Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานนำเสนอ1วิชานวัตกรรม_(1) (1)

งานนำเสนอ1วิชานวัตกรรม_(1) (1)

Published by noommeronfarm, 2021-07-06 04:30:59

Description: งานนำเสนอ1วิชานวัตกรรม_(1) (1)

Search

Read the Text Version

หนังสือเรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ คานา เรื่องมนุษย์กบั สิ่งแวดล้อม ความรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกบั สิ่งแวดล้อม การศึกษาสิ่งแวดล้อมน้ันถือได้ว่าเป็ นแนวทาง หนึ่งในการทาความเข้าใจส่ิงทอี่ ยู่รอบตวั มนุษย์ เพราะมนุษย์น้ันมคี วามสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดล้อมอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้นับต้งั แต่มนุษย์เกิดขึน้ มาบนโลก แรกเร่ิมมนุษย์มี ความพยายามท่ีจะดารงชีวติ ให้สอดคล้องด้วยการปรับตวั ให้เข้ากับธรรมชาติ เร่ือยมาจนถึงยุคทจี่ านวนประชากรเพม่ิ จานวนขนึ้ และมีการนาอุตสาหกรรมเข้ามา ใช้ร่วมกับการดาเนินชีวิต ก่อให้เกิดการเสียสมดลุ ของสิ่งแวดล้อม ส่งผลต่อคุณภาพ ชีวติ และวิถีชีวิตของมนุษย์ ผลกระทบที่เกิดขนึ้ นาพามาซ่ึงการปรับตัวเพื่อพยายาม หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีมีแนวโน้มจะรุนแรงเพิ่มขึน้ เพอ่ื ให้เกดิ ความยัง่ ยืนไปถึงยังชนรุ่นต่อๆไป 1

สารบญั ความสาคญั ของสิ่งแวดล้อม คานา สิ่งแวดลอ้ มเป็นปัจจยั พ้นื ฐานสาคญั ของการดารงชีวิตของมนุษยแ์ ละ สิ่งมีชีวิตท้งั หลาย มีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมการดาเนินชีวติ ของมนุษยท์ ่ี ความสาคญั ของสงิ่ มีชีวติ อาศยั อยใู่ นภมู ิภาคต่างๆ (ชชั พล ทรงสุนทรวงศ,์ 2546) ความสาคญั ของ ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม สิ่งแวดลอ้ มแบง่ ออกเป็น ไดด้ งั น้ี 1. ส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ มี ทรพั ยากรดิน ความสาคญั ต่อส่ิงมีชีวิตทอ่ี าศยั อยใู่ นส่ิงแวดลอ้ มน้นั เช่นน้าใชเ้ พอ่ื การ ทรพั ยากรนา้ บริโภคและเป็นทอ่ี ยอู่ าศยั ของสัตวน์ ้า อากาศใชเ้ พอ่ื การหายใจของมนุษย์ ทรพั ยากรป่าไม้ และสตั ว์ ดินเป็นแหล่งทอี่ ยอู่ าศยั ของสิ่งมีชีวิตบนบกแสงแดดใหค้ วาม ร้อนและช่วยในการสังเคราะห์แสงของพชื ทรพั ยากรสตั วป์ ่า 2

2. สิ่งแวดลอ้ มทางชีวภาพ จะช่วยปรับใหส้ ่ิงมีชีวติ มีการเปล่ียนแปลงไปตาม สมบตั ิของสิ่งแวดลอ้ ม ส่ิงแวดลอ้ มจะมีสมบตั เิ ฉพาะตวั ดงั น้ี สภาพแวดลอ้ ม เช่น มีการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ 1. ส่ิงแวดลอ้ มเป็นสมบตั ิเฉพาะตวั เป็นการบ่งบอกถึงเอกลกั ษณ์หรือลกั ษณะ อยา่ งชดั เจน ไม่วา่ จะเป็ นสิ่งแวดลอ้ มทเ่ี กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ หรือสิ่งแวดลอ้ ม 3. ส่ิงแวดลอ้ มจะเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทาของสิ่งมีชีวติ ทีอ่ ยใู่ น ทมี่ นุษยส์ รา้ งข้ึน สิ่งแวดลอ้ มน้นั เช่นเม่ือสตั วก์ ินพชื มีจานวนมากเกินไปพชื จะลดจานวนลง 2. ส่ิงแวดลอ้ มไม่โดดเดี่ยวในธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ มมกั จะมีสิ่งแวดลอ้ มอ่ืนเขา้ มา อาหารและท่อี ยอู่ าศยั จะขาดแคลนเกิดการแก่งแยง่ กนั สูงข้ึนทาใหส้ ตั วบ์ างส่วน มีส่วนเก่ียวขอ้ งเสมอไม่ทางตรงก็ทางออ้ ม เช่น ตน้ ไมก้ บั ดิน ปลากบั น้า เป็นตน้ ตายหรือลดจานวนลงระบบนิเวศก็จะกลบั เขา้ สู่ภาวะสมดุลอีกคร้ังหน่ึง 3. ส่ิงแวดลอ้ มตอ้ งการสิ่งแวดลอ้ มอื่นเสมอ สิ่งแวดลอ้ มมีความสมั พนั ธม์ ีความ ตอ้ งการซ่ึงกนั และกนั เช่น ป่ าตอ้ งการดินและน้า ปลาตอ้ งการน้า มนุษยต์ อ้ งการ 4. ความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ทอี่ าศยั อยใู่ นสิ่งแวดลอ้ มในแง่ของการถ่ายทอด ปัจจยั 4 ในการดารงชีวติ พลงั งานระหวา่ งผผู้ ลิต ผบู้ ริโภค ผยู้ อ่ ยสลาย ในแงข่ องการอยรู่ ่วมกนั เก้ือกูล 4. สิ่งแวดลอ้ มตอ้ งอยเู่ ป็นกลุ่มหรือระบบ สิ่งแวดลอ้ มแตล่ ะชนิดจะมีการแบ่ง กนั หรือเบยี ดเบียนกนั ภาระหนา้ ท่ขี องแตล่ ะชนิดไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 5. เป็นปัจจยั 4 ในการดารงชีวติ ไดแ้ ก่ เป็นแหล่งอาหาร เป็นทีก่ าเนิด 3 เคร่ืองนุ่งห่ม เป็นวสั ดุอุปกรณ์ในการสร้างที่อยอู่ าศยั เป็นแหล่งกาเนิดยารกั ษา โรค 6. เป็ นปัจจยั ในการกาหนดพฤตกิ รรมของสิ่งมีชีวติ เป็นปัจจยั ในการกาหนด ระบบของสงั คม วฒั นธรรม เศรษฐกิจ อาชีพ วถิ ีชีวติ ของมนุษย์ ซ่ึงก็ส่งผลมา จากสิ่งแวดลอ้ มทแ่ี ตกตา่ งกนั การแสดงออกในรูปแบบท่ีตา่ งกนั ดว้ ย

5. ส่ิงแวดลอ้ มเมื่อถูกกระทบกระเทอื นยอ่ มกระทบสิ่งแวดลอ้ มเสมอ เช่น การตดั ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม ไมท้ าลายป่ า จะส่งกระทบต่อการพงั ทลายของดิน การสูญเสียธาตอุ าหาร การ ปัจจบุ นั ประชากรโลกเพม่ิ จานวนขึน้ อย่างรวดเรว็ ทาใหม้ ีการใช้ ตกตะกอนของดินในแม่น้ามผี ลทาใหแ้ ม่น้าต้นื เขนิ ส่งผลใหเ้ กิดภาวะน้าท่วมในฤดู ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ย่างมากมาย เชน่ ดนิ นา้ ป่าไม้ เป็นตน้ ตาม ฝนดงั เช่นท่เี กิดข้นึ ปัจจุบนั ความจาเป็นพืน้ ฐานเพื่อการดารงชีวติ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาตอิ ย่าง เต็มท่ีโดยไมค่ านงึ ถึงผลเสยี ท่ีจะเกิดขนึ้ ประกอบกบั ความกา้ วหนา้ 6. สิ่งแวดลอ้ มมีความเปราะบาง ความคงทนแตกต่างกนั ภาวะของสิ่งแวดลอ้ มมี ทางดา้ นเทคโนโลยีทาใหส้ ามารถนาทรพั ยากรธรรมชาตทิ ี่ไม่สามารถ ความเปราะบางและความคงทนข้ึนอยกู่ บั ขนาด เวลา สถานท่ี นามาใชไ้ ดใ้ นอดีตมาใชไ้ ด้ ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม สง่ ผล กระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มและมีผลโดยตรงตอ่ มนษุ ย์ 7. ส่ิงแวดลอ้ มมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ โดยการเปลี่ยนแปลงจะคอ่ ยๆเกิดข้ึนหรือ เกิดอยา่ งรวดเร็ว เช่น การเกิดป่ าประเภทต่างๆ การเกิดดินถล่ม การเกิดภเู ขาไฟ ความหมายของสง่ิ แวดลอ้ ม ระเบิด การเกิดหินงอกหินยอ้ ย สงิ่ แวดลอ้ ม หมายถงึ ทกุ สงิ่ ทกุ อย่างที่อย่รู อบตวั ทงั้ ท่ีมีชีวติ และไม่มี ชีวติ ทงั้ ที่เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติและสงิ่ ท่ีมนษุ ยส์ รา้ งขึน้ ประกอบดว้ ย สง่ิ ท่ีเป็นรูปธรรม (จบั ตอ้ งและมองเห็นได)้ และนามธรรม(จบั ตอ้ งไม่ได้ และมองไมเ่ หน็ )ซง่ึ สง่ิ แวดลอ้ มมีความสาคญั ต่อการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ อยา่ งมากและเมื่อสงิ่ แวดลอ้ มเปลี่ยนแปลงไปกจ็ ะสง่ ผลตอ่ การดารงชีวติ ของมนษุ ยโ์ ดยตรง 4

ประเภทของส่ิงแวดล้อม 1. ส่ิงแวดล้อมที่เกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ(Natural Environment) หมายถงึ ทกุ สิ่งทกุ อย่างทอ่ี ยู่รอบตวั มนุษย์และเป็ นสิ่งทีเ่ กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติ แบ่งย่อยออกเป็ น 2 ลกั ษณะ 1.1 ส่ิงแวดล้อมทางชีวภาพ(Biotic Environment) เป็ นส่ิงแวดล้อมท่ี ใช้ระยะเวลาส้ันๆ ในการเกิดเป็ นส่ิงทส่ี ามารถเจริญเตบิ โตและขยายพนั ธ์ได้ ได้แก่ ป่ าไม้ สัตว์ป่ า ทุ่งหญ้า สัตว์นา้ เป็ นต้น 1.2 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ(Physical Environment) เป็ นสิ่งท่ีไม่มี ชีวิต ได้แก่ แร่ธาตุ แร่เชื้อเพลงิ ดนิ หิน นา้ อากาศ ความร้อน แสงสว่าง เป็ น ต้น 5

2. ส่ิงแวดล้อมทมี่ นุษย์สร้างขนึ้ แบ่งเป็ น 2 ลกั ษณะ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถงึ สิ่งทเ่ี กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ มีประโยชน์ 2.1 ส่ิงแวดล้อมทเ่ี ป็ นรูปธรรม เป็ นส่ิงแวดล้อมทม่ี องเห็นได้ จบั ต้องได้ สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้หรือมนุษย์สามารถนามาใช้ เป็ นส่ิงทมี่ นุษย์สร้างขนึ้ เพอ่ื อานวยความสะดวกในการมชี ีวติ อยู่ เพื่อ ประโยชน์ได้ เช่น บรรยากาศ ดนิ นา้ ป่ าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่ า แร่ธาตุ สนองความต้องการข้นั พนื้ ฐานของการดารงชีวติ ได้แก่ปัจจัยส่ี (ชัยศรี ธาราสวสั ด์พิ พิ ฒั น์, 2548 : 92) ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่ง ประกอบด้วยอาหาร ทอี่ ยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค และ ออกเป็ น 3 ประเภท ทส่ี าคญั ดงั นี้ เทคโนโลยหี รือนวตั กรรมต่างๆ 1. ทรัพยากรทใ่ี ช้แล้วไม่หมดเน่ืองจากธรรมชาตสิ ร้างให้มใี ช้อยู่ 2.2 สิ่งแวดล้อมทเ่ี ป็ นนามธรรม เป็ นสิ่งแวดล้อมทม่ี นุษย์สร้างขนึ้ เพ่อื ตลอดเวลา ได้แก่ นา้ ทอ่ี ยู่ในวฎั จกั ร ความเป็ นระเบยี บเรียบร้อยของการอย่รู ่วมกนั ในสังคม เช่น กฎหมาย ประเพณี ระเบียบ ข้อบงั คบั ศาสนา ความเช่ือพธิ ีกรรม เป็ นต้น 2. ทรัพยากรทใี่ ช้แล้วหมดแต่สร้างทดแทนได้ เช่น ป่ าไม้ ดิน และสัตว์ ป่ า เป็ นต้น 3. ทรัพยากรทใ่ี ช้แล้วหมดไป โดยธรรมชาตไิ ม่อาจจะสร้างขนึ้ ทดแทน ได้ในช่ัวอายุของคนรุ่นปัจจุบนั เช่น แร่ธาตุ นา้ มนั 6

ทรัพยากรดนิ กระบวนการเกดิ ดนิ ดนิ คือ สิ่งทป่ี กคลมุ พืน้ ผวิ โลก เกดิ จากการสลายตัวผุพงั ของหินชนิด ต่างๆ หินทส่ี ลายตัวผกุ ร่อนผสมรวมกบั ซากพชื ซากสัตว์ ตาม กระบวนการทางกายภาพและเคมี ส่วนประกอบทสี่ าคญั ดงั นี้ 1. แร่ธาตุ ได้แก่ พวกอนนิ ทรีย์วตั ถุ 2. อนิ ทรียวตั ถุ ได้แก่ ซากพืชซากสัตว์ทเ่ี น่าเป่ื อยผพุ งั ทบั ถมกนั 3. นา้ นา้ จะแทรกอย่ชู ่องว่างของเมด็ ดนิ ร้อยละ 25 4. อากาศ จะแทรกอยู่ตามช่องว่างในระหว่างอนุภาคของดนิ ซึ่งจะ ประกอบไปด้วย ไนโตรเจน ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซค์ 7

ประโยชน์ของดนิ ดนิ มปี ระโยชน์ต่อมนุษย์และสิ่งมชี ีวติ อ่ืนๆ ดงั นี้ ปัญหาทรัพยากรดนิ เกดิ จากหลายสาเหตุ ดงั นี้ 1. ประโยชน์ต่อการเกษตรกรรมดนิ เป็ นต้นกาเนิดของการเกษตรกรรม 1. การกดั เซาะและพงั ทลายหน้าดนิ โดยนา้ มกี ารสูญเสียบริเวณผวิ ดนิ จะ เป็ นแหล่งผลติ อาหารให้มนุษย์ ในดนิ จะมอี นิ ทรียวตั ถุและธาตุอาหารและ เป็ นพืน้ ทกี่ ว้างหรือถูกกดั เซาะเป็ นร่องเลก็ ๆกข็ นึ้ อยู่กบั ความแรงและ นา้ ทจี่ าเป็ นต่อการเจริญเติบโตของพชื บริเวณของนา้ ทไี่ หลบ่าลงมาก 2. การเลยี้ งสัตว์ ดนิ เป็ นแหล่งอาหารสัตว์ท้งั พวกพืชและหญ้าทข่ี นึ้ อยู่ 2. การตดั ไม้ทาลายป่ า การเผาป่ าถางป่ าทาให้หน้าดนิ เปิ ด และถกู ชะล้าง ตลอดจนเป็ นแหล่งทอี่ ย่อู าศัยของสัตว์หน้าดนิ และสัตว์อื่นๆ ได้ง่ายโดยนา้ และลมเม่ือฝนตกลงมา นา้ กช็ ะล้างเอาหน้าดนิ ที่อดุ มสมบูรณ์ ไปกบั นา้ ทาให้ดนิ มคี ุณภาพเส่ือมลง 3. เป็ นแหล่งทอี่ ยู่อาศัยแผ่นดนิ เป็ นทตี่ ้งั ของเมือง บ้านเรือนทาให้เกดิ วฒั นธรรมและ 3. การเพาะปลกู และเตรียมดนิ อย่างไม่ถูกวธิ กี ารเตรียมทดี่ นิ เพอ่ื การ เพาะปลกู น้นั ถ้าไม่ถูกวธิ ีจะเกดิ ความเสียหายกบั ดนิ ได้ ตัวอย่างเช่น การ อารยธรรมของชุมชนต่างๆ ไถพรวนขณะดนิ แห้งทาให้หน้าดนิ ทสี่ มบูรณ์หลดุ ลอยไปกบั ลมได้ หรือ การปลกู พชื บางชนิดจะทาให้ดนิ เส่ือมเร็วการเผาป่ าไม้ หรือตอข้าวในนา 4. เป็ นแหล่งเกบ็ กกั นา้ นา้ จะซึมไปใต้ดนิ นา้ เหล่านจี้ ะค่อยๆ ซึมลงทตี่ า่ จะทาให้ฮิวมสั ในดนิ เส่ือมสลาย จะเกดิ ผลเสียกบั ดนิ อย่างมาก เช่น แม่นา้ ลาคลองทาให้เรามนี า้ ใช้ได้ตลอดปี 4. ดนิ ทเ่ี ป็ นกรดเกษตรกรแก้ไขได้ ด้วยการใช้ปนู ขาวหว่านและไถพรวน8 ให้เข้ากบั ดนิ

การอนุรักษ์ทรัพยากรดนิ ทส่ี าคญั ๆ มดี งั ต่อไปนี้ 4. ทาการเกษตรตามแนว \"ทฤษฎใี หม่\"เป็ นแนวทางหรือหลกั ในการ 1. การใช้ทดี่ นิ อย่างถูกต้องเหมาะสม การปลกู พชื ต้องคานึงถงึ ชนิดของ บริหารจดั การทด่ี นิ และนา้ เพอื่ การเกษตรในทดี่ นิ ขนาดเลก็ ให้เกดิ พชื ทเี่ หมาะสมกบั คุณสมบัตขิ องดนิ การปลกู พชื และการไถพรวนดนิ ประโยชน์สูงสุด ด้วยหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งของพระบาทสมเดจ็ พระ ควรทาตามแนวระดบั เพื่อป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของหน้าดนิ ควรใช้ เจ้าอย่หู วั การดาเนินงานตามทฤษฎใี หม่มี 3 ข้นั ตอน คือ ประโยชน์จากทด่ี นิ ให้เหมาะสมกบั กจิ กรรมหรือโครงการต่างๆ เช่น การ ใช้ทดี่ นิ สาหรับสร้างโรงงานอตุ สาหกรรม ทอี่ ย่อู าศัยส่วนบริเวณทดี่ นิ ทม่ี ี 4.1 ข้นั ตอนท่ี 1 การผลติ ให้พงึ่ ตนเองด้วยวธิ ีง่าย ค่อยเป็ นค่อยไปตาม ความอดุ มสมบูรณ์ควรเหมาะแก่การเพาะปลกู กาลงั ให้พอมพี อกนิ การผลติ ถือเป็ นข้นั สาคญั ทสี่ ุด ให้แบ่งออกเป็ น 4 ส่วน ตามอตั ราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 2. การปรับปรุงบารุงดนิ โดยการเพมิ่ ธาตุอาหารให้แก่ดนิ เช่น การใส่ป๋ ุย ขุดสระเกบ็ กกั นา้ (ร้อยละ 30 ของพนื้ ท)่ี พชื สด ป๋ ุยคอก การปลกู พชื ตระกลู ถวั่ การใส่ปูนขาวในดนิ ทเ่ี ป็ นกรด การแก้ไขพนื้ ทดี่ นิ เคม็ ด้วยการระบายนา้ เข้าทด่ี นิ เป็ นต้น พนื้ ทปี่ ระมาณ 30% ให้ขุดสระเพอ่ื เกบ็ กกั นา้ ให้มนี า้ ใช้สมา่ เสมอตลอดปี โดยเกบ็ กกั นา้ ฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลกู พืชในฤดูแล้ง หรือระยะ 3. การป้องกนั การเส่ือมโทรมของดนิ ได้แก่ ปลกู พืชคลมุ ดนิ ปลกู พชื ฝนทงิ้ ช่วง ตลอดจนการเลยี้ งสัตว์และพืชนา้ ต่างๆ เช่น ผกั บุ้ง ผกั กระเฉด หมุนเวยี น ปลกู พืชบังลม การไถพรวนตามแนวระดบั การทาคนั ดนิ โสน ฯลฯ ป้องกนั การไหลชะล้างหน้าดนิ รวมท้งั ไม่เผาป่ าหรือทาไร่เลื่อนลอย หรือ ให้ความชุ่มชื้นแก่ดนิ เช่น การระบายนา้ ในดนิ ทม่ี นี า้ ขงั ออกการจดั ส่ง 9 เข้าสู่ทดี่ นิ นอกจากน้ันใช้หญ้าหรือฟางคลมุ หน้าดนิ จะช่วยให้ดนิ มคี วาม ชุ่มชื้น

ปลกู ข้าว(ร้อยละ 30 ของพนื้ ท)ี่ ปลกู ผลไม้ ไม้ยืนต้น พชื ไร่ พืชผกั (ร้อยละ 30 ของพนื้ ท)ี่ พนื้ ทป่ี ระมาณ 30 % ให้ปลกู ข้าวในฤดฝู น เพื่อใช้เป็ นอาหาร พนื้ ทปี่ ระมาณ 30 % ให้ปลกู ไม้ผล ไม้ยืนต้น พชื ไร่ พืชผกั พืชสมนุ ไพร ประจาวนั สาหรับครัวเรือนให้เพยี งพอตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคา ฯลฯ อย่างผสมผสานกนั และหลากหลายในพนื้ ทเ่ี ดยี วกนั เพ่อื ใช้เป็ น แพงเป็ นการลดค่าใช้จ่าย และสามารถพงึ่ ตนเองได้ อาหารประจาวนั หากเหลอื จากการบริโภคกน็ าไปขายได้ 10

เป็ นทอี่ ยู่อาศัย และอน่ื ๆ(ร้อยละ 10 ของพนื้ ท)่ี ทรัพยากรนา้ พนื้ ทปี่ ระมาณ 10 % ใช้เป็ นทอี่ ยู่อาศัย เลยี้ งสัตว์ ถนนหนทาง คนั ดนิ โรงเรือนและส่ิงก่อสร้างอ่ืน รวมท้งั คอกเลยี้ งสัตว์ เรือนเพาะชา ฉางเกบ็ นา้ เป็ นทรัพยากรทมี่ คี วามสาคญั ต่อชีวติ คนพืช และสัตว์มากทสี่ ุดแต่กม็ ี ผลติ ผลการเกษตร ฯลฯ ค่าน้อยทส่ี ุดเม่ือเปรียบเทยี บกบั ทรัพยากรธรรมชาตอิ นื่ ๆ นา้ เป็ นปัจจยั 4.2 ข้นั ตอนที่ 2 การรวมพลงั กนั ในรูปแบบ หรือสหกรณ์ ร่วมแรงร่วม สาคญั ในการดารงชีวติ ของมนุษย์และเป็ นองค์ประกอบทสี่ าคญั ของ ใจกนั ในด้านการผลติ การตลาด ความเป็ นอยู่ สวสั ดกิ าร การศึกษา สังคม ส่ิงมชี ีวติ ท้งั หลาย และศาสนา 4.3 ข้นั ตอนท่ี 3 การดาเนินธุรกจิ โดยติดต่อประสานงาน จดั หาทนุ หรือ ประเภทของนา้ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ แหล่งเงนิ 1. นา้ ผวิ ดนิ ได้แก่ นา้ ในแม่นา้ ลาคลอง ทะเลสาบและในพื้นทช่ี ุ่มนา้ ท่ี เป็ นนา้ จืด 2. นา้ ใต้ผวิ ดนิ หรือนา้ ใต้ดนิ หมายถงึ นา้ จืดทขี่ งั อยู่ในช่องว่างของดนิ หรือหิน 11

การวดั คณุ ภาพของแหล่งนา้ 4. ค่าดโี อ ค่าร้อยละของออกซิเจนทล่ี ะลายอย่ใู นนา้ หรือของเหลว นา้ ทมี่ คี ณุ ภาพดี ค่า DO ประมาณ 5-8 ppm หรือปริมาณ O2ละลายอยู่ 1. ค่าพเี อชหรือค่าความเป็ นกรด-ด่างค่าพเี อชจะมคี ่าอย่ใู นช่วง 0-14 ปริมาณ 5-8 มลิ ลกิ รัม/ลติ ร หรือ 5-8 ppm นา้ เสียจะมคี ่า DO ตา่ กว่า ค่าพเี อชมากกว่า 7 หมายถงึ มสี ภาพเป็ นด่าง ค่าพเี อชน้อยกว่า 7 3 ppm หมายถงึ มสี ภาพเป็ นกรด สาหรับค่าพเี อชในนา้ ทงิ้ ทเ่ี หมาะสม ควรอยู่ ในช่วง 5-9 จงึ จะไม่มผี ลกระทบและเป็ นอนั ตรายต่อการดารงชีวติ 5. กลน่ิ เหมน็ ถงึ แม้ว่าจะไม่เป็ นอนั ตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่กเ็ ป็ น ของสิ่งมชี ีวติ ในนา้ และการนาไปใช้ประโยชน์ ผลกระทบทรี่ ุนแรงต่อการดารงชีวติ และจติ ใจของประชาชน ประโยชน์ของทรัพยากรนา้ 2. แหล่งนา้ มอี ณุ หภมู ชิ ่วง 20 องศาเซลเซียสหากนา้ ทงิ้ ทถ่ี กู ปล่อย ออกมาจากโรงงานเช่น นา้ หล่อเยน็ จากโรงงานอตุ สาหกรรมหรือ นา้ เป็ นส่ิงจาเป็ นทเ่ี ราใช้สาหรับการดื่มกนิ คนเรามชี ีวติ อยู่โดยขาด โรงไฟฟ้า ส่งผลให้อณุ หภมู แิ หล่งนา้ มกี ารเปลยี่ นแปลงเพม่ิ ขนึ้ หรือ นา้ ได้ไม่เกนิ 3 วนั เราใช้นา้ ในกจิ กรรม ดงั นี้ ลดลง ทาให้ส่ิงมชี ีวติ ในนา้ ตายได้ 1. ใช้ในการอปุ โภค-บริโภค 3. บีโอดี หมายถงึ ปริมาณของออกซิเจนทแี่ บคทเี รียใช้ในการย่อย สลายสารอนิ ทรีย์ ในเวลา 5 วนั ทอ่ี ณุ หภมู ิ 20 องศาเซลเซียส มหี น่วย 2. การเพาะปลกู เลยี้ งสัตว์ แหล่งนา้ เป็ นทอี่ ยู่อาศัยของปลาและ เป็ นมลิ ลกิ รัม/ลติ รนา้ ทม่ี คี ุณภาพดคี วรมคี ่าบโี อดไี ม่เกนิ 6 มลิ ลกิ รัมต่อ สัตว์นา้ ลติ ร ถ้าค่าบีโอดสี ูงมากแสดงว่านา้ เสีย 12

3. การอตุ สาหกรรมต้องใช้นา้ ในขบวนการผลติ ใช้ล้างของเสีย ใช้หล่อ เคร่ืองจกั รและระบายความร้อน ฯลฯ 4. แม่นา้ ลาคลอง ทะเล มหาสมทุ ร เป็ นเส้นทางคมนาคมขนส่งทส่ี าคญั 5. ทศั นยี ภาพของริมฝั่งทะเลและนา้ ทใี่ สสะอาดเป็ นแหล่งท่องเทยี่ วของ มนุษย์ 13

การอนุรักษ์ทรัพยากรนา้ ทสี่ าคญั ๆ มดี งั ต่อไปนี้ 4. การป้องกนั นา้ เสียการไม่ทงิ้ ขยะ สิ่งปฏกิ ลู และสารพษิ ลงในแหล่งนา้ นา้ เสียทเี่ กดิ จากโรงงานอตุ สาหกรรม โรงพยาบาลควรมกี ารบาบัดและ 1. การใช้นา้ อย่างประหยดั นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายเกย่ี วกบั ค่านา้ ลงได้ ขจดั สารพษิ ก่อนทจ่ี ะปล่อยลงสู่แหล่งนา้ การวางท่อระบายนา้ จาก แล้ว ยงั ช่วยให้ลดปริมาณนา้ เสียทจ่ี ะทงิ้ ลงแหล่งนา้ และป้องกนั การขาด บ้านเรือน การวางฝังการก่อสร้างโดยไม่ให้นา้ สกปรกไหลลงสู่แม่นา้ ลา แคลนนา้ ได้อกี ด้วย คลอง 2. การสงวนนา้ ไว้ใช้ในบางฤดหู รือในสภาวะทมี่ นี า้ มากเหลือใช้ ควรมกี าร 5. การนานา้ เสียกลบั ไปใช้นา้ ทไ่ี ม่สามารถใช้ได้ในกจิ การหนง่ึ เช่น นา้ ทงิ้ สร้างแหล่งสาหรับเกบ็ นา้ ไว้ใช้ เช่นการทาบ่อเกบ็ นา้ การสร้างโอ่งนา้ จากการล้างภาชนะอาหารสามารถนาไปรดต้นไม้ โรงงานบางแห่งอาจนา การขุดลอกแหล่งนา้ รวมท้งั การสร้างอ่างเกบ็ นา้ นา้ ทงิ้ มาทาให้สะอาดแล้วนากลบั มาใช้ใหม่ 3. การพฒั นาแหล่งนา้ ในพนื้ ทข่ี าดแคลนนา้ จาเป็ นทจ่ี ะต้องหาแหล่งนา้ เพม่ิ เตมิ เพือ่ ให้มนี า้ ไว้ใช้ท้งั ในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างเพยี งพอ ปัจจบุ ันนานา้ บาดาลขนึ้ มาใช้ แต่อาจมปี ัญหาเร่ืองแผ่นดนิ ทรุดเช่น ใน บริเวณกรุงเทพฯ ทาให้เกดิ ดนิ ทรุดได้จงึ ควรมมี าตรการกาหนดว่าเขตใด ควรใช้นา้ ใต้ดนิ ได้มากน้อยเพยี งใด 14

ทรัพยากรป่ าไม้ ป่าประเภทไม่ผลดั ใบ ประเภทของป่ าไม้ในประเทศไทย ป่าประเภทมองดเู ขียวชอมุ่ ตลอดปี ตน้ ไมแ้ ทบทงั้ หมดเป็นประเภทท่ีไม่ ผลดั ใบ ไดแ้ ก่ ประเภทของป่ าไม้จะแตกต่างกนั ไปขนึ้ อยู่กบั การกระจายของฝนจาแนก ได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. ป่าดงดิบ 1. ป่ าประเภทไม่ผลดั ใบ ป่าดงดิบท่ีมีอยทู่ ่วั ในทกุ ภาคของประเทศพบมากท่ีสดุ ภาคใตแ้ ละภาค ตะวนั ออกบรเิ วณนีม้ ีฝนตกมากและมีความชืน้ มากป่าดงดิบมกั กระจาย 2. ป่ าประเภทผลดั ใบ อยบู่ รเิ วณที่มีความช่มุ ชืน้ มาก ๆ เช่น ตามหบุ เขา รมิ แมน่ า้ ลาธารหว้ ย แหลง่ นา้ และบนภเู ขา ซงึ่ สามารถแยกออกเป็นป่า ดงดบิ ชนิดตา่ ง ๆ ดงั นี้ 15

1.1 ป่ าดบิ ชื้น เป็ นป่ ารกทบึ มองดเู ขยี วชอ่มุ ตลอดปี พบต้ังแต่ความสูง 1.3 ป่ าดบิ เขา ป่ าชนิดนเี้ กดิ ขนึ้ ในพืน้ ทสี่ ูงๆ หรือบนภูเขาต้งั แต่ 1,000- 600 เมตร จากระดบั นา้ ทะเล ไม้ทส่ี าคญั กค็ ือ ไม้ตระกลู ยางต่างๆ เช่น 1,200 เมตร ขนึ้ ไปจากระดบั นา้ ทะเล พบพวกไม้ขนุ และสนสามพนั ปี ไม้ ยางนา ยางเสียน ส่วนไม้ช้ันรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอนา้ กอเดือย ตระกลู กอ เป้ง สะเดาช้างและขมนิ้ เป็ นต้น 1.2 ป่ าดบิ แล้ง เป็ นป่ าทอ่ี ยู่ในพืน้ ทค่ี ่อนข้างราบมคี วามชุ่มชื้นน้อย พบ 2. ป่ าสนเขา ในแถบภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนืออย่สู ูงจากระดบั นา้ ทะเล ประมาณ 300-600 เมตร ไม้ทส่ี าคญั ได้แก่ มะค่าโมง ยางนา พยอม ป่ าสนเขาพบในพืน้ ทซี่ ่ึงมคี วามสูงประมาณ 200-1,800 เมตร ขนึ้ ไปจาก ตะเคยี นแดง กระเบากลกั และตาเสือ ระดบั นา้ ทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ป่ า สนเขามลี กั ษณะเป็ นป่ าโปร่ง ชนดิ พนั ธ์ุไม้ทสี่ าคญั คือ สนสองใบและสน สามใบ เต็ง รัง เหียง พลวง เป็ นต้น 16

3. ป่ าชายเลน 4. ป่ าพรุหรือป่ าบงึ นา้ จืด บางทเี รียกว่า \"ป่ าเลนนา้ เคม็ \" หรือป่ าเลน มตี ้นไม้ขนึ้ หนาแน่นแต่ละ ป่ าทม่ี นี า้ จืดท่วมมากๆ ดนิ ระบายนา้ ไม่ดี ป่ าพรุในภาคกลาง มลี กั ษณะ ชนดิ มรี ากคา้ ยนั และรากหายใจ ป่ าชนดิ นปี้ รากฏอยู่ตามทดี่ นิ เลนริมทะเล โปร่งและมตี ้นไม้ขนึ้ อย่หู ่างๆ เช่น ครอเทยี น สนุ่น จกิ โมกบ้าน หวาย หรือบริเวณปากนา้ แม่นา้ ใหญ่ๆซึ่งมนี า้ เคม็ ท่วมถงึ พันธ์ุไม้ทข่ี นึ้ อย่ตู ามป่ า นา้ หวายโปร่ง ระกา อ้อ และแขมในภาคใต้ป่ าพรุมขี นึ้ อยู่ตามบริเวณทม่ี ี ชายเลนส่วนมากเป็ นพนั ธ์ุไม้ขนาดเลก็ ใช้ประโยชน์สาหรับการเผาถ่าน นา้ ขงั ตลอดปี ดนิ ป่ าพรุทมี่ เี นื้อทม่ี ากทส่ี ุดอย่ใู นบริเวณจงั หวดั นราธวิ าส และทาฟื นไม้ชนดิ ทสี่ าคญั คือ โกงกาง ประสัก ถว่ั ขาว ถ่ัวขา โปรง ดนิ เป็ นพที ซึ่งเป็ นซากพืชผสุ ลายทบั ถมกนั เป็ นเวลานานป่ าพรุแบ่งออก ตะบูน แสมทะเล ลาพนู และลาแพน ส่วนไม้พนื้ ล่างมกั เป็ นพวก ปรง ได้ 2 ลกั ษณะ คือ ตามบริเวณซ่ึงเป็ นพรุนา้ กร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสมด็ จะ ทะเลเหงือกปลาหมอ ปอทะเล และเป้ง เป็ นต้น ขนึ้ อยู่หนาแน่นพนื้ ทมี่ ตี ้นกกชนิดต่างๆ เรียก \"ป่ าพรุเสมด็ หรือป่ าเสมด็ \" อกี ลกั ษณะเป็ นป่ าทมี่ พี นั ธ์ุไม้ต่างๆ มากชนดิ ขนึ้ ปะปนกนั ชนิดพนั ธ์ุไม้ที่ สาคญั ของป่ าพรุ ได้แก่ อนิ ทนิล นา้ หว้า จกิ โสกนา้ กระทุ่มนา้ กนั เกรา โงงงนั กะทง่ั หัน ไม้พนื้ ล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทองหมากแดง และ หมากชนิดอ่นื ๆ 17

ป่ าประเภทผลดั ใบ 2. ป่ าเตง็ รัง ต้นไม้ทขี่ นึ้ อยู่ในป่ าประเภทนเี้ ป็ นจาพวกผลดั ใบแทบท้งั สิ้นในฤดูฝนป่ า ป่ าเต็งรังหรือทเ่ี รียกกนั ว่าป่ าแดง ป่ าแพะ ป่ าโคก ลกั ษณะทั่วไปเป็ นป่ า ประเภทนจี้ ะมองดูเขยี วชอ่มุ พอถงึ ฤดูแล้งต้นไม้ส่วนใหญ่จะพากนั ผลดั โปร่ง พนื้ ทแ่ี ห้งแล้งดนิ ร่วนปนทราย หรือกรวด ลกู รัง พบอยู่ทว่ั ไปในท่ี ใบทาให้ป่ ามองดูโปร่งขนึ้ และมกั จะเกดิ ไฟป่ าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้ ราบและทภี่ ูเขา ในภาคเหนือส่วนมากขนึ้ อย่บู นเขาทม่ี ดี นิ ตื้นและแห้งแล้ง เลก็ ๆ ป่ าชนดิ สาคญั ซึ่งอย่ใู นประเภทนไี้ ด้แก่ มากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมปี ่ าแดงหรือป่ าเตง็ รังนมี้ ากที่สุด พนั ธ์ุไม้ ทส่ี าคญั เตง็ รัง เหยี ง พลวง กราด พะยอม ตวิ้ แต้ว มะค่า ประดู่ 1. ป่ าเบญจพรรณ แดง สมอไทย ตะแบกเลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไม้พนื้ ล่างที่พบ มาก ได้แก่ มะพร้าวเต่า ป่ มุ แป้ง หญ้าเพก็ โจด ปรงและหญ้าชนิดอน่ื ๆ ป่ าผลดั ใบผสมหรือป่ าเบญจพรรณ มลี กั ษณะเป็ นป่ าโปร่งมไี ม้ไผ่ชนดิ ต่างๆ ขนึ้ อย่กู ระจดั กระจายทวั่ ไป พนื้ ทดี่ นิ มกั เป็ นดนิ ร่วนปนทราย ป่ า เบญจพรรณในภาคเหนือมกั จะมไี ม้สักพนั ธ์ุไม้ชนิดสาคญั ได้แก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม ยมหนิ มะเกลอื สมพง เกด็ ดา เกด็ แดง ฯลฯนอกจากนมี้ ไี ม้ไผ่ทสี่ าคญั เช่น ไผ่ ป่ า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไรเป็ นต้น 18

3. ป่ าหญ้า ประโยชน์ของทรัพยากรป่ าไม้ ป่ าหญ้าทอี่ ย่ทู กุ ภาคบริเวณป่ าทถี่ กู แผ้วถาง ทาลายบริเวณพนื้ ดนิ ทข่ี าด ความสมบูรณ์และ ถูกทอดทงิ้ หญ้าชนดิ ต่างๆ จงึ เกดิ ขนึ้ ทดแทนและพอ ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ ปัจจยั 4 ประการ ถงึ หน้าแล้งกเ็ กดิ ไฟไหม้ทาให้ต้นไม้บริเวณข้างเคยี งล้มตาย พนื้ ทป่ี ่ าหญ้า 1. จากการนาไม้มาสร้างอาคารบ้านเรือนและผลติ ภณั ฑ์ต่างๆ เช่น จงึ ขยายมากขนึ้ ทุกปี พืชทพ่ี บมากทส่ี ุดในป่ าหญ้าคือ หญ้าคา หญ้าขน เฟอร์นเิ จอร์ กระดาษ ฟื นเป็ นต้น ตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพก็ และป่ ุมแป้ง บริเวณทพี่ อจะมคี วามชื้นอยู่ บ้างและการระบายนา้ ได้ดกี ม็ กั จะพบพงและแขมขนึ้ อยู่ และอาจพบ 2. ใช้เป็ นอาหารจากส่วนต่างๆ ของพชื และผล ต้นไม้ทนไฟขนึ้ อยู่ เช่น ตับเต่า รกฟ้าตานเหลือง ตวิ้ และแต้ว 3. ใช้เส้นใย ทไี่ ด้จากเปลือกไม้และเถาวลั ย์มาถกั ทอเป็ นเครื่องนุ่งห่ม เชือกและอืน่ ๆ 4. ใช้ทายารักษาโรคต่างๆ 19

ประโยชนท์ างออ้ ม 4. ป่าไมช้ ่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายแุ ละปอ้ งกนั อทุ กภยั โดยช่วย ลดความเรว็ ของลมพายทุ ี่พดั ผา่ นไดต้ งั้ แต่ 11-44 % ตามลกั ษณะของ 1. ป่าไมเ้ ป็นเป็นแหลง่ กาเนิดตน้ นา้ ลาธาร เพราะตน้ ไมจ้ านวนมากใน ป่าไมแ้ ตล่ ะชนดิ จึงชว่ ยใหบ้ า้ นเมืองรอดพน้ จากวาตภยั ได้ ซ่ึงเป็นการ ป่าจะทาใหน้ า้ ฝนท่ีตกลงมาค่อยๆ ซมึ ซบั ลงในดิน กลายเป็นนา้ ใตด้ นิ ซงึ่ ป้องกนั และควบคมุ นา้ ตามแมน่ า้ ไมใ่ หส้ งู ขนึ้ มารวดเรว็ ลน้ ฝ่ังกลายเป็น จะไหลซมึ มาหลอ่ เลยี้ งใหแ้ ม่นา้ ลาธารมีนา้ ไหลอยตู่ ลอดปี อทุ กภยั 2. ป่าไมท้ าใหเ้ กิดความชมุ่ ชืน้ และควบคมุ สภาวะอากาศ ไอนา้ ซง่ึ เกดิ 5. ป่าไมช้ ่วยป้องกนั การกดั เซาะและพดั พาหนา้ ดิน จากนา้ ฝนและลมพาย จากการหายใจของพืช ซงึ่ เกดิ ขึน้ อยมู่ ากมายในป่าทาใหอ้ ากาศเหนือป่า โดยลดแรงปะทะลงการหลดุ รว่ งของดนิ จึงเกิดขึน้ นอ้ ย และยงั เป็นการช่วย มีความชืน้ สงู เมื่ออณุ หภมู ลิ ดต่าลงไอนา้ เหลา่ นนั้ ก็จะกล่นั ตวั กลายเป็น ใหแ้ มน่ า้ ลาธารต่างๆ ไมต่ ืน้ เขินอีกดว้ ย นอกจากนีป้ ่าไมจ้ ะเป็นเสมือน เมฆแลว้ กลายเป็นฝนตกลงมา ทาใหบ้ รเิ วณท่ีมีพืน้ ป่าไมม้ ีความชมุ่ ชืน้ เครอ่ื งกีดขวางตามธรรมชาติจึงนบั วา่ มีประโยชนใ์ นทางยทุ ธศาสตรด์ ว้ ย อย่เู สมอ ฝนตกตอ้ งตามฤดกู าลและไม่เกดิ ความแหง้ แลง้ เช่นกนั 3. ป่าไมเ้ ป็นแหลง่ พกั ผอ่ นและศึกษาความรู้ บรเิ วณป่าไมจ้ ะมีภมู ิประเทศ ท่ีสวยงามจากธรรมชาติรวมทงั้ สตั วป์ ่าจงึ เป็นแหลง่ พกั ผอ่ นหยอ่ นใจไดด้ ี นอกจากนนั้ ป่าไมย้ งั เป็นท่ีรวมของพนั ธพุ์ ืชและพนั ธสุ์ ตั วจ์ านวนมาก จงึ เป็นแหลง่ ใหม้ นษุ ยไ์ ดศ้ ึกษาหาความรู้ 20

การอนุรักษ์ทรัพยากรป่ าไม้อย่บู นความคดิ ทสี่ าคญั 3 ข้อ คือ ทรัพยากรสัตว์ป่ า 1.Sustain yield concept ใจความสาคญั ของมโนทศั น์นีอ้ ยู่ทวี่ ่าอตั ราการ สัตว์ป่ า(Wildlife) ในพระราชบญั ญตั สิ งวนและคุ้มครองสัตว์ป่ า พ.ศ. ตัดไม้และอตั ราการเจริญเตบิ โตของไม้ต้องสมดลุ กนั เพ่อื ให้มผี ลผลติ 2535 ได้ให้คานยิ าม ไว้ว่า สัตว์ทกุ ชนดิ ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์นา้ สัตว์ปี ก ของไม้ใช้ไปได้โดยไม่มที สี่ ิ้นสุด แมลงหรือแมง ซ่ึงตามสภาพธรรมชาตยิ ่อมเกดิ และดารงชีวติ อยู่ในป่ า หรือในนา้ และให้หมายความรวมถงึ ไข่ของสัตว์ป่ าเหล่าน้นั ทุกชนดิ ด้วย 2.Multiple use conceptวตั ถุประสงค์การจดั ป่ าไม้ควรอย่ใู นลกั ษณะ แต่ไม่หมายความ รวมถงึ สัตว์พาหนะทไี่ ด้จดทะเบียนทาตว๋ั รูปพรรณตาม อเนกประสงค์ ป่ าไม้ไม่ใช่แหล่งไม้เท่าน้นั แต่เป็ นแหล่งสัตว์ป่ า แหล่ง กฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ นันทนาการ แหล่งนา้ ท้งั ยงั สามารถรักษาความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ และ อตั ราเพม่ิ ธาตุอาหารในนา้ ทเ่ี รียกว่า Eutrophication ไม่ให้เปลยี่ นแปลง ไปอย่างรวดเร็ว ส่ิงเหล่านตี้ ้องเป็ นรากฐานสาคญั ของการจดั การป่ าไม้ ด้วย 3. Long run policy นโยบายการจดั การป่ าไม้ระยะยาวเป็ นนโยบาย สาคญั ของการจดั การป่ าไม้ 21

ประเภทของสัตว์ป่ าพ.ร.บ.สงวนและค้มุ ครองสัตว์ป่ าพ.ศ. 2535 จาแนก 1.3 สมเสร็จหรือผสมเสร็จ จมูกและริมฝี ปากย่ืนคล้ายงวงส้ันๆ ตาเลก็ สัตว์ป่ าไว้ดงั ต่อไปนี้ ท่อนลาตวั มสี ีขาว เท้าหน้ามี 4 กบี ส่วนเท้าหลงั มี 3 กบี ออกหากนิ ตอน กลางคืนชอบอยู่ตามป่ าดงดบิ ทรี่ กใกล้ลานา้ ยงั พบบนเทือกเขาถนนธงชัย 1. สัตว์ป่ าสงวนเป็ นสัตว์ป่ าหายากหรือกาลงั จะสูญพนั ธ์ุ จงึ ห้ามล่าหรือมี เทือกเขาตะนาวศรีเขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ป่ าห้วยขาแข้งและป่ าดบิ ชื้นทาง ไว้ครอบครอง ท้งั สัตว์ทยี่ งั มชี ีวติ หรือซากสัตว์ เว้นแต่กระทาเพื่อการ ภาคใต้ ศึกษาวจิ ยั ทางวชิ าการหรือเพื่อกจิ การสวนสาธารณะโดยได้รับอนุญาต จากอธบิ ดกี รมป่ าไม้เป็ นกรณพี เิ ศษ สัตว์ป่ าสงวนมี 15 ชนิด คือ 1.1 แรดหรือแรดชวา 1.4 เลยี งผา หรือเยือง หรือกรู า หรือโครา เป็ นสัตว์จาพวกแพะ สูง ประมาณ 1 เมตร ขนสีดาค่อนข้างยาวออกหากนิ ตอนเยน็ และเช้ามืด 1.2 กระซู่ คล้ายแรดแต่เลก็ กว่าชอบอย่ตู ามป่ าเขาสูงทบึ มหี นามรก พบ ยงั พบตามภเู ขาหนิ ปนู ในเขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ป่ า และอทุ ยานแห่งชาติ ตามป่ ารอยต่อระหว่างประเทศไทยกบั มาเลเซียแต่เหลอื อย่นู ้อยมาก บางแห่งเท่าน้นั 1.5 กปู รี หรือโคไพรปลายขาท้งั สี่ข้างมสี ีขาว ปลายเขาแตกเป็ นพ่แู ขง็ ส่วนปลายสุดโค้งบดิ เวยี นชีข้ นึ้ ทางด้านหน้า ต้ังท้องนาน 9 เดือน 1.6 ควายป่ า หรือมหิงสา บริเวณอกระหว่างขาค่หู น้ามสี ีขาวรูปตวั วี 22

1.7 สมนั หรือเนื้อสมนั เป็ นกวางทม่ี เี ขาแตกเป็ นหลายกงิ่ สวยงามทสี่ ุด 1.12 พะยนู หรือปลาพะยนู หรือปลาดหู ยง หรือหมนู า้ เป็ นสัตว์นา้ เคม็ ในโลก และพบในประเทศไทยเท่าน้นั ทกี่ นิ หญ้าทะเลเป็ นอาหาร เลยี้ งลกู ด้วยนม โตเต็มทห่ี นัก 280-380 กโิ ลกรัม ริมฝี ปากบนย่ืนคล้ายจมูกหมู หางเป็ นสองแฉกแบนในแนวราบ 1.8 ละอง หรือละมง่ั เขาโค้งเป็ นวงออกทางด้านข้าง ปลายเขาบดิ เข้าด้าน ต้งั ท้องนาน 1 ปี ออกลกู คราวละ 1 ตัว ยงั พบทหี่ าดเจ้าไหมและเกาะลบิ ง ใน โคนเขาด้านหน้าแตกกงิ่ ย่ืนและต้งั ขนึ้ จงั หวดั ตรัง ไม่เกนิ 70 ตัว 1.9 กวางผาลกั ษณะคล้ายแพะ เลก็ กว่าเลยี งผา 1.13 นกกระเรียนเป็ นนกทสี่ ูงใหญ่ทสี่ ุดในประเทศไทย คือ สูงประมาณ 1.50 เมตร ตัวสีเทาอมเขยี วบริเวณหัวเป็ นป่ ุมสีแดงส้ม หากนิ เป็ นคู่ตาม 1.10 เก้งหม้อ หรือเก้งดา หรือเก้งดง บริเวณหลงั มสี ีคลา้ กว่าเก้ง หนองบึง ใกล้ป่ า ไม่พบมากว่า 20 ปี แล้วมแี ต่ทอ่ี พยพมาอาศัยเป็ นคร้ัง ธรรมดา คอสีขาว คราว 1.11 แมวลายหินอ่อน หูเลก็ มน ลาตัวลายสีนา้ ตาลอมเหลอื ง หางยาว 1.14 นกแต้วแร้วท้องดาบริเวณส่วนหัวมสี ีดา ท้ายทอย สีฟ้า ท้องสีดา หางสีนา้ ตาล พบทจ่ี งั หวดั กระบีแ่ ละตรัง ชอบอย่ตู ามต้นไม้ หากนิ ตอนกลางคืน 23

1.15 นกเจ้าฟ้าหญงิ สิรินธร หรือนกเจ้าฟ้า หรือนกตาพอง เป็ นนก 2. สัตว์ป่ าคุ้มครองหมายถงึ สัตว์ป่ าตามทก่ี ฎกระทรวงกาหนดให้เป็ นสัตว์ ตระกลู เดยี วกบั นกนางแอ่น สีดาเหลือบเขยี วแกมฟ้า โคนหางมแี ถบขาว ป่ าคุ้มครอง กาหนดไว้ เช่น กระทงิ กระรอกบนิ กวาง เก้ง ชะมด ชะนี รอบตาเป็ นวงสีขาว ขนหางค่กู ลางยื่นยาว ไก่ป่ า นกยงู นกแร้ง นกเงือก งสู ิง งูเหลือม เป็ นต้น ซึ่งกฎหมายไม่ อนุญาตให้ล่าได้หรือมไี ว้ในครอบครอง(ซึ่งรวมถงึ ซากของสัตว์ป่ าสงวน หรือซาก ของสัตว์ป่ าคุ้มครอง) หรือค้า เว้นแต่การกระทาโดยทาง ราชการ เพ่อื การศึกษาวจิ ยั การเพาะพนั ธ์ุ หรือเพื่อกจิ การสวนสัตว์ สาธารณะหากผู้ใดครอบครองแต่เดมิ ให้นามาขนึ้ ทะเบยี นต่อป่ าไม้อาเภอ ภายใน 90 วนั นับแต่วนั ประกาศพระราชบัญญตั สิ งวนและคุ้มครองสัตว์ ป่ า พ.ศ. 2535 ซึ่งแบ่งได้ 7 จาพวก คือ 24

2.1. สัตว์ป่ าจาพวกเลยี้ งลกู ด้วยนม จานวน 189 ชนิด บรรณานุกรม 2.2. สัตว์ป่ าจาพวกนกม1ี 81 ลาดบั 771 ชนดิ บ้านทรูปลกู ปัญญา 2.3. สัตว์ป่ าจาพวกเลอื้ ยคลานม6ี 4 ลาดบั จานวน 91 ชนิด https://tvma.tripod.com/wildlife.htm 2.4. สัตว์ป่ าจาพวกสะเทนิ นา้ สะเทนิ บก จานวน 12 ชนดิ https://sites.google.com/site/kaemnitta/mnusy-kab-sing-waedlxm 2.5. สัตว์ป่ าจาพวกปลา จานวน 4 ชนิด 25 2.6. สัตว์ป่ าจาพวกแมลงม1ี 3 ลาดบั 2.7. สัตว์ป่ าจาพวกไม่มกี ระดกู สันหลงั ม1ี 3 ลาดบั

ภาคผนวก 26


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook