แผนยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี ปรชั ญาการศกึ ษา และ หลกั การจดั การศกึ ษา ผชู ้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กลุ ชลี จงเจรญิ
กรอบการนาเสนอ แผนยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี ปรชั ญาการศกึ ษา หลกั การจดั การศกึ ษา
ทาไมตอ้ งมยี ทุ ธศาสตรช์ าติ (ดร.สวุ ทิ ย์ เมษินทรยี )์
จดุ มงุ่ หมายการทายทุ ธศาสตรช์ าติ Ways & Means ENDs - นโยบายความมน่ั คง - ผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ แหง่ ชาติ - วตั ถปุ ระสงคม์ ูลฐาน - มาตรการเฉพาะ / แผน แหง่ ชาติ แม่บท - วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะของ - แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และ ชาติ
ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ อี ยา่ งไร
ตวั อยา่ งยทุ ธศาสตรช์ าตขิ องตา่ งประเทศ มาเลเซยี - กาหนดยทุ ธศาสตร ์ ชาตริ ะยะ 30 ปี (พ.ศ. 2534 – 2563) - วสิ ยั ทศั น์ “นาพา ประเทศไปสู่สถานะ ประเทศรายไดส้ ูง ภายในปี 2563” - เน้น Anchoring Growth on People
ตวั อยา่ งยทุ ธศาสตรช์ าตขิ องตา่ งประเทศ บรไู น - แผนวสิ ยั ทศั นบ์ รไู น 2035 ระยะ 30 ปี (พ.ศ. 2551 – 2578) - ประเดน็ หลกั 1. ประชาชนมี การศกึ ษาดแี ละมที กั ษะ สูง 2. ประชาชนมี คณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี
ตวั อยา่ งยทุ ธศาสตรช์ าตขิ องตา่ งประเทศ ไตห้ วนั - แผนยุทธศาสตรช์ าติ 10 ปี ทอง (พ.ศ. 2551 – 2561) - เป้ าหมาย “การสรา้ ง ไตห้ วนั ทมี่ คี วามสขุ ที่ ประกอบไปดว้ ยความ เจรญิ รุง่ เรอื ง ความ ปรองดอง และการ พฒั นาทยี่ ง่ั ยนื ”
การขบั เคลอื่ นประเทศไทย Startup Thailand / Smart Farmer / R & D
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (Sufficiency Economy Philosophy: SEP)
ยทุ ธศาสตรช์ าตเิ พอ่ื การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื ของประเทศไทย
SDGs SEP
ยทุ ธศาสตรช์ าต:ิ กรอบการพฒั นาระยะยาว เพอื่ ใหบ้ รรลวุ สิ ยั ทศั น์ “ประเทศมคี วามมน่ั คง มง่ั คง่ั ยง่ั ยนื เป็ นประเทศที่ พฒั นาแลว้ ดว้ ยการพฒั นาตามปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง” นาไปสูก่ ารพฒั นาใหค้ นไทยมคี วามสขุ และตอบสนองตอ่ การบรรลุซงึ่ ผลประโยชน์ แห่งชาตใิ นการทจี่ ะพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ สรา้ ง รายไดร้ ะดบั สูงเป็ นประเทศทพี่ ฒั นาแลว้ และ สรา้ งความสุขของคนไทยสงั คมมคี วามมน่ั คง เสมอภาค และเป็ นธรรม
ความมน่ั คง - การมคี วามม่ันคงปลอดภยั จากภยั และการเปลยี่ นแปลงทงั้ ภายในประเทศ และ ภายนอกประเทศในทกุ ระดับ และมคี วามมนั่ คงในทกุ มติ ิ - ประเทศมคี วามมั่นคงในเอกราชและอธปิ ไตย มสี ถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ท์ เี่ ขม้ แข็งเป็ นศนู ยก์ ลางและเป็ นทยี่ ดึ เหนย่ี วจติ ใจของ ประชาชน - มรี ะบบการเมอื งทมี่ นั่ คงเป็ นกลไกทน่ี าไปสกู่ ารบรหิ ารประเทศทต่ี อ่ เนอ่ื ง และโปรง่ ใสตามหลกั ธรรมาภบิ าล - สงั คมมคี วามปรองดอง และความสามัคคี - ครอบครวั มคี วามอบอนุ่ มคี วามมัน่ คงของอาหารและพลงั งาน - ประชาชนมคี วามม่ันคงในชวี ติ มงี าน และรายไดท้ มี่ ่ันคงพอเพยี งกบั การ ดารงชวี ติ มที อี่ ยอู่ าศยั และความปลอดภยั ในชวี ติ ทรพั ยส์ นิ
ความมง่ั คง่ั - ประเทศไทยมกี ารขยายตวั ของเศรษฐกจิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนเขา้ สกู่ ลมุ่ ประเทศ รายได ้ สงู ความเหลอื่ มล้าของการพัฒนาลดลง - เศรษฐกจิ มคี วามสามารถในการแขง่ ขนั สงู สามารถสรา้ งรายได ้ ทัง้ จาก ภายในประเทศและภายนอกประเทศ และเป็ นจดุ สาคญั ของการเชอื่ มโยง ในภมู ภิ าคทงั้ การคมนาคม ขนสง่ การ ผลติ การคา้ การลงทนุ และการ ทาธรุ กจิ - ความสมบรู ณใ์ นทนุ ทจี่ ะสามารถสรา้ งการพัฒนาตอ่ เนอื่ ง ไดแ้ ก่ ทนุ มนุษย์ ทนุ ทางปัญญา ทนุ ทางการเงนิ ทนุ ทเ่ี ป็ นเครอื่ งมอื เครอื่ งจกั ร ทนุ ทางสงั คม และ ทนุ ทางทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
ความยง่ั ยนื - การพัฒนาทส่ี ามารถสรา้ งความเจรญิ รายได ้ และ คณุ ภาพชวี ติ ของ ประชาชน ใหเ้ พม่ิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ไมส่ รา้ งมลภาวะตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มจนเกนิ ความสามารถในการรองรบั และเยยี วยาของระบบนเิ วศน์ - การผลติ และการบรโิ ภคเป็ นมติ รตอ่ สงิ่ แวดลอ้ ม และสอดคลอ้ งกบั กฎระเบยี บของประชาคมโลกซง่ึ เป็ นทยี่ อมรบั รว่ มกัน ทรัพยากรธรรมชาติ มคี วามอดุ มสมบรู ณม์ ากขน้ึ และสงิ่ แวดลอ้ มมคี ณุ ภาพดี - มงุ่ ประโยชนส์ ว่ นรวมอยา่ งยง่ั ยนื - ใหค้ วามสาคัญกบั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน และทกุ ภาคสว่ นในสงั คม ยดึ ถอื และปฏบิ ตั ติ าม ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเพอื่ การพัฒนา
1) ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นความมน่ั คง 1.1 การเสรมิ สรา้ งความมนั่ คงของสถาบนั หลักของชาตแิ ละ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็ นประมขุ 1.2 การปฏริ ปู กลไกการบรหิ ารประเทศ 1.3 การป้องกนั และแกไ้ ขการกอ่ ความไมส่ งบในจังหวดั ชายแดนภาคใต ้ 1.4 การพัฒนาระบบ กลไก มาตรการและความรว่ มมอื ระหวา่ ง ประเทศทกุ ระดับ 2) ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นการสรา้ งความสามารถในการแขง่ ขนั 2.1 สมรรถนะทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ รกั ษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกจิ และสรา้ งความเชอ่ื มัน่ สง่ เสรมิ การคา้ และการลงทนุ สง่ เสรมิ การคา้ และการ ลงทนุ ทงั้ ภาครฐั และเอกชน 2.2 พัฒนาผปู ้ ระกอบการและเศรษฐกจิ ชมุ ชน ไดแ้ ก่ พัฒนาทักษะ และองคค์ วามรขู ้ องผปู ้ ระกอบการไทย พัฒนาวสิ าหกจิ ขนาดกลางและ ขนาดยอ่ มสสู่ ากล และพัฒนาวสิ าหกจิ ชมุ ชนและสถาบนั เกษตรกร
3) ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นการพฒั นาและเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพคน 3.1 พัฒนาศกั ยภาพคนตลอดชว่ งชวี ติ ใหส้ นับสนุนการเจรญิ เตบิ โต ของประเทศ 3.2 สรา้ งเสรมิ ใหค้ นมสี ขุ ภาวะทดี่ ี 3.3 สรา้ งความอยดู่ มี สี ขุ ของครอบครวั ไทยใหเ้ ออื้ ตอ่ การพัฒนาคน 4) ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นการสรา้ งโอกาสความเสมอภาคและ เทา่ เทยี มกนั ทางสงั คม 4.1 สรา้ งความม่นั คงและการลดความเหลอ่ื มล้าทางดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คม 4.2 สรา้ งความเขม้ แข็งของสถาบนั ทางสงั คมและทนุ ทาง วฒั นธรรมและความเขม้ แข็งของชมุ ชน
5) ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นการสรา้ งการเตบิ โตบนคณุ ภาพชวี ติ ทเ่ี ป็ นมติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ ม 5.1 การจดั ระบบอนุรกั ษ์ ฟ้ืนฟแู ละป้องกนั การทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เป็ นตน้ 6) ยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นการปรบั สมดลุ และพฒั นาระบบการ บรหิ ารจดั การภาครฐั 6.1 การพัฒนาระบบการใหบ้ รกิ ารประชาชนของหน่วยงานภาครฐั 6.2 การปรับปรงุ บทบาท ภารกจิ และโครงสรา้ งของหน่วยงาน ภาครัฐใหม้ ขี นาดทเี่ หมาะสม 6.3 การวางระบบบรหิ ารงานราชการแบบบรู ณาการ 6.4 การพัฒนาระบบบรหิ ารจดั การกาลงั คนและพัฒนาบคุ ลากร ภาครัฐในการปฏบิ ตั ริ าชการ 6.5 การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ 6.6 การปรบั ปรงุ แกไ้ ขกฎหมาย ระเบยี บ และขอ้ บงั คบั ใหม้ คี วาม ชดั เจน ทนั สมยั เป็ นธรรม และสอดคลอ้ งกบั ขอ้ บงั คบั สากลหรอื ขอ้ ตกลง ระหวา่ งประเทศ ตลอดจน พัฒนาหน่วยงานภาครัฐและบคุ ลากรทม่ี หี นา้ ที่ เสนอความเห็นทางกฎหมายใหม้ ศี กั ยภาพ
ยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
ปจั จยั ความสาเร็จของยทุ ธศาสตรช์ าติ ระยะ 20 ปี
ปรชั ญา ปรชั ญาการศกึ ษา
ปรชั ญา ปรชั ญา ปรชั ญา พนื้ ฐาน การศกึ ษา
ความหมายของปรชั ญา 1. ความหมายตามรปู ศพั ท์ ปร + ชญา = ความรอู ้ นั ประเสรฐิ Philosophy = Philo + sophia = Love of Wisdom = ความรักในปัญญา = วชิ าวา่ ดว้ ยหลักแหง่ ความรแู ้ ละความจรงิ
Philosophy = ความรักในปัญญา = วธิ กี ารคดิ อยา่ งมรี ะเบยี บเกย่ี วกบั สง่ิ ตา่ ง ๆ ทมี่ อี ยแู่ ลว้ หรอื เป็ นความพยายามทจ่ี ะ คน้ หาความสอดคลอ้ งของแนวความคดิ และ ประสบการณท์ ัง้ หมด (Kneller, 1964)
2. ความหมายตามเนอ้ื หาสาระ ปรัชญาเป็ นศาสตรแ์ หง่ หลักการ (a science of principles) มงุ่ แสวงหาความ โครงสรา้ งของเนอื้ หาสาระ จรงิ อนั เป็ นทส่ี ุด (Ultimate Reality อภปิ รัชญา หรอื ภววทิ ยา หรอื Ultimate Truth) (Metaphysics หรอื Ontology) ญาณวทิ ยา (Epistemology) คณุ วทิ ยา หรอื จรยิ ศาสตร์ (Axiology หรอื Ethics)
โครงสรา้ งของเนอ้ื หาสาระ อภปิ รชั ญา / ภววทิ ยา ศาสตรท์ วี่ า่ ดว้ ย ความจรงิ (Metaphysics / Ontology) ญาณวทิ ยา อธบิ ายเกยี่ วกบั แหลง่ ทมี่ า (Epistemology) ของความรู ้ คณุ วทิ ยา (อนุมาน / อปุ มาน) (Axiology) สนุ ทรยี ศาสตร์ / จรยิ ศาสตร์ (Aesthetic / Ethics)
อภปิ รชั ญา / ภววทิ ยา (Metaphysics / Ontology) ศาสตรท์ ี่ว่าดว้ ยความเป็ นจริงหรือสารตั ถะ (Reality Essence) ว่ามีจริงหรือไม่ \"ความจริงคืออะไร\" ความจริงอาจจะเป็ นวตั ถหุ รือสิ่งที่รบั รดู้ ว้ ย การสมั ผสั ทงั้ 5 คือ ตา หู จมกู ล้ิน และกาย ความจริงอาจจะเป็ นสิ่งที่ไม่มีตวั ตน เป็ นนามธรรมก็ได้ เช่น ความจริงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ศาสนา ความดี ความถกู ตอ้ งดีงาม
ญาณวทิ ยา (Epistemology) ตรรกวิทยา (Logic) อธิบายถึงปัญหาเก่ียวกบั ท่ีมาของความรู้ แหล่งเกิดของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ และเหตแุ ห่งความรทู้ ี่แทจ้ ริง ศึกษาเก่ียวกบั ธรรมชาติของความจริง ตรรกวิทยาในปรชั ญามี 2 วิธีคือ 1. อนุมานวิธี คือ การหาความจริงจากสิ่งท่ีเราเชื่อว่าเป็ นจริงจากขอ้ สรปุ ที่ถกู ตอ้ ง เหมาะสมท่ีมีอยู่ก่อนแลว้ 2. อุปมานวิธี คือ การหาความจริงหรือการคิดหาเหตุผลดว้ ยการพิจารณา ขอ้ ปลีกย่อยอื่นดว้ ยการทดลอง คน้ ควา้ แลว้ นามาเป็ นขอ้ สรปุ หากฎเกณฑ์
ปรชั ญามงุ่ ตอบคาถาม ๓ ดา้ น อะไร คอื สง่ิ ทเ่ี ป็ นจรงิ (What is real?) อะไร คอื ความรทู้ ถ่ี กู ตอ้ ง (What is true?) อะไร คอื ความดี (What is good?) - อะไร คอื ความประพฤตทิ เ่ี หมาะสม สงิ่ ทพี่ ยายามตอบคาถามนคี้ อื จรยิ ศาสตร์ (Ethics) - อะไร คอื สง่ิ ทม่ี คี วามงามอยา่ งแทจ้ รงิ สงิ่ ทพี่ ยายามตอบคาถามนค้ี อื สนุ ทรยี ศาสตร์ (Aesthetics)
ปรชั ญา ปรชั ญา ปรชั ญา พนื้ ฐาน การศกึ ษา บคุ คลเรยี นรไู ้ ดอ้ ยา่ งไร สภาพหอ้ งเรยี นควร เป็ นอยา่ งไรทคี่ นอยาก เรยี นมากทสี่ ดุ
ปรชั ญาพน้ื ฐานทางตะวนั ตกทส่ี าคญั ปรชั ญาพน้ื ฐานทางตะวนั ตก ตอ่ การจดั การศกึ ษา
1 Plato - The World of Mind 2 Aristotle - The World of Things 3 St .Thomas Aquinas - The World of Reasons
4 John Dewey - The World of Experience 5 Soren Kierkegaard- The World of Existing
ปรชั ญาการศกึ ษา อดุ มคติ อดุ มการณอ์ นั สงู สดุ ซงึ่ ยดึ เป็ นหลกั ในการจัดการศกึ ษา มบี ทบาทในการเป็ นแมบ่ ท เป็ นตน้ กาเนดิ ความคดิ ในการกาหนดความ มงุ่ หมายของการศกึ ษาและเป็ นแนวทางใน การจัดการศกึ ษา ตลอดจนถงึ กระบวนการใน การเรยี นการสอน
ปรชั ญาการศกึ ษาทสี่ าคญั แนวคดิ ปรัชญาการศกึ ษา มอี ยมู่ ากมายหลายลทั ธิ โดยแตกแขนงออกมาจาก ปรัชญาบรสิ ทุ ธ์ิ ปรัชญาการศกึ ษาลทั ธหิ นง่ึ ๆ อาจจะอาศัยแนวคดิ จากปรัชญา บรสิ ทุ ธห์ิ ลายสาขามาผสมผสานกัน ลทั ธปิ รัชญาการศกึ ษาทแี่ พรห่ ลายทั่วไป ไดแ้ ก่ สารตั ถนยิ ม (Essentialism) นริ นั ตรนยิ ม / นริ นั ตรวาท (Perennialism) พพิ ฒั นาการนยิ ม (Progressivism) ปฏริ ปู นยิ ม (Reconstructonism) อตั ถภิ าวนยิ ม (Existentialism)
จติ นยิ ม (Idealism) สารตั ถนยิ ม สจั นยิ ม (Realism) (Essentialism) เนน้ เนอ้ื หา สาระ (Essence) : ความรู ้ ทกั ษะ ทศั นะคติ คา่ นยิ ม ฯลฯ ทถ่ี กู ตอ้ ง ดงี าม เป็ นวฒั นธรรมทตี่ อ้ ง ไดร้ ับ การอนุรกั ษ์และถา่ ยทอดสคู่ น รนุ่ หลงั
สารตั ถนยิ ม \"การอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมของสงั คม\" (Essentialism) แนวคดิ การสะสม/อนุรกั ษม์ รดกของสงั คมไวใ้ หค้ นร่นุ ต่อไป และ ช่วยสืบทอดวฒั นธรรมในสงั คมใหค้ งอยู่ต่อไป นกั เรยี น เลียนแบบจากครโู ดยครเู ป็ นตน้ แบบ และศึกษาเล่าเรียน ครู ในรายวิชา ต่างๆตามท่ีครกู าหนดหรือครเู ห็นว่าดี ครเู ป็ นผทู้ ี่เป็ นแบบอย่างหรือตน้ แบบของนกั เรียน หลกั สตู ร/ เนน้ การศึกษาวิชา ประวตั ิศาสตร์ ส่ิงดีงามของชุมชน เนอ้ื หา ตนเอง และประวตั ิบคุ คลสาคญั การเรยี น ใชว้ ิธีการบรรยาย อภิปรายและทาตามตวั อย่างท่ีมีอยู่ การสอน
จติ นยิ ม (Idealism) นริ นั ตรนยิ ม สจั นยิ มเชงิ เหตผุ ล (Perennialism) (Rational Realism) การศกึ ษาเป็ นสง่ิ ทนี่ าพามนุษย์ หรอื โทมสั นยิ มใหม่ ไปสคู่ วามเป็ นระเบยี บเรยี บรอ้ ย (Neo-Thomism) เนน้ การใชค้ วามคดิ และเหตผุ ล คณุ ธรรม จรยิ ธรรม
นริ นั ตรนยิ ม \"ความจริงและความดีสงู สดุ ย่อมไม่ (Perennialism) เปล่ียนแปลง\" แนวคดิ เนน้ ความสาคญั ของความคงที่หรือความไม่เปล่ียนแปลง นกั เรยี น เป็ นผทู้ ี่มีเหตุผลและมีแนวโนม้ ท่ีจะกา้ วไปส่คู วามจริง ครู และความรตู้ ่างๆ ครเู ป็ นตวั อย่างและเป็ นผคู้ วบคมุ ดแู ลและรกั ษาวินยั หลกั สตู ร/ เน้ือหาสาระที่เก่ียวขอ้ งกบั จิตใจซึ่งส่วนใหญ่จะเนน้ เนอื้ หา การศึกษาทางมานุษยวิทยา และนกั ปรชั ญา การเรยี น วิธีการบรรยาย เพ่ือใหน้ กั เรียนไดม้ ีความเขา้ ใจในสิ่งต่างๆ การสอน นอกจากน้ียงั ไดใ้ ชว้ ิธีการใหท้ ่องจาเน้ือหาสาระต่างๆ และ วิธีการถามตอบ (ปุจฉา-วิสชั นา)
ประจกั ษวาท (Empiricism) พพิ ฒั นาการนยิ ม ปฏบิ ตั นิ ยิ ม (Pragmatism) (Progressivism) ประสบการณน์ ยิ ม (Experimentalism, Instrumentalism) ประสบการณน์ าไปสคู่ วามรู ้ ความรเู ้ ปลยี่ นไปตามกาลเวลาและ สง่ิ แวดลอ้ ม การเรยี นรเู ้ นน้ กระบวนการ พัฒนา เปลย่ี นแปลง ไปสกู่ ารคน้ พบความรใู ้ หม่ ๆ เสมอ
พพิ ฒั นาการนยิ ม \"การหาความรอู้ ย่างมีอิสระ มีเสรีภาพ (Progressivism) ในการเรียน การคน้ ควา้ การทดลอง \" แนวคดิ เนน้ วิธีการประชาธิปไตย สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงส่ิงต่างๆท่ี ยอมรบั ในสงั คม นกั เรยี น นกั เรียนเป็ นศนู ยก์ ลางการเรียน ยอมรบั ว่านกั เรียนแต่ ละคนจะมีความแตกต่างกนั ครู แนะแนวทางใหแ้ ก่ผเู้ รียนในการทากิจกรรมต่างๆพรอ้ ม กบั จดั สภาพแวดลอ้ มเพ่ือใหเ้ กิดการเรียนรู้ หลกั สตู ร/ ยึดผเู้ รียนเป็ นศนู ยก์ ลางการเรียน มีความยึดหยุ่น เนอ้ื หา การเรยี น การ ทาโครงการ การอภิปรายกล่มุ และการแกป้ ัญหาเป็ น การสอน รายบคุ คล - How to
ประจกั ษวาท (Empiricism) พพิ ฒั นาการนยิ ม ปฏบิ ตั นิ ยิ ม (Pragmatism) (Progressivism) ประสบการณน์ ยิ ม (Experimentalism, ปฏริ ปู นยิ ม Instrumentalism) (Reconstructionism) ประสบการณน์ าไปสคู่ วามรู ้ ความรเู ้ ปลยี่ นไป ตามกาลเวลาและสงิ่ แวดลอ้ ม การเรยี นรเู ้ นน้ กระบวนการ พฒั นา เปลยี่ นแปลงไปสกู่ าร คน้ พบความรใู ้ หม่ ๆ เสมอ และเนน้ การ พัฒนาสงั คมในอดุ มคตขิ นึ้ ใหม่
ปฏริ ปู นยิ ม \"เป็ นส่วนหน่ึงของปรชั ญาการศึกษา (Reconstructionism) แบบพิพฒั นนิยม\" แนวคดิ การศึกษาเป็ นเครื่องมือ โดยตรงสาหรบั การเปลี่ยนแปลง สงั คม นกั เรยี น มีความรสู้ ึกสานึกในหนา้ ที่ หาประสบการณด์ ว้ ยตนเอง ใหม้ ากท่ีสดุ ครู เป็ นผนู้ าในสงั คม สรา้ งระเบียบแบบแผนที่เหมาะสมให้ เกิดข้ึน สอนกระบวนการประชาธิปไตย หลกั สตู ร/ ยึดเอาอนาคตเป็ นศนู ยก์ ลาง เหมาะสมกบั ความตอ้ งการ เนอ้ื หา ของผเู้ รียนที่ตอ้ งการจะเป็ นในอนาคต การเรยี น ครใู หเ้ สรีภาพแก่ผเู้ รียน เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดพ้ ฒั นาตนเองและ การสอน ทาในสิ่งท่ีดีท่ีสุดเพ่ือส่วนรวม
อตั ถภิ าวนยิ ม อตั ถภิ าวนยิ ม (Existentialism) (Existentialism) เนน้ การมชี วี ติ อยจู่ รงิ ของมนุษยแ์ ตล่ ะคน ซงึ่ ตอ้ งเขา้ ใจในความสาคญั และรจู ้ ักลกั ษณะ เดน่ ของตนเอง ทกุ คนมเี สรภี าพทจ่ี ะกระทา สงิ่ ใด ๆ แตต่ อ้ งรับผดิ ชอบในการกระทานัน้ ๆ
อตั ถภิ าวนยิ ม \"ความมีอยู่หรือเป็ นแก่นแท้ (Existentialism) ของความจริง \" แนวคดิ มนุษยต์ อ้ งพยายามคน้ หาตวั เอง และเลือกสรา้ งลกั ษณะ ของตนเองที่ตนอยากจะเป็ น นกั เรยี น มีเสรีภาพในการท่ีจะเลือกเรียนรใู้ นสิ่งท่ีตนเองสนใจ ครู เป็ นตวั กระตนุ้ เร่งเรา้ ใหผ้ เู้ รียนรบั ผิดชอบต่อการกระทา ของตนเอง หลกั สตู ร/ เนอื้ หา ใหค้ วามสาคญั กบั ทกุ รายวิชา ทกุ เน้ือหาเสมอภาคกนั เนน้ การเจริญเติบโตและพฒั นาการผเู้ รียน การเรยี น การสอน หลากหลายรปู แบบ ผเู้ รียนมีอิสระในการเลือกเรียน รายวิชาต่างๆ การสอนแบบไม่มีชนั้ เรียน การจดั กลุ่ม
หลกั การจดั การศกึ ษา
แนวคดิ พนื้ ฐานในการจดั การศกึ ษา ตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษา ความหมายแขหอ่งงชกาารตจิ ดพั ก.ศาร. ศ2กึ 5ษ4า2 - การจดั การศกึ ษาเป็ นกระบวนการอย่างเป็ น ระบบ - เป้ าหมาย คอื การพฒั นาคณุ ภาพมนุษยท์ ุก ดา้ น (รา่ งกาย จติ ใจ สตปิ ัญญา คณุ ธรรม คา่ นิยม ความคดิ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ฯลฯ) - คาดหวงั วา่ คนทมี่ คี ณุ ภาพจะทาใหส้ งั คมมี ความมน่ั คง สงบสุข เจรญิ กา้ วหน้าทนั โลก แข่งขนั กบั สงั คมอนื่ ในเวทรี ะหว่างประเทศได้
Search