Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Biostat_for_PH_Book_OrawanKeeratisiroj

Biostat_for_PH_Book_OrawanKeeratisiroj

Published by orawansa, 2019-06-21 11:13:13

Description: Biostat_for_PH_Book_OrawanKeeratisiroj

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าชีวสถติ สิ าหรับสาธารณสุข สาหรับหลักสูตรระดบั ปริญญาตรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ช่อื -สกุล.................................................................. รหัส......................... อรวรรณ กีรตสิ โิ รจน์



คำนำ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาชีวสถิติสาหรับสาธารณสุข เล่มนี้ ได้รวบรวมขึ้นโดยปรับปรุง เนื้อหาจากเอกสารประกอบการสอนรายวิชา 551314 สถิติสาธารณสุข 551302 ชีวสถิติประยุกต์ในงาน สาธารณสุข 554318 ชีวสถิติประยุกต์ในงานสาธารณสุข 551314 และ 551423 ชีวสถิติประยุกต์ในงาน สาธารณสขุ เพ่ือใช้สาหรับสอนนิสิตหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบณั ฑติ และวิทยาศาสตรบณั ฑิต หลกั สตู ร ปรับปรุง 2560 ของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในรายวิชา 551319 ชีวสถิติสาหรับ สาธารณสขุ และ 551327 ชวี สถิติสาหรับอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย ซง่ึ ได้มีการปรบั ปรุงเน้ือหา และแบบฝึกหดั บางสว่ นเพ่ือให้เหมาะสมกับนสิ ิตมากย่ิงข้ึน เน้อื หารายวชิ าชีวสถิติสาหรับสาธารณสขุ ในเอกสารเล่มน้รี วบรวมเฉพาะเนื้อหาภาคบรรยายและ แบบฝึกหัดการคานวณด้วยมือพร้อมเฉลยแบบฝึกหัด ซ่ึงเหมาะสมสาหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง สาหรับ เนื้อหาภาคปฏิบัติการใช้โปรแกรมสาเร็จรูปสาหรับการวเิ คราะห์ข้อมูลปรากฏอย่ใู นคู่มือปฏิบัติการการใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป SPSS Statistics 17.0 for windows สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลในงานด้าน สาธารณสขุ ท้ายน้ี ขอให้นิสิตทุกคนมีความขยัน หมั่นทบทวนบทเรียน และทาแบบฝึกหัดอยู่เสมอ แล้วนิสิต จะรู้ว่าการเรียนวิชาชีวสถิติไม่ยากอย่างที่คิด หวังว่าเอกสารเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่นิสิตให้ได้นาไปใช้ ประโยชน์อย่างมากท่ีสุด หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยและขอให้นิสิตช่วยแจ้งอาจารย์ผู้สอน เพอ่ื ประโยชนแ์ กก่ ารศกึ ษาสาหรับนิสติ ในรุ่นตอ่ ไป อรวรรณ กรี ตสิ ิโรจน์ 21 มิถนุ ายน 2562



สารบญั หนา้ หน่วยท่ี 1 ความสาคัญและขอบข่ายของชีวสถิติในงานสาธารณสุข 1 หนว่ ยท่ี 2 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 9 หนว่ ยที่ 3 การนาเสนอข้อมลู 19 หนว่ ยท่ี 4 การวดั แนวโนม้ เขา้ สู่สว่ นกลางและการกระจาย 33 หนว่ ยท่ี 5 ความนา่ จะเป็น 47 หน่วยท่ี 6 การแจกแจงความน่าจะเปน็ 61 หน่วยท่ี 7 การแจกแจงคา่ สถิติ 79 หน่วยที่ 8 การประมาณคา่ 91 หนว่ ยท่ี 9 การทดสอบสมมติฐาน 103 หนว่ ยท่ี 10 การเปรียบเทยี บคา่ เฉล่ยี ประชากรสองกล่มุ 113 หนว่ ยท่ี 11 การเปรยี บเทียบคา่ เฉลย่ี ประชากรมากกวา่ สองกลุ่ม 125 หนว่ ยท่ี 12 สหสัมพนั ธแ์ ละสมการถดถอยเชงิ เสน้ อยา่ งง่าย 135 หนว่ ยที่ 13 การวเิ คราะห์ข้อมูลแจงนับ 149 หนว่ ยที่ 14 บทสรปุ 165 บรรณานกุ รม 169 ตารางสถติ ิ 171



สารบัญตาราง หนา้ 5 ตารางที่ 1.1 คุณสมบตั ิของมาตรวดั ตวั แปร 6 ตารางท่ี 1.2 สัญลกั ษณแ์ ละเครอ่ื งหมายท่ีใชบ้ ่อยในทางสถิติ 39 ตารางที่ 4.1 สรุปวิธกี ารหาค่ากลางของข้อมูล 40 ตารางที่ 4.2 สรุปการเลือกใชค้ ่ากลาง 47 ตารางท่ี 5.1 จานวนนสิ ิตทส่ี อบตกจาแนกตามจานวนครั้งที่สอบตกและวชิ าท่ลี งทะเบียน 62 ตารางที่ 6.1 ลกั ษณะต่างๆ ทเี่ ก่ยี วข้องกบั ตัวแปรส่มุ 63 ตารางท่ี 6.2 ตารางแจกแจงความนา่ จะเป็นของการเป็นโรคฟนั ผุของประชากร 2 คน 93 ตารางท่ี 8.1 สตู รการคานวณคา่ สถิตแิ ละค่าพารามเิ ตอร์ ตารางท่ี 9.1 ความผิดพลาดของการตดั สินใจในการทดสอบสมมติฐาน 108 ตารางท่ี 11.1 แนวทางการคานวณสาหรบั การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว 128 ตารางที่ 11.2 ตารางวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว 129



สารบัญภาพ หนา้ 3 ภาพที่ 1.1 ขอบขา่ ยของสถติ ิ 5 ภาพท่ี 1.2 กระบวนการทางสถติ ิ 21 ภาพท่ี 3.1 ส่วนประกอบสาคัญของตารางและแผนภูมิ 21 ภาพท่ี 3.2 ส่วนประกอบของตารางจาแนกทางเดียว 21 ภาพที่ 3.3 ส่วนประกอบของตารางจาแนกสองทาง 22 ภาพที่ 3.4 แผนภูมแิ ท่ง 23 ภาพท่ี 3.5 แผนภมู ิแท่งปริ ามิดหรือปิรามดิ ประชากร 23 ภาพท่ี 3.6 แผนภูมิวงกลม 24 ภาพท่ี 3.7 แผนภาพ 24 ภาพท่ี 3.8 แผนทส่ี ถติ ิ 25 ภาพท่ี 3.9 กราฟเส้น 26 ภาพท่ี 3.10 แผนภาพลาต้นและใบ 26 ภาพที่ 3.11 ฮสิ โตแกรม 27 ภาพที่ 3.12 รปู หลายเหล่ยี มความถี่ 28 ภาพท่ี 3.13 โคง้ ความถส่ี ะสม 29 ภาพท่ี 3.14 แผนภาพกล่อง 37 ภาพที่ 4.1 แสดงค่าฐานนยิ มบนเสน้ โค้งแจกแจงความถ่ี 39 ภาพท่ี 4.2 เสน้ โคง้ ความถ่ขี องขอ้ มลู 48 ภาพที่ 5.1 ค่าความนา่ จะเป็น 49 ภาพท่ี 5.2 แผนภาพเวนแสดง Complement 49 ภาพที่ 5.3 แผนภาพเวนแสดง Union 50 ภาพที่ 5.4 แผนภาพเวนแสดง Intersection 50 ภาพท่ี 5.5 แผนภาพเวนแสดง Mutually exclusive 54 ภาพที่ 5.6 Partition (กลมุ่ เหตุการณ)์ B1, B2,..Bk และเหตกุ ารณ์ A 55 ภาพท่ี 5.7 การวินิจฉยั ถูกต้อง 55 ภาพที่ 5.8 การวินิจฉยั ไม่ถูกต้อง 56 ภาพที่ 5.9 คณุ คา่ การทานาย 62 ภาพท่ี 6.1 ตัวแปรสมุ่ 63 ภาพที่ 6.2 กราฟแจกแจงความนา่ จะเปน็ ของการเปน็ โรคฟันผขุ องประชากร 2 คน 64 ภาพท่ี 6.3 กราฟแสดงการแจกแจงความน่าจะเป็นแบบต่อเนอ่ื ง 66 ภาพท่ี 6.4 ลกั ษณะการแจกแจงแบบทวนิ าม 68 ภาพที่ 6.5 ลักษณะการแจกแจงแบบพัวซอง 71 ภาพท่ี 6.6 พ้นื ท่ีภายใตโ้ ค้งการแจกแจงปกติ 71 ภาพท่ี 6.7 ลกั ษณะโค้งการแจกแจงปกติท่คี ่า  ตา่ งกัน



สารบัญภาพ (ต่อ) หน้า 71 ภาพท่ี 6.8 ลกั ษณะโค้งการแจกแจงปกติที่คา่  ต่างกนั ภาพท่ี 6.9 โคง้ การแจงแจงแบบปกติมาตรฐาน 72 ภาพท่ี 6.10 การแปลงการแจกแจงปกติเป็นการแจกแจงปกตมิ าตรฐาน 73 ภาพที่ 6.11 การหาค่าความน่าจะเป็นของตัวแปรสุ่มทีม่ ีการแจกแจงปกติ 73 ภาพท่ี 7.1 กระบวนการทางสถติ ิ 80 ภาพที่ 7.2 การแจกแจงค่าสถิตขิ องตวั อยา่ ง 81 ภาพท่ี 7.3 การสมุ่ ตัวอย่าง n=2 จากประชากร 6 คน 81 ภาพที่ 7.4 แสดงค่าเฉลีย่ ของตวั อย่างทเี่ ปน็ ไปไดท้ ง้ั หมด 82 ภาพท่ี 7.5 ลกั ษณะการแจกแจงค่าเฉล่ยี ของตัวอย่างเม่ือ n มีขนาดต่างๆ 84 ภาพท่ี 7.6 การแจกแจงผลต่างระหว่างคา่ เฉล่ียของตัวอยา่ งจากสองประชากร 86 94 ภาพท่ี 8.1 ค่า Z บนการแจกแจงแบบปกติมาตรฐานท่ีชว่ งเชอ่ื ม่นั 1 -  ภาพที่ 8.2 การประมาณค่าแบบชว่ งเชือ่ มน่ั 94 ภาพท่ี 8.3 การแปลความหมายช่วงเชอื่ มน่ั 95 ภาพท่ี 8.4 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความผิดพลาดในการประมาณค่ากบั ชว่ งเชอ่ื ม่นั 96 ภาพท่ี 8.5 การแจกแจงแบบ t เปรยี บเทียบกบั การแจกแจงแบบ Z เมือ่ n มากข้นึ 98 ภาพที่ 8.6 t-distribution ที่ degree of freedom แตกต่างกัน 98 ภาพท่ี 9.1 สมมติฐานทางสถิติ 105 ภาพท่ี 9.2 การประเมนิ หลักฐานขอ้ มูลจากตวั อย่างในการทดสอบสมมติฐาน 106 ภาพท่ี 9.3 เขตปฏเิ สธสมมตฐิ าน H0 107 108 ภาพที่ 9.4 ความสัมพันธร์ ะหว่างค่า  และ  ภาพที่ 10.1 การแจกแจงแบบ F 114 ภาพท่ี 12.1 แนวทางการวิเคราะห์ข้อมลู เชิงปริมาณ 136 137 ภาพที่ 12.2 ตัวอย่าง Scatter plot ทค่ี า่  ตา่ งๆ ภาพที่ 12.3 Bivariate normal distribution และ Univariate normal distribution 137 ภาพที่ 12.4 เสน้ สมการถดถอยของขอ้ มลู อายุและความดนั Systolic ของตวั อยา่ ง 140 จานวน 10 ราย 141 ภาพท่ี 12.5 การแสดงความสัมพันธด์ ้วยสัมประสิทธ์ิสมการถดถอยเชงิ เส้นตรง 167 ภาพท่ี 14.1 แนวทางการเลอื กใช้สถิตสิ าหรบั วเิ คราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเบื้องต้น 168 ภาพที่ 14.2 แนวทางการเลอื กใช้สถติ สิ าหรับวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพเบื้องต้น



ชีวสถติ ิสำหรบั สำธำรณสุข: หนว่ ยท่ี 1 ควำมสำคัญและขอบขำ่ ยของชวี สถิติในงำนสำธำรณสุข หน่วยที่ 1 ความสาคญั และขอบขา่ ยของ ชวี สถติ ิในงานสาธารณสขุ วตั ถุประสงค์: หลงั จำกจบกำรเรียนในหวั ข้อนแ้ี ล้วนิสติ สำมำรถ 1. อธบิ ำยควำมหมำยของ สถิติ ชวี สถิติ ตวั แปร ประชำกร ตวั อยำ่ ง คำ่ พำรำมิเตอร์ และคำ่ สถติ ิ ไดอ้ ยำ่ งถกู ตอ้ ง 2. ระบุควำมแตกตำ่ งระหว่ำงสถิตพิ รรณนำและสถติ ิอนมุ ำนได้อยำ่ งถูกต้อง 3. อธิบำยบทบำทของสถิติในงำนดำ้ นสำธำรณสขุ ได้ 4. อธิบำยระเบยี บวิธีกำรทำงสถิตไิ ด้อย่ำงถูกตอ้ ง 5. อธบิ ำยและยกตัวอย่ำงของมำตรวัดตัวแปรได้อย่ำงถกู ต้อง เนอื้ หา: ควำมสำคัญและขอบขำ่ ยของชวี สถติ ใิ นงำนสำธำรณสุข 1. ควำมหมำยของสถิติ 2. ขอบข่ำยของสถิติ 3. บทบำทของสถิติในงำนด้ำนสำธำรณสุข 4. ระเบียบวิธีกำรทำงสถิติ 5. ตัวแปร 6. มำตรวัดตวั แปร 7. สญั ลกั ษณ์และเครื่องหมำยท่ีใช้ในทำงสถติ ิ รูปแบบการเรยี นการสอน: กำรเรียนรู้แบบร่วมมือ 1. ผู้เรยี นแตล่ ะคนศึกษำเนือ้ หำตำมหัวข้อบรรยำยจำกเอกสำรประกอบกำรสอนและสรุปเป็นแผนผัง ควำมคดิ (Mind map) ก่อนเข้ำชัน้ เรียน 2. แบ่งกลุ่มกำรเรียน เช็คช่ือสมำชิกภำยในกลุ่ม และอภิปรำยเนื้อหำตำมที่ได้รับมอบหมำยภำยใน กลมุ่ และภำยในชัน้ เรยี น 3. สรปุ เน้ือหำโดยอำจำรยผ์ ้สู อน 4. ผเู้ รยี นแต่ละกลุม่ คดิ โจทย์แบบฝกึ หัดพร้อมเฉลยหลังจำกจบบทเรยี น และสง่ ภำยในสัปดำห์ถดั ไป ~1~

ชีวสถติ ิสำหรบั สำธำรณสุข: หน่วยที่ 1 ควำมสำคญั และขอบข่ำยของชีวสถติ ิในงำนสำธำรณสขุ ถ้ำทกุ อยำ่ งในโลกน้ีเหมือนกันหมดทุกประกำร พวกเรำก็คงไม่ต้องมำนั่งเรยี นสถิติ แตใ่ นควำมเป็น จริงสิ่งต่ำงๆ ไม่ว่ำจะเป็นบุคคลหรือสิ่งของล้วนมีควำมต่ำง ดังนั้นวิชำสถิติจึงมีควำมสำคัญในกำรสรุป ภำพรวมของกลุ่มคน หรือสงิ่ ต่ำงๆ 1. ความหมายของสถิตแิ ละชีวสถิติ 1.1 สถิติ จำแนกควำมหมำยเปน็ 2 ประกำร 1) ข้อมลู สถิติ เป็นตัวเลขซ่ึงแสดงลักษณะภำพรวมของส่งิ ที่สนใจศึกษำ 2) สถิติศำสตร์ เป็นศำสตร์หรือวิชำที่เกี่ยวข้องกับกำรดำเนินกำรจัดกระทำกับข้อมูลเพื่อให้ สำมำรถบรรยำยลกั ษณะของสง่ิ ทศ่ี ึกษำได้ 1.2 ชวี สถติ ิ เป็นศำสตร์สำขำหน่ึงของสถิติประยุกต์ โดยกำรนำแนวคิดทฤษฎีทำงสถิติประยุกต์มำใช้กับงำน ดำ้ นสขุ ภำพและสำขำทเี่ ก่ยี วขอ้ ง ซง่ึ ชีวสถิติมบี ทบำทในทกุ ข้ันตอนของกำรวจิ ัย 2. ขอบขา่ ยของสถติ ิ 2.1 สถติ พิ รรณนำ (Descriptive Statistics) เป็นวิธีกำรทำงสถิติที่ใช้อธิบำยลักษณะข้อมูลของส่งิ ที่ศกึ ษำ ให้อยู่ในรูปกำรบรรยำย ตำรำง หรือ กำรนำเสนอรูปแบบอืน่ เพื่อให้เขำ้ ใจลกั ษณะของข้อมูล ประกอบด้วย กำรวดั แนวโนม้ เข้ำสู่สว่ นกลำง กำร วัดกำรกระจำย และกำรนำเสนอดว้ ยตำรำง กรำฟ รูปภำพ 2.2 สถิติอนุมำน (Inference Statistics) เป็นวิธีกำรทำงสถิติท่ีนำทฤษฎีควำมน่ำจะเป็นมำใช้เพ่ืออ้ำงอิงหรือขยำยผลจำกสิ่งท่ีศึกษำไปยัง ขอบข่ำยที่ศึกษำท้ังหมด (ตัวอย่ำง ไปยัง ประชำกร) เน่ืองจำกสิ่งท่ีศึกษำมีจำนวนมำก จึงเก็บข้อมูลมำ เพยี งบำงสว่ น อธิบำยได้ดังภำพที่ 1.1 3. บทบาทของสถิตใิ นงานด้านสาธารณสขุ 3.1 งำนวจิ ยั สถิติมีบทบำทเป็นเครื่องมือในกำรวำงแผนงำนวิจัย กำรเก็บรวบรวมข้อมูล กำรวิเครำะห์ข้อมูล กำรนำเสนองำนวจิ ัย นอกจำกน้ียงั ใชพ้ จิ ำรณำสรุปผลจำกกำรใช้สถติ ใิ นงำนวิจยั 3.2 กำรจดั กำรขอ้ มูล สถติ มิ บี ทบำทในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ทง้ั ในงำนบริกำรและบรหิ ำร ปจั จุบนั โปรแกรมสำเร็จรูปทำงสถิตเิ ขำ้ มำมบี ทบำทสำคญั ในกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ชว่ ยอำนวยควำม สะดวกในกำรวิเครำะห์ข้อมูล ทำให้กำรวเิ ครำะห์ข้อมลู เปน็ เรื่องท่ีง่ำยขึ้น อย่ำงไรกต็ ำมผู้ใชโ้ ปรแกรมควรมี ควำมรู้และควำมเชี่ยวชำญในกำรใช้โปรแกรม เพรำะถึงแม้โปรแกรมจะช่วยในกำรวิเครำะห์ข้อมูล แต่ โปรแกรมเป็นเพียงเครื่องมือในกำรประมวลผลเท่ำน้ัน ควำมผิดพลำดต่ำงๆ ยังคงเกิดข้ึนได้จำกผู้ใช้ โปรแกรมทมี่ ีควำมรไู้ ม่เพียงพอทงั้ ในกระบวนกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลและกำรแปลผล 4. ระเบียบวธิ ีการทางสถิติ จำแนกได้เป็น 4 ขน้ั ตอน ดังน้ี 4.1 กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล (Data Collection) เป็นกำรเก็บรวบรวมข้อมูลจำกหน่วยสังเกต โดยจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ว่ำต้องกำรศึกษำตัว แปรใด ศึกษำในกลุ่มประชำกร หรือตัวอย่ำงใด จำกนั้นจึงสร้ำงเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล และ กำหนดแหล่งที่จะเกบ็ ข้อมลู ~2~

ชวี สถติ ิสำหรับสำธำรณสุข: หนว่ ยที่ 1 ควำมสำคญั และขอบข่ำยของชีวสถิติในงำนสำธำรณสุข ภาพท่ี 1.1 ขอบขำ่ ยของสถิติ 4.2 กำรนำเสนอข้อมูล (Data Presentation) เป็นกำรแสดงขอ้ มูลที่เกบ็ รวบรวมมำได้ในรปู แบบท่งี ่ำยและชัดเจนตอ่ กำรเข้ำใจ โดยใสข่ ้อมูลตำม ข้อเท็จจริงที่ปรำกฏ ไม่ต้องแสดงควำมคิดเห็นใดๆ เพิ่มเติม โดยอำจนำเสนอในรูปแบบกำรบรรยำย บรรยำยกึ่งตำรำง ตำรำง แผนภมู ิ หรอื กรำฟ 4.3 กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล (Data Analysis) เป็นกำรกระทำกับขอ้ มลู เพื่อให้ได้มำซึง่ คำ่ สถิติที่ใช้แสดงลักษณะของตัวอยำ่ งท่ีศกึ ษำ จำแนกเป็น 1) กำรวเิ ครำะหข์ ้อมูลขนั้ ต้น สถิตทิ ่ใี ช้ เรียกวำ่ สถติ ิพรรณนำ 2) กำรวิเครำะห์ขอ้ มลู ข้ันสูง สถิติทใ่ี ช้เรียกว่ำ สถิติอนมุ ำน 4.4 กำรแปลควำมหมำยข้อมลู (Data Interpretation) เป็นกำรแปลควำมหมำยของตัวเลขท่ีได้จำกกำรนำเสนอ หรือผลกำรวิเครำะห์ทำงสถิติ ให้เป็น ภำษำสำมัญที่บุคคลท่ัวไปสำมำรถอ่ำนทำควำมเข้ำใจได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถำมที่ต้องกำร ~3~

ชวี สถิตสิ ำหรับสำธำรณสุข: หน่วยที่ 1 ควำมสำคญั และขอบข่ำยของชีวสถติ ใิ นงำนสำธำรณสุข ทรำบ ด้วยวิธีกำรเชื่อมโยงเหตุและผลของข้อมูลและชี้ประเด็นของข้อค้นพบที่ได้อย่ำงชัดเจน โดยใช้ ทฤษฎีทำงสถติ ิ ควำมรู้ในเนอื้ หำ เทคนคิ และวธิ กี ำร (ลีลำ) ในกำรบรรยำย 5. ตวั แปรและมาตรวดั ตัวแปร 5.1 ตวั แปร (Variable) ตัวแปร คือลักษณะนำมอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งที่สนใจศึกษำ มีกำรเปล่ียนแปลงไปตำมคุณลักษณะ เวลำ หรอื สถำนท่ี เช่น อำยุ เพศ อำชพี กำรศึกษำ โรค เป็นต้น จำแนกไดเ้ ป็น 1) ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรืออำจเรียกว่ำ ตัวแปรต้น ตัวแปรเหตุ ตัวแปร กำหนด หมำยถึงตัวแปรท่ีเป็นสำเหตุให้ตัวแปรอน่ื เปลี่ยนแปลงตำม มีลกั ษณะสำคัญคือ เปล่ียนแปลงยำก เกิดกอ่ น 2) ตัวแปรตำม (Dependent Variable) หรืออำจเรียกว่ำ ตัวแปรแสดงผลกำรศึกษำ (Outcome Variable) ตัวแปรผล หมำยถึงตัวแปรท่ีเปลี่ยนแปลงตำมตัวแปรอิสระ มีลักษณะสำคัญคือ เปล่ียนแปลง งำ่ ย เกิดทีหลงั เช่น ศึกษำว่ำกำรสูบบุหร่ีของแม่ (สูบ/ไม่สูบ) มีผลต่อน้ำหนักทำรกแรกคลอดหรือไม่ ตัวแปร อสิ ระ ได้แก่ กำรสูบบุหรี่ของแม่ ตวั แปรตำม ไดแ้ ก่ นำ้ หนกั ทำรกแรกคลอด 5.2 มำตรวดั ตวั แปร จำแนกเป็น 4 ชนดิ ดังน้ี 1) นำมสเกล (Nominal Scale) เป็นข้อมลู ท่มี ีลกั ษณะจำแนกกลมุ่ หรือประเภท โดยตัวเลขหรือ คำ่ ท่กี ำหนดให้นำมำบวก ลบ คณู หำร กันไมไ่ ด้ เช่น เพศ (ชำย, หญงิ ) เช้ือชำติ (ไทย, จนี ) ศำสนำ (พุทธ, ครสิ ต์, อสิ ลำม) สถำนภำพสมรส (โสด, ค,ู่ หม้ำย, หย่ำ, แยก) ลักษณะผู้ป่วย (ผู้ปว่ ยนอก, ผูป้ ว่ ยใน) กำร สูบบุหรี่ (สูบ, ไมส่ ูบ) 2) อันดับสเกล (Ordinal Scale) เป็นข้อมูลท่ีนอกจำกมีลักษณะจำแนกกลุ่มหรือประเภทได้แล้ว ยังสำมำรถจัดเรียงอันดับได้อีกด้วย เช่น ตำแหน่ง (ท่ี 1, ท่ี 2, ท่ี 3) ระดับควำมพอใจ (มำก, ปำนกลำง, นอ้ ย) กำรออกกำลังกำย (สมำ่ เสมอ, บำงคร้งั , นำนๆ คร้ัง) กำรสบู บหุ ร่ี (มำก, ปำนกลำง, นอ้ ย, ไมส่ บู ) 3) ชว่ งสเกล (Interval Scale) เป็นข้อมูลท่ีมีลกั ษณะจำแนกกลมุ่ เรียงอันดบั และแบ่งเป็นช่วงๆ โดยแต่ละชว่ งมีขนำดเท่ำกัน คำ่ ศนู ยข์ องขอ้ มูลประเภทน้ีเป็นศูนยส์ มมติ นั่นคือไม่มคี ่ำศูนย์ทแ่ี ท้จริง ข้อมูล สำมำรถนำมำเปรียบเทียบควำมมำกน้อยได้ เช่น คะแนนสอบวิชำชีวสถิติประยุกต์ในงำนสำธำรณสุข ระดบั เชำวป์ ัญญำ (IQ) อณุ หภูมิห้องเรียน 4) อัตรำส่วนสเกล (Ratio Scale) เป็นข้อมูลท่ีมีลักษณะจำแนกกลุ่ม เรียงอันดับ แบ่งเป็นช่วง เท่ำๆ กัน และมีศูนย์แท้ สำมำรถนำข้อมูลมำเปรียบเทียบในเชิงอัตรำส่วนได้ เช่น อำยุ ส่วนสูง น้ำหนัก ทำรกแรกเกดิ ระยะทำง เวลำ จำกมำตรวัดตัวแปรสำมำรถนำมำจำแนกเป็นชนิดของข้อมูลได้ดังนี้ ข้อมูลท่ีมีมำตรวัดในระดับ นำมสเกลและอันดับสเกล อำจเรยี กรวมกันว่ำ ข้อมลู เชงิ คณุ ภำพ (Qualitative data) ส่วนขอ้ มลู ท่ีมมี ำตร วัดในระดับช่วงสเกลและอัตรำส่วนสเกล อำจเรียกรวมกันว่ำ ข้อมูลเชิงปริมำณ (Quantitative data) สรปุ ดงั ตำรำงท่ี 1.1 ~4~

ชีวสถติ ิสำหรบั สำธำรณสขุ : หนว่ ยท่ี 1 ควำมสำคัญและขอบข่ำยของชวี สถิติในงำนสำธำรณสขุ 6. คาศพั ท์ทเ่ี กยี่ วข้อง 6.1 ประชำกร หมำยถึงกลุ่มสมำชิกทั้งหมดของสิ่งต่ำงๆ ที่ต้องกำรศึกษำ อำจเป็นคน สัตว์ ส่ิงของ เหตุกำรณ์ ปรำกฏกำรณ์ หรือ พฤติกรรมใดๆ เช่น กำรสำรวจควำมชุกของกำรเป็นโรคขำดสำรอำหำรใน เดก็ กอ่ นวยั เรียนภำคเหนือ ประชำกร ไดแ้ ก่ เดก็ ก่อนวยั เรยี นภำคเหนอื ทั้งหมด ตารางท่ี 1.1 คณุ สมบัติของมำตรวัดตวั แปร คุณสมบตั ิ นามสเกล อันดับสเกล ช่วงสเกล อตั ราส่วน การเปรียบเทยี บคา่    ช่วงหา่ งระหว่าง 2 ค่าเท่ากัน    มีศูนย์แท้    คุณสมบัตทิ างคณติ ศาสตร์   ,  (+, -) (+, -, , ) ชนิดข้อมลู เชงิ คุณภำพ (Qualitative) เชิงปรมิ ำณ (Quantitative) 6.2 ตัวอย่ำง หมำยถึงกลุ่มสมำชิกของประชำกรที่ถูกเลือกมำด้วยวิธีกำรต่ำงๆ มำใช้เป็นตัวแทนของ ประชำกรนั้น เพ่ือทำกำรศึกษำวิเครำะห์แล้วนำผลหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อ้ำงอิงถึงประชำกร เช่น กำร สำรวจควำมชุกของกำรเป็นโรคขำดสำรอำหำรในเด็กก่อนวัยเรียนภำคเหนือ ตัวอย่ำง ได้แก่ เด็กก่อนวัย เรยี นภำคเหนือทีถ่ ูกคัดเลือกเป็นตัวอย่ำงตำมวธิ ีกำรสุ่มตัวอย่ำงและขนำดตวั อยำ่ งทีก่ ำหนด 6.3 ค่ำพำรำมิเตอร์ หมำยถึงค่ำที่ใช้สรุปลักษณะของปะชำกร ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยอักษรกรีก หรือ ภำษำองั กฤษพมิ พ์ใหญ่ เช่น ค่ำสัดส่วน () คำ่ เฉลยี่ () จำนวน (N) 6.4 ค่ำสถิติ หมำยถึงค่ำท่ีใช้สรุปข้อมูลจำกตัวอย่ำง ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยอักษรลำติน/อังกฤษพิมพ์ เล็ก เช่น คำ่ สดั สว่ น (p) คำ่ เฉลีย่ xจำนวน (n) ภาพท่ี 1.2 กระบวนกำรทำงสถิติ ~5~

ชีวสถิติสำหรับสำธำรณสุข: หนว่ ยที่ 1 ควำมสำคัญและขอบขำ่ ยของชีวสถติ ใิ นงำนสำธำรณสุข จำกคำศัพท์ต่ำงๆ ทเี่ กีย่ วข้องกนั นี้ สำมำรถนำมำเขยี นเช่ือมโยงกนั เปน็ แผนภำพได้ดงั ภำพท่ี 1.2 7. สญั ลักษณ์และเครอ่ื งหมายทใ่ี ชบ้ ่อยในทางสถติ ิ สรปุ ดังตำรำงท่ี 1.2 ตารางท่ี 1.2 สญั ลักษณ์และเคร่ืองหมำยที่ใชบ้ ่อยในทำงสถิติ สัญลักษณ์ / เครอื่ งหมาย อ่านว่า ความหมาย Alpha Type I error  Beta Type II error  Delta Difference  Mu Population Mean  Sigma Population Standard Deviation  Rho Population correlation coefficient  Pai Population Proportion  N Population size N x bar Sample mean sd Sample standard deviation x r Sample correlation coefficient p Sample Proportion sd n Sample size r p n ~6~

ชีวสถิติสำหรบั สำธำรณสขุ : หนว่ ยที่ 1 ควำมสำคัญและขอบข่ำยของชีวสถติ ใิ นงำนสำธำรณสขุ เฉลยแบบฝึกหัด 1. พยำบำลสนใจศึกษำเก่ียวกับน้ำตำลในเลอื ดของผู้สงู อำยุในชุมชนตำบลทำ่ โพธิ์ จงึ สมุ่ ตัวอยำ่ งมำจำนวน 10 คน ทำกำรเจำะเลือดผสู้ งู อำยุเพ่ือหำระดบั น้ำตำลในเลือด ได้ผลดงั น้ี คนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ระดับนำ้ ตำลในเลือด (mg%) 85 97 256 320 110 160 102 89 90 78 พบว่ำ ผ้สู งู อำยุในตำบลท่ำโพธ์ิมรี ะดบั นำ้ ตำลในเลือดเฉลยี่ 138.7 mg% (95% CI เท่ำกับ 79.1 – 198.3 mg%) 2. ทนั ตแพทยส์ นใจศึกษำเก่ียวกบั ทนั ตสุขภำพของเด็กนักเรียนโรงเรียนสำธติ มหำวทิ ยำลยั นเรศวร จำนวน 12 คน แล้วตรวจฟนั ของเดก็ นักเรยี นกล่มุ ดังกล่ำว ไดผ้ ลดังน้ี คนท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 สภำพฟนั ผุ ปกติ ปกติ ปกติ ผุ ผุ ปกติ ผุ ผุ ปกติ ปกติ ปกติ พบว่ำ นักเรียนจำนวน 12 คนนี้ ร้อยละ 41.7 มีสภำพฟนั ผุ จากโจทยข์ ้อ 1 และ 2 ให้นสิ ิตระบุ - ตัวแปร - หน่วยวดั ตัวแปร (ถำ้ ม)ี - มำตรวดั ตัวแปร - ชนดิ ของข้อมลู - ขอ้ มลู ส่วนท่ีเปน็ สถิติพรรณนำ และหรอื สถิติอ้ำงองิ (ถำ้ มี) ตอบ ขอ้ 1 - ตัวแปร ระดบั นำ้ ตำลในเลือด - หนว่ ยวดั ตัวแปร (ถา้ มี) มลิ ลกิ รัมเปอรเ์ ซน็ ต์ (mg%) - มาตรวดั ตวั แปร อัตรำสว่ นสเกล (Ratio Scale) - ชนดิ ของขอ้ มลู ขอ้ มลู เชงิ ปริมำณ (Quantitative) - ข้อมูลที่เป็นสถิติพรรณนา 138.7 mg% - ขอ้ มูลทเ่ี ป็นสถิติอ้างองิ 95% CI เท่ำกับ 79.1 ถงึ 198.3 mg% ตอบ ข้อ 2 ทันตสุขภำพ - ตวั แปร - - หนว่ ยวดั ตัวแปร (ถ้าม)ี นำมสเกล (Nominal Scale) - มาตรวัดตวั แปร ข้อมูลเชงิ คณุ ภำพ (Qualitative) - ชนิดของขอ้ มูล รอ้ ยละ 41.7 มสี ภำพฟันผุ - ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นสถติ พิ รรณนา ไมม่ ี - ข้อมูลทเี่ ปน็ สถติ ิอ้างองิ ~7~

ชวี สถิตสิ ำหรับสำธำรณสุข: หนว่ ยท่ี 1 ควำมสำคัญและขอบขำ่ ยของชวี สถติ ิในงำนสำธำรณสขุ 3. จำกกำรศึกษำเร่ืองควำมรใู้ นกำรดแู ลสขุ ภำพตนเอง จงระบวุ ำ่ ตัวแปรต่อไปนี้มีมำตรวัดแบบใด 1) อำชีพ (รับรำชกำร พนักงำนมหำวทิ ยำลยั พนกั งำนบรษิ ัท รับจำ้ ง พ่อบ้ำน/แม่บำ้ น) ตอบ นำมสเกล (Nominal Scale) 2) รำยได้ (บำทต่อเดือน) ตอบ อัตรำส่วนสเกล (Ratio Scale) 3) โรคประจำตวั (ควำมดนั โลหติ สงู เบำหวำน เกำต์ โลหติ จำง) ตอบ นำมสเกล (Nominal Scale) 4) คะแนนควำมรู้ในกำรดูแลสขุ ภำพ (0 ถึง 20 คะแนน) ตอบ ช่วงสเกล (Interval Scale) 5) ระดบั ควำมรใู้ นกำรดูแลสขุ ภำพ (มำก ปำนกลำง น้อย) ตอบ อนั ดบั สเกล (Ordinal Scale) ~8~

ชวี สถติ ิสำหรับสำธำัณสุข: หรนว่ ยที่ 2 กำัเก็บัวบัวมขอ้ มลู หน่วยที่ 2 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล วัตถปุ ระสงค์: หรลงจำกจบกำัเัียนในหรวข้อนแี้ ล้วนสิ ิตสำมำัถ 1. อธิบำยวธิ กี ำัเก็บัวบัวมข้อมูลได้ 2. อธิบำยลกษณะและชนดิ ของเคัื่องมือเกบ็ ัวบัวมขอ้ มูลชนดิ ต่ำงๆ ดงต่อไปน้ีได้ แบบทดสอบ แบบสอบถำม แบบวดเจตคติ แบบสมภำษณ์ และกำัสงเกต 3. สำมำัถเลือกใชเ้ คั่ืองมือเกบ็ ัวบัวมขอ้ มูลไดเ้ หรมำะสมกบตวแปัทีต่ ้องกำัวด เนือ้ หา: กำัเกบ็ ัวบัวมข้อมูล 1. ควำมัพู้ ืน้ ฐำนเกี่ยวกบข้อมูล 2. ลกษณะของข้อมลู 3. คณุ สมบติของขอ้ มูลที่ดี 4. ขน้ ตอนกำัเกบ็ ัวบัวมข้อมูล 5. วิธีกำัเกบ็ ัวบัวมขอ้ มลู 6. แนวทำงกำัเลือกวธิ ีกำัเกบ็ ัวบัวมขอ้ มลู 7. เคัื่องมือที่ใชใ้ นกำัเก็บัวบัวมข้อมลู รปู แบบการเรียนการสอน: กำัเัียนัูแ้ บบัว่ มมือ 1. ผู้เัยี นแต่ละคนศกึ ษำเนื้อหรำตำมหรวข้อบััยำยจำกเอกสำัปัะกอบกำัสอนและสัุปเปน็ แผนผง ควำมคิด (Mind map) กอ่ นเขำ้ ช้นเัยี น 2. แบ่งกลุ่มกำัเัียน เช็คช่ือสมำชิกภำยในกลุ่ม และอภิปัำยเนื้อหรำตำมท่ีได้ับมอบหรมำยภำยใน กล่มุ และภำยในชน้ เัียน 3. สัุปเน้อื หรำโดยอำจำัย์ผู้สอน 4. ผ้เู ัียนแต่ละกลมุ่ คดิ โจทยแ์ บบฝกึ หรดพั้อมเฉลยหรลงจำกจบบทเัียน และสง่ ภำยในสปดำหร์ถดไป ~9~

ชีวสถติ สิ ำหรับสำธำัณสขุ : หรน่วยท่ี 2 กำัเกบ็ ัวบัวมขอ้ มลู 1. ความรู้พน้ื ฐานเก่ียวกบั ขอ้ มลู ข้อมูลคือข้อเท็จจัิง ซ่ึงมีท้งข้อมูลที่เป็นตวเลข เัียกว่ำ ข้อมูลเชิงปัิมำณ (Quantitative data) และข้อมูลท่ีไม่ใช่ตวเลข เัียกว่ำ ข้อมูลเชิงคุณภำพ (Qualitative data) เช่น ข้อมูลทำงสถิติ ข้อมูล ขำ่ วสำัทำงสำธำัณสขุ ขอ้ มลู ทำงสุขภำพ 2. ลกั ษณะของขอ้ มูล 2.1 จำแนกตำมแหรลง่ ที่มำ 1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) คือข้อมูลท่ีตอ้ งจดเก็บเอง ซึ่งอำจได้มำจำก กำัสมภำษณ์ กำั สงเกต กำัทดลอง กำัตอบแบบสอบถำม เป็นต้น ข้อดีคือ มีควำมน่ำเชื่อถือสงู เก็บได้ตังตำมปัะเด็นท่ี ศึกษำ ข้อด้อยคือ ส้ินเปลืองทุนทัพย์และกำลงคน เสียเวลำในกำัเก็บข้อมูล อำจเกิดข้อผิดพลำดหรำก ขำดควำมชำนำญในกำัเก็บขอ้ มลู 2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) คือข้อมูลที่จดเก็บไว้แล้ว เัียกว่ำ ซ่ึงอำจได้มำจำกัำยงำน สถิติต่ำงๆ ข้อมูลเวชัะเบียน เอกสำััำยงำนผู้ป่วย บนทึกทำงกำัพยำบำล ข้อดีคือ ไม่ส้ินเปลืองทุน ทัพย์และกำลงคน ไม่เสียเวลำในกำัเก็บข้อมูลใหรม่ ทำใหร้ทัำบถึงกำัเปลี่ยนแปลงต่ำงๆ ของเหรตุกำัณ์ นน้ ๆ ข้อด้อยคอื ไม่คับถว้ นตำมปัะเด็นทีต่ ้องกำัศกึ ษำ ปญั หรำเัอ่ื งควำมเช่ือถือได้ของข้อมลู ไมท่ นสมย 2.2 จำแนกตำมัะดบกำัวด 1) นำมสเกล (nominal scales) เช่น เพศ (ชำย หรญงิ ) 2) อนดบสเกล (ordinal scales) เช่น ัะดบกำัศกึ ษำ (ปัะถมศึกษำ มธยมศึกษำ อุดมศึกษำ) 3) ช่วงสเกล (interval scales) เชน่ คะแนนสอบ 4) อตัำส่วนสเกล (ratio scales) เชน่ นำ้ หรนก 2.3 จำแนกตำมลกษณะหรัือชนดิ ของข้อมลู 1) ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภำพ (qualitative data) เช่น เพศ ัะดบกำัศกึ ษำ 2) ขอ้ มูลเชงิ ปัิมำณ (quantitative data) 2.1) ข้อมูลจำนวนนบ (Discrete data) มีค่ำเป็นจำนวนนบ ไม่มีค่ำย่อยัะหรว่ำงจำนวน เชน่ จำนวนนิสิตในชน้ เัยี น 50 คน จำนวนสมำชกิ ในคัวเัือน 4 คน 2.2 ข้อมูลต่อเนื่อง (Continuous data) มีค่ำต่อเนื่อง มีค่ำย่อยัะหรว่ำงจำนวน เช่น น้ำหรนก 45.5 กโิ ลกัม ควำมสงู 160.8 เซนตเิ มตั 3. คุณสมบตั ขิ องขอ้ มูลทีด่ ี 3.1 ถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ข้อมูลที่ดีควัจะมีควำมถูกต้องแม่นยำสูง หรัือถ้ำมีควำมคลำดเคล่ือน อยู่บำ้ ง ก็ควัท่ีจะสำมำัถควบคมุ ขนำดของควำมคลำดเคลอื่ นใหร้มีควำมคลำดเคลื่อนน้อยท่ีสดุ 3.2 ทนเวลำ (Timeliness) เป็นข้อมลู ทท่ี นสมยและทนต่อควำมต้องกำัของผู้ใช้ ถ้ำผลติ ข้อมูลออกมำ ช้ำ ก็ไม่มคี ณุ ค่ำถึงแม้จะเป็นข้อมูลทถ่ี ูกต้องแม่นยำกต็ ำม 3.3 สมบูัณ์คับถ้วน (Completeness) ข้อมูลท่ีเก็บัวบัวมมำต้องเป็นข้อมูลท่ีใหร้ข้อเท็จจัิงหรัือ ขำ่ วสำัทคี่ ับถ้วนทกุ ดำ้ นทกุ ปัะกำั ไมใ่ ช่ขำดสว่ นหรนึ่งสว่ นใดไปทำใหรน้ ำไปใชก้ ำัไมไ่ ด้ 3.4 กะทดัด (Conciseness) ข้อมูลท่ีไดั้ บส่วนใหรญ่จะกัะจดกัะจำย ดงน้นจึงควัจดข้อมูลใหร้อยูใ่ น ัูปแบบท่ีกะทดัดไม่เยนิ่ เยอ่ สะดวกต่อกำัใชแ้ ละคน้ หรำ ผ้ใู ช้สำมำัถเข้ำใจไดท้ นที 3.5 ตังกบควำมต้องกำัของผู้ใช้ (Relevance) ขอ้ มูลท่จี ดทำขึ้นมำควัเป็นขอ้ มูลท่ีผู้ใช้ข้อมูลต้องกำั ใช้ และจำเป็นต้องัู้ หรัือเป็นปัะโยชน์ต่อกำัจดทำแผน กำหรนดนโยบำยหรัือตดสินปัญหรำในเัื่องน้นๆ ~ 10 ~

ชีวสถติ สิ ำหรับสำธำัณสขุ : หรนว่ ยที่ 2 กำัเกบ็ ัวบัวมขอ้ มลู ไม่ใช่เป็นข้อมูลท่ีจดทำขึ้นมำมำกมำย แต่ไม่มีใคัต้องกำัใช้หรัือไม่ตังกบควำมต้องกำัของผู้ใช้ข้อมูล ก็ จะไม่เกิดปัะโยชน์ 3.6 ต่อเนื่อง (Continuity) กำัเก็บัวบัวมข้อมูล สมควัอย่ำงย่ิงท่ีจะต้องดำเนินกำัอย่ำงสม่ำเสมอ และต่อเนื่องในลกษณะของอนุกัมเวลำ เพื่อจะได้นำไปใช้ปัะโยชน์ในด้ำนกำัวิเคัำะหร์วิจยหรัือหรำ แนวโนม้ ในอนำคต 4. ข้ันตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 4.1 วำงแผนเก็บข้อมลู ขน้ ตอนน้ีใชค้ วำมัูท้ ำงสถิติมำกทีส่ ุด โดยเฉพำะกำักำหรนดขนำดตวอยำ่ ง และ กำัเลือกตวอยำ่ ง 4.2 เกบ็ ัวบัวมข้อมูล เป็นกำัปฏบิ ติงำนภำคสนำมซ่ึงจะต้องอำศยควำมั่วมมือจำกผใู้ หร้ขอ้ มลู 4.3 ติดตำมัวบัวมขอ้ มลู และกำัปัะมวลผล หรัอื อำจเัียกว่ำบััณำธิกัข้อมลู (Data editor) 5. วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 5.1 เก็บัวบัวมข้อมูลจำกัำยงำน (Reporting System) เป็นผลพลอบได้จำกงำนบัิหรำั เช่น ัำยงำนของกัมศุลกำกั กัมสััพำกั กัะทัวงสำธำัณสุข หรัือหรน่วยงำนเอกชนมีข้อมูลเกี่ยวกบกำั ผลิต กำัใช้วตถุดิบ ซ่ึงัวบัวมได้จำกัำยงำนของฝ่ำยผลิต สถิติแสดงปัิมำณกำัขำยสินค้ำัวบัวมได้ จำกัำยงำนของพนกงำนขำยแตล่ ะคน เป็นต้น 5.2 เก็บัวบัวมขอ้ มูลจำกทะเบียน (Registration) เป็นผลพลอยได้เช่นเดียวกบข้อมูลจำกัำยงำนแต่ กำัเก็บมีลกษณะต่อเนื่อง เช่น กัมกำัปกคัองเก็บข้อมูลทะเบียนัำษฎั์ กัมทะเบียนโังงำน อุตสำหรกััมเกบ็ ขอ้ มลู ทะเบยี นโังงำนอตุ สำหรกััม กัมตำัวจเกบ็ ข้อมลู ทะเบียนยำนพำหรนะ 5.3 เก็บัวบัวมข้อมูลโดยวิธีสำมะโน (Census) เป็นกำัเก็บข้อมูลจำกทุกหรน่วยที่สนใจในพื้นที่และ ัะยะเวลำท่ีกำหรนด โดยสำนกงำนสถิติแหร่งชำติเป็นหรน่วยงำนเดียวท่ีสำมำัถจดทำสำมะโนได้ ซ่ึงจะได้ ขอ้ มูลในัะดบพ้ืนทยี่ อ่ ยและไดค้ ่ำท่ีเป็นจัิง เช่น สำมะโนปัะชำกัและเคหระ สำมะโนกำัเกษตั สำมะโน ปัะมงทะเล สำมะโนอุตสำหรกััม สำมะโนธัุ กจิ ทำงกำัค้ำและธัุ กิจทำงกำับัิกำั 5.4 เก็บัวบัวมข้อมูลโดยวิธีสำัวจ (Sample Survey) เป็นกำัเก็บข้อมูลจำกบำงหรน่วยด้วยวิธีกำั เลอื กตวอย่ำง วิธีกำัสำัวจนีม้ ีควำมสำคญและใช้มำกท่ีสดุ แตจ่ ะไดข้ ้อมลู ในัะดบัวมและขอ้ มูลท่ีได้เป็น คำ่ ปัะมำณ เช่นกำัสำัวจของสำนกงำนสถิติแหร่งชำติ สำัวจภำวกำัณ์ทำงำนของปัะชำกั สำัวจกำั ยำ้ ยถ่ินของปัะชำกั สำัวจอนำมยและสวสดกิ ำั สำัวจข้อมูลเก่ียวกบเดก็ และเยำวชน 5.5 วิธีกำัทดลอง (Experimental Design) จะต้องอำศยสถิติมำช่วยในเัื่องกำัวำงแผนกำัทดลอง โดยมำกจะใช้กบกำัทดลองทำงด้ำนกำัแพทย์และสำธำัณสุข กำัเกษตั วิทยำศำสตั์ โดยที่กำัทดลอง จะพยำยำมควบคุมปัจจยอื่นๆ ท่ีไม่ต้องกำัทดสอบใหร้มำกที่สุด แต่ใหร้ปัจจยที่จะทดสอบเปลี่ยนแปลงได้ แลว้ คอยตดิ ตำมบนทึกขอ้ มลู ที่เป็นผลของกำัทดลอง 6. แนวทางการเลอื กวธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมลู 6.1 ลกษณะของขอ้ มลู ทีจ่ ะัวบัวม 6.2 คุณภำพของข้อมูลที่จะได้หรัือัะดบควำมถูกต้องเช่อื ถือไดข้ องข้อมลู ที่จะไดจ้ ำกแต่ละวธิ ีโดยเทียบ กบควำมตอ้ งกำั 6.3 เปัียบเทยี บขอ้ ดี ขอ้ เสียของแต่ละวิธี 6.4 ควำมสำมำัถในกำัปฏบิ ติงำนของแตล่ ะวธิ ี 6.5 เวลำท่จี ะตอ้ งใชท้ ง้ ในกำัเกบ็ ัวบัวมข้อมลู และกำัปัะมวลผล ~ 11 ~

ชวี สถิตสิ ำหรับสำธำัณสขุ : หรนว่ ยท่ี 2 กำัเก็บัวบัวมข้อมลู 6.6 งบปัะมำณและอตัำกำลงทีจ่ ะใช้ 7. เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 7.1 แบบทดสอบ (Test) เป็นข้อคำถำม หรัือสถำนกำัณ์ท่ีกำหรนดขึ้น เพ่ือใช้กัะตุ้น หรัือเั่งเั้ำควำมสนใจใหร้ผู้เัียนได้ แสดงพฤติกััมต่ำงๆ ของตนเอง ตำมท่ีกำหรนดไว้ในจดุ ปัะสงคก์ ำัเัียนัู้ จำแนกเป็นดำ้ นตำ่ งๆ ดงนี้ 1) ด้ำนควำมัู้ ควำมเข้ำใจ (Cognitive domain) 2) ดำ้ นควำมัสู้ ึก (Affective domain) 3) ด้ำนทกษะ (Psychomotor domain) ประเภทของแบบทดสอบ จำแนกตำมวิธีสัำ้ ง สำมำัถจำแนกได้ 2 ปัะเภท ได้แก่ 1) แบบทดสอบที่สั้ำงข้ึนเอง เป็นแบบทดสอบที่ผู้วิจยได้สั้ำงขึ้นตำมจุดปัะสงค์ของกำั ทดสอบคัง้ น้นๆ โดยเั่มิ ตน้ ตง้ แต่กำักำหรนดจดุ ปัะสงคข์ องกำัทดสอบใหร้ชดเจน ดำเนนิ กำัสัำ้ ง นำไป ใหร้ผู้เช่ียวชำญได้ตัวจสอบ แก้ไข แล้วนำไปทดลองใช้เพ่ือนำผลกำัทดสอบมำวิเคัำะหร์คุณภำพของ แบบทดสอบท่ีสั้ำงข้ึนเพ่ือใช้ปับปัุง แก้ไข จนกัะท่งแน่ใจว่ำเป็นแบบทดสอบท่ีมีคุณภำพในเกณฑ์ท่ี ยอมับได้จงึ จะสำมำัถนำแบบทดสอบฉบบน้นไปใช้ได้ 2) แบบทดสอบมำตัฐำน (Standardize Test) เป็นแบบทดสอบท่ีมีบุคคลกลุ่มบุคคลที่มีควำม เช่ียวชำญในศำสตัน์ ้นๆ ได้สั้ำงไวแ้ ลว้ ซ่ึงแบบทดสอบฉบบน้นๆ ได้ผ่ำนกัะบวนกำักำันำไปทดลองใช้ หรลำยคั้งและปับปัุงแก้ไขคุณภำพจนกัะท่งเป็นที่ยอมับจำกนกวิชำกำัศำสตั์น้นๆ โดยมีัูปแบบที่ เปน็ มำตัฐำนท้งวิธกี ำัทำกำัตัวจใหร้คะแนน (ควำมเป็นปันย) และคำ่ ปกตวิ ิสยหรัอื ค่ำเฉลี่ยของคะแนน ของกลุ่มปัะชำกัที่ทำแบบทดสอบพัอ้ มกบัะบคุ ่ำของคุณลกษณะที่จำเป็นของแบบทดสอบไดแ้ ก่ ควำม เทีย่ งตัง (Validity) และควำมเชอ่ื ม่น (Reliability) จำแนกตำมลกษณะในกำันำไปใช้ สำมำัถจำแนกได้ 7 ปัะเภท ได้แก่ 1) แบบทดสอบวดผลสมฤทธิ์ทำงกำัเัียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วด ควำมสำมำัถด้ำนสติปัญญำในเน้ือหรำวิชำว่ำผู้เัียนมีกำัเัียนัู้ที่บััลุจุดปัะสงค์ ท่ีกำหรนดไว้มำกหรัือ น้อยเพยี งใด 2) แบบวดควำมพั้อม (Readiness Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วดควำมพั้อมของผู้เัียนว่ำมี ควำมพั้อมท่ีจะสำมำัถเัียนัู้ได้ตำมจุดปัะสงค์ที่กำหรนดไว้หรัือไม่ หรัือมีควำมพั้อมใดท่ีควัจะได้ับ กำัฝึกฝนเพ่มิ เติมกอ่ นเขำ้ เัียนัู้ 3) แบบทดสอบวินิจฉย (Diagnostic Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วดหรัือตัวจสอบจุดบกพั่อง หรัอื จดุ เดน่ ของผู้เัยี นในแต่ละเนื้อหรำวิชำ เพ่ือทจ่ี ะได้นำผลกำัทดสอบน้นมำใช้เพ่อื แก้ไขจุดบกพั่องหรัือ เสัิมจุดเดน่ ใหรแ้ กผ่ ูเ้ ัยี นไดอ้ ยำ่ งมปี ัะสิทธิภำพมำกขึน้ 4) แบบทดสอบเชำวน์ปัญญำ (Intelligence Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วดควำมสำมำัถด้ำน กัะบวนกำัคิด หรัือควำมสำมำัถในกำัแก้ปัญหรำในสถำนกำัณ์ใหรม่ๆ โดยใช้ปัะสบกำัณ์เดิม อำทิ แบบทดสอบเชำวนป์ ญั ญำของสแตนฟอัด์ -บิเนต์ หรัอื แบบทดสอบเชำวนป์ ัญญำของเวคส์เลอั์ เป็นตน้ 5) แบบทดสอบวดควำมถนด (Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบวดพ ฤติกััมหรัือ ควำมสำมำัถเฉพำะด้ำนของผู้เัียนท่ีจะเกิดขึ้นในอนำคต อำทิ แบบทดสอบวดควำมถนดทำงวิศวกััม หรัือแบบทดสอบวดควำมถนดทำงภำษำ เปน็ ต้น ~ 12 ~

ชวี สถิตสิ ำหรับสำธำัณสุข: หรน่วยที่ 2 กำัเก็บัวบัวมข้อมลู 6) แบบสำัวจบุคลิกภำพ (Personality Inventories) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วดคุณลกษณะ ควำมตอ้ งกำั กำัปับตว หรัือค่ำนิยมต่ำง ๆ ของบคุ คล 7) แบบสำัวจควำมสนใจดำ้ นอำชีพ (Vocational Interest Inventories) เป็นแบบทดสอบท่ใี ช้ สำัวจควำมสนใจของบุคคลเกีย่ วกบอำชพี หรัอื งำนอดิเักท่ตี นเองต้องกำัปัะกอบอำชีพหรัอื ปฏิบติ 7.2 แบบวัดเจตคติ (Attitude Scale) เป็นข้อคำถำมดำ้ นควำมัสู้ ึกท่ีมีตอ่ ส่งิ หรน่ึงส่ิงใดในทำงบวกหรัอื ทำงลบ ลกษณะคำตอบเป็นอนดบ สเกล วธิ ีในกำัวดมี 3 วิธี ดงน้ี 1) มำตัวดช่วงเท่ำกน (Method of Equal-appearing Intervals) หรัือมำตักำัวดของเทอั์ สโตน (Thurstone’s Scale) เป็นมำตักำัวดที่เน้นคุณสมบตขิ องกำัวดใหร้มีควำมเท่ำกนโดยจำแนกช่วง กำัวดออกเปน็ 11 ช่วง โดยเัิ่มจำกน้อยทสี่ ดุ ไปหรำมำกทส่ี ุด 2) วิธีกำัปัะมำณค่ำัวม (The Method of Summated Rating) ตำมแนวคิดของลิเคิั์ท ท่ีมี ควำมเช่ือพื้นฐำนว่ำ “เชำว์ปัญญำของมนุษย์จะมีกำัแจกแจงแบบโค้งปกติ”โดยใช้หรน่วยควำมเบ่ียงเบน มำตัฐำนเป็นเกณฑ์ในกำัวดปัะมำณควำมเข้มของควำมคิดเหร็นที่มีต่อสิ่งต่ำงๆ สัุปได้ว่ำ กำัใช้หรน่วย เบี่ยงเบนมำตัฐำนเป็นเกณฑ์ในกำัวดท่ีมีควำมสมพนธ์กบกำัวดท่ีใช้ 0 1 2 3 4 (หรัือ 1 2 3 4 5) เป็น เกณฑ์ เท่ำกบ 0.99 จึงสัุปว่ำวธิ ีกำัปัะมำณค่ำัวมที่กำหรนดสเกลเป็น 0 1 2 3 4 จะดกี วำ่ กำัใช้วิธีกำั วเิ คัำะหร์หรำค่ำปัะจำขอ้ ท่ีซบซอ้ นของเทอัส์ โตน 3) มำตัำวดท่ีใช้กำัจำแนกควำมหรมำยของคำ (Semantic Differential Scale) ของออสกูด และคณะ (Osgood and Others) เป็นกำัสั้ำงคำถำมวดเจตคติ ควำมัู้สึก หรัือ ควำมคิดเหร็นที่ใช้ ควำมหรมำยของคำเป็นส่ิงเัำ้ ปัะกอบกบควำมคิดัวบยอดต่ำงๆ โดยแต่ละข้อ คำถำมจะมีคำคุณศพท์ที่มี ควำมหรมำยตังกนข้ำมเป็นคู่ๆ กำกบทำงซำ้ ยและทำงขวำของมำตัำ ทกี่ ำหรนดไว้ 7 ัะดบ 7.3 แบบสอบถาม (Questionnaires) เหรมำะกบกำัวจิ ยเชิงสำัวจ เนอื่ งจำกตวอย่ำงกัะจดกัะจำย และมงี บปัะมำณหรัือเวลำจำกด โครงสรา้ งแบบสอบถาม 1) คำชีแ้ จงในกำัตอบ 2) ขอ้ มูลปัะชำกัของผู้ตอบ 3) ขอ้ มลู เกี่ยวกบเั่ืองท่ีตอ้ งกำัศึกษำ ชนิดของแบบสอบถาม 1) แบบสอบถำมแบบปลำยเปิด (Open ended questionnaire) เป็นแบบสอบถำมท่ีกำหรนดใหร้ มีเพียงข้อคำถำมเท่ำน้น สำหรับคำตอบน้นจะเป็นหรน้ำท่ีของผู้ใหร้ข้อมูลท่ีจะได้แสดงควำมคิดเหร็นของ ตนเองอย่ำงอิสัะ และเป็นแบบสอบถำมที่ตอบยำกและเสียเวลำในกำัตอบ ซ่ึงจะเหร็นได้จำกสำัวจ แบบสอบถำมใดๆ ท่ีมคี ำถำมปลำยเปิดดว้ ย จะค่อนข้ำงไม่ได้ับคำตอบ หรัือได้ับกลบคืนน้อยมำก แต่ถ้ำ กัณีท่ีจะสอบถำมเกี่ยวกบเจตคติ แังจูงใจ หรัือสำเหรตุฯ ก็ยงมีควำมจำเป็นท่ีต้องใช้แบบสอบถำม ลกษณะนี้ เช่น ท่ำนเลือกเัยี นคณะสำธำัณสขุ เนอื่ งจำก............................................................................ ขอ้ ดีของแบบสอบถามปลายเปดิ - ได้ับข้อมูลท่ีนอกเหรนือปัะเด็นกำัคำดคะเนหรัือกำักำหรนดของผู้วิจยที่ข้ึนอยู่กบควำมัู้และ ปัะสบกำัณ์ของผู้ใหร้ขอ้ มูลท่มี ีปัะโยชนต์ ่อกำันำมำวิเคัำะหร์เพ่ือสัปุ ผลและนำเสนอ - ไดั้ บข้อมูลทีม่ ัี ำยละเอียด ชดเจน ทส่ี อดคลอ้ งกบควำมตอ้ งกำัของผใู้ ช้ข้อมลู อย่ำงแทจ้ ัิง ~ 13 ~

ชีวสถติ สิ ำหรับสำธำัณสุข: หรนว่ ยที่ 2 กำัเก็บัวบัวมขอ้ มลู - ได้ับขอ้ มลู ตำมขอ้ เทจ็ จังิ ทีอ่ ำจจะกำหรนดไม่เพียงพอต่อกำัเลอื กตอบ - ได้ับขอ้ มูลท่ีลึกซึ้งและซบซ้อน ขอ้ จากัดของสอบถามปลายเปิด - สัุปปัะเดน็ คำตอบจำกข้อมูลทไ่ี ด้ับคอ่ นขำ้ งยุ่งยำก - กำัใช้สถติ ิเปัยี บเทยี บัะหรว่ำงขอ้ มูลทไ่ี ดั้ บทำได้ยำกเนื่องจำกข้อมลู มีควำมแตกต่ำงกน - ใชไ้ ด้ดีกบผ้ใู หรข้ อ้ มูลท่ีมีกำัศกึ ษำในัะดบสงู และมีทกษะในกำัเขียน/ใช้ภำษำ - กำหรนดัหรสแทนคำตอบท่ีไดั้ บคอ่ นขำ้ งยำก มคี วำมเปน็ อตนยสูง - ใช้เวลำในกำัตอบค่อนข้ำงมำก เพัำะต้องคิดไตั่ตัองคำตอบที่สอดคล้องกบควำมัู้สึกท่ี แท้จังิ สง่ ผลใหร้ได้ับขอ้ มูลกลบคืนมำมำกขน้ึ 2) แบบสอบถำมแบบปลำยปิด (Close ended questionnaire) เป็นแบบสอบถำมที่กำหรนดท้ง คำถำมและตวเลือก โดยใหร้ผู้ตอบไดเ้ ลอื กคำตอบจำกตวเลือกน้น ๆ และเป็นแบบสอบถำมท่ีใช้เวลำในกำั สั้ำงค่อนข้ำงมำกแต่จะสะดวกสำหรับผู้ตอบ ซ่ึงข้อมูลท่ีได้จะสำมำัถนำไปวิเคัำะหร์ได้ง่ำย และนำเสนอ ไดอ้ ยำ่ งถูกต้อง ชดเจน จำแนกเป็น 5 ัูปแบบ ดงน้ี 2.1) แบบตัวจสอบัำยกำั (Checklist) เป็นแบบสอบถำมที่กำหรนดใหร้ผู้ตอบเลือก 1 คำตอบ หรัอื หรลำยคำตอบจำกตวเลือก 2. 2) แบบจดลำดบควำมสำคญ (Ordering Scale) เป็นแบบสอบถำมท่ีใหร้ผู้ตอบได้ เัยี งลำดบควำมสำคญของตวเลอื กทีก่ ำหรนดใหรจ้ ำกมำกไปนอ้ ย หรัือจำกนอ้ ยไปมำก 2. 3) แบบมำตัำส่วนปัะมำณค่ำ (Rating Scale) เป็นแบบสอบถำมท่ีใหร้ผู้ตอบ ปัะเมิน/แสดงัะดบควำมคดิ เหร็นเกย่ี วกบปัะเดน็ ทีก่ ำหรนดใหร้ 2.4) แบบใช้ควำมแตกต่ำงแหร่งควำมหรมำยทำงภำษำ (Semantic Differential Scale) เป็นแบบสอบถำมท่ีกำหรนดคำและคำท่ีตังข้ำมกนเป็นคู่ๆ แล้วใหร้ผู้ตอบได้ปัะเมินตำมควำม คิดเหรน็ 2.5) แบบสั้ำงสถำนกำัณ์ (Situational Questionnaire) เป็นแบบสอบถำมที่กำหรนด สถำนกำัณ์ แลว้ ใหรผ้ ูต้ อบไดพ้ ิจำัณำเลอื กตอบตำมควำมั้สู กึ คณุ ธััม หรัือจัิยธััม ข้อดขี องคาถามแบบปลายปดิ - ไดั้ บข้อมลู ทีม่ ีลกษณะเดียวกน ทำใหรง้ ำ่ ยต่อกำัสัปุ ผลและเปัยี บเทียบ - ผู้ใหร้ข้อมูลมีควำมสะดวก ง่ำยในกำัตอบคำถำม อำจเน่ืองจำกคำตอบที่กำหรนดใหร้เลือกทำ ใหรข้ อ้ คำถำมมคี วำมชดเจน - ได้ับขอ้ มลู ทค่ี ับถ้วน และสอดคล้องกบวตถุปัะสงค/์ ปัะเด็นท่ีต้องกำั - ไดั้ บคำตอบที่ผูใ้ หร้ข้อมลู ไมต่ อ้ งกำัตอบในลกษณะของกำัปัะมำณคำ่ ข้อจากัดของคาถามแบบปลายปดิ - ถ้ำมคี ำตอบ “ไมท่ ัำบ” เป็นตวเลอื ก จะได้ับค่อนขำ้ งมำก เนอ่ื งจำกตอบได้งำ่ ย - ไม่มตี วเลือกท่ีสอดคล้องกบควำมเปน็ จังิ ของผใู้ หร้ข้อมูล - ตวเลอื กมำกเกินไปอำจจะทำใหร้เกิดควำมสบสน - กำัใหรข้ อ้ มูลเดียวกนอำจเกดิ เน่ืองจำกกำัเข้ำใจในข้อคำถำมทแี่ ตกตำ่ งกนก็ได้ - ควำมแตกต่ำงของกำัใหรข้ อ้ มลู เป็นไปตำมเง่ือนไข/ตวเลือกที่กำหรนดใหร้เทำ่ น้น ~ 14 ~

ชีวสถิตสิ ำหรับสำธำัณสขุ : หรนว่ ยท่ี 2 กำัเก็บัวบัวมข้อมลู - ข้อผดิ พลำดท่ีเกิดขึ้นจำกกำัลงัหรสในกำัวิเคัำะหร์ข้อมูลที่คลำดเคล่ือน หรัอื กำัเลือกข้อที่ คลำดเคลือ่ นจำกทต่ี ้องกำั 7.4 การสมั ภาษณ์ (Interview) มีจุดมุ่งหรมำยในทำนองเดียวกบกำัใช้แบบสอบถำม จึงอำจกล่ำวได้ว่ำกำัสมภำษณ์ว่ำเป็น แบบสอบถำมปำกเปล่ำ ต่ำงกนเพียงผู้ตอบใช้กำัพูดแทนกำัเขียนตอบ นอกจำกนี้ผู้เก็บข้อมูลสำมำัถ สงเกตบุคลิกภำพ อำกปกิัิยำ ตลอดจนพฤติกััมทำงกำย และวำจำขณะท่ีสมภำษณ์ในกำัพิจำัณำ ปัะกอบกำัสัุปขอ้ มูล ประเภทของแบบสัมภาษณ์ 1) จำแนกตำมแบบสมภำษณ์ 1.1) กำัสมภำษณ์แบบไม่มีโคังสั้ำง (Non-Structured interview) เป็นกำัสมภำษณ์ที่ใช้ เพียงปัะเด็น/หรวข้อเป็นแนวทำงในกำัต้งคำถำม โดยท่ีผู้สมภำษณ์สำมำัถเปล่ียนแปลงได้ตำม สถำนกำัณ์ ทำใหร้ได้ข้อมูลท่ีหรลำกหรลำยและลกึ ซงึ้ ในกำันำมำพจิ ำัณำปัะกอบกำัวิเคัำะหร์ข้อมูล แต่ผู้ สมภำษณ์จะต้องเป็นผู้ที่มีปัะสบกำัณ์และควำมเชี่ยวชำญมำกท้งในกำัเก็บัวบัวมข้อมูลและกำั วเิ คัำะหรข์ ้อมลู 1.2) กำัสมภำษณ์แบบมีโคังสั้ำง (Structured Interview) เป็นกำัสมภำษณ์ท่ีใช้แบบ สมภำษณ์ท่ีสั้ำงข้ึนเพ่ือใช้เป็นกัอบของคำถำมในกำัสมภำษณ์ท่ีเหรมือนกนกบผู้ใหร้สมภำษณ์แต่ละคน/ กลุ่ม หรัือเป็นแบบใหร้เลือกตอบ เป็นวธิ ีกำัท่ีงำ่ ยสำหรับกำันำผลทีไ่ ดม้ ำวิเคัำะหรข์ ้อมูลและเหรมำะสมกบ ผู้สมภำษณ์ที่ยงไม่มีปัะสบกำัณ์มำกเพียงพอ แต่จะต้องัะมดัะวงกำัมีตวเลือกท่ีไม่สอดคล้องกบ ตวเลือกท่ีกำหรนดใหร้ทำใหร้จำเป็นต้องตอบตำมตวเลือกท่ีกำหรนดใหร้ ดงน้นอำจจำเป็นต้องมีกำักำหรนด ตวเลอื กแบบปลำยเปดิ 2) จำแนกตำมจำนวนคนที่ใหรส้ มภำษณ์ 2.1) กำัสมภำษณ์เป็นัำยบุคคล (Individual Interview) เป็นกำัสมภำษณ์ของผู้สมภำษณ์ 1 คนต่อผู้ใหร้สมภำษณ์ 1 คน ท่เี ป็นวธิ ีกำัสมภำษณโ์ ดยทว่ ๆ ไป ทม่ี หี รลกกำั ดงน้ี - ผสู้ มภำษณ์ควัหรลีกเลย่ี งกำัโตแ้ ย้ง โดยไมพ่ ยำยำมแสดงควำมคดิ เหร็น - ไม่ขดจงหรวะผู้ใหร้สมภำษณ์ เป็นผู้ฟังที่ดี หรำวิธีกำัเบี่ยงเบนที่เหรมำะสมเพ่ือนำไปสู่ เป้ำหรมำย - หรลีกเลี่ยงกำัชกจูงใหรโ้ ดยใช้คำพดู ทำ่ ทำง - หรลกี เลยี่ งคำถำมซ้อน คำถำมนำ หรัือคำถำมท่ัี ะบเุ พยี งใช่/ไมใ่ ช่ ฯลฯ 2.2) กำัสมภำษณ์เป็นกลุ่มหรัือกำัสนทนำกลุ่ม (Focus Group Interview) เป็นกำัสมภำษณ์ ท่ีปัะยุกต์มำจำกกำัอภิปัำยกลุ่มผสมผสำนกบวิธีกำัสมภำษณ์ท่ีจะได้ข้อมูลเชิงปฏิสมพนธ์ของกลุ่ม บุคคลด้วย จดุ มุ่งหรมำยของกำัสนทนำกลุ่ม มีดงนี้ - ใช้ในกำักำหรนดสมมุตฐิ ำน - ใชใ้ นกำัสำัวจควำมคิดเหร็น เจตคตแิ ละคณุ ลกษณะ ทส่ี นใจ - ใช้ทดสอบแนวคดิ เก่ียวกบปัะเดน็ /ผลติ ภณฑ์ใหรมๆ่ - ใชใ้ นกำัปัะเมนิ ผลทำงธัุ กิจ - ใช้ในกำักำหรนดคำถำมและทดลองใชแ้ บบสอบถำม - ใช้ค้นหรำคำตอบท่ยี งคลุมเคัือท่ไี ดจ้ ำกเคัื่องมือเก็บข้อมูลอน่ื ๆ ~ 15 ~

ชวี สถิตสิ ำหรับสำธำัณสขุ : หรน่วยท่ี 2 กำัเกบ็ ัวบัวมขอ้ มลู ข้อดีของการสัมภาษณ์ - ใชไ้ ด้กบตวอยำ่ งทุกัะดบกำัศึกษำ ท้งท่ีอำ่ นไม่ออก เขียนไม่ได้ - มีควำมยืดหรยุ่น ดดแปลงใหร้เขำ้ กบผู้ถูกสมภำษณ์ สำมำัถกัะต้นุ ใหรต้ อบได้ดกี วำ่ กำัเขียนใน แบบสอบถำม - ช่วยใหร้ได้ข้อมูลเพม่ิ เตมิ จำกวิธกี ำัอืน่ เช่น แบบสอบถำม - ช่วยใหร้ผู้วิจยมีมนุษย์สมพนธ์ท่ีดี นำสิ่งที่ได้มำเขียนัำยงำนได้ถูกต้อง เป็นปัะโยชน์ต่อกำั วิจย ข้อจากัดของการสัมภาษณ์ - อำจไม่ได้ับควำมั่วมมือในกำัสมภำษณ์ หรัือไม่ใหร้ข้อมูลจัิง โดยเฉพำะเั่ืองลบ เัื่อง เฉพำะทเี่ ป็นส่วนตว - อำจเกิดควำมเคัยี ด ควำมแตกตำ่ ง ไมเ่ ป็นกนเอง ัะหรวำ่ งกำัสมภำษณ์ - เสยี เวลำ แังงำน งบปัะมำณสงู กว่ำกำัใช้แบบสอบถำม - ต้องกำัผูม้ ีควำมสำมำัถสูงในกำัสมภำษณ์ 7.5 การสงั เกต (Observation) กำัสงเกต (Observation) เป็นกำัใช้ปัะสำทสมผสท้งหร้ำ (ตำ หรู จมูก ลิ้น และั่ำงกำย) ในกำั สงเกตหรัือศึกษำพฤติกััมและปัำกฏกำัณ์ต่ำงๆ ที่เกิดข้ึน ทไี่ ดั้ บกำักัะต้นุ หรัือไม่กัะตุ้นก็ได้ เพอื่ หรำ ข้อสัุปหรัือข้อเท็จจัิงที่ต้องกำัทัำบ กำัสงเกตเหรมำะสำหรับกำัศึกษำพฤติกััมของบุคคลและ ปัำกฏกำัณต์ ่ำงๆ ประเภทของการสังเกต 1) จำแนกตำมโคังสัำ้ งของเคั่ืองมือที่ใช้ 1.1) กำัสงเกตแบบมีโคังสั้ำง (Structured Observation) เป็นกำัสงเกตที่มีัำยละเอียด พฤติกััมหรัือปัำกฏกำัณ์ท่ีได้ัะบุไว้ล่วงหรน้ำ เป็นกำัสงเกตท่ีมีัะบบ ชดเจน โดยจะใช้เคั่ืองมือท่ีได้ สั้ำงไวอ้ ย่ำงเปน็ มำตัฐำนใหรผ้ สู้ งเกตไดใ้ ชเ้ ปน็ คมู่ อื กำัสงเกต และจดบนทกึ 1.2) กำัสงเกตแบบไม่มีโคังสั้ำง (Unstructured Observation) เป็นกำัสงเกตท่ีไม่ได้ัะบุ ัำยละเอียด เป็นวิธีที่ใหร้ผู้สงเกตได้ใช้วิจำัณญำณในกำัเลือกปัะเด็นที่จะสงเกตและจดบนทึก โดย สว่ นมำกผู้ใช้วิธีกำันจี้ ะเป็นผู้ที่มปี ัะสบกำัณ์สูง สำมำัถับัู้และเข้ำถึงปัำกฏกำัณ์ได้ง่ำย และมีควำม ไวเชงิ ทฤษฏี 2) จำแนกตำมพฤตกิ ััมหรัอื บทบำทของผสู้ งเกต 2.1) กำัสงเกตแบบมีส่วนั่วม (Participant Observation) เป็นกำัสงเกตท่ีผู้สงเกตเป็นส่วน หรน่ึง หรัือที่มีส่วนั่วมของปัำกฏกำัณ์ท่ีศึกษำ ซ่ึงสมำชิกอำจจะทัำบหรัือไม่ทัำบบทบำทของผู้สงเกต เป็นวิธีกำัศึกษำที่มีควำมเป็นธััมชำติ ทำใหร้สำมำัถเข้ำถึงควำมหรมำยแฝงเั้นของพฤติกััมที่ แสดงออกไดอ้ ย่ำงลกึ ซึง้ มำกข้นึ 2.2) กำัสงเกตแบบไม่มีส่วนั่วม (Non-Participant Observation) เป็นกำัสงเกตท่ีผู้สงเกต เป็นเพียงผู้สงเกตท่ีอำจจะซ่อนเัน้ หรัือเปิดเผยอยภู่ ำยนอก เพื่อสงเกตพฤติกััมท่ีเกิดข้ึนโดยท่ีผูถ้ ูกสงเกต จะัู้ตวหรัือไม่ัู้ตว ขอ้ ดขี องการสังเกต - ทำใหรม้ ีโอกำสสมผสและทำควำมเข้ำใจสถำนกำัณท์ ่เี กิดข้นึ จัิง ~ 16 ~

ชีวสถติ สิ ำหรับสำธำัณสขุ : หรนว่ ยท่ี 2 กำัเกบ็ ัวบัวมข้อมลู - กัณีที่เป็นกำัสงเกตโดยที่ผู้ถูกสงเกตไม่ัตู้ ว ทำใหร้ได้ข้อมูลที่เป็นจัิงที่ผถู้ ูกสงเกตไมเ่ ปดิ เผย เมอื่ ั้ตู ว - อำจได้ข้อมูลท่ีไม่คำดหรวงซึ่งจะเปน็ ปัะโยชนต์ ่อกำัวจิ ย - ผสู้ งเกตเกบ็ ขอ้ มูลได้โดยที่ไม่ตอ้ งอำศยควำมัู้หรัือควำมสำมำัถของผถู้ ูกสงเกต ขอ้ จากดั ของการสังเกต - เสียเวลำและคำ่ ใช้จ่ำยสงู กว่ำกำัเกบ็ ขอ้ มลู วธิ ีอน่ื - ไม่เหรมำะสมเม่ือกลุ่มตวอย่ำงมีขนำดใหรญ่หรัืออยูก่ ัะจดกัะจำย - พฤติกััมบำงอยำ่ งเกดิ ขนึ้ ในช่วงเวลำสน้ ๆ ทำใหร้เกดิ ควำมคลำดเคล่อื นในกำัสงเกตได้ - ควำมคลำดเคล่ือนอำจเกดิ ขึน้ ไดจ้ ำกตวผ้สู งเกต เฉลยแบบฝกึ หดั 1. ใหร้นสิ ิตแต่ละคนกัอกข้อมูลของตนเองตำมควำมเปน็ จัิงพัอ้ มท้งัะบุมำตัวดตวแปัและชนิดของ ข้อมูล ลงในตำัำงขำ้ งล่ำงนี้ คาถาม มาตรวดั ตวั แปร ชนดิ ขอ้ มลู 1. เพศ 1) ชำย 2) หรญงิ Nominal scale เชิงคณุ ภาพ 2. อำย.ุ ............ปี (ถ้ำเกิน 6 เดอื น นบเป็น 1 ปี) Ratio scale เชิงปรมิ าณ 3. ควำมสูง..................เซนติเมตั Ratio scale เชงิ ปริมาณ 4. นำ้ หรนก...................กิโลกัม Ratio scale เชงิ ปรมิ าณ 5. เกัดวชิ ำคณติ ศำสตัั์ ะดบ ม.6....................... Interval scale เชงิ ปริมาณ 6. เกัดเฉล่ียสะสม ในัะดบ ม.ปลำย.................... Interval scale เชงิ ปรมิ าณ 7. เกัดเฉลยี่ สะสมในมหรำวทิ ยำลย........................ Interval scale เชงิ ปริมาณ 8. วธิ ีกำัสอบเข้ำมหรำวทิ ยำลย Nominal scale เชิงคณุ ภาพ 1) โควต้ำ 2) แอดมิชชน่ 9. ภมู ลิ ำเนำ Nominal scale เชงิ คณุ ภาพ 1) เหรนือตอนลำ่ ง 2) เหรนอื ตอนบน3) ตะวนออกเฉยี งเหรนือ 5) ตะวนออก 4) กลำง 6) ใต้ 10. ควำมชอบวชิ ำชวี สถิติฯ Ordinal scale เชงิ คุณภาพ 1) มำกทสี่ ุด 2) มำก 3) ปำนกลำง4) น้อย 5) น้อยท่สี ุด 11. สุขภำพจิตก่อนเขำ้ เัยี นวิชำชวี สถติ ิฯ Nominal scale เชงิ คุณภาพ 1) มีควำมเคัียด 2) ไมม่ ีควำมเคัียด 12. สขุ ภำพจิตหรลงเข้ำเัยี นวิชำชวี สถิติฯ Nominal scale เชงิ คณุ ภาพ 1) มคี วำมเคัยี ด 2) ไม่มีควำมเคัยี ด 13. ัะดบสถำนะสุขภำพทำงกำยขณะน้ี Ordinal scale เชิงคณุ ภาพ 1) ดีเยย่ี ม 2) ดี 3) ปำนกลำง 4) แย่ 5) แย่มำก ~ 17 ~

ชวี สถติ สิ ำหรับสำธำัณสุข: หรน่วยที่ 2 กำัเก็บัวบัวมข้อมลู คาถาม มาตรวดั ตัวแปร ชนดิ ข้อมลู Ordinal scale เชงิ คณุ ภาพ 14. ัะดบสถำนะสขุ ภำพทำงใจขณะนี้ 1) ดีเยี่ยม 2) ดี 3) ปำนกลำง 4) แย่ 5) แยม่ ำก 2. จำกแบบฝึกหรดข้อ 1 หรำกนกวิจยต้องกำัศึกษำข้อมูลพ้ืนฐำนของนิสิตัะดบปัิญญำตัี ช้นปีท่ี 3 ของ คณะสำธำัณสุขศำสตั์ เพื่อเป็นข้อมูลในกำัเัียนวิชำชีวสถิติปัะยุกต์ในงำนสำธำัณสุข กำัเก็บ ัวบัวมข้อมูลดงกล่ำวถือเป็นกำัเก็บัวบัวมข้อมูลโดยวิธีใด และนกวิจยใช้เคัื่องมือชนิดใดในกำัเก็บ ัวบัวมขอ้ มลู ตอบ กำัเก็บัวบัวมข้อมูลโดยวิธีกำัสำัวจ เน่ืองจำกปัะชำกั คือ นิสิตัะดบปัิญญำตัี ช้นปีท่ี 3 ของคณะสำธำัณสุขศำสตั์ แต่เก็บข้อมูลจำกตวอย่ำงซึ่งเป็นนิสิตัะดบปัิญญำตัี ช้นปีท่ี 3 ของคณะ สำธำัณสขุ ศำสตัท์ เ่ี ัยี นวิชำชีวสถติ ิฯ โดยใช้แบบสอบถำมในกำัเก็บัวบัวมขอ้ มูล 3. นิสิตคิดว่ำกำัเก็บัวบัวมข้อมูลด้วยวิธีดงกล่ำวและเคั่ืองมือที่ใช้มีควำมเหรมำะสมหรัอื ไม่ อย่ำงไั ถ้ำ ไมเ่ หรมำะสมควัใช้วธิ ีกำัเก็บัวบัวมขอ้ มูลและเคัื่องมือชนิดใด จงอธิบำย ตอบ เหรมำะสม เพัำะ กำัเก็บัวบัวมขอ้ มูลโดยวิธีกำัสำัวจ ช่วยลดัะยะเวลำและและกำลงในกำั เก็บข้อมูล โดยท่ีสำมำัถอนุมำนไปยงปัะชำกัได้ ส่วนกำัใช้แบบสอบถำมมีควำมเหรมำะสมและสะดวก กบ กำัเก็บ ัวบ ัวม ข้อมู ลจำน วน มำกใหร้ คับ ถ้วนภ ำยใน เวลำจำกด ในกัณี ที่ผู้ตอบ แบบ สอบถำม มี ควำมสำมำัถในกำัอ่ำนออกเขยี นได้ ~ 18 ~

ชีวสถิติสำหรบั สำธำรณสุข: หนว่ ยที่ 3 กำรนำเสนอข้อมลู หนว่ ยท่ี 3 การนาเสนอขอ้ มลู วัตถปุ ระสงค:์ หลงั จำกจบกำรเรียนในหวั ขอ้ นี้แลว้ นิสติ สำมำรถ 1. อธบิ ำยวธิ กี ำรจัดกำรข้อมลู ให้อยใู่ นรูปตำรำงและแผนภมู ไิ ด้ 2. เลือกวธิ กี ำรนำเสนอข้อมูลได้เหมำะสมกับลกั ษณะของข้อมลู และวตั ถุประสงคข์ องกำรนำเสนอ 3. แปลผลกำรนำเสนอขอ้ มลู ดว้ ยตำรำงและแผนภมู ิได้ เนอ้ื หา: กำรนำเสนอขอ้ มลู 1. บทนำ 2. ส่วนประกอบสำคัญของตำรำงและแผนภมู ิ 3. รูปแบบกำรนำเสนอ 3.1 ตำรำง (table) 3.2 แผนภมู ิแทง่ (bar chart) 3.3 แผนภูมแิ ท่งปริ ำมดิ (pyramid bar chart) 3.4 แผนภมู ิวงกลม (pie chart) 3.5 แผนภำพ (pictogram) 3.6 แผนทส่ี ถติ ิ (statistical map) 3.7 กรำฟเส้น (line graph) 3.8 แผนภำพลำต้นและใบ (stem & leaf plots) 3.9 ฮิสโตแกรม (histogram) 3.10 รปู หลำยเหลย่ี มควำมถ่ี (frequency polygon) 3.11 โคง้ ควำมถีส่ ะสม (cumulative frequency polygon) 3.12 แผนภำพกล่อง (box plots) รปู แบบการเรยี นการสอน: กำรเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื 1. ผูเ้ รียนแตล่ ะคนศึกษำเน้อื หำตำมหัวข้อบรรยำยจำกเอกสำรประกอบกำรสอนและสรปุ เป็นแผนผัง ควำมคดิ (Mind map) ก่อนเข้ำชั้นเรียน 2. แบ่งกลุ่มกำรเรียน เช็คช่ือสมำชิกภำยในกลุ่ม และอภิปรำยเนื้อหำตำมท่ีได้รับมอบหมำยภำยใน กลมุ่ และภำยในชนั้ เรยี น 3. สรปุ เน้อื หำโดยอำจำรยผ์ ้สู อน 4. ผ้เู รยี นแตล่ ะกลมุ่ คิดโจทย์แบบฝึกหัดพร้อมเฉลยหลงั จำกจบบทเรียน และสง่ ภำยในสัปดำห์ถดั ไป ~ 19 ~

ชวี สถติ ิสำหรับสำธำรณสขุ : หนว่ ยที่ 3 กำรนำเสนอข้อมลู 1. บทนา หลังจำกที่เก็บรวบรวมข้อมูลมำได้ตำมรูปแบบของวิธีกำรเก็บข้อมูลน้ันๆ และได้บันทึกข้อมูลและ ตรวจสอบข้อมูล หรือมีกำรวิเครำะห์ข้อมูลในเบ้ืองต้นแล้วนั้น จะมีกำรนำเสนอข้อมูล (Data presentation) ในข้ันตอนต่อไป เพ่ือให้ข้อมูลที่รวบรวมมำได้อยู่ในรูปแบบที่เข้ำใจง่ำย มีวิธีในกำร นำเสนอ 3 วิธี ได้แก่ ค่ำสถิติ ตำรำง แผนภูมิ/กรำฟ ซ่ึงในบทเรียนนี้จะกล่ำวถึงเฉพำะกำรนำเสนอข้อมูล ด้วยตำรำงและแผนภูมิ/กรำฟ เทำ่ น้นั วัตถุประสงค์ของกำรนำเสนอข้อมูลด้วยตำรำงคือ เพ่ือแสดงรำยละเอียดของข้อมูล ส่วนแผนภูมิ/ กรำฟ มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ดึงดูดควำมสนใจ ซึ่งบำงคร้ังหำกต้องกำรแสดงรำยละเอียดของข้อมูลและ ตอ้ งกำรดงึ ดดู ควำมสนใจดว้ ยแล้วสำมำรถนำเสนอข้อมลู ด้วยตำรำงและแผนภมู /ิ กรำฟคู่กันได้ 2. สว่ นประกอบสาคญั ของตารางและแผนภมู ิ 2.1 ชื่อตาราง หรือ แผนภูมิ (Title) เป็นส่วนที่แสดงลำดับท่ีของตำรำงหรือแผนภูมิ พร้อมด้วย คำอธิบำย โดยช่ือตำรำงนิยมกำหนดไว้ส่วนบน ส่วนชื่อแผนภูมิ/กรำฟ นิยมกำหนดไว้ส่วนล่ำง แต่ท้ังนี้ ข้ึนอยู่กับรปู แบบของแต่ละที่บำงคร้ังอำจกำหนดช่อื แผนภมู /ิ กรำฟไวส้ ว่ นบน 2.2 เนื้อหา (Body) เป็นส่วนท่ีแสดงรำยละเอียดของข้อมูลที่ต้องกำรนำเสนอในรูปแบบต่ำงๆ ตำม ควำมเหมำะสม 2.3 หมายเหตุ (Footnote) เป็นส่วนท่ีอยู่ท้ำยตำรำงหรือแผนภูมิ สำหรับอธิบำยรำยละเอียดต่ำงๆ เพ่มิ เติม เชน่ อธบิ ำยตัวยอ่ หรือสถติ ทิ ใี่ ช้ เป็นต้น 2.4 แหล่งข้อมูล (Source) เป็นส่วนที่อยู่ท้ำยตำรำงหรือแผนภูมิ สำหรับอ้ำงอิงแหล่งท่ีมำของข้อมูล กรณที เ่ี ปน็ ขอ้ มูลทุติยภูมิ แสดงตวั อย่ำงในภำพที่ 3.1 3. รปู แบบการนาเสนอ 3.1 ตาราง (Table) กำรนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นจำแนกตำรำงได้เป็น 2 ลักษณะคือ ตำรำงจำแนก ทำงเดียว (One way table) และตำรำงจำแนกสองทำง (Two way table) ตำรำงจำแนกทำงเดียว ใช้สำหรับนำเสนอค่ำสถิติของข้อมูลแต่ละตัวแปร มีส่วนประกอบคือ หัว ตำรำงในแนวสดมภ์ (Column heading) และช่องสำหรับแสดงค่ำข้อมูลเรียกว่ำ เซลล์ (cell) กำร นำเสนอนอกจำกแสดงค่ำสถิติที่ต้องกำรรำยงำนแล้วควรระบุจำนวนตัวอย่ำงท้ังหมด และหน่วยกำรวัด (ถำ้ มี) ดังแสดงในภำพที่ 3.2 ตำรำงจำแนกสองทำง ใช้สำหรับนำเสนอค่ำสถิติของข้อมูลระหว่ำงสองตัวแปร กำรเรียกช่ือจะเรียก ตำมจำนวนค่ำของตวั แปรในแนวแถวคณู กับค่ำของตวั แปรในแนวสดมภ์ เชน่ ตำรำง 2 x 2 (อ่ำนว่ำ ตำรำง สองคูณสอง หรือ ตำรำง ทูบำยทู) ตำรำง 2 x 3 (อ่ำนว่ำ ตำรำงสองคูณสำม หรือ ตำรำงทูบำยทรี) ส่วนประกอบมีเพิ่มเติมจำกตำรำงจำแนกทำงเดียวคือ หัวตำรำงในแนวแถว (Row heading) ดังแสดงใน ภำพที่ 3.3 ~ 20 ~

ชีวสถติ ิสำหรับสำธำรณสุข: หน่วยที่ 3 กำรนำเสนอข้อมลู ภาพที่ 3.1 สว่ นประกอบสำคัญของตำรำงและแผนภมู ิ ภาพท่ี 3.2 ส่วนประกอบของตำรำงจำแนกทำงเดียว ภาพที่ 3.3 สว่ นประกอบของตำรำงจำแนกสองทำง ~ 21 ~

ชวี สถติ ิสำหรับสำธำรณสุข: หนว่ ยท่ี 3 กำรนำเสนอขอ้ มลู 3.2 แผนภูมิแท่ง (Bar chart) ใช้แสดงหรือเปรียบเทียบควำมถี่หรือร้อยละของข้อมูลเชิงคุณภำพ จำแนกเปน็ 3 ชนดิ ดงั ภำพที่ 3.4 ก ข และ ค ก แผนภูมิแท่งเชงิ เดยี่ ว (Simple bar chart) ข แผนภูมิแทง่ เชิงซ้อน (Multiple box chart) ค แผนภูมแิ ท่งเชงิ ประกอบ (Component box chart) ภาพที่ 3.4 แผนภมู ิแทง่ 3.3 แผนภูมิแท่งปิรามิด (Pyramid bar chart) หรืออำจเรียกว่ำ ปิรำมิดประชำกร เป็นแผนภูมิ แทง่ ท่มี ลี กั ษณะเฉพำะใชส้ ำหรับนำเสนอขอ้ มูลจำนวนประชำกรจำแนกตำมช่วงอำยุและเพศ (ภำพท่ี 3.5) ~ 22 ~

ชีวสถิติสำหรับสำธำรณสุข: หนว่ ยท่ี 3 กำรนำเสนอขอ้ มูล ภาพที่ 3.5 แผนภมู ิแท่งปริ ำมิดหรอื ปิรำมดิ ประชำกร 3.4 แผนภูมิวงกลม (Pie chart) ใช้นำเสนอควำมถี่หรือร้อยละของข้อมูลเชิงคุณภำพเช่นเดียวกับ แผนภูมิแทง่ ขึ้นอยู่กบั ควำมชอบของผูน้ ำเสนอ ลกั ษณะของส่วนของวงกลมจะเรียงลำดับตำมขนำด (ภำพ ที่ 3.6) ภาพที่ 3.6 แผนภูมวิ งกลม ~ 23 ~

ชีวสถิติสำหรบั สำธำรณสขุ : หน่วยท่ี 3 กำรนำเสนอขอ้ มูล 3.5 แผนภาพ (Pictogram) ใช้แสดงหรือเปรียบเทียบควำมถี่หรือร้อยละของข้อมูลเชิงคุณภำพ เช่นเดียวกับแผนภูมิแท่งและแผนภูมิวงกลม แตล่ กั ษณะกำรนำเสนอจะใชร้ ปู ภำพแทนควำมถ่ี (ภำพที่ 3.7) จานวนเด็กจาแนกตามเพศ ชำย หญงิ / = เดก็ 100 คน ภาพที่ 3.7 แผนภำพ 3.6 แผนท่ีสถิติ (Statistical map) ใช้นำเสนอข้อมูลโดยระบำยหรือแรเงำในแผนที่เพ่ือให้สำมำรถ เปรียบเทยี บควำมแตกต่ำงของข้อมูลในแต่ละพืน้ ที่ มปี ระโยชน์มำกในทำงสำธำรณสขุ (ภำพท่ี 3.8) ภาพท่ี 3.8 แผนทีส่ ถิติ 3.7 กราฟเส้น (Line graph) ใช้แสดงหรือเปรียบเทียบจำนวนของข้อมูลเชิงปริมำณเพื่อให้เห็น แนวโนม้ ของกำรเปลีย่ นแปลง จำแนกเปน็ 3 ชนดิ ดงั ภำพท่ี 3.9 ก ข และ ค ~ 24 ~

ชวี สถติ ิสำหรับสำธำรณสุข: หน่วยที่ 3 กำรนำเสนอข้อมลู ก กราฟเสน้ เชิงเด่ียว (Simple line graph) ค กราฟเสน้ เชงิ ประกอบ (Component line graph) ข กราฟเสน้ เชงิ ซ้อน (Multiple line graph) ภาพท่ี 3.9 กรำฟเสน้ 3.8 แผนภาพลาต้นและใบ (Stem and leaf plots) ใช้นำเสนอกำรแจกแจงของข้อมลู เชิงปริมำณ ซง่ึ สำมำรถช่วยให้มองเหน็ รำยละเอยี ดของข้อมลู โดยแสดงด้วยตัวเลขไปพร้อมกนั สว่ นลำต้นแสดงตวั เลข หลกั แรกของขอ้ มูล ส่วนใบแสดงตวั เลขหลักต่อมำของขอ้ มูล (ภำพท่ี 3.10) 3.9 ฮสิ โตแกรม (Histogram) ใช้นำเสนอกำรแจกแจงของข้อมูลเชิงปริมำณได้เช่นเดียวกับแผนภำพ ลำตน้ และใบ โดยนำเสนอเปน็ ลกั ษณะของโค้งแจกแจงควำมถ่ีซ่ึงช่วยให้มองเห็นภำพกำรแจกแจงแบบโค้ง ปกติ (Normal distribution) ~ 25 ~

ชีวสถติ ิสำหรบั สำธำรณสขุ : หนว่ ยที่ 3 กำรนำเสนอขอ้ มูล ภาพที่ 3.10 แผนภำพลำตน้ และใบ ภาพท่ี 3.11 ฮสิ โตแกรม ตัวอย่างการสรา้ งฮิสโตแกรม ขอ้ มูลแสดงอำยุกำรทำงำนของอำจำรย์ในมหำวิทยำลัยแหง่ หนึ่ง จำนวน 50 คน ดงั น้ี 19 24 30 14 31 12 29 26 23 23 20 25 17 15 22 28 12 27 19 26 25 30 15 19 19 23 22 21 21 27 16 26 26 28 21 17 13 17 24 21 20 16 20 25 21 23 24 21 18 18 นำขอ้ มลู มำสรำ้ งตำรำงแจกแจงควำมถี่ โดยกำหนดใหค้ ่ำอนั ตรภำคช้ันเท่ำกบั 3 เทำ่ กนั ทกุ ชั้น มีขนั้ ตอน คือ 1) หำพิสัย = 31-12 = 19 2) กำหนดคำ่ อนั ตรภำคชัน้ = 3 3) หำจำนวนชน้ั จำนวนชั้น = 19/3 = 6.33 ประมำณ 7 ชัน้ 4) สร้ำงตำรำงแจกแจงควำมถ่ี ~ 26 ~

ชวี สถิติสำหรบั สำธำรณสขุ : หนว่ ยท่ี 3 กำรนำเสนอขอ้ มูล อายกุ ารทางาน (ป)ี ขอบเขตชนั้ ความถี่ (f) 12 – 14 15 – 17 11.5 – 14.5 4 18 – 20 14.5 – 17.5 7 21 – 23 17.5 – 20.5 9 24 – 26 20.5 – 23.5 12 27 – 29 23.5 – 26.5 10 30 – 32 26.5 – 29.5 5 29.5 – 32.5 3 5) สรำ้ งฮิสโตแกรม N = 50 histogram 14 12 10 8 6 4 Std. Dev = 4.85 2 Mean = 21.6 0 N = 50.00 12.5 15.0 17.5 20.0 22.5 25.0 27.5 30.0 3.10 รูปหAลGาEย_เWหOลRี่ยKมความถ่ี (Frequency polygon) ใช้เปรียบเทียบกำรแจกแจงควำมถี่ของ ข้อมูลเชิงปริมำณหลำยๆ ชุด โดยกำรสร้ำงเส้นจำกจุดก่ึงกลำงของแท่งฮิสโตแกรมลำกต่อกัน (ภำพที่ 3.12) ภาพที่ 3.12 รูปหลำยเหลีย่ มควำมถี่ ~ 27 ~

ชีวสถิติสำหรบั สำธำรณสขุ : หน่วยที่ 3 กำรนำเสนอขอ้ มลู 3.11 โค้งความถ่ีสะสม (Cumulative frequency polygon) ใช้แสดงลักษณะควำมถี่สะสมของ ข้อมูล เพ่อื หำตำแหนง่ ของข้อมลู (ภำพที่ 3.13) จำกตัวอยำ่ งขอ้ มูลอำยุกำรทำงำนของอำจำรย์ข้ำงตน้ นำมำสรำ้ งโค้งควำมถีส่ ะสมได้ดงั นี้ อายุการทางาน (ป)ี ความถี่ (f) ความถี่สะสม รอ้ ยละความถ่สี ะสม 12 – 14 4 4 4x100/50 = 8 15 – 17 7 11 11x100/50 = 22 18 – 20 9 20 20x100/50 = 40 21 – 23 12 32 32x100/50 = 64 24 – 26 10 42 42x100/50 = 84 27 – 29 5 47 47x100/50 = 94 30 – 32 3 50 50/100/50 = 100 แสดงโค้งควำมถ่สี ะสมของอำยุงำนอำจำรย์ ดงั นี้ โคง้ ความถสี่ ะสมของอายงุ านอาจารย์ ร้อยละ 120 100 2.00 3.00 4.00 5.00 6.00 7.00 80 อายุงาน(ปี ) 60 40 20 0 1.00 ภาพที่ 3.13 โคง้ ควำมถสี่ ะสม 3.12 แผนภาพกล่อง (Box plots) ใช้แสดงลักษณะโดยรวมของกำรแจกแจงข้อมูลเชิงปริมำณ ซ่ึง จะแสดงตำแหน่งของข้อมูลแต่ละเปอร์เซ็นต์ไทล์ ได้แก่ เปอร์เซ็นไทล์ท่ี 10, 25, 50, 75, และ 90 นอกจำกน้ยี งั แสดงขอ้ มูลทอ่ี ยู่นอกชว่ ง (Outlier) (ภำพที่ 3.14) ~ 28 ~

ชวี สถติ ิสำหรบั สำธำรณสุข: หนว่ ยที่ 3 กำรนำเสนอข้อมลู ภาพท่ี 3.14 แผนภำพกล่อง เฉลยแบบฝกึ หัด จำกข้อมูลต่อไปนี้ จงแสดงวิธีกำรนำเสนอข้อมูลที่นิสิตเห็นว่ำเหมำะสมมำกท่ีสุด โดยมีวัตถุประสงค์ ของกำรนำเสนอเพ่ือแสดงรำยละเอียดของขอ้ มูลและเพื่อให้อยู่ในรปู ที่เข้ำใจง่ำย เป็นกำรดึงดูดควำมสนใจ 1. ในกำรตรวจสอบกำรเกดิ โรคเนอื่ งจำกอำหำรเป็นพิษของผูป้ ว่ ย จำนวน 30 คน พบระยะ ฟักตัวของโรค (ช่ัวโมง) ดังนี้ 2346354566 5255445246 4 3 5 2 4 3 2 5 10 6 1) กรณแี สดงความถีข่ องข้อมูลโดยไม่จดั กลมุ่ ตาราง แสดงควำมถ่ขี องกำรเกดิ โรคเน่ืองจำกอำหำรเป็นพิษ จำแนกตำมระยะฟักตวั ของโรค ของ ผูป้ ว่ ยจำนวน 30 คน ระยะฟกั ตวั ของโรค (ชั่วโมง) ความถี่ (f) 10 25 34 47 58 65 70 80 90 10 1 รวม 30 ~ 29 ~

ชีวสถิติสำหรับสำธำรณสุข: หนว่ ยที่ 3 กำรนำเสนอข้อมูล 9ความถ ่ี 8 7 6 5 4 3 2 1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ระยะฟกั ตวั (ชม.) แผนภูมิ แสดงควำมถข่ี องกำรเกดิ โรคเน่อื งจำกอำหำรเป็นพิษ จำแนกตำมระยะฟกั ตัวของโรค ของผปู้ ่วยจำนวน 30 คน 2) กรณีแสดงความถี่ของขอ้ มลู โดยจัดกลุ่ม ตาราง แสดงควำมถีข่ องกำรเกดิ โรคเน่ืองจำกอำหำรเป็นพิษ จำแนกตำมระยะฟกั ตวั ของโรค ของ ผ้ปู ว่ ยจำนวน 30 คน ระยะฟักตัวของโรค (ช่ัวโมง) ความถ่ี (f) 1-2 5 3 - 4 11 5 - 6 13 7-8 0 9 - 10 1 รวม 30 ความถ ี่ 14 12 10 3--4 5--6 7--8 9--10 ระยะฟกั ตวั (ชม.) 8 6 4 2 0 1--2 แผนภูมิ แสดงควำมถี่ของกำรเกดิ โรคเนอื่ งจำกอำหำรเปน็ พิษ จำแนกตำมระยะฟักตวั ของโรค ของผู้ป่วยจำนวน 30 คน ~ 30 ~

ชวี สถิติสำหรบั สำธำรณสขุ : หน่วยท่ี 3 กำรนำเสนอข้อมูล 2. ในกำรสำรวจควำมคิดเห็นของนิสิตจำนวน 40 คน ต่อกำรท่ีมหำวิทยำลัยแห่งหน่ึงจะออกนอก ระบบ พบขอ้ มลู ดังน้ี เพศ ความเหน็ เพศ ความเหน็ เพศ ความเหน็ เพศ ความเห็น ชำย เหน็ ด้วย หญิง เห็นดว้ ย หญงิ เหน็ ดว้ ย ชำย ไม่เหน็ ด้วย หญงิ ไมเ่ หน็ ด้วย ชำย ไม่เหน็ ดว้ ย หญงิ ไม่เหน็ ด้วย ชำย เหน็ ดว้ ย หญิง ไม่เห็นดว้ ย หญิง ไมเ่ หน็ ด้วย ชำย เหน็ ด้วย หญิง เห็นด้วย หญิง ไมเ่ หน็ ด้วย ชำย เห็นด้วย หญงิ เห็นดว้ ย หญิง ไม่เห็นด้วย ชำย เหน็ ดว้ ย หญิง ไมเ่ หน็ ดว้ ย หญิง ไมเ่ หน็ ด้วย หญิง เห็นด้วย หญงิ เห็นด้วย หญิง เห็นดว้ ย หญงิ ไมเ่ ห็นดว้ ย หญงิ เหน็ ด้วย หญงิ ไมเ่ ห็นด้วย ชำย เหน็ ดว้ ย หญิง เห็นดว้ ย หญิง ไมเ่ ห็นด้วย ชำย ไม่เห็นด้วย ชำย เห็นดว้ ย ชำย เห็นด้วย ชำย ไม่เหน็ ด้วย ชำย เห็นดว้ ย หญิง ไม่เห็นดว้ ย หญงิ เห็นด้วย หญิง ไมเ่ ห็นดว้ ย ชำย ไม่เหน็ ด้วย ชำย ไม่เหน็ ดว้ ย หญิง ไม่เหน็ ดว้ ย หญงิ ไม่เห็นด้วย ตาราง ผลสำรวจควำมคิดเห็นของนิสติ ต่อกำรท่ีมหำวิทยำลยั แห่งหนึ่งจะออกนอกระบบจำแนก ตำมเพศ จำนวน 40 คน เพศ ความคดิ เหน็ รวม ชำย ไมเ่ ห็นดว้ ย เห็นดว้ ย 15 หญงิ 25 69 40 รวม 15 10 21 19 เปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ ระหว่างนสิ ติ ชายและหญงิ 16 15 10 14 6 9 12 10 ชาย ความถ่ี 8 หญงิ 6 ไมเ่ หน็ ดว้ ย เหน็ ดว้ ย 4 2 ความคดิ เห็น 0 หรือ ~ 31 ~

ชวี สถิติสำหรับสำธำรณสุข: หน่วยท่ี 3 กำรนำเสนอขอ้ มลู เปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ ระหว่างนสิ ติ ชายและหญงิ 25 15 10 หญงิ ชาย 20 9 15 6 ความถ ่ี ไมเ่ หน็ ดว้ ย เหน็ ดว้ ย 10 5 0 ความคดิ เห็น แผนภูมิ เปรียบเทียบควำมคิดเหน็ ของนิสิตระหว่ำงเพศชำยกับเพศหญิง ตอ่ กำรท่ีมหำวิทยำลัย แหง่ หน่ึงจะออกนอกระบบ จำนวน 40 คน ~ 32 ~

ชีวสถิติสำหรบั สำธำรณสุข: หน่วยที่ 4 กำรวดั แนวโนม้ เขำ้ ส่สู ว่ นกลำงและกำรกระจำย หนว่ ยท่ี 4 การวัดแนวโนม้ เข้าสูส่ ่วนกลาง และการกระจาย วัตถุประสงค:์ หลงั จำกจบกำรเรียนในหวั ขอ้ นี้แล้วนสิ ิตสำมำรถ 1. ทรำบกำรวัดแนวโนม้ เข้ำส่สู ่วนกลำงและสำมำรถคำนวณคำ่ ได้ 2. ทรำบกำรวดั กำรกระจำยและสำมำรถคำนวณค่ำได้ 3. ทรำบกำรวัดตำแหนง่ ของขอ้ มลู และคำนวณค่ำได้ 4. ทรำบกำรเปรยี บเทยี บกำรกระจำยของขอ้ มูลและคำนวณค่ำสมั ประสิทธิข์ องควำมแปรปรวนได้ เนือ้ หา: กำรวดั แนวโนม้ เขำ้ สูส่ ว่ นกลำงและกำรกระจำย 1. กำรวัดแนวโนม้ เขำ้ สสู่ ่วนกลำง 2. กำรวัดกำรกระจำย 3. กำรวัดตำแหน่งของขอ้ มูล 4. กำรเปรียบเทยี บค่ำกำรกระจำย รปู แบบการเรยี นการสอน: กำรเรียนรู้แบบรว่ มมือ 1. ผูเ้ รยี นแตล่ ะคนศกึ ษำเน้อื หำตำมหวั ข้อบรรยำยจำกเอกสำรประกอบกำรสอนและสรุปเป็นแผนผัง ควำมคิด (Mind map) กอ่ นเขำ้ ชั้นเรียน 2. แบ่งกลุ่มกำรเรียน เช็คช่ือสมำชิกภำยในกลุ่ม และอภิปรำยเนื้อหำตำมที่ได้รับมอบหมำยภำยใน กลุม่ และภำยในช้ันเรียน 3. สรุปเน้ือหำโดยอำจำรย์ผูส้ อน 4. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุม่ คิดโจทยแ์ บบฝึกหัดพรอ้ มเฉลยหลงั จำกจบบทเรียน และสง่ ภำยในสปั ดำหถ์ ดั ไป ~ 33 ~

ชวี สถติ สิ ำหรับสำธำรณสุข: หน่วยท่ี 4 กำรวัดแนวโนม้ เขำ้ สู่ส่วนกลำงและกำรกระจำย 1. การวัดแนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลาง (Measure of central tendency) เป็นกำรวัดค่ำกลำงของข้อมูล เพื่อแสดงให้เห็นค่ำซ่ึงเป็นตัวแทนของชุดข้อมูล ได้แก่ ค่ำเฉล่ีย ค่ำมธั ยฐำน และคำ่ ฐำนนิยม ดังน้ี 1.1 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean) เป็นวธิ ีกำรหำค่ำกลำงของข้อมูลท่นี ิยมใชม้ ำกท่ีสุด มวี ิธีกำรคำนวณ 2 วธิ คี อื 1) กรณีขอ้ มลู เป็นค่าเดียว คำ่ เฉล่ยี หำได้จำกกำรนำขอ้ มลู ทุกค่ำมำรวมกนั แลว้ หำรดว้ ย จำนวนข้อมลู ท้ังหมดให้ X1, X2, X3, . . . ,XN เป็นค่ำสังเกตตวั ท่ี 1 ตวั ที่ 2 ตัวที่ 3 ถึงตัวท่ี N ของข้อมูล ชุดหน่ึง  และ ������̅ เป็นสญั ลักษณแ์ ทนคำ่ เฉลย่ี เลขคณติ N  xi คำนวณได้จำกสูตร สำหรับค่ำเฉลยี่ ในประชำกร .............................................. (1)   i1 N N  xi และ สำหรบั ค่ำเฉล่ียในตัวอยำ่ ง ............................................... (2) x  i1 n ตัวอย่างที่ 1 ทำรกแรกคลอด 10 คน มนี ้ำหนักตัวเปน็ กรัม ดงั น้ี 2600, 3500, 2550, 2740, 2600, 3000, 2780, 3200, 3650, 1800 จงคำนวณหำคำ่ เฉล่ยี เลขคณติ ของนำ้ หนกั ตวั ของเด็กกลุ่มน้ี N  xi วิธที า   i1 N  2600  3500  2550  2740  2600  3000  2780  3200  3650 1800 10  28420 10  2842 นัน่ คอื นำ้ หนักตัวเฉล่ยี ของทำรกแรกคลอดกล่มุ น้ี เทำ่ กบั 2,840 กรมั ตอบ -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 2) กรณีข้อมูลจดั กลุ่ม ในรปู ตำรำงแจกแจงควำมถี่ k  fi Xi คำนวณไดจ้ ำกสูตร ............................................................................. (3)   i1 N เม่อื fi = ควำมถี่ชน้ั ที่ i ของตำรำงแจกแจงควำมถี่ Xi = คำ่ กึ่งกลำงชั้นที่ i ของตำรำงแจกแจง ควำมถี่ k = จำนวนชนั้ ของตำรำงแจกแจงควำมถ่ี N = ขนำดของขอ้ มลู ตัวอย่างที่ 2 อำยุกำรเข้ำทำงำนของพนักงำนในบริษัทแห่งหนึ่งเป็นดังนี้ จงหำค่ำเฉลี่ยเลขคณิต ของอำยกุ ำรเข้ำทำงำนของพนกั งำนกลมุ่ น้ี ~ 34 ~

ชวี สถิติสำหรับสำธำรณสขุ : หน่วยที่ 4 กำรวดั แนวโนม้ เข้ำสูส่ ว่ นกลำงและกำรกระจำย อำยุ (ป)ี ควำมถี่ (f) ค่ำกงึ่ กลำง (X ) fX i i 12 - 14 ii 15 - 17 4 13 18 - 20 7 16 52 21 - 23 9 19 112 24 - 26 12 22 171 27 - 29 10 25 264 30 - 32 5 28 250 3 31 140 93 N = 50  fi Xi = 1082 วธิ ที า พนกั งำนในบร1ษิ 05ัท80แ2หง่=น2มี้ 1อี .ำ6ย4ุกปำรี เข้ำทำงำนโดยเฉล่ยี เทำ่ กบั 21.64 ปี ตอบ นัน่ คอื ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1.2 ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต (Geometric Mean) เป็นวิธีกำรหำคำ่ เฉลี่ยที่ใช้กับข้อมูลท่มี ีกำรเพ่ิมใน แบบอนุกรมเรขำคณติ เชน่ งำนด้ำนวิทยำศำสตร์กำรแพทย์ จุลชีววิทยำ กำรศึกษำเกี่ยวกบั เซรุม่ เป็นตน้ คำนวณได้จำกสตู ร GM  n X1X2 Xn หรอื GM  Anti  log  log Xi  หรือ n  log Xi  ...............................................................................(4) GM  10 n  1.3 ค่าเฉล่ียน้าหนัก (Weighted Mean) เป็นวิธีกำรหำค่ำเฉลี่ยโดยให้ควำมสำคัญ หรือให้ น้ำหนกั ของขอ้ มูลแตล่ ะตัวไมเ่ ท่ำกนั เชน่ กำรวัดผลกำรเรยี น วัดควำมรู้ ทัศนคติ พฤตกิ รรม เปน็ ตน้ n Wi X i คำนวณได้จำกสูตร i 1 ...............................................................................(5) Xw  n Wi เมอื่ X W = Weightedim1 ean Xi = ค่ำคะแนนตัวที่ 1 Wi = น้ำหนักคะแนนตัวที่ 1 n = จำนวนข้อมูลทง้ั หมด i = 1, 2,…,n 1.4 มัธยฐาน (Median) คือข้อมูลท่ีอยู่ตรงก่ึงกลำงของข้อมูลทั้งหมดเมื่อจัดเรียงลำดับของ ข้อมูลจำกคำ่ น้อยไปคำ่ มำกหรอื จำกคำ่ มำกไปค่ำน้อย มวี ิธีกำรคำนวณ 2 วธิ ี คือ ~ 35 ~

ชีวสถิติสำหรบั สำธำรณสุข: หนว่ ยท่ี 4 กำรวัดแนวโน้มเขำ้ สสู่ ่วนกลำงและกำรกระจำย 1) กรณีข้อมลู เป็นคา่ เดียว มีวิธคี ำนวณดงั นี้ 1.1) เรยี งลำดับคำ่ ข้อมูลจำกนอ้ ยไปหำมำกหรือจำกมำกไปหำน้อย ถถ้้ำำขขอ้้อมมููลลมมีจจี ำำนนววนนเเปปน็น็ เเลลขขคค่ีคู่ ่ำคม่ำัธมยธั ฐยำฐนำจนะคออื ยครู่ ำ่ ะขหอวงำ่ขงอ้ ขม้อลู มทูล่ีอสยอูต่ งรคง่ำตกำลแำหงทนง่ี่อย่ตู (รNง2ตำ1แ)หพนอง่ดี 1.2) N และ N 1 ซึ่งค่ำมธั ยฐำนหำไดจ้ ำกกำรเอำข้อมลู สองค่ำนน้ั บวกกันแล้วหำรด้วย 2 1.3) 22 ตวั อย่างที่ 3 ขอ้ มูลควำมสงู (เซนตเิ มตร) ของนสิ ิตกลมุ่ หนึ่ง 7 คน เป็นดังนี้ 120, 125, 123, 140, 168, 163 และ 150 จงหำค่ำมธั ยฐำนของควำมสูง วิธที า 1. เรียงลำดับจำกค่ำน้อยไปค่ำมำก 120, 123, 125, 140, 150, 163, 168 2. หำตำแหนง่ มัธยฐำน เท่ำกับ (N 1)  (7 1)  4 3. คำ่ มัธยฐำนคอื 140 เซนตเิ มตร 2 2 นัน่ คอื ค่ำมธั ยฐำนควำมสูงของนิสิตกลุ่มนี้เท่ำกับ 140 เซนติเมตร ตอบ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 2) กรณีข้อมลู จัดกลุม่ มวี ธิ ีคำนวณดังนี้ 2.1) หำตำแหนง่ มัธยฐำน จำกสูตร ตำแหนง่ มธั ยฐำน คอื ตำแหน่งที่ N 2 2.2) หำคำ่ มธั ยฐำน ใชส้ ูตร มธั ยฐำน =  N  F  L  I 2  ...................................................(6)  f  เม่อื L = ขอบเขตล่ำงของคะแนนในชน้ั ทม่ี ีมัธยฐำน I = ค่ำอนั ตรภำคชน้ั ที่มีมัธยฐำน, N = จำนวนข้อมูลทง้ั หมด F = ควำมถ่สี ะสมของช้นั กอ่ นชน้ั ทม่ี ีมัธยฐำน, f = ควำมถ่ีของชัน้ ท่ีมมี ัธยฐำน ตัวอยา่ งท่ี 4 ค่ำใชจ้ ำ่ ยตอ่ วันของนกั เรียนโรงเรยี นแหง่ หนงึ่ จำนวน 50 คน ปรำกฏดงั นี้ คำ่ ใชจ้ ำ่ ย จำนวน (f) ควำมถ่สี ะสม (F) (บำท) 28 – 32 2 2 33 – 37 2 4 38 – 42 2 6 43 – 47 4 10 48 – 52 5 15 53 – 57 7 22 58 – 62 4 26 63 – 67 7 33 68 – 72 9 42 73 – 77 8 50 N = 50 จงหำคำ่ มธั ยฐำนของคำ่ ใช้จ่ำยต่อวันของนกั เรียนกลุ่มนี้ วธิ ีทา 1. หำตำแหนง่ มัธยฐำน = N  50  25 22 ~ 36 ~

ชีวสถติ สิ ำหรบั สำธำรณสขุ : หนว่ ยที่ 4 กำรวัดแนวโน้มเข้ำสู่สว่ นกลำงและกำรกระจำย ดังนัน้ มัธยฐำนมตี ำแหน่งตรงกับข้อมลู ตำแหน่งท่ี 25 ซงึ่ อย่ใู นช้นั 7 ของตำรำงแจกแจงควำมถ่ี 2. จำกสูตร มธั ยฐำน =  N  F  L  I 2   f  จำกตำรำงแจกแจงควำมถ่ี จะได้ L = 57.5, I = 5, F = 22, f = 4 ค่ำมธั ยฐำน =  50  22  57.5  5 2  = 57.5 + 3.75 4  = 61.25 บำท ตอบ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1.5 ฐานนิยม (Mode) คือค่ำของข้อมูลที่มีจำนวนมำกท่ีสุดหรือเกิดข้ึนมำกคร้ังที่สุด มีวิธีกำร คำนวณ 2 วิธีคอื 1) ข้อมูลเป็นค่าเดียว ตวั อย่ำง (1) ถ้ำข้อมลู เป็น 1, 1, 2, 3, 5 ฐำนนิยมคอื 1 (2) ถ้ำข้อมลู เปน็ 6, 6, 7, 8, 9, 9 ฐำนนยิ มคอื 6 และ 9 (3) ถำ้ ขอ้ มลู เป็น 10, 12, 15, 18, 20 ขอ้ มูลชดุ นไี้ มม่ ีฐำนนิยม ถำ้ เขียนเส้นโค้งของควำมถี่ของขอ้ มูลที่แจกแจงควำมถแี่ ล้ว ฐำนนิยม คือค่ำของขอ้ มูลท่ีอยตู่ รงกับ จดุ สูงสดุ บนเสน้ โค้งของควำมถี่ แตถ่ ้ำเสน้ โคง้ ของควำมถี่มีจดุ สงู สุด 2 จุด แล้วข้อมลู ชุดน้ันจะมฐี ำนนิยม 2 คำ่ ดงั ภำพที่ 4.1 ภาพท่ี 4.1 แสดงค่ำฐำนนยิ มบนเส้นโค้งแจกแจงควำมถี่ ~ 37 ~

ชวี สถิตสิ ำหรบั สำธำรณสขุ : หนว่ ยท่ี 4 กำรวัดแนวโนม้ เข้ำส่สู ่วนกลำงและกำรกระจำย 2) ข้อมูลจดั กลุม่ มขี ้ันตอนกำรคำนวณ ดังนี้ 2.1) พิจำรณำว่ำฐำนนิยมจะอยู่ในชั้นที่เท่ำใดของตำรำง กล่ำวคือ ฐำนนิยมจะอยู่ช้ันท่ีมีควำมถ่ี มำกท่สี ดุ น่นั เอง  d1    d2  2.2) คำนวณหำคำ่ ฐำนนยิ มโดยใช้สตู ร L  I  d1  ...................................................(7) เม่อื L = ขอบเขตล่ำงของคะแนนในช้นั ทม่ี ฐี ำนนยิ ม I = ค่ำอนั ตรภำคชนั้ ของชนั้ ที่มีฐำนนิยม d1 = ผลตำ่ งของควำมถี่ของช้นั ท่มี ฐี ำนนิยมกับชัน้ ท่ีอยูต่ ดิ กันซ่ึงมคี ่ำข้อมลู ต่ำกวำ่ d2 = ผลตำ่ งของควำมถขี่ องชน้ั ทีม่ ีฐำนนยิ มกับช้นั ท่อี ยู่ตดิ กนั ซ่ึงมีค่ำข้อมูลสูงกวำ่ ตัวอย่างที่ 5ระดับน้ำตำลในเลือดของชำยอำยุ 20-29 ปี จำนวน 30 คน ระดบั นา้ ตาลในเลอื ด (กรัม) จานวน 81 -90 2 91 - 100 6 101 - 110 6 111 - 120 7 121 - 130 8 131 - 140 1 N = 30 จงหำคำ่ ฐำนนยิ มของข้อมลู ชดุ นี้ วิธที า 1. จำกตำรำงแจกแจงควำมถ่ีพบวำ่ ฐำนนยิ มอยใู่ นชน้ั ที่ 5 2. จำกสตู ร ฐำนนิยม = L  I  d1 d1    d2    จะได้ L = 120.5, I = 10, d1 = 8 - 7 = 1, d2 = 8 - 1 = 7 นน่ั คอื ฐำนนยิ ม = 120.5  10 1 7  1   = 120.5 + 1.25 = 121.75 ตอบ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ~ 38 ~


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook