปไทด์ของกาวไหมให้เป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่ละลายน้าได้ เช่นกรดอะมิโนและโอลิ โกเมอร์ของกรดอะมิโน การไฮโดรไลซ์กาวไหมท้าได้หลายวธิ เี ช่นการใช้กรด ด่าง เอนไซม์ หรอื แมก้ ระท่งั การใช้น้าอุณหภูมสิ ูง ภายใต้ความดัน และสบู่ก็เป็นสารที่น้ามาใช้ในการลอกกาวไหมได้ โดยทั่วไปการลอกกาวไหมใช้สารเคมีจ้าพวกสบู่และด่าง ปฏิกิริยาต่อด่าง ไหมไม่ทนทานต่อด่างแก่ อย่างเช่น สบู่บอแรกซ์และแอมดมเนีย ถ้าไหมสัมผัสกับด่างไม่มากหรือ นานจนเกินไปจะไม่เป็นอันตรายจากโครงสร้างของโมเลกุลของเส้นไหมท่ียึดติดกันด้วยพันธะไฮโดรเจน พันะไอออนิกและ แรงแวนเดอวาลส์ ค้าส้าคญั : การลอกกาวไหม , ต้นส้มขีมอด, นา้ ด่าง

หนา 12

หนา 13 การศกึ ษาประสิทธภิ าพการดูดซับโลหะหนกั ของถา่ นซงั ข้าวโพด ธัญญารัตน์ ยนิ ด1ี , พชิ ญา ศริ ิ1, อธชิ า งอกคา1 ดลนภา พรรืน่ เริง2 1นกั เรียนโรงเรียนเตรยี มอดุ มศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, E-mail; [email protected] 2ครูโรงเรยี นเตรียมอดุ มศึกษา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ บทคัดยอ่ แหลง่ ้นา้ ในชุมชนทอ่ี ยใู่ กล้เคยี งกบั โรงงานอตุ สาหกรรมมกั มโี ลหะปนเป้ือนใน้นา้ ซงึ่ เป็นอันตรายและส่งผลต่อรา่ งกายผบู้ รโิ ภค โดยตรงนอกจากนโ้ี ลหะหนกั เป็นสารท่กี ้าจดั ออกจาก้นา้ ไดย้ าก คณะผจู้ ดั ท้าจึงสนใจนา้ ถ่านซ่ึงมคี วามสามารถในการดดู ซบั สารมาใชใ้ นการดดู ซบั โลหะหนัก จงึ ได้จดั ทา้ โครงงานเร่อื ง การศกึ ษาประสิทธิภาพการดดู ซับโลหะหนกั ของถ่านซงั ขา้ วโพด โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ คือ เพอ่ื เพิ่มประสทิ ธภิ าพการดดู ซับโลหะหนกั ของถ่านซงั ข้าวโพด โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ตอน ดงั นี้ ตอนท่ี 1 ทา้ ถา่ นซงั ข้าวโพด โดยนา้ ซังข้าวโพด 200 กรัมแชใ่ นสารละลายที่ต่างกัน คือ ้นา้ สม้ สายชู และกากกาแฟ 600 มิลลลิ ิตร โดยแชท่ ้งิ ไวเ้ ปน็ เวลา 30 นาที 1 ช่ัวโมงและ 2 ชัว่ โมง ตามลา้ ดับ จากนนั้ น้าซังขา้ วโพดทีแ่ ชใ่ นสารละลายกากกาแฟ และ้นา้ สม้ สายชไู ปล้างด้วย้นา้ ร้อน จนซังข้าวโพดมีค่า pH เปน็ กลาง ตากซงั ขา้ วโพดใหแ้ ห้งสนิท แล้วน้าไปเผาในเตาเผาแบบ ถงั เป็นเวลา 4 ชวั่ โมง และตอนที่ 2 เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการดดู ซับโลหะหนักของถา่ นซงั ข้าวโพด โดยน้าถา่ นซงั ข้าวโพด บดละเอยี ดมาแชใ่ นสารละลายโลหะมาตรฐาน เป็นเวลา 30 นาที จากน้ันน้าสารละลายไปกรองผงถา่ นออกจนหมด แล้วใช้ SpectroVis Plus Sensor ตรวจวัดคา่ การดดู กลืนแสงของโลหะหนกั จากการทดลองพบว่า ถ่านซังข้าวโพดที่แช่ด้วย้นา้ ส้ม สายชูมปี ระสิทธิภาพการดดู ซบั โลหะหนกั ไดด้ กี วา่ ถา่ นซังข้าวโพดทแี่ ชด่ ้วยกากกาแฟ คาสาคัญ: การดดู ซบั โลหะหนกั , ถ่านซงั ข้าวโพด

หนา 14 การสงั เคราะห์อนภุ าคซิลเวอร์นาโนด้วยวิธเี คมีสีเขียวโดยใชส้ ารสกัดจากเปลือกผลไม้ เพื่อยับยัง้ เช้ือแบคทีเรยี ท่ีทาให้เกดิ กล่ินเทา้ มงคล สิริพงศพ์ ันธ์ 1 , ชาญณิ ี คามี 1 , สุพชิ ญา รองคา 1 กุลธิดา ทีนอ้ ย2 และ นรนิ ทร รัตนทา2 1นกั เรยี นโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน, E-mail [email protected] 2โรงเรยี นขอนแกน่ วิทยายน บทคัดยอ่ โครงการน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบปริมาณฟีนอลิกท้ังหมด (Total phenolic content) ของสารสกัด จากเปลือกผลไม้บางชนิด 2) เพื่อสังเคราะห์อนุภาคซิลเวอร์นาโน (AgNPs) จากสารสกัดเปลือกผลไม้ 3) เพ่ือศึกษา ความสามารถในการยับยัง้ เช้ือแบคทีเรียทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ กลน่ิ เท้าของอนุภาคซิลเวอร์นาโนทสี่ งั เคราะหไ์ ด้ 4) เพื่อศกึ ษาฤทธิ์ในการ ยับยัง้ เช้ือแบคทีเรยี ท่ีทาให้เกดิ กลิน่ เท้าของแผ่นรองรองเท้าจากยางพาราที่ใช้อนภุ าคซลิ เวอรน์ าโนเป็นสารตัวเติม โดยพชื ทใ่ี ช้ ศกึ ษา คอื เปลือกมะม่วง เปลือกกล้วย เปลือกส้ม เปลือกเสาวรส และเปลือกมังคุด ผลการทดลองพบว่า เมื่อทาการทดลอง สกดั สารจากเปลือกผลไม้ตัวอย่าง 5 ชนิด ได้สารสกัด 5 ตัวอย่าง เมือ่ นาสารสกัดที่ได้ไปทาการสารวจหาปริมาณฟีนอลิกโดย ใชว้ ธิ ี Folin-Ciocalteu พบว่าสารสกัดที่ได้จากเปลือกเสาวรสมีปรมิ าณสารฟนี อลกิ มากทีส่ ดุ คือ 31.465 mg GAE/g extract จากน้ันทาการสังเคราะหอนุภาคซิลเวอรนาโนด้วยวิธีเคมีสีเขียว (Green Synthesis) โดยใชสารสกดั จากเปลือกมงั คุดท่สี กัด ในตัวทาละลายเอทานอลเปนรีดิวซซิงเอเจนต และติดตามการเกิดปฏกิ ิริยาดวยเทคนิค UV–Visible spectrophotometry พบวา ยูว-ี วิสเิ บลิ สเปกตรมั ของอนภุ าคซิลเวอรนาโนทสี่ งั เคราะหไ์ ด้ มีคาการดดู กลนื แสงสูงสดุ ที่ 423 นาโนเมตร ทาการศกึ ษา ความสามารถในการยับยั้งเชอื้ แบคทเี รียท่ีก่อใหเ้ กดิ กล่นิ เทา้ ของอนุภาคซลิ เวอรน์ าโนท่สี ังเคราะห์ได้ พบว่า สามารถยับย้ังการ เจริญเติบโตของเช้ือท้ัง 2 ชนิดได้ โดยสามารถยับยั้งเช้ือแบคทีเรีย S. aureus ได้มากที่สุดโดยมี diameter of inhibition zone เท่ากับ 22.6±0.2 mm นาอนุภาคซิลเวอรน์ าโนท่ีสงั เคราะห์ได้ ไปประยุกต์ใชเ้ ป็นสารตัวเติมในเแผ่นรองรองเท้าท่ีทา จากยางพารา พบวา่ ประสิทธิภาพในการยับย้ังการเจริญของแบคทเี รยี กอโรคตอแผน่ รองรองเทา้ จากยางพาราทใี่ ชอ้ นุภาคซิล เวอร์นาโนความเข้มข้น 5% เป็นสารตัวเติมสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้มากท่ีสุดโดยมี diameter of inhibition zone เทา่ กับ 20.3±0.2 mm คาสาคญั : ซิลเวอร์นาโน, เปลอื กผลไม,้ กล่ินเทา้ , การยับยั้งเชอ้ื แบคทเี รีย

หนา 15 การศึกษาปจั จยั ทที่ าให้สารละลายอิเลก็ โทรไลต์เปน็ พลงั งานแบตเตอรี่ นนั ทกานต์ ยี่หวา1 , ณฐั ธยาน์ ยอดแคลว้ 1 ปองดี ไชยจนั ดา2 1นักเรยี นโรงเรยี นบรบอื วทิ ยาคาร, E-mail; [email protected] 2โรงเรยี นบรบือวิทยาคาร บทคดั ยอ่ การศกึ ษาปัจจยั ทีท่ าใหส้ ารละลายอิเลก็ โทรไลตเ์ ปน็ พลงั งานแบตเตอร่ีมวี ัตถุประสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาวา่ สารละลายอิเล็ก โทรไลต์ 4 ชนิดคอื น้าสม้ สายชู น้ายาสระผม ไฮเตอร์ และนา้ ยาล้างห้องน้าว่าชนดิ ใดนาไฟฟ้าไดด้ ีทส่ี ดุ เพอื่ ศึกษาปริมาณของ สารละลายอเิ ล็กโทรไลต์ว่าในปริมาณ 30 40 50 60 และ70 ml ต้องใชใ้ นปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสมกบั การนามาทา แบตเตอร่ี และเพือ่ ศกึ ษาความสมั พนั ธ์ของระยะห่างในการวางอเิ ลก็ โทรดระหว่าง 1 1.5 2 2.5 3 3.5 และ 4 cmตอ้ งวางใน ระยะใดถึงจะมผี ลกบั การเปล่ยี นแปลงค่าศกั ยไ์ ฟฟ้าของเซลลม์ ีวิธีการทดลองคอื การนาสารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์มาวดั หาคา่ ไฟฟ้าเมื่อไดส้ ารละลายอิเลก็ โทรไลต์แล้ว นามาหาปริมาณทเี่ หมาะสมในการทาแบตเตอรีม่ าวดั คา่ ไฟฟา้ โดยใช้แผน่ อเิ ล็กโทรด เป็นตวั เชือ่ มจากนนั้ นาหาระยะในการวางอเิ ล็กโทรดในระยะ 1 1.5 2 2.5 3 3.5 และ 4 cm นาฟวิ เจอรบ์ อรด์ แผน่ แรกมา เจาะตรงกลางเพือ่ เสียบแผ่น อะลมู เิ นียมและแผน่ ทองแดงโดยวางสลับกันและทิ้งระยะตามท่กี าหนดขา้ งตน้ แลว้ จมุ่ ลงไปใน สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ จากนั้นนามาวดั ค่าไฟฟ้า จากผลการทดลองพบวา่ ไฮเตอรน์ าไฟฟ้าไดด้ ที ่สี ดุ โดยคา่ เฉลย่ี อย่ทู ี่ 0.9908 เนอื่ งจากไฮเตอรเ์ ปน็ สารละลายอิเล็กโทรไลต์แกท่ าให้ไออนแตกตวั ไดด้ ีซ่ึงอาจจะแตกตัวได้ 100% และนาไฟฟา้ ไดด้ มี าก ซึ่งในปรมิ าณ 70 ml นา ไฟฟ้าไดด้ ีทีส่ ุด โดยได้ค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 0.9908 เนอ่ื งจากสารละลายมปี รมิ าณมากกจ็ ะเพ่มิ การแตกตัวของไอออนทาได้ให้เกิด กระแสไฟฟา้ ได้ และจากการทดลองพบวา่ ค่าศักยไ์ ฟฟา้ จะเปลยี่ นไปในระยะ 3-4 cm Keywords: เซลลไ์ ฟฟ้า, electrolyte solution

หนา 16 การศึกษาการสงั เคราะห์ฟิลม์ จาก CMC เศกฐพงษ์ ทบอาจ1, ธนากร ภายไทยสงค์1, ญาทินนั ทร์ ระวิชัย1 นายอาพันธ์ วนั ธงไชย2 และ นางสาวสุวรักษ์ สุวรรณไตร2 1นกั เรยี นโรงเรยี นอดุ รพชิ ัยรักษ์พทิ ยา, Email [email protected] 2โรงเรยี นอดุ รพชิ ัยรักษ์พทิ ยา บทคัดยอ่ การศกึ ษาการสังเคราะห์ฟิลม์ จากคาร์บอกซีเมทลิ เซลลูโลสหรือ CMC มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษา ปริมาณของพลา สติไซเซอร์ท่ีเหมาะสมในการขึ้นรูปฟิล์ม และศึกษาความยืดหยุ่น การละลายน้า การทนต่ออุณหภูมิของฟิล์มที่ข้ึนรูปได้ ซ่ึง ศึกษาการข้ึนรูปของฟิล์มจากคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลสโดยใช้พลาสติไซเซอร์ภายในเป็นแป้งมันปริมาณ 0.5, 1.0, 1.5, 2.0, 2.5 และ 3.0 กรัม ใช้พลาสติไซเซอร์ภายนอกเป็นกลีเซอรอลปริมาตร 0, 4, 6, 8, 10, 12 มิลลิลิตร ศึกษาความยืดหยนุ่ ของ ฟลิ ์มจากคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลสซึ่งมีกลีเซอรอลปริมาตร 6, 8 และ 10 มิลลิลิตร เป็นส่วนประกอบ ทดสอบด้วยเคร่ืองช่ัง สปรงิ แลว้ นาไปหาคา่ Tensile stress และคา่ Tensile stain ศึกษาการละลายนา้ ของฟิลม์ จากคาร์บอกซีเมทลิ เซลลโู ลสโดย การแช่น้าท่ีอุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 60 นาที แล้วนาไปหาร้อยละการละลายน้า และศึกษาการทนอุณหภูมิของฟิล์มที่ข้ึนรูป โดยใชพ้ ลาสตไิ ซเซอร์ปรมิ าตร 10 มลิ ลลิ ติ ร ท่อี ุณหภูมิ 40, 60, 80 และ 100 องศาเซลเซียส ผลการทดลองพบว่า ปรมิ าณของพลาสตไิ ซเซอร์ทีเ่ หมาะสมในการขึ้นรปู คอื แปง้ มันปรมิ าณ 1.5 กรัม และกลี เซอรอลปริมาตร 10 มลิ ลิลติ ร เนื่องจากมคี วามใสมากที่สดุ และเมอื่ นาไปทดสอบความยืดหยนุ่ การละลายนา้ และการทนตอ่ อุณหภูมิ พบว่า มีค่า Tensile stress เท่ากับ 1.83 MPa และค่า Tensile stain เท่ากับ ร้อยละ 257.80 มีการละลายน้าได้ ร้อยละ 13.52 แสดงว่า ฟิล์มที่ผลิตได้สามารถย่อยสลายหมดเองได้ตามธรรมชาติในเวลาอันรวดเร็ว และฟิล์มที่ผลิตได้คง สภาพทางกายภาพได้ถึง 60 องศาเซลเซียส จากผลการศึกษาท่ีกล่าวมา แสดงให้เห็นว่า ฟิล์มที่ข้ึนรูปจากคาร์บอกซีเมทิล เซลลูโลสสามารถนามาใช้แทนฟลิ ์มทางการคา้ ได้ คาสาคัญ: ฟิลม์ , คารบ์ อกซเี มทลิ เซลลโู ลส, พลาสตไิ ซเซอร์

หนา 17

หนา 18 เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการดดู ซบั ตะกวั ่ โดยซิลิกาจากเปลือกข้าวโพด แกลบข้าว และชานอ้อย ปํญจพร แกว้ มนตร1ี , พลอยไพลนิ วนิ ทะสมบตั 1ิ , ศภุ วชิ ญ์ พสั ดร1 สมจติ อนิ ทรชาต2ิ และ สภุ าพร ศรชี ณิ ราช2 1นกั เรยี นโรงเรยี นรอ้ ยเอด็ วทิ ยาลยั , E-mail: [email protected] 2โรงเรยี นรอ้ ยเอด็ วทิ ยาลยั บทคดั ย่อ โครงงานวทิ ยาศาสตรส์ าขาเคมี เรอ่ื ง เปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพในการดดู ซบั ตะกวั่ โดยซลิ กิ าจาก เปลอื กขา้ วโพด แกลบขา้ ว และชานออ้ ย เป็นโครงงานของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย โรงเรยี นรอ้ ยเอด็ วทิ ยาลยั มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาความสามารถในการดดู ซบั ตะกวั่ ของซลิ กิ าทไ่ี ดจ้ ากเปลอื กขา้ วโพด แกลบขา้ ว และชานออ้ ย ซง่ึ ผศู้ กึ ษาไดน้ ําตวั ดดู ซบั ไดแ้ ก่ เปลอื กขา้ วโพด แกลบขา้ ว และชานออ้ ย มาเผา เตมิ สารละลาย NaOH 3 mol/dm³ ปรมิ าตร 100 cm³ ซง่ึ จะไดโ้ ซเดยี มซลิ เิ กต (NaSiO3 ) นําไปทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากบั กรดซติ รกิ โดยปรบั ค่า pH ใหเ้ ท่ากบั 4 ซง่ึ ตกตะกอนเป็นซลิ กิ า พบว่าเปลอื กขา้ วโพดมตี ะกอนของซลิ กิ ามากทส่ี ุด รองลงมาคอื แกลบขา้ ว และชานออ้ ย ตามลาํ ดบั จากนนั้ นําสารละลายไปตรวจสอบการดูดซบั ตะกวั่ ดว้ ยเคร่อื ง AAS โดยใชส้ มบตั ิ ของซลิ กิ าท่มี อี ย่ใู นเปลอื กขา้ วโพด แกลบขา้ ว และชานอ้อย ในการดูดซบั ตะกวั่ ซง่ึ เป็นโลหะท่ปี ะปนในแหล่งน้ําเสยี จากการทดลองพบวา่ เปลอื กขา้ วโพดซง่ึ มปี รมิ าณซลิ กิ ามากทส่ี ดุ มปี ระสทิ ธภิ าพในการดดู ซบั ตะกวั่ มากทส่ี ดุ รองลงมา คอื แกลบขา้ ว และชานออ้ ย ตามลาํ ดบั โดยซลิ กิ ามพี น้ื ทผ่ี วิ จาํ เพาะมาก จงึ ถกู นํามาใชป้ ระโยชน์เป็นตวั ดดู ซบั โมเลกุล ของโลหะหนกั คาสาคญั : เปลอื กขา้ วโพด , แกลบขา้ ว , ชานออ้ ย , ซลิ กิ า , การดดู ซบั

หนา 19

หนา 20 การศกึ ษาเปรยี บเทยี บอตั ราส่วนผสมของวสั ดดุ ดู ความชน้ื จากธรรมชาติ และซลิ กิ าเจลในการดดู ความชน้ื ของขนมมนั ฝรง่ั ทอดกรอบ จริ ฐั ติ กิ าล วงศค์ าแกว้ 1 , วรดา สภุ าวหา1 , สวุ ฒั นป์ ดั ถราช1 สิวาพร เมธาวี2 1นักเรียนโรงเรียนธาตุนารายณ์วทิ ยา, E-mail: [email protected] 2โรงเรยี นธาตุนารายณว์ ิทยา บทคดั ยอ่ โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง การศกึ ษาเปรียบเทียบอัตราสว่ นผสมของวสั ดดุ ูดความชืน้ จากธรรมชาติและซิลกิ าเจลในการ ดูดความชื้นของขนมมันฝร่ังทอดกรอบ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการดูดความชื้นของวัสดุดูดความชื้นจาก ธรรมชาตใิ นอตั ราสว่ นผสมท่ีเหมาะสมจากวัสดุ 4 ชนดิ คอื แกลบ เปลือกไข่ ข้าวค่ัว และเกลือ (2) เพื่อเปรียบเทียบประสทิ ธิภาพ ในการดูดความช้ืนของอัตราส่วนผสมวัสดุดูดความชื้นจากธรรมชาติท่ีเหมาะสมกับซิลิกาเจล โดยแบ่งข้ันตอนการทดลองออก เป็น 2 ข้ันตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ศึกษาประสิทธิภาพในการดูดความช้ืนของวัสดุดูดความชื้นจากธรรมชาติในอัตราส่วนผสมที่ เหมาะสมจากวัสดุ 4 ชนิด คือ แกลบ เปลือกไข่ ข้าวค่ัว และเกลือ โดยการนาวัสดุดูดความชื้นจากธรรมชาติ 4 ชนิด คือ แกลบ เปลือกไข่ ข้าวคั่ว และเกลอื มาผสมกันในอตั ราส่วนต่าง ๆ 5 อัตราส่วน และซิลกิ าเจล นาแต่ละอตั ราสว่ น และซลิ ิกาเจลไปวางไว้ ใกล้กับขนมมันฝร่ังทอดกรอบในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทแล้วนาขนมมันฝร่ังทอดกรอบออกมาหาเปอร์เซ็นต์ความชื้นโดยใช้วิธี Loss of mass on drying พบว่าอตั ราสว่ นที่ 4 คอื แกลบ : เปลือกไข่ : ขา้ วค่วั : เกลือ ในอัตราส่วน 1 : 1 : 2 : 1 มีประสทิ ธิภาพ ในการดูดความชื้นในขนมมันฝรั่งทอดกรอบได้ดที ี่สุด เพราะทาใหค้ ่าเฉล่ียเปอรเ์ ซ็นต์ความช้นื ในขนมมันฝรั่งทอดกรอบมีคา่ น้อย ที่สุดดังนั้นวัสดุดูดความช้ืนจากธรรมชาติในอัตราส่วนผสมที่ 4 จึงเป็นอัตราส่วนผสมท่ีเหมาะสม ตอนที่ 2 เปรียบเทียบ ประสิทธิภาพในการดูดความช้ืนของอัตราส่วนผสมวัสดุดูดความชนื้ จากธรรมชาติท่ีเหมาะสมทีส่ ุดกับซิลิกาเจล โดยนาเปอร์เซ็นต์ ความช้ืนในขนมมันฝรั่งทอดกรอบของอัตราส่วนที่เหมาะสมท่ีสุดกับซิลิกาเจลมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้วิธี Calculation of measurement error พบวา่ อัตราส่วนท่ี 4 คอื แกลบ : เปลอื กไข่ : ขา้ วคัว่ : เกลือ ในอัตราสว่ น 1 : 1 : 2 : 1 มีประสิทธิภาพใน การดูดความชื้นในขนมมันฝร่ังทอดกรอบได้ดีที่สุด เพราะค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ความช้ืนในขนมมันฝรั่งทอดกรอบมีค่าน้อยที่สุดคือ 5.67 % และซิลิกาเจลมีค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ความช้ืนในขนมมันฝร่ังทอดกรอบ 4.46 % เมื่อนาเปอร์เซ็นต์ดูดความชื้นในขนมมัน ฝร่ังทอดกรอบของอัตราสว่ นท่ี 4 และซิลิกาเจลมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้การคานวณวิธี Calculation of measurement error พบว่า อัตราสว่ นที่ 4 มีประสทิ ธิภาพใกลเ้ คยี งกับซิลิกาเจล คดิ เป็น 78.66 % คาสาคัญ : ซิลกิ าเจล ความชนื้ วัสดุดดู ความชืน้ จากธรรมชาติ

หนา 21 เทคนคิ การย้อมสีเส้นคล้าทสี่ ามารถลดระยะเวลาการย้อมด้วยสารละลายเปลอื กประดู่ โดยใช้สารช่วยย้อมจากธรรมชาติ สดุ ารตั น์ สภุ ามาตร1, ชุตมิ ณฑน์ วงษ์ศรี1, ธมิ าพร ธาตุชนะ1 เจริญ พฤกษชาติ2 และ ศิริพร นามแก้ว2 1นกั เรียนโรงเรยี นศรีบุญเรืองวิทยาคาร, E-mail: [email protected] 2โรงเรยี นศรีบุญเรืองวทิ ยาคาร บทคดั ย่อ การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการติดสีของเส้นคล้าท่ีย้อมด้วยสีจากเปลือกประดู่และโคลนดินดา มีข้ันตอนหลั ก 2 ข้ันตอน ไดแ้ ก่ ขน้ั ตอนท่ี 1 การย้อมสีเส้นคล้าด้วยสารละลายเปลือกประดู่ และข้ันตอนที่ 2 การใช้สารช่วยย้อมเพื่อเปล่ียน เฉดสีและช่วยให้สีติด ซ่ึงในการศึกษาคร้ังน้ีศึกษาสารช่วยจากธรรมชาติ 2 ประเภท คือ สารช่วยย้อมท่ีเปล่ียนเฉดสีเป็น สีเทา-ดา และสารช่วยย้อมท่ีมีสภาพเป็นกรดเบสจากธรรมชาติ จากการศึกษาเทคนิคการย้อมสีเส้นคล้าท่ีสามารถลด ระยะเวลาการย้อมด้วยสารละลายเปลือกประดู่โดยใช้สารช่วยย้อมจากธรรมชาติ พบว่า การย้อมเส้นคล้าด้วยเปลือกประดู่ ตามรูปแบบการต้มเส้นคล้าในสารละลายเปลือกประดู่ (2:7 โดยมวลต่อปริมาตร) ใช้เวลารวม 39 ชั่วโมง (ประสิทธิภาพ ในการย้อม= +2.46 เทา่ ) ส่วนรูปแบบการแช่เส้นคล้าในสารละลายเปลือกประดู่ (3:7 โดยมวลต่อปริมาตร) ใช้เวลารวม 40 ชัว่ โมง (ประสทิ ธิภาพในการยอ้ ม = +2.40 เท่า) แต่รูปแบบการย้อมเส้นคล้าด้วยเปลือกประดู่ด้วยการต้มแล้วแช่เส้นคล้าใน สารละลายเปลือกประดู่ (2:7 โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร) ใช้เวลารวมเพียง 21 ชว่ั โมง (ประสทิ ธภิ าพในการย้อม = +4.57 เทา่ ) เม่ือศึกษาการย้อมเส้นคล้าด้วยสารละลายเปลือกประดู่โดยใช้สารช่วยย้อม 2 ประเภทร่วมกัน คือ สารช่วยย้อม ทเ่ี ปล่ียนเฉดสีเป็นสีเทา-ดา (โคลนดินดาและสนิมเหล็ก) ร่วมกับสารช่วยย้อมท่ีมีสภาพเป็นกรดเบสจากธรรมชาติ (น้าขี้เถ้า และน้ามะขามเปียก) พบรูปแบบการย้อมท่ีเหมาะสม 4 รูปแบบ คือ 1) น้าขี้เถ้าย้อมสีโคลนดินดา, 2) น้ามะขามเปียก ย้อมสีโคลนดนิ ดา, 3) ย้อมสีนา้ มะขามเปียกสนิมเหลก็ , 4) ยอ้ มสีสนมิ เหลก็ นา้ ขเี้ ถา้ ซงึ่ รูปแบบท่ีใช้น้าข้ีเถ้าจะใช้ ระยะเวลาน้อยที่สุด คือ 12 ชั่วโมง 30 นาที (ประสิทธิภาพในการย้อม= +7.68 เท่า) และรูปแบบท่ีใช้น้ามะขามเปียกใช้ ระยะเวลาน้อยที่สุด คือ 12 ช่ัวโมง 10 นาที (ประสิทธิภาพในการย้อม= +7.89 เท่า) โดยน้าข้ีเถ้าต้องมีค่า pH สูงกว่าหรือ เท่ากับ 11 ส่วนน้ามะขามเปียกต้องมีค่า pH ต่ากว่าหรือเท่ากับ 3 จึงจะสามารถย้อมเส้นคล้าให้มีสีดาเทียบกับสีดาของ เส้นคลา้ ทีย่ ้อมดว้ ยวธิ ดี ง้ั เดมิ ได้ คาสาคัญ : การยอ้ มเสน้ คลา้ , การย้อมสจี ากเปลือกประดู่, โคลนดนิ ดา, สนมิ เหลก็ , นา้ มะขามเปียก, นา้ ขี้เถา้

หนา 22

หนา 23 การเพม่ิ ประสทิ ธิภาพโฟมโปรตีนดับเพลงิ จากไมยราบยกั ษ์ด้วยนาโนซงิ ค์ออกไซด์ ธัชชัย ขนั ทที า้ ว1 ชอ่ ผกา พรหมพิทกั ษ์กุล1 รมิดา โคตรพรหม1 กฤษฎา ด้วงตีลี2 และ กรีฑา ภผู าดแร่2 1 นักเรยี นโรงเรยี นสกลราชวิทยานุกลู , E-mail : [email protected] 2 โรงเรยี นสกลราชวิทยานกุ ลู บทคดั ย่อ การศกึ ษาครง้ั น้ี เพ่อื ศกึ ษาการสกดั โปรตีนจากไมยราบยักษ์ จากนัน้ นาโปรตีนทไ่ี ดม้ าผลิตโฟมโปรตนี ดบั เพลิง อีกทัง้ ยังทาการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพโฟมโปรตนี ดับเพลิงทีส่ กัดจากโปรตนี ไมยราบยักษด์ ้วยนาโนซงิ คอ์ อกไซด์ และนาโฟมโปรตนี ดบั เพลงิ ทสี่ กดั จากโปรตีนไมยราบยกั ษ์มาศกึ ษาสมบัติทางกายภาพ ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณโปรตนี ทีไ่ ดจ้ ากการสกดั โปรตีน ไมยราบยกั ษ์ ดว้ ยการสกดั โปรตนี โดยการสกัดทสี่ ภาวะดา่ ง ได้ปรมิ าณโปรตีนทีส่ กดั ไมยราบยกั ษ์ คิดเปน็ รอ้ ยละของผลิตภณั ฑ์ เปน็ 4.13 เม่อื นาโปรตีนทไ่ี ดพ้ ัฒนาสูตรเพ่ือผลติ เป็นโฟมโปรตีนดบั เพลงิ และศกึ ษาประสทิ ธิภาพโฟมโปรตีนดบั เพลงิ พบวา่ สูตรพนื้ ฐานโฟมโปรตนี ดบั เพลงิ ทส่ี กดั จากโปรตนี ไมยราบยักษ์ท่ี 5 ซ่ึงมสี ่วนผสมของโปรตีน : โซเดยี มไบคารบ์ อเนต : น้า ในอตั ราสว่ น 100 : 5 : 10 มปี ระสทิ ธิภาพโฟมโปรตีนดบั เพลงิ ดีทสี่ ดุ เทียบโดยระยะเวลาทใี่ นการดบั เพลิง คือ 10.34 วนิ าที หลังจากนน้ั ได้ทาการศกึ ษาประสทิ ธภิ าพโฟมโปรตนี ดับเพลิง โดยเพ่ิมประสิทธภิ าพโฟมโปรตีนดบั เพลิงที่สกดั จากโปรตีน ไมยราบยกั ษ์ด้วยนาโนซงิ คอ์ อกไซด์ สูตรเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพโฟมโปรตนี ดับเพลิงที่สกดั จากโปรตีนไมยราบยกั ษ์ท่ี 3 ซึง่ มีสว่ นผสม ของโปรตีน : โซเดียมไบคารบ์ อเนต : น้า : นาโนซิงค์ออกไซด์ในอัตราสว่ น 100: 5 : 10 : 10 มปี ระสทิ ธภิ าพโฟมโปรตีน ดบั เพลิง ดที ่ีสดุ เทยี บโดยระยะเวลาท่ใี นการดับเพลิง คือ 7.13 วนิ าที และนาสตู รเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพท่ี3 มาทาการศึกษาสมบัติ ทางกายภาพ พบว่า ค่าคงตัวของโฟมโปรตีน เท่ากบั 23.17 % คา่ ความหนาแนน่ ของโฟมโปรตนี เทา่ กับ 0.34 มิลลกิ รัม ตอ่ ลติ ร และคา่ แรงตงึ ผวิ ของโฟมโปรตนี เท่ากับ 0.00517 นวิ ตันต่อเมตร ซึ่งเปน็ คณุ สมบัตขิ องโฟมที่เหมาะสมในการดับเพลิง จะเหน็ ไดว้ า่ การนาไมยราบยกั ษ์มาสกัดโปรตีนเพื่อนาโปรตีนมาผลติ เป็นโฟมโปรตนี ดับเพลงิ และเพม่ิ ประสิทธภิ าพ โดยการผสมนาโนซงิ ค์ออกไซด์ เปน็ การนาเอาไมยราบยกั ษ์ทถี่ อื ว่าเปน็ วัชพืชมาใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ีกทางหน่งึ นั้นเอง คาสาคัญ : ไมยราบยกั ษ์ , โฟมโปรตีน

หนา 24 การศกึ ษาฤทธ์ิในการต้านอนุมลู อิสระจากลกู หวา้ จรยิ า มอนล,ี วิภาวรรณ ธรรมมยิ ะ,สุภามาศ แสงสวา่ ง พริ ุณพรรณ เต็มวงษ์ และ จรญู มง่ั มูล นกั เรยี นโรงเรยี นเลยอนุกูลวิทยา E-mailnukul.ac.th โรงเรียนเลยอนุกูลวิทยา บทคัดยอ่ โครงงานวทิ ยาศาตร์เรือ่ ง การศึกษาประสิทธภิ าพฤทธิ์การตา้ นอนุมลู อสิ ระของลูกหวา้ จดั ทาขน้ึ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ เพื่อการศึกษาฤทธิ์การตา้ นอนุมลู อสิ ระจากลกู หวา้ ด้วยสาร ABTS และ POTASSIUM PERSULFATE มีวธิ กี ารคอื เตรยี ม สารละลาย ABTS ความเขม้ ข้น 7 มิลลโิ มลาร์ ผสมสาละลาย ABTS กับสารละลาย POTASSIUM PERSULFATE ในอัตราสว่ น 2:1 ตง้ั ทิง้ ไว้ในที่มดื ประมาณ 12-16 ช่ัวโมง หลงั จากนั้นเจอื จางสารละลาย ABTS ด้วยเอทานอลใหม้ ีค่าการดดู กลืนแสง 0.7 0.02 ท่คี วามยาวคล่นื 734 นาโนเมตร จากนัน้ เตรียมสารตัวอย่าง ท่คี วามเข้มข้น 1000 ppm. ในเอทานอล ปิเปตสารตวั อยา่ ง 100 ไมโครลติ ร แลว้ เตมิ สารละลาย ABTS 10 มิลลิลิตรเขยา่ ใหเ้ ขา้ กนั แลว้ ตั้งท้ิงไวเ้ ปน็ เวลา 6 นาที นาไปวัดการดูดกลืนแสง จากการวิเคราะหห์ าฤทธติ์ ้านอนมุ ลู อสิ ระโดยวิธี ABTS ของสารสกัดลูกหวา้ ท่เี วลา 30 และ 60 นาที พบว่า สารสกดั ลกู หวา้ ท่ี เวลา 60 นาที มคี ่าเท่ากบั 31.39 เปอรเ์ ซน็ ต์ สารสกดั ลูกหวา้ ทเี วลา 30 นาที มคี า่ เท่ากบั 58.83 เปอร์เซ็นต์ (ปรมิ าณ Ascorbic acid mg/mL) สารสกดั ลกู หว้าท่ีเวลา 30 นาที มีคา่ เท่ากบั 58.83 เปอรเ์ ซ็นต์ ปรมิ าณ (Ascorbic acid mg/mL) ทาการทดลอง สารซ้า ลกู หว้าท่ีสกดั ดว้ ยวิธีการชงมีสารต้านอนุมูลอสิ ระสูงสดุ ท่ีเวลา 60 นาที เทา่ กบั 58.83% และ ลูกหว้าทีส่ กัดดว้ ยวิธกี าร ชงมสี ารตา้ นอนุมลู อสิ ระเวลา 30 นาที อยทู่ ่ี 31.39%



หนา 25 ตรวจสอบสารฟอกขาวดว้ ยกระดาษสารสกดั จากพชื อาริสา ปราสาสนิ 1, ณัฐกานต์ นามขันธ1์ , ชอ่ ลดั ดา ปาทอง1 กาญจนา ทองจบ2 และ หนง่ึ ฤทยั อุเทศ2 1 นักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสยั , E-Mail [email protected] 2 โรงเรียนชุมพลโพนพิสยั บทคดั ยอ่ โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททดลอง เรอ่ื ง ตรวจสอบสารฟอกขาวดว้ ยกระดาษสารสกัดจากพืช มีวัตถุประสงค์ เพอ่ื 1) ศกึ ษาสารสกัดจากพชื ทีใ่ ช้ตรวจหาสารฟอกขาว 2) ศึกษาตัวทาละลาย ที่ดที ่สี ดุ ท่ีใชใ้ นการสกัดสาร จากพืช 3) ศึกษาอตั ราส่วนที่ดีทีส่ ดุ ของสารสกัดท่สี ามารถตรวจสอบ สารฟอกขาวได้ 4) สามารถผลติ กระดาษสารสกดั จาก พชื ได้ 5) ศกึ ษาประสิทธภิ าพของกระดาษ สารสกัดจากกะหลา่ ปลีม่วงทสี่ ามารถตรวจสอบพบสารฟอกขาวในอัตราส่วนต่างๆ ได้ 6) เปรยี บเทยี บตรวจหาสารฟอกขาวในอาหารโดยใช้กระดาษสารสกัดจากกะหล่าปลมี ่วงและชดุ ทดสอบสารฟอกขาวของ กระทรวงสาธารณสขุ ผลจากการทดลองพบว่า เมือ่ นาพชื มาสกดั เป็นสารละลายโดยใช้นาและเอทิลแอลกอฮอล์ 95 % เปน็ ตัวทาละลาย และนาไปตรวจสอบสารฟอกขาวพบวา่ สารสกดั จากกะหลา่ ปลมี ว่ งสามารถตรวจสอบสารฟอกขาวไดด้ ีทส่ี ุด เม่อื เปรยี บเทียบนาและเอทิลแอลกอฮอล์ 95 % เปน็ ตัวทาละลาย พบว่า เอทิลแอลกอฮอล์ 95 % เปน็ ตัวทาละลายท่ดี ที ่สี ดุ จากการศึกษาอตั ราส่วนท่ีดีท่ีสดุ ของสารสกดั จากกะหล่าปลีมว่ งที่สามารถตรวจสอบสารฟอกขาว พบว่า ในอัตราส่วน กะหล่าปลมี ่วง 100 g ต่อ เอทิลแอลกอฮอล์ 95 % 50 cm3 มีประสิทธิภาพในการตรวจหาสารฟอกขาวได้ดที ่สี ดุ เม่ือนาสาร สกัดจากกะหล่าปลมี ่วงผลติ เป็นกระดาษเพื่อตรวจสอบสารฟอกขาว พบวา่ กระดาษสามารถตรวจสอบสารฟอกขาวได้ซึ่ง สงั เกตจากเมื่อเรานากระดาษไปจุม่ สารฟอกขาวจะเปลย่ี นสีกระดาษจากสมี ว่ งเปน็ สเี หลืองเขม้ จากการศึกษาประสทิ ธภิ าพ กระดาษสารสกัดจากกะหล่าปลีม่วงสามารถตรวจสอบหา สารฟอกขาวไดใ้ นอัตราต่าสดุ สารฟอกขาว 0.01 g : นากลั่น 100 cm3 และเม่อื นากระดาษสกัดจากกะหลา่ ปลมี ่วงไปตรวจสอบหาสารฟอกขาวในอาหารโดยเปรียบเทยี บกับชุดทดสอบสาร ฟอกขาวของกระทรวงสาธารณสขุ พบว่า อาหารทีต่ รวจพบสารฟอกขาวได้แก่ สามสบิ กลบี เล็บมือนาง ถั่วงอก และขงิ ฝอย คาสาคญั : สารสกดั จากพืช, สารฟอกขาว, ตวั ทาละลาย, กระดาษสารสกดั จากพชื , คุณสมบัติของกระดาษสารสกดั จากพชื

หนา 26 ประสิทธิภาพของสารสกัดจากกระชายดาต่อการยับย้งั เชอื้ ราในกระเทยี ม กรกฎ ทุมชะ1 , พเิ ชษฐ แดงนา1 , ศศวิ ิมล สขุ ขวญั 1 นชุ นภา พลสรรค2์ , อุบลวรรณ เลย้ี วอุดมชัย2 1นกั เรียนโรงเรียนอุดรพิทยานกุ ูล, Email: [email protected] 2ครูโรงเรียนอดุ รพทิ ยานกุ ูล บทคัดย่อ การศกึ ษาประสิทธภิ าพของสารสกดั จากกระชายดาต่อการยับย้ังเชอ้ื ราในกระเทยี ม โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) เพอื่ ศกึ ษาวิธีการสกดั สารจากกระชายดา และ 2) เพอื่ ศกึ ษาประสทิ ธิภาพของสารสกดั จากกระชายดาในการยับย้ังเช้อื รา ในกระเทียม โดยการทดลองศกึ ษามวี ธิ สี กดั สารจากกระชายดาด้วยวิธกี ารสกัดหยาบโดยใช้ 95% เอทานอล เปน็ ตัวทาละลาย จากนั้นทดสอบประสทิ ธิภาพในการยับยง้ั เชือ้ ราในกระชายดาด้วยเทคนิคทางจลุ ชีววทิ ยา ผลการศกึ ษาพบวา่ สารสกดั จาก กระชายดาสามารถยบั ยง้ั การเจรญิ เตบิ โตของเช้ือราในกระเทยี มไดจ้ ริง คาสาคัญ : กระชายดา, การยบั ยงั้ เช้ือรา, กระเทียม

หนา 27 ผลของสารละลายฝกั คูน และใบหูกวาง ต่อหอยเชอร่ี นายพัชนนท์ เรพล1,นายภูตะวนั พลบรู ณ์1,นางสาววาสนา ชาญณรงค์1 นางสาวนิชนันท์ ขันแก้ว2,นางสาวกาญจนา ทองผิว2 1นักเรียนโรงเรยี นศรีบญุ เรืองวิทยาคาร1,E-mail:[email protected] 2โรงเรียนศรบี ุญเรอื งวิทยาคาร, บทคัดย่อ การกาจัดหอยเชอร่ีในนาข้าวโดยนาพืชในท้องถ่ิน จานวน 2 ชนิด ได้แก่ ฝักคูน และใบหูกวางมาทดสอบหาสภาวะท่ี เหมาะสมในการสกัดสารละลายเพื่อกาจัดหอยเชอรี่ โดยเริ่มจากการนาฝักคูนและใบหูกวางมาต้มในสารละลายเอทานอลความ เข้มข้นร้อยละ 40, 50, 60 และ70 โดยปริมาณ และทดสอบหาแทนนินในสารละลายท้ัง 4 ทุกๆช่ัวโมงในการต้ม ผลการทดลอง พบวา่ สภาวะทเี่ หมาะสมทสี่ ุดของการสกัดแทนนินจากฝักคนู และใบหกู วาง คอื ใช้แอลกอฮอล์ 40% v/v เวลาท่ีเหมาะสมทีส่ ดุ คือ การต้ม 4 ช่ังโมง และจากการนาไปทดลองใชก้ บั หอยเชอรี่ทั้ง 3 ขนาด พบวา่ สารละลายใบหูกวางส่งผลใหห้ อยเชอร่ที ่ีมขี นาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ตายในเวลา 32 นาที 1 ชวั่ โมง, 45 นาที และ 3 ชั่วโมง 33 นาที ตามลาดับ และสารละลายฝกั คนู สง่ ผล ให้หอยเชอรี่ท่ีมีขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ตายในเวลา 1 ช่ัวโมง 2.3 นาที, 3ช่ัวโมง 1.6 นาที และ 5 ช่ัวโมง 58.44 นาที ตามลาดบั โดยสามารถนาไปใช้ในพ้นื ท่ีเกษตรกรได้จรงิ คาสาคัญ : ฝักคูน,ใบหูกวาง,หอยเชอร,่ี แทนนนิ

หนา 28 การศึกษาสยี ้อมผมหงอกจากใบเทยี นกิ่ง กากกาแฟ และดอกอัญชนั อารียา สดี า1, อรทยั ล้อมสูงเนิน1, อมรรัตน์ ดอนไม้ไทร1, จิรัฐติกรณ์ แอมประชา1 อรวรรณ ศรีพล2 1นกั เรียนโรงเรยี นหนองบวั พิทยาคาร , E-mail : [email protected] 2 โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร บทคดั ยอ่ โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ ร่อื งการศกึ ษาสีย้อมผมหงอกจากใบเทียนกิ่ง กากกาแฟ และดอกอญั ชนั มีวัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาสียอ้ มผมหงอก จาก ใบเทยี นก่งิ กากกาแฟ และดอกอัญชัน โดยมีอตั ราส่วนใบเทยี นก่ิงสดต่อดอกอัญชันตอ่ วา่ นหางจระเข้ต่อนา้ ดังนี 5 กรมั : 5 กรมั : 5 กรมั : 10 มลิ ลิลติ ร, 10 กรมั : 5 กรมั : 5 กรัม : 10 มลิ ลิลิตร และ 15 กรัม : 5 กรมั : 5 กรัม : 10 มิลลิลติ ร กากกาแฟต่อดอกอญั ชนั ตอ่ ว่านหางจระเข้ ต่อนา้ ดังนี 5 กรมั : 5 กรมั : 5 กรัม : 10 มิลลลิ ติ ร, 10 กรัม : 5 กรัม : 5 กรมั : 10 มลิ ลลิ ิตร และ 15 กรัม : 5 กรัม : 5 กรมั : 10 มลิ ลิลติ ร โดย มชี ดุ ควบคุมคอื ใบเทียนก่งิ สดต่อนา้ 15 กรัม : 10 มลิ ลิลิตร ชุดควบคมุ กากกาแฟต่อน้า 15 กรัม : 10 มิลลิลิตร และชุดควบคมุ ดอกอัญชนั ตอ่ นา้ 15 กรมั : 10 มิลลลิ ิตร โดยน้าอตั ราสว่ นท่ีเตรียมไวโ้ ขลกให้ละเอียด แลว้ น้ามายอ้ มกบั ตวั อยา่ งผมหงอกจา้ นวน 9 มัด มัดละ 0.4 กรัม หมักผมเป็น เวลา 60 นาที จากนันน้ามัดผมท่ีผ่านการย้อมท้าความสะอาดด้วยนา้ สะอาดผ่ึงให้แห้ง จากผลการศึกษาพบว่า ใบเทยี นกิ่งสด ย้อมติดสีผมหงอกไดด้ ีทส่ี ดุ โดยให้สสี ้มแดง สว่ นกากกาแฟและดอกอัญชัน ไมม่ ีผลตอ่ การยอ้ ม ตดิ สีผมหงอก จึงสรปุ ไดว้ า่ ใบเทียนก่ิงสดสามารถย้อมตดิ สีผมหงอกได้ เมือ่ อ้างอิงจากการย้อมผมหงอกด้วยเทียนกิง่ ของภูมิปญั ญาพนื บา้ นทีก่ ล่าว ไว้วา่ เม่ือผสมดอกอัญชนั ผสมเขา้ ไปในสตู รจะท้าใหผ้ มตดิ เปน็ สีเข้มขึน ซ่งึ ขดั แย้งกับผลการทดลอง เพราะสที ่ยี อ้ มติดผมหงอกมแี ต่สีสม้ แดงจากใบ เทยี นก่ิงเทา่ นนั คาสาคญั : ผมหงอก, การย้อมสีผม

หนา 29 การศกึ ษาการเปรยี บเทียบประสิทธิภาพวสั ดดุ ูดซบั จากเถา้ ตอซังข้าวดว้ ยวิธีการตกตะกอน ขวญั จิรา ปจั จุมตั โิ ต1, รตั นาภรณ์ บญุ หล้า1, สรษิ า สุขศรนี าค1 , พัชรี จันหาญ2 1นักเรียนโรงเรยี นผดงุ นารี , E-mail:[email protected] 2โรงเรยี นผดุงนารี บทคัดย่อ จังหวัดมหาสารคามมีชื่อเสียงด้านผ้าไหมมัดหม่ี ในการฟอกย้อมเส้นไหมมักใช้สีเคมีสังเคราะห์ ในระดับชุมชน พบวา่ มกี ารปลอ่ ยนา้ ทิ้งสยี ้อมลงตามพื้นดนิ หรอื ท่อระบายน้าซงึ่ ก่อให้เกดิ ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ของคนในชุมชน นอกจากนี้ยังพบว่าหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวมีปริมาณตอซังข้าวปริมาณและยังไม่มีการน้าไปใช้ประโยชน์ เทา่ ท่คี วร เกษตรกรส่วนใหญ่มกั ใชว้ ธิ ีการเผาตอซังขา้ วเพ่อื ช่วยลดค่าใช้จา่ ยในการเตรียมพนื้ ที่เพาะปลกู แต่การเผาตอซงั ขา้ ว ส่งผลเสยี ต่อโครงสรา้ งดนิ ในระยะยาว และท่ีส้าคัญท้าใหเ้ กดิ ปัญหาฝนุ่ ละออง เขม่าควัน และกา๊ ซหลายชนิดท่กี อ่ ใหเ้ กดิ มลพษิ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ เช่น ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) และ ฝุ่น ละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ดงั นั้นโครงงานนจี้ ึงมีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื ศึกษาประสทิ ธภิ าพของวสั ดดุ ูดซบั จากเถ้าตอ ซังข้าวในการบ้าบัดน้าท้ิงสียอ้ มด้วยวิธีการตกตะกอน โดยศึกษาน้าหนักของวัสดุดดู ซบั จากเถ้าตอซังข้าว, ศึกษาปรมิ าตรของ นา้ ท้ิงสยี ้อม และคา่ pH ทเ่ี หมาะสมส้าหรบั การตกตะกอน ตัวอย่างน้าท้ิงสยี ้อมทเี่ ตรียมไดม้ ีคา่ ปริมาณสีเริ่มต้น 73.74 mg/L ค่า pH เทา่ กับ 6.86 ท่อี ุณหภูมิ 27 °C จากการศึกษาพบวา่ นา้ หนักเถ้าตอซังข้าวท่ีใช้ต้องเหมาะสมกับปริมาณเนื้อสีในน้าทิ้ง สียอ้ ม เม่ือใช้เถา้ ตอซังข้าวปริมาณ 1.5013 กรัม ในน้าทิ้งสยี ้อมปริมาตร 25 ml ค่าปริมาณสีย้อมลดลงเป็น 5.84 mg/L การ ลดลงของปรมิ าณสียอ้ มมีคา่ สูงสดุ ท่ี 92.08% เม่ือท้าการศกึ ษาเปล่ียนแปลงปรมิ าตรของน้าทง้ิ สียอ้ ม พบวา่ ประสทิ ธภิ าพการ ตกตะกอนเปลย่ี นแปลงไป เมื่อใช้เถ้าตอซังข้าวปริมาณ 1.5042 กรมั ในน้าท้ิงสีย้อมปริมาตร 50 ml ค่าปริมาณสีย้อมลดลง เป็น 2.16 mg/L การลดลงของปริมาณสีย้อมมีค่าสูงสุดที่ 97.07% และเมื่อท้าการศึกษา pH ที่เหมาะสมส้าหรับการ ตกตะกอน พบวา่ ประสิทธภิ าพการตกตะกอนจะเพิ่มมากขนึ้ เมอ่ื น้าท้ิงสยี อ้ มมรี ะดับ pH เพ่ิมขึน้ เมื่อใช้เถา้ ตอซงั ข้าวปริมาณ 1.5048 กรัม ในน้าทิ้งสีย้อมปริมาตร 50 ml ค่าปรมิ าณสีย้อมลดลงเป็น 3.25 mg/L การลดลงของปรมิ าณสีย้อมมีค่าสูงสุด ที่ 95.59% คาสาคญั : ตอซงั ข้าว, นา้ ท้ิงสยี อ้ ม

หนา 30 .. ... , ... ... 2 \\J1U!Jl11,lJ\\J l'l�nClJ\\11 1Unl�IJUfr�,rllUf{JIUllffn t/1 2frnrllUVllUllffnt/1 E-ma,l : PrabbitholeG)hotma,l.com 1iLS'l'i.:i.:i1'1Ji1ii�v1i.J'i�'1.:irlL�tJ?ln�nm'itl1uv1J1,11mLvici.:iJ1�1�'\\J�L�'\\JJ1L�EJ-J1n�:U'll'\\J uiu.:i LvlEJ \\�'ll\"1tlEJtl1'11:U'll{jvl1111LLf1 crnvl'\\J'll11 crnmtLOvlLU'; lt'1tlfl 1111EJn1'iL\\nEJ'UL-iiEJ'Url'0Jfl1��,11,11nnW)vlf11 1tJtJniL'1'\\J\"1tmEJ 'Wtl1(DO) virn11v1r11r111:uti.J'i.:1i '1 v1'i1,11v1tfl:u1ru\"1m.:i LL�.:i\"1t\"11ml1.X.:iV1:1Jv1(TDS) vl'i1'11vl�OlVIIJfaL\"1�fi111:IJLtl'\\Jffivl-�1.:i(pH) 1111EJ1Gn1'i'lJtl.:i GLOBE Protocol ru LLV1\".:itl1�1�'\\J�Ltl'\\JLLV1ci.:i V nm!1L�EJ,J1n'l'!:U'll'\\Juju.:i B1LJ)tl'l'l:ULL'W �.:i'\\111vl'lJtl'\\JLLf1\\J utJniL'1'\\J\"1t\"11EJ1'1Jtl1(00) L'Vl1n'\\J 8.94 mg oxygen/L 'itl.:i\"1.:i:u11111LLf1 crnmtLOvl LLf!�crnvi'\\J'll11 iir11LO�EJutlniL'1'\\J\"1t\"11EJ1'1Jtl1(00)L'V11n'\\J 7.67LL\"1t6.5 mg oxygen/L�1:uJ1�'\\J uiv�'i1'11vl r111:uti.J'i.:i1'1 'W'l1��1ti-1J11'1t'\\J:u1n�'1'vl�tlcrn�'\\J'l111 t�EJiir11LO�EJ'lJtJ.:im1:uti.J'i.:i1mvhnu 518 ml 'itl.:J\"1.:im1111LLf1 crnmtLOvl LL\"1t'1tln LvlEJiifl1LO�EJfl1ff}1:ULi.J'i.:i1mvhnu 376.22 LL\"1t300.56 ml�1:U�1�'\\J uiu�'i1,11v1i.fa11ru'lJcNLL�.:i\"1t\"11EJtl1.X.:iV1:uv1(TDSl wi..rj1,ivniii.J�:u1ru'lltJ.:JLL�.:i\"1::mml1.X.:iV1:uv1utJEJ�'1'v1 LvlEJiir11LO�EJ,J�:1J10J'tltl.:JLL�.:Jfl�mEJtl1L'Vhnu 120.33 ppm 'itl.:J\"1.:i:1J1LlilLLf1 crnmtLOvl LL\"1tCJn\\;Ji.J'l!11 LvlEJiifl1LO�EJ,J�mru'tltl.:!LL�.:i\"1�mEJtl1L'V11n'\\J 120.67LL\"1t133.78 ppm v11:uJ1�'\\JLL\"1tuitJ�'i1'11vl�OJVl1Jll LL\"1tfi111:ULtl'\\Jffivl-�1-:i(pH) '1JtJ.:iW'l1LL�\"1t'l!{jv1iir11LL�n�1.:in'\\JL�nUtJEJ LvlEJiir11LO�EJtl'C\\J'\\11/�)favhnu 28.59°c 1hh19r.u, : V , V , V r'1rumw-J1 n1'itl1uv1-J1 'W'll\"1 tlEJ'IJ1

หนา 31 การเปรียบเทียบประสิทธภิ าพของกรดฟอรม์ ิกในนา้ หมกั กล้วยน้าว้าและมะละกอ ท่ชี ว่ ยในการแข็งตัวของยางพารา ธีระพฒั น์ กาญจนสิทธ’ิ์ โสรยา ศรบี รุ นิ ทร์ และ อัญชลี ลุนะหา นกั เรยี นโรงเรียนเลยอนุกลู วิทยา, http://www.nukul.ac.th/ โรงเรียนเลยอนกุ ลู วทิ ยา บทคัดยอ่ โครงงานวิทยาศาสตร์การเปรยี บเทียบของประสทิ ธิภาพกรดฟอรม์ กิ ในนา้ หมกั กล้วยนา้ วา้ และมะละกอที่ ช่วยในการแข็งตัวของยางพารา จัดท้าขนึ เพ่ือศึกษากรดฟอรม์ กิ ในนา้ หมักกลว้ ยน้าว้าและมะละกอทีช่ ว่ ยในการแข็งตัวของ ยางพารา โดยมขี ันตอนในการทดลอง ดังนี 1. เตรยี มการทา้ น้าหมกั โดยน้ากลว้ ยนา้ วา้ และมะละกอ ชนิดละ 1 กโิ ลกรมั นา้ มา ฝานใหเ้ ป็นชนิ 2. นา้ มะละกอและกลว้ ยนา้ วา้ ทฝ่ี านแลว้ มาใส่กระปุกทเ่ี ตรยี มทา้ การหมัก เตมิ น้าเปล่าประมาณ 1,000 มลิ ลลิ ติ ร ปิดฝากระปุกใหส้ นทิ เกบ็ ให้พน้ แสง หมกั ทงิ ไว้ประมาณ 7 วนั 3. เติมนา้ มะพร้าว 500 มลิ ลลิ ติ ร ให้พกั ไว้ประมาณ 15 วนั 4. นา้ นา้ หมักมาทดลองเพ่ือตรวจสอบว่าเปน็ กรดฟอรม์ ิก โดยการหยดสารเจนเชียนไวโอเลต สังเกตการณ์ เปลีย่ นแปลง บันทกึ ผล 5. น้าน้าหมกั ไปทดสอบกบั ยางพาราทเี่ ตรยี มไวใ้ นอัตรา 20:20 ml แลว้ จบั เวลาในการแข็งตัวของ ก้อนยางพารา จากการทดลอง พบว่า ค่า pH เฉล่ียของน้าหมกั มะละกอมคี า่ pH เท่ากบั 4.3 และค่าเฉล่ยี ของน้าหมกั กล้วยน้าว้ามคี ่า pH เท่ากับ 4.6 และ ระยะเวลาในการแข็งตัวของนา้ หมักมะละกอและระยะเวลาในการแขง็ ตวั ของนา้ หมกั กล้วยนา้ ว้า พบว่าระยะเวลาในการแข็งตวั ของนา้ หมกั มะละกอมีคา่ เท่ากบั 2.35 และคา่ ระยะเวลาในการแขง็ ตวั ของน้าหมกั กล้วยน้าวา้ มีค่าเท่ากบั 5.4 สรปุ ไดว้ ่า ประสทิ ธิภาพกรดฟอรม์ ิกในน้าหมักมะละกอช่วยในการแข็งตัวของยางพาราได้ดกี ว่า กรดฟอรม์ ิกในน้าหมักกล้วยน้าวา้ 2 เท่า

หนา 32 กการสังเคราะหคารบอกซีเมทธลิ เซลลูโลสจากเปลอื กสมโอ จรรยพร นันทะมีชยั 1, ปณ ณกิ า หอมเหลก็ 1, ฑิตฐติ า จนั ทรมนตร1ี สุมลรัตน แทนโสภา2 นักเรียนโรงเรยี นปทุมเทพวิทยาคาร, E-mail: [email protected] โรงเรยี นปทมุ เทพวทิ ยาคารบทคัดยอ การจดั ทาํ วจิ ยั เร่ือง การสงั เคราะหค ารบ อกซีเมทธลิ เซลลโู ลสจากเปลอื กสมโอ มีวัตถุประสงค 1) เพอ่ื สังเคราะห เซลลูโลสจากเปลอื กสมโอ 2) เพอื่ นาํ เซลลโู ลสจากเปลือกสมโอมาสงั เคราะหเปน คารบอกซเี มทธลิ เซลลูโลสหรือซีเอ็มซี (Carboxymethyl cellulose, CMC) โดยมขี นั้ ตอนการดาํ เนินการวจิ ยั ดังนี้ 1) การสังเคราะหเ ซลลูโลสจากเปลอื กสม โอ 2) การสงั เคราะหคารบ อกซีเมทธลิ เซลลโู ลสหรอื ซีเอม็ ซี (Carboxymethyl cellulose, CMC) 3) การตรวจสอบเอกลกั ษณ ของเซลลูโลส 4) การตรวจสอบสมบัตขิ องคารบอกซิเมทธลิ เซลลโู ลสทสี่ ังเคราะหไ ดโดยใชก รดคลอโรแอซิตกิ ทอ่ี ัตราสวน ตางกัน ผลการดาํ เนินวจิ ัยพบวา เซลลูโลสท่ีสังเคราะหส ามารถนาํ ไปสังเคราะหเปน คารบอกซีเมทธลิ เซลลโู ลสหรอื ซเี อ็มซี (Carboxymethyl cellulose, CMC) ได และภาวะของการใชปริมาณ เยอื่ :กรดคลอโรแอซิติก ซง่ึ ใหผลเปนที่นาพอใจอยูท่ี อตั ราสว น 1:1 จะมีลักษณะหนดื มสี ขี าว มีคณุ สมบตั ิคลายคลงึ กับคารบ อกซีเมทธลิ เซลลโู ลส (Carboxymethyl cellulose, CMC) ทางการคา Keywords : เปลือกสม โอ, คารบอกซเี มทธลิ เซลลโู ลส

หนา 33

หนา 34 การศึกษาอัตราสว่ นตา่ งๆ ทมี่ ีผลต่อความตดิ ทนและความชัดเจนในการสกรนี ผา้ จากสีธรรมชาติ ณฐั กฤตา กิรยิ ะ1, พรรณพศิ า วงษ์เสนา1, กิติยาภรณ์ แก้วสูงเนิน1 พิมพ์กมล พลออ่ นสา2 1นกั เรยี นโรงเรียนกลั ยาณวตั ร, 2โรงเรียนกลั ยาณวตั ร บทคดั ย่อ ในการศึกษาคร้ังน้ีเพ่ือศึกษาวิธีการทาหมึกพิมพ์สกรีนจากการสกัดสีหมึกพิมพ์สกรีนผ้าจากสารสกัดธรรมชาติ โดยใช้ อัญชัน (Clitoria ternatea L)กับยางพารา(Hevea brasiliensis) และขมนิ้ (Curcuma longa)กับยางพารา โดยนายางพารา (Hevea brasiliensis) ใสล่ งไปผสมกบั ผงอญั ชนั และผงขมนิ้ โดยมาอตั ราสว่ น 4:1 3:1 2:1 1:1 เพอ่ื ให้ไดน้ า้ หมกึ ทม่ี คี วามหนดื ทนต่อการลอกของสแี ละสามารถนาสหี มึกไปพมิ พล์ งบนผา้ ฝา้ ยโดยใชบ้ ล็อกสกรนี ขนาด 12x12 นวิ้ โดยใชผ้ า้ ฝา้ ยดบิ อัตราส่วน ละ 3 ผืน จะได้ผ้าสกรีนจากสีหมึกธรรมชาติ และตรวจสอบความติดทนของหมึกโดยการซักจากเคร่ืองซักผ้า ป่ันแห้ง และ นาไปรีด หลังจากน้ันทาการถ่ายรูปเพื่อเปรียบเทียบการเปล่ียนแปลงของหมึกพิมพ์ พบว่า ผ้าจากการสกรีนสีหมึกธรรมชาติ ด้วยอัตราส่วน 1:1 มีสีชัดเจนท่ีสุดเหมอื นครงั้ แรกที่สกรีนและผ้าจากการสกรีนสีหมึกธรรมชาติด้วยอัตราส่วน 2:1 มีความติด ทนมากท่ีสุด แสดงให้เหน็ ว่าสหี มึกพมิ พส์ กรนี ผ้าจากสารสกัดในธรรมชาตินน้ั สามารถใช้ทดแทนสารเคมีไดแ้ ละ ไม่เปน็ อันตราย ต่อผู้ผลิตและผู้บรโิ ภค มีราคาในการผลิตท่ีต่า สามารถตอ่ ยอดให้เป็นสินค้าท่ีเป็นมิตรต่อธรรมชาติ ส่งผลดีตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มและ เปน็ การใชเ้ ป็นการใชว้ ตั ถุดบิ จากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ คาสาคัญ: สสี กรนี ผ้า, ความติดทน, ความชัดเจน

หนา 35 ถังดกั ไขมนั ดว้ ยตวั ดูดซบั จากฝ้าย ฟางขา้ ว และกากมะพร้าว ธัญญพร สาขามุละ1, ภทั รวดี ศรจี าพลัง1, สพุ ิชชา ชา่ งสอน1 ดลนภา พรรนื่ เริง2, วยิ ะดา สริ ิอมตธรรม2 1นักเรียนโรงเรยี นเตรียมอุดมศกึ ษา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื , E-mail: [email protected] 2ครูโรงเรยี นเตรียมอดุ มศึกษา ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ บทคดั ยอ่ น้ามนั และไขมันจากการอปุ โภคบรโิ ภคของครวั เรือนและรา้ นอาหารตา่ งๆเปน็ สารอินทรีย์ท่ยี ่อยสลายได้ช้าและ กา้ จัดได้ยาก เมือ่ เกิดการปนเปอ้ื นและสะสมในแหลง่ น้า น้ามนั และไขมนั เหลา่ นีจะลอยตัวสงู ขึนเหนอื ผิวน้า ท้าให้อัตรา การแลกเปลีย่ นแกส๊ ระหวา่ งนา้ และอากาศลดลง สง่ ผลใหป้ รมิ าณ O2 ของนา้ ลดลง ซงึ่ นา้ ไปส่กู ารเน่าเสียและสง่ กลิ่นเหม็น ของนา้ ในท่ีสดุ คณะผ้จู ดั ท้าจงึ สนใจทจี่ ะจดั ทา้ โครงงานเรื่องถังดักไขมันด้วยตัวดูดซับจากฝ้าย ฟางข้าว และกากมะพรา้ ว โดยมีวัตถปุ ระสงค์ คือ 1. เพอ่ื เปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพในการดูดซับน้ามันของฝ้าย ฟางข้าว และกากมะพรา้ ว 2. เพ่อื สร้าง และศกึ ษาประสิทธิภาพของถงั ดกั ไขมันในการปรบั ปรงุ คุณภาพนา้ ทงิ โดยการทดลองแบง่ ออกเป็น 2 ตอน ดงั นี ตอนท่ี 1 การเปรียบเทยี บประสทิ ธภิ าพในการดูดซับน้ามนั ของฝา้ ย ฟางข้าว และกากมะพรา้ ว โดยน้าน้ามัน 150 กรัม ในน้า 1 ลติ ร ไหลผ่านตวั ดูดซบั คือ ฝ้าย ฟางข้าว และกากมะพร้าว 5 กรัม ผลการทดลองพบว่า ฝ้าย ฟางข้าว และกากมะพรา้ ว มคี วามสามารถในการดูดซบั นา้ มนั เฉลยี่ เป็น 74.29 40.88 และ 17.60 กรัม ตามลา้ ดบั ตอนท่ี 2 เพอื่ สร้างและศึกษา ประสทิ ธิภาพของถังดักไขมันในการปรับปรุงคุณภาพน้าทิง จากผลการทดลองในตอนท่ี 1 พบวา่ ฝา้ ยสามารถดูดซับนา้ มนั ได้ดที ่ีสุด รองลงมาคอื ฟางขา้ ว และกากมะพรา้ ว ตามล้าดับ จงึ ได้นา้ พืชทงั 3 ชนดิ มาเป็นตัวดดู ซบั ไขมันในถังดกั ไขมนั โดยแบ่งเป็น 3 ชัน เรยี งจาก กากมะพร้าว ฟางข้าว และฝา้ ย ตามล้าดบั จากนันน้าไปทดสอบกบั นา้ ทิงในรา้ นอาหาร โดยเกบ็ ตัวอย่างนา้ ทิงเป็นระยะเวลา 5 วัน ผลการทดลองพบว่า ถังดักไขมันมคี วามสามารถในการดดู ซบั นา้ มันและไขมันได้ และมคี า่ ความเปน็ กรด-เบสเฉลี่ยเป็นไปตามมาตรฐานนา้ ทิงจากอาคารประเภทรา้ นอาหารและภัตตาคารของกรมควบคุมมลพิษ คาสาคญั : การดูดซับนา้ มันและไขมนั , ถังดกั ไขมนั , ฝา้ ย, ฟางขา้ ว, กากมะพรา้ ว

หนา 36 ชอื่ โครงงาน การศกึ ษาการเปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพการดูดซบั โลหะหนักตะกว่ั จากสารสกัดสมนุ ไพร 4 ชนดิ โครงงานสาขาวิชา เคมี ผจู้ ดั ทาโครงงาน 1. นางสาวธนิสา เวียงวงษ์ 2. นางสาวจิราภรณ์ ขวัญประเสริฐ E-mail address 3. นางสาวจริ าภรณ์ มุกดาม่วง โรงเรียน [email protected] ครทู ปี่ รกึ ษา ประจกั ษ์ศลิ ปาคาร อาเภอเมือง จงั หวัดอดุ รธานี ทปี่ รึกษาพเิ ศษ คุณครูธีรภัทร์ ป้องปิด นายกฤษดา สุดทวี บทคดั ย่อ กกกกกกกโครงงานเร่อื งการศึกษาการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดดู ซับโลหะหนักตะก่ัวจากสารสกดั สมุนไพร 4 ชนิด ไดแ้ ก่ ใบรางจืด ผักชี ขม้นิ และกระเทยี ม ซง่ึ มีคุณสมบัตทิ ี่ช่วยในการดดู ซบั โลหะหนัก โดยใชไ้ อออนของ ตะกวั่ แทนโลหะหนักอืน่ ๆในการทดลอง แบง่ ขั้นตอนการทดลองออกเป็น 2 ขนั้ ตอน ข้นั ตอนที่ 1 ทาการสกัดน้าคัน้ จากใบรางจดื ด้วยวิธีการปั่นด้วยเครอื่ งป่นั โดยใชน้ ้ากลั่นเป็นตัวทาละลาย และกรองตะกอนใหเ้ หลอื แตส่ ารสกดั ขน้ั ตอนที่ 2 ศกึ ษาสมบตั ิการดูดซับตะกวั่ โดยใชส้ ารละลาย เลด(II)ไนเตรตซึง่ มีไอออนของตะก่วั เปน็ องคป์ ระกอบไปทาปฏกิ ิรยิ ากับสารสกดั ทีไ่ ด้จากสมนุ ไพรดังกล่าว โดยใช้สารละลายเลด(II)ไนเตรตความเข้มข้น 0.1 mol/dm3 กับสารสกัดสมนุ ไพรในอัตราส่วน 1:1 แลว้ กรองตะกอนจากปฏิกิริยาเคมนี ้ีออก แล้วนา สารละลายท่ไี ด้ไปทาปฏิกริ ิยากบั สารละลายโพแทสเซยี มไอโอไดดค์ วามเข้มขน้ 0.1 mol/dm3 เพอ่ื หาปริมาณ ไอออนตะก่ัวทเ่ี หลือ จากนนั้ ทาการกรองแลว้ นาตะกอนเลด(II)ไอโอไดด์ไปผ่านการอบแหง้ แล้วนามาชั่งนา้ หนกั เพือ่ เปรยี บเทียบประสิทธภิ าพวา่ สมนุ ไพรชนดิ ใดสามารถดูดซับตะกัว่ ไดด้ ที ่สี ุด ทาการทดลองซา้ อกี 2 ครง้ั และ บันทึกผลการทดลอง แลว้ ทาการทดลองแบบเดยี วกับผักชี ขม้นิ และกระเทียม กกกกกกกกกจากผลการทดลอง พบว่า สารสกดั จากสมุนไพรทั้ง 4 ชนดิ ที่มปี ระสิทธิภาพในการดูดซบั ตะกวั่ ไดด้ ี ท่สี ุดคือ ใบรางจืด สามารดูดซับตะก่วั ไปเฉลย่ี 0.75 g รองลงมา ได้แก่ ผกั ชี 0.60 g ขมนิ้ 0.50 g และ กระเทยี ม 0.23 g ตามลาดับ

หนา 37 การหารอยลายนวิ้ มือแฝงบนวตั ถุพยานท่เี ป็นโลหะโดยใช้เซลล์ไฟฟ้าเคมี กรวรรณ คาศรี1, ปนดั ดา สมิ ลา1, สกุ ัญญารัตน์ วรธพิ รหมมา1, นางสาวกลุ ธิดา คาทุม2 1นกั เรยี นโรงเรียนผดุงนารี , E-mail:[email protected] 2โรงเรียนผดงุ นารี บทคดั ยอ่ การจัดทาโครงงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสารละลายอิเล็กโทรไลต์ท่ีได้จาก ผลไม้ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ มะนาว ส้ม แตงโม มะกรูด มะเฟือง จากผงแกรไฟต์ไปยึดเกาะบนพยานโลหะวัตถุ และเพ่ือ ศึกษารอยลายนิว้ มอื ท่ปี รากฏบนวตั ถพุ ยานจากสารละลายอิเล็กโทรไลตแ์ ตล่ ะชนิด ซงึ่ การรวบรวมพยานหลกั ฐานและ การดาเนินการเพอ่ื ทราบขอ้ เทจ็ จริง เพ่อื สามารถระบตุ ัวผู้กระทาผดิ และข้นั ตอนการกระทาผดิ ได้ ซง่ึ ตอ้ งใชพ้ ยานหลกั ฐานท่ี สามารถพบในสถานท่ีเกิดเหตุ เช่น คราบเลือด คราบอสุจิ คราบน้าลาย รอยฟัน เส้นผม และรอยลายน้ิวมือ เป็นต้น โดยเฉพาะรอยลายน้ิวมือถือเป็นพยานหลักฐานที่มีความสาคัญและพบมากที่สุดในวัตถุพยาน ซ่ึงสามารถนามาพิสูจน์ เอกลักษณ์บคุ คลเพือ่ ยืนยันตวั ผู้กระทาผดิ ได้อย่างถูกตอ้ งเพราะลายมือของมนุษยม์ ีลักษณะพิเศษทีไ่ ม่เหมือนกันและไมม่ ีการ เปลี่ยนแปลงต้ังแต่เกิดจนตาย วัตถุพยานสว่ นใหม่ที่พบในสถานท่ีเกิดเหตุ ได้แก่ ปลอกกระสุนปืน มืด กุญแจ เหรียญ พระ เครื่อง เป็นต้น จะเป็นวัตถุที่มีส่วนประกอบของโลหะ ซ่ึงเป็นพื้นผิวท่ีไม่มีรูพรุนจึงไม่สามารถดูดซับส่วนประกอบใดๆของ คราบเหงื่อและไขมันได้ ทาให้รอยลายนิ้วมือยังคงปรากฏอยู่บนพ้ืนผิวของวัตถุได้เป็นเวลานาน ดังนั้นคณะผู้จัดทาจึงได้ ศกึ ษาวิธีการชุบโลหะด้วยไฟฟ้าโดยอาศัยหลักการของเซลล์ไฟฟ้าเคมีมาประยกุ ต์ใช้ในการตรวจหาลายน้ิวมือและเพิ่มความ คมชัดของลายนิ้วมือบนพ้ืนผิววัตถุพยานท่ีเป็นโลหะ โดยได้ทาการศึกษาค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการของ เซลล์ไฟฟ้าเคมีทป่ี ระกอบด้วยข้วั แอโนด ขวั้ แคโทด และสารละลายอิเลก็ โทรไลต์ จากผลไมท้ งั้ 5 ชนิด ได้แก่ มะนาว ส้ม แตงโม มะกรดู มะเฟอื ง ซึ่งหาไดภ้ ายในท้องถ่ินและสามารถหาซือ้ ได้ง่ายมาใช้ใหเ้ กิดประโยชนอ์ ย่างสูงสุดและไม่เปน็ มลพิษ ต่อสิง่ แวดล้อม ผลจากการศึกษาพบว่าสารละลายอิเล็กโทรไลต์ท่ีมีประสิทธิภาพคือ สารละลายน้าส้มที่มีตัวทาละลายเป็นแอซิติก เมื่อศึกษาองคป์ ระกอบของสารละลายทป่ี ระกอบด้วยน้าสม้ และแอซติ กิ จะพบว่าน้าส้มมีผลต่อการยดึ เกาะของรอยลายน้วิ มือ บนพยานโลหะวตั ถทุ ี่มีรอยลายนิ้วมอื แฝง แตแ่ อซติ กิ ไมม่ ีผลต่อการเกดิ รอยลายนิ้วมอื แฝง คาสาคัญ: รอยลายนิ้วมอื , เซลลไ์ ฟฟา้ เคมี, สารละลายอิเล็กโทรไลต์, ผลไม้ทงั้ 5 ชนิด

หนา 38 การศกึ ษาประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์แขง็ ทผ่ี สมดว้ ยอนุภาคนาโน ชนกนั ต์ แก้วดวงดี , ญารดี า ปราบสูงเนิน , สุภาวดี สนุ สรุ ัตน์ พิรณุ พรรณ เต็มวงษ์ และ อรอมุ า บริบรู ณ์ นกั เรียนโรงเรยี นเลยอนุกูลวทิ ยา E-mailnukul.ac.th โรงเรยี นเลยอนกุ ูลวทิ ยา บทคดั ยอ่ โครงงานวิทยาศาสตร์เร่ือง การศึกษาประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์แข็งท่ีผสมด้วยอนุภาคนาโน จัดทาขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์แข็งท่ีผสมอนุภาคนาโน โดยมีข้ันตอนในการทดลองดังนี้ คือ 1. นาเอทิลแอลกอฮอล์ 50 มิลลิลิตร ผสมกับกรดสเตียริก 8 กรัม โซดาไฟ 8 กรัม คนให้เข้ากันจนสารละลายเป็นเนื้อเดียว จากน้ันเติมวัสดุนาโนคารบ์ อนแบลก็ ลงไป เทสารละลายลงในแบบพมิ พ์ ท้ิงให้เยน็ ตวั 2. ทาตามขัน้ ตอนในข้อ 1 แตเ่ ปลย่ี นวสั ดุ นาโนเปน็ ไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO2)) และ (ZnO )รอให้แอลกอฮอล์แข็งตัว 3. ทาการเปรียบเทียบความคงสภาพของวัสดุ การตดิ ไฟ และเขมา่ และ 4. เปรยี บเทียบระยะเวลาในการเผาไหม้ ผลการทดลองพบวา่ ผลการทดลองพบวา่ 1) ระยะเวลาใน การเผาไหม้ของแอลกอฮอล์แข็งท่ีผสมอนุภาคนาโนคาร์บอนแบล็กมีค่าเท่ากับ3.28 นาที ระยะเวลาในการเผาไหม้ของ แอลกอฮอล์แขง็ ที่ผสมอนุภาคนาโนไทเทเนยี มไดออกไซดม์ คี ่าเทา่ กับ 3.29 นาที ระยะเวลาในการเผาไหมข้ องแอลกอฮอลแ์ ข็ง ท่ีผสมอนุภาคนาโนซงิ ค์ออกไซดม์ คี า่ เท่ากบั 3.19 นาที 2) ความคงสภาพของแอลกอฮอลแ์ ขง็ ที่ผสมวัสดนุ าโน คารบ์ อนแบล็ก และแอลกอฮอล์แข็ง ที่ผสมวัสดุนาโน ไทเทเนียมไดออกไซด์ มีความคงสภาพ ส่วนแอลกอฮอล์แข็ง ที่ผสมวัสดุนาโน ซิงก์ ออกไซด์ มีการหลอมเหลวเล็กน้อย ที่บริเวณเปลวไฟ และ 3) การสังเกตเขม่าควันพบว่า แอลกอฮอล์แข็ง ที่ผสมวัสดุนาโน คาร์บอนแบล็ก แอลกอฮอล์แข็ง ท่ีผสมวัสดุนาโน ไทเทเนียมไดออกไซด์ และแอลกอฮอล์แข็ง ท่ีผสมวัสดุนาโนซิงก์ออกไซด์ เมื่อมีการเผาไหม้ไม่มีเขม่าควัน จากการทดสอบประสิทธิภาพสรุปได้ว่า แอลกอฮอล์แข็งที่ผสมอนุภาคนาโนไทเทเนียมได ออกไซดม์ ีประสิทธิภาพดีทส่ี ุด รองลงมาเป็นแอลกอฮอล์แขง็ ที่ผสมอนภุ าคนาโนซงิ ค์ออกไซด์ และ แอลกอฮอล์แขง็ ทผ่ี สมวสั ดุ นาโน คารบ์ อนแบลก็ ตามลาดบั

หนา 39

หนา 40 การปรบั ปรุงผา้ ด้วยซงิ ค์ออกไซด์และซลิ ิกอนออกไซด์ เนตธิ ร บญุ ทอง1, เพชรรินทร์ ฮดบุญเรือง1, ปุญยรัตน์ กาดา1 ยทุ ธนา คะสุดใจ2 และ ธดิ ารัตน์ ประวทิ ย์สิทธกิ ลุ 2 1นักเรียนโรงเรียนนครพนมวิทยาคม, E-mail:[email protected] 2โรงเรียนนครพนมวทิ ยาคม บทคดั ยอ่ โครงงานเรือ่ ง การปรับปรุงผ้าด้วยซิงคอ์ อกไซด์และซิลกิ อนออกไซด์ มีจุดประสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาวิธกี ารสงั เคราะห์ วเิ คราะห์ ซิงค์ออกไซด์ และศึกษาการดูดซับน้าและการเป็นฉนวนกันความร้อนของผ้าตัวอย่างที่เคลือบด้วยซิงค์ออกไซด์และซิลิกอน ออกไซด์ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 3 ตอน ตอนท่ี 1 การสังเคราะห์ซิงค์ออกไซด์ด้วยสารละลายซิงค์ไนเตรทกับสารละลาย โซเดียมไฮดรอกซ์เปน็ สารตงั ตน้ โดยวธิ กี ารตกตะกอน พบวา่ ซงิ ค์ออกไซด์โดยมีลกั ษณะทางกายภาพเป็นผงสีขาว โดยน้าหนักของ ซิงค์ออกไซด์ท่ีได้จากการสังเคราะห์ คือ 0.72 กรัม คิดเป็นผลได้ร้อยละ (percent yield) คือ 98.63 ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์ สารละลายซิงค์ออกที่ละลายด้วยกรดไซด์ไฮโดรคลอริก (HCl) เข้มข้นร้อยละ 14 โดยปริมาตร มีพีคที่ปรากฏชัดเจนที่ความยาว คลื่น 245 และ 300 นาโนเมตร โดยมีค่าการดูดกลืนแสงเท่ากับ 2.672 และ 2.609 ตามล้าดับ ส่วนสารละลายซิงค์ออกไซด์ท่ี ละลายดว้ ยกรดซัลฟิวริก (H2SO4) เข้มข้นร้อยละ 5 โดยปริมาตร มีพีคที่ปรากฏชัดเจนที่ 240 และ 300 นาโนเมตร โดยมีค่าการ ดูดกลืนแสงเท่ากบั 0.032 และ 0.024 ตามลา้ ดบั จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ค่าความยาวคล่ืนของการดูดกลืนแสงท่ีสูงท่ีสุดของ สารละลายซิงค์ออกไซด์ คือ 300 นาโนเมตร และการทดสอบคุณสมบัติความเป็นกรดด่างของสารละลายซิงค์ออกไซด์ โดยใช้ วิธีการลายสารซิงค์ออกไซด์ 50 กรัมต่อลิตร ท่ีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ในกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นร้อยละ 14 โดยปริมาตร และในกรดซัลฟิวริกเข้มข้นร้อยละ 5 โดยปริมาตร โดยวัดความเป็นกรดด่างของสารละลายได้เป็น 6.8 และ 6.6 ตามล้าดับ ซึ่งมี ค่าใกลเ้ คยี งกับคณุ สมบตั ิของสารละลายซิงคอ์ อกไซด์ ตอนท่ี 3 การทดสอบการดูดซับน้าและการเป็นฉนวนกันความร้อน การดูด ซับนา้ ของผ้าปกตมิ กี ารดูดซับน้าเวลาเฉล่ีย คือ 3.80 วินาที และผ้าตัวอย่างที่เคลือบด้วยสารละลายซิงค์ออกไซด์และสารละลาย ซลิ กิ อนออกไซดไ์ ม่มกี ารดูดซบั นา้ น้าผา้ ตวั อยา่ งท่ีเคลอื บดว้ ยสารละลายผสมซงิ ค์ออกไซด์และซลิ กิ อนออกไซดไ์ ปใส่ในบ้านจ้าลอง เป็นผ้าม่าน แล้วเปิดไฟให้อุณหภูมิจนถึง 45 องศาเซลเซียส จึงดับไฟแล้วเร่ิมวัดอุณหภูมิภายในบ้านจ้าลอง ซ่ึงควบคุมอุณหภูมิ ดา้ นนอกโดยทดลองในหอ้ งปรับอากาศ วัดอุณหภูมิจนกว่าอุณหภูมิจะเข้าสู่สมดุลความร้อน ท้าการทดลองซ้าเปรียบเทียบกับผ้า ปกติ พบว่าผา้ ปกตมิ อี ุณหภูมเิ ขา้ สสู่ มดลุ ความรอ้ นที่ 24.1 องศาเซลเซียส และเวลาท่ี 56 นาที โดยมีอัตราการลดลงของอุณหภูมิ เฉล่ยี คือ 0.37 องศาเซลเซียส/นาที และผ้าตัวอย่างมีอุณหภูมิเข้าสู่สมดุลความร้อนท่ี 24.0 องศาเซลเซียส และเวลาท่ี 62 นาที โดยมอี ตั ราการลดลงของอุณหภมู ิเฉลย่ี คอื 0.33 องศาเซลเซยี สตอ่ นาที ซึ่งผ้าตัวอย่างมีประสิทธิภาพการเป็นฉนวนกันความร้อน เพิ่มขึนคดิ เป็นร้อยละ 10.81 เมอื่ เทยี บกับผา้ ปกติ คาสาคญั : ซงิ คอ์ อกไซด์, ซลิ กิ อนออกไซด์

หนา 41 วิจยั เร่อื ง การศึกษาปจั จยั ที่มผี ลตอ่ การติดสีในการยอ้ มคราม คุณครูทปี่ รึกษา ไกรลาศ วงคอ์ ินอยู่ นนั ธิดา จนั ทะนะ คณะผู้จดั ทา อรญั ญา ผา้ งาม วนิดา โสภา ประจาปีการศึกษา 2562 บทคดั ยอ่ โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เร่ือง การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการติดสีในการย้อมคราม มี วัตถุประสงค์ (1) เพื่อศกึ ษาปจั จัยที่มผี ลต่อการติดสีในการย้อมคราม จากการศึกษาปัจจัยที่มผี ลต่อการติดสีในการย้อมคราม คณะผู้จัดทาโครงงานได้สรุป และอภิปรายผลได้ดังน้ี จากการทดลองพบว่าความเข้มข้นสารละลายเบสในอัตราส่วน 1:1 มี การติดสีท่ีเข้มกว่าอัตราส่วนท่ี 2:1 และ 3:1 จากการศึกษาหาช่วงค่าpH ท่ีดีท่ีสุดพบว่าช่วงค่า pH11 มีการติดสีที่เข้มกว่า ช่วงค่า pH 1 4 7 และ 14 และไดม้ ีการศึกษาระยะเวลาในการหมักพบวา่ การใช้ระยะเวลาที่ 8 ชวั่ โมง จะมกี ารติดสที ่เี ขม้ กว่า ระยะเวลาที่ 16 และ24 ชั่วโมง ส่วนการทดในการหาชนิดของผ้าที่ดีที่สุดในการย้อมครามพบว่าผ้าฝ้ายมีการติดสีท่ีเข้มกว่า ผา้ สาลแี ละผา้ ปา่ นมัสลนิ และยงั มกี ารทดการยอ้ มผ้าฝา้ ยในน้าครามโดยใชส้ ารละลายเบส 1: เน้อื คราม 1 และผสมสารละลาย เบสทชี่ ว่ งคา่ pH11 หมกั ท้ิงไว้ 8 ชวั่ โมง และยอ้ มดว้ ยผ้าฝ้ายพบว่ามกี ารติดสีทเ่ี ขม้ และดที ่ีสุดในการยอ้ ม

หนา 42 การพัฒนาชดุ ตรวจหารอยลายน้วิ มอื แฝงบนวตั ถุพน้ื ผวิ เปียกไมม่ ีรูพรุน โดยใช้ซงิ คอ์ อกไซดผ์ สมสารลดแรงตงึ ผิวจากธรรมชาติ อาทติ ยา เนอื งนอง1 , วิภาวินี ธุรารัตน์1 , ศรนี าคร พมิ พิสาร1 เมฆา ดสี งคราม2 และ กรีฑา ภูผาดแร่2 1 นักเรยี นโรงเรยี นสกลราชวทิ ยานุกูล , E – mail : [email protected] 2 โรงเรยี นสกลราชวิทยานุกูล บทคดั ยอ่ โครงงานน้ไี ด้ทาการพัฒนาชุดตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงบนวัตถุพ้ืนผวิ เปยี กไม่มรี ูพรุน โดยใชซ้ งิ ค์ออกไซดผ์ สมสาร ลดแรงตงึ ผิวจากธรรมชาติ ท่ีสามารถหาซือ้ ได้ง่ายและไมเ่ ปน็ พษิ สาหรับตรวจเก็บรอยลายน้วิ มือแฝง ชดุ ตรวจสอบนี้ ใชส้ ารลด แรงตงึ ผิวจากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ลูกประคาดคี วาย สม้ ปอย และ ไขแ่ ดงต้มสกุ ทถ่ี กู เตมิ ลงในแตล่ ะสตู ร และใช้ซงิ คอ์ อกไซดเ์ พม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการตรวจสอบ ผลการศกึ ษาพบวา่ ลกู ประคาดคี วาย เป็นสารลดแรงตึงผวิ ที่ดที ีส่ ดุ เมอ่ื เพม่ิ ประสิทธภิ าพของ การตรวจรอยนิ้วมอื แฝง ด้วยซงิ คอ์ อกไซดส์ ตู รทผี่ สมซงิ คอ์ อกไซด์ 0.3 กรัมใหผ้ ลการตรวจสอบ ดที ่ีสดุ และนาไปตรวจสอบ รอยนิ้วมือแฝงบนวัตถุพนื้ ผิวเรยี บ 3 ชนิด คือ กระจก พลาสตกิ และชอ้ นสเตนเลส มจี านวนจดุ ลกั ษณะสาคญั พเิ ศษ (Minutiae) ทพ่ี บเฉลย่ี เป็น 40.67 , 33.33 และ 20.33 ตามลาดับ ระยะเวลาท่ีสามารถตรวจพบรอยนวิ้ มอื แฝงบนวัตถุ ทั้ง 3 ชนิดหลงั แช่นา้ จากธรรมชาตโิ ดยใชส้ ารลดแรงตงึ ผวิ จากธรรมชาติผสมซิงคอ์ อกไซด์ โดยรอยลายนว้ิ มือแฝงท่ตี รวจ พบบนพ้นื ผิวกระจกมคี ณุ ภาพดีกวา่ พลาสตกิ และช้อนสเตนเลส ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าชดุ ตรวจหารอยลายน้วิ มือแฝงบนวัตถพุ ้ืนผิวเปียกไม่มรี ูพรุน โดยใช้ซงิ ค์ออกไซด์ผสม สารลดแรงตึงผวิ จากธรรมชาติ ทพี่ ฒั นาขึ้นสามารถใชต้ รวจหา รอยลายนิว้ มือแฝงบนวตั ถุพืน้ ผวิ เปียกไม่มรี ูพรุนได้ คาสาคญั : ชดุ ตรวจหารอยลายนวิ้ มอื แฝง สารลดแรงตึงผวิ จากธรรมชาติ ซิงคอ์ อกไซด์

หนา 43 การศึกษาหาปรมิ าณสารประกอบฟนี อลรวมจากพืชสมุนไพรพืน้ บา้ น อรปรยี า จนั ทะรือแสน1 , ชนัญชดิ า พันธโ์ุ ยศรี1 , วรญั ญา ผลาเหมิ 1 นนั ทยิ า เจริญผล2 , โกศล ศรสี ังข์2 ผศ.ดร.คคนางค์ รตั นานคิ ม3 1นกั เรยี นโรงเรียนกาฬสนิ ธ์พุ ิทยาสรรพ,์ [email protected] 2โรงเรียนกาฬสินธพ์ุ ทิ ยาสรรพ์ 3ครทู ป่ี รึกษาพิเศษโครงงาน บทคดั ย่อ สารประกอบฟีนอล (phenolic compounds) เป็นสารทพ่ี บตามธรรมชาติในพชื หลายชนิด เช่น ผกั ผลไม้ ถั่ว ซ่งึ ถกู สรา้ งขึน้ เพือ่ ประโยชน์ในการเจรญิ เติบโต สารประกอบฟนี อล มโี ภชนเภสชั สรรพคุณทด่ี ีต่อสุขภาพคือ มีสมบตั เิ ป็นสาร ต้านอนุมูลอสิ ระ(antioxidant) สามารถละลายไดใ้ นน้า (ศนู ยเ์ ครือขา่ ยขอ้ มลู อาหารครบวงจร, 2562, ออนไลน)์ ดงั นน้ั โครงงานน้ีจงึ มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อศกึ ษาหาปรมิ าณสารประกอบฟีนอลรวม และศกึ ษาเปรียบเทยี บว่าพชื ชนิดใดมีปรมิ าณ สารประกอบฟนี อลรวมมากทส่ี ุด โดยทา้ การศึกษาวเิ คราะหห์ าปรมิ าณสารประกอบฟีนอลรวมดว้ ยวธิ ี Folin-Ciocalteu reagent ในพืชสมนุ ไพร 3 ชนดิ ไดแ้ ก่ แปะต้าปึง หนานเฉาเหว่ย ดีปลากั้ง ผลทไี่ ดจ้ ากการทดลอง พบว่าหนานเฉาเหวย่ มีปรมิ าณสารประกอบฟีนอลรวมมากทีส่ ุดคือ 468.8 ไมโครกรัมแกลลกิ ต่อกรัมของตัวอย่าง ตอ่ มาคอื แปะตา้ ปึงมปี รมิ าณ สารประกอบฟีนอลรวม 262.4 ไมโครกรมั แกลลิกตอ่ กรมั ของตวั อยา่ ง และดปี ลาก้งั มีปรมิ าณสารประกอบฟนี อลรวมนอ้ ย ท่สี ดุ คือ 199.8 ไมโครกรัมแกลลิกตอ่ กรัมของตวั อย่าง อย่างไรกต็ าม ยงั มปี ัจจัยอีกหลายประการ ไมว่ า่ จะเปน็ แหล่งทีใ่ ชใ้ น การปลกู พชื กระบวนการในการสกดั สารตวั อยา่ ง วิธที ท่ี ใ่ี ชใ้ นการดูแลรักษาพชื ที่สง่ ผลต่อปรมิ าณสารประกอบฟีนอลรวม คาสาคญั : สารประกอบฟนี อลรวม, สารประกอบฟนี อล, แปะต้าปึง, หนานเฉาเหวย่ , ดปี ลาก้งั

หนา 44 ชอื่ โครงงาน กระดาษจากกาบกลว้ ย ชอ่ื คณะผู้จัดทา นางสาวอินธริ า บวั ชุม นางสาวสายธาร คงเจริญ ชอ่ื ครูทีป่ รกึ ษา นาย ไกรลาศ วงค์อนิ อยู่ นางยุวรรณ สาขา สถานศึกษา โรงเรียนเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั ภูมพิ ลอดลุ ยเดชฯทรงครองสิริราชสมบตั ิ ครบ ๕๐ ปี จังหวัดสกลนคร ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 บทคัดย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ืองการศึกษาประสิทธภิ าพความเหนียวของกระดาษกาบกล้วย มจี ุดประสงคเ์ พื่อ 1) ศึกษาการทากระดาษจากกาบกลว้ ย 2) เพ่อื ศกึ ษาการปรบั ปรงุ คุณภาพของกระดาษดว้ ยแป้งมนั ตอ่ ความ เหนยี ว โดยมวี ิธีการศึกษาคือ การทาใหเ้ ย่อื จากกาบกลว้ ยเป่อื ยยุ่ยด้วยการต้มกาบกลว้ ยด้วยสาร ละลายโซเดยี มไฮดรอก ไซดเ์ ขม้ ข้น 20% โดยนาหนัก การฟอกเยือ่ ใหข้ าวดว้ ยการแชเ่ ย่ือในไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซดเ์ ข้มข้น 20% ศกึ ษาความ เหนียวและความสวยงามของเย่ือกระดาษดว้ ยการเติมและไมเ่ ติมแปง้ ผลการศกึ ษาพบวา่ กระดาษจากเยอ่ื กาบกลว้ ยทผี่ สม แปง้ มันจะมคี วามเหนียวหนา เนือเนียนสมา่ เสมอ และฉีกขาดได้ยากกว่าที่ไมผ่ สมแป้งมัน เยอื่ กระดาษขนาด 18 กรัม เนือ กระดาษไม่หนามาก และพับงอไดง้ า่ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook