Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์

Published by jnlbcnsp, 2019-03-08 18:16:05

Description: ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560

Keywords: วารสาร,วิทยาศาสตร์สุขภาพ,สรรพสิทธิประสงค์

Search

Read the Text Version

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ISSN: 1686-0152 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560 เจา้ ของ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ วัตถปุ ระสงค์ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวชิ าการในรูปแบบรายงานการวิจัย (Research article) บทความทางวชิ าการ (Academic article) และบทความปริทศั น์ (Review article) สาขาการพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ กาหนดการออกวารสาร ฉบบั ท่ี 1 มกราคม – เมษายน ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม – สิงหาคม ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน – ธนั วาคม คณะผู้จดั ทา ท่ปี รึกษา ดร.ปทั มา ผ่องศิริ ผอู้ านวยการวทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ บรรณาธกิ าร ดร.นสุ รา ประเสริฐศรี ผชู้ ว่ ยบรรณาธกิ าร อาจารยอ์ ภิรดี เจริญนกุ ูล อาจารย์ชนกุ ร แก้วมณี อาจารยแ์ สงเดือน กิง่ แก้ว กองบรรณาธิการ รศ.ดร.พูลสขุ เจนพานิชย์ วสิ ทุ ธิพนั ธ์ โรงเรยี นพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวิทยาลัยมหดิ ล ผศ.นพ. เทดิ ศักด์ิ ผลจันทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ผศ.ดร.ภญ.นันทวรรณ กติ กิ รรณากรณ์ คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่

รากิธาณรรบทบ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ผศ.ดร.ชูชาติ วงศอ์ นุชิต ผศ.ดร.วริ ิยา พรมกอง มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี าี้น้นบหับวฉา้ก์คมผงาวสศค.ะดรีมรป้ห.สธิใอุภทพื่าสิพเพอรต่รรราสสาีนนนฒชพั ชา้ดรใจไรมการาสรบรุณลาวางบาาทยงพซ่ึ ย0ลั 6า5ย2ทวิมคพาวอคาภนณบุ ธัขละสสุร–าา์รธชตนาธราสยณนาาียศสนาุขยศักทาส1วิ ตรรี่ทา์ ีปสมหร2าาวว่ีททิ บยาับลฉัยนร็ปาชเภัฏ รากาชวิ งดาทรา.้นนพหว.สาธุ้กรี ม์ าวคงา้รสอพื่ เ ยรัจัตวิ นนะมางงลคลผกะลุลแรากาชวิ นางลผคณร่ พะแแพยทผยเศด้ าไสขตุสรณ์ มรหาาธวาทิ สยราลกัยาลศครีนคคุบรห้ ินใทรวิโรฒ ดร.นพ.จิรวัฒน์ มูลศาสตร์ ขุสณรโราธงาพสยงาาบทารลกสารลรคพคสุบทิ ะลธแปิ ลราะบสงายคพ์ บรั หาส ่ีทยัจวิ มาวดคร.ทสบเุ พกียอรืลเดัค้ดไรากธิ าณรรโภบคงทอพิ กย์ี้นบับฉยัจวิ มาวคทบโะรลงแพรยากาบาชาลวิ สมรารวพคสทิทบธบปิ ัรรหะสางสค์ งอ่ืรเ 3 ดกริน.วลิ โิ รคจนนใ์ลาบายพบรั หาสยเัซจมวิ รมัมายว์ คทบ ยว้ดบอกะรปสางนอักงร่ื าเนส6าธมารวณรสๆขุงจา่ตังหนวาัด้ดอนุบใจลใรนาชสธาา่นนี ดินชดอืลดเมรล่ิ.คยมาวลฒัะลนาย์ ห้ ใรากนใปไนึ้ข 2รFุ่งเบรัดือะงรลาบายพงรโลาบายพพวิทาภยยาลกัยัศพานยฒาบาพัลบรรากมร)า1ชชยนวนด้ี สบรุ อินกทะร์ป 01 ี่ทพาภดขรุส.นตสิ ขาเกทรบริ บ : IMETS ดินชวนบิ ัลู พชยั บยฉี เยาตจใวัหอื้นเมา้ลวกทิ คยราลโยัยวพ่ปยผู้ าบนาลใ ศ)KรSมี ห( าeสsารaคnาikมotpertS ลาบายพงดรรโ.ศลุภาบวาดยี พรากมุ่ลก พีชาชแวิ ถลวาเพบายี ยพงอขดวปมาวครากวดทิ ัจยราลากยั คพรยราบสาปลอุบรบมักรวาชยช่ีกนเู้รนบี ขรั อรนากแก)น่ 2 นสบัสะวาดภรบ.กักมวลยท่ีกพิ เยก์ันหยว่ปผู้ งอ้หตนง้ัางหพลกั ีชมาั่นชควิ งลาบายพงอขู้รมวาวทิ ยคาล)3ัยพะลยแาบาลรบธรสมโยราดชวัชนหนงีัจอดุรรธธสานโยี พรรสลาบอาายจาพรยงศ์รุทโ ธตนิ ฤี กวิ ญ่ หใผู้ ยว่ปวผู้ ฒั นนในกลัูลพบยฉี เนสบัสะวาภราวกิทดยัจาลรัยากพะลยแาบงาลวั บะรรามฝ้ รเารชาชกนนนี ัลเชพียงบใยหมฉี ่เ วทิ ยาลงยั อกร่ารานสาาธษากรึศณรสากุขส:ริ ์คินงธสระรขปอธินทแกิส่น ดร.พิทยา ศรเี มือง ดดนอาวัวัืคงหหนงงงินอัจัจเา่รืดงอดดเรงอรราา1อจก..ืมสกาืมบรขุลภุเเบยอสุอธารแจ์ ิดภณภปัตราเเูรญูนาารออ์ า)ศ1ธรมมาียสุุททวนปป้ดาลลด้บบบงอาาาตกตทะรรพนปกายื กพมภางุยลลหีุ ขสิอาคนปสุยัอืร่อรุบพมีมเะงฑงนัริ2ี่ทหีปอธสยุวัญนข์ เ้าางชพอญมส่ งาุชาลภสู นาขผู้ บใลุสงาามยบอิรพาขยสพงพเงรารภ่สโ่ีทาขอกวววนสุิตทิิทิทพื่ พื้ มับยยยเฏิรยาาามลลลรปัจวัยยยัั กรวิร่พพพาิตมนกยยยฤางวาาาวบบบพาส่ทคาาาลลลีมยท)บบบ2ับจบรรรวิบะมมมะลมลแรรรแา่ีรแาาาวชชชหคชชชีนุบีนทนนนาาดนนนบธธีีีอชชสสสลาารรรรรรรรปลลพพพนบบสสสาุุออ้บทิทิทิ ธธธิปปิปิ รรระะะสสสงงงคคค์์์ อืนหเงดยรฉี .พเกัชอรอี นวั ะตคาภนใงึ่นหง่หแใลจกาบารายณุ พยลั ายทวิ นใรกาลคุบงวอทิ ขยพาลาัยภพขุสยมาบราลรบกริตมฤรพาชะลชแนพนาี ภสขรุสรพะวสาภทิ ธิประสงค์ พ์ มพิ ตี งดลรา.นมภยชัจา วิ มาวคทบะลแรากสาชิงหวิ ว์ มีราธวรครมทบงส่ จในสี่ทนาส่ทถกาบุทันกพิชราะบมรสมณราชุคชบนกอขกอรขะทรวงสาธารณสขุ พาภขสุ ร์ ตสาศายทวิ ราสราว ยาลหกาลห์นชยโะรปน็ปเ่ีทรากาชวิ นางลผยวด้ ปไม็ตเราสราว้หใาท ร่ พแยผเนยลี่ ปเกลแ้ดไจในสผู้ ะลแกิชามส้หใยามหา้ปเีม ์คงสะรปธิ ทสิ พรรส ีนนชชารมรบลาบายพยัลายทวิ ปไอต่ ขุสณราธาสะลแลาบายพรากอ่ตา่คณุคีมี่ทรากาชวิ นางลผ รี ศฐิรสเะรป ารสุน.รด รากธิ าณรรบ

บทบรรณาธกิ าร วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ฉบับน้ี เป็นฉบับท่ี 2 ปีที่ 1 กันยายน – ธันวาคม 2560 ซ่ึงทางวารสารได้พัฒนาสารต่อเพื่อให้มีความก้าวหน้า ให้บุคคลากรสาธารณสุขได้เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัย เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการ สาหรบั พยาบาลและบคุ คลากรทางสาธารณสุข สาหรับบทความวิชาการและบทความวิจัยฉบับนี้ กองบรรณาธิการได้คัดเลือกบทความวิจัยท่ี น่าสนใจในด้านต่างๆรวม 6 เรื่อง ประกอบด้วย บทความวิจัยสาหรับพยาบาลในคลินิ ก 3 เร่ือง ประกอบด้วย 1) การพัฒนาศกั ยภาพพยาบาลโรงพยาบาลระดบั F2 ข้นึ ไปในการให้ยาละลายลิ่มเลอื ดชนิด Streptokinase (SK) ในผู้ป่วยโรคกล้ามเน้ือหัวใจตายเฉียบพลันชนิด STEMI : บริบทเขตสุขภาพที่ 10 2) การรับรูเ้ ก่ียวกับอุปสรรคการจัดการความปวดของพยาบาลวชิ าชพี กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาล ยโสธร จังหวัดยโสธร และ 3) ความรู้ของพยาบาลวิชาชีพงานห้องผู้ป่วยหนักเก่ียวกับภาวะสับสน เฉียบพลัน การเฝ้าระวัง และการจัดการภาวะสับสนเฉียบพลันในผู้ป่วยผู้ใหญ่วิกฤต โรงพยาบาลสรรพ สทิ ธปิ ระสงค์ : การศกึ ษานารอ่ ง บทความวจิ ยั ทางการปฏิบัตกิ ารพยาบาลในชมุ ชน 2 เรอื่ ง ประกอบดว้ ย 1) รูปแบบการดาเนนิ งาน บ้านปลอดบุหรี่แบบมีส่วนร่วมพ้ืนท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปทุม อาเภอเมือง จังหวัด อุบลราชธานี และ 2) พฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีอายุยืน ตาบลปทุม อาเภอเมือง จังหวัด อุบลราชธานี และบทความวิจัยเพ่ือส่งเสริมสุขภาพของบุคลากรทางด้านสาธารณสุข 1 เรื่อง คือ ภาวะสขุ ภาพและพฤติกรรมสขุ ภาพของบคุ ลากรในวิทยาลัยพยาบาลแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ข อ ข อ บ คุ ณ ส ม าชิ ก ทุ ก ท่ าน ท่ี ส น ใจ ส่ งบ ท ค ว าม วิ ช าก าร แ ล ะบ ท ค ว าม วิ จั ย ม าล งตี พิ ม พ์ ทาให้วารสารเต็มไปด้วยผลงานวิชาการท่ีเป็นประโยชน์หลากหลาย วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ มีเป้าหมายให้สมาชิกและผ้สู นใจได้แลกเปล่ียนเผยแพร่ ผลงานวชิ าการทีม่ คี ณุ ค่าตอ่ การพยาบาลและสาธารณสุขตอ่ ไป ดร.นสุ รา ประเสรฐิ ศรี บรรณาธกิ าร

ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) สารบัญ  การพฒั นาสมรรถนะพยาบาลในการบรหิ ารใหย้ าละลายลม่ิ เลอื ดชนดิ Streptokinase ในผปู้ ว่ ยโรคกลา้ มเนอ้ื หวั ใจตายเฉยี บพลนั ชนดิ STEMI : โรงพยาบาลชมุ ชนขนาดกลาง เขตสขุ ภาพท1่ี 0…………….……………………1 Development of Nurses’ Competencies for Streptokinase Administration in Acute ST Elevation Myocardial Infarction patients The First Level Hospital (F2), Health Region 10th context สุเพียร โภคทิพย์ , นวลน้อย โหตระไวศยะ , นาฎอนงค์ เสนาพรหม แจ่มจันทร์ พวงจนั ทร์ , หน่งึ ฤทัย อนิ มณี , อญั ชลี สุธรรมวงษ์ Supian Pokathip , Noalnoi Hotawaisaya , Nartanong Senaporm Jamjan Pongjan , Nuegrutai Inmanee , Anchalee Sutumvong  รปู แบบการดาเนนิ งานบา้ นปลอดบหุ รแ่ี บบมสี ว่ นรว่ มในพนื้ ทโ่ี รงพยาบาล ส่งเสรมิ สขุ ภาพ ตาบลปทมุ อาเภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธาน…ี ….………....…19 The Process Model of Participatory Non-Smoking House in Patum District Health Promotion Hospital, Amphoe Muang, Ubon Ratchathani วลิ าวัลย์ หลักเขต , สาราญ พลู ทอง , สุปราณี เมอื งโคตร Wilawan Lakket , Sumrarn Phulthong , Supranee Muangkote  ภาวะสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสขุ ภาพของบคุ ลากร ในวทิ ยาลยั พยาบาลแหง่ หนง่ึ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื …………………………..……………………….37 Health Status and Health Promoting Behavior among Staff in One of Nursing colleges in the Northeastern of Thailand แสงเดอื น ก่ิงแกว้ , ชนุกร แกว้ มณี , วรางคณา บตุ รศรี Sangduan Ginggeaw , Chanukorn Kaewmanee , Warangkana Bootsri

ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) สารบัญ  การรบั รเู้ กย่ี วกบั อปุ สรรคการจดั การความปวดของพยาบาลวชิ าชพี กลมุ่ การ พยาบาล โรงพยาบาลยโสธร จงั หวดั ยโสธร…………………………….……..55 Perception of Barriers to Pain Management of Register Nurse: Nursing Department in Yasothon Hospital กีรติ คาทอง, สุณิสา ช่ืนตา, ศุภลกั ษณ์ คาทอง, เพญ็ ประกาย สรอ้ ยคา สมคิด เผา่ ผา, ทองศรี ก่าแกว้  ความรขู้ องพยาบาลวชิ าชพี งานหอ้ งผปู้ ว่ ยหนกั เกยี่ วกบั ภาวะสบั สนเฉยี บพลนั การเฝา้ ระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉยี บพลนั ของผปู้ ว่ ยผู้ใหญว่ กิ ฤต โรงพยาบาลสรรพสทิ ธปิ ระสงค์ : การศกึ ษานารอ่ ง………………….......……..69 Knowledge Regarding to Delirium, Monitoring and Management in Critical Ill Patients among Nurses at Sunpasitthiprasong Hospital : A Pilot Study ปรยี าวดี เทพมสุ กิ , สุเพยี ร โภคทิพย์ , ศศธิ ร ชานาญผล นติ ยา กรายทอง , สุกัญญา ผลวิสทุ ธิ์ , จนั ทนา นิลาศน์ , จรญู ศรี มหี นองหว้า Preyawadee Thepmusik, Supian Pokathi, Sasithon chamnanphol Nittaya Kraythong, Sukanya Phonwisut, Jantana Nilas, Jaroonsree Meenongwah  พฤตกิ รรมสขุ ภาพของผู้สงู อายทุ ม่ี อี ายยุ นื ตาบลปทมุ อาเภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธาน…ี ……………………………..……………85 Health Behaviors of the Elderly with Longevity in Pathum Sub-District, Mueang District, Ubon Ratchathani Province วรางคณา บุตรศรี และ นนั ทรยี า โลหะไพบลู ยก์ ุล Warangkana Bootsri and Nantareya Lohapiboonkul

การพฒั นาสมรรถนะพยาบาลในการบรหิ ารใหย้ าละลายลิ่มเลือดชนิด Streptokinase ในผปู้ ่ วยโรคกลา้ มเน้ ือหวั ใจตายเฉียบพลนั ชนิด STEMI : โรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง เขตสุขภาพท่ี 10 สุเพยี ร โภคทพิ ย1์ , นวลนอ้ ย โหตระไวศยะ2, นาฎอนงค์ เสนาพรหม3 แจม่ จนั ทร์ พวงจนั ทร4์ , หน่ึงฤทยั อินมณี5, อญั ชลี สธุ รรมวงษ6์ บทคดั ยอ่ การรกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือดชนิด Streptokinase (SK) ในผปู้ ่ วยโรคกลา้ มเน้ ือ หวั ใจตายเฉียบพลนั ชนิด STEMI สามารถลดอตั ราตายของผปู้ ่ วย พยาบาลมีบทบาทสาคญั ในการดูแลและการบริหารยา SK สาหรับผูป้ ่ วย มีโรงพยาบาลที่สามารถใหย้ า SK ได้ ใน เขตสุขภาพท่ี 10 จานวน 5 แห่ง คิดเป็ นรอ้ ยละ 7.9 วตั ถุประสงค์ของการศึกษาเพ่ือ พฒั นาสมรรถนะพยาบาลในการบริหารยาละลายล่ิมเลือด SK สาหรบั ผูป้ ่ วย STEMI ใน โรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง(F2) ข้ ึนไป โดยใช้กระบวนการพัฒ นาคุณ ภาพ กลุ่มเป้ าหมายเป็ นพยาบาลวิชาชีพในหน่วยงานอุบตั ิเหตุฉุกเฉินในโรงพยาบาลเครือข่าย ระดบั F2 ข้ ึนไปจานวน 60 โรงพยาบาล ในเขตสุขภาพที่ 10 เคร่ืองมือในการพัฒนา ประกอบดว้ ยหลักสตู รการอบรมเชิงปฏิบตั ิการในการบริหารยาละลายล่ิมเลือดชนิด SK สาหรบั ผูป้ ่ วย STEMI แบบประเมินความรูแ้ ละทกั ษะการบริหารยาละลายลิ่มเลือดชนิด SK การพฒั นาโดยกระบวนการ PDCA 3 วงรอบ ผลการวิจยั วงรอบที่ 1 พบว่าพยาบาลมีความรูแ้ ละทกั ษะในการอ่าน EKG ท่เี ป็ น STEMI ได้ บริหารยา SK ได้ ส่งผลให้ โรงพยาบาลระดับ F2 ข้ ึนไปสามารถใหย้ า SK ได้ เพิ่มข้ ึนเป็ นรอ้ ยละ 31.7 ในปี 2557 การพฒั นาวงรอบท่ี 2 พบว่าพยาบาลส่งต่อผูป้ ่ วยมี ทกั ษะในการใช้ Adhesive paddle ใช้ transcutaneous pacing ไดถ้ ูกตอ้ งและปฏิบตั ิตาม แนวทางการดแู ลผปู้ ่ วยไดร้ บั ยา SK ครบถว้ น ปี 2558 โรงพยาบาล F2 สามารถใหย้ า SK ไดเ้ พิ่มข้ นึ เป็ นรอ้ ยละ 61.9 และการพฒั นาวงรอบที่ 3 พยาบาลสามารถเป็ นวทิ ยากรกลุ่ม เร่ือง EKG ในจังหวัดได้ โรงพยาบาล F2 สามารถให้ยาครบรอ้ ยละ 100 ในปี 2559 อตั ราการไดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยา SK/PCI เพม่ิ ข้ ึนเป็ นรอ้ ยละ 78.1 รอ้ ยละ 78.5 และรอ้ ย ละ 79.08 ในปี 2558 ปี 2559 และปี 2560 ตามลาดบั ทาใหผ้ ูป้ ่ วย STEMI สามารถ 1-6 พยาบาลวชิ าชีพ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์

2 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) เขา้ ถงึ การรกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือดเพ่มิ ข้ นึ เกิดความปลอดภยั เกิดเครือขา่ ยในการดูแล ผปู้ ่ วย STEMI เขตสุขภาพที่ 10 คาสาคญั : ยาละลายลิ่มเลือดชนิด Streptokinase, ผปู้ ่ วย STEMI, การพฒั นาสมรรถนะ การพยาบาล

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 3 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) Development of Nurses’ Competencies for Streptokinase Administration in Acute ST Elevation Myocardial Infarction Patients the First Level Hospital (F2), Health Region 10th Context Supian Pokathip1, Noalnoi Hotawaisaya2, Nartanong Senaporm3 Jamjan Pongjan4, Nuegrutai Inmanee5 Anchalee Sutumvong6 Abstract Fibrinolysis treatment by Streptokinase (SK) in acute ST Elevation myocardial infarction patients (STEMI) reduces patients’ mortality rate. Nurse plays an important role for administration and caring the patients who were treated with SK. There were five hospitals (7.9%) in Health Region 10th context that could provide SK drugs. The objective of this study was to develop nurse’s competencies for Streptokinase administration in STEMI patients of 60 the First Level Hospital (F2), in Health Region 10th context. The continuous quality improvement (CQI) was conducted. The study tools included the SK training program for STEMI patients and nurses’ evaluation forms of knowledge and skill to management SK drug. There were three cycles of PDCA. The results in the first cycle found that nurses enhancing of knowledge and skills to read the EKG in STEMI patients, and has administered SK. As a result, F2 hospitals were able to increase the number of SK’s administer to 31.7 percent by 2014. The development of the second cycle showed that nurse’s skills referred the STEMI patients by using adhesive paddle and transcutaneous pacing correctly with the guidelines for SK. F2 hospitals were able to increase the number of SK’s administer to 61.9 percent by 2015. Development of the third cycle found that of the nurses’ competencies were enhancing that they can be as an EKG lecturer in their province, and F2 hospitals can provide 100 percent of the SK drug in 2016. The Rate of SK / PCI treatment increased 78.1%, 78.5 %, and 79.08 % in 2015, 2016 and 2017, respectively. STEMI patients were more likely to have access and 1 Registration Nurse in Sunphasitthiprasong Hospital

4 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) safety to thrombolytic therapy and initiated STEMI patient care network in Health Region 10th context. Keyword : streptokinase administration, STEMI patient, competencies nursing care

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 5 ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ทม่ี าและความสาคญั ของปัญหา ผปู้ ่ วยโรคกลา้ มเน้ ือหวั ใจตายเฉียบพลนั จากหลอดเลือดหวั ใจอุดตนั ชนิด STEMI เกิดการตายของกลา้ มเน้ ือหวั ใจมากข้ นึ ตามระยะเวลาที่ผ่านไป การรกั ษาทีเ่ ป็ นมาตรฐาน ในปัจจุบนั คือการรกั ษาเพื่อใหห้ ลอดเลือดเปิ ด (Reperfusion therapy) ใหเ้ ร็วที่สุดภายใน 12 ชวั่ โมงแรกหลังมีอาการ การรกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือดเป็ นทย่ี อมรบั ว่าช่วยลดอตั รา การตายลงได้ โดยเฉพาะในช่วง 3 ชวั่ โมงแรกหลังมีอาการพบว่าประสิทธิภาพของการ รกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือดไดผ้ ลไม่ต่างจากการขยายหลอดเลือดหวั ใจ1 ปัจจุบันแมจ้ ะ พบว่าการเปิ ดหลอดเลือดโดยวิธีการขยายหลอดเลือดหัวใจแบบฉุกเฉิน ( Primary Percutaneous Coronary Intervention : PPCI) จะได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ มากกว่าการใหย้ าละลายล่ิมเลือดสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซอ้ นได้ มากกว่าแต่อย่างไรก็ตามพบว่าการขยายหลอดเลือดหัวใจยงั มีขอ้ จากดั หลายประการท้งั ดา้ นเครื่องมืออปุ กรณท์ ี่มีราคาแพงรวมท้งั ความเช่ียวชาญของทีมบุคลากรและโรงพยาบาล ท่ีสามารถทา PPCI ได้ยังมีจากัด และยังไม่สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชัว่ โมง โดยเฉพาะผปู้ ่ วย STEMI ที่อยูห่ ่างไกลตอ้ งใชเ้ วลาเดนิ ทางมากกวา่ 120 นาทีผปู้ ่ วยกลุ่มน้ ี จึงควรพิจารณาใหก้ ารรกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือดกอ่ นสง่ ผปู้ ่ วยมารบั การรกั ษาตอ่ เน่ือง2 กระทรวงสาธารณสขุ จึงไดก้ าหนดกลยุทธ์ 7R เพ่ือช่วยลดอตั ราการเสียชีวิตของ ผูป้ ่ วยกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (Acute Coronary Syndrome) เพื่อเป็ นแนวทาง ปฏิบัติในโรงพยาบาลประกอบด้วย Registration , Recognition of ischemia, Rule out non-ACS, Risk stratification, Reperfusion, Refer แ ล ะ Rehabilitation & Prevention1 โดยเฉพาะ Reperfusion คือการเปิ ดเสน้ เลือดที่อุดตนั เพ่ือช่วยชีวิตใหพ้ น้ จากภาวะวิกฤต ฉุกเฉินไดอ้ ย่างรวดเร็วและปลอดภัยทุเลาและหายจากอาการเจ็บหน้าอกได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ เขตสุขภาพที่ 10 ตอ้ งดูแลประชาชนประมาณ 4.5 ลา้ นคน ประกอบดว้ ย 5 จงั หวดั คอื อุบลราชธานีอานาจเจริญ มุกดาหาร ยโสธร และศรีสะเกษ ซึ่งมีสถานพยาบาล ท้ังหมดจานวน 68 แห่ง แบ่งเป็ นโรงพยาบาลขนาดเล็ก (ระดับ F3) จานวน 8 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนขนาดกลางระดับ F2 จานวน 47 แห่ง โรงพยาบาลระดบั M2 5 แห่ง โรงพยาบาลระดบั M1 จานวน 2 แห่ง โรงพยาบาลทวั่ ไป (ระดับ S) จานวน 5 แห่ง และโรงพยาบาลศูนย์ (ระดับ A) 1 แห่งคือโรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานีซึ่งเป็ นแมข่ า่ ยท่ีสามารถใหก้ ารรกั ษาดว้ ยการขยายหลอดเลือดหวั ใจได้ โดยมี เครื่องตรวจสวนหวั ใจเพียง 1 เครื่องซึ่งยงั ไม่เพียงพอกบั ความตอ้ งการของผปู้ ่ วย STEMI ที่ มแี นวโนม้ เพมิ่ สงู มากข้ นึ จาก 350 คนในปี 2554 เพ่ิมเป็ น 428 คน ปี 2555 แต่อย่างไร

6 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) กต็ ามพบวา่ อตั ราการไดร้ บั ยาละลายล่ิมเลือด SK ในเขตสุขภาพที่ 10 ยงั ตา่ เพียงรอ้ ยละ 41.63 รวมท้งั อตั ราการเขา้ ถึงยาในภาพรวมระดบั ประเทศก็ยงั ตา่ เพียงรอ้ ยละ 17.2 ในปี 2552 เพ่ิมเป็ นรอ้ ยละ 35 ในปี 2554 พบอัตราการตายมีแนวโน้มลดลงจากรอ้ ยละ 17.8 เป็ นรอ้ ยละ 16.4 และรอ้ ยละ 15.5 ตามลาดบั 1 ดงั น้ันกระทรวงสาธารณสขุ จงึ มีกล ยุทธใ์ นการลดอตั ราการเสียชีวิตโดยการเพิ่มการเขา้ ถึงยาละลายลิ่มเลือดในผปู้ ่ วย STEMI โดยการพฒั นาศกั ยภาพโรงพยาบาลเครือขา่ ยระดบั F2 ข้ นึ ไปใหส้ ามารถใหก้ ารรกั ษาดว้ ย ยาละลายลิ่มเลือดไดอ้ ย่างรวดเร็ว และกาหนดเป้ าหมายว่าผูป้ ่ วย STEMI ตอ้ งไดร้ ับการ รกั ษาดว้ ยการเปิ ดหลอดเลือดหวั ใจ (ท้ังการรักษาดว้ ยยาละลายลิ่มเลือดและหรือการ รกั ษาดว้ ยการขยายหลอดเลือดหวั ใจ) ไดไ้ มต่ า่ กว่ารอ้ ยละ 50 ในปี 25584 โรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ เป็ นโรงพยาบาลแม่ข่ายระดับ A ในเขต สุขภาพท่ี 10 ไดด้ าเนินการพฒั นาเครือข่ายการดูแลผปู้ ่ วยโรคหวั ใจชนิด STEMI มาอยา่ ง ต่อเนื่องต้งั แต่ปี 2553 โดยการพฒั นาระบบช่องทางด่วนในการดูแลผูป้ ่ วย STEMI (Fast track STEMI) มีการพฒั นาคุณภาพบริการต้งั แต่โรงพยาบาลปฐมภมู ิ ทุติยภมู ิ และตตยิ ภูมิ ทาใหผ้ ปู้ ่ วยโรคหวั ใจชนิด STEMI สามารถเขา้ ถงึ บริการทีม่ ีคุณภาพไดเ้ พม่ิ ข้ นึ แตย่ งั พบวา่ มี โรงพยาบาลที่สามารถใหย้ าละลายล่ิมเลือดชนิด SK ไดเ้ พยี ง 5 โรงพยาบาล3 ซ่ึงสามารถ ใหย้ าไดเ้ ฉพาะในโรงพยาบาลทวั่ ไป (ระดบั S) และโรงพยาบาลศนู ย์ (ระดบั A) เท่าน้ัน ส่วนโรงพยาบาลขนาด F2 ข้ ึนไปพบว่าบุคลากรส่วนใหญ่ยงั ขาดความรู้ ทักษะ และความ เขา้ ใจท่ีไม่ถกู ตอ้ งเก่ยี วกบั การบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือด การพฒั นาสมรรถนะพยาบาล ในการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดในผปู้ ่ วย STEMI สาหรบั โรงพยาบาลเครือข่ายระดบั F2 ข้ ึนไปจึงมีความจาเป็ น ผลที่ไดจ้ ะทาใหผ้ ูป้ ่ วยสามารถเขา้ ถึงและปลอดภยั จากการรักษา ดว้ ยยาละลายลิ่มเลือดไดร้ วดเร็วมากข้ นึ อนั จะชว่ ยลดอตั ราการตายของผปู้ ่ วยลงได้ วตั ถุประสงค์ วตั ถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในการบริหารใหย้ า ละลายลิ่มเลือด SK สาหรบั ผปู้ ่ วย STEMI ในโรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง(F2) ข้ นึ ไป วิธดี าเนินการ เป็ นการศึกษาเชิงปฏิบตั ิการ พฒั นาคุณภาพโดยใชก้ ระบวนการ Plan Do Check Act(PDCA) และ การจดั การความรู้ Knowledge Management (KM) โดยเน้นการมีส่วน ร่วมเสริมพลงั อานาจ (Empowerment) ของโรงพยาบาลเครือข่าย

วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 7 ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มตัวอย่างเป็ นพยาบาลวิชาชีพในหน่วยงานอุบตั ิเหตุฉุกเฉินในโรงพยาบาล เครือข่ายระดับ F2 ข้ ึนไป ในเขตสุขภาพท่ี 10 จานวนหน่วยงานละ 2-3 คน ท้ังหมด จานวน 60 โรงพยาบาล เครอื่ งมือในการศกึ ษา เคร่ืองมือในการพฒั นาสมรรถนะพยาบาลประกอบดว้ ย หลักสูตรการอบรมเชิง ปฏิบัติการการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในการบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดชนิด SK หนังสอื การอา่ น EKG อย่างงา่ ยสาหรบั พยาบาล แบบฟอรม์ การซกั ประวตั ิ แบบประเมนิ ขอ้ หา้ มใชย้ า SK และอปุ กรณใ์ นการเตรียมยาละลายล่ิมเลือด SK และขวดเปล่ายาละลายล่ิม เลือด SK เพื่อใชใ้ นการฝึกทกั ษะการผสมยาละลายล่ิมเลือด SK ข้นั ตอนการดาเนินการศกึ ษา การพฒั นาวงรอบที่ 1 ประกอบข้นั ตอนดงั น้ ี การทบทวนสถานการณ์ (Check) ปี 2555 พบว่าผูป้ ่ วย STEMI ในเขตทง้ั หมด จานวน 428 คนแต่สามารถเขา้ ถึงการรักษาดว้ ยยาละลายลิ่มเลือดตา่ รอ้ ยละ 41.6 เน่ืองจากตอ้ งใชเ้ วลาในการเดนิ ทางเขา้ มารบั การรกั ษาในโรงพยาบาลทวั่ ไประดบั S และ โรงพยาบาลศนู ยร์ ะดบั A ประกอบกบั บุคลากรโรงพยาบาลระดบั F2 ข้ ึนไปยงั มีทศั นคติท่ี ไม่ดีเกี่ยวกับการรักษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือด มีความหวาดกลัวการถูกฟ้ องร้องและ รอ้ งเรียนและขาดความรู้ และทกั ษะในการเตรียมยาละลายล่ิมเลือด การบริหารยาและการ ดูแลผูป้ ่ วยที่บริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือด และพบว่าอัตราการเสียชีวิตผูป้ ่ วย STEMI ท่ี ไดร้ บั ยาละลายล่ิมเลือดเพ่ิมข้ นึ จากรอ้ ยละ 10.2 เป็ นรอ้ ยละ 24.23 การวางแผนแกไ้ ข (Plan) วางแผนแกไ้ ข โดยกาหนดโรงพยาบาลนาร่อง 17 โรงพยาบาลในการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดเร่ิมจากโรงพยาบาลสมัครใจที่มีความ พร้อมในการบริหารให้ยาละลายล่ิมเลือด SK จังหวัดอุบลราชธานี มีจานวน 5 โรงพยาบาลไดแ้ ก่โรงพยาบาลตระการพืชผลโรงพยาบาลเขมราฐ โรงพยาบาลสมเด็จพระ ยุพราชเดชอุดมโรงพยาบาลพิบูลมังสาหาร และโรงพยาบาลบุณฑริก จงั หวัดศรีสะเกษ มจี านวน6 โรงพยาบาล ไดแ้ ก่โรงพยาบาลกนั ทรลกั ษณ์ เบญจลกั ษณ์ โรงพยาบาลอทุ มุ พร พิสยั โรงพยาบาลขุนหาญ โรงพยาบาลขุขนั ธ์ และโรงพยาบาลราษีไศล เน่ืองจากจงั หวดั มุกดาหาร พ้ ืนท่ีส่วนใหญ่เป็ นภูเขาซ่ึงยากแก่การเดินทางของผูป้ ่ วย STEMI ผูน้ าเครือข่าย จึงไดต้ ัดสินใจพฒั นาสมรรถนะโรงพยาบาลระดับ F2 ทุกแห่งจานวน 6 แห่งใหส้ ามารถ บริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดได้

8 วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) การปฏิบัติ (Do) ดาเนินการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในโรงพยาบาลนาร่อง ดงั น้ ี 1. การพัฒนาสมรรถนะบุคลากร โดยการฝึกอบรมพัฒนาทักษะพยาบาลใน เร่ืองการดแู ลผปู้ ่ วย STEMI การอ่านและแปลผล EKG ในผูป้ ่ วย STEMI โดยการเรียนรูผ้ ่าน กรณีศึกษา STEMI ท่ีน่าสนใจต่างๆและพบบ่อยในเครือข่าย ท้งั ผูป้ ่ วยที่เป็ น STEMI ชนิด Anterior wall, Inferior wall รวมท้งั EKG ที่วินิจฉยั คลาดเคลื่อนในเขต และจดั หาหนังสือ การอ่าน EKG อย่างง่ายสาหรบั พยาบาลรวมท้งั การฝึกเสริมทักษะ การอ่านและแปลผล EKG ในกรณีต่างๆ เพ่ือช่วยในการประเมินผูป้ ่ วย STEMI ที่ถูกตอ้ งและการตรวจ EKG V3R,V4R ในกรณีท่ีพบ ST Elevation in LII , III , avF รวมท้ังหลักการพยาบาลผู้ป่ วย STEMI ท่ีไดร้ ับยาละลายล่ิมเลือดชนิด SK5 การฝึกทักษะที่จาเป็ นตามฐานการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ 1) ฐานฝึกปฏิบตั ิการอ่านและแปลผล EKG & EKG in STEMI ชนิดตา่ งๆ 2) ฐานการซกั ประวตั ิ การฝึกทกั ษะแนวทางการซกั ประวตั ิผูป้ ่ วย STEMI โดยใช้ PQRST Model ในการประเมินภาวะเจ็บหน้าอกโดย P =Precipitating cause ปัจจัย กระตนุ้ ใหม้ ีอาการ Q = Quality ลกั ษณะการเจ็บ R = Refer pain ตาแหน่งท่ีมกี ารเจ็บ S = severity ความรุนแรงของการเจ็บหน้าอก โดยใชก้ ารประเมินระดับความเจ็บปวด (Pain score) T = time ระยะเวลาที่มีอาการ รวมท้งั การซกั ประวตั ิขอ้ หา้ มและขอ้ ควรระวงั ใชย้ า ละลายล่ิมเลือด 3) ฐานการเตรียมยาละลายล่ิมเลือดชนิด SK โดยเน้นหลักการและ ขน้ั ตอนการผสมยาดงั น้ ี 3.1) ใช้ syringe ขนาด 10 มิลลิลิตร ดูด sterile water for injection เพ่ือ ละลายผงยาละลายล่ิมเลือด ชนิด Streptokinase (SK) ขนาด 1.5 mU โดยเอียงขวดยา ประมาณ 45 องศา และใหป้ ลายเข็มแตะที่ดา้ นขา้ งขวด ค่อยๆปล่อย sterile water for injection ลงไปในขวดยาดา้ นขา้ งขวด หลีกเล่ียง ไมใ่ หน้ ้า (sterile water for injection) ถูก ผงยาโดยตรง 3.2) เม่ือปล่อย sterile water for injection ลงในขวดยาหมดใชฝ้ ่ามือท้งั สองขา้ งคลึงขวดยาเบาๆ หา้ มเขย่าเด็ดขาดเพราะจะทาใหเ้ กิดฟองอากาศ หลังยาละลาย หมดใช้ syringe โดยไม่ตอ้ งดนั อากาศเขา้ ใน syringe ดูดยาจากขวดเพอื่ ผสมในสารละลาย ชนิด 5%D/W ในผปู้ ่ วยมีระดบั น้าตาลในเลือดไม่สงู ขนาด 100 มิลลิลิตร ในกรณีทผี่ ปู้ ่ วย มรี ะดบั น้าตาลในเลือดสงู ใชส้ ารละลายชนิด 0.9%NSS โดยยกถุงน้าเกลือข้ ึนต้งั ฉากและ เสยี บเข็มเขา้ ไปในถุงสารน้าและค่อยๆปล่อยยาลงในถุงน้าเกลือ โดยใหป้ ลายเข็มท่ีมยี าอยู่

วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 9 ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ในสารน้า (แบบ under water) เพื่อป้ องกนั ไม่ใหย้ าเกิดฟองอากาศ นายาท่ีเตรียมเสร็จ แลว้ เขา้ เคร่ือง infusion pump เพื่อบริหารยาโดยใหอ้ ตั ราการไหลประมาณ 100 มิลลิลิตร ตอ่ ชวั่ โมง และมีแนวทางในการเลือกเสน้ เลือดเพ่ือบริหารยาละลายลิ่มเลือดโดยพิจารณา เลือกเสน้ เลือดดาที่มีขนาดใหญ่ในการบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือด และหลีกเล่ียง การ บริหารยาละลายล่ิมเลือดร่วมกบั การใหย้ า หรือสารน้าอ่ืนๆ และหลีกเล่ียงการฉีดยาเขา้ กลา้ มเน้ ือ หรือการทาหตั ถการขา้ งที่บริหารยาละลายลิ่มเลือด งดการวดั BP การแทง น้าเกลือขา้ งท่ีใหย้ าละลายลิ่มเลือด เพือ่ ป้ องกนั การเกดิ รอยจา้ เลือด และควรหลีกเลี่ยงการ บริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดท่ีแขนขา้ งขวา เน่ืองจากถา้ ยาละลายล่ิมเลือดไม่สามารถเปิ ด หลอดเลือดได้ (reperfusion) จาเป็ นตอ้ งส่งต่อผูป้ ่ วยมารบั การรักษาดว้ ยการขยายหลอด เลือดหวั ใจทีโ่ รงพยาบาลแมข่ ่าย ซึ่งตอ้ งทาหตั ถการที่ขาหนีบขา้ งขวา 4) ฐานฝึกปฏิบัติการพยาบาลผูป้ ่ วย STEMI ที่ไดร้ ับยาละลายลิ่มเลือด การเฝ้ าระวงั อาการขณะใหย้ า การสงั เกตอาการเปลี่ยนแปลงต่างๆโดยเฉพาะในช่วง 30 นาทีแรกท่ีตอ้ งมีการสงั เกตอาการ สญั ญาณชีพอย่างใกลช้ ิดทุก 5 นาที5 เพ่ือใหก้ ารแกไ้ ข ภาวะผิดปกติท่ีอาจเกิดข้ ึนไดท้ ันท่วงทีโดยเฉพาะภาวะความดนั โลหิตตา่ การสงั เกตและ ประเมินภาวะท่ีแสดงถึงภาวะหลอดเลือดหวั ใจเปิ ด (reperfusion) รวมท้งั การเฝ้ าระวงั และ การจดั การขณะการส่งตอ่ ในเครือข่าย โดยพิจารณาสง่ ตอ่ ทุกรายในโรงพยาบาลทไ่ี ม่มี ICU สว่ นโรงพยาบาลท่มี ี ICU จะพิจารณาส่งต่อในกรณีที่บริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดแลว้ แต่ยงั ไม่สามารถเปิ ดหลอดเลือดได้ 5 ซ่ึงพิจารณาจากเกณฑป์ ระเมินการเปิ ดหลอดเลือดหวั ใจ2 หลงั ไดร้ บั ยาละลายล่ิมเลือด ดงั น้ ี 4.1) อาการ เจ็บเคน้ อกลดลง หรือหายอย่างรวดเร็ว 4.2) คล่ืนไฟฟ้ าหวั ใจส่วนของ ST ที่ยกสงู ข้ ึนกลับลงมาส่เู กณฑป์ กติ (ST Resolution) ภายใน 120 นาทีหลงั ไดร้ บั ยาละลายลิ่มเลือด 4.3) ภาวะหวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะไดแ้ ก่ Accelerated idioventricular rhythm, frequent PVC (Premature Ventricular Contraction) พ บได้ถี่ม ากข้ ึนกว่าเดิม 2 เท่า ภายใน 90 นาทีหลังไดร้ ับยาละลายลิ่มเลือด หรืออาจพบ Non sustained Ventricular Tachycardia ได้ 4.4) ระดับ cardiac enzyme CK-MB จะข้ ึนสูงสุดประมาณ 12 ชัว่ โมง หลังอาการเจ็บหน้าอก (ปกติถา้ ไม่มี Reperfusion ระดบั ของ CK-MB จะข้ ึนสูงสุดท่ี 24- 36 ชวั่ โมง ในกรณีที่หลอดเลือดไม่เปิ ดโรงพยาบาลเครือข่ายจะรีบส่งปรึกษาแม่ข่ายเพื่อ พิจารณาส่งตอ่ ผปู้ ่ วยมาท่โี รงพยาบาลแมข่ า่ ยระดบั A ทนั ทเี พ่ือพิจารณาทาการขยายหลอด

10 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปีที่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) เลือดหวั ใจชนิด (Rescue PCI ) ตาม Flow การดูแลและส่งต่อ STEMI ในเครือข่าย5 และ การสนับสนุนเอกสารทีจ่ าเป็ น การบริหารจดั การยา และการนิเทศตดิ ตามใหค้ าปรึกษา 4.5) ฐานฝึกทกั ษะการชว่ ยฟ้ ื นคนื ชพี CPR หลังการฝึกอบรมทกั ษะบุคลากรมอบแผ่นวีดิทศั น์การพยาบาลผูป้ ่ วยท่ีไดร้ ับยา ละลายลิ่มเลือดเพ่อื ศกึ ษาทบทวนการเตรียมยาและการใหก้ ารพยาบาลหลงั ใหย้ า 2. การจัดระบบบริหารจัดการยาละลายลิ่มเลือดในเครือข่าย โดยการ ประสานงานกบั เภสชั กรมีระบบ การยืมยา สารองยา และการแลกเปลี่ยนยาในเครือข่าย เนน้ การขนส่งยาที่มีประสิทธภิ าพ 3. การเตรยี มความพรอ้ มของสถานท่ใี นการใหย้ า โรงพยาบาลระดบั F2 ส่วน ใหญ่จะเตรียมบริหารให้ยาละลายลิ่มเลือดในหน่วยงานอุบัติเหตุฉุกเฉิน (ER) ส่วน โรงพยาบาลระดับ M1, M2 ที่มีหน่วยงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนัก(ICU) จะวางแผนบริหารใหย้ า ละลายลิ่มเลือดในหน่วยงาน ICU 4. การเตรยี มเครอื่ งมือ อปุ กรณท์ ส่ี าคญั และจาเป็ นตา่ งๆ ไดแ้ ก่เคร่ืองควบคุม การใหส้ ารน้า (infusion pump) เคร่ืองกระตุกหวั ใจดว้ ยไฟฟ้ า (Defibrillator) และรถช่วย ฟ้ ื นคืนชีพ oxygen pipeline กรณีท่ีใหย้ าท่ี ER ตรวจสอบบริเวณท่ีจะใหย้ า ความพรอ้ มของ เครื่องมืออุปกรณ์ เป็ นตน้ 5. การช่วยเหลือในการจดั เตรยี มระบบเอกสาร ทง้ั แบบฟอรม์ ซกั ประวตั ิขอ้ หา้ ม ใชย้ า แบบลงนามยินยอม แบบบันทึกสงั เกตติดตามอาการหลังบริหารใหย้ าละลายล่ิม เลือด 6. การนิเทศ ใหค้ าปรึกษาเพื่อเสริมสรา้ งกาลงั ใจและความมนั่ ใจ แก่บุคลากรใน โรงพยาบาลนาร่อง และการตรวจเย่ียมประเมินความพรอ้ มของสถานท่ีเครื่องมือใน หน่วยงานท่ีวางแผนบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดท้ังหน่วยงานแผนกฉุกเฉิน และหอ ผปู้ ่ วยหนัก รวมทง้ั การจดั เก็บยาละลายล่ิมเลือดทถ่ี กู ตอ้ ง และการสาธิตการเตรียมยา ผสม ยาละลายล่ิมเลือดและใหบ้ ุคลากรพยาบาลฝึกปฏิบตั กิ ารผสมยาในสถานการณจ์ าลองเพื่อ เสริมสรา้ งความมนั่ ใจและการเสริมพลงั อานาจแก่ทมี บุคลากรโรงพยาบาลเครือข่าย 7. การจดั เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถอดบทเรียนในโรงพยาบาลที่สามารถ บริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดไดป้ ระสบผลสาเร็จเพอ่ื สรุปบทเรียนปัจจยั ความสาเร็จ ปัญหา อปุ สรรคในการดาเนินงาน การประเมนิ ผล (Check) พบว่าบคุ ลากรพยาบาลในโรงพยาบาลระดบั F2 ข้ นึ ไป มีความรูแ้ ละทกั ษะในการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือด สามารถบริหารใหย้ าละลายลิ่ม เลือดไดเ้ พิ่มข้ ึนเป็ น 17 โรงพยาบาล โดยจงั หวดั จงั หวดั มุกดาหารสามารถบริหารใหย้ า

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 11 ปีท่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ละลายลิ่มเลือดไดค้ รบรอ้ ยละ100 และจากการถอดบทเรียนพบว่าบางโรงพยาบาลมีแนว ทางการบริหารจดั การเร่ืองเวลาเพื่อใหส้ ามารถบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดไดภ้ ายใน 30 นาที (Door to Needle time) โดยแบง่ เป็ น 3 ชว่ ง คือ 10 นาทแี รกสาหรบั พยาบาลในการ ทา EKG 10 นาทีที่สองสาหรับแพทยใ์ นการวินิจฉัย STEMI และ 10 นาทีที่สามสาหรับ เภสชั กรและพยาบาลในการเตรียมยาละลายลิ่มเลือด แต่โรงพยาบาลบางแห่งแบ่งเป็ น 2 ช่วง คือ 15 นาทีแรกสาหรบั การวินิจฉยั STEMI ท้งั การตรวจ EKG และการอ่านประเมิน จนสามารถวนิ ิจฉัย STEMI ได้ ส่วน 15 นาทีหลังสาหรบั การบริหารจดั การใหไ้ ดย้ าละลาย ลิ่มเลือด ทาใหม้ ีการทางานระหว่างสหสาขาวิชาชีพมากยิ่งข้ ึน อย่างไรก็ตามพบว่า ระยะเวลาในการไดร้ ับยาละลายลิ่มเลือด (Door to Needle time) ยงั สูงมากกว่าเกณฑ์ มาตรฐาน คือ 30 นาที โดยเฉพาะในกรณีท่ีใหย้ าคร้งั แรก ใชเ้ วลานานสูงสุด 269 นาที เน่ืองจากผูป้ ่ วยมีอาการไม่ชัดเจน ทาใหก้ ารวินิจฉัยล่าชา้ มี บางโรงพยาบาลตอ้ งใช้ เวลานานในการบริหารจดั การเร่ืองเบิกยาและการเตรียมผสมยาละลายลิ่มเลือด ประเด็นที่ยงั ปฏิบตั ติ ามแผนการดูแลไดน้ อ้ ยคอื การทา EKG in V3R,V4R ในกรณี ที่พบ ST Elevation in LII , LIII , avF และการติด adhesive paddle เพื่อใช้ในการทา transcutaneous pacing ในกรณีที่ผูป้ ่ วยหัวใจเตน้ ชา้ ในผูป้ ่ วย STEMI ชนิด inferior wall และการทา EKG หลังบริหารให้ยาละลายลิ่มเลือดในนาทีที่ 90 และ120 นาที เพื่อ ประเมินภาวะหลอดเลือดเปิ ด (reperfusion) และการซักประวตั ิเก่ียวกบั ระยะเวลาเร่ิมมี อาการ (onset time) ที่ชดั เจนส่งผลใหไ้ ม่ไดร้ ับเงินชดเชยค่ายาละลายล่ิมเลือดนาสู่การ พฒั นาในวงรอบท่ี 2 การพฒั นาวงรอบที่ 2 (Act) ปี 2557 – 2558 ระยะวางแผนแกไ้ ข (Plan) นาปัญหาอุปสรรคในการพฒั นาคร้งั แรกส่กู ารปรบั แก้ ไขร่วมกบั ทีมสหสาขาวิชาชพี และการเสริมพลงั ทีมแม่ข่ายระดบั จงั หวดั ทง้ั 4 จงั หวดั ในการ พฒั นาสมรรถนะพยาบาลในจงั หวดั ทรี่ บั ผิดชอบ โดย 1) จัดทาเกณ ฑ์ประเมินและคัดกรองผู้ป่ วยท่ีมีอาการไม่ชัดเจน( Atypical symptoms) 2) การใหค้ วามรู้ สรา้ งความตระหนัก เหตุผลในการทา EKG V3R,V4R เพ่ือ ประเมินภาวะ RV infarction ในผูป้ ่ วย STEMI ชนิด Inferior wall (ภาพท่ี 1) โดยเฉพาะผูป้ ่ วยที่มีความดันโลหิตตา่ เพ่ือเป็ นแนวทางในการใหส้ ารน้าชนิด 0.9% NSS

12 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) 3) การพฒั นาคุณภาพการพยาบาลผูป้ ่ วย STEMI ขณะส่งตอ่ การฝึกทกั ษะการใช้ adhesive paddle และการดูแลผูป้ ่ วยที่ใช้ transcutaneous pacing กรณีท่ีหัว ใจเตน้ ชา้ 4) การทา EKG หลงั บริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดในนาทที ี่ 90 และ 120 นาที 5) การปรบั แนวทางการซกั ประวตั ิ จาก PQRST เพิ่มเป็ น NOPQRST model6 โดย เพิ่มการซักประวตั ิระยะเวลาที่เร่ิมมีอาการใหช้ ดั เจน ซ่ึง N = Normal ภาวะ ปกติก่อนมีอาการเป็ นอย่างไร และ O = Onset time คือระยะเวลาท่ีเริ่มมี อาการเจ็บหน้าอกเพื่อช่วยในประเมินและตดั สนิ ใจในการรักษาดว้ ยยาละลาย ลิ่มเลือดและเป็ นแนวทางในการกรอกขอ้ มูลเพื่อขอรับเงินชดเชยค่ายา และ โรงพยาบาลที่ใชเ้ วลานานในการใหย้ ามีการปรับเปลี่ยนสถานที่ในการจดั เก็บ ยาสารองยาเพ่ือลดข้นั ตอนการเบกิ ยาทาใหร้ ะยะเวลาที่ผูป้ ่ วยไดร้ บั ยาละลาย ล่ิมเลือด (door to needle time) ไดต้ ามเกณฑเ์ พิม่ ข้ นึ 6) ขยายผลการพฒั นาในโรงพยาบาลท่ีอยู่ห่างไกลและโรงพยาบาลที่สมัครใจ เพ่ือใหม้ ีโรงพยาบาลท่ีสามารถบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดไดม้ ากข้ นึ 7) พฒั นาเป็ นหลักสูตรการเตรียมความพรอ้ มโรงพยาบาลในการบริหารใหย้ า ละลายล่ิมเลือด โดยการเสริมพลงั และเน้นการพฒั นาทักษะในประเด็นที่ยงั ปฏบิ ตั ไิ ดน้ อ้ ยการใหเ้ หตุผลและสรา้ งความเขา้ ใจท่ีถกู ตอ้ งเก่ยี วกบั การทา EKG V3R,V4R,ก า ร ท า EKG น า ที ท่ี 90แ ล ะ 120น า ที ก า ร ฝึ ก ใ ช้เค รื่ อ ง transcutaneous pacing 8) ปรับเพิ่มเน้ ือหาเกี่ยวกับแนวทางการกรอกขอ้ มูลโปรแกรม DMIS เพ่ือขอ ชดเชยค่ายา และแนวทางการเกบ็ ขอ้ มูลตวั ช้ วี ดั คุณภาพงาน STEMI 9) การพฒั นานวตั กรรม SK Kit เพือ่ ใชใ้ นการสาธิตการเตรียมยาละลายลิ่มเลือด 10)เพิ่มการจัดวิชาการโรคหัวใจ STEMI สัญจรระหว่างโรงพยาบาล และ การศึกษาดูงานและถอดบทเรียนในโรงพยาบาลท่ปี ระสบผลสาเร็จในการการ บริหารยาละลายลิ่มเลือดท้งั โรงพยาบาลกนั ทรลักษณ์ โรงพยาบาลตระการ พืชผลและโรงพยาบาลดงหลวงเพื่อเสริมสรา้ งความมนั่ ใจ และการเสริมพลงั อานาจแกบ่ คุ ลากรพยาบาลในโรงพยาบาลท่ีสามารถการบริหารยาละลายลิ่ม เลือดได้ ผลการพัฒนารอบท่ี 2 ทาใหม้ ีโรงพยาบาลท่ีสามารถการบริหารบริหารใหย้ า ละลายลิ่มเลือดชนิด SK ไดเ้ พิม่ ข้ นึ เป็ น 39 โรงพยาบาล ในปี 2558

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 13 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) การพัฒนาวงรอบที่ 3 ปี 2559 เพ่ิมกลยุทธ์ในการเสริมสรา้ งแรงจงู ใจโดยการ เชิดชเู กียรติและมอบวุฒิบตั รแก่โรงพยาบาลท่ีสามารถบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือด SK ได้ โดยผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพท่ี 10 และการจัดเวทีประกวด STEMI Rally โดยใช้ สถานการณจ์ าลองและแสดงบทบาทสมมุติ (Role play) ในการดูแลรกั ษาพยาบาลผูป้ ่ วย STEMI ท่ีใหย้ าละลายล่ิมเลือด SK ร่วมกบั ทีมสหสาขาวิชาชีพเพ่ือประเมินสมรรถนะของ ทีมบุคลากรในโรงพยาบาลที่มีความพรอ้ มในการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือด SK แต่ยงั ไม่ มีผปู้ ่ วย STEMI ทาใหบ้ ุคลากรมกี ารทบทวนทกั ษะข้นั ตอนที่สาคญั และจาเป็ นเพือ่ ใหบ้ ริการ ผปู้ ่ วย STEMI ทกี่ ารบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดSKไดร้ ่วมกบั ทีมสหสาขาวิชาชพี ผลการพฒั นาวงรอบท่ี 3 ทาใหม้ ีโรงพยาบาลท่ีสามารถบริหารใหย้ าละลายลิ่ม เลือดชนิ ด SK ได้เพ่ิมข้ ึนเป็ น 60 โรงพยาบาล ในปี 2559 (ตารางที่ 1) ทาให้ โรงพยาบาลระดบั F2 สามารถใหย้ าไดค้ รบท้งั 47 แห่ง(รอ้ ยละ100)ตามเกณฑเ์ ป้ าหมาย ของกระทรวงสาธารณสุข ตาราง ที่ 1 จานวนโรงพยาบาลระดบั F2 ข้ นึ ไปท่ีสามารถบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดได้ และอตั ราผปู้ ่ วย STEMI ที่ไดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือด SK /การขยายหลอดเลือด หวั ใจ(PCI) ใน เขตสขุ ภาพที่ 10 ปี จานวนโรงพยาบาลท่ี อตั ราผปู้ ่ วย STEMI ทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยา สามารถใหย้ า SK ละลายล่ิมเลือด SK/PCI (%) 2555 5 (7.9%) - 2556 17 (26.9%) 78.1 2557 20 (31.7%) 78.5 2558 39 (61.9%) 82.11 2559 60 (100%) 74.36 2560 60 (100%) 79.08 หลังการพัฒนาพบว่าพยาบาลมีสมรรถนะในการอ่านและแปลผล EKG ที่เป็ น STEMI ไดเ้ พ่ิมมากข้ ึนโดยเฉพาะกรณีท่ีมีการยกของ ST segment ที่ชดั เจนใน LII , LIII , avF (STEMI ชนิด Inferior wall ) และกรณีท่ีมีการยกของ ST segment in V1-V4 (STEMI ชนิด anterior wall) ทาใหม้ ีความเขา้ ใจและเห็นความสาคญั ในการทา EKG V3R,V4R ใน กรณีที่เป็ น STEMI ชนิด Inferior wall มากข้ ึน สามารถให้คาแนะนาและถ่ายทอดองค์

14 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ความรูแ้ ละทักษะการอ่าน EKG แก่พยาบาลคนอื่นได้ สามารถพัฒนาสมรรถนะเป็ น วิทยากรกลุ่มเรื่อง EKG ไดจ้ านวน 13 คน และมีความสามารถในการเตรียมยาละลาย ล่ิมเลือด SK และบริหารยาละลายล่ิมเลือด SK ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพแต่ช่วงแรกยังใช้ เวลาในการเตรียมยานานและยงั เกดิ ฟองเล็กน้อยและสามารถเฝ้ าระวงั สงั เกตอาการผูป้ ่ วย หลงั ไดร้ บั ยาและสามารถใหก้ ารพยาบาลขณะส่งตอ่ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม และมีการเฝ้ า ระวงั ติดตามการทา EKG หลังบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดในนาทีท่ี 90,120 นาทีเพื่อ ประเมนิ ภาวะ reperfusion เพมิ่ มากข้ นึ และไมพ่ บอุบตั ิการณก์ ารไม่ทา EKG ดงั กล่าว แต่อย่างไรก็ตามการพฒั นาคร้งั น้ ียงั ขาดการประเมินสมรรถนะของพยาบาลในการ อ่าน EKG และการบริหารยา SK ท่ีเป็ นรูปธรรมชดั เจนจึงไดม้ ีการพัฒนาแบบประเมิน สมรรถนะพยาบาลในการอ่าน EKG และแบบประเมินสมรรถนะพยาบาลในการบริหาร ยาละลายล่ิมเลือด SK ข้ ึนเพื่อใชใ้ นการประเมินสมรรถนะพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 10 ตอ่ ไป ผลลพั ธข์ องการพฒั นาทาใหผ้ ปู้ ่ วยSTEMI ในเขตสุขภาพที่ 10 ไดร้ ับการรกั ษาดว้ ย ยาละลายลิ่มเลือดชนิด SK เพิ่มข้ ึนจากเป็ น 150 คน ในปี 2556 เป็ น 279 คน ในปี 2557 ลดลงเป็ น 241 คน (รอ้ ยละ 48.98) ในปี 2558 เพิ่มเป็ น 335 คน ในปี 2559 (รอ้ ยละ 44.72) และเพ่ิมข้ ึนเป็ น 414 คน (รอ้ ยละ 54.12) ในปี 2560 ส่งผลใหอ้ ตั รา การไดร้ ับการรักษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือด/การขยายหลอดเลือดหัวใจ (PCI) ในผูป้ ่ วย STEMIเพมิ่ ข้ นึ จากรอ้ ยละ 78.1 ในปี 2556 เพม่ิ เป็ น รอ้ ยละ 78.5 ในปี 2557และรอ้ ยละ 82.11 ในปี 2558 และลดลงเป็ นรอ้ ยละ 74.36 ในปี 2559 และเพิ่มเป็ นรอ้ ยละ79.08 ในปี 2560 (ตารางที่ 1) นอกจากน้ ียังพบว่าจานวนผู้ป่ วยที่ถูกส่งต่อแม่ข่ายระดับ A เพื่อมาทาการรกั ษาโดยการขยายหลอดเลือดหวั ใจเพื่อช่วยชีวิต (rescue PCI) มีแนวโน้ม ลดลงจาก 74 รายในปี 2557 เป็ น 57 ราย 28 ราย และ 17 รายในปี 2558 2559 และ 2560 ตามลาดบั สะทอ้ นถึงการรักษาดว้ ยยาละลายลิ่มเลือด SK ท่ีมีประสิทธิภาพ สามารถเปิ ดหลอดเลือดหวั ใจ (reperfusion) ไดม้ ากข้ นึ อภิปรายผล การพฒั นาสมรรถนะพยาบาลในการบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดชนิด SK ในเขต สุขภาพท่ี 10 เป็ นการดาเนินงานตามนโยบายการพฒั นาสมรรถนะโรงพยาบาลในการ บริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดของกระทรวงสาธารณสุข ซ่ึงเป็ นกลยุทธ์เกี่ยวกบั การเปิ ด หลอดเลือด (Reperfusion)ที่รวดเร็วเพอ่ื ช่วยลดอตั ราการเสียชีวิตในผูป้ ่ วย STEMI ซึ่งเป็ น การพัฒนาที่ทา้ ทายบทบาทของทีมแม่ข่ายระดับ A อย่างย่ิงเน่ืองจากเขตสุขภาพที่ 10 มีจานวนโรงพยาบาลระดบั F2 จานวนมากถงึ 47 โรงพยาบาลและบุคลากรในโรงพยาบาล

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 15 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) เครือข่ายส่วนใหญ่ยงั มีความรูไ้ ม่เพียงพอและทศั นคติที่ไม่ดีต่อการบริหารใหย้ าละลาย ล่ิมเลือด SK ทาใหม้ ีความหวาดกลวั กลวั การถูกฟ้ องรอ้ งรอ้ งเรียน ดงั น้ันการดาเนินงาน ดังกล่าวจึงตอ้ งใชท้ ้ังศาสตร์และศิลป์ ในการดาเนินงานการพูดจาโน้มน้าวทีมสหสาขา วชิ าชีพและการเสริมพลงั อานาจแก่ทีมพยาบาล โดยใชก้ ระบวนการ PDCA ซึ่งมีวงรอบการ พฒั นา 3 คร้งั โดยในการพฒั นาแต่ละคร้งั จะมีการปรบั ปรุงแกไ้ ขตามปัญหาที่พบร่วมกับ การใชก้ ระบวนการจัดการความรู้ (KM) ซึ่งทาใหเ้ กิดการแลกเปล่ียนเรียนรูท้ ักษะและ วธิ ีการที่ถูกตอ้ งท้งั การอ่าน EKGและทกั ษะการเตรียมยาละลายล่ิมเลือด SK การบริหาร ยาละลายลิ่มเลือดและการเฝ้ าระวงั สงั เกตอาการผปู้ ่ วยไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง การพฒั นาสมรรถนะพยาบาลในดา้ นการอ่าน EKG ท่ีเป็ น STEMI ที่พบบ่อยใน เครือข่าย การพยาบาลผูป้ ่ วยท้งั ก่อนการบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือด การซักประวตั ิแบบ NOPQRST การซักประวตั ิขอ้ หา้ มใชย้ า โดยเฉพาะผูป้ ่ วยที่มีประวตั ิการไดร้ ับอุบตั ิเหตุร่วม ดว้ ย7 เพ่ือป้ องกนั ภาวะเลือดออกในสมอง การเตรียมยาผสมยาที่มีประสิทธิภาพ และการ พยาบาลขณะการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือด SK รวมท้งั การพยาบาลขณะส่งต่อ ทกั ษะ การใชเ้ ครื่อง transcutaneous pacing กรณีหวั ใจเตน้ ชา้ รวมท้งั ทกั ษะการแกไ้ ขภาวะวิกฤต ฉุกเฉิน และการพยาบาลหลังการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดโดยการเฝ้ าระวงั การเกิด ภาวะแทรกซอ้ นหลงั การบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดท่ีสาคญั คือภาวะเลือดออกในสมอง หรือเลือดออกจากอวยั วะตา่ งๆ8 เพ่ือใหผ้ ปู้ ่ วยปลอดภยั รวมท้งั การสรา้ งแรงจงู ใจ การเสริม พลังอานาจแก่พยาบาลในโรงพยาบาลเครือข่ายการติดตามนิเทศใหค้ าปรึกษาแนะนา ในการดาเนินงานจนสามารถพฒั นาเป็ นหลักสตู รในการเตรียมความพรอ้ มโรงพยาบาล ในการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือด SKได้ และผลการพฒั นาคร้งั น้ ียงั ช่วยทาใหพ้ ยาบาล มีสมรรถนะในการอ่าน EKG ที่เป็ น STEMI ไดอ้ ย่างมนั่ ใจสามารถเป็ นวิทยากรกลุ่มเร่ือง EKG ในเขตและจงั หวดั ได้ ช่วยสรา้ งความมนั่ ใจเร่ืองการอ่าน EKGไดม้ ากข้ นึ อย่างไรก็ตาม ยงั ขาดการประเมินสมรรถนะพยาบาลในเรื่องการอ่าน EKGและการบริหารยาละลาย ลิ่มเลือดSK ท่ีเป็ นรูปธรรมชัดเจนซึ่งทาใหม้ ีการพฒั นาแบบประเมินสมรรถนะพยาบาล ในการอ่าน EKG และการบริหารยาละลายล่ิมเลือด SK ในเขตสุขภาพที่ 10 ต่อไป และ ยงั มีการปรับหลักสูตรการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั ิการ EKG 9 Steps for Nurse9 ช่วยทาให้ พยาบาลมีความเขา้ ใจและมขี น้ั ตอนและในการอ่าน EKG อยา่ งง่ายได้ ในการพฒั นาคร้งั น้ ีไดน้ าหลกั การการจดั การความรูม้ าประยุกตใ์ ชโ้ ดยการจดั เวที แลกเปลี่ยนเรียนรูท้ กั ษะประสบการณ์การบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือดในโรงพยาบาลนา ร่องที่สามารถเป็ น role model ที่ดีซึ่งเป็ นกลไกกระตุน้ ใหโ้ รงพยาบาลเครือข่าย ให้มี แรงจูงใจในการพฒั นาศกั ยภาพโรงพยาบาลท่ีดี รวมท้งั การจดั เวทีประกวด STEMI Rally

16 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) นับเป็ นกลยุทธท์ ี่สาคญั ในการตดิ ตามประเมินทกั ษะการทางานของทีม สหสาขาวิชาชีพใน โรงพยาบาลที่มีความพรอ้ มในการบริหารยาละลายลิ่มเลือด SKแต่ยงั ไม่มีผูป้ ่ วย STEMI จริงโดยใชส้ ถานการณ์จาลองทาใหบ้ ุคลากรมีความมนั่ ใจในการใหบ้ ริการผูป้ ่ วย STEMI ท่ีไดร้ บั ยาละลายล่ิมเลือด SK มากข้ นึ ซึ่งเป็ นการนาความรสู้ ่กู ารปฏบิ ตั ทิ ่ชี ดั เจน ผลการพฒั นาดงั กล่าวทาใหผ้ ูป้ ่ วย STEMI ท่ีอยู่ห่างไกลสามารถเขา้ ถึงยาละลาย ลิ่มเลือด SKไดม้ ากข้ ึนไดร้ ับความปลอดภยั เกิดความพึงพอใจ “เหมือนเทวดา มาโปรด” และ “ คงไม่รอดแน่ๆ ถา้ ไม่ไดย้ ามาก่อน” เป็ นคาสะทอ้ นจากผูป้ ่ วยที่ไดร้ ับยาละลายลิ่ม เลือดจากโรงพยาบาลระดับ F2 ข้ ึนไปและบุคลากรโรงพยาบาลเครือข่ายเกิดความ ภาคภูมิใจสามารถบริหารยาละลายลิ่มเลือดไดอ้ ย่างมัน่ ใจ “case แรกเวลาซักประวัติ ภาวนาอยากใหม้ ีขอ้ หา้ มใชย้ าจะได้ refer …แต่เด๋ียวน้ ีมนั่ ใจแลว้ ค่ะ” สามารถในการบริหาร ยาละลายลิ่มเลือดไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และมีการพัฒนาแบบประเมินสมรรถนะ พยาบาลในการบริหารยาละลายลิ่มเลือดเพื่อใชเ้ ป็ นแนวทางในการพฒั นาในเขตสุขภาพ ท่ี 10 นอกจากน้ ียงั พบวา่ บคุ ลากรพยาบาลในโรงพยาบาลเครือข่ายมสี มรรถนะในการอา่ น EKG โดยเฉพาะกรณีท่ีเป็ น STEMI มีความมนั่ ใจมากข้ ึนสามารถเป็ นวิทยากรกลุ่มในการ สอน EKG และการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในพ้ ืนท่ีท่ีรับผิดชอบได้ และมีผลงานการ นาเสนอไดร้ บั รางวลั ในเวทีตา่ งๆ ส่วนอตั ราการเสียชวี ติ ของผปู้ ่ วย STEMI พบวา่ ลดลงจาก รอ้ ยละ 13.8 ในปี 2556 เป็ นรอ้ ยละ 8.2 ในปี 2557 และเพิ่มเป็ น รอ้ ยละ11.18 และ เป็ นรอ้ ยละ 14.02 และ 14.51ในปี 2559 และ 2560 ตามลาดบั ซ่ึงตอ้ งหาสาเหตุและ แนวทางแกไ้ ขตอ่ ไป การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในโรงพยาบาลเครือข่ายระดับ F2 ข้ ึนไปในการ บริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือด SK นับเป็ นบทบาทสาคัญของโรงพยาบาลแม่ข่ายท่ีตอ้ ง ส่งเสริมพัฒนาสมรรถนะพยาบาลในโรงพยาบาลเครือข่ายเพ่ือช่วยให้ผู้ป่ วย STEMI สามารถเขา้ ถึงการรกั ษาท่ีมีคุณภาพไดอ้ ย่างรวดเร็ว ซึ่งตอ้ งอาศยั การทางานอย่างมีส่วน ร่วมทง้ั จากทีมสหสาขาวิชาชพี ในโรงพยาบาลและในเครือข่ายจงึ จะชว่ ยใหก้ ารดาเนินงานที่ ยงั่ ยืน การประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนใ์ นงานประจา 1. สามารถนาทกั ษะเทคนิคการเตรียมยา ผสมยาละลายลิ่มเลือดที่มีประสิทธิภาพ (ไม่เกดิ ฟอง) ไปประยุกตใ์ ชใ้ นเครือข่ายและเครือขา่ ยอืน่ ๆได้ 2. โรงพยาบาลแม่ข่าย ระดบั A และแม่ข่ายระดบั S สามารถนาวิธีการ รูปแบบ และ หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลระดับ F2 ข้ ึนไปในการบริหารให้ ยาละลายล่ิมเลือดชนิด Streptokinase (SK) ไปประยุกตใ์ ชใ้ นเขตและเขตสุขภาพ

วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 17 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) อื่นๆได้ ทาให้โรงพยาบาลระดับ F2 ข้ ึนไปสามารถการบริหารให้ยาละลาย ล่ิมเลือดไดม้ ากข้ ึนช่วยทาใหผ้ ูป้ ่ วย STEMI ไดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยาละลายล่ิมเลือด ในภาพรวมระดบั ประเทศเพิ่มมากข้ นึ 3. สามารถนาเทคนิค ทกั ษะการซักประวตั ิแบบ NOPQRST model ไปประยุกตใ์ ชใ้ น การซกั ประวตั ผิ ปู้ ่ วย STEMI ในโรงพยาบาลอ่นื ได้ 4. สามารถนาแผ่นวีดีทัศน์การพยาบาลผู้ป่ วย STEMI ท่ีการบริหารใหย้ าละลาย ลิ่มเลือดไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ บทเรยี นทไี่ ดร้ บั 1. การพฒั นาเครือขา่ ยแบบมีสว่ นร่วมและการเสริมพลังอานาจเครือข่ายเป็ นการ พฒั นาทยี่ งั่ ยืน 2. การใชก้ รณีศึกษาผูป้ ่ วย STEMI ในโรงพยาบาลเครือข่ายท่ีน่าสนใจประเด็น ต่างๆ เช่น การบริหารให้ยาละลายล่ิมเลือดที่ประสบผลสาเร็จ รวมท้ัง กรณีศึกษาทีม่ ีการวนิ ิจฉยั คลาดเคลื่อน รวมทง้ั หลกั การพยาบาลผปู้ ่ วย STEMI ที่ไดร้ บั ยาแลว้ เกิดภาวะแทรกซอ้ นท่ีพบบ่อย เช่น BP Drop ภาวะหวั ใจเตน้ ชา้ และการจดั การแกไ้ ข การเฝ้ าระวงั ขณะสง่ ต่อ กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การเรียนรทู้ ี่ดี 3. การพฒั นาสมรรถนะบคุ ลากรเร่ืองการอา่ นและแปลผล EKG พ้ นื ฐาน และการ อ่านและแปลผล EKGในผูป้ ่ วย STEMI เป็ นสิ่งท่ีมีความสาคญั และจาเป็ นใน การพฒั นาศกั ยภาพโรงพยาบาลในการบริหารใหย้ าละลายล่ิมเลือดได้ 4. การลงมือฝึกปฏิบัติจริงจะทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ มีทกั ษะและเกิดความมนั่ ใจ มากข้ นึ ท้งั การอ่าน EKG ในผปู้ ่ วย STEMI และการฝึกผสมยาละลายลิ่มเลือด กติ ตกิ รรมประกาศ ขอขอบพระคุณผูบ้ ริหารเขตสุขภาพที่ 10 ทุกท่านท่ีสนับสนุนใหม้ ีการดาเนินงาน ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณทีมสหสาขาวิชาชีพทุกท่าน ขอขอบคุณ หวั หนา้ พยาบาลโรงพยาบาลสรรพสทิ ธิประสงค์ และหวั หน้าพยาบาลโรงพยาบาลเครือขา่ ย ทุกระดบั ทีม่ ีส่วนร่วมในการดาเนินงานและชว่ ยใหก้ ารดาเนินคร้งั น้ ีสาเร็จลุล่วงดว้ ยดี และ ขอขอบพระคุณผปู้ ่ วย STEMI ทกุ ท่าน

18 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) เอกสารอา้ งองิ 1. กมั ปนาท วีรกุล, จิตติ โฆษิตชยั วฒั น์, บรรณาธิการ. 7 R การลดอตั ราตายในโรค หลอดเลือดหวั ใจอุดตนั . นนทบรุ ี: ศรีนครดไี ซน์พร้ ินต้ งิ , 2557. 2. เกรียงไกร เฮงรศั มี และ กนกพร แจม่ สมบรู ณ.์ มาตรฐานการรกั ษาผปู้ ่ วย กลา้ มเน้ ือหวั ใจขาดเลือดเฉียบพลนั 2557. ปรบั ปรุงคร้งั ที่ 3 สถาบนั โรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2557. 3. โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค.์ การพฒั นาศกั ยภาพโรงพยาบาลระดบั M1-F2 ใน การบริหารใหย้ าละลายลิ่มเลือด ในผปู้ ่ วยโรคกลา้ มเน้ ือหวั ใจตายเฉียบพลนั ชนิด STEMI เขตบริการสุขภาพท่ี 10: บทบาทแมข่ า่ ยระดบั A. เอกสารประกอบการ ประชุมระบบบริการสุขภาพ; 25 กนั ยายน 2557; อบุ ลราชธานี. 4. คณะกรรมการพฒั นาระบบบริการสขุ ภาพ สาขาโรคหวั ใจ และสานักบริหารการ สาธารณสุข. ค่มู ือการดาเนินการตามแผนพฒั นาระบบบริการสุขภาพ(Service plan) สาขาโรคหวั ใจ เรื่องแนวทางการสรา้ งเครือข่ายการดูแลผปู้ ่ วยกลา้ มเน้ ือหวั ใจ ตายเฉียบพลนั . โตมร ทองศรี (บรรณาธกิ าร) กรุงเทพ, บริษทั โอ-วทิ ย์ (ประเทศ ไทย) จากดั . 2559. 5. สุเพยี ร โภคทิพย.์ คูม่ อื การดแู ลผปู้ ่ วยโรคหวั ใจและหลอดเลือด เขตสขุ ภาพที่ 10. อุบลราชธานี: อบุ ลกจิ ออฟเซทการพมิ พ;์ 2558. 6. Morton PG. & Fontaine DK. Critical Care Nursing: A Holistic Approach. 10ed Wolters Kluwer, Lippincott Williams & Wilkins. 2013. 7. สเุ พยี ร โภคทพิ ย.์ การพยาบาลผปู้ ่ วยโรคกลา้ มเน้ ือหวั ใจตายเฉียบพลนั ชนิด STEMI ร่วมกบั การบาดเจบ็ ทศ่ี ีรษะและมีภาวะเลือดออกในสมอง: ความทา้ ทายในการ ปฏิบตั ิการพยาบาล. สรรพสิทธิเวชสาร. 2558;36:133–49. 8. Taheri L, Zargham-Boroujeni A, Jahromi MK, et al. Effect of Streptokinase on Reperfusion After Acute Myocardial Infarction and Its Complications: An Ex- Post Facto Study. Glob J Health Sci. 2015;7:184–9. 9. สเุ พยี ร โภคทพิ ย.์ EKG 9 Steps For Nurse: อบุ ลกิจออฟเซทการพมิ พ;์ 2559.

รูปแบบการดาเนินงานบา้ นปลอดบุหรี่แบบมีสว่ นรว่ ม ในพ้ ืนท่ี โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลปทุม อาเภอเมือง จงั หวดั อบุ ลราชธานี วลิ าวลั ย์ หลกั เขต1 สาราญ พลู ทอง2 สุปราณี เมืองโคตร3 บทคดั ยอ่ สถานการณ์การสูบบุหรี่ก็ยังมีแนวโน้มสูงข้ ึนอย่างต่อเน่ืองโดยเฉพาะในกลุ่ม วยั รุ่นและวัยทางาน มีนักสูบหน้าใหม่เกิดข้ ึนเสมอ การศึกษาคร้ังน้ ีมีวตั ถุประสงค์เพื่อ ศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการดาเนินงานบา้ นปลอดบุหรี่และพฤติกรรม การสูบบุหร่ีของคนในชุมชนเป้ าหมาย กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนอายุ15 ปี ข้ ึนไปอยู่ใน เขตความรบั ผิดชอบของโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลปทุมที่สมคั รใจเขา้ ร่วมโครงการ จานวน 850 หลังคาเรือน ผทู้ ี่สบู บุหรี่จานวน 311 คน และคณะกรรมการจานวน 60 คน ดาเนินงานผ่านกระบวนการจดั การคุณภาพ 3 วงรอบ วดั ผลการพฒั นาตามข้นั ตอนการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรม (Stages of change) ระหว่าง เดอื นมิถุนายน 2558 ถึงมกราคม 2560 เก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยใชก้ ารบนั ทึก การสังเกต แบบคดั ลอกขอ้ มูลและแบบสารวจ สถานการณ์ พฤตกิ รรมการสบู บหุ รี่ในชุมชน แบบเกบ็ ขอ้ มลู ตดิ ตามพฤติกรรมการสบู บุหร่ี ในชุมชนและในคลินิกฟ้ าใส วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้ ความถ่ี รอ้ ยละ และการวิเคราะห์ เน้ ือหา ผลการวิจยั พบวา่ กระบวนการมีส่วนร่วมในการดาเนินงานบา้ นปลอดบุหรี่โดย ชุมชน ประกอบดว้ ย การสารวจสถานการณ์ปัญหาการ mapping หลงั คาเรือนท่ีสูบบุหรี่ คืนขอ้ มูลชุมชน การประกาศนโยบายบา้ นปลอดบุหร่ี สรา้ งมาตรการทางสงั คมเพือ่ ปฏิบตั ิ ร่วมกนั สรา้ งสอื่ เพลงคนบา้ นเดยี วกนั ชวนเลิกบุหร่ี การรณรงคต์ อ่ เน่ืองในชุมชน ต้งั คลินิก ฟ้ าใสบาบดั ในโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบล การใหค้ วามรโู้ ดยใชห้ ลกั 5A มอบสาสน์ ใหค้ วามรู้พิษภัยบุหรี่และเชิญเขา้ รับบริการในคลินิกฟ้ าใส รวมท้ังติดตามเย่ียมบา้ น ในชุมชน ผลจากกระบวนการดาเนินงานทาใหจ้ านวนคนที่สูบบุหรี่ลดลงจาก 311 คน 1 นักวชิ าการสาธารณสขุ โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบลปทมุ อ.เมอื ง จ.อุบลราชธานี 2 -3 พยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบลปทุม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

20 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) (รอ้ ยละ 9.15) เป็ น 258 คน (รอ้ ยละ7.59) เลิกสูบบุหรี่ 53 คน (รอ้ ยละ 17.04) และ ในจานวนน้ ี เป็ นสมาชิกที่อยู่ในครอบครัว ที่มีเด็กและหญิงต้ังครรภ์ถึง 37 คน (รอ้ ยละ 39.78) ดา้ นพฤติกรรมการสูบบุหร่ีของคนในครอบครัวเปล่ียนไป โดยพบว่า สบู บุหร่ีท้งั ในและนอกบา้ นลดลงจากรอ้ ยละ 64.31 เป็ น 29.59 และในครอบครัวที่มีเด็ก และหญิงต้งั ครรภล์ ดลงจากรอ้ ยละ 90.32 เป็ น 21.51 กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ก่อใหเ้ กิดรูปแบบการเขา้ ถึงกลุ่มเป้ าหมายผูส้ ูบบุหรี่แบบชุมชนร่วมคิดหารูปแบบและ แนวทางปฏิบตั ริ ่วมกนั เพื่อแกไ้ ขปัญหาโดยมกี ิจกรรมทตี่ อ่ เน่ือง คาสาคญั : รูปแบบ, บา้ นปลอดบหุ ร่ี, แบบมสี ่วนร่วม, ชุมชน

วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 21 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) The Process Model of Participatory Non-Smoking House in Patum District Health Promotion Hospital, Amphoe Muang, Ubon Ratchathani Wilawan Lakket1 Sumrarn Phulthong2 Supranee Muangkote3 Abstract Smoking is still on the rise, especially among adolescents, working people and there are the new smokers. The purpose of this study was to investigate the community participation process in the non-smoking house and the smoking behavior of the target people in community. The sample was the residents who over 15 years that reside in the responsibility of the Patum Sub-District Health Promotion Hospital, 850 household volunteers participated in the project. Of 311 smokers and 60 board members worked through three quality management processes, and evaluated stages of change from July 2015 to January 2017. Data collections were data logging, observation forms, smoking habits in the community survey, smoking cessation behaviors in the community and in the clinic form. Data analysis were used frequency, percentage and content analysis. The results found that the process of participation in the community's non-smoking house included surveying the problem, mapping of smoking household, returning the information to community, announcing the non-smoking house policy, creating the social rule, creating the media to smoking cessation, continuing campaign in the community, setting up a blue-sky clinic in the district health promotion hospital, providing the knowledge with 5A by invitation newsletters to the clinic, and following home visit in the community. The results of the process found the number of people who smoke decreased from 311 (9.15%) to 258 (7.59%), and 53 smoking cessations (17.04%) that there were 37 children and pregnant women (39.78%) in the smoking behavior of the family. The behavior of smoking in the family changed that smoking decreased from 64.31 to 29.59, and

22 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) in families with children and pregnant women decreased from 90.32 to 21.51. The process of the community participation has created a model for reaching out to community smokers’ targets that community seek common patterns and practices to address problems with ongoing activities. Keywords: model, non-smoking house, participation, community

วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 23 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ความสาคญั ของปัญหา การสูบบุหรี่เป็ นปัญหาสาธารณสุขที่สาคญั ของไทย การสูบบุหร่ีและควนั บุหรี่มือ สอง เป็ นสาเหตุของโรคเร้ ือรังและโรคมะเร็งหลายชนิด ประชาชนทัว่ ไปจะรับรูว้ ่าบุหรี่ ทาลายสุขภาพ แมจ้ ะมีกฎหมายหา้ มสบู บุหรี่ในสถานท่ีที่กฎหมายกาหนดแตก่ ารสบู บหุ รี่ยงั มีแนวโน้มสูงข้ ึนเรื่อยๆ โดยในกลุ่มวยั รุ่นและวยั ทางาน ปัจจบุ นั คนไทยสบู บุหร่ี 11.4 ลา้ น คน มีอตั ราการสบู รอ้ ยละ 20.7 โดยสบู เป็ นประจา 10 ลา้ นคน อตั ราการสูบในกลุ่มอายุ 15-24 ปี รอ้ ยละ 14.7 เริ่มสบู บุหรี่อายุ 20 ปี รอ้ ยละ 22.54 และตา่ สุด คอื อายุ 6 ปี 15 สารนิโคตินในบุหร่ีเป็ นสารเสพติดท่ีเกิดอนั ตรายต่อการเป็ น โรคหวั ใจ ถุงลมโป่ งพองและ มะเร็งอ่ืนๆ รวม 10 ชนิ ด บุหร่ีมีสารพิษกว่า 4000 ชนิด อาทิเช่น สารทาร์ ฟี นอล อลั ดีไฮล์ คีโตน คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็ นตน้ ซึ่งควนั บุหร่ีเป็ นอนั ตรายต่อเด็กและทารก ทาใหค้ ลอดก่อนกาหนด น้าหนักตวั นอ้ ยและทาใหเ้ ป็ นหอบหดื นอกจากน้ ีพอ่ แม่ท่ีสบู บุหรี่ ก็อาจเป็ นสาเหตุที่ทาใหล้ กู ติดบุหรี่ และท่ีสาคญั ประชากรไทยไดร้ บั ควนั บุหรี่จากในบา้ นสงู ถึงรอ้ ยละ 39.114 การเฝ้ าระวงั พฤติกรรมการบริโภคยาสูบของคนไทยจึงตอ้ งดาเนินการ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหร่ีท่ีมีผลต่อกลุ่มสตรี เด็กและวยั รุ่นที่อาจเป็ นผู้ สูบรายใหม่และผูร้ ับควนั บุหร่ีมือสอง ดงั น้ัน วยั รุ่น หญิงต้งั ครรภ์ หญิงหลังคลอดและเด็ก ทารกจึงเป็ นประชากรกลุ่มเส่ียงท่ีมีโอกาสไดร้ บั ผลกระทบทางสุขภาพจากการสูบบุหร่ีมือ สอง ของคนในครอบครัว และสาหรบั เด็กที่ไดร้ บั ควนั บหุ ร่ีอาจจะมีโอกาสเกิดภาวะไหลตาย (Sudden Infant death syndrome: SIDS) ปอดอักเสบติดเช้ ือหรือภูมิแพ้หอบหืดได้ มากกวา่ เด็กทวั่ ไป4 ปั จจุบันได้มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่ องและพบว่ามีอัตราผู้เลิกบุหร่ีเพ่ิมข้ ึน แต่จานวนผูส้ บู บหุ ร่ีรายใหมย่ งั คงเพ่ิมข้ นึ อย่างตอ่ เนื่อง จากสถิติของมูลนิธริ ณรงคเ์ พ่ือการ ไม่สูบบุหร่ีระบุว่า ช่วงปี พ.ศ.2529-2552 มีคนไทยเลิกบุหร่ีได้ 6.3 ล้านคน คิดเป็ น วันละ 756 คน แต่มีวัยรุ่นไทยเป็ นนักสูบหน้าใหม่ติดบุหรี่เพิ่มข้ ึนวันละ 980 คน10 หลกั สาคญั ของการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมของผูส้ บู บุหรี่คือการสรา้ งแรงจูงใจใหผ้ ูต้ ิดบุหรี่ ตระหนักถึงปัญหาการสบู บุหร่ี ร่วมกบั การใหค้ าปรึกษาและการช่วยเหลือจนสามารถเลิก บุหรี่ไดส้ าเร็จ1 มีการศึกษาพบว่าความต้งั ใจในการเลิกบุหร่ี มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการ ช่วยเลิกบุหร่ีของสมาชิกครอบครวั หญิงต้งั ครรภ์ที่มาฝากครรภ์ในโรงพยาบาลเลิดสิน13 เช่นเดียวกบั วนั เพ็ญ ดวงมาลา วนั ทนีย์ ทองหนุนและคณะ5 ไดใ้ ชโ้ ปรแกรมการเสริมสรา้ ง แรงจงู ใจบาบดั ผูต้ ิดบุหรี่ระดบั เล็กน้อยถึงปานกลาง ทาใหม้ ีแรงจูงใจที่มนั่ คงและเลิกบุหร่ี ได้ แต่ในบริบทของชุมชนยงั มีปัจจยั อนื่ ท่ีกระตนุ้ ใหส้ ูบบุหร่ี โดยยงั ไม่มีการแกไ้ ขเร่ืองควนั

24 วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) บุหรี่มือสองและการป้ องกันนักสูบหน้าใหม่ การช่วยเหลือผูส้ ูบบุหรี่โดยครอบครัวและ ชุมชน มีความสาคญั ในการช่วยสรา้ งแรงจงู ใจใหค้ วามชว่ ยเหลือ และร่วมวางแผนกจิ กรรม การเลิกบหุ ร่ีอย่างต่อเน่ือง6 ชุมชนตาบลปทุม อาเภอเมือง จงั หวดั อุบลราชธานี ตระหนักถงึ ปัญหาดงั กล่าวจึง ไดม้ กี ารคดั กรองตรวจสุขภาพเชิงรุกของประชาชนอายุ 35 ปี ข้ นึ ไปในปี พ.ศ. 2558 พบว่า มภี าวะเส่ียงตอ่ การป่ วยเป็ นโรคความดนั โลหิตสงู เกินเกณฑป์ กติ จานวน 519 ราย คดิ เป็ น รอ้ ยละ 29.74 ของจานวนผู้ตรวจคัดกรองท้ังหมด ซึ่งในจานวนน้ ีมีความเส่ียงโดยมี พฤติกรรมสุขภาพเก่ียวกับการสูบบุหร่ีในครอบครัว ส่วนในดา้ นผูป้ ่ วยเร้ ือรังท่ีป่ วยเป็ น โรคเบาหวานและความดนั โลหิตสูงท่ีรบั บริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปทุม ในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ าตาลและความดันโลหิตไม่ได้ พบว่ายังสูบบุหรี่วันละ 5-10 มวน/วัน ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิต กะทันหันถึง 2 ราย (สรุปผลงานประจาปี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปทุม ปี 2558) ดา้ นครอบครัว พบวา่ สมาชิกในครอบครวั ยงั ไม่ทราบถงึ พษิ ภยั ของบหุ ร่ีมือสองต่อคนในครอบครวั เดก็ และ หญิงตง้ั ครรภย์ งั มีการสบู บหุ ร่ีทุกท่ที ี่ตอ้ งการ ส่วนเดก็ นักเรียนประถมเคยลองสบู บุหรี่ต้งั แต่ อายุ 10 ปี ดว้ ยความอยากลองตามรุ่นพี่วัยรุ่นท่ีมาชักชวน จากสถานการณ์ดังกล่าว ภาคเี ครือข่ายของพ้ นื ท่ีตาบลปทุม มองเห็นปัญหาร่วมกนั จงึ ไดร้ ่วมกนั ขบั เคล่ือนกลไกการ ควบคุมการสูบบุหรี่โดยใชท้ ุนทางสังคมเดิมจากการทางานลดเลิกเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ มาก่อนโดยอาศัยกรอบแนวคิดพยาบาลสุขภาพครอบครัว (Family Health Nurse)18 ภาคีเครือขา่ ยจึงไดน้ าประสบการณก์ ารทางานร่วมกนั มาขยายผลส่กู ารควบคุมการสบู บุหร่ี ซึ่งการพฒั นารูปแบบการแกป้ ัญหาการบริโภคยาสบู ดว้ ยการทางานเชิงรุกในชุมชนโดย ชุมชนมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนทาใหส้ ามารถเขา้ ถึงกลุ่มเป้ าหมายและทาใหม้ ีผลต่อการ ตดั สินใจมากข้ ึน รวมถึงกิจกรรมท่ีสอดคลอ้ งกับวิถีและความตอ้ งการของชุมชนจะช่วยให้ เกิดการมีส่วนร่วมและการเขา้ ถึงอย่างแทจ้ ริง3 ดงั น้ันภาคีเครือข่ายชุมชนตาบลปทุมจึง ร่วมกันควบคุมการสูบบุหร่ีของชุมชนให้เป็ นบา้ นปลอดบุหร่ี นั่นคือมุ่งเน้นการสรา้ ง แรงจงู ใจจากความรกั ความห่วงใยสุขภาพของบุตรหลานในครอบครัวใหป้ ลอดภยั จากควนั บุหร่ีมือสองและสร้างความ ตระหนั กรู้ภัยจากการสูบบุหรี่ รวมท้ังบุหร่ีมือสอง ปรับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ลด และเลิกการสูบบุหร่ีรวมท้ังไม่สูบในบา้ นใกลเ้ ด็กและ หญิงตง้ั ครรภ์

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 25 ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา วตั ถุประสงคท์ วั ่ ไป เพ่ือศึกษารูปแบบการดาเนิ นงานบ้านปลอดบุหร่ีแบบมีส่วนร่วม ในพ้ ืนท่ี โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลปทมุ อาเภอเมือง จงั หวดั อุบลราชธานี วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ 1. ศึกษารูปแบบการดาเนิ นงานบ้านปลอดบุหรี่แบบมีส่วนร่วม ในพ้ ืนที่ โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลปทมุ อาเภอเมือง จงั หวดั อุบลราชธานี 2. ศึกษาพฤติกรรมการสบู บุหรี่ในครอบครวั ของบุคคลในชุมชนเป้ าหมายหลงั ดาเนินการ ขอบเขตการศกึ ษา การศึกษาคร้ังน้ ีเป็ นการวิจยั เชิงปฏิบัติการ (Action research) เพื่อศึกษา กระบวนการดาเนินงานบ้านปลอดบุหรี่โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ในเขตพ้ ืนที่ 7 หมู่บา้ นของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปทุม โดยมีระยะเวลาดาเนินการต้ังแต่ มถิ ุนายน พ.ศ.2558-มกราคม พ.ศ.2560 กลุ่มตวั อยา่ ง ประชาชนอายุ15ปี ข้ ึนไปอยู่ในเขตความรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตาบลปทุมท่ีสมคั รใจร่วมโครงการจานวน 850 หลังคาเรือน ผูท้ ่ีสูบบุหร่ีจานวน 311คน และคณะกรรมการ 60 คน ซึ่งเป็ นตวั แทนจากตวั แทน 7 หมู่บา้ นประกอบไปดว้ ย เจา้ หน้าท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลปทมุ 4 คน เจา้ หนา้ ที่เทศบาลตาบลปทุม5คน ครูอนามัยโรงเรียน 1 คน ครูศูนยเ์ ด็ก จานวน 1 คน ตวั แทน อสม. หมู่บา้ นละ 3 คน ประธานผสู้ งู อายุ และประธานชมรมออกกาลงั กายท้งั 7 หมบู่ า้ น รวมเป็ น 60 คน นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. การมีส่วนร่วมของชุมชน หมายถึง ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในชุมชน ซึ่ง รวมตวั กนั ในรูปคณะกรรมการดาเนินงานซ่ึงประกอบดว้ ย เจา้ หน้าท่ีภาครฐั ในชุมชน ผนู้ า ชุมชน อสม. ชมรมผูส้ ูงอายุและ ชมรมออกกาลังกาย ในการร่วมคิด ร่วมทาและร่วม ประเมินผลเพื่อแกป้ ัญหาการสบู บุหร่ีในชุมชน 2. พฤติกรรมการสบู บหุ ร่ี หมายถึง การสบู บุหรี่ทุกชนิดท้งั ยาเสน้ หรือบุหรี่ซอง ตง้ั แต่ 1 มวนข้ นึ ไปและสบู ทกุ วนั โดยไมเ่ ลือกสถานท่ีสบู

26 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) 3. บา้ นปลอดบุหรี่ หมายถึง การท่ีทุกภาคีเครือข่ายร่วมกนั ดาเนินงานท้งั เชงิ รุก และเชิงรับเพ่ือให้ ครอบครวั และชุมชนตระหนักรูถ้ ึงพิษภยั บุหรี่ จนสามารถปรบั เปลี่ยน พฤตกิ รรมการสบู บุหรี่โดยไม่สบู บุหรี่ในบา้ นที่ใกลก้ บั เดก็ และหญิงต้งั ครรภ์ รวมทง้ั ลดและ เลิกสบู บหุ รี่ได้ กรอบแนวคิดในการศกึ ษา การศึกษาในคร้งั น้ ีใชก้ รอบแนวคิดพยาบาลสุขภาพครอบครวั (Family Health Nurse)18 ร่วมกับแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการซ่ึงประกอบด้วยข้ันตอน (Plan-Act- Observe-Reflect หรือ PAOR)ตามแน วคิดของ Kemmis and Mc Taggart17 แนวคิด พยาบาลสุขภาพครอบครัว เป็ นแนวคิดที่ช้ ีแนวทางใหพ้ ยาบาลผูร้ บั ผิดชอบบริการสุขภาพ ระดบั ปฐมภมู ิทางานร่วมกบั ชุมชนในการสรา้ งเสริมสุขภาพประชาชนและครอบครัวใหเ้ กิด สุขภาวะในครอบครัว (Healthy family) ดว้ ยตนเองผ่านการสรา้ งพลังอานาจแก่บุคคล ครอบครัวในชุมชน พยาบาลไม่ไดเ้ น้นที่การดูแลเฉพาะผูป้ ่ วยและโรคแต่ใหก้ ารดูแลท้ัง บุคคล ครอบครัว และชุมชนในการสรา้ งเสริมสุขภาพ เพื่อใหบ้ ุคคล ครอบครัวและผูป้ ่ วย สามารถดูแลตนเองได้ นอกจากน้ ี พยาบาลยังทาหน้าที่ประคับประคอง โดยเน้น ความสมั พนั ธข์ องปฏิสมั พนั ธก์ บั ระบบนิเวศน์ซึ่งเป็ นบริบทของบุคคลและครอบครวั ทอ่ี าศยั อยู่ในชุมชน แบ่งระดบั การดูแลเป็ น 4 ระดับคือ ระดบั ที่ 1 การส่งเสริมป้ องกันปัญหา พฤติกรรมสุขภาพระดับปฐมภูมิ (Primary prevention) ระดับท่ี 2 การป้ องกันปั ญหา พฤติกรรมสุขภาพระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention/screening/Early detection) ระดับท่ี 3 การป้ องกัน/ฟ้ ื นฟูสภาพปั ญหาพฤติกรรมสุขภาพระดับตติยภูมิ (Tertiary prevention/Rehabilitation) และระดับที่ 4 การดูแลแบบโดยตรงเพื่อช่วยผู้ป่ วยและ ครอบครัวรับมือต่อภาวะวิกฤตจากปัญหาสุขภาพ (Crisis intervention/Direct care) เพ่ือ แกไ้ ขปัญหาสขุ ภาพในทุกระดบั (WHO,2000) คณะพยาบาลศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ไดน้ าแนวคิดทฤษฎีดังกล่าวมาประยุกตใ์ ชร้ ่วมกบั การมีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหาการดื่ม สุราในชุมชน และพฒั นาเป็ นรูปแบบการพยาบาลสุขภาพครอบครวั มข.-KKU FHN (The Khon Khan University Family Health Nursing Model – KKU FHN Model)16 แล ะถอ ด บทเรียนการทางานได้ 8 ข้นั ตอนเพ่ือใหง้ ่ายต่อการประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ กิดเป็ นรูปธรรมดงั น้ ี สรา้ งเจา้ ถ่ิน-อินกระแส-แผ่ความคิด-เกาะติดรณรงค์-ส่งหน่วยเฝ้ าระวงั –พงั ม่านความ เสี่ยง-เคียงขา้ งฟ้ ื นฟูดูแล และรกั ษากระแสตลอดไป8 ดงั น้ันรูปแบบการดาเนินบา้ นปลอด

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 27 ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) บุหรี่ในคร้งั น้ ีจึงไดน้ ากรอบแนวคดิ ดงั กล่าวลงส่กู ารปฏิบตั กิ ารดว้ ยวงจรกระบวนการ PAOR ร่วมกบั ชุมชนเพ่ือลดปัญหาบหุ ร่ีในชุมชน วธิ ดี าเนินการศกึ ษา การศึกษาคร้งั น้ ีเป็ นการวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการ (Action research) ดาเนินงานผ่าน กระบวนการ PAOR17 3 วงรอบ และวัดผลการพัฒนาตามข้ันตอนการเปล่ียนแปลง พฤติกรรม (Stages of change) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การบันทึก การสังเกต แบบคดั ลอกขอ้ มูลและแบบสารวจสถานการณ์ พฤติกรรมการสบู บุหรี่ในชุมชน แบบเก็บ ขอ้ มูลติดตามพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในชุมชนและในคลินิกฟ้ าใส วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้ ความถ่ี รอ้ ยละ และการวิเคราะหเ์ น้ ือหา ผลการศึกษา จากการดาเนินงานกระบวนการบา้ นปลอดบุหรี่โดยชุมชนมีส่วน ร่วมดว้ ยวงจร PAOR 3 วงรอบ ในช่วงระยะเวลาเดือนมิถุนายน 2558 - มกราคม 2560 ซ่ึงผลการดาเนินงานแตล่ ะวงรอบดงั แสดงตามตารางดงั ต่อไปน้ ี รอบที่ 1 กระบวนการเชิงรุกและมาตรการป้ องกันในชุมชน (มิถุนายน 2558- ธนั วาคม 2558) ตารางที่ 1 ผลการพฒั นาดว้ ยวงจร PAOR บา้ นปลอดบุหรี่รอบที่ 1 Plan Act Observe Reflect -สรา้ งภาคี -อบรมคณะกรรมการ 60 -ประชุมคณะกรรมการ -ความตอ้ งการ เครอื ขา่ ย คน ความรพู้ ิษภยั บุหร่ี สรุปผลการดาเนินงาน ทกั ษะในการ -แตง่ ต้งั -คืนขอ้ มลู ชุมชน ภาคี ตามประกาศนโยบาย ชว่ ยเหลือผสู้ บู คณะกรรมการ เครอื ขา่ ยรบั รรู้ ว่ มกนั ประชุม บา้ นปลอดบุหรี่ และ บุหรแ่ี ละระบบ -มาตรการทาง หารปู แบบการดาเนินงาน มาตรการทางสงั คมท่ี การบาบดั ใน สงั คมและสรา้ ง -mapping หลงั คาเรือนท่ีสบู สรา้ งข้ ึน สถานบริการและ สิ่งแวดลอ้ มปลอด บุหรี่ -สงั เกตสถานการณจ์ รงิ ในชุมชน บุหร่ีในชุมชน -ประกาศนโยบายบา้ น ตามสถานท่ีท่ีกาหนดให้ -พฒั นาศกั ยภาพ -สารวจ ปลอดบุหรี่ ปลอดควนั บุหร่ี เชน่ ของ อสม. และ สถานการณป์ ัญหา -มาตรการทางสงั คมงานบุญ ศาลากลางบา้ น งานศพ บาบดั สง่ ตอ่ จาก และศาลากลางบา้ นปลอด -สญั ลกั ษณส์ ต๊ิกเกอร์ ชุมชนสู่สถาน ควนั บุหร่ี “บา้ นปลอดบุหรี่ บรกิ าร -รณรงคส์ บู บุหรน่ี อกบา้ น ติดบา้ นที่ไมส่ บู บุหรี่และ บา้ นท่ีสบู บุหรน่ี อกบา้ น

28 วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ปฏิบัติการวงรอบท่ี 1 เป้ าหมาย มีคณ ะกรรมการดาเนิ นงาน สารวจ สถานการณ์ของชุมชน พบว่าใน 850 หลงั คาเรือนท่ีร่วมโครงการมีหลงั คาเรือนท่ีสบู บุหร่ี จานวน 259 หลังคาเรือน คิดเป็ นรอ้ ยละ 30.47 และมีจานวนคนท่ีสูบบุหร่ี 311 คน คิด เป็ นรอ้ ยละ 9.15 และในจานวนน้ ีมีสมาชิกในครอบครวั ท่ีสูบบุหร่ีอยู่ร่วมบา้ นกบั เด็กและ หญงิ ตง้ั ครรภ์ 93 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ 22.14 และยงั มพี ฤติกรรมการสบู บหุ ร่ีท้งั ในและนอก บา้ น และยงั ไม่ทราบถึงผลของควนั บุหร่ีมีภยั กบั เด็กและหญิงต้งั ครรภ์ คณะกรรมการได้ mapping หลงั คาเรือนท่ีสูบบหุ ร่ี และร่วมสรา้ งมาตรการทางสงั คม กาหนดพ้ นื ทีป่ ลอดบุหรี่ ในชุมชน คือ ศาลากลางบ้านและงานบุญ (งานบวช งานศพ งานกฐิน) ปลอดบุหร่ี ประกาศนโยบายบา้ นปลอดบุหรี่และรณรงคส์ รา้ งความรูพ้ ิษภยั บุหร่ีในวนั งดสูบบุหรี่โลก ร่วมกบั เครือข่าย ชุมชน โรงเรียนและศนู ยเ์ ดก็ ชุมชนไดถ้ ือปฏิบตั ิตามมาตรการที่สรา้ งไว้ ผลการสะทอ้ นในรอบน้ ีคือ ความตอ้ งการทกั ษะในการช่วยเหลือผูส้ ูบบุหร่ีและระบบการ บาบดั ในสถานบริการและในชุมชน จึงเห็นควรท่ีจะตอ้ ง พฒั นาศกั ยภาพ อสม.และจดั ต้งั คลินิกฟ้ าใสบาบดั ผสู้ บู บหุ ร่ี รอบที่ 2 พฒั นาศกั ยภาพ อสม. และบาบดั ผสู้ ูบบุหรี่ (ธนั วาคม 58 – กนั ยายน 59) ตารางที่ 2 การพฒั นาดว้ ยวงจร PAOR บา้ นปลอดบุหรี่วงรอบท่ี 2 Plan Act Observe Reflect วางแผนเพื่อสรา้ ง -ต้งั คลินิกฟ้ าใสใน รพ. -สารวจพฤติกรรมการ -รปู แบบมีความชดั เจน มาตรการบาบดั ผทู้ ่ี สต. เพ่ือบาบดั ผสู้ บู บุหร่ี สบู บุหร่ีโดยแบบเก็บ เหมาะสมกบั พ้ ืนที่ สบู บุหรี่ใน รพ.สต. -คดั กรองการสบู บุหรี่ ทุก ขอ้ มลู ติดตามพฤติกรรม -การสรา้ งความยงั่ ยืน และในชุมชน หน่วยบรกิ ารใน รพ.สต. คือ การสบู บุหรีใ่ นชุมชนและ ของกิจกรรม และ บริการตรวจทวั่ ไป ในคลินิกฟ้ าใส จานวน มาตรการทางสงั คมท่ี ทนั ตกรรม 311 คน สรา้ งข้ ึน ฝากครรภ์ คลินิกเด็กดี และ -สงั เกตพฤติกรรมการ บรกิ ารแพทยแ์ ผนไทย สบู บุหร่ีนอกบา้ นใน -พฒั นาศกั ยภาพ อสม. ชุมชน อบรมใหใ้ ชห้ ลกั 5A ชว่ ย _ติดตามเยี่ยมบา้ นผสู้ บู เลิกบุหรีใ่ นชุมชน บุหรี่ 311 คนรว่ มกบั อส -มอบสาสน์ ใหค้ วามรพู้ ิษ ม. ภยั บุหรแี่ ละเชิญเขา้ รบั -สรุปผลการคดั กรองผู้ บริการในคลินิกฟ้ าใส สบู บุหรแ่ี ละสง่ ตอ่ เพ่ือรบั

วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 29 ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) Plan Act Observe Reflect -ติดตามเยีย่ มบา้ นผสู้ บู การบาบดั ท่ีคลินิกฟ้ าใส บุหรี่ในชุมชนรว่ มกบั -คณะกรรมการประชุม อสม. สรุปผลการดาเนินงาน เพื่อสะทอ้ นปรบั ปรุง รปู แบบ ปฏิบัติการวงรอบท่ี 2 เป้ าหมายคือการช่วยคนที่สูบบุหร่ีใหล้ ดและเลิกบุหรี่ รวมท้งั พฤติกรรมการสบู บุหรี่นอกบา้ น โดยมีการพฒั นาศกั ยภาพ อสม. อบรมใหค้ วามรู้ หลัก 5 A เพื่อแนะนาช่วยเหลือในชุมชนและส่งต่อบาบดั อสม. เคาะประตบู า้ นมอบสาสน์ ใหค้ วามรพู้ ิษภยั บุหร่ีและเชญิ เขา้ รบั การบาบดั ติดตามเยยี่ มบา้ นผูส้ บู บุหร่ีในชุมชนร่วมกบั อสม. ส่วนในสถานบริการไดจ้ ดั ต้งั คลินิกฟ้ าใส กาหนดเป็ นนโยบายในงานประจา โดยคดั กรองการสูบบุหรี่ทุกหน่วยบริการใน รพ.สต. ใหค้ าปรึกษาและช่วยเลิกบุหรี่ ซึ่งภายหลัง ดาเนินการสารวจพฤติกรรมการสบู บุหร่ีซ้า พบวา่ กระบวนการดาเนินงานทาใหจ้ านวนคน ท่ีสบู บุหร่ีลดลงจาก 311 คน (รอ้ ยละ 9.15) เป็ น 258 คน (รอ้ ยละ7.59) เลิกสูบบุหร่ี 53 คน (รอ้ ยละ 17.04) และในจานวนน้ ีเป็ นสมาชิกที่อยู่ในครอบครัวท่ีมีเด็กและหญิง ต้งั ครรภ์ถึง 37 คน (รอ้ ยละ 39.78) ดา้ นพฤติกรรมการสูบบุหร่ีของคนในครอบครัว เปล่ียนไปโดยพบว่าสูบบุหรี่ท้ังในและนอกบ้านลดลงจากรอ้ ยละ 64.31 เป็ นรอ้ ยละ 29.59 และในครอบครัวท่ีมีเด็กและหญิงต้งั ครรภ์ลดลงจากรอ้ ยละ 90.32 เป็ นรอ้ ยละ 21.51 อสม. มีศกั ยภาพสามารถเขา้ ถึงกลุ่มเป้ าหมาย ใหค้ าแนะนาช่วยเหลือและส่งต่อ เขา้ รบั การบาบดั ดงั แสดงในตารางที่ 3 และ 4 และผลการสะทอ้ นกลับในวงรอบน้ ีคือการ สรา้ งความยงั่ ยืนของกจิ กรรมบา้ นปลอดบหุ รี่ ตารางที่ 3 ผลการติดตามพฤติกรรมการสบู บหุ ร่ีของชุมชนเป้ าหมายเปรียบเทยี บกอ่ น และหลงั ดาเนินการ (จานวนคน) ก่อนดาเนินการ หลงั ดาเนินการ พฤติกรรมการสูบ (คร้งั แรก) n=311 (ติดตาม) n=311 จานวน (คน) รอ้ ยละ จานวน (คน) รอ้ ยละ เลิกบุหร่ี 0 0 53 17.04 สบู บุหรน่ี อกบา้ นอยา่ งเดียว 111 35.69 166 64.34 สบู บุหร่ที ้งั ในและนอกบา้ น 200 64.31 92 35.65 รวม 311 100.0 311 100.0

30 วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ตารางท่ี 4 ผลการติดตามพฤตกิ รรมการสบู บุหร่ีของสมาชิกในบา้ นทีม่ เี ด็กอายุ <5 ปี และ/หรือหญงิ ต้งั ครรภใ์ นชุมชนเป้ าหมายเปรียบเทียบก่อนและหลงั ดาเนินการ พฤติกรรมการสูบ ก่อนดาเนินการ (ครง้ั แรก) หลงั ดาเนินการ(ติดตาม) เลิกสบู บุหร่ี n=93 n=93 สบู บุหร่นี อกบา้ นอยา่ งเดียว สบู บุหร่ที ้งั ในและนอกบา้ น จานวน(คน) รอ้ ยละ จานวน (คน) รอ้ ยละ 0- 37 69.81 รวม 9 9.68 36 64.28 84 90.32 20 35.71 93 100.0 93 100.0 หมายเหตุ เลิกสบู บหุ รี่ 37 คน จาก 53 รายของทง้ั หมดทีเ่ ลิกสบู บุหร่ี คดิ เป็ นรอ้ ยละ 69.81 วงรอบท่ี 3 การสรา้ งความยงั ่ ยนื (กนั ยายน 59-มกราคม 60) ตารางที่ 5 การพฒั นาดว้ ยวงจร PAOR บา้ นปลอดบุหร่ีวงรอบที่ 3 Plan Act Observe Reflect วางแผนการ -สรา้ งสื่อเพลงคนบา้ น -ชมรมออกกาลงั กายทุก -รปู แบบบา้ นปลอดบุหร่ี ดาเนินงานในการ เดียวกนั ชวนเลิกบุหรี่ หมบู่ า้ นนาสอื่ เพลงคนบา้ น ท้งั 3 วงรอบ กาหนดเป็ น สรา้ งกระแสการ -ภาคีเครือขา่ ยรว่ ม เดียวกนั ชวนเลิกบุหร่ี นโยบายขององคก์ รและ รณรงคใ์ ห้ รณรงคแ์ ละขยายผล ประกอบการออกกาลงั กายทกุ ชุมชน ที่ตอ้ งดาเนินการ ต่อเนื่อง และ การรณรงคอ์ ยา่ ง วนั และในกิจกรรมอื่นๆใน ต่อ เพื่อลดปัญหาการสบู สรา้ งความยงั่ ยนื ต่อเน่ือง ชุมชน บุหรี่ของชุมชน -คดั กรองทุกจุดบรกิ าร -กิจกรรมเดินรณรงคข์ องภาคี -ถอดบทเรยี นปัจจยั -กาหนดเขา้ เป็ น เครือขา่ ยในชุมชนวนั งดสบู บุหรี่ ธรรมนูญตาบล โลกและวนั ยาเสพติดโลก ความสาเร็จเพ่ือนา (ธรรมนูญหมวด 3 จานวน 400 คน รปู แบบการดาเนินงาน หลีกเวน้ อบายมุข) -ผลการคดั กรองทุกจุดบริการ ขยายผลสู่ ชุมชนอ่ืนๆ -บรู ณาการในงาน ในงานประจาโดยเจา้ หนา้ ท่ี ประจาท้งั เชิงรบั เชงิ รุก เฉลี่ย 420ราย/เดือนและสง่ เขา้ รบั การบาบดั -คลินิกฟ้ าใสใหค้ าปรึกษา เร้ อื รงั ที่สบู บุหร่ี -มีการปฏิบตั ิตามธรรมนูญ

วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ 31 ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) Plan Act Observe Reflect หลงั ประกาศใช้ งานบุญปลอด บุหรีท่ ุกงาน ศาลากลางบา้ น ปลอดบุหร่ี คณะกรรมการมอบ ใบประกาศเกียรติคุณให้ เจา้ ภาพในวนั ฌาปณกิจศพ -ประชุมสรุปรปู แบบบา้ นปลอด บุหรี่ ใหเ้ ป็ นงานประจา และมี ความยงั่ ยืน วงรอบท่ี 3 น้ ี เป้ าหมายการสรา้ งความยัง่ ยืนในทุกกิจกรรม ท้ัง 7 หมู่บา้ น ปฏิบตั ิตามมาตรการทางสงั คมท่ีสรา้ งข้ ึน อสม. มกี ารเชิญชวนกลุ่มเป้ าหมายที่ยงั สบู บุหรี่ ใหล้ ดและเขา้ รับการบาบัด รวมท้ังรณรงค์ใหส้ ูบนอกบา้ น โรงเรียนและศูนยเ์ ด็ก มีการ รณรงค์ ลดเลิกบุหร่ี ในวนั งดสบู บุหร่ีโลกและวนั ยาเสพติดแห่งชาติทุกปี และแจง้ นโยบาย บา้ นปลอดบุหรี่ในที่ประชุมผูป้ กครองนักเรียน ชมรมออกกาลังกายใช้ สือ่ เพลงรณรงค์ คน บา้ นเดียวกันชวนเลิกบุหรี่” มีการคดั กรองการสบู บุหรี่และบาบดั ในโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพเป็ นงานประจา คณะกรรมการนานโยบายบา้ นปลอดบุหรี่บรรจุในธรรมนูญ ประชาชนคนตาบลปทุมในหมวดที่ 3 การหลีกเวน้ อบายมุข และมกี ารปฏิบตั ติ ามระบุไวใ้ น ธรรมนูญ และไดม้ ีการประชุมสรุปผลการดาเนินงานและถอดบทเรียนปัจจยั ความสาเร็จ เพื่อขยายผลส่ชู ุมชนอนื่ ๆ ตอ่ ไป อภปิ รายผล ผลการศึกษาในคร้งั น้ ีได้ รูปแบบการดาเนินงานบา้ นปลอดบุหรี่โดยชุมชนมสี ่วน ร่วมของพ้ ืนท่ีตาบลปทุมซึ่งประกอบดว้ ย 1) มาตรการทางสงั คมและการรณรงคเ์ ชิงรุกใน ชุมชน 2) การพฒั นาศักยภาพ อสม. และการบาบัดผูส้ ูบบุหร่ี และ 3) การสรา้ งความ ยงั่ ยืน โดยรูปแบบการดาเนินกจิ กรรมบา้ นปลอดบหุ ร่ีโดยชุมชนมสี ่วนร่วมในคร้งั น้ ีประสบ ความสาเร็จ จากการท่มี กี ารวิเคราะหท์ ุนทางสงั คมเดมิ ทม่ี อี ยจู่ ากการดาเนินงานแกป้ ัญหา เค ร่ื อ ง ด่ื ม แ อ ล ก อ ฮ อ ล์ ใ น ชุ ม ช น แ ล ้ว น า ม า ข ย า ย ผ ล ต่ อ ใ น เร่ื อ ง บุ ห ร่ี โด ย มี ก า ร ส า ร ว จ สถานการณป์ ัญหา และรบั รูส้ ถานการณใ์ นชุมชนร่วมกนั การต้งั เป้ าหมายในการทางานท่ี ชดั เจน แกนนารับรูป้ ัญหาและพิษภัยบุหร่ี ทุกภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการกาหนด กิจกรรมตามวิถีและบริบทของชุมชนและมีการพัฒนากระบวนการที่เป็ นระบบ และรู้ เป้ าหมายในการเขา้ ถึงผูส้ ูบบุหร่ี การสรา้ งกระแสการรณรงคใ์ นชุมชนอย่างต่อเน่ืองทุก

32 วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีที่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ชอ่ งทาง ท้งั ในโรงเรียนและศนู ยเ์ ด็กเล็ก การรณรงคส์ รา้ งกระแสหา้ มสบู บุหรี่ในบา้ นใกล้ เด็กและหญิงต้งั ครรภ์ และการเคาะประตูบา้ นส่งสาสน์ ใหค้ วามรูถ้ ึงผูส้ ูบบุหรี่ กิจกรรม เหล่าน้ ีนาไปสู่การรบั รูป้ ัญหาบุหรี่ต่อสุขภาพ รวมท้งั ส่งผลต่อการลด เลิก และการปรับ พฤตกิ รรมการสบู บุหรี่ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ รชั นี มิตกิตติ และอญั ชนั เกียรติพร ศักดา12 ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 90 เห็นความสาคัญ ของการรณ รงค์และ ประชาสัมพันธ์ ดังน้ันการกาหนดมาตรการของชุมชนใหบ้ ุคคลลดเลิกบุหร่ี และการ กาหนดระเบียบและมาตรการทางสังคมเป็ นนโยบายสาธารณะสู่ธรรมนูญสุขภาพ ซ่ึง เปรียบเสมือนกฎหมายของชุมชนที่ใหค้ นในชุมชนไดถ้ อื ปฏิบตั ิ การแสดงเจตนารมณด์ ว้ ย การตดิ ป้ ายทม่ี ีขอ้ ความแจง้ เตือน และมอบเกียรตบิ ตั รใหก้ บั หลงั คาเรือนในวนั พิธี แสดงถึง ความร่วมมอื และตระหนักถงึ พิษภยั บุหรี่ของชุมชน สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาการควบคุมการ บริโภคยาสูบของพยาบาลในหน่วยบริการปฐมภูมิ 2 ที่พบว่ามีการปฏิบัติงานเชิงรุก มากกว่าเชิงรบั ในการรณรงคเ์ พื่อป้ องกนั ไม่ใหม้ ีผูส้ ูบรายใหม่ การใหค้ วามร่วมมือในการ ติดตามการปรบั พฤติกรรมลดและเลิกบุหร่ีของกลุ่มเป้ าหมาย และการร่วมสรา้ งกาลงั ใจให้ สามารถเลิกสบู บหุ ร่ีไดอ้ ย่างถาวร ในส่วนของการบาบดั ผูต้ ิดบุหรี่ มีการ อบรมใหค้ วามรูก้ บั อสม. ในการใชห้ ลกั 5A เพื่อช่วยเหลือแนะนาใหเ้ ลิกบุหร่ีในชุมชน มีการดาเนินงานคลินิกฟ้ าใสในโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพโดยกาหนดเป็ นนโยบายของหน่วยงานใหม้ ีการคดั กรองสอบถามการสูบ บุหร่ีทุกจุดที่ให้บริการพร้อมท้ังให้คาแนะนาให้เข้ารับคาปรึกษา เพ่ือลดเลิกบุหร่ี โดยเฉพาะผปู้ ่ วยเร้ ือรังที่ป่ วยเป็ น เบาหวาน ความดนั โลหิตสงู หอบหืด รวมท้งั ผูส้ บู บุหร่ีที่ อยใู่ นครอบครวั ท่ีมเี ด็กและหญิงตง้ั ครรภ์ เป็ นกลุ่มเป้ าหมายทจี่ ะตอ้ งใหล้ ดและเลิกบหุ รี่ ให้ ได้ โดยเจา้ หน้าท่ี และ อสม. สรา้ งแรงจูงใจจากปัญหาสุขภาพและความรักที่มีต่อบุตร หลานในครอบครัวใหป้ ลอดภยั จากควนั บุหรี่มือสอง และใหค้ าปรึกษาติดตามเยี่ยมบา้ น ร่วมกบั อสม. จนเลิกสบู บุหรี่ได้ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาที่ว่า การขอรอ้ งหา้ มปรามจากคน ใกล้ชิดหรือบุคคลท่ีเป็ นแรงบันดาลใจรวมท้ังกรรมการหมู่บา้ น ที่คอยกระตุน้ เตือน ช่วยเหลือใหก้ าลังใจ และรบั คาปรึกษาจากเจา้ หนา้ ท่ีจะเกิดพลงั ความต้งั ใจในการเลิกบุหรี่ ไดถ้ าวร 9 ส่วนดา้ นการสรา้ งความยงั่ ยืนน้ันไดม้ ีการนารูปแบบการดาเนินงานบา้ นปลอด บุหรี่มา กาหนดเป็ นนโยบายการทางานประจาท้งั เชิงรุกและเชิงรับ มาตรการทางสังคม นาไปบรรจใุ นธรรมนูญตาบลปทมุ ซึ่งเป็ นกฎหมายของชุมชนท่ีทุกคนตอ้ งถือปฏิบตั ริ ่วมกนั ซึ่งสอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ มลทา ทายิดา และสุรินธร กลัมพากร11 ท่ีพบว่า ในการ ป้ องกนั นักสบู หน้าใหมก่ ารป้ องกนั พิษภยั บหุ ร่ีตอ้ งมีการใหค้ วามรแู้ ละจดั กจิ กรรมรณรงค์

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 33 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) หลากหลายรูปแบบโดยผสมผสานเขา้ กบั กิจกรรมต่างๆ ใหก้ ลุ่มเป้ าหมายที่ไม่สูบบุหร่ี เขา้ ถึงขอ้ มูลไดส้ ะดวกและทวั่ ถึง ขอ้ เสนอแนะการศกึ ษา การวิจยั เชิงปฏิบัติการเป็ นการส่งเสริมใหช้ ุมชนมีส่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหา ของชุมชนจากการวิเคราะห์ปั ญหาร่วมกัน บูรณาการงานใหม้ ีการดาเนินกิจกรรมท่ี ต่อเน่ือง มีการกาหนดเป้ าหมายท่ีชดั เจน และเหมาะสมกบั ปัญหาและทุนทางสงั คมเดิม ของพ้ ืนท่ี ซ่ึงส่ิงต่างๆ เหล่าน้ ีจะก่อใหเ้ กดิ ความยงั่ ยืน ถึงแมว้ ่าการสูบบุหรี่น้ันเลิกยากแต่ก็ ตอ้ งอาศัยความมุ่งมนั่ ต้งั ใจและแรงจงู ใจในการเลิกสูบ ซึ่งเป้ าหมายต่อไปคือการทากลุ่ม บาบดั ผูส้ ูบบุหรี่ในชุมชน ขอ้ เสนอแนะต่อการนาผลการวิจยั ไปใชใ้ นพ้ ืนที่อ่ืนๆ ควรมีการ วิเคราะห์ทุนทางสงั คมเดิมและตอ้ งเขา้ ใจถึง พฤติกรรมการสูบบุหรี่เป็ นพฤติกรรมที่เลิก ยาก ตอ้ งอาศยั ความร่วมมือของทุกภาคส่วนและมีการดาเนินงานท่ีต่อเน่ืองจึงจะประสบ ผลสาเร็จ เอกสารอา้ งอิง 1. กรองจติ วาทีสาทกกจิ . การสง่ เสริมการเลิกบรุ ่ีในงานประจา. หลักสูตรการพฒั นา ศกั ยภาพเครือข่ายรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหร่ี กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิรณรงค์ เพอื่ การไมส่ บู บหุ รี่. 2551. 2. กรองจิต วาทีสาทกกิจ และอภิญญา ตัณทวีวงค์. ถอดบทเรียนโครงการ โร งพ ย า บ า ล ป ล อ ด บุ ห ร่ี . ศูน ย์ก ล า งก าร แ ก้ปั ญ ห า บุ ห รี่ แ ล ะสุ ข ภ า พ กรุงเทพมหานคร มลู นิธิรณรงคเ์ พือ่ การไมส่ บู บุหร่ี. 2553. 3. กอบกุล สาวงคต์ ยุ้ มณฑา เกง่ การพานิช และคณะ. ผลการดาเนินกิจกรรมลดเลิก บุหรี่เชิงรุก โดยชุมชนมีส่วนร่วม ตาบลล้อมแรด อาเภอเถิน จังหวัดลาปาง. วารสารพยาบาล. 2556;64(1):22-27. ฉันชาย สิทธิพันธ์. พิษภัยของการบริโภคยาสูบ ในสุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา (บ ร ร ณ า ธิ ก า ร ) คู่ มื อ ก า ร รัก ษ า โร ค ติ ด บุ ห รี่ ใน ป ร ะเท ศ ไท ย เล่ ม 1 กรุงเทพมหานคร : สนิ ทวีกจิ ปร้ ินต้ งิ . 2553. 4. วันเพ็ญ ดวงมาลา วันทนี ย์ ทองหนุ น และคณะ. ประสิทธิผลของการใช้ โปรแกรมการสมั ภาษณ์เพื่อเสริมสรา้ งแรงจงู ใจในการเลิกสูบบุหรี่ของบุคคลากร โรงพยาบาลสรรพสทิ ธิประสงค์ อุบลราชธานี: รายงานการวจิ ยั . 2554.

34 วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 5. เดือนทิพย์ เขษมโอกาสและพรทิพย์ ชีวพัฒน์. รายงานการวิจยั เร่ืองการศึกษา ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้คาปรึกษาเพื่อครอบครัวปลอดบุหร่ี : กรุงเทพมหานคร พทิ กั ษ์การพมิ พ.์ 2553. 6. ดารุณี จงอดุ มการณ์ และคณะ. การลดปัญหาการดื่มสุราในชุมชน: การประยุกต์ แนวคิดพยาบาลสุขภาพครอบครัวในปฏิบัติการวิจัย. วารสารพยาบาลและ สุขภาพ. 2553;33(4):38-41. 7. ดารุณี จงอุดมการณ.์ การพยาบาลสุขภาพครอบครัว:แนวคดิ ทฤษฎีและการประ ยุกษใ์ ชใ้ นครอบครวั ระยะวกิ ฤต. ขอนแกน่ : บียอนด์ เอนเทอรไ์ พรซ์. 2558. 8. นงลกั ษณ์ วรรกั ษ์ธนานันท.์ คลินิกช่วยเลิกบุหรี่เคล่ือนที่ในสถานประกอบการ. วารสารพยาบาล: เบญจผลการพมิ พ.์ 2552;58(3):49-57. 9. มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่.เอกสารเผยแพร่เรื่องตัวเลขเตือนภัยบุหรี่: กรุงเทพมหานคร มลู นิธิรณรงคเ์ พื่อการไมส่ บู บุหร่ี. 2554. 10.มลทา ทายิดา และสุรินธร กลัมพากร. รูปแบบการพัฒนาชุมชนปลอดบุหรี่ ตน้ แบบอาเภอทุ่งฝน จงั หวดั อุดรธานี รายงานการวิจยั เครือข่ายพยาบาลเพื่อการ ควบคุมยาสบู แหง่ ประเทศไทย : กรุงเทพมหานคร. เบญจผลการพมิ พ.์ 2552. 11.รชั นี มิตกติ ติ และอญั ชนั เกียรติพรศกั ดา. การชว่ ยเหลือใหม้ ีการเลิกบุหร่ีในชุมชน โดยสรา้ งการมีสว่ นร่วมจากประชาคม. วารสารพยาบาล. 2554;(60)1:62-76. 12.ลักขณา สิริรัตนพลกุล และคณะ. ปัจจยั ที่มีผลต่อพฤติกรรมการช่วยเลิกบุหร่ีของ หญิงตง้ั ครรภท์ ีม่ ีสมาชิกในครอบครัวเป็ นผูส้ บู บุหร่ี ในการมารบั บริการฝากครรภ์ ในโรงพยาบาลเลิศสิน. รายงานโครงการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของ ครอบครวั เพื่อครอบครัวไทยไรค้ วนั บุหรี่ เครือข่ายพยาบาลเพื่อการควบคุมยาสูบ แห่งประเทศไทย. 2553. 13.ศรญั ญา เบญจกุล มนทา เก่งพานิชและคณะ. สถานการณ์การบริโภคยาสูบใน ประเทศไทย ในการรกั ษาโรคติดบหุ ร่ีในประเทศไทย. เอกสารประกอบการประชุม เร่ืองการติดบหุ ร่ีในไทยเครือขา่ ยวิชาชีพสุขภาพเพื่อสงั คมไทยปลอดบหุ รี่. 2553. 14.ศรัญญา เบญจกุล และคณะ. สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทยในการบริโภค ยาสูบ ในสุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา(บรรณาธิการ) คู่มือการควบคุมยาสูบฉบับผู้ ปฏบิ ตั ิการ. กรุงเทพมหานคร; สินทวีกิจ ปร้ ินต้ งิ . 2557.

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 35 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 15.Jongudomkarn D. & Macduff C. Development of a family nursing assessment models for prevention and other communicables through an appreciative inquiry. Asian pacific journal of Cancer Prevention. 2014;15(17):10367- 74. 16.Stephen Kemmis & Robin Mc Taggart. The Action Research Planner[Internet]. 1998[Cited 2016 Dec 8]. Available from : http://www.springer.com/gp/ book/9789814560665 17.World Health Organization Europe. The family health nursing: Context, Conceptual, Framework and Curriculum. Copenhagen: WHO Reginal Office for Europe; 2000. 1988.

36 วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560)

ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของบคุ ลากรในวิทยาลยั พยาบาล แห่งหน่ึง ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ แสงเดือน กิง่ แกว้ 1, ชนุกร แกว้ มณี2 วรางคณา บุตรศร3ี บทคดั ยอ่ ภาวะสุขภาพท่ดี ีและพฤติกรรมสขุ ภาพทดี่ ขี องบุคคลากรในองคก์ รเป็ นปัจจยั ที่ ทาใหส้ ามารถทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ การวิจยั แบบพรรณนาคร้งั น้ ีมีวตั ถุประสงค์ เพอ่ื ศึกษาภาวะสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพของบุคลากรในวทิ ยาลยั พยาบาลแห่งหนึ่งใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนื อ กลุ่มตัวอย่างเป็ นบุคคลากรที่ไดร้ ับการตรวจร่างกายใน ปี งบประมาณ 2557 จานวน 98 คน เก็บรวบรวมขอ้ มูลจากบันทึกผลการตรวจสุขภาพ และแบบสอบถามการปฏิบัติพฤติกรรมสรา้ งเสริมสุขภาพ วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยสถิติเชิง พรรณนา ผลการวิจยั พบวา่ กลุ่มตวั อย่างสว่ นใหญ่ไมม่ โี รคประจาตวั (รอ้ ยละ 76.6) ระดบั ความดนั โลหติ ปกติ (รอ้ ยละ 83.0) ระดบั น้าตาลในเลือดปกติ (รอ้ ยละ 79.5) และระดบั ไตรกลีเซอไรดใ์ นเลือดปกติ (รอ้ ยละ 67.4) และมากกว่าครึ่งหน่ึงมีระดบั โคเลสเตอรอล ผิดปกติ (รอ้ ยละ 59.8) และดชั นีมวลกายผิดปกติ (รอ้ ยละ 55.1) สว่ นพฤติกรรมสุขภาพ จากกลุ่มตวั อย่างจานวน 78 คนที่สมคั รใจตอบแบบสอบถามพบวา่ กลุ่มตวั อย่างส่วนใหญ่ รอ้ ยละ 55.8 มีพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายดา้ น พบว่า กลุ่มตวั อยา่ งมีพฤติกรรมสุขภาพดา้ นสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคลอยู่ในระดบั ดี ดา้ น การพฒั นาทางจิตวิญญาณและดา้ นความรับผิดชอบต่อสุขภาพอยู่ในระดบั ปานกลาง ส่วน ดา้ นโภชนาการ ดา้ นกจิ กรรมทางกาย และดา้ นการจดั การกบั ความเครียดอยใู่ นระดบั ไมด่ ี ผลการวิจยั คร้งั น้ ีจะใชเ้ ป็ นขอ้ มูลพ้ นื ฐานแก่บุคลากรสขุ ภาพหรือผูเ้ กย่ี วขอ้ งใน การส่งเสริมการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพท่ีดีเพ่ือสรา้ งเสริมใหเ้ กิดภาวะสุขภาพที่ดีของ บุคลากรในสถาบันน้ ีต่อไป โดยเฉพาะดา้ นโภชนาการ ดา้ นการออกกาลงั กาย และดา้ น การจดั การกบั ความเครียด คาสาคญั : ภาวะสขุ ภาพ, พฤตกิ รรมสุขภาพ, บุคลากรภายในวิทยาลยั พยาบาล 1-3 อาจารย์ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์

38 วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) Health status and health promoting behavior among staff in One of Nursing colleges in the northeastern of Thailand Sangduan Ginggeaw1, Chanukorn Kaewmanee2 Warangkana Bootsri3 Abstract Good health status and health behavior are factors affecting the effectiveness of organizational work. The purposes of this descriptive study were to explore health status and health behavior of staff at a nursing college in northeastern region of Thailand. Samples were 98 staff who were working at the nursing college in 2014. Health Record and Health Promoting Behavior Questionnaire were used for data collection. Descriptive statistics was used for data analysis. The results showed that most of staff had no diseases (76.6%), had normal blood pressure (83.0%), had normal blood sugar (79.5%), and had normal triglyceride (67.5%). More than half of them had annormal body mass index (55.1%), and had abnormal cholesterol (40.2%). Approximately, half of them rated their overall health behaviors as at a medium level (55.8%). Regarding dimensions of health behaviors, they rated their interpersonal relations as a good level while they rated their spiritual growth and health responsibility as moderate levels. Moreover, they rated their nutrition, physical activity and stress management as poor levels. This study provides information for health care providers or related organizations to promote good health status, especially, nutrition, physical activity and stress management among working staff of this nursing collleg. Key words: health status, health behavior, staff of nursing colledge 1 -3 Instructor, Boromarajonnani College of Nursing, Sanpasithiprasong

วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 39 ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา พฤติกรรมสุขภาพ (health behavior) เป็ นการปฏิบตั ิกิจกรรมที่ผสมผสานอยู่ในวิถี การดาเนินชีวิต ซึ่งประกอบดว้ ย 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ดา้ น โภชนาการ ดา้ นกิจกรรมทางกาย ดา้ นสมั พันธภาพระหว่างบุคคล ดา้ นการจดั การกับ ความเครียด และดา้ นการพฒั นาทางจติ วิญญาณ ซ่ึงพฤติกรรมสุขภาพท่ีดจี ะสง่ ผลตอ่ การมี ภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ1 รวมท้งั จะ ช่วยลดการขาดงาน การเจ็บป่ วยและค่าใชจ้ ่ายในการรกั ษาพยาบาล ผลการสารวจพฤติกรรมสุขภาพจากรายงานสุขภาพประชาชนไท ยคร้ังท่ี 4 พ.ศ. 2551-2552 พบวา่ ประชากรท่มี ีอายุ 15 ปี ข้ นึ ไปมพี ฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม โดยมีความชุกของการสูบบุหรี่เป็ นประจา รอ้ ยละ 19.9 ดื่มแอลกอฮอลร์ ะดบั เสี่ยงปาน กลางข้ ึนไป รอ้ ยละ 13.2 มีกจิ กรรมทางกายหรือออกกาลงั กายไมเ่ พยี งพอรอ้ ยละ 18.5 มี พฤติกรรมการรับประทานอาหารม้ ือเย็นในวันทางาน โดยซ้ ืออาหารปรุงเสร็จหรือ รบั ประทานอาหารนอกบา้ น รอ้ ยละ 20 และมีเพียงรอ้ ยละ 17.7 เท่าน้ันทร่ี ับประทานผกั และผลไมป้ ริมาณตอ่ วนั ไดเ้ พียงพอตามขอ้ แนะนา2 สาหรบั พฤตกิ รรมสุขภาพของบุคลากรที่ ทางานอยู่ในสถาบนั การศึกษาพยาบาลและการสาธารณสุข พบว่ามีพฤตกิ รรมสขุ ภาพดา้ น กิจกรรมทางกายและด้านโภชนาการอยู่ในระดับ น้อย3 จนถึงปานกลาง4-7 โดยมี พฤติกรรมการออกกาลงั กายไม่สมา่ เสมอ และมีรปู แบบการดาเนินชีวิตท่ีนัง่ เป็ นส่วนใหญ่ สว่ นพฤติกรรมดา้ นโภชนาการ พบว่ารบั ประทานอาหารครบ 3 ม้ อื ตอ่ วนั รบั ประทานขา้ ว กลอ้ ง ขา้ วซอ้ มมือหรือธญั พืช นานๆ คร้งั ในดา้ นความรับผิดชอบต่อสุขภาพอยู่ในระดบั ปานกลางถึงมาก4-5,7 ดา้ นการจดั การความเครียด ดา้ นสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล และ การพฒั นาทางจิตวิญญาณอยู่ในระดบั มาก4,6-7 นอกจากน้ันยงั พบว่าบุคลากรมีดชั นีมวล กายเกินเกณฑ์มาตรฐาน (รอ้ ยละ 23.6-35.9) ระดับน้าตาลในเลือดเริ่มสูง (รอ้ ยละ 23.8) รวมท้งั มีระดับไตรกลีเซอไรดแ์ ละระดบั โคเลสเตอรอลเร่ิมสูง (รอ้ ยละ 3.2 และ รอ้ ยละ 35) ซึ่งภาวะสุขภาพขา้ งตน้ เป็ นปัจจยั ที่จะทาใหป้ ระชากรกลุ่มดงั กล่าวมีความ เสย่ี งต่อการเกิดโรคเร้ ือรงั ไดแ้ ก่ โรคความดนั โลหติ สงู เบาหวาน โรคหวั ใจและหลอดเลือด รวมท้งั โรคหลอดเลือดสมองและไขมนั ในเลือดสูง8 เป็ นตน้ นอกจากน้ันพฤติกรรมการ รับประทานอาหารท่ีไม่มีประโยชน์ การออกกาลังกายและการพักผ่อนไม่เพียงพอ ยังเป็ นปั จจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทางานของวัยทางาน อันได้แก่ ดา้ นความถูกตอ้ งของงาน การทางานใหบ้ รรลุตามวตั ถุประสงค์ และการทางานใหเ้ สร็จ ตามกาหนดเวลา9

40 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) วิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็ นสถาบันการศึกษา พยาบาลที่กาลงั พฒั นาใหเ้ ป็ นทยี่ อมรบั ทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ10 โดยมีหน้าท่ีในการ ผลิตและพฒั นาบุคลากรทางดา้ นสุขภาพ รวมท้งั ทานุบารุงศิลปวฒั นธรรม บริการวชิ าการ และผลิตผลงานวิจัย โดยมีบุคลากรท้ังในสายวิชาการ ซ่ึงเป็ นอาจารย์พยาบาล และ บุคลากรสายสนับสนุน เช่น เจา้ หน้าที่ธุรการ การเงิน พนักงานขบั รถ พนักงานบริการ เป็ นตน้ ซึ่งตอ้ งพฒั นาตนเองในการปฏิบตั ิงานอย่างมีมาตรฐาน เพ่ือใหไ้ ดร้ ับการยอมรบั ทาใหม้ ีภาระงานท่ีเพิ่มมากข้ ึนและอาจทาใหบ้ ุคลากรมีความเครียด มีเวลาในการดูแล สุขภาพลดลง โดยจากการสงั เกตและสอบถามขอ้ มูลเบ้ ืองตน้ พบว่าบุคคลากรส่วนใหญ่มี พฤติกรรมสุขภาพท่ีไม่เหมาะสม ไดแ้ ก่ ขาดการออกกาลังกายสมา่ เสมอ รับประทาน อาหารสาเร็จรูปและมีความเครียด เป็ นตน้ อีกท้งั ยงั พบว่าบุคคลากรบางคนเริ่มมีภาวะ สขุ ภาพทีเ่ สีย่ งต่อการเกิดโรคเร้ ือรงั เช่น น้าตาลในเลือดสงู ไขมนั ในเลือดสูง และความดนั โลหิตสูง เป็ นต้น อันจะส่งผลต่อการมีภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตท่ีดีหรือทาให้ ประสิทธภิ าพในการปฏิบตั งิ านลดลง ภาวะสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพของบุคลากรในองคก์ รจึงเป็ นสงิ่ สาคญั ที่จะตอ้ ง ไดร้ บั การตรวจติดตาม เพื่อส่งเสริมและป้ องกนั การเกดิ ปัญหาสุขภาพหรือโรคเร้ ือรงั ซึ่งจะ ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรม พบการศึกษา ภ า ว ะ สุ ข ภ า พ แ ล ะ พ ฤ ติ ก ร ร ม สุ ข ภ า พ ข อ ง บุ ค ล า ก ร ท่ี ท า ง า น ใ น วิ ท ย า ลั ย พ ย า บ า ล คณะพยาบาลศาสตร์ และในโรงพยาบาลของรัฐในภูมิภาคอื่น ผลการศึกษาเป็ นไปใน แนวทางเดียวกันว่า ภาวะสุขภาพของบุคลากรในองคก์ รส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจาตวั แต่มี ปั จจัยเส่ียงต่อสุขภาพ เช่น มีภาวะอ้วน ไขมันในเลือดสูง ดัชนีมวลกายเกิน เป็ นต้น ส่วนพฤตกิ รรมสขุ ภาพพบวา่ บคุ ลากรมีพฤติกรรมสขุ ภาพโดยรวมอยูใ่ นระดบั ปานกลางถึง มาก4-7,14 อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีการศึกษาในบริบทของวิทยาลัยพยาบาลในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ดังน้ัน ผูว้ ิจยั จึงสนใจท่ีจะศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ของบุคคลากรในวทิ ยาลยั พยาบาลแห่งหนึ่งในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ท้งั น้ ีเพ่ือประเมิน ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพและนาขอ้ มูลท่ีไดไ้ ปใชใ้ นการพฒั นารูปแบบและแนว ทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอันจะนาไปสู่ภาวะสุขภาพท่ีดีและก ารทางานที่มี ประสทิ ธิภาพของบคุ ลากรในองคก์ รตอ่ ไป

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 41 ปีที่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) คาถามการวจิ ยั ภาวะสุขภาพของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เป็ นอยา่ งไรและมพี ฤติกรรมสขุ ภาพอยู่ในระดบั ใด วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาภาวะสุขภาพของบุคลากรวิทยาลัยพยาบาลแห่งหน่ึ งในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ 2. เพอ่ื ศึกษาพฤตกิ รรมสขุ ภาพของบุคลากรวทิ ยาลยั พยาบาลแห่งหนึ่งในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ กรอบแนวคิดในการวจิ ยั การศึกษาเชิงพรรณนาคร้งั น้ ีเป็ นการศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของ บุคลากรในวิทยาลัยพยาบาล ซ่ึงพฤติกรรมสุขภาพเป็ นการปฏิบัติพฤติกรรมท่ีผสมผสาน อยู่ในวิถีการดาเนิ นชีวิตตามแนวคิดพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์1 ประกอบดว้ ย 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรบั ผิดชอบต่อสขุ ภาพ ดา้ นโภชนาการ ดา้ นกิจกรรม ทางกาย ดา้ นสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล ดา้ นการจดั การกับความเครียดและดา้ นการ พฒั นาทางจิตวญิ ญาณ ระเบยี บวธิ วี ิจยั การวิจัยคร้ังน้ ีเป็ นการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive research) เพื่อศึกษาภาวะ สุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพ ของบุคลากรวิทยาลัยพ ยาบาลแห่งหน่ึ งในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ โดยมีระยะเวลาดาเนินการวิจยั ระหว่างเดือนตุลาคม ถึง ธนั วาคม 2557 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ประชากรของการศึกษาคร้ังน้ ีเป็ นบุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุนของ วิทยาลัยพยาบาลแห่งหน่ึงในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือท่ีปฏิบัติงานจริงในปี งบประมาณ 2557 จานวน 136 ราย คดั เลือกกลุ่มตวั อย่างแบบเฉพาะเจาะจง จากกลุ่มตวั อย่างท่ีเป็ น ผูเ้ ขา้ รับการตรวจสุขภาพประจาปี พ.ศ. 2557 และมีบนั ทึกผลการตรวจสุขภาพ จานวน 98 ราย โดยในจานวนน้ ีมีกลุ่มตวั อย่างเพยี ง 78 รายท่ียินดีตอบแบบสอบถามการปฏิบตั ิ พฤติกรรมสุขภาพ

42 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) การพทิ กั ษส์ ิทธิของกล่มุ ตวั อยา่ ง การวิจัยคร้ังน้ ีผ่านการพิจารณารับรองจริยธรรมการวิจัยจากคณะกรรมการ จริยธรรมการวจิ ยั ในมนุษย์เลขท่ี EC.4/2557 ผวู้ จิ ยั สอบถามความสมคั รใจในการเขา้ ร่วม การวิจยั ของกลุ่มตวั อย่างพรอ้ มท้งั อธิบายวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั เป็ นลายลักษณ์อกั ษร กลุ่มตวั อย่างมีสิทธิที่จะตดั สนิ ใจตอบรบั หรือปฏิเสธการเขา้ ร่วมวจิ ยั โดยไม่มีผลกระทบใดๆ หลังจากกลุ่มตวั อย่างยินยอมการเขา้ ร่วมวิจยั แลว้ ผูว้ ิจยั ขอความร่วมมือใหเ้ ซ็นชื่อยินยอม เขา้ ร่วมวิจยั เป็ นลายลักษณอ์ กั ษร หลงั จากน้ันผูว้ ิจยั ไดเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูลจากบนั ทึกผลการ ตรวจสขุ ภาพประจาปี และใหก้ ลุ่มตวั อย่างตอบแบบสอบถามดว้ ยตนเอง และส่งคนื ท่กี ล่อง รบั แบบสอบถามทผี่ วู้ จิ ยั จดั เตรียมไว้ เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวมรวมขอ้ มูล เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูลคร้งั น้ ี เป็ นแบบสอบถามประกอบดว้ ยขอ้ มูล 3 ส่วน ดงั น้ ี ส่วนที่ 1 แบบบนั ทกึ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คล ไดแ้ ก่ เพศ อายุ โรคประจาตวั ส่วนท่ี 2 แบบบนั ทึกขอ้ มูลภาวะสุขภาพ ไดแ้ ก่ น้าหนัก ส่วนสูง ดชั นีมวลกาย เสน้ รอบเอว ระดบั น้าตาลในเลือด ระดบั ความดนั โลหติ และระดบั ไขมนั ในเลือด ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ ซ่ึงผู้วิจัยดัดแปลงจาก แบบสอบถามการปฏิบตั ิพฤติกรรมสุขภาพสาหรบั ผตู้ ิดเช้ ือเอชไอวีที่ไดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยา ตา้ นไวรัสของแสงเดือน ก่ิงแกว้ 11 ท่ไี ดพ้ ฒั นาข้ ึนตามแนวคิดพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของ เพนเดอร1์ ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามจานวน 15 ขอ้ เป็ นขอ้ คาถามทางบวก 12 ขอ้ และขอ้ คาถามทางลบ 3 ขอ้ และผ่านการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือจากผเู้ ชย่ี วชาญ 3 ทา่ น ดว้ ย การตรวจสอบความตรงเฉพาะหน้า (face validity) และนาแบบสอบถามไปทดลองใชก้ บั บุคลากรท่ีทางานในโรงพยาบาล จานวน 10 ราย ทดสอบค่าความเช่ือมั่นของ แบบสอบถามดว้ ยวิธี Sprit-half โดยใชส้ ูตรของ Spearman-Brown12 ไดค้ ่าความเชื่อมนั่ เทา่ กบั 0.70 (n=10) เกณฑก์ ารแปลผล แปลผลการประเมินภาวะสุขภาพตามเกณฑผ์ ลการตรวจทาง หอ้ งปฏิบตั ิการ ผูท้ ี่ผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ปกติ หมายถึงมีภาวะสุขภาพปกติ และผูท้ ่ีผล การตรวจไม่อยูใ่ นเกณฑป์ กติ หมายถึง มีภาวะสุขภาพผิดปกติ ส่วนการแปลผลพฤติกรรม สุขภาพ แปลตามค่าคะแนนซึ่งมีค่าคะแนนเป็ น 0 หมายถึง ไม่ไดป้ ฏิบัติ, 1 หมายถึง ปฏิบตั ิบางคร้งั และ 2 หมายถงึ ปฏิบตั ิเป็ นประจา คะแนน จากขอ้ คาถามทางบวก 12 ขอ้ และขอ้ คาถามทางลบ 3 ขอ้ โดยคาถามเชิงลบจะใหค้ ะแนนตรงกนั ขา้ ม มีค่าคะแนนรวม

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 43 ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ท้งั หมด 30 คะแนน แบ่งระดบั พฤติกรรมสุขภาพเป็ น 3 ระดบั ตามค่าคะแนน ไดแ้ ก่ ค่า คะแนนน้อยกว่าหรือเท่ากบั 18 หมายถึง มีพฤติกรรมสุขภาพไม่ดี ค่าคะแนน 19-23 หมายถึง มีพฤติกรรมสุขภาพปานกลาง และค่าคะแนนต้ังแต่ 24 ข้ ึนไป หมายถึง มี พฤตกิ รรมสุขภาพดี การวเิ คราะหข์ อ้ มูล วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป โดยวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิง ปริมาณ คือ ขอ้ มูลส่วนบุคคลและขอ้ มูลภาวะสุขภาพนามาคานวณหาจานวนและรอ้ ยละ ส่วนขอ้ มูลพฤติกรรมสุขภาพนามาคานวณหาจานวนและรอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่างจาแนก ตามระดบั คะแนนพฤตกิ รรมสุขภาพโดยรวมและรายดา้ น ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู วจิ ยั 1.ขอ้ มลู ทวั่ ไป กลุ่มตวั อย่าง 98 ราย ส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง (รอ้ ยละ 81.7) มีอายุระหว่าง 46- 50 ปี มากที่สุด (รอ้ ยละ 17.3) รองลงมามีอายุระหว่าง 36-40 ปี (รอ้ ยละ 14.5) อายุ เฉลี่ย 41.20 ปี ส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจาตัว (ร้อยละ 76.6) และร้อยละ 23.4 มีโรค ประจาตวั โดยพบว่าเป็ นโรคความดันโลหิตสูงมากท่สี ุด (รอ้ ยละ 10.4) รองลงมาคือ มภี าวะไขมนั ในเลือดสงู (รอ้ ยละ 9.2) และโรคเบาหวาน (รอ้ ยละ 5.2) 2. ภาวะสุขภาพ ขอ้ มูลจากบันทึกผลการตรวจสุขภาพ พบว่า จากกลุ่มตวั อย่าง 98 ราย โดยเกือบ ครึ่งหน่ึง (รอ้ ยละ 44.9) มีดชั นีมวลกายอยู่ในเกณฑป์ กติ และมีกลุ่มตัวอย่างถึงรอ้ ยละ 28.6 ท่ีมีดัชนีมวลกายอยู่ในระดับอว้ น และรอ้ ยละ 21.4 อยู่ในระดับน้าหนักเกิน ส่วนความยาวเสน้ รอบเอว พบว่าเพศชายส่วนใหญ่ (รอ้ ยละ 68.4) มีเสน้ รอบเอวอยู่ใน เกณฑป์ กติ และรอ้ ยละ 31.6 มีเสน้ รอบเอวเกินขนาด และในเพศหญิงส่วนใหญ่ (รอ้ ยละ 67.9) มีเสน้ รอบเอวปกติ และรอ้ ยละ 32.1 มีเสน้ รอบเอวเกินขนาด สาหรบั ระดบั ความ ดนั โลหิต พบว่า สว่ นใหญ่ (รอ้ ยละ 83) อยู่ในระดบั ปกติ รองลงมามีภาวะความดนั โลหิต สงู (รอ้ ยละ 9) และมีภาวะความดนั โลหิตค่อนขา้ งสงู นอ้ ยท่สี ดุ (รอ้ ยละ 8) (ตารางท่ี 1) นอกจากน้ัน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (รอ้ ยละ 79.5) มีระดับน้าตาลในเลือดอยู่ ในเกณฑป์ กติ รองลงมารอ้ ยละ 15.4 อยู่ในเกณฑเ์ ส่ียงต่อการเป็ นเบาหวานจากการท่ีมี ระดบั น้าตาลในเลือดเริ่มสูง และรอ้ ยละ 5.6 เป็ นเบาหวานจากการที่มีน้าตาลในเลือด

44 วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ในระดับสูง ส่วนการตรวจระดับไขมันในเลือดพบว่า เกือบครึ่งหนึ่ง (รอ้ ยละ 42.7) มีระดบั โคเลสเตอรอลอยใู่ นระดับเรม่ิ สูง รอ้ ยละ 17.1 อยูใ่ นระดบั สูงกว่าเกณฑ์ และ รอ้ ยละ 40.2 อยู่ในระดับปกติ สาหรับระดับไตรกลีเซอไรด์ ส่วนใหญ่ (รอ้ ยละ 67.5) อยู่ในระดับปกติ ยังมีรอ้ ยละ 18.8 ที่อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ปกติ และรอ้ ยละ 13.8 อย่ใู นระดบั เร่ิมสงู (ตารางท่ี 2) 3. พฤติกรรมสุขภาพ จากกลุ่มตัวอย่างจานวน 98 รายที่เขา้ รับการตรวจสุขภาพและมีบันทึกผลการตรวจ สุขภาพ แต่มีผูส้ มคั รใจตอบแบบสอบถามและส่งคืนผูว้ ิจยั จานวน 78 ราย ผูว้ ิจยั จึงวิเคราะห์ ขอ้ มลู พฤตกิ รรมสุขภาพจากกลุ่มตวั อย่างทม่ี ีจานวน 78 ราย ดงั น้ ี กลุ่มตวั อย่างมีพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดบั ปานกลางมากที่สุด คิดเป็ นรอ้ ยละ 55.8 เม่ือพิจารณารายดา้ นพบว่า พฤติกรรมสุขภาพท่ีอยู่ในระดบั ดี ไดแ้ ก่ ดา้ นสมั พนั ธภาพ ระหว่างบุคคล (รอ้ ยละ 96.2) พฤติกรรมสุขภาพท่ีอยู่ในระดบั ปานกลาง ไดแ้ ก่ ดา้ นความ รับผิดชอบต่อภาวะสุขภาพ (รอ้ ยละ 56.4) และดา้ นการพัฒนาทางจิตวิญญาณ (ร้อยละ 42.3) ส่วนพฤติกรรมสุขภาพท่ีอยู่ในระดับไม่ดี คือ ด้านโภชนาการ (ร้อยละ 70.5) ดา้ นกิจกรรมทางกาย (รอ้ ยละ 79.5) และดา้ นการจัดการกบั ความเครียด (รอ้ ยละ 75.3) ดงั แสดงในตารางที่ 3 ซ่ึงเม่ือพิจารณารายละเอียดของพฤติกรรมสุขภาพรายขอ้ มีรายละเอียด ท่ีสาคัญ ไดแ้ ก่ มีกลุ่มตัวอย่างที่สูบบุหรี่เป็ นประจา (รอ้ ยละ 3.8) และ ด่ืมแอลกอฮอล์ เป็ นบางคร้ัง (รอ้ ยละ 28.2) ไม่เคยใชถ้ ุงยางอนามัยกับคู่สมรสเม่ือมีเพศสมั พันธ์ (รอ้ ยละ 43.6) ติดตามข่าวสารเก่ียวกับสุขภาพอย่างสมา่ เสมอ (รอ้ ยละ 38.5) นอนหลับพกั ผ่อนได้ อย่างน้อยคืนละ 6 ชัว่ โมง (รอ้ ยละ 53.8) ปรึกษาเจา้ หน้าท่ีทางสุขภาพเป็ นบางคร้ังเม่ือ มีปั ญหาสุขภาพหรืออาการผิดปกติ (ร้อยละ 53.8) รับประทานอาหาร 5 หมู่เป็ นบางวัน (รอ้ ยละ 44.9) รบั ประทานอาหารไขมนั สูงเป็ นบางวนั (รอ้ ยละ 65.4) ออกกาลังกายดว้ ยการ เล่นกีฬาน้อยกว่า 3 คร้ังต่อสัปดาห์คร้ังละ 30 นาที (ร้อยละ 59) ได้ทางานออกแรงจน เหงื่ออกเป็ นบางวนั (รอ้ ยละ 69.2 ) พูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานเป็ น ประจาทุกวนั (รอ้ ยละ 96.2) หากมีความเครียดสามารถหาวิธีจัดการความเครียดไดเ้ ป็ น บางคร้งั (รอ้ ยละ 53.2) สวดมนต์ ทาสมาธิ หรือทาบุญ เพื่อใหจ้ ิตใจสงบ สบายใจเป็ นบางวนั (รอ้ ยละ 73.1) และมคี วามสุขและความพึงพอใจในชีวิตทุกวนั (รอ้ ยละ 62.8)