Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: 017

Search

Read the Text Version

ปฏวิ ตั ิยคุ สมัยด้วยฟางเสน้ เดยี ว THE ONE STRAW REVOLUTION ผเ๎ู ขียน : Masanobu Fukuoka 1975 ผ๎แู ปล : รสนา โตสติ ระกูล ๒๕๓๐ พิมพ๑คร้งั แรก มีนาคม ๒๕๓๐ เปาู หมายสูงสุดของเกษตรกรรม ไมใํ ชกํ ารเพาะปลูกพชื ผล แตํคอื การบมํ เพาะความสมบรู ณ๑ แหงํ ความเป็นมนุษย๑ คานา  คานาสานักพิมพ้์  คานยิ ม  คาชี้แจงของผู้แปล  อารัมภกถา้  บทนา  บันทกึ เกี่ยวกับการแปลเป็น ภาษาองั กฤษ

คานาสานกั พิมพ์ เม่อื ใดทส่ี ังคมเกิดวกิ ฤตการณอ๑ นั ไมอํ าจแกไ๎ ขได๎ด๎วยแนวคิดและวิธีการแบบเดิม เมอ่ื นั้นผ๎คู นยอํ มคาดหวงั วํา \"การปฏวิ ัติ\" จะสามารถเป็นทางออกของยุคสมัยได๎ คนจานวนไมํ นอ๎ ยมองไปทกี่ ารปฏิวตั โิ ครงสรา๎ งของสงั คม และแล๎วเราก็ไดเ๎ ห็นการปฏวิ ตั ทิ างการเมอื งและ เศรษฐกิจคร้ังแล๎วครงั้ เลําในหลายศตวรรษท่ผี ํานมา คนอีกมากมีความหวงั กบั การปฏิวตั ทิ าง เทคโนโลยแี ละแล๎วก็เกิดการปฏิวัตอิ ตุ สาหกรรม การปฏวิ ัตเิ ขยี ว ลําสดุ คอื การปฏวิ ัตทิ าง สารสนเทศโดยมคี อมพวิ เตอรเ๑ ป็นสญั ลกั ษณ๑ แตํแล๎ววกิ ฤตการณต๑ ําง ๆ ก็ยังเวียนวนไมํจบสิ้น โครงสรา๎ งตําง ๆ แมจ๎ ะถูกถอนรากถอนโคน แตวํ กิ ฤตการณ๑ตาํ ง ๆกย็ ังเวยี นมาอกี เชํนเคย เผดจ็ การโดยคนกลํุมนอ๎ ยผลัดเปลยี่ นกันมาอยํางซ้าซากโดยท่กี ารปฏิวัติเขยี วกไ็ มชํ วํ ยใหค๎ วามอด อยากหิวโหยสญู ไปจากโลก ซา้ กลบั ทาให๎การเบยี ดบังเอาเปรียบคนยากไรเ๎ ป็นไปอยํางหนกั ขอ๎ ยิ่งขึ้น การปฏิวัตทิ แ่ี ท๎จริงนั้น มไิ ดอ๎ ยทํู ก่ี ารเปลย่ี นแปลงโครงสรา๎ งของสังคมหรือการเนรมิต เทคโนโลยีอันมหัศจรรย๑ สง่ิ หนง่ึ ที่คนทั่วไปมกั มองขา๎ มก็คือการปฏวิ ัติทางทัศนคติอยาํ งถงึ รากฐาน วกิ ฤตการณใ๑ นปัจจุบัน โดยเน้อื แท๎แล๎วเปน็ วิกฤตการณ๑ทางด๎านแนวคดิ และทัศนคตขิ น้ั ปฐมฐาน เราจาเป็นต๎องกลับมามองทที่ ศั นคตพิ นื้ ฐานของเรา อนั ไดแ๎ กํ ทัศนคตติ อํ ธรรมชาติ และทัศนคตติ ํอตัวเราในฐานะท่เี ป็นสํวนหน่งึ ของธรรมชาติ เป็นเพราะเราเห็นธรรมชาติน้นั ไร๎ ชีวิตจิตใจ เราจึงครอบงาเบยี ดบงั ธรรมชาติเพียงเพื่อปรนเปรอตัณหาและสนองความยง่ิ ใหญทํ ี่ เราเข๎าใจวาํ มอี ยใู นตัวเรา โดยไมคํ านึงถงึ ความพนิ าศของระบบนเิ วศนท๑ เี่ กิดข้นึ ทัว่ ทงั้ โลก เปน็ เพราะเราเขา๎ ใจอยํางฉาบฉวยวาํ ธรรมชาติเปน็ ดงั เครือ่ งจักรที่ประกอบไปดว๎ ยชน้ิ สํวนที่แยกจาก กันดงั ฟันเฟือง เราจงึ แยกทกุ สง่ิ ทุกอยาํ งออกเปน็ สํวน ๆ แยกสัตว๑ออกจากปุา แยกตน๎ ไมอ๎ อก จากภเู ขา แยกมนุษย๑ออกจากธรรมชาติ จนแมก๎ ระท่งั กายและใจกถ็ ูกแยกออกจากกันเป็นสํวน ๆ จนตอํ กันแทบไมตํ ดิ แลว๎ เราก็ปรนเปรอตัวเองด๎วยวตั ถทุ ตี่ ักตวงจากธรรมชาติอยํางมโหฬาร จน เกดิ วกิ ฤตการณ๑ทั้งทางดา๎ นรํางกาย จติ ใจ สงั คม และในระบบนเิ วศน๑ทง้ั ระบบ เราจาต๎องเปลีย่ นแปลงทัศนคตขิ น้ั พนื้ ฐาน เราจะต๎องลดความเช่อื มน่ั ในโลหะและ คอนกรตี และหันมาศรทั ธาในพ้นื ดนิ ลาธาร และต๎นไม๎กนั ให๎มากข้ึน มองใหเ๎ ห็นถงึ คณุ คาํ และ ศักยภาพอนั ยิ่งใหญํทแ่ี ฝงอยํูในธรรมชาติอยํางออํ นน๎อมถํอมตน และจะต๎องรํวมมอื กบั ธรรมชาติ ยิ่งกวําทจี่ ะเอาชนะคะคานธรรมชาติ เปน็ อนั หนึ่งอนั เดยี วกับธรรมชาติอยํางประสานกลมกลืน ยง่ิ กวําทจ่ี ะตั้งตัวเป็นเอกเทศเพื่อครองความเปน็ เจ๎าเหนอื ธรรมชาตใิ นที่สุด ปฎิวตั ิยคุ สมยั ดว๎ ยฟางเสน๎ เดยี ว เป็นเรื่องของชาวนาผห๎ู นึ่งซึง่ ไดผ๎ ํานการปฏวิ ตั ิทาง ทศั นคตอิ ยํางถึงรากฐาน เป็นการปฏวิ ัติอันเนอ่ื งจากฟางขา๎ ว ซงึ่ ได๎แสดงใหเ๎ ขาประจกั ษว๑ ํา ธรรมชาตนิ นั้ ย่ิงใหญํกวาํ สารเคมีและประดษิ ฐกรรมทางวทิ ยาศาสตร๑ท้งั ปวง การคน๎ พบดังกลําว มิเพยี งแตจํ ะมีความหมายตํอเกษตรกรรม ซึ่งกาลังมาถงึ จุดอุดตนั มนั เป็นผลจากการปฏิวัติเขียว

ท่ีเห็นเทคโนโลยีเปน็ คาตอบเทาํ นัน้ หากยังมคี วามหมายตํออารยธรรมมนุษยอ๑ ยาํ งสาคัญ ใน ยุคสมัยที่มนษุ ย๑ท้งั มวลกาลงั ประสบกับความอบั จนครงั้ สาคัญในประวัตศิ าสตร๑ ชนดิ ท่อี าจมผี ล ทาลายมนุษยชาติใหส๎ ญู สนิ้ เผําพันธไ๑ุ ปนนั้ มาซาโนบุ ฟูกโู อกะได๎บอกให๎เราร๎ูวํา ฟางขา๎ วนน้ั สามารถปฏิวัติยคุ สมยั ใหผ๎ ํานพน๎ วกิ ฤตการณไ๑ ปได๎ การปฏวิ ัติดงั กลําวก็คอื การปฏวิ ตั ิทาง ทศั นคติ ทม่ี คี วามตระหนกั และสานกึ ในคุณคําอันย่ิงใหญขํ องธรรมชาติ ซึ่งดเู ผิน ๆ แล๎ว เหมอื นวาํ ไร๎คาํ ดังทีเ่ ราทัว่ ไปมกั มองเชํนนนั้ กบั ฟางข๎าวในท๎องทํงุ น้แี หละคือการปฏิวัติท่ี แทจ๎ ริงทย่ี คุ สมัยของเรากาลงั ต๎องการอยาํ งย่ิงยวด ปฎวิ ตั ยิ คุ สมยั ดว๎ ยฟางเสน๎ เดียว เปน็ งานเลมํ แรกของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะที่ สานักพมิ พ๑มูลนิธโิ กมลคีมทองได๎พิมพเ๑ ผยแพรตํ อํ ผอ๎ู าํ นชาวไทย เพือ่ เสนอแนวคดิ ใหมํอัน สามารถเปน็ ทางออกสาหรับสงั คมปจั จุบนั ได๎ พอ ๆ กบั ทเ่ี ป็นทางออกของกลุมํ บคุ คลหรือ ปัจเจกชนท่ปี รารถนาสังคมใหมํที่มนษุ ยส๑ ามารถอยูรํ ํวมกนั ได๎อยาํ งสันตสิ ขุ ในสภาพแวดลอ๎ มที่ เอื้ออาทรตอํ มนุษย๑และสรรพชวี ติ ........ กลับขึน้ ไปท่หี ัวข้อคานา คานิยม หากถือตามหลกั พุทธศาสนา สรรพส่งิ ยํอมเป็นอนิจจัง นน่ั คอื มีการเคลื่อนไหว เปลีย่ นแปลงอยเูํ สมอ หากสภาพเชํนนเี้ กดิ ข้นึ อยาํ งลึกซ้ึงหรอื รวดเร็วกอ็ าจเรยี กวาํ \"การปฏวิ ัติ\" ได๎ ซึ่งการปฏิวตั นิ นั้ เองกอ็ าจกลายเป็นปัจจัยในการเปล่ียนแปลงอ่ืน ๆ ตอํ เน่อื งกันไปไดอ๎ ีกเปน็ ลกู โซํ ดงั เชํน \"การปฏวิ ัติอุตสาหกรรม\" ในยุโรปเมอ่ื คริสตศตวรรษที่ ๑๘ นาไปสํูการขยายตัว ของลทั ธอิ าณานคิ มและตํอมาเปน็ ชนวนใหเ๎ กดิ มหาสงครามโลกขึ้น เป็นต๎น ในด๎านการเกษตรน้นั การเปล่ยี นแปลงครงั้ ลําสุดที่อาจถอื ไดว๎ าํ เป็นการปฏิวัติกค็ ือ \"การปฏิวตั ิเขียว\" (The Green Revplution) ซง่ึ เกิดข้นึ ในชํวงทศวรรษที่ ๖ คอื ประมาณ ๓๐ ปี ที่ผาํ นมานี้ โดยเรมิ่ ต๎นจากเทคโนโลยกี ารผลิต เชํน การผสมพันธุ๑พืชสตั วท๑ ีใ่ ห๎ผลผลิตสงู การ ใชส๎ ารเคมีชนดิ ตาํ ง ๆ เปน็ ปจั จยั การผลติ ทส่ี าคัญ และการใชเ๎ ครื่องจกั รกลการเกษตร เป็นต๎น ซึ่งนาไปสูํการเปล่ยี นแปลงในดา๎ นอืน่ ๆ เชนํ ด๎านเศรษฐกจิ สังคม การเมืองและวฒั นธรรม ตลอดจนสุขภาพอนามัยและระบบนิเวศวทิ ยาของโลก

จุดเดํนของการปฏวิ ัติเขยี วอยูทํ กี่ ารนาเอาความกา๎ วหนา๎ ทางวทิ ยาศาสตร๑เละ เทคโนโลยี มาใช๎เพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิตสินคา๎ เกษตรอยํางได๎ผลชัดเจนดังเชนํ การเพม่ิ ผลผลติ ตํอไรํของพนั ธุข๑ า๎ ว \"มหศั จรรย๑\" ตําง ๆ เปน็ ตน๎ แตํจดุ อํอนของมันก็คอื ละเลยตอํ ผลกระทบด๎านอื่น ๆ เชํน สังคมและสิ่งแวดลอ๎ มโดยเฉพาะผลกระทบตํอระบบนเิ วศวทิ ยาซ่ึงมี ความละเอียดอํอนและซับซอ๎ นเป็นอยาํ งยง่ิ โดยอาศยั เงื่อนไขตาํ ง ๆ เชนํ ผลประโยชน๑รวํ มกนั ระหวาํ งกลมํุ อานาจตําง ๆ ในท่สี ุด ระบบการเกษตรในแนวทาง \"การปฏวิ ตั เิ ขยี ว\" ก็กลายเป็นนโยบายหลักของแทบทกุ ประเทศ และประชาชนสวํ นใหญโํ ดยเฉพาะเกษตรกรตาํ งถกู ชักจูงให๎ยอมรับระบบการเกษตรดังกลําว ด๎วยวธิ ีการตําง ๆ รวมท้งั ผาํ นระบบการศึกษาและสือ่ สารมวลชนนานาชนดิ จนกระทงั่ กลายเปน็ กระแสหลกั ของระบบการเกษตรในปัจจุบัน กลําวโดยสรปุ ระบบการเกษตรปัจจบุ ันตงั้ อยบํู นหลักการใหญํ ๆ เพียง ๒ ประการคือ ความมกั งํายและความรุนแรง \"ความมกั งําย\" แสดงออกโดยการมองทกุ ส่ิงอยํางแยกสํวน เชนํ มองเห็นดนิ เป็นเพยี ง พ้นื ทสี่ าหรบั พืชอาศยั ยืนตน๎ และเป็นแหลงํ ธาตุอาหารเทาํ นั้นเมื่อดนิ ขาดความอุดมสมบูรณก๑ ็ เพียงแตใํ สธํ าตอุ าหารลงไปโดยตรงในรูปของป๋ยุ เคมี ซึง่ ในที่สดุ ก็พฒั นามาจนไมํต๎องปลกู พืช บนดนิ กไ็ ด๎ กลาํ วคือ ปลกู บนกกรวดทรายที่มีสารละลายของธาตอุ าหารหลอํ เล้ียงอยแูํ ทน (Hydroponic) สํวน \"ความรุนแรง\" จะเห็นไดจ๎ ากการแกป๎ ญั หาศัตรพู ชื เชนํ โรครา แมลง วัชพชื หรอื สตั วอ๑ น่ื ๆ เชนํ หนูนา โดยการฆําหรือทาลายโดยตรงด๎วยสารเคมีพิษชนิดตําง ๆ ไมวํ าํ จะเปน็ ยา กาจัดเชือ้ รา ยาฆําแมลง ยากาจัดวชั พชื หรือยาเบอ่ื หนกู ต็ าม ระบบการเกษตรปัจจบุ นั พยายามแยกตัวออกจากธรรมชาติ โดยใชว๎ ธิ กี ารควบคมุ และ บังคับธรรมชาตไิ ปในทิศทางทีม่ นษุ ยต๑ ๎องการ เพียงเพอ่ื สนอง \"ความต๎องการเทยี ม\" ของคน กลุมํ น๎อยท่มี ีกาลังซ้อื ตวั อยาํ งเชนํ การปลกู พชื เมืองรอ๎ นในประเทศเขตหนาว หรือปลกู พืช เมืองหนาวในประเทศเขตร๎อน รวมทั้งการบงั คบั ใหต๎ น๎ ไม๎ออกผลนอกฤดกู าล เป็นต๎น รูปธรรมอนั เป็นผลจากระบบการเกษตรดังกลําวทเี่ หน็ ไดช๎ ดั เจนในปัจจุบัน ก็คอื การ ขยายตัวอยํางรวดเรว็ ของกิจการกลํุมบรรษทั ผลิตสารเคมีและเคร่อื งจักรกลท่ใี ชใ๎ นการเกษตร การลมํ สลายของเกษตรกรรายยํอย หนส้ี นิ ตํางประเทศของประเทศเกษตรกรรม ความเสอื่ ม โทรมของส่งิ แวดล๎อมและระบบนิเวศวิทยา ปัญหาดา๎ นสขุ ภาพอนามยั ของประชาชนท่ัวไปใน ฐานะผูบ๎ ริโภคผลจากระบบการเกษตรนี้ และเมอ่ื วเิ คราะห๑ลึกลงไปอีกก็พบวาํ แท๎จริงแล๎ว ระบบการเกษตรทใ่ี ช๎อยํูในปจั จบุ นั นี้ กลับมไิ ดม๎ ปี ระสทิ ธิภาพสูงข้นึ ดงั ท่ีกลาํ วอ๎างกนั มาแตตํ น๎ หากแตํเปน็ ระบบทีด่ อ๎ ยประสิทธภิ าพ อยาํ งยงิ่ ดังจะเห็นได๎จากการผลิตอาหารให๎ไดพ๎ ลังงาน ๑ แคลอรน่ี น้ั จะต๎องใชพ๎ ลังงานในการ ผลติ ถงึ ๗ แคลอร่ี ในขณะท่รี ะบบการเกษตรดัง้ เดิมน้นั ใชพ๎ ลังงานการผลิตเพียง ๑ แคลอร่ี แตํ ผลิตอาหารไดพ๎ ลังงานถึง ๕๐ แคลอร่ี ดังน้นั ระบบการเกษตรในปจั จบุ นั จึงใช๎ทรัพยากรของ โลกอยาํ งฟุมเฟอื ย โดยเฉพาะทรพั ยากรทม่ี ีอยูจํ ากัดและไมอํ าจหมุนเวียนกลบั มาใช๎ใหมํไดอ๎ ีก เชํน น้ามันดบิ ถํานหิน ก๏าซธรรมชาตแิ ละแรธํ าตตุ าํ ง ๆ เปน็ ตน๎ ในขณะเดยี วกนั กท็ าให๎เกดิ ของ เของเสียซง่ึ เป็นพษิ ตอํ ดนิ น้า อากาศ ตลอดจนปนเปอ้ื นมากับอาหารที่ผลิตได๎ เปน็ พิษภัยตํอ ผ๎บู รโิ ภคอกี ดว๎ ย ปัญหาอันเกดิ จากระบบการเกษตรทัง้ ทางตรงและทางอ๎อมที่โลกกาลงั เผชญิ อยํูทุก

วนั นี้ ทวคี วามรุนแรงและคบั ขนั ยิ่งข้ึนทกุ ขณะ จนอาจกลาํ วได๎วาํ ใกลถ๎ งึ จุด \"วิกฤต\" แลว๎ เชํนเดียวกับปญั หาด๎านอื่น ๆ เชนํ เศรษฐกจิ การเมอื งและสงั คม ฯลฯ ทางออกของ \"วิกฤตการณ๑\" ดังกลําวก็คอื ต๎องมกี ารเปลย่ี นแปลงอยํางรอบด๎าน เกิดขึ้นอีกครั้งหน่ึง ซ่งึ อาจเรยี กได๎วาํ เปน็ \"การปฏวิ ัติ\" ครั้งใหมใํ นระบบการเกษตรของโลก ปฏวิ ตั ิยุคสมยั ด๎วยฟางเส๎นเดยี ว ของมาซาโนบุ ฟูกโู อกะ เป็นทง้ั แนวความคิดและ รปู ธรรมในการเปล่ยี นแปลงอยาํ งรอบด๎านดงั กลําว แตเํ ป็นการปฏวิ ัตดิ ๎วยฟางเสน๎ เดียว กลําวคอื เปล่ยี นระบบการเกษตรปัจจุบัน เป็นระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ (Natural Farming) นนั่ เอง ฟูกูโอกะเชือ่ วําแทจ๎ รงิ แลว๎ มนุษย๑ไมรํ อู๎ ะไรเลย และไมอํ าจเขา๎ ใกล๎ธรรมชาตไิ ด๎ดว๎ ย วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร๑ ดังนน้ั กิจกรรมทกุ ชนดิ ของมนษุ ย๑จงึ ไรป๎ ระโยชน๑และสญู เปลาํ นอกจาก กิจกรรมประเภท \"อกรรม\" (Do-nothing) ซ่งึ เป็นการรํวมมือกบั ธรรมชาตอิ ยาํ งสอดคล๎องและ สงํ เสรมิ ซ่งึ กนั และกันเทาํ น้ัน เกษตรกรรมธรรมชาตคิ อื ตวั อยํางหนึ่งของกจิ กรรมชนดิ อกรรม ซึ่งมิไดห๎ มายถงึ การไมํ ทาอะไรเลย หรือปลอํ ยตามยถากรรม หากแตเํ ปน็ การงดเวน๎ กจิ กรรมทีไ่ มํจาเป็นทุกชนิด ใช๎ แรงงานท่มี ีอยโํู ดยไมใํ ชแ๎ รงงานจากสตั วห๑ รอื เคร่ืองจกั ร ไมํพงึ่ พาปจั จัยการผลิตจากภายนอก และไมแํ ยกทุกสง่ิ ออกจากธรรมชาติ เป็นต๎น ด๎วยการดาเนนิ ชวี ิตอยาํ งเรยี บงาํ ยแตํสงู สํงในด๎านจิตวญิ ญาณ มเี วลาเหลือเฟือสาหรับ พกั ผอํ นและทางานอดเิ รกท่ีเขารกั เชํน การเขียนกวไี ฮกหุ รอื แตงํ บทเพลง ฟูกูโอกะไดแ๎ สดงให๎ เราเห็นวาํ มนษุ ย๑แตํละคนมศี ักยภาพอยาํ งเต็มเป่ียมสาหรับการดารงชีวิตท่เี ปน็ อสิ ระและ สมบูรณ๑ โดยอาศัยเกษตรกรรมธรรมชาติเป็นหนทางทีจ่ ะนาไปสวูํ ิถชี วี ิตดงั กลาํ ว ดงั นั้น ปฏิวตั ยิ ุคสมยั ดว๎ ยฟางเส๎นเดียว จึงไมํใชํเพยี งเร่ืองเก่ียวกบั แนวคดิ หรือ ประสบการณ๑ดา๎ นเกษตรเทํานั้น หากแตเํ ป็นเรือ่ งชวี ติ ทัง้ ชวี ิตของชาวนาญป่ี ุนคนหนงึ่ ซึ่งมอี ดตี เปน็ นักวทิ ยาศาสตร๑ และมใิ ชเํ รอ่ื งสํวนตัวหรอื เฉพาะสาหรบั ประเทศญป่ี ุนเทําน้ัน หากแตํเปน็ เรือ่ งสากลสาหรบั มนษุ ยชาตทิ ง้ั ปวงบนโลกใบนอ๎ ยดวงเดยี วกันและยุคสมยั เดียวกันน้ี สาหรบั หนังสอื ปฏิวัตยิ ุคสมัยดว๎ ยฟางเสน๎ เดยี วนี้ ทราบมาวําผู๎แปลใช๎เวลาหลายเดอื น ในการถอดความจากภาษาองั กฤษเป็นภาษาไทย ดว๎ ยความอตุ สาหะและพถิ ีพถิ ัน จนทาให๎ สามารถรกั ษาอรรถรสและความหมายตามตน๎ ฉบับไวไ๎ ดค๎ รบถ๎วน ท้งั ๆ ทมี่ ไิ ด๎สันทดั หรอื มี พืน้ ฐานดา๎ นเกษตรกรรมมากอํ นเลย นบั วาํ สมควรได๎รับการช่นื ชมอยํางจริงใจ เมอ่ื อาํ นหนงั สือเลมํ นจ้ี บลงแลว๎ หลายคนคงมีความร๎ูสึกคลา๎ ยคลึงกนั คอื เกดิ แรง บันดาลใจทจี่ ะเข๎ารวํ มในขบวนการ \"ปฏิวัติ\" ด๎วยวถิ ีทางเกษตรกรรมธรรมชาตนิ ีบ้ า๎ ง แตํคงจะมี เพียงไมกํ คี่ นเทาํ นนั้ ทก่ี ล๎าอุทศิ ตนดาเนนิ ชีวติ ไปตามแรงบันดาลใจดังกลาํ วอยาํ งจรงิ จงั อยํางไรกต็ าม การเปล่ียนแปลงอนั ยิง่ ใหญํหรอื \"การปฏวิ ตั ิ\" ที่แท๎จรงิ ท้ังหลาย ตาํ งกเ็ ริ่มตน๎ จาก จดุ เล็ก ๆ ด๎วยกนั ทง้ั น้นั มิใชหํ รอื เดชา ศริ ิภัทร ๘ มีนาคม ๒๕๓๐

กลับข้นึ ไปทห่ี ัวขอ้ คานา คาชี้แจงของผู้แปล ปฏิวตั ยิ ุคสมัยด๎วยฟางเส๎นเดียว มชี ่อื ในพากย๑องั กฤษวํา The One Straw Revolution ไดร๎ บั การตพี มิ พ๑ครงั้ แรกในภาษาญีป่ นุ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และถอดความเป็นพากย๑ องั กฤษในปรี ํงุ ขึ้น สํวนฉบบั แปลไทยนีต้ ีพมิ พเ๑ ผยแพรโํ ดยมรี ะยะเวลาหํางจากต๎นฉบับเดิมถึง ๑๒ ปี แตํกระนัน้ เนือ้ หาสาระที่มาซาโนบุกูโอกะตง้ั ใจสอ่ื สารกบั ผอู๎ ํานยงั คงความมีชีวติ ชวี า ที่ ไมํล๎าสมยั ไปตามวันเวลาท่ีผํานไป ทงั้ ยงั กลับจะเป็นการเสนอทางออกให๎กบั ยคุ แหํงความตบี ตนั ของเราในขณะน้อี ยาํ งสมสมัย ข๎าพเจา๎ เชือ่ วาํ ใครก็ตามทไ่ี ดอ๎ ํานหนังสอื เลํมน้ี ยอํ มจะได๎รับแรงบันดาลใจจาก ทศั นคตอิ ันลุํมลึก และประสบการณอ๑ นั นาํ ทึง่ ผาํ นงานเกษตรกรรมของฟกู ูโอกะ ดังเชํนท่ี ข๎าพเจ๎าไดป๎ ระสบสัมผสั จากการอํานและแปลงานของเขาเลํมนี้ ส่ิงท่ฟี กู โู อกะได๎สื่อสารกบั เรา ดว๎ ยการใชช๎ ีวติ ตลอด ๕๐ ปีกบั งานเกษตรกรรมทเ่ี ขาได๎เลอื กแลว๎ ก็คอื \"การปฏิวัติ\" ทแ่ี ทจ๎ รงิ สามารถเริ่มตน๎ ข้ึนไดจ๎ ากคนเลก็ ๆ คนหนึ่ง และจากสง่ิ ธรรมดาสามัญท่ดี ูเสมือนไรค๎ ณุ คําดงั เชนํ ฟางข๎าวในท๎องทงุํ ขอเพยี งแตเํ ราแลเห็นคุณคําในสงิ่ ธรรมดาสามญั นั้นอยํางแท๎จริง ปฏิวัตยิ คุ สมัยดว๎ ยฟางเสน๎ เดียว เป็นหนังสือหน่ึงในจานวน ๕ เลํมของฟกู โู อกะ ทไี่ ดร๎ ับ การตพี ิมพอ๑ อกมาในขณะน้ี และในจานวนดงั กลาํ วมี ๓ เลํมท่ีไดร๎ ับการถาํ ยทอดเปน็ พากย๑ อังกฤษแล๎ว ปฏวิ ตั ยิ คุ สมยั ดว๎ ยฟางเสน๎ เดียว เปน็ หนังสือเลํมแรกของฟกู ูโอกะ ซ่ึงอาจกลําวได๎ วาํ เปน็ ข๎อเขียนทีเ่ สนอความคิดท่เี ป็นแมบํ ทของเขาไว๎อยาํ งครบถว๎ นสมบรู ณ๑ งานเขยี นหลงั จากน้นั ล๎วนเปน็ การเพ่ิมเติมและลงรายละเอยี ดตํอความคดิ พ้นื ฐานดังกลําว ในฉบับแปลเปน็ ไทยนี้ ข๎าพเจา๎ ได๎ทานามานกุ รมช่ือพชื และสัตวเ๑ ฉพาะทเี่ ปน็ อาหาร เพิม่ เตมิ ไวท๎ า๎ ยเลมํ ทั้งนเ้ี พ่ือหลกี เลย่ี งความรกรุงรังจากการกากบั ช่อื อังกฤษไว๎ในเน้อื หา ชอ่ื เหลาํ นไี้ ดพ๎ ยายามเทยี บใหเ๎ ปน็ ไทยมากที่สุด แตกํ ระนั้นกย็ ังมีบางสวํ นท่ไี มํสามารถทาได๎ เนอ่ื งจากเปน็ พืชและสตั วท๑ ่ีหาไมไํ ด๎ในประเทศไทย ซง่ึ ก็ใชว๎ ิธเี รียกชอ่ื ทบั ศพั ทต๑ ามตน๎ ฉบับ

องั กฤษ แม๎ช่ือที่ได๎เทียบเป็นไทยแลว๎ กข็ อใหผ๎ ๎อู ํานไดท๎ าความเขา๎ ใจดว๎ ยวาํ ชอื่ ของพืชและ สัตวเ๑ หลํานนั้ มไิ ดเ๎ ปน็ ชนิดเดียวกันเสียทีเดยี วกบั ทีพ่ บในบ๎านเรา โดยมากจะเป็นพืชและสัตวท๑ ่ี อยใํู นตระกลู เดยี วกัน สํวนชนิดพันธุอ๑ าจแตกตํางกนั บ๎าง สาหรบั พืชและสตั วท๑ ่ีชาวไทยไมํ ค๎นุ เคย ขา๎ พเจ๎าไดพ๎ ยายามหารายละเอียดเพิ่มลงในนามานกุ รมเทําน้จี ะสามารถหาขอ๎ มูลได๎ โดยหวงั วาํ เน้ือหาในสํวนนจ้ี ะเปน็ ประโยชนต๑ ํอผอ๎ู าํ นชาวไทยบา๎ ง นอกจากนยี้ ังได๎ทาเชิงอรรถ เพม่ิ เตมิ ในบทแปลนี้ โดยกากับตอํ ท๎ายวํา ผแ๎ู ปล สวํ นเชงิ อรรถนอกน้นั เปน็ เชงิ อรรถของผ๎ูแปล เปน็ อังกฤษได๎ทาไว๎แตํเดมิ ขา๎ พเจา๎ ขอกราบขอบคุณ พระไพศาล วิสาโล ขอขอบคุณ คุณเดชา ศิริภัทร ทก่ี รุณา ชํวยอาํ นต๎นฉบบั ตรวจแกแ๎ ละให๎ความชวํ ยเหลือเก่ยี วกบั ศพั ท๑เฉพาะทางเกษตรกรรม ขอขอบคุณ คุณสมยศ สภุ าพรเหมนิ ทร๑ ทใ่ี ห๎ความชํวยเหลืออยาํ งเตม็ ใจในการทานามานุกรม ชอื่ พชื และสัตว๑ ด๎วยการเทียบชอื่ องั กฤษใหเ๎ ป็นช่ือทางวทิ ยาศาสตร๑จากน้นั จึงเทียบกลับมาเปน็ ชอื่ ไทย ซง่ึ เปน็ งานท่ีใช๎เวลาและตอ๎ งอาศยั ความอุตสาหะอยํางยิ่ง นอกจากนย้ี ังเอ้ือเฟ้ือรูปถาํ ย ของฟูกูโอกะเป็นภาพประกอบในเลมํ ขา๎ พเจ๎ายังได๎รบั ภาพประกอบบางสํวนจาก คุณพิภพ ธงไชย และคณุ มานะ วทิ ยาวัชรนิ ทร๑ ซึ่งท้งั สามทํานมีโอกาสได๎พบกบั ฟกู ูโอกะทีไ่ รนํ าของเขา เมื่อคราวไปดูงานท่ญี ปี่ ุน ข๎าพเจ๎าขอถอื โอกาสขอบคุณในนา้ ใจและความเออื้ เฟอ้ื คนสุดทา๎ ยที่ ขา๎ พเจ๎าไมํอาจจะละเลยกลาํ วถึงในทน่ี ค้ี ือคณุ พจนา อรุณสนั ติโรจน๑ ท่ีได๎อดหลบั อดนอนเรงํ ดดี พิมพ๑ตน๎ ฉบบั ปฏิวตั ิยุคสมัยด๎วยฟางเส๎นเดยี ว ใหอ๎ ยํางไมเํ หน็ แกเํ หนด็ เหนอ่ื ย ข๎าพเจ๎า ขอขอบคณุ เพอ่ื นคนอ่นื ๆ และเจา๎ หน๎าที่ของสานักพมิ พท๑ ีไ่ มํได๎เอยํ นามในท่ีนี้ ดว๎ ยความสานกึ วาํ ความสาเรจ็ ของหนังสอื เลมํ น้ลี ว๎ นได๎รบั ความเอื้อเฟอื้ และชวํ ยเหลือจากบคุ คลเหลําน้ี รสนา โตสิตระกูล ๙ มีนาคม ๒๕๓๐ กลับข้นึ ไปทีห่ วั ขอ้ คานา อารมั ภกถา ผอู้ าํ นทค่ี าดหวังวาํ หนงั สือเลํมนีจ้ ะเปน็ เรอื่ งเกีย่ วกบั การเกษตรเทําน้นั คงจะรสู๎ ึก ประหลาดใจที่พบวําหนังสอื เลมํ นย้ี งั มเี นือ้ หาทเ่ี ก่ยี วกับอาหารสขุ ภาพ คณุ คาํ ทางวฒั นธรรม ตลอดจนข๎อจากัดของความรูข๎ องมนษุ ย๑อีกด๎วย สวํ นทาํ นที่อํานเพราะได๎รบั คาบอกเลาํ วําเป็น

เรื่องเกย่ี วกับปรชั ญา ก็คงจะร๎สู ึกประหลาดใจทพ่ี บวาํ หนังสอื เลมํ นีเ้ ตม็ ไปด๎วยความรท๎ู าง ภาคปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั การปลกู ขา๎ ว ธัญพชื ฤดูหนาว ส๎ม และพชื ผักสวนครัวในไรนํ าของญี่ปนุ นเ้ี ปน็ ความคาดหวังโดยปกติวิสยั เพราะวําเราคนุ๎ เคยท่ีจะคาดหวงั บุคคลในลักษณะ ของผ๎ูเชี่ยวชาญ และหนงั สือทม่ี ีเน้อื หาเฉพาะเร่ืองใดเรอ่ื งหนึง่ ดังทเี่ ราตอ๎ งการ จากหนังสือ ปฏวิ ตั ยิ คุ สมัยดว๎ ยฟางเส๎นเดยี ว หนังสือเลมํ น้มี ีคุณคาํ ตํอเราเพราะมันเปน็ ทัง้ คมํู อื การปฏบิ ตั แิ ละ มีเน้ือหาทางปรัชญาในขณะเดยี วกัน เปน็ หนงั สอื เกย่ี วกบั การเกษตรทจี่ าเป็นและใหแ๎ รงบนั ดาล ใจ ดว๎ ยเหตทุ ่ีวํามันมใิ ชํเพียงเร่ืองราวที่เกยี่ วกบั การเกษตรเทําน้ัน ผ๎ูอาํ นทม่ี ีความรูย๎ อํ มจะตระหนักได๎วาํ เทคนิควธิ กี ารของฟูกูโอกะไมอํ าจนามาใชไ๎ ด๎ โดยตรงกับไรํนาสํวนใหญใํ นประเทศสหรฐั อเมรกิ า แตกํ ็ไมถํ กู ตอ๎ งหากสรปุ วาํ ความรภู๎ าคปฏบิ ัติ ในหนงั สอื นี้เป็นส่ิงทีไ่ มํมคี ุณคาํ สาหรับเราเพยี งเพราะเหตุผลดงั กลําว สิ่งเหลํานคี้ วรคาํ แกํการ ใสํใจ ดว๎ ยเหตทุ ่ีวาํ มันไดเ๎ สนอตวั อยํางอนั วเิ ศษวํามีอะไรทีเ่ ราสามารถทาได๎บ๎าง เมือ่ ผนื ดนิ สภาพอากาศและพืชพนั ธ๑ได๎รับการพินจิ พิจารณาดว๎ ยความสนอกสนใจ ด๎วยสายตาแหงํ ความ เขา๎ ใจ และด๎วยการเกยี่ วข๎องอยํางถกู ต๎องเหมาะสม หนงั สือเลมํ น้มี คี ณุ คําเพราะไดใ๎ หค๎ าแนะนา ท่ีนําใครคํ รวญ และเสริมสร๎างแรงบนั ดาลใจแกํเรา เกษตรกรคนใดกต็ ามหากไดอ๎ าํ นหนังสอื เลํม นีย้ ํอมจะพบวํา ความคิดของเขาถูกโนม๎ นาครัง้ แลว๎ ครัง้ เลําจากหนา๎ หนงั สอื สูํไรนํ าของตน และ จากจดุ น้นั จะกํอให๎เกดิ จุดเช่ือมตํอกับระบบทง้ั หมดของการเกษตรกรรมในอเมริกา ฟูกูโอกะกเ็ ชํนเดยี วกับอกี หลาย ๆ คนในประเทศน้ี ทม่ี ีความเขา๎ ใจลา้ หนา๎ กวําคนสวํ น ใหญทํ แี่ ลเหน็ วาํ เราไมํสามารถแยกดา๎ นใดดา๎ นหนึ่งของชีวติ ออกจากด๎านอ่นื ๆ เมอ่ื เรา เปลยี่ นแปลงวิถกี ารเพาะปลูกธญั ญาหารของเรา เทาํ กบั เราเปลยี่ นแปลงลักษณะอาหาร เปล่ียนแปลงลักษณะสงั คม และเปลยี่ นแปลงคาํ นิยมของเราไปด๎วย ดงั น้นั หนังสอื เลํมนีจ้ ึงเปน็ หนังสือทใี่ หค๎ วามใสํใจตํอเรอ่ื งราวความสมั พนั ธ๑ ตํอสงิ่ ที่เป็นเหตเุ ปน็ ผล และตํอความ รับผดิ ชอบในส่งิ ที่แตํละคนร๎ู สาหรบั ผูท๎ ีค่ ุ๎นเคยกับงานเขยี นทางดา๎ นเกษตรกรรมอนิ ทรีย๑ (Organic Farming) คง จะแลเหน็ ความคล๎ายคลึงระหวํางงานของฟูกูโอกะกับงานของเซอร๑อลั เบิร๑ต โฮวารด๑ ซึ่งเป็นผู๎ วางรากฐานศาสตรแ๑ หํงเกษตรอนิ ทรยี ๑ในโลกตะวนั ตก เชํนเดยี วกับโฮวารด๑ ฟกู โู อกะกเ็ ร่ิมตน๎ ดว๎ ยการเป็นนกั วิทยาศาสตรใ๑ นห๎องทดลอง และเรม่ิ มองเห็นขอ๎ จากัดของหอ๎ งทดลองในเวลา ตํอมา โฮวารด๑ ได๎นางานของเขาออกจากหอ๎ งทดลองมาสูํไรนํ า และเมอ่ื เขาได๎ตระหนักวําความ รบั ผดิ ชอบทาให๎เขาตอ๎ งเร่ิมตน๎ ทาตามความเห็นของเขากํอนทีจ่ ะนาเสนอสิง่ น้ีตอํ ผอู๎ ืน่ น้ีทาให๎ ชีวติ ของเขาเปลี่ยนไป ฟกู ูโอกะกท็ าในส่งิ เดยี วกนั \"ในท๎ายทสี่ ุดผมไดต๎ ดั สนิ ใจท่จี ะทาให๎ ความคดิ ของผมปรากฏเปน็ รูปราํ งขึน้ โดยการนามนั มาสูํการปฏบิ ัติ เพอ่ื ทจ่ี ะตดั สนิ วาํ ความ เขา๎ ใจของผมถูกหรือผดิ ผมตดั สนิ ใจท่จี ะใชช๎ ีวิตดว๎ ยการทาการเกษตร.....และนค่ี อื วิถที างทผ่ี ม เลอื กเดิน\" เขายงั กลาํ วอีกวํา \"แทนท่จี ะพดู อธิบายเปน็ ร๎อย ๆ คร้งั สูล๎ งมอื ทาตามความเชือ่ จะมิ เป็นวิธที ด่ี กี วําหรือ\" เมอื่ ผเู๎ ช่ยี วชาญตัดสนิ ใจทจี่ ะทาตามความเชอ่ื ของตวั เองและเรมิ่ ทาในสง่ิ ที่ เขาพูด เขาไดท๎ าลายกาแพงแหงํ ความเปน็ ผู๎เช่ียวชาญของเขาลง เรายอมรบั ฟงั เขาอยํางที่เรา ไมํเคยทามากํอน นนั่ เพราะวําเขาพูดดว๎ ยหลักฐานซึง่ ไมใํ ชํจากความรเู๎ พยี งอยาํ งเดียว เปน็ หลกั ฐานท่ไี ดจ๎ ากความร๎ูและประสบการณร๑ วํ มกัน เมื่อฟกู โู อกะพดู ถึงเกษตรกรรมแบบ \"ไมกํ ระทา\" (do-nothing) ชาวตะวนั ตกอาจ ระลกึ ได๎ถงึ ขอ๎ ความในเซนต๑ แมทธวิ ๖:๒๖: ที่วํา \"จงดูนกที่บินอยบูํ นฟาู สิ มันไมตํ ๎องหวาํ น ทงั้ ไมํต๎องเกบ็ เกยี่ ว หรอื เก็บสะะสมไวใ๎ นยุ๎งฉางแตํกระน้ันพระบิดาบนสวรรคก๑ ็ประทานอาหารใหม๎ ัน จนเพยี งพอ\" ขา๎ พเจ๎ายกตัวอยาํ งท้งั สองน้ีเพอ่ื จะเตือนให๎เราระลึกถงึ สถานะอนั เหมาะสมของเรา ในบรรดาส่งิ ท้ังหลาย เรามใิ ชเํ ป็นผูส๎ รา๎ งโลกหรอื ตวั เราเอง เรามีชวี ิตอยํดู ว๎ ยการใชช๎ วี ติ หาใชํ สร๎างชวี ติ ไมํ แตแํ นํนอนลํะ เกษตรกรไมอํ าจทาการเกษตรโดยไมํทางาน เชํนเดยี วกับนกท่ไี มํ อาจมอี าหารโดยไมํออกหากนิ น่ีเป็นขอ๎ เทจ็ จริงท่ฟี กู ูโอกะยอมรับอยาํ งมอี ารมณ๑ขันวํา \"ผม

ประกาศสนับสนนุ เกษตรกรรมแบบ \"ไมกํ ระทา\" และมคี นจานวนมากมาท่ีนโ่ี ดยคิดวาํ เขาจะได๎ พบกบั ดนิ แดนในฝัน (Utopia) ท่ีซึ่งเขาสามารถมชี วี ิตอยโูํ ดยไมํตอ๎ งทาอะไรแม๎แตํเพียงการลกุ ขน้ึ จากเตียง คนเหลําน้ตี ๎องพบกบั ความประหลาดใจอยาํ งยงิ่ \" ประเดน็ โต๎แยง๎ ในท่นี ไ้ี มใํ ชกํ าร คดั คา๎ นการทางาน แตํเป็นการคดั คา๎ นงานทไ่ี มจํ าเป็น บางครงั้ คนเราทางานเกนิ จาเปน็ เพือ่ ให๎ ได๎ส่ิงท่ีเขาปรารถนา และบางสงิ่ ทเ่ี ขาปรารถนากเ็ ปน็ สิ่งท่ไี มํจาเปน็ สาหรับเขา และ \"การไมํ กระทา\" น้ยี งั เปน็ ปฏิกริ ยิ าของสามัญสานึกทีต่ อบโต๎อานาจของผเ๎ู ช่ยี วชาญ ปฏิกริ ยิ านก้ี ็คอื \"ลองไมทํ าสงิ่ น้ดี สู ิ ลองไมทํ าส่งิ นนั้ ดูสิ\" น่นั คอื วธิ คี ดิ ของผม นเ่ี ป็นอาการตอํ ต๎านของเด็ก และ คนแกํบางคนท่มี คี วามไมํไว๎วางใจตํอ \"ความสมยั ใหมทํ ่ซี บั ซ๎อน\" ท่มี ํุงรดุ ไปขา๎ งหน๎าโดย ปราศจากการตงั้ คาถามวํา \"เพอ่ื อะไร\" ฟกู ูโอกะเปน็ นักวิทยาศาสตร๑ทีส่ งสัยในวทิ ยาศาสตร๑หรอื ดังท่มี กั ถูกเขา๎ ใจผิดวําเป็น วทิ ยาศาสตร๑ นมี่ ิได๎หมายความวาํ เขาเป็นพวกไมปํ ฏิบตั จิ รงิ หรือดถู ูกในความรู๎ แตทํ วาํ ความ ลังเลสงสัยของเขาเกดิ จากการปฏบิ ัตจิ รงิ และจากส่ิงท่ีเขาร๎ู ฟูกโู อกะกเ็ ปน็ เชนํ เดียวกับ เซอร๑ อลั เบริ ต๑ โฮวาร๑ดทกี่ ลําวตาหนคิ วามรู๎ทเี่ ปน็ สํวน ๆ ของบรรดาผูเ๎ ชย่ี วชาญเฉพาะทางทัง้ หลาย เชนํ เดียวกับโฮวาร๑ด เขาต๎องการทจ่ี ะสืบคน๎ เร่อื งราวทเี่ ขาเก่ียวขอ๎ งอยใู นลกั ษณะทีเ่ ปน็ องค๑รวม ของสงิ่ นน้ั (Wholeness) และเขาไมลํ มื วําความเป็นองคร๑ วมนัน้ รวมถึงส่ิงที่เขาร๎ู และสิ่งทเ่ี ขาไมํ รู๎อยํูดว๎ ย ส่ิงที่เขาหวาดเกรงเก่ียวกับวิทยาศาสตรป๑ ระยกุ ต๑สมยั ใหมํก็คอื ความรสู๎ ึกดูถกู ในส่งิ ที่ เป็นรหสั ยนยั ความสมัครใจท่ีจะลดสวํ นของชวี ติ มาสสํู ่ิงท่ีสามารถร๎ูไดแ๎ ละมีสมมตฐิ านวําสง่ิ ทไ่ี มํ รูส๎ ามารถละเลยไดโ๎ ดยไมมผี ลเสยี แตอํ ยํางไร เขากลาํ ววํา \"ธรรมชาตทิ ถ่ี กู รบั รโู๎ ดยอาศัยความรู๎ ทางวทิ ยาศาสตรเ๑ ป็นธรรมชาติทีไ่ ด๎ถกู ทาลายไปแลว๎ เปรียบเหมือนภตู ผที ีม่ แี ตํโครงกระดกู แตํ ปราศจากวิญญาณ\" ขอ๎ ความดังกลาํ วชาํ งคลา๎ ยคลงึ กับน้าเสียงทแ่ี สดงความไมํวางใจในแบบ ฉบับแหงํ วัฒนธรรมของเรา ซ่ึงเขยี นข้นึ โดยเวริ ๑ดสเวิธ : ความฉลาดอนั อยํไู มํสุขของเรา ได๎ทาลายรูปทรงแหงํ ความงามของสรรพส่ิง เรากระทาฆาตกรรมด๎วยการผาํ ทุกสง่ิ ออกศกึ ษา วธิ กี ารของฟูกโู อกะเป็นวทิ ยาศาสตร๑ที่เร่มิ ต๎นและส้ินสดุ ลงด๎วยความอํอนน๎อมถอํ มตน ดว๎ ยความตระหนักร๎วู ํา สง่ิ ท่มี นษุ ยเ๑ ขา๎ ใจได๎ ยํอมมนี ๎อยกวาํ ส่ิงท่ีมอี ยจํู ริง ดูเหมอื นส่งิ ทเี่ ขา ต๎องการจะกลาํ วกค็ ือ หาใชํความร๎ไู มํ แตเํ ป็นความรน่ื รมย๑ตาํ งหากทใ่ี ห๎ความรส๎ู มั ผัสกับความ เป็นหนงึ่ ของสรรพสิง่ ซึ่งจะปรากฏข้ึนกแ็ ตใํ นขณะแหงํ การไมยํ ดึ ม่นั เทําน้ัน เราสามารถพบ ข๎อความทีย่ นื ยนั ความจรงิ ขอ๎ นไ้ี ดใ๎ นพระคัมภีร๑ และในบทกวีของ วิลเลียม เบลก : ผู๎ซงึ่ ตดิ ยดึ อยกํู ับความรน่ื รมย๑ ได๎ทาลายปกี แหงํ ชีวติ แตผํ ๎ูซ่งึ จุมพิตความร่ืนรมยข๑ ณะท่ีมนั บนิ จากไป จะมีชีวิตสถติ ในนริ ันดรภาพแหงํ แสงอรณุ ความงดงามเชนํ นี้แหละคือต๎นธารแหงํ ปรีชาญาณ (insight) ในทางเกษตรกรรมของฟู กูโอกะ \"เมื่อใดก็ตามทีบ่ คุ คลประจักษ๑แกํใจในความจรงิ ที่วํา ความรน่ื รมยแ๑ ละความสุขจะมลาย หายไปเม่อื พยายามจะครอบครองมนั ไว๎ เม่ือน้นั สาระของเกษตรกรรมธรรมชาตกิ ็จะเป็นทเ่ี ข๎าใจ ได๎\" และเกษตรกรรม \"ธรรมชาติ\" ซึ่งมคี วามออํ นนอ๎ มถอํ มตนเป็นต๎นกาเนดิ และเปน็ จุดสน้ิ สดุ น้ีเอง ทมี่ คี วามเป็นมนุษยแ๑ ละความเมตตากรุณาในทุกหนทกุ แหํง มนษุ ย๑จะทางานได๎ ดที สี่ ุดเม่ือเขาทาเพื่อความดีงามของมนุษยไ๑ มใํ ชเํ พ่อื \"ผลผลิตทส่ี ูงข้ึน\" หรือเพอื่ \"เพิ่ม ประสทิ ธภิ าพ\" ซงึ่ เปน็ เปาู หมายในการดาเนนิ งานของเกษตรกรรมแบบอตุ สาหกรรม ฟกู โู อกะ กลาํ ววํา \"เปาู หมายสูงสดุ ของเกษตรกรรมไมํใชกํ ารเพาะปลกู พืชผล แตคํ ือการบํมเพาะความ

สมบูรณ๑แหงํ ความเปน็ มนษุ ย๑\" เขาได๎กลาํ วถึงเกษตรกรรมในฐานะทีเ่ ป็นมรรควถิ ีวาํ \"การอยทูํ ่ีน่ี ดแู ลทงุํ นาเลก็ ๆ ดว๎ ยความร๎ูสึกท่เี ป็นอิสระในแตํละวนั ทกุ ๆ วัน นี้คอื วถิ ดี ้ังเดิมของเกษตรกรรม\" งานเกษตรกรรมซึ่งมคี วามสมบรู ณเ๑ ป็นหน่งึ เดยี วจะหลอํ เล้ยี งบคุ คลท้งั ราํ งกายและวิญญาณ เรา มไิ ด๎มีชีวิตอยดํู ว๎ ยอาหารเพยี งอยาํ งเดยี ว เวนเดล แบร์ร่ี บทนา ใกล้กับหมูบํ า๎ นเล็ก ๆ บนเกาะชโิ กกุในภาคใตข๎ องญ่ปี ุน มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ ได๎ พฒั นาวธิ ีการทาเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ ซง่ึ สามารถชวํ ยทวนกระแสของเกษตรกรรมแผน ใหมทํ ี่กาลงั ตกตา่ ลงทุกที เกษตรกรรมธรรมชาตไิ มตํ ๎องใช๎เครื่องจักร สารเคมี และอาศัยการ กาจัดวชั พืชเพียงเลก็ น๎อยเทําน้นั ฟกู โู อกะไมํไถพรวนดนิ และไมํใชป๎ ุย๋ เขาไมกํ กั น้าไวใ๎ นนา ข๎าวระหวาํ งฤดูเพาะปลูกดงั ทช่ี าวนาท้งั ในตะวนั ออกและท่ัวโลกกระทากันมาเป็นเวลาหลาย ศตวรรษ ดินในที่นาของเขาไมํเคยถกู ไถพรวนมาเปน็ เวลากวาํ ๒๕ ปแี ลว๎ แตกํ ระน้ันผลผลิตที่ เขาไดน๎ ั้นเมอื่ เทียบกับทน่ี าที่ให๎ผลผลิตสูงสุดในญ่ปี นุ แลว๎ แทบไมมํ คี วามแตกตาํ งกนั เลย วธิ กี ารเพาะปลกู ของเขาใช๎แรงงานน๎อยกวําวิธีอ่นื ๆ ทั้งไมกํ อํ ใหเ๎ กดิ มลภาวะ และไมจํ าเป็นตอ๎ ง ใช๎นา้ มนั เช้ือเพลิงดว๎ ย เมอื่ ผมได๎ยนิ เรอื่ งราวเกยี่ วกบั ฟกู โู อกะในตอนแรกๆ นัน้ ผมเกดิ ความรู๎สกึ สงสัยไมํ แนํใจ จะเปน็ ไปได๎อยาํ งไรท่จี ะเพาะปลูกข๎าวและธัญพชื ฤดูหนาวทใ่ี ห๎ผลผลติ สงู ในแตํละปี โดย ทาเพียงแคํการหวาํ นเมลด็ พนั ธไุ๑ ปบนทน่ี าทไ่ี มมํ กี ารไถพรวน มนั ต๎องมีวิธกี ารอะไรที่มากกวํานี้ แนํ .......ผมเฝาู สงสัยวําเหตไุ ฉนปรัชญาของผูค๎ น จงึ ไดห๎ มนุ เรว็ เสยี ย่งิ กวําการแปรเปลย่ี นของฤดกู าล... ธรรมชาตไิ มไํ ด๎เปลีย่ นแปลง แมว๎ าํ วธิ ีการมองดู ธรรมชาติ จะเปลีย่ นแปลงไปอยํางมากมาย จากยคุ หนึ่งสํยู คุ หนึ่ง ....

ภาค ๑  พนิ ิจดูเมล็ดข้าวน้ี  โลกนไี้ ม่มอี ะไรเปน็ แก่นสาร  กลบั สชู่ นบท  สเู่ กษตรกรรมแบบไม่กระทา  กลับคนื ส่ตู ้นกาเนดิ  สาเหตุที่เกษตรกรรมธรรมชาติไม่แพรห่ ลาย  มนุษยไ์ มร่ จู้ ักธรรมชาติ ๑.๑ พินจิ ดูเมล็ดขา้ วนี้ ผมเชอ่ื วาํ การปฏวิ ตั ิสามารถเรมิ่ ต๎นจากฟางขา๎ วเพยี งเสน๎ เดียว ดูเผนิ ๆ ฟางขา๎ วนี้ อาจจะดูบอบบางไรน๎ ้าหนกั และไมมํ ีความสลักสาคญั อะไร จงึ ยากท่ีใครจะเช่ือวาํ มันสามารถ เปน็ จดุ เริม่ ต๎นของการปฏวิ ตั ไิ ด๎ แตผํ มได๎ตระหนักแล๎วถึงน้าหนกั และพลังของฟางเสน๎ น้ี สาหรับ ผมแลว๎ การปฏวิ ตั ดิ ังกลาํ วเปน็ เร่อื งจรงิ จงั มาก ลองมองดูผืนนาท่ปี ลูกขา๎ วไรยแ๑ ละข๎าวบาร๑เลยเ๑ หลํานี้ มนั ใหผ๎ ลผลิตถงึ ๒๒ บเู ชล (๕๙๐.๙ กโิ ลกรัม) ตํอเนอื้ ท่ี ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) ผมเช่ือวาํ ผลผลิตดงั กลําวเทยี บไดก๎ ับ ผลผลิตสงู สดุ ในจังหวดั อิไฮมิ และหากปรมิ าณผลผลติ นเ้ี ทํากบั ผลผลติ ในจงั หวัดอไิ ฮมิแล๎ว ยอํ มถือไดว๎ ําเปน็ ปริมาณผลผลิตทีส่ งู ทส่ี ุดในประเทศ เพราะท่อี ิไฮมถิ ือกนั วําเปน็ แหลํงทม่ี ีอตั รา ผลผลติ ขา๎ วสูงทีส่ ดุ แหงํ หน่ึงในญีป่ ุน และย่ิงกวํานน้ั ผนื นาเหลํานไี้ มํเคยถูกไถพรวนมาเป็นเวลา

ถึง ๒๕ ปีแล๎ว เมื่อจะปลกู ผมก็เพยี งแตํหวํานเมล็ดข๎าวไรย๑และขา๎ วบารเ๑ ลย๑ลงในทน่ี าคนละแปลง ในฤดูใบไมร๎ วํ งในขณะที่ข๎าวเจา๎ ยงั ไมไํ ดเ๎ ก็บเกย่ี ว หลายอาทิตยต๑ ํอมาหลงั จากเกบ็ เกยี่ วขา๎ วเจา๎ เสรจ็ แล๎ว ผมจะนาฟางขา๎ วมาคลมุ ให๎ท่วั ผืนนาทถ่ี กู เก็บเกยี่ วข๎าวไป การปลูกข๎าวเจ๎าก็ใชว๎ ิธกี ารเดยี วกนั ธญั พชื ฤดหู นาวจะเกบ็ เก่ยี วไดป๎ ระมาณ ๒๐ พฤษภาคม และประมาณ ๒ อาทติ ยก๑ อํ นท่ขี า๎ วจะสุกเตม็ ท่ี ผมกจ็ ะหวาํ นเมลด็ ขา๎ วเจ๎าซ๎อนลงใน แปลงข๎าวไรย๑ และข๎าวบารเ๑ ลย๑ เมื่อการเกบ็ เกีย่ วธญั พืชฤดูหนาวและการนวดขา๎ วแลว๎ เสร็จ ผม จะโปรยฟางข๎าวไรยแ๑ ละขา๎ วบารเ๑ ลยล๑ งคลุมพน้ื ทีน่ า ผมคิดวาํ การใชว๎ ธิ ีปลูกขา๎ วเจ๎าและธญั พืชฤดูหนาวแบบเดยี วกนั เปน็ วธิ กี ารเฉพาะ ของการทาเกษตรกรรมชนิดนี้ แตํมวี ิธที ่งี าํ ยกวําน้ี ขณะทเี่ ราเดนิ ตดั ไปยังทีน่ าแปลงถดั ไป ผม จะช้ีใหด๎ ขู า๎ วเจา๎ ทีห่ วาํ นพร๎อมกับธญั พชื ฤดูหนาวเม่อื ฤดใู บไม๎รวํ งท่ีแล๎ว การปลกู พชื หมุนเวียน ตลอดทั้งปใี นท่นี าแปลงนน้ั จะเสร็จสิน้ ภายในวันขึ้นปใี หมํ คุณจะสงั เกตเหน็ วํามีพืชคลมุ ดนิ จาพวกถวั่ และวัชพชื งอกอยํใู นที่นาเหลาํ นดี้ ๎วย พืช คลุมดินจาพวกถ่ัวจะถูกหวาํ นลงไปในระหวาํ งตน๎ ขา๎ วในต๎นเดือนตุลาคมกอํ นการหวาํ นขา๎ วไรย๑ และบาร๑เลยเ๑ ลก็ นอ๎ ย ผมไมตํ อ๎ งยํุงยากเกยี่ วกับการหวํานพืชคลุมดินเหลาํ น้ี เพราะวํามันสามารถ แพรํพนั ธุไ๑ ดเ๎ องอยํางงาํ ยดาย ดังนั้นแบบแผนการปลูกพชื ในทน่ี าจะเป็นเชํนนี้ พืชคลุมดนิ จาพวกถวั่ จะถูกหวํานลง ในระหวาํ งต๎นขา๎ วในตอนตน๎ เดอื นตุลาคม ธญั พืชฤดูหนาวจะถกู หวาํ นตามลงไปในตอนกลาง เดือน พอต๎นเดือนพฤศจกิ ายนข๎าวเจา๎ กส็ ามารถเกบ็ เก่ยี วได๎ หลังจากนัน้ ข๎าวเจ๎าสาหรับปีตํอไป ก็จะถูกหวาํ นลงในท่ีนา และฟางข๎าวหลงั เก็บเก่ยี วจะถกู นามาโปรยคลุมทน่ี าเอาไว๎ ข๎าวไรย๑และ บารเ๑ ลย๑ทีค่ ุณแลเห็นอยูํนี้กเ็ ตบิ โตข้นึ มาดว๎ ยวิธดี ังกลําว ในการดแู ลทีน่ าขนาด ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) แรงงานคนเพยี ง ๑ หรอื ๒ คนก็เพยี ง พอทจี่ ะทางานทง้ั หมด ในการปลูกขา๎ วเจา๎ และธัญพืชฤดหู นาวให๎แลว๎ เสร็จภายในเวลาไมกํ ี่วัน คงจะไมมํ ีวธิ เี พาะปลกู อื่นใดท่ีงาํ ยยิ่งไปกวาํ นอี้ กี แล๎ว วธิ ีการนม้ี ลี ักษณะทต่ี รงกันข๎ามอยํางสิน้ เชิงกับเทคนิคทางเกษตรกรรมแผนใหมํ มนั ได๎โยนความรท๎ู างวทิ ยาศาสตร๑และความรใู๎ นการเพาะปลูกแบบพืน้ บา๎ นท้ิงไปเสียส้นิ วิธีการ เพาะปลูกชนดิ น้ี ไมํตอ๎ งใชเ๎ ครื่องจกั ร ไมํต๎องอาศัยปุย๋ และสารเคมี แตํสามารถให๎ปริมาณ ผลผลิตเทํากบั หรอื มากกวําผลผลิตจากทนี่ าโดยเฉล่ียในญปี่ นุ ซึ่งมีหลักฐานให๎เหน็ ประจักษ๑แกํ ตา ๑.๒

โลกนี้ไม่มอี ะไรเปน็ แก่นสาร มีคนถามผมวาํ เหตไุ ฉนผมจงึ เลอื กทาเกษตรกรรมวธิ นี ้ีเม่อื หลายปีกํอน จวบจน บดั น้ผี มยังไมเํ คยพูดคุยกับใครถงึ เรือ่ งราวเหลํานมี้ ากอํ น อาจจะกลําวได๎วํา ไมํมที างทจ่ี ะพูดถึง เรือ่ งราวเชํนนไี้ ด๎ มันเป็นเรือ่ งสามญั ธรรมดา คุณจะพดู อยาํ งไรละํ เปน็ อาการช็อก ความกระจาํ ง ทีแ่ วบข้นึ มาฉับพลนั ประสบการณ๑เลก็ ๆ เรือ่ งหน่ึงท่เี ปน็ จุดเริ่มต๎นของเรื่องราวทงั้ หมด ความประจักษ๑แจ๎งนั้นได๎เปลยี่ นแปลงชีวติ ของผมอยาํ งส้ินเชิง มันไมใํ ชสํ งิ่ ทีค่ ุณจะ สามารถส่ือมันออกมาไดอ๎ ยํางแทจ๎ ริงหรอก แตํถ๎าจะพดู ก็อาจจะพดู ไดใ๎ นทานองที่วาํ \"มนุษย๑ ไมํรูอ๎ ะไรเลย ไมมํ คี ุณคําอันเป็นเนอื้ แท๎ของสิ่งใด ๆ การกระทาทุกชนดิ ลว๎ นหาคุณคาํ ไมไํ ด๎ เปน็ ความพยายามท่ไี ร๎ความหมาย\" นอี้ าจจะดูเปน็ เรอ่ื งวิตถาร ผิดวิสยั แตหํ ากวาํ คณุ จะสื่อมนั เปน็ คาพดู มนั ก็เป็นทางเดยี วท่ีจะอธิบายออกมาได๎ \"ความคดิ \" นพ้ี ฒั นาข้นึ อยํางฉบั พลันในหัวสมองของผม เมื่อคร้งั ทผี่ มยงั หนุํมมาก ผมไมํร๎วู ําความกระจํางแจ๎งภายในนี้ ที่วําความเขา๎ ใจและความพยายามท้งั หมดของมนษุ ย๑เป็น ส่ิงไรป๎ ระโยชน๑ และไร๎ความหมายน้จี ะถกู ตอ๎ งหรอื ไมํ แตถํ า๎ ผมตรวจสอบความคิดเหลาํ น้ี และ พยายามทจ่ี ะกาจดั มัน ผมไมํอาจจะหาขอ๎ ทีจ่ ะมาคัดค๎านความคดิ นไี้ ด๎ มันกลับเปน็ ความเชอื่ ท่ี ลกุ โชตชิ วํ งในตัวผม ความเชอ่ื โดยทัว่ ไปมักจะเป็นไปในทานองวํา ไมมํ สี ่ิงใดทจ่ี ะวิเศษยงิ่ กวาํ เชาว๑ ปัญญาของมนษุ ย๑ (human intelligence) มนุษย๑เป็นนฤมิตกรรมของคณุ คําอนั พิเศษ ท้งั ความสาเรจ็ และประดษิ ฐกรรมของมนุษย๑ ซงึ่ สะทอ๎ นอยํใู นวัฒนธรรมและประวตั ศิ าสตร๑ก็เป็นส่ิง ท่มี หศั จรรย๑ น้ีเปน็ ความเชอื่ โดยสามัญทัว่ ไป และเน่ืองจากส่งิ ทผี่ มคิดนั้นเปน็ การปฏิเสธความ เชอื่ ดังกลําว ผมจึงไมสํ ามารถจะสอื่ สารทศั นะของผมกับใครได๎ ในทสี่ ุดผมตดั สินใจทจ่ี ะทาให๎ ความคดิ ของผมปรากฏเป็นรปู ธรรม ดว๎ ยการนามาปฏบิ ัติ และเพือ่ จะได๎ตดั สนิ วาํ ความเข๎าใจ ของผมนั้นถกู หรอื ผิดกันแนํ การใช๎ชีวิตในการทาเกษตรกรรม ปลูกข๎าวและธญั พชื ฤดูหนาว นี้ คือแนวทางที่ผมเลือก แลว๎ ประสบการณทีเ่ ปลีย่ นแปลงวถิ ีชวี ิตของผมละํ คอื อะไรกนั ? เมอ่ื ๔๐ ปีกํอน ตอนผมอายุ ๒๕ ปี ผมทางานอยูใํ นกรมศุลกากรแหงํ เมืองโยโก ฮามาํ ในแผนกวจิ ยั พชื งานหลักของผมคือการตรวจสอบหาแหลงํ ที่เป็นพาหะของโรคพืชจาก พันธุไมต๎ ําง ๆ ทจ่ี ะนาเขา๎ และสงํ ออก ผมโชคดีทม่ี ีเวลาวาํ งมาก ในชวํ งนัน้ จึงมกั จะหมกตัวอยํู ในหอ๎ งวจิ ัยทดลอง ทาการทดลองเกี่ยวกบั พยาธิสภาพของพืช ซงึ่ เปน็ สิ่งทีผมมคี วามเชี่ยวชาญ เปน็ พิเศษ สถานีวจิ ัยน้ตี ง้ั อยํูใกล๎กับสวนสาธารณะยามาเตะ และถา๎ มองจากหนา๎ ผาลงไปก็จะแล เห็นทาํ เรือโยโกฮามาํ ตรงขา๎ มกบั ตัวอาคารเป็นโบสถ๑คาธอลคิ และทางดา๎ นตะวนั ออกเปน็ ท่ตี ง้ั ของโรงเรียนสตรี สถานที่แหงํ นีม้ ีความสงบเงยี บมาก เป็นสิ่งแวดลอ๎ มที่เหมาะสมอยาํ งย่ิงในการ ทาวิจัย นกั วจิ ยั ดา๎ นพยาธวิ ทิ ยา (pathology) ในสถานีวิจัยแหงํ นคี้ อื คณุ เออิชิ คุโรซาวาํ ผม ศึกษาพยาธิวทิ ยาเกีย่ วกบั พชื จากคุณมาโคโตะ โอเคราํ ซง่ึ เปน็ อาจารยส๑ อนอยทํู ี่วทิ ยาลัย เกษตรกรรมแหํงกฟิ ุ และรบั การอบรมจากคุณซูฮโิ กะ อิกาตะที่สถานีวิจัยทางเกษตรกรรมแหํง จงั หวดั โอคายามํา ผมโชคดมี ากทเ่ี ป็นลกู ศิษย๑ของศาสตราจารยค๑ โุ รซาวํา แมว๎ าํ ทํานจะไมเํ ป็นทีร่ ๎ูจกั กนั กว๎างขวางนกั ในวงวิชาการ แตทํ ํานกเ็ ปน็ ผทู๎ แี่ ยกเชิ้อราทก่ี ํอใหเ๎ กิดโรคบาคานาเอะ* ในต๎นข๎าว

เจ๎า และเลีย้ งด๎วยวิธกี ารเพาะเชอื้ ทาํ นเป็นบุคคลแรกทีส่ กัดฮอร๑โมนเพ่มิ การเจริญเติบโตในพชื ชื่อจบิ เบเรลลนิ (gibberellin)** จากการเพาะเลยี้ งเช้ือราชนดิ น้ี เมื่อข๎าวกล๎าดูดซึมฮอร๑โมนนี้ เขา๎ ไปเพยี งจานวนเลก็ น๎อย จะมีผลประหลาดคือทาให๎ตน๎ ข๎าวเจรญิ เติบโตสูงผดิ ปกติ แตเํ ม่อื ให๎ ฮอร๑โมนในปรมิ าณทีม่ ากกวาํ ปกติ มนั กลบั ใหผ๎ ลในทางตรงกนั ขา๎ ม คอื ทาให๎ขา๎ วเจรญิ เตบิ โต ช๎าลง ในญี่ปนุ ไมํมีใครสนใจการค๎นพบนี้ แตใํ นตาํ งประเทศเรื่องนก้ี ลบั เปน็ ประเด็นท่ีคนให๎ความ สนใจในการทดลองวจิ ยั อยาํ งมาก และหลังจากนั้นไมนํ านชาวอเมริกันก็ใช๎ประโยชน๑จากจบิ เบเรลลินในการพัฒนาองนํุ ทไ่ี มํมีเมล็ด ผมนบั ถือคณุ คุโรซาวาํ เหมือนกับพอํ แท๎ ๆ ของผม และอาศัยการแนะนาของทําน ผมไดป๎ ระดษิ ฐก๑ ล๎องจุลทรรศนแ๑ บบแยกสวํ น และทมุํ เทเวลาให๎กับการวิจยั หาสาเหตขุ องโรค เนาํ ในลาตน๎ กิง่ ก๎าน และผลของส๎มในอเมรกิ าและในญ่ีปุน ผมเฝาู สังเกตการเจรญิ เตบิ โตของเชื้อราผาํ นกลอ๎ งจลุ ทรรศน๑ และเหน็ วาํ การนาเอา ชนดิ พันธข๑ุ องเชือ้ ราที่ตํางกันมาผสมพนั ธุ๑กัน จะทาให๎เกิดพนั ธ๑ใุ หมํ ๆ ท่ีกอํ ให๎เกิดโรคแตกตําง กนั ผมเพลดิ เพลินอยกูํ ับงานของผม งานของผมน้ตี อ๎ งการความจดจอํ ที่ตอํ เนอื่ งมาก ทาให๎มี บางครั้งท่ผี มลมื ตัวไปเลยในขณะทางานอยูใํ นห๎องทดลอง ในขณะเดยี วกนั นัน้ กเ็ ป็นชวํ งเวลาแหํงวัยหนุมํ ทมี่ ีจิตใจคึกคะนอง ผมไมไํ ด๎ใช๎เวลา ทั้งหมดอยแํู ตํในหอ๎ งทดลอง คงไมมํ ีท่ใี ดท่ีนาํ เดนิ เลํนหาความเพลิดเพลินยงิ่ ไปกวาํ บริเวณ ทําเรือของเมอื งโยโกฮามาํ และในชวํ งเวลานน้ั เองเหตกุ ารณฉ๑ ากหน่งึ กไ็ ดเ๎ กดิ ข้นึ ขณะท่ีผม กาลังเดนิ ทอดนํองไปตามบริเวณทาํ จอดเรือ พรอ๎ มดว๎ ยกลอ๎ งถํายรูปในมอื ฉับพลันนั้นผมกเ็ หลอื บไปพบหญงิ สาวทีง่ ดงามผูห๎ น่ึง ผมคิดวาํ เธอจะทาให๎ องค๑ประกอบของภาพถาํ ยนัน้ วิเศษมาก จึงเขา๎ ไปขอถํายรปู เธอ ผมพาเธอขน้ึ ไปบนดาดฟาู เรอื ท่ี จอดทอดสมออยูํบริเวณนัน้ จดั ทาํ ใหเ๎ ธอหนั ไปทางโน๎นที ทางน้ีที และถํายรูปเธอไวม๎ ากมาย หลายทํา เธอขอให๎ผมสงํ รปู ไปในเธอด๎วย เมอ่ื ผมถามวาํ จะใหส๎ งํ ไปที่ไหน เธอเพียงแตํบอกวํา \"ทีโ่ อฟนุ า\" และก็จากไปโดยไมไํ ดบ๎ อกชือ่ ของเธอ หลังจากทผ่ี มลา๎ งอดั รูปเสรจ็ ผมกน็ ารูปของเธอมาให๎เพ่ือนดูและถามเพ่ือนวําร๎จู กั เธอหรือไมํ เพือ่ นดรู ูปแลว๎ ก็บอกวํา \"เธอคอื ไมเอโกะ ทาคามเิ นะ ดาราภาพยนตร๑ทม่ี ชี อ่ื เสียง โดงํ ดัง\" ผมรีบสํงรูป ๑๐ ใบไปให๎เธอที่เมืองโอฟุนา หลังจากนนั้ ไมํนานรปู ทีผ่ มสํงไปถกู สํงกลับ มาทางไปรษณยี ๑ที่จําหน๎าซองดว๎ ยลายมือเขยี น แตมํ อี ยรํู ปู หนง่ึ หายไป เม่อื คิดถงึ เร่อื งนใ้ี นเวลา ตอํ มา ผมกพ็ บวาํ รปู ที่หายไปเปน็ รปู ท่ีถาํ ยระยะใกลจ๎ นสามารถแลเห็นร้วิ รอยยํนบางแหงํ บน ใบหน๎าของเธอ อยํางไรก็ตามผมกร็ ส๎ู ึกดใี จทไ่ี ด๎แลเห็นแวบหนึง่ ในความงามของสตรี ผมมกั จะไปทโี่ รงเต๎นราบริเวณนันคินไกอยูเํ สมอ แม๎วําจะรูส๎ กึ เคอะเขินอยบูํ า๎ ง ครัง้ หนึ่งผมพบกบั นกั รอ๎ งชือ่ ดังคนหน่งึ คอื คณุ โนรโิ กะ อาวายํา ผมเคยไปขอเต๎นรากับเธอ ผมไมมํ ี วันลมื ความรู๎สึกจากการเตน๎ ราคร้ังนัน้ ได๎เลย เพราะวําราํ งของผมถกู โอบอยูดํ ว๎ ยราํ งกายอัน มหึมาของเธอ ทีแ่ ม๎แตํแขนของผมกไ็ มํสามารถโอบไดร๎ อบเอวของเธอด๎วยซ้า จะอยาํ งไรก็ตาม ผมก็เป็นคนหนุมํ ทยี่ ุํงเหยงิ ไปดว๎ ยธรุ ะการงาน แตํกโ็ ชคดีมากใน เวลาเดียวกนั ผมใช๎เวลาวนั ๆ อยํกู ับความนําตื่นตาตน่ื ใจในโลกของธรรมชาตทิ มี่ องเห็นผาํ น เลนสก๑ ล๎องจุลทรรศน ถกู สะกดด๎วยความรสู๎ กึ วําไฉนโลกอันกระจิรดิ จึงชํางละมา๎ ยเหมือนโลก แหํงจกั รวาลอันไรข๎ อบเขต ในยามเยน็ ไมํวําจะตกอยใํู นห๎วงรักหรอื ไมํกต็ าม ผมมกั จะออกเทีย่ ว หาความเพลิดเพลนิ ให๎กับตัวเองเสมอ ผมคิดวาํ ชีวิตท่ีไรเ๎ ปาู หมายเชนํ น้ี บวกกับความอํอนลา๎ จากการตรากตรากบั งานมากเกินไป ทาใหผ๎ มเป็นลมล๎มฟบุ ลงไปในห๎องทดลอง จากการ วินิจฉยั พบวําผมเป็นโรคปอดอกั เสบเฉียบพลัน ผมถกู จดั ให๎นอนพกั รกั ษาตวั อยํใู นห๎องพิเศษบน ชัน้ สูงสดุ ในโรงพยาบาลตารวจ

ขณะนัน้ เป็นฤดูหนาว ลมได๎พดั หอบเอาละอองหิมะเข๎ามาในหอ๎ งผํานทางชอํ ง หนา๎ ตาํ งทก่ี ระจกแตก รํางกายภายใต๎ผ๎าหํมนนั้ อบอุํน แตํใบหนา๎ ของผมเย็นเฉียบราวกบั น้าแข็ง นางพยาบาลเขา๎ มาวัดอณุ หภูมิช่ัวครํูแล๎วก็กลบั ออกไป เน่ืองจากเปน็ หอ๎ งพเิ ศษ จึงไมํคอํ ยมใี ครโผลเํ ขา๎ มาดู ผมรู๎สึกวาํ ถกู ทอดทิง้ ใหอ๎ ยูํใน ความหนาวเยน็ อันขมข่ืน และในทนั ใดก็หลุดเข๎าไปยังโลกแหงํ ความอ๎างวา๎ งโดดเด่ยี ว ผม พบวาํ ตวั เองต๎องเผชิญหนา๎ กบั ความกลวั ตาย เมื่อผมมาหวนคิดถงึ มันในขณะนี้ ผมพบวาํ มันเปน็ ความกลวั ท่ไี รป๎ ระโยชนจ๑ ริง ๆ แตใํ นขณะน้นั มันเปน็ เรือ่ งจรงิ จังสาหรับผมมาก ในทส่ี ดุ ผมกอ็ อกจากโรงพยาบาล แตํผมไมอํ าจดงึ ตัวเองออกจากความร๎ูสกึ หดหํใู จ ไดเ๎ ลย ที่ผาํ นมาความมนั่ ใจของผมเกดิ จากอะไรกันหนอ ผมไมเํ คยแยแสใสํใจ มีแตคํ วามพงึ พอใจ แตอํ ะไรคอื ธรรมชาตขิ องความพงึ พอใจนัน้ ละํ ผมปวดร๎าวทรมานอยกํู บั ความสงสยั เกี่ยวกบั ธรรมชาติของชีวติ และความตาย ผมไมสํ ามารถขํมตาหลบั ได๎เลย ท้ังไมมํ ีกระจิตกระใจ จะทางานด๎วย ในยามคา่ คนื ผมจะเดนิ เตรด็ เตรํไปตามเชงิ ผาและริมอําว ความวติ กกงั วลยงั คง เกาะกุมจิตใจของผมอยไูํ มเํ สอื่ มคลาย คนื หนงึ่ ขณะทเี่ ดินเตร็ดเตรอํ ยาํ งไรจ๎ ุดหมาย ผมก็ทรุดกายลงด๎วยความเหนอื่ ยอํอน บนเนนิ เขาเหนืออาํ ว ในทสี่ ุดกเ็ อนหลงั พงิ กับไมใ๎ หญํตน๎ หนง่ึ ผมนอนอยทูํ ่ีนัน่ ในลกั ษณะครง่ึ หลบั ครึ่งตืน่ จนรํงุ สาง ผมยงั จาไดด๎ วี ําเช๎าวนั น้ันเปน็ วันท่ี ๑๕ พฤษภาคม ในอาการสะลึมสะลอื ผมแลเห็นแสงสวํางคอํ ย ๆ เรอื งรองขนึ้ ทลี ะนอ๎ ยท่ีรมิ อาํ ว ในขณะทดี่ วงตะวันยังไมทํ ันโผลํพน๎ จากทะเล เมอื่ ลมอํอน ๆ โบกพดั มาจากหบุ ผาเบื้องลําง หมอกยามเช๎าก็พลันสลายตัวไป ในทนั ใดนนั้ นกกระสากลางคนื ก็ปรากฏกายขนึ้ สงํ เสียงร๎องแหลม และบนิ ลับจาก สายตาไปผมสามารถได๎ยินเสียงกระพอื ปีกของมนั ในชวั่ ขณะน้ันเอง หมอกมัวแหํงความขนํุ ขอ๎ ง สับสนและความลังเลสงสยั ของผมก็ปลาสนาการไป ทุกสง่ิ ทุกอยํางท่ผี มเคยยดึ ถอื อยํางเหนยี ว แนํน ทุกสง่ิ ทุกอยาํ งทีผ่ มเคยเชือ่ มัน่ เป็นปกติวิสัยลว๎ นสลายไปกับสายลม ผมร๎สู ึกวําผมเขา๎ ใจ เร่ือง ๆ หน่ึงข้ึนมา ผมถึงกับหลุดคาพูดออกมาโดยไมไํ ดค๎ ิดมากํอนวํา \"ในโลกน้ีไมมํ อี ะไรเป็นแกํนสารเลยหนอ....\" ผมร๎สู ึกขึน้ มาวาํ ผมไมไํ ดเ๎ ขา๎ ใจอะไรเลย*** ผมแลเหน็ ได๎วาํ บญั ญตั ิ (concepts) ทั้งหลายแหลํทีผ่ มเคยยึดถอื ความคิดความ เขา๎ ใจเก่ียวกบั ความมอี ยูํ โดยตัวมันเอง ล๎วนเปน็ โครงอันวํางเปลํา จติ ใจของผมโปรงํ เบา และ ใสกระจาํ ง ผมกระโดดโลดเต๎นด๎วยความราํ เรงิ ผมได๎ยนิ เสยี งนกเล็ก ๆ ร๎องจ๏กุ จ๊ิกอยใูํ นพมุํ ไม๎ และแลเห็นเกลียวคลืน่ สะทอ๎ นประกายแสงอรณุ อยูํลบิ ๆ ใบไมพ๎ ล้ิวทอประกายเขยี วเลื่อมพราย ผมร๎ูดีกวาํ นคี่ ือสรวงสวรรค๑อันแท๎จริงบนพ้ืนพภิ พ ความปวดร๎าวทรมานใจท้ังหลายแหลทํ เ่ี กาะ กุมใจผมล๎วนแตํปลาศนาการไปดจุ ความฝันและมายาภาพ และสงิ่ หน่ึงทเี่ ราอาจเรยี กมนั วํา \"ธรรมชาติทแี่ ท๎\" ก็ไดป๎ รากฏตวั ออกมาอยาํ งเปดิ เผย ผมคิดวําคงจะพดู ไดว๎ ํา นับแตปํ ระสบการณใ๑ นเช๎าวนั นน้ั แล๎ว ชีวติ ของผมได๎ เปลย่ี นไปอยํางส้ินเชงิ แม๎จะมีความเปลีย่ นแปลง แตํผมกย็ งั คงเป็นคนบอ๏ ง ๆ เมื่อเทยี บกบั คนอนื่ และนีไ่ มํ เคยเปลยี่ นเลยจากเวลาน้นั จนถึงปจั จบุ ัน มองจากภายนอกคงจะไมมํ ีใครที่ดูราบเรียบไมมํ ีอะไร โดดเดํนเปน็ พเิ ศษเชํนผม และไมํมีอะไรพิเศษเก่ยี วกับชวี ิตประจาวนั ของผม แตํความม่ันใจท่ี ผมได๎ร๎สู ่งิ นนั้ ไมเํ คยเปลย่ี นเลยนบั จากเวลานน้ั ผมไดใ๎ ชเ๎ วลา ๓๐-๔๐ ปีในการทดสอบวาํ ผม เข๎าใจผดิ หรือไมํ แตํไมํเคยมีสักคร้ังทผี่ มสามารถหาหลกั ฐานมาหกั ลา๎ งความเชื่อม่ันน้ันได๎ ซง่ึ ไดแ๎ สดงออกด๎วยการท่ีผมดาเนินชวี ิตเชนํ นมี้ า

ความประจักษ๑แจ๎งนีใ้ นตวั มันเองเป็นสิง่ มีคุณคํามาก แตํนั่นไมไํ ด๎หมายความวาํ ผม ผกู ติดอยกูํ ับคณุ คาํ พเิ ศษอะไรอยํู ผมยงั เป็นคนธรรมดา ๆ จะพูดวําเหมอื นอกี าแกํตัวหนึง่ ก็คงได๎ สาหรบั คนทีส่ ังเกตอยํหู าํ ง ๆ ผมอาจจะดเู หมอื นคนออํ นนอ๎ มถํอมตน หรอื ไมกํ ็คงหยง่ิ ยโส จองหองก็ได๎ ผมเตือนหนุมํ สาวทอ่ี ยูํในไรํนาของผมเสมอวาํ อยําพยายามเลยี นแบบผม และผม กโ็ กรธจรงิ ๆ ดว๎ ยถา๎ มใี ครไมใํ สใํ จในคาแนะนาของผม ดงั ทผี่ มต๎องการคือให๎เขาทั้งหลายอยกูํ ับ ธรรมชาติและใช๎ชีวติ กบั งานการประจาวัน ไมํมีอะไรพเิ ศษเกี่ยวกบั ตวั ผมหรอก แตํสิ่งทผี่ มแล เห็นตํางหากทมี่ ีความสาคัญอยํางยิ่ง *เปน็ โรคขา๎ วชนิดหนง่ึ เกิดจากเชื้อราชอื่ Glbberella Fujikuroi wol ลกั ษณะเดํนคือปล๎องของตน๎ ขา๎ วทเ่ี ปน็ โรคนี้ จะยดื ยาวกวําต๎นท่ีไมํได๎เปน็ โรค ไทยเรยี กวาํ โรคถอดฝกั ดาบ : ผู๎แปล **เป็นฮอรโ๑ มนชนดิ หนึ่งซง่ึ พบมากในสํวนท่ีกาลังเจรญิ เติบโต เชนํ ในเมลด็ ออํ น ยอดอํอนและปลายราก มผี ลใน การกระตุ๎นความเจริญเตบิ โตของพืช เป็นฮอรโ๑ มนท่ีพบทั้งในพืชชั้นสูงและพืชช้นั ตา่ : ผ๎แู ปล *** \"การไมเํ ขา๎ ใจอะไรเลย\" ในความหมายนี้ คือการตระหนกั ถึงความไมสํ มบรู ณ๑ของความรใ๎ู นระดับพุทธปิ ญั ญา (lntellectual knowledge) ๑.๓ กลบั สู่ชนบท วนั รํงุ ขึ้นที่ ๑๖ พฤษภาคม ผมกลบั ไปยังท่ที างานและประกาศลาออกจากงาน ในทันที ผบ๎ู งั คบั บัญชาและเพ่อื นรวํ มงานของผมตาํ งพากันประหลาดใจและไมํอาจเข๎าใจการ กระทาเชํนน้ไี ด๎ พวกเขาจดั งานเลีย้ งอาลาใหผ๎ มในภตั ตาคารเหนอื ทาํ จอดเรอื แตํบรรยากาศ ออกจะพกิ ลอยํู ชายหนุํมผ๎ูนแี้ ตํไหนแตํไรมาเคยเปน็ คนเข๎ากบั ใครตอํ ใครไดอ๎ ยํางดี โดยเฉพาะ อยาํ งยงิ่ ดเู หมือนจะไมเํ คยร๎สู กึ ไมพํ อใจงานท่ีตนทา ในทางตรงกนั ข๎าม เขาได๎ทมุํ เทใหก๎ บั งานวจิ ยั ด๎วยชีวติ จิตใจทงั้ หมด แตจํ ํู ๆ กป็ ระกาศลาออกจากงานในทนั ทีทนั ใด ทั้งผมยงั หัวเราะ อยาํ งมีความสขุ อีกด๎วย ตอนนั้นผมกลําวกบั ทุกคนวํา \"ฝงั่ นคี้ ือทําจอดเรือ และฝั่งโนน๎ ก็คอื สะพานจอดเรือที่ ๔ หากคณุ คดิ วาํ ชวี ติ อยํูฝัง่ น้ี ความตายก็จะอยูํฝงั่ โนน๎ หากคณุ ต๎องการกาจัดความคิดเกีย่ วกบั ความตาย คณุ กต็ อ๎ งกาจัด ความคดิ ทว่ี ํามีชวี ิตอยฝูํ ัง่ น้ีออกไปด๎วย เพราะชวี ติ และความตายเปน็ อันหน่งึ อันเดยี วกัน\"

เมื่อผมกลําวคาพดู เหลํานนั้ ออกมา ทุกคนก็ย่งิ พากันเป็นหํวงผมมากข้ึน \"เขาพดู อะไรนะํ เขาต๎องเสยี สติไปแล๎วแนํ ๆ\" พวกเขาคงตอ๎ งคิดเชํนนี้ พวกเขาพา กันมองดูผมด๎วยใบหน๎าสลด มผี มเพียงคนเดียวที่เดินอยํางกระฉับกระเฉงดว๎ ยทาํ ทรี าํ เริงสบาย ใจ ในเวลานนั้ เพ่อื นรวํ มห๎องคนหนงึ่ ของผมมีความวติ กกังวลหวํ งใยผมมาก และแนะนา ให๎ผมไปพักผํอนเงียบ ๆ สักระยะทีฝ่ ง่ั ทะเลโบโซ ผมก็เลยไป ตอนนนั้ ผมไปทกุ ท่ที ่ีมีคนแนะนา ใหไ๎ ป ผมขนึ้ รถประจาทางไปเป็นระยะทางหลายไมล๑ ผมมองออกไปนอกหนา๎ ตําง แลดทู ๎องนา แปลงสี่เหลยี่ มเหมอื นตาหมากรกุ และหมบํู ๎านเลก็ ๆ ตามเสน๎ ทางถนนหลวง เม่ือรถจอดท่ีสถานี หนง่ึ ผมแลเห็นปูายเลก็ ๆ แผนํ หนึ่ง อํานได๎ความวํา \"เมืองในฝนั \" ผมรีบลงจากรถและกอ็ อก เดนิ หาสถานท่นี นั้ ผมพบโรงเตี๊ยมเลก็ ๆ อยูบํ รเิ วณชายฝัง่ ทะเล ขณะที่ปีนข้ึนทางหนา๎ ผาผมก็พบ สถานท่ีท่ีมีทิวทัศน๑งดงามอยํางยิง่ ผมพกั อยทูํ ่ีโรงเตี๊ยมแหํงนนั้ และใชเ๎ วลาเปน็ วัน ๆ หมดกับ การเอนกายเคลมิ้ หลบั อยํใู นพงหญา๎ สูงซงึ่ มองลงไปแลเห็นทะเล อาจจะเปน็ เวลาหลายวนั เปน็ อาทติ ย๑ หรอื เป็นเดือน ท่ีผมอยูทํ นี่ น่ั ผมไมรํ ๎ูวํานานเทาํ ไหรํ เอาเปน็ วาํ ผมได๎พกั อยํทู นี่ ่ันระยะ หนึ่ง เมื่อเวลาผาํ นไป ความราํ เริงเบกิ บานของผมกค็ ํอย ๆ อาจคลายลง ผมเพ่ิงจะเริ่มรส๎ู กึ ตวั วาํ เกดิ อะไรข้ึน คุณอาจจะพูดวาํ ในที่สุดผมก็กลบั มาเป็นตวั ของตัวเองอีกคร้งั ผมกลบั ไปโตเกยี ว และพักอยทํู ่นี นั่ ระยะหนึง่ ใชเ๎ วลาให๎หมดไปวัน ๆ กบั การ เตรด็ เตรํอยูใํ นสวนสาธารณะ พูดคยุ กบั คนบนท๎องถนน ไปนอนท่โี นํนบ๎าง ท่นี บี่ า๎ ง เพ่ือนผมเป็น หํวงมากและแวะมาดวู ําผมเปน็ อยาํ งไรบ๎าง เขาถามวาํ \"นี่คุณไมํได๎หลงอยํูในโลกของความสนกุ หรือโลกแหงํ มายาอะไรสักอยํางหรอื \" \"ไม\"ํ ผมตอบ \"คณุ ตํางหากเลําทีอ่ ยํใู นโลกของความฝนั \" เราท้งั คูํตาํ งคิดวํา \"ฉนั ถกู และคณุ ตํางหากทอี่ ยํูในโลกของความฝนั \" เมือ่ เพอื่ นบอกอาลา ผมก็ตอบเขาในทานองน้วี าํ \"อยาํ พดู วําลากอํ น การจากก็คอื การจาก\" ดูเหมอื นเพอื่ นจะรู๎สกึ หมดหวงั ในตวั ผม ผมเดนิ ทางออกจากโตเกยี วผํานมณฑลคันไซ* และไปจนถึงใต๎สุดทกี่ ิวชวิ ผมร๎ูสกึ เพลดิ เพลนิ กับการเรํรํอนจากท่หี นึ่งไปยงั อกี ที่หนึง่ เหมอื นกับสายลม ผมเทีย่ วไดท๎ ๎าทายใครตอํ ใครถงึ ความเชือ่ มั่นของตนเองท่ีวาํ ทุกสง่ิ ในโลกน้ีลว๎ นไรค๎ วามหมาย และปราศจากคณุ คาํ และ สรรพสิ่งกลบั คืนสคูํ วามวําง แตนํ ีอ่ าจจะมากเกนิ ไป หรือน๎อยเกินไป สาหรบั โลกทุกวันน้ีที่จะเขา๎ ใจ ถงึ อยาํ งไรก็ ตาม กไ็ มมํ ีวิธที จี่ ะสื่อสาร ผมคดิ แตเํ พยี งวาํ ความคิดเกีย่ วกับความไร๎ประโยชน๑น้ี เปน็ ส่งิ ที่มี คณุ ประโยชนย๑ ่ิงใหญํตํอโลกมนษุ ย๑ โดยเฉพาะอยาํ งย่งิ โลกปจั จุบันท่ีกาลงั เคลอ่ื นไปในทศิ ทาง ตรงกันข๎ามอยาํ งรวดเรว็ ผมตั้งใจจะทอํ งเท่ยี วไปใหท๎ ่วั ประเทศเพ่ือประกาศถึงความเชื่อนี้ แตํ ผลลัพธ๑ก็คือไมวํ ําทไ่ี หนทีผ่ มไป ผมไมํเคยได๎รบั การใสใํ จจากผ๎คู น เพราะพวกเขาคดิ วําผมเปน็ คนไมเํ ต็มเตง็ ผมจงึ ตัดสินใจกลับไปบา๎ นนาของพํอในชนบท พํอผมทาสวนส๎มอยใูํ นตอนน้นั ผมย๎ายเขา๎ ไปอยํอู าศยั ในกระทอํ มบนภูเขาและใช๎ ชวี ติ อยํางเรียบงาํ ยที่นนั ผมคดิ วาํ ถา๎ ผมเปน็ เกษตรกรอยทูํ น่ี ่ี ผมกจ็ ะสามารถทาใหค๎ วามจรงิ ท่ี ผมได๎คน๎ พบเป็นสิง่ ที่ปฏบิ ัตไิ ด๎จริง ดังนั้นอาจจะทาใหส๎ ัจจะท่ผี มค๎นพบเปน็ ทีย่ อมรับได๎ การ ปฏิบตั ิตามความเชื่อนี้ จะไมเํ ป็นวธิ ีทดี่ กี วาํ การอธิบายดว๎ ยคาพดู เปน็ ร๎อย ๆ ครั้งละหรอื เกษตรกรรมแบบ \"ไมํกระทา\"** เร่มิ ตน๎ ข้ึนบนฐานของความคิดน้ี ขณะน้ันเป็นปีท่ี ๑๓ ของ รชั กาลปจั จุบันซึง่ ตรงกบั ปี พ.ศ. ๒๔๘๑

ผมปกั หลักอยูํทน่ี ั่นและทกุ อยาํ งก็ดาเนนิ ไปดว๎ ยดี จนกระท่ังพอํ วางมอื มอบให๎ผม ดูแลสวนส๎มทใ่ี หผ๎ ลดมี ากสวนน้นั พอํ ได๎ตัดแตํงก่ิงส๎มให๎เป็นพุมํ คล๎ายรปู ถ๎วยสาเก เพอื่ ใหก๎ าร เกบ็ ผลส๎มทาได๎งาํ ย เมือ่ ผมปลอํ ยทิง้ ไว๎ในสภาพนนั้ ผลกค็ อื กงิ่ ก๎านของตน๎ ส๎มแตกแขนงซ๎อน ไขว๎กนั ไปมาอยาํ งไมมํ รี ะเบียบ แมลงกร็ วมกนั เข๎ามาทาลาย และในทีส่ ดุ สวนส๎มขนัดน้นั ก็เฉา ตายไปในเวลาไมนํ านนัก ความเชอื่ ของผมคอื พืชพันธุไ๑ ม๎ท้ังหลายจะเติบโตของมนั เอง และไมมํ ีความจาเปน็ ท่ี ตอ๎ งเขา๎ ไปแทรกแซงการเจรญิ เติบโตของมัน ผมได๎ทาตามความเช่อื ที่ แตผํ มก็พบวําหากเรา นาเอาความคิดนี้มาปฏิบัติในทันทที นั ใด ยอํ มจะประสบความล๎มเหลว เพราะนเ่ี ป็นการปลอํ ย ปละละเลย ไมํรบั ผิดขอบ ไมใํ ชเํ กษตรกรรมธรรมชาติ พอํ ผมตกอกตกใจมากกบั เหตุการณค๑ รง้ั น้ี ทาํ นบอกวาํ ผมตอ๎ งปรบั ปรงุ ตวั เองเสีย ใหมํ และให๎หางานในเมืองทาไปพลาง ๆ กอํ น จนกวาํ สตสิ มั ปชญั ญะจะกลบั คนื มา จึงคอํ ยกลับ บา๎ น ในเวลานนั้ พอํ ผมเปน็ ผู๎ใหญบํ า๎ น และแลเหน็ วําชาวบ๎านคงจะเข๎ากบั ลูกชายไมเํ ต็มเตม็ ของ ทาํ นได๎ยาก เห็นไดช๎ ดั วําผมเป็นพวกแผลง ๆ ท่ีไมสํ ามารถเขา๎ กบั ผค๎ู นได๎ อยํางการแยกตวั ไป อยูํคนเดียวท่ีหลงั เขา ย่งิ กวํานน้ั ผมไมํชอบการเปน็ ทหาร และในระหวํางนัน้ สงครามกาลงั ทวี ความรนุ แรงข้ึนทุกที ผมจงึ ตัดสินใจหางานทาตามความประสงคข๑ องพํออยํางวาํ งาํ ย ในเวลานน้ั ผเ๎ู ชย่ี วชาญทางเทคนิคยงั มอี ยูํน๎อย สถานที ดลองในจงั หวดั โคชิไดย๎ นิ ชื่อเสยี งเก่ยี วกับตวั ผม จึงเสนอให๎ผมมารบั ตาแหนํงหัวหน๎านกั วจิ ัยทางด๎านควบคุมโรคพชื และแมลง ผมจึงตอบสนอง ความกรณุ าของจังหวดั โคชดิ ว๎ ยการทางานอยูํท่นี ่นั นานเกอื บ ๘ ปี ในสถานที ดลองแหงํ น้ี ผม ยงั เปน็ ทปี รึกษาของแผนกเกษตรกรรมวทิ ยาศาสตรอ๑ ีกด๎วย นอกจากน้ีผมยงั ได๎ทํุมเทให๎กับการ วิจัยเพ่ือเพม่ิ ผลผลิตทางอาหารในระหวํางสงคราม ในระหวาํ ง ๘ ปนี นั้ ผมครนุํ คดิ คานงึ ถงึ ความสมั พนั ธร๑ ะหวํางเกษตรกรรมวทิ ยาศาสตรแ๑ ละเกษตรกรรมธรรมชาตอิ ยตํู ลอดเวลา เกษตรกรรมเคมีซงึ่ อาศยั สตปิ ญั ญาของมนุษย๑ มีกติ ตศิ ัพท๑ในความเหนอื กวาํ คาถามทตี่ ิดอยํใู น ใจของผมตลอดเวลาก็คือ เกษตรกรรมธรรมชาตแิ ละสามารถยนื ผงาดอยํางทัดเทยี มกับ วทิ ยาศาสตร๑แผนใหมไํ ดห๎ รอื ไมํ เมือ่ สงครามสนิ้ สดุ ลง ผมก็รู๎สกึ เปน็ อิสระอีกครั้งหนง่ึ และเดนิ ทางกลับสูบํ ๎านเกิดเพื่อ เร่มิ ตน๎ งานเกษตรทน่ี นั่ ใหมํ * โอซาก๎า โกเบ เกียวโต ** โดยคาพูดนี้ ฟกู ูโอกะตอ๎ งการอธิบายถงึ ความงาํ ยโดยเปรยี บเทียบกับวิธีอนื่ การทาเกษตรกรรมวธิ ีนตี้ อ๎ งทางาน หนัก โดยเฉพาะในฤดเู ก็บเก่ยี วแตกํ ็นอ๎ ยกวําวธิ ีแบบอ่นื วําสรรพส่ิงควรปลอํ ยให๎เป็นไปตามธรรมชาตขิ องมนั

๑.๔ เกษตรกรรมแบบไมก่ ระทา ผมใช๎ชีวติ อยใูํ นไรนํ าเปน็ เวลากวํา ๓๐ ปี โดยติดตอํ กบั ผคู๎ นและโลกภายนอก ชุมชนที่ผมอยูํอาศัยนอ๎ ยมาก ในระหวํางหลายปีน้ัน ผมมุงํ ม่นั กับวิธีการทาการเกษตรท่ีเรยี กวาํ \"ไมํกระทา\" อยาํ งจรงิ จัง ตามปกติเม่ือเราคิดที่จะพัฒนาวธิ กี ารอะไรสกั อยาํ ง เรามักจะเร่ิมตน๎ ดว๎ ยคาถามวาํ \"ลองวธิ นี ีด้ ีไหม\" หรือ \"ลองวธิ ีนน้ั ดีไหม\" การเริ่มตน๎ เชํนนี้จะทาให๎เรามีเทคนิควธิ ีการท่ี หลากหลาย จากวิธีหนงึ่ ไปสํอู ีกวธิ ีหนึ่ง นี่คือเกษตรกรรมแผนใหมํ ผลก็คอื มักจะทาให๎เกษตรกร มีเร่อื งทีต่ อ๎ งทามากข้ึน ผมทาตรงกันขา๎ ม ส่ิงทผ่ี มมํุงหวังคือ การทาเกษตรดว๎ ยวธิ ีทีเ่ ปน็ ธรรมชาติ* และนาํ พึงพอใจ ซึ่งสงํ ผลใหง๎ านงํายขึ้นย่งิ กวาํ หนกั ขึน้ วธิ คี ิดของผมก็คอื \"ลองไมท่ าสิ่งนด้ี ูซิ้ลอง ไมท่ าส่งิ น้นั ดซู \"ิ ผมได๎มาถงึ ข๎อยุติทวี่ ํา ไมจํ าเปน็ ต๎องไถพรวนดิน ไมํจาเปน็ ตอ๎ งใชป๎ ยุ๋ เคมี ไมํ จาเปน็ ตอ๎ งทาป๋ยุ อินทรยี ๑ ไมจํ าเปน็ ตอ๎ งใช๎ยาฆาํ แมลง เมอ่ื คุณปฏิบตั ิจริง ๆ ดู คณุ จะพบวาํ มี วิธกี ารทางเกษตรกรรมไมกํ ี่อยาํ งเทําน้นั ที่มคี วามจาเปน็ เหตผุ ลท่ีเทคนิคใหมํ ๆ ของมนุษย๑ดจู ะมีความจาเปน็ กเ็ พราะวาํ ธรรมชาตไิ ด๎สญู เสีย ความสมดุลไปมากแล๎วจากเทคนิคท้งั หลายกํอนหน๎านน้ั จนทาใหต๎ อ๎ งพงึ่ พิงและขึน้ อยูํกบั เทคนิคพวกนัน้ เหตผุ ลข๎อนี้ไมเํ พียงแตใํ ชไ๎ ดก๎ ับเกษตรกรรมเทําน้ัน แตํรวมถงึ แงมํ มุ อ่นื ๆ ของสังคม มนุษยด๑ ๎วย แพทยแ๑ ละยากลายเป็นสิ่งจาเปน็ เม่ือคนเรากอํ ให๎เกดิ สภาพแวดล๎อมทีเ่ จ็บปวุ ย ขึ้นมา การศึกษาในระบบโรงเรียนไมํมคี ณุ คาํ ที่แท๎จริงแตํกลายเปน็ ส่งิ จาเปน็ เม่ือคนเราสร๎าง เงือ่ นไขให๎คนต๎องเป็นผ๎ู \"มกี ารศึกษา\" ขนึ้ มา กอํ นทสี่ งครามโลกจะสน้ิ สุด ตอนนัน้ ผมไปทดลองกับสวนสม๎ ของพํอดว๎ ยวิธีท่ผี มคดิ ในตอนนน้ั วํา คือ เกษตรกรรมธรรมชาติ ผมไมตํ ัดแตํงกิง่ ของตน๎ ส๎มอยํางที่พอํ เคยทา และ ปลํอยใหส๎ วนสม๎ ทง้ั ขนดั นั้นเตบิ โตของมนั ไปตามลาพัง ผลปรากฏวําก่ิงก๎านท่ีงอกขน้ึ ใหมขํ อง ตน๎ สม๎ ซ๎อนกํายกนั ไปมาอยํางไมํเปน็ ระเบยี บ ท้งั แมลงก็ยงั พากนั มารมุ กนิ จนในที่สุดสวนสม๎ เกอื บ ๒ เอเคอร๑ (๕ ไรํ)กเ็ หย่ี วเฉา และลม๎ ตายไปหมด จากเวลานนั้ เป็นตน๎ มาคาถามเกิดขนึ้ ใน ใจผมตลอดวํา \"อะไรคอื แบบแผนของธรรมชาติ\" กวาํ ท่จี ะได๎คาตอบ ผมไดท๎ าให๎ตน๎ ไมต๎ ๎องเหย่ี วตายไปอีกราว ๔๐๐ ต๎น ในท่ีสดุ ผม คดิ วําผมสามารถพดู ได๎อยาํ งมัน่ ใจวํา \"นี่คอื แบบแผนของธรรมชาติ\" เมอ่ื พืชพนั ธไ๑ุ มถ๎ กู ทาให๎ผดิ จากธรรมชาตดิ ง้ั เดิมของมันไปแลว๎ การตัดแตงํ กิ่งใบ และการกาจัดแมลงศัตรพู ชื กก็ ลายเป็น สิง่ จาเป็น เชนํ เดียวกันสังคมมนษุ ยท๑ ช่ี วี ิตแยกขาดออกจากธรรมชาติ การศกึ ษาในโรงเรยี นก็ กลายเป็นสงิ่ จาเป็น ในธรรมชาติการศกึ ษาดว๎ ยระบบโรงเรยี นเปน็ สง่ิ ท่ีไมํอาจใชง๎ านไดจ๎ ริง ในการเล้ยี งดูลูก พอํ แมํจานวนมากไดก๎ ระทาความผดิ พลาด เชนํ เดยี วกบั ทผี่ มได๎ทา ตอํ สวนส๎มในครั้งแรกนน้ั ยกตวั อยาํ งเชนํ การสอนดนตรีให๎กบั เด็กเปน็ สงิ่ ไมํจาเป็นดุจเดยี วกบั การตัดแตํงก่งิ ใบของพันธ๑ุไม๎ หขู องเดก็ สามารถรับร๎เู สยี งดนตรีอยแูํ ลว๎ เสยี งพมึ พาของสายน้า เสียงกบเขียดระงมอยรํู มิ สํงนา้ เสียงใบไม๎แผํวพล้ิวอยูํในปาุ เสยี งของธรรมชาตเิ หลําน้ีคือ

เสยี งดนตรี เป็นดนตรที ่แี ท๎ แตํเมอ่ื มเี สยี งรบกวนมากมายท่ีเขา๎ มากอํ กวนโสตประสาท เด็ก ๆ จะ สญู เสียความสามารถในการรับร๎ดู นตรที ่ีตรงและบริสุทธ์ิเชํนนไี้ ป ถ๎าหากเราปลอํ ยไปเรื่อย ๆ เด็ก ๆ จะไมํสามารถไดย๎ นิ เสยี งรอ๎ งของนกหรือเสยี งลมพัดเป็นเสียงเพลงไดเ๎ ลย และนค่ี อื เหตุผล ที่วําทาไมการศกึ ษาเกีย่ วกบั ดนตรี จึงถือวําเปน็ สิ่งท่มี ีประโยชน๑ตอํ พฒั นาการของเดก็ เด็กทไ่ี ดร๎ บั การเล้ยี งดขู ้ึนมาในสภาพแวดลอ๎ มทเ่ี ออ้ื ใหโ๎ สตประสาทบริสุทธ์ิ และใส กระจําง แมว๎ าํ เขาอาจจะไมํสามารถเลนํ ไวโอลนิ หรอื เปียโนด๎วยทานองท่ที ันสมยั ได๎ แตํผมกไ็ มํ คิดวํามคี วามจาเป็นอะไรทตี่ ๎องไปอบรมให๎เดก็ มีความสามารถในการฟงั ดนตรี หรือร๎องเพลง ตอํ เมือ่ หัวใจเตม็ เปีย่ มด๎วยเสยี งเพลงเทําน้นั จึงจะกลําวไดว๎ าํ เดก็ คนนัน้ มพี รสวรรคใ๑ นทางดนตรี เกอื บทุกคนล๎วนคดิ วาํ \"ธรรมชาติ\" เป็นสง่ิ ทดี่ ี แตํมีน๎อยคนทส่ี ามารถรบั ร๎คู วาม แตกตํางระหวํางสิง่ ท่ีเป็นธรรมชาติและไมเํ ป็นธรรมชาติ หากวาํ ตาออํ นของไมผ๎ ลสักตาหนึ่งถูก ตดั ออกด๎วยกรรไกร นัน่ อาจเปน็ ตน๎ เหตขุ องความยํงุ ยากที่ไมํอาจปลอํ ยทงิ้ ไวโ๎ ดยไมํแก๎ไขได๎ เมือ่ ปลกู พันธุ๑ไมใ๎ นรปู แบบเดมิ ตามธรรมชาติ กิ่งก๎านของตน๎ ไมจ๎ ะงอกสลับกันอยํางเปน็ ระเบยี บ ออกมาจากลาต๎น ทาให๎ใบสามารถไดร๎ บั แสงอาทติ ยอ๑ ยํางทวั่ ถึง หากวาํ ระเบียบของธรรมชาตินี้ ถกู ทาลายไป ก่งิ กา๎ นจะงอกออกมาอยาํ งสบสน และจะซ๎อนกํายกันไปมายํุงเหยิงไมเํ ป็นระเบยี บ และใบท่ีไมไํ ดร๎ ับแสงอาทิตยก๑ ็จะเห่ียวเฉาหลุดรํวงไป แมลงศัตรพู ชื กจ็ ะแพรรํ ะบาด และถ๎าในปี ตอํ ไปต๎นไม๎ไมํไดถ๎ ูกตดั แตงํ กง่ิ ใบอกี กงิ่ กา๎ นของตน๎ ไมก๎ จ็ ะยง่ิ เหย่ี วเฉาเพิ่มมากข้นึ การเข๎าไปแทรกแซงของมนุษย๑กํอใหเ๎ กดิ สิ่งที่ผดิ พลาดข้ึน และถา๎ ความเสยี หาย ดงั กลําวถูกปลอํ ยทง้ิ ไวโ๎ ดยไมํแกไ๎ ข จนผลรา๎ ยนน้ั สะสมมากเข๎า คนเราก็จะตอ๎ งทํมุ เทความ พยายามทง้ั มวลเพอื่ เขา๎ ไปแก๎ไขมัน หากการแก๎ไขลุลวํ งไปดว๎ ยดี พวกเขากจ็ ะคดิ วาํ วิธีการ เหลํานเ้ี ปน็ ความสาเร็จอันงดงาม คนเรามักทาเชนํ นซ้ี า้ แลว๎ ซา้ เลํา มนั กเ็ หมือนกับคนโงทํ ี่ปีนขึ้น ไปบนหลังคาบา๎ นแลว๎ ทากระเบอื้ งบนหลงั คาแตก พอฝนตกลงมา เพดานก็เรม่ิ เปือ่ ยและปลํอย น้าฝนร่ัวลงมา เขากจ็ ะรบี ปีนข้นึ ไปซอํ มหลงั คา จากน้นั กด็ ีอกดใี จทีเ่ ขาไดค๎ ๎นพบวิธกี าร แก๎ปญั หาทีว่ ิเศษมหัศจรรย๑ นักวิทยาศาสตร๑กเ็ ปน็ เชนํ เดยี วกนั เขาคร่าเครงํ กบั การอํานตารบั ตาราทง้ั วันทง้ั คืน ซึ่งเปน็ การบ่นั ทอนสายตาของตนและในท่สี ดุ ก็สายตาส้ัน หากคุณนกึ กงั ขาวาํ อะไรหน๎าท่ีทาให๎ เขาถงึ กับครา่ เครงํ ศกึ ษาอยํางจรงิ จงั ตลอดเวลาเชนํ นัน้ คาตอบกค็ อื เขาเปน็ นกั ประดษิ ฐแ๑ วนํ ตา สาหรับคนสายตาสนั้ * ทาการเกษตรด๎วยวิธเี รียบงาํ ยทสี่ ุด ด๎วยการรํวมมือกบั สภาพแวดล๎อมทางธรรมชาติหรอื เปน็ สํวนหนึ่งของ ธรรมชาติ ยิ่งกวาํ ท่ีจะเอาอยํางวิธกี ารแบบใหมทํ ่ีมุํงเพมิ่ ขยายเทคนิคที่ซบั ซ๎อน ในการเปลย่ี นแปลงธรรมชาตอิ ยําง ส้ินเชิง เพ่ือผลได๎ของตัวมนษุ ยเ๑ อง

๑.๕ กลบั คืนส่ตู ้นกาเนดิ ผมยืนพงิ เคียวด๎ามยาวในมือ หยุดพักงานในสวนช่ัวขณะแลว๎ ทอดสายตาจบั จ๎อง อยูทํ ่ภี ูเขาและหมํูบา๎ นเบ้ืองลําง ผมเฝูาสงสยั วําเหตุไฉนปรชั ญาของผ๎คู น จงึ ไดห๎ มนุ เร็วเสียย่ิง กวําการแปรเปล่ียนของฤดกู าล เสน๎ ทางที่ผมเลือกเดิน หรือการทาเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ ซ่ึงมกั จะเป็นส่ิงแปลก ประหลาดสาหรับผ๎ูคนสวํ นใหญํนัน้ เคยได๎รบั การกลาํ วขวญั ถึงในสมยั แรก ๆ วํา เปน็ ปฏกิ ริ ิยา ตอบโตค๎ วามกา๎ วหนา๎ และการพัฒนาอยาํ งปราศจากความยงั้ คดิ ของวทิ ยาศาสตร๑ แตทํ งั้ หมดท่ี ผมไดก๎ ระทามา ดว๎ ยการออกมาทาเกษตรในชนบท กเ็ พียงเพื่อจะแสดงให๎เห็นวาํ มนษุ ย๑ไมรํ ๎ู อะไรเลย เพราะโลกได๎หมุนไปในทศิ ทางตรงกนั ขา๎ มดว๎ ยพลงั อนั บา๎ ระห่าน่เี อง ผมจงึ ดูเหมือน คนล๎าหลัง แตกํ ระน้ันผมกย็ งั เชอ่ื มั่นวาํ หนทางทผี่ มเลอื กเดินเปน็ หนทางท่มี ีเหตุมีผลอันสมควร มากทสี่ ุดหนทางหน่ึง หลายปีที่ผาํ นมานี้ คนที่หันมาสนใจการเกษตรกรรมธรรมชาตไิ ดเ๎ พม่ิ มากข้นึ อยําง เห็นได๎ชดั ดูเหมอื นวําขดี จากดั ของการพัฒนาทางวทิ ยาศาสตร๑ได๎ปรากฏใหเ๎ หน็ แล๎ว ความ ลังเลสงสยั เริ่มเกดิ ขน้ึ และเวลาสาหรับการกลบั มากาหนดคณุ คําใหมํไดม๎ าถงึ ดงั ทเ่ี คยถูกมอง วาํ เป็นเรอ่ื งโบราณคร่าครแึ ละล๎าหลงั กลับกลายเป็นความก๎าวหน๎าท่เี หนือกวาํ วิทยาศาสตรแ๑ ผน ใหมไํ ปไดอ๎ ยาํ งไมคํ าดฝัน ทั้งนีอ้ าจจะดแู ปลกประหลาดในตอนแรก แตํสาหรับผม ไมํเคยรู๎สึก วําเป็นเรือ่ งแปลกประหลาดเลยแมแ๎ ตนํ ๎อย ผมไดพ๎ ูดคยุ กบั ศาสตราจารย๑ อินูมํา แหํงมหาวิทยาลัยเกยี วโตเมื่อไมํนานมานี้วาํ เมอ่ื พันปีทแี่ ล๎ว การทาเกษตรกรรมในญี่ปุนไมํมกี ารไถพลิกหน๎าดิน จนกระทงั่ มาถึงยุคสมยั โตกู กาวํา เมอ่ื ราว ๓๐๐-๔๐๐ ปที ีผ่ ํานมา การไถหนา๎ ดินตนื้ ๆ ก็ถูกนาเข๎ามาใช๎ไนญ่ีปุน การไถดนิ แบบลึกถูกนาเข๎ามาในญปี่ นุ พรอ๎ มกบั เกษตรกรรมแบบตะวันตก ผมกลําววํา การแกไ๎ ขปญั หาใน อนาคต คนรํนุ ตํอไปจะกลบั ไปหาวิธที าเกษตรกรรมแบบไมไํ ถพลกิ หน๎าดินอกี คร้ังหนึง่ การเพาะปลกู โดยไมํไถพลกิ หน๎าดิน ในตอนแรกอาจจะดูเปน็ การถอยหลงั กลับไปสํู เกษตรกรรมแบบโบราณ แตํหลายปที ผี่ ํานมา จากการทดลองในห๎องปฏบิ ัติการทาง วทิ ยาศาสตร๑ของมหาวทิ ยาลัย และสถานที ดลองการเกษตรทว่ั ประเทศแสดงให๎เห็นวํา วิธที า เกษตรกรรมแบบนเ้ี ปน็ วธิ ที งี่ าํ ยทสี่ ุด มปี ระสิทธภิ าพ และเป็นวิธีที่ทันสมยั กวาํ ทุกวธิ ีในปัจจุบนั แมว๎ ําวิธีทาเกษตรกรรมแบบน้จี ะปฏเิ สธวิทยาศาสตรแ๑ ผนใหมํ แตวํ ิธีการน้กี ็ได๎กา๎ วข้ึนมาอยํใู น ระดบั แนวหนา๎ ของพัฒนาการทางการเกษตรแผนใหมํ ผมไดเ๎ สนอวิธีทาเกษตรแบบหวาํ นเมล็ดขา๎ วเจ๎าและธญั พืชฤดหู นาวลงไปโดยตรงใน ดนิ ทไี่ มมํ กี ารไถพรวนในวารสารการเกษตรเมื่อประมาณ ๒๐ ปีกํอน จากน้นั เป็นตน๎ มา ก็มีการนา เนอ้ื หาน้ีไปตพี มิ พ๑ และออกอากาศทางวทิ ยุและโทรทศั นอ๑ ยูเํ สมอ เพอื่ ให๎สาธารณชนไดร๎ ับรก๎ู ัน อยาํ งกวา๎ งขวาง แตํปรากฏวาํ ไมํมใี ครให๎ความสนใจเรือ่ งนม้ี ากนัก มาบัดน้ี เร่ืองราวกลับตาลปตั รไปโดยสิ้นเชงิ คุณอาจกลาํ ววําตอนน้ีเกษตรกรรม

ธรรมชาตไิ ดก๎ ลายเปน็ สิง่ นํานิยมอยาํ งที่สุด นักหนงั สอื พิมพ๑ ศาสตราจารย๑ และนักวจิ ยั ทาง เทคนคิ พากนั แหํมาเย่ียมผมท่ีไรํและกระทอํ มบนเขา แตลํ ะคนทม่ี าล๎วนมีทัศนะท่แี ตกตํางกนั ไป ตาํ งคนตาํ งมองจากจดุ ยนื ของตน และให๎ ความหมายตอํ ส่งิ ทีแ่ ลเห็นแตกตํางกนั แล๎วกจ็ ากไป บางคนก็บอกวาํ มนั โบราณ บ๎างกว็ ําลา๎ หลงั บางสํวนกเ็ หน็ วํานี่คอื ความสาเรจ็ ทางเกษตรกรรมข้นั สงู สุด และบางคนกเ็ รยี กมนั เปน็ การเบกิ ทางสอํู นาคต โดยทว่ั ไปคนมักสนใจแตเํ พยี งวาํ การทาเกษตรแบบน้ีเปน็ ความกา๎ วหน๎าของ อนาคตหรอื การย๎อนกลับไปหาอดีตกันแนํ มีนอ๎ ยคนทจี่ ะสามารถจบั สาระไดอ๎ ยาํ งถูกต๎องวํา แท๎จรงิ แล๎วเกษตรกรรมธรรมชาตเิ กิดขึน้ จากศูนย๑กลางแหํงพฒั นาการทางการเกษตรทไ่ี มไํ หล เลอื่ น และไมเํ ปลี่ยนแปลง ดว๎ ยเหตุท่ผี ค๎ู นแยกตวั ออกจากธรรมชาติ เขาจึงหมุนหาํ งออกจากศนู ย๑กลางนี้ไหล ออกไปทกุ ที ในขณะเดยี วกนั ความปรารถนาในการที่จะกลับคนื สศูํ ูนยก๑ ลางดงั กลาํ วก็คอํ ย แสดงตวั ข้ึน และความปรารถนาทจี่ ะกลบั มาหาธรรมชาติก็เกิดขน้ึ แตํถ๎าหากวําผูค๎ นยังคงคดิ อยูํ แคกํ ารแสดงปฏิกิริยาโต๎กลับ ด๎วยการหมุนไปทางซ๎ายทีขวาที โดยขึ้นอยูกํ บั เงอื่ นไขเหตุปัจจยั อื่น ๆ ผลคอื จะเป็นเพยี งการเพ่มิ พนู กิจกรรมให๎เกิดมากขึน้ เทําน้นั จุดทไ่ี มเํ คล่อื นไหวของต๎น กาเนิดดงั้ เดิม ยงั อยนํู อกอาณาจกั รแหงํ สัมพันธภาพนนั้ เป็นสง่ิ ท่ไี มมํ ีใครสงั เกตเห็นและถกู มอง ผํานไป ผมเชื่อวาํ แม๎ \"การกลับสูธํ รรมชาติ\" และกิจกรรมท่ตี อํ ต๎านมลภาวะ จะเป็นการกระทาที่ นาํ ยกยํองเพยี งไรก็ตาม แตกํ ็มไิ ด๎นาไปสูํการแก๎ไขปัญหาอยํางแทจ๎ ริง ตราบใดท่ีการกระทานั้น เปน็ เพียงการแสดงออกถงึ ปฏิกิริยาตํอการพัฒนามากเกินไปในสมัยปัจจุบนั เทํานนั้ ธรรมชาติไมไํ ดเ๎ ปล่ยี นแปลง แมว๎ าํ วิธีการมองดธู รรมชาตจิ ะเปลย่ี นแปลงไปอยําง มากมายจากยุคหน่งึ สูํยคุ หน่ึง แตํไมํวาํ ยคุ ใด เกษตรกรรมธรรมชาตจิ ะยังคงเปน็ ต๎นกาเนดิ ของ เกษตรกรรมตลอดไป ๑.๖ สาเหตุที่เกษตรกรรมธรรมชาตไิ มแ่ พรห่ ลาย ในระยะ ๒๐ หรือ ๓๐ ปีทผ่ี าํ นมา วธิ กี ารปลูกขา๎ วและธัญพชื ฤดหู นาวแบบนี้ไดผ๎ าํ น

การปฏิบตั ทิ ดลองในขอบขาํ ยทกี่ วา๎ งขวาง ท้งั ในดา๎ นภมู ิอากาศ และเง่ือนไขทางธรรมชาติ เกือบทกุ จังหวัดในญป่ี ุนไดท๎ าการทดลองเปรยี บเทียบผลผลติ ท่ไี ด๎จาก \"การหวํานเมล็ด โดยตรงลงในดนิ ทไ่ี มมํ กี ารไถพรวน\" และการปลกู ขา๎ ว ท้ังขา๎ วเจ๎า ขา๎ วไรย๑ และขา๎ วบาร๑เลยด๑ ว๎ ย วธิ ีแบบเดิมคือไถดนิ ยกคันรํอง ผลจากการทดลองทัง้ หมดทาให๎เหน็ ชัดวํา เกษตรกรรม ธรรมชาตสิ ามารถนามาใชก๎ ารได๎อยํางกว๎างขวางและท่วั ไป อาจจะมีผถ๎ู ามวาํ ถา๎ ยังงน้ั เหตุใดความจรงิ ในเร่ืองนี้จงึ ไมํเปน็ ทปี่ รากฏหรอื แพรหํ ลาย ออกไป ผมคดิ วาํ เหตผุ ลขอ๎ หนึ่งก็คอื โลกเราในปจั จุบันน้ีไดกลายเปน็ โลกของผู๎เชยี่ วชาญ เฉพาะทางมากเกนิ ไป จนผ๎ูอ่ืนไมํอาจจะจบั สาระของส่ิงใดส่ิงหน่ึงในฐานะแหํงความเปน็ องค๑ รวมอันสมบรู ณ๑ของสิง่ นนั้ ยกตวั อยํางเชนํ ผเ๎ู ชีย่ วชาญด๎านปอู งกันโรคแมลงศตั รพู ชื ผู๎หนง่ึ จาก ศูนยท๑ ดลองการเกษตรท่จี ังหวัดโคชิได๎มาทน่ี าและถามผมวํา ทาไมจงึ มีเพลยี้ จักจน่ั ขา๎ ว(rice leaf hopper) น๎อยมากในนาของผม ท้งั ๆ ทีผ่ มไมํได๎ใชย๎ าฆาํ แมลงเลย จากการสังเกต ส่งิ มีชีวิตท่อี าศยั อยใํู นนาขา๎ ว เขาพบวําความสมดุลระหวํางแมลงชนิดตาํ ง ๆ และศตั รูตาม ธรรมชาตขิ องแมลงเหลํานั้น รวมทงั้ อตั ราการขยายตวั ของแมงมมุ และอนื่ ๆ ทาให๎เพลย้ี จกั จั่น ขา๎ วในนาของผมมนี ๎อยกวําทพ่ี บในแปลงทดลองของศูนย๑ ท้ัง ๆ ท่ีแปลงทดลองดังกลาํ ว ไดฉ๎ ีด พํนยาฆาํ แมลงพิษร๎ายแรงสารพัดชนิดอยํางนับครัง้ ไมํถ๎วนด๎วยซา้ ศาสตราจารย๑ผนู๎ ้ันรส๎ู กึ ประหลาดใจทีพ่ บวาํ ในขณะทีแ่ มลงศตั รูพืชมีนอ๎ ย แตํศตั รู ตามธรรมชาตขิ องแมลงกลับมีอยูมํ ากมายในนาขา๎ วของผม ยง่ิ กวําทมี อี ยํูในแปลงทดลองท่ีได๎ พํนยาปราบศตั รูพชื ไว๎ ในท่ีสุดเขากเ็ ขา๎ ใจได๎วําสภาพเชํนนค้ี งอยไูํ ดด๎ ว๎ ยความสมดุลตาม ธรรมชาติท่เี กิดจากชมุ ชนแมลงทมี อี ยหํู ลากหลายในท่นี า เขาได๎คาตอบวาํ หากวธิ กี ารของผมมี การนาไปปฏบิ ตั อิ ยาํ งกวา๎ งขวางแล๎ว ปญั หาความเสียหายของพชื ผลท่เี กดิ จากเพลท้ี ้งั หลายก็ จะสามารถแกไ๎ ขได๎ จากนัน้ เขากร็ บี กลับขึน้ รถและกลับไปที่โคชทิ นั ที แตถํ ๎าคณุ ถามวาํ ผ๎เู ชยี่ วชาญด๎านความอุดมสมบูรณ๑ของดิน และผู๎เช่ียวชาญดา๎ น พชื ผลของศนู ยท๑ ดลองนน้ั เคยมาท่ไี รนํ าของผมหรอื ไมํ คาตอบก็คอื ไมํเลย พวกเขาไมํเคยมา และหากวําคุณจะพยายามเสนอแนะในท่ปี ระชมุ วําวธิ กี ารเชนํ น้ี หรือนาํ จะเรยี กวาํ วิธีท่ปี ราศจาก วธิ ีการ สมควรจะนาไปทดลองปฏิบัตใิ นระดับกว๎างแลว๎ ละก็ ผมเดาไดเ๎ ลยวําเจา๎ หนา๎ ทผ่ี ู๎ใหญํ ของศนู ยท๑ ดลองจะกลําววาํ \"เสยี ใจครบั มนั เรว็ เกินไปทจ่ี ะทาเชนํ นน้ั กอํ นอื่นเราตอ๎ งทาวิจัย เกย่ี วกับแงมํ มุ ตําง ๆ ให๎รอบดา๎ นทีส่ ุดเทาํ ทจี่ ะสามารถทาได๎ กํอนท่ีจะมาถงึ การอนุมัติขน้ั สุดทา๎ ย\" และมันต๎องใชเ๎ วลาหลายสบิ ปีกวําทจ่ี ะได๎ข๎อสรุปออกมา สภาพเชนํ น้ีเกิดขน้ึ ตลอดเวลา ผเ๎ู ชย่ี วชาญและนกั เทคนิคมากมายจากทัว่ ประเทศ ไดม๎ าที่ไรํนาแหํงน้ี มองดทู ีน่ จ่ี ากจดุ ยนื ตามความชานาญเฉพาะทางของแตํละคน นักวิจัย เหลาํ นี้อยํางน๎อยกร็ ๎ดู ีกวาํ วธิ ีการดงั กลาํ วเป็นท่ีนําพอใจถ๎าเขาไมํรสู๎ ึกวาํ เป็นสงิ่ มหัศจรรย๑นาํ ท่ึง แตํอยาํ งไร แตํปรากฏวําตลอดเวลา ๕-๖ ปหี ลังจากท่ีศาสตราจารยจากศนู ย๑ทดลองการเกษตร ผู๎นน้ั ได๎แวะมาเยย่ี มดนู าของผมทน่ี ่ี มีความเปล่ียนแปลงนอ๎ ยมากในจงั หวดั โคชิ ปีนแ้ี ผนก เกษตรกรรมแหํงมหาวิทยาลัยคนิ คไิ ดต๎ ั้งโครงการเกษตรกรรมธรรมชาติข้นึ โดยมีนักศกึ ษาจาก หลายแผนกเขา๎ รํวมอยใูํ นโครงการ และจะมาทาการทดลองปฏิบตั ิกันทน่ี ี่ วธิ ีการนด้ี จู ะเป็นกา๎ ว อกี ก๎าวหนึง่ ท่เี ข๎ามาใกลข๎ น้ึ แตผํ มก็มคี วามรส๎ู ึกวาํ ก๎าวตอํ ไปไปอาจกลายเป็นสองกา๎ วในทิศ ทางตรงข๎ามก็ได๎ ผเ๎ู ช่ียวชาญโดยทว่ั ไปมักใหค๎ วามเห็นวาํ \"ความคิดพนื้ ฐานของวธิ กี ารเชนํ นีก้ เ็ ป็นสง่ิ ทด่ี อี ยูหํ รอก แตมํ นั จะไมํเปน็ การสะดวกข้ึนหรือ ถา๎ จะใชเ๎ คร่ืองจกั รมาชวํ ยในการเก็บเกี่ยว\" หรือ \"ปริมาณผลผลติ จะไมํเพม่ิ มากกวําหรอื หากจะใชป๎ ยุ๋ และยาฆาํ แมลงในกรณีเฉพาะ หรอื ในเวลา ท่แี นํนอน\" มกั จะมผี ู๎ทพี ยายามเอาเกษตรกรรมธรรมชาติ และเกษตรกรรมวทิ ยาศาสตรม๑ า รวมเข๎าด๎วยกนั อยเูํ สมอ แตวํ ิธคี ิดเชนํ นเ้ี ปน็ การคดิ ที่พลาดจากประเด็นอยํางสิน้ เชงิ เกษตรกรท่ี ก๎าวไปสกํู ารประนปี ระนอมเชํนนี้ จะไมสํ ามารถวิพากษ๑วทิ ยาศาสตรใ๑ นระดบั รากฐานได๎อกี ตํอไป

เกษตรกรธรรมชาติเป็นสิง่ ทีล่ ะเอยี ดอํอน และงาํ ยดาย ทง้ั เป็นการแสดงให๎เห็นถงึ การกลับสํตู ๎นกาเนดิ เดิมของการเกษตร การก๎าวพลาดออกนอกทางเพยี งกา๎ วเดยี วจากจดุ ตง้ั ต๎น น้นั ก็จะพาใหก๎ า๎ วผิดทางไปเลย ๑.๗ มนุษยไ์ ม่รจู้ ักธรรมชาติ เมื่อเรว็ ๆ น้ี ผมเกดิ ความคิดขน้ึ วํา ประเด็นของเร่อื งนีค้ งจะบรรลผุ ลหากบรรดา นักวทิ ยาศาสตร๑ นักการเมือง ศลิ ปนิ นกั ปรชั ญา นักการศาสนาและทกุ ๆ คนท่ที างานอยใูํ น สาขาดังกลาํ วจะมารวมกนั ยงั ท่ีน้ี มองออกไปยังทุงํ นาเหลาํ น้ี และถกเถยี งหาข๎อสรุปรํวมกันใน เรอื่ งตําง ๆ ผมคิดวาํ ถงึ น้ีจะเกิดข้ึนได๎ เมื่อผคู๎ นสามารถแลเห็นสิง่ ทีอ่ ยนํู อกเหนือความ เชย่ี วชาญเฉพาะสาขาของตน นกั วทิ ยาศาสตรค๑ ดิ วําเขาสามารถเข๎าใจธรรมชาติ น่นั คอื ฐานะบทบาททเ่ี ขายดึ ถอื อยํู เพราะเขาเช่ือวาํ เขาสามารถเขา๎ ใจธรรมขาติ พวกเขาจึงพากันเขา๎ ไปศึกษาธรรมชาติอยํางเป็น ระบบ และใกลช๎ ดิ และนาธรรมชาติมาใชป๎ ระโยชน๑ แตผํ มคดิ วําความเข๎าใจเก่ยี วกับธรรมชาติ อยูํนอกขอบขาํ ยแหํงเชาวน๑ปัญญาของมนษุ ย๑ ผมมกั พูดกับคนหนมํุ สาว ท่มี าอยกูํ บั ผมท่ีกระทอํ มบนเขา เพื่อเรียนร๎ูงานเก่ียวกบั เกษตรกรรมธรรมชาตวิ าํ ใคร ๆ กส็ ามารถมองเห็นตน๎ ไมบ๎ นเขาแหํงนี้ เขาสามารถแลเห็นใบเขียว ขจขี องมัน สามารถแลเหน็ ตน๎ ขา๎ ว เขาคดิ วาํ เขารว๎ู ําสีเขยี วนัน้ คืออะไร การสมั ผสั กบั ธรรมชาติ ท้ังกลางวันกลางคืน บางทีเขาอาจจะคิดวาํ เขาร๎จู กั ธรรมชาติ แตํเมอ่ื ใดกต็ ามทีเ่ ขาคดิ วาํ เขา เร่มิ จะเขา๎ ใจธรรมชาตกิ ็แนใํ จไดเ๎ ลยวําเขากาลงั เดินผิดทางแล๎ว ทาไมจงึ เปน็ ไปไมไํ ด๎ท่จี ะเข๎าใจธรรมชาติ ส่งิ ท่คี ิดวําเปน็ ธรรมชาตเิ ปน็ เพยี ง \"ความคดิ \" เกย่ี วกบั ธรรมชาติทีเ่ กิดข้นึ ในจิตใจของแตลํ ะคน ผ๎ทู ่แี ลเหน็ ธรรมชาติท่ีแทจ๎ รงิ คือ เด็กนอ๎ ย เขาแลเหน็ โดยปราศจากความคดิ เป็นการแลเห็นอยาํ งตรงไปตรงมา และกระจาํ งแจ๎ง แมว๎ ํา ชื่อของพนั ธไ๑ุ มจ๎ ะเปน็ ทีร่ ๎จู ัก เชนํ สม๎ แมนดารนิ ในตระกูลสม๎ ตน๎ สนในตระกลู ไม๎สน แตสํ งิ่

ทีแ่ ลเห็นก็หาใชรํ ปู ทีแทจ๎ รงิ ของธรรมชาติไมํ ส่งิ ทีแ่ ลเหน็ ในลกั ษณะแยกขาดจากสํวนทั้งหมดของมันไมํใชขํ องแท๎ ผเู๎ ชย่ี วชาญจากสาขาตาํ ง ๆ มาอยํูรวมกันและสังเกตตน๎ ข๎าวสกั ตน๎ ผูเ๎ ชย่ี วชาญ เก่ียวกบั โรคแมลงก็จะแลเห็นแตํโรคทีเ่ กดิ จากแมลง ผเ๎ู ชย่ี วชาญดา๎ นธาตอุ าหารของพืช (plant nutrition) กจ็ ะสงั เกตแตคํ วามแข็งแรงของตน๎ ขา๎ ว น้เี ปน็ ส่ิงทห่ี ลกี เลีย่ งไมํได๎ เชํนเดียวกบั สภาพการณท่เี ปน็ อยใํู นเวลานี้ ยกตวั อยํางเชํน ผมพูดกบั สุภาพบรุ ษุ ที่มาจากสถานีทดลอง ตอนที่เขากาลังศึกษา ความสัมพันธร๑ ะหวํางเพลยี้ จักจั่นและแมงมมุ ในนาขา๎ วของผมวาํ \"ทาํ นศาสตราจารยค๑ รับ เม่ือ ทํานศกึ ษาเกย่ี วกบั เร่อื งแมงมุม ก็เทํากับทํานสนใจศัตรธู รรมชาตขิ องเพล้ยี จักจั่นเพยี งชนิด เดียวในบรรดาศตั รูท้ังหมดของมนั ปนี ้ปี ระชากรของแมงมุมขยายตวั มาก แตปํ ีที่แล๎วเป็นคางคก แตํกํอนหน๎าน้ันกบจะมมี ากกวําสตั วช๑ นิดอ่ืน มันมีลักษณะทห่ี ลากหลายนบั ไมํถว๎ น\" เป็นไปไมไํ ด๎ทีน่ ักวิจัยผูเ๎ ชยี่ วชาญเฉพาะสาขา จะสามารถเข๎าใจถึงบทบาทของสัตว๑ ที่กินสตั ว๑อนื่ เป็นอาหารเพียงชนิดใดชนิดหน่งึ ในชวํ งระยะเวลาหน่ึงท่แี นนํ อน ภายในระบบ ความสมั พันธท๑ อ่ี งิ อาศยั กันและกนั อยํางซับซ๎อนละเอยี ดออํ นของแมลง มบี างฤดูท่ปี ระชากร ของเพลีย้ มีนอ๎ ยเพราะมแี มงมมุ มาก มีบางครงั้ ทฝ่ี นตกมากกบกจ็ ะกินแมงมุม แตํถ๎าหากฝนตก นอ๎ ยก็จะไมมํ ที ้งั เพลย้ี หรือกบเลย วิธคี วบคุมแมลงโดยละเลยความสัมพันธ๑ในบรรดาแมลงด๎วยกนั เปน็ สงิ่ ทีไร๎ ประโยชน๑โดยสิ้นเชิง การวจิ ยั เกยี่ วกับแมงมมุ และเพล้ีย จะตอ๎ งคานงึ ถงึ ความสัมพนั ธ๑ระหวาํ ง กบกับแมงมุมดว๎ ย เมอ่ื พูดถงึ ประเดน็ นี้ก็จะต๎องมีผู๎เช่ียวชาญเกีย่ วกบั กบ ผเ๎ู ชย่ี วชาญเกย่ี วกบั แมงมมุ และเพลยี้ ผเู๎ ชี่ยวชาญเกย่ี วกับข๎าว และผ๎เู ช่ียวชาญเกย่ี วกับการชลประทานมาประชุม รํวมกนั ยิ่งกวํานนั้ ทีน่ าของผมยงั มแี มงมมุ ที่มลี กั ษณะแตกตํางกันประมาณ ๔-๕ ชนิด ผม ยังจาไดว๎ ําเมือ่ หลายปีกอํ น เพอื่ นบา๎ นคนหนงึ่ ว่ิงมาหาผมที่บ๎านแตํเชา๎ ตรแู ละถามผมวาํ ผมเอา ตาขาํ ยไหมหรอื อะไรไปคลมุ ทีน่ าเอาไว๎หรือเปลาํ ผมไมเํ ข๎าใจวาํ เขากาลังพดู ถึงเร่ืองอะไร ดังนี้ ผมจงึ รบี เดินรุดไปดูทันที เราเพิง่ จะเกบ็ เกี่ยวข๎าวเสรจ็ ใหมํ ๆ และเพียงชวั่ คนื เดยี วทํงุ นาทีเ่ หลือเพยี งโคนข๎าว ท่ีเหลือจากการเกบ็ เกี่ยว และหญ๎าทีเล้อื ยอยํูตามดินก็ถกู คลุมดว๎ ยใยแมงมมุ ทุกตารางนิ้วดูราว กบั ใยไหมสอํ งประกายแวววบั เปน็ ระลอกพร้ิวอยํูในสายหมอกยามเช๎า ชาํ งเปน็ ภาพท่ีนาํ ต่นื ตา ตนื่ ใจยิง่ นัก ความนําอัศจรรยข๑ องมันคอื ส่งิ ท่ีเกดิ ขึน้ นาน ๆ ครั้งเชํนน้ี จะคงอยูเํ พยี งวันสองวนั เทํานน้ั หากคุณเข๎าไปมองดใู กล๎ ๆ กจ็ ะแลเห็นแมงมุมมากมายอยูในทกุ ๆ ตารางนิ้วของทํงุ นา มนั อยกูํ นั อยํางหนาแนํนมากในทํุงนา จนดูเหมอื นจะแทบไมํมีทีว่ ํางเหลอื อยํูในระหวํางพวกมัน ในพื้นที่ ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไร)ํ ต๎องมีแมงมมุ อยํเู ป็นแสนเปน็ ลา๎ นตวั ทีเดยี ว ถา๎ คุณกลับไปดูท่ี นาในอีก ๒-๓ วันหลงั จากนนั้ คุณจะเหน็ เสน๎ ใยแมงมุมซง่ึ ยาวเปน็ หลา ๆ ขาดลํยุ ออกสะบดั อยูํ ในสายลม โดยมแี มงมมุ ๕-๖ ตัวเกาะอยูตํ ามเส๎นใยเหลาํ นั้น ดรู าวกับปยุ ของดอกแดนดิเลี่ยน หรือลูกสนทป่ี ลิวอยํูในสายลม แมงมุมเหลําน้ันเกาะอยํกู ับเส๎นใยแตลํ ะเสน๎ ทส่ี ะบดั ขนึ้ ลงสูํ ท๎องฟาู ด๎วยแรงลม ภาพทน่ี าํ ตื่นเต๎นเชนํ นเ้ี ปน็ บทละครแหํงธรรมชาติอนั นําพศิ วง เมื่อเห็นเชํนนี้คณุ คง เข๎าใจวาํ กวี และศิลปินก็ควรจะรํวมอยูใํ นการประชุมพบปะนดี้ ๎วยเหมือนกัน

เม่อื สารเคมีถกู พนํ ลงในทีน่ า ส่งิ เหลําน้ีจะถกู ทาลายไปในพริบตา คร้งั หน่ึงผมเคยคิด วาํ การใสขํ ้เี ถ๎าลงไปในนา* คงจะไมเํ ปน็ ไร ผลที่ออกมานาํ ตกใจเพราะวาํ ๒-๓ วนั หลงั จากน้นั ปรากฏวําท่นี าทัง้ แปลงปราศจากแมงมมุ แมแ๎ ตํตวั เดยี ว ข้ีเถ๎าทาให๎เสน๎ ใยแมงมุมขาดกระจัด กระจาย ไมํรว๎ู าํ มีแมงมุมกพ่ี นั กี่หมื่นตวั ทต่ี อ๎ งตกเป็นเหย่อื ของขเี้ ถา๎ ทด่ี ูไมมํ ีพษิ สงเพียงกามือ เดียว การใช๎ยาฆําแมลงไมํเพยี งแตํกาจัดเพลี้ยรวมท้งั ศตั รตู ามธรรมชาติของเพลี้ยไปเทําน้ัน ตัวละครแหงํ ธรรมชาติอนั สาคัญเหลํานีอ้ ีกมากมายทตี่ อ๎ งไดร๎ บั ความกระทบกระเทือนไปดว๎ ย ปรากฏการณ๑ของแมงมุมจานวนมหาศาล ซง่ึ ปรากฏข้นึ ในนาข๎าวในฤดใู บไม๎รํวง และ ราวกับศิลปนิ ทีห่ ลบหายไปในช่วั คืน ยังเป็นสิง่ ที่ไมอํ าจเข๎าใจได๎ ไมํมีใครร๎วู ํามนั มาจากไหน มนั จะมีชีวติ รอดในฤดูหนาวดว๎ ยวิธีใด หรอื วํามนั หายไปไหน ดงั นัน้ การใชส๎ ารเคมจี งึ ไมํใชเํ ป็นเพียงปญั หาของนกั กีฏวทิ ยา หรอื ผท๎ู ศี กึ ษาเก่ียวกับ เรอื่ งแมลงเทาํ น้นั แตนํ ักปรชั ญา นกั การศาสนา ศลิ ปนิ และกวจี ะต๎องเข๎ามาชํวยตดั สินดว๎ ยวํา ควรอนญุ าตใหม๎ ีการใช๎สารเคมีในการทาเกษตรหรอื ไมํ และผลทีเ่ กดิ ข้ึนจาเป็นอยาํ งไร แมจ๎ าก การใช๎ปุ๋ยอินทรยี ๑ดว๎ ย ปริมาณผลผลติ ของขา๎ วเจ๎าและธัญพชื ฤดูหนาวตํอท่ีดิน ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไร)ํ จะ ไดใ๎ นราว ๒๒ บูเชล (๕๙๐.๙ กโิ ลกรมั ) ถา๎ เมอื่ ไรทเ่ี ราได๎ผลผลติ ถึง ๒๙ บูเชล (๗๗๘.๙ กโิ ลกรมั ) ซึง่ เคยไดใ๎ นบางครั้ง คณุ กจ็ ะไมสํ ามารถหาผลผลิตท่ีไหนท่ัวประเทศทจ่ี ะสูงไปกวําน้ี อีกแลว๎ เนื่องจากเทคโนโลยีท่ ่ีกา๎ วหน๎าไมํมคี วามจาเปน็ ในการเพาะปลูกดว๎ ยวิธเี ชํนน้ี จงึ กลาํ ว ได๎วําเกษตรกรรมธรรมชาติเปน็ เรื่องที่สวนทางกับสมมตุ ฐิ านของวทิ ยาศาสตรแ๑ ผนใหมํ ใครก็ ตามท่มี าดผู นื นาแหํงน้ี และยอมรบั ประจกั ษ๑พยานเหลําน้ี จะต๎องร๎สู กึ สงสยั มากยิง่ ขึ้นในคาถาม ทวี่ ํา มนษุ ยร๑ จู๎ กั ธรรมชาตหิ รือไมํ และธรรมชาติอาจรจ๎ู ักได๎ภายในขอบเขตแหงํ ความเขา๎ ใจของ มนุษย๑หรือไมํ ถ๎าจะกลาํ วอยาํ งประชดประชันก็ตอ๎ งกลาํ ววาํ วทิ ยาศาสตรช๑ ํวยได๎เพยี งแคทํ าให๎เห็น วํามนษุ ย๑มคี วามรนู๎ อ๎ ยเพยี งไรเทาํ นน้ั * ฟูกูโอกะทาปยุ๋ หมักจากขี้เถ๎าและพวกเศษอาหารเหลอื เขาใสปํ ุย๋ หมกั นใ้ี นสวนครวั เล็ก ๆของเขา ภาค ๒  หลกั ้๔ ประการสาหรับเกษตรธรรมชาติ  เกษตรกรรมทา่ มกลางวชั พชื

 ทาการเกษตรดว้ ยฟาง  ปลกู ข้าวในนาแห้ง  ไมส้ วน  ดินสวน  ปลกู ผักบา้ นแบบผักป่า  เวลาแหง่ การละเลกิ สารเคมี  ขอ้ จากดั ของวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ๒.๑ หลกั การ้๔ ประการสาหรับเกษตรกรรมธรรมชาติ คอ่ ย้ๆ เดนิ อยาํ งระมดั ระวังเขา๎ ไปในทอ๎ งนา แมลงปอและผเี สือ้ บนิ ฮือขึน้ มาเม่ือมี เสยี งแกรกกรากดงั ขึ้น ผง้ึ จะโฉบไปมาจากดอกไมด๎ อกหนึง่ ไปอกี ดอกหนึง่ ลองแหวกใบไม๎ ออก คณุ จะมองเห็นแมลงตําง ๆ แมงมมุ กบ กง้ิ กาํ และสตั ว๑เลก็ ๆอกี มากมายทเี่ บยี ดเสียดกัน อยูใํ นรํมเงาของต๎นขา๎ ว ตัวตุํนและไส๎เดอื นจะขุดโพรงอยํูในดิน น่เี ป็นนาข๎าวท่ีมีความสมดุลในระบบนิเวศน๑ ชุมชนของแมลงและพชื ชํวยรักษา ความสมั พันธ๑ท่ีมีเสถยี รภาพเอาไว๎ ไมํใชํส่ิงผิดปกตอิ ะไรถา๎ จะเกิดมีโรคพชื ระบาดในบรเิ วณนี้ แตพํ ชื ผลในท่ีนาแหงํ นกี้ ลับไมไํ ดรับความกระทบกระเทือน ตอนนีล้ องมองดูท่นี าของเพื่อนบ๎านดสู ักหนํอย วชั พชื ถูกกาจัดออกไปหมดโดยยา ปราบวัชพืช และการไถพรวน สัตว๑ท่ีอาศัยอยูํในดินและแมลงถกู กาจัดหมดไปด๎วยยาพิษ อนิ ทรียว๑ ตั ถุ และจุลนิ ทรยี ๑ในดินถกู ทาลายจนเกล้ียงเพราะปุ๋ยเคมี ในฤดูรอ๎ นคุณจะเหน็ เกษตรกรเหลาํ นีท้ างานอยํใู นทงํุ นา ใสํหน๎ากากปอู งกนั ยาฆาํ แมลง และสวมถงุ มือยางถึง

ข๎อศอก ทงุํ นาขา๎ วเหลาํ น้ีซงึ่ ทาการเพาะปลูกอยํางตอํ เนอื่ งมามากกวํา ๑,๕๐๐ ปี ปจั จบุ นั ถูกวธิ ี ทางการเกษตรแบบใหมํทาลายจนเสยี หาย ซึง่ เกิดขน้ึ ภายในคนช่ัวรํนุ เดียว หลกั การ้๔ ประการ หลกั การประการแรก ไมํมกี ารไถพรวนดิน เป็นเวลาหลายร๎อยปมี าแลว๎ ที่เกษตรกรเชอ่ื วาํ การไถเป็นสิง่ จาเปน็ ตอํ การปลูกพชื อยาํ งไรกต็ าม การไมไํ ถพรวนดนิ คอื พน้ื ฐานของ เกษตรกรรมธรรมชาติ พ้นื ดนิ มกี ารไถพรวนตามธรรมชาติด๎วยตัวมันเองอยํแู ล๎ว โดยการแทรก ซอนของรากพชื และการกระทาของพวกจุลนิ ทรยี ๑ทงั้ หลาย สัตว๑เล็ก ๆ และไส๎เดือน หลกั การประการที่ ๒ ไมมํ ีการใชป๎ ุ๋ยเคมี หรอื ทาปยุ๋ หมัก* คนเรามกั จะเขา๎ ไปวํุนวาย กบั ธรรมชาติ และเขากไ็ มํสามารถแก๎ไขผลเสียทเ่ี กดิ ขึ้นไดไ๎ มวํ ําจะพยายามอยํางไร วธิ กี าร เพาะปลูกท่ีเลนิ เลอํ สะเพรําทาให๎สญู เสยี หนา๎ ดนิ อนั อดุ มสมบรู ณไ๑ ป และดนิ ก็จะจืดลงทกุ ปี แตํ ถา๎ ปลํอยดินอยใูํ นสภาพของมนั เองดินจะสามารถรกั ษาความอุดมสมบูรณต๑ ามธรรมชาติเอาไว๎ ได๎ ซึ่งเปน็ ไปตามวงจรชีวติ ของพชื และสัตวอ๑ ยํางมรี ะเบยี บ หลักการประการที่ ๓ ไมมํ ีการกาจดั วชั พชื ไมวํ าํ โดยการถางหรอื ใช๎ยาปราบวัชพชื วชั พชื มบี ทบาทสาคัญในการสร๎างความอุดมสมบูรณใ๑ หแ๎ กดํ นิ และชํวยให๎เกดิ ความสมดลุ ใน สงิ่ แวดลอ๎ มทางชวี วิทยา ตามหลกั การพน้ื ฐาน วัชพชื เปน็ สิ่งทตี่ อ๎ งควบคุม แตไํ มํตอ๎ งกาจัด การ ใชฟ๎ างคลมุ และปลกู พืชคลมุ ดินจาพวกถวั่ ปนไปกบั พืชผล ตลอดจนการปลํอยน้าเข๎านาเปน็ คร้งั คราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได๎อยํางดใี นนาของผม หลักการประการที่ ๔ ไมํมกี ารใช๎สารเคมี** เม่อื พชื ออํ นแอลงเพราะผลจากการปฏิบัติ ที่ไมํเป็นไปตามธรรมชาติ อันได๎แกํการไถพลิกดิน การใช๎ป๋ยุ เป็นตน๎ ความไรส๎ มดลุ ของโรคพชื และแมลงก็จะกลายเปน็ ปัญหาใหญใํ นการเกษตร ธรรมชาติน้นั หากปลอํ ยไว๎ตามลาพงั จะอยใูํ น สภาพสมดลุ แมลงทเ่ี ป็นอันตรายและโรคพชื มกั มอี ยํูเสมอ แตไํ มํเคยเกดิ ขน้ึ ในธรรมชาตจิ นถงึ ระดบั ท่ีต๎องใชส๎ ารเคมที ี่มีพษิ เหลํานน้ั เลย วิธกี ารควบคุมโรคและแมลงทีเ่ หมาะสม กค็ ือการ ปลกู พืชที่แข็งแรงในสภาพแวดลอ๎ มทส่ี มบูรณ๑ การไถพรวนดนิ เมื่อดินถกู ไถพรวน ส่งิ แวดล๎อมตามธรรมชาตจิ ะถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ มากเกิน กวําท่ีเราจะจดจาได๎ ผลสะทอ๎ นกลบั ที่เกิดจากการกระทาดังกลําวทาให๎เกษตรกรตอ๎ งตกอยูใํ น ฝนั ร๎ายมาหลายชวั่ รุนํ ยกตวั อยํางเชํนเมอื่ ดนิ ถูกไถ วัชพชื ที่ทนทานมากเปน็ หญา๎ ตนี กา และ ผกั กาดสม๎ จะงอกงามย่งิ กวําพชื ทีเ่ ราปลกู เสียอกี เมอื่ วชั พชื เหลํานงี้ อกคลมุ พ้ืนที่ เกษตรกรก็ จะต๎องเผชญิ กบั งานอันเหลือรับ คอื ต๎องคอยถอนวัชพืชเหลาํ นท้ี ุก ๆ ปี บอํ ยครัง้ ท่เี ดยี วท่ีที่ดิน เหลาํ นจ้ี ะถกู ปลอํ ยทิง้ ไปเลย ในการแกไ๎ ขปญั หาดังกลาํ วมีวิธที ีเ่ หมาะสมเพียงวธิ ีเดยี วกค็ ือ หยุดการกระทาที่ไมํ สอดคล๎องกับธรรมชาติ ซ่งึ เป็นต๎นเหตุทท่ี าให๎เกดิ สถานการณ๑เชนํ นนั้ เสยี เกษตรกรตอ๎ ง รบั ผดิ ชอบในการแกไ๎ ขความเสยี หายทเี่ ขากอํ ข้นึ ดว๎ ย การไถพรวนดนิ เป็นสิง่ ที่ควรงดเว๎น ถ๎านา วิธีการอนั อํอนโยนเชนํ การใช๎ฟางโปรยคลุมพื้นท่ี และการปลกู พืชคลุมดินมาปฏบิ ัติแทนการใช๎ สารเคมีที่มนษุ ย๑ประดษิ ฐข๑ ึน้ ตลอดจนเคร่อื งจกั รในการทาลายล๎างแล๎วละก็ สภาพแวดลอ๎ มก็จะ คอํ ย ๆ ฟืน้ กลับสํสู ภาพสมดุลตามธรรมชาตขิ องมนั และแมแ๎ ตวํ ชั พชื ท่ีกอํ ความยงุํ ยากใหก๎ ็ สามารถอยูใํ นอานาจของเราได๎ ปุย๋

จากการคุยกับผู๎เชีย่ วชาญด๎านความอดุ มสมบรู ณข๑ องดนิ ผมถามวา \"ถา๎ ท่ีนาถูกปลํอย ไว๎ตามสภาพของมนั เอง ความอุดมสมบรู ณข๑ องดนิ จะเพิม่ ขึ้นหรือลดลง\" พวกเขามักจะหยุดไป ชวั่ ครูํ แลว๎ กต็ อบในทานองนวี้ าํ \"เออ คอื วํา...มนั จะลดนอ๎ ยลง แตํถ๎าขา๎ วปลูกอยใํู นนาแปลงเดมิ มาเปน็ เวลานานโดยไมมํ กี ารใสํปุย๋ ผลผลิตของขา๎ วจะคงตัวในปรมิ าณ ๙ บเู ชล (๒๓๘.๖ กโิ ลกรมั ) ตํอพ้นื ท่ี ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) ความอุดมสมบรู ณข๑ องดนิ จะคงสภาพคอื ไมํเพ่มิ ขนึ้ และไมํลดลง\" ผ๎ูเชย่ี วชาญเหลําน้หี มายถึงทนี่ าท่ีใชว๎ ิธีไถพรวน และปลอํ ยนา้ ทํวมขัง ถ๎าธรรมชาติถกู ปลํอยไวต๎ ามสภาพของมัน ความอดุ มสมบรู ณ๑จะเพิม่ ขึน้ อนิ ทรยี ๑สารจากการทบั ถมของพืชและ สัตวจ๑ ะสลายตวั บนผิวดนิ จากการทาปฏกิ ิรยิ าของบักเตรีและเช้ือรา และนา้ ฝนจะทาให๎ธาตุ อาหารเหลํานีแ้ ทรกซมึ ลงไปยังเนอ้ื ดินเบอ้ื งลาํ ง กลายเปน็ อาหารของจุลนิ ทรีย๑ ไส๎เดือนและ สตั ว๑เล็ก ๆอื่น ๆ อีกมากมาย รากพชื จะแทรกซอนลงไปยังใต๎ดิน และนาธาตอุ าหารน้ันกลับมาสูํ ผิวดนิ อกี คร้ังหนึ่ง หากคณุ ต๎องการแลเห็นความอุดมสมบรู ณ๑ตามธรรมชาติของพน้ื พิภพ ลองหาโอกาส เข๎าไปเดนิ เลํนในปุาเขา และดูตน๎ ไม๎ยกั ษท๑ เ่ี ตบิ โตโดยปราศจากปุย๋ และการไถพรวน ในปุา ความอุดมสมบรู ณข๑ องธรรมชาตอิ ยํางทมี่ ันเป็นนนั้ อยพูํ น๎ ขอบเขตแหงํ จินตนาการ ปุาธรรมชาตเิ ชํนไมส๎ นแดงญี่ปนุ และปาุ ต๎นซดี าร๑ถา๎ ถกู ตดั โคนํ ลง ภายในเวลาไมํก่ีช่ัว อายุคนดนิ กจ็ ะเสือ่ มความอดุ มสมบูรณ๑ลง และถกู ชะล๎างพังทลายไดอ๎ ยํางงํายดาย ในอกี ดา๎ น หนึง่ ถา๎ ลองปลกู ปุาสนและปาุ ไม๎ซีดารพ๑ รอ๎ มกบั พชื คลุมดินจาพวกถ่ัว เชํนโคลเวอร๑ และอัลฟัล ฟุาลงบนภูเขาทแี่ หง๎ แล๎งเส่อื มความอุดมสมบูรณ๑ท่ดี ินกลายเป็นสแี ดง ป๋ยุ พชื สด*** จะชํวย บารงุ ดินและทาใหด๎ นิ รวํ นซุย วชั พชื และไม๎พมํุ จะเกดิ ภายใต๎ไมใ๎ หญํ และวงจรชีวติ ใหมอํ นั อดุ ม สมบูรณ๑ก็จะเร่ิมต๎นข้นึ ตัวอยํางทแ่ี สดงใหเ๎ หน็ วําหนา๎ ดินอนั อุดมสมบูรณห๑ นา ๔ น้วิ เกิดขึ้นได๎ ในชั่วเวลาไมํถึง ๑๐ ปี แมก๎ ารปลูกพืชผลทางการเกษตร กฟ็ ังมารถท่ีจะงดไมใํ ช๎ปยุ๋ หมักด๎วยเหมอื นกัน เพราะ เพยี งปุ๋ยตามธรรมชาตทิ ่ไี ด๎จากการปลกู พืชคลมุ ดนิ จาพวกถัว่ และการใช๎ฟางตลอดจนแกลบ โปรยคลุมดนิ กเ็ ป็นส่งิ ทเ่ี พียงพอแล๎ว การใสํปยุ๋ มูลสตั วเ๑ พื่อชํวยใหฟ๎ างเปื่อยและสลายตวั ดขี ้ึน ผมจะใชว๎ ธิ ปี ลอํ ยให๎เป็ดเข๎าไปถํายในนาขา๎ ว ถา๎ เอาลูกเป็ดเข๎าไปเลี้ยงในนาขา๎ วขณะที่ขา๎ วกล๎า ยังอํอนอยํู ลกู เป็ดกจ็ ะโตไปพรอ๎ มกบั ตน๎ ขา๎ วด๎วย เปด็ เพียง ๑๐ ตวั ก็เพยี งพอทจี่ ะให๎ปยุ๋ สาหรับ พ้ืนทขี่ นาด ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) และยังชวํ ยควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของวชั พืชไดด๎ ว๎ ย ผมทาเชํนน้ีเป็นเวลาหลายปีจนกระทัง่ มกี ารสร๎างทางหลวงขึ้น จงึ ทาใหเ๎ ปด็ ไมํสามารถ ขา๎ มถนนกลับเข๎าไปในเล๎าของมันได๎ ปจั จบุ ันผมใช๎ข้ีไกชํ วํ ยทาใหฟ๎ างเปื่อยและสลายตวั ใน บางทอ๎ งทเี่ ปด็ หรอื สัตวก๑ ินหญ๎าขนาดเลก็ อื่น ๆยงั คงใชก๎ ารไดอ๎ ยํู การใสํปุ๋ยมากเกินไปก็จะทาใหเ๎ กิดปัญหาได๎ มีอยปูํ ีหน่งึ หลังจากท่กี าร ปักดาเสร็จสิ้น ลง ผมได๎ขอเชาํ ทนี่ าทีป่ ักดาเสร็จแลว๎ ใหมํ ๆ ๑ ๑/๔ เอเคอร๑ (๓.๑ ไร)ํ เปน็ เวลา ๑ ปี ผมปลอํ ย น้าในนาออกจนหมด และไมใํ ช๎ปุย๋ เคมี ใหแ๎ คํปุ๋ยจากขไี้ กเํ พยี งเล็กนอ๎ ยเทาํ นนั้ ทีน่ า ๔ แปลง เปน็ ไปอยาํ งปกติ ยกเวน๎ แปลงที่ ๕ ไมํวําผมจะทาอยาํ งไรต๎นขา๎ วก็กลับขน้ึ อยํางหนาแนนํ มาก เกนิ ไป จนเกดิ โรคใบไหม๎ (blast disease) เมอ่ื ผมถามเจา๎ ของนาเกีย่ วกับเรอื่ งนี้ เขาจงึ บอกวํา เขาได๎ใช๎ที่นาแปลงนเี้ ปน็ ทีก่ องข้ีไกตํ ลอดฤดหู นาวท่ผี ํานมา การใชฟ๎ าง ป๋ยุ ตามธรรมชาติจากพชื คลุมดิน และปุย๋ มลู สัตว๑เพียงเล็กน๎อยก็จะทาใหไ๎ ดผ๎ ลผลติ ในปรมิ าณสงู โดยไมจํ าเปน็ ตอ๎ งใสํปยุ๋ หมักหรอื ปุ๋ยเคมอี กี เลย เปน็ เวลาหลายทศวรรษมาแลว๎ ที่ ผมไดน๎ ่ังสังเกตดูวิธกี ารของธรรมชาตใิ นการไถพรวนและบารุงดนิ และในการเฝาู ดนู ี้ ผมกไ็ ด๎ เก็บเกยี่ วพืชผลท้งั ผกั ส๎ม ข๎าว และธญั พืชฤดูหนาวอยาํ งมากมาย เปน็ ของกานัลจากความอดุ ม

สมบรู ณต๑ ามธรรมชาติของพื้นพิภพ การจดั การกับวชั พชื นค้ี อื ประเด็นหลกั บางประการท่ีควรจดจาไว๎เพือ่ จดั การกบั วัชพืช ทนั ทีทเ่ี ลิกการไถพรวนดนิ จานวนวัชพชื จะลดนอ๎ ยลงอยํางเห็นไดช๎ ดั ประเภทของ วชั พืชในที่ดนิ แปลงน้ันกจ็ ะเปลี่ยนแปลงไปดว๎ ย เมอ่ื เมลด็ พันธถ๑ุ กู หวาํ นลงในนาขณะทีพ่ ืชทีป่ ลกู กํอนหน๎าน้นั เร่มิ จะสุก เมลด็ พันธุ๑ที่ หวํานลงไปใหมจํ ะเริ่มงอกข้ึนกอํ นพวกวัชพชื วชั พืชฤดหู นาวจะงอกหลังจากเกีย่ วข๎าวแล๎ว เทําน้ัน แตรํ ะหวํางน้นั ธัญพืชฤดหู นาวได๎งอกขนึ้ มากอํ นแลว๎ วชั พชื ฤดรู ๎อนจะงอกทนั ทหี ลังจาก เกบ็ เก่ยี วข๎าวบาร๑เลย๑ และข๎าวไรย๑แลว๎ แตขํ ๎าวเจา๎ กไ็ ดเ๎ จริญเตบิ โตขึ้นแล๎วในตอนน้นั การ กาหนดระยะเวลาในการหวํานเชนํ น้ี ทาใหไ๎ มมํ ีชวํ งวํางระหวํางพชื ผลท่ีปลกู ตามมา จงึ ทาให๎ พืชผลอยํูในฐานะท่ีไดเ๎ ปรียบกวําบรรดาวชั พชื ถา๎ ทุํงนาทุกตารางน้ิวถกู กลํุมด๎วยฟางข๎าวทนั ทหี ลงั การเก็บเกยี่ ว วชั พืชจะหยุดการ เจรญิ เติบโต พชื จาพวกถั่วที่หวาํ นพร๎อม ๆ กบั เมลด็ ธัญพืชเพื่อใหเ๎ ปน็ พืชคลุมดินนน้ั มสี วํ นใน การชวํ ยควบคมุ วชั พืชดว๎ ย วิธกี ารโดยท่วั ไปในการจัดการกับวัชพชื ก็คอื การไถพรวนดิน แตเํ มอื่ คณุ ไถพรวนดนิ เมล็ดที่อยลูํ กึ ในดนิ ซึ่งไมํมีโอกาสงอกอยูแํ ล๎วกจ็ ะถกู พรวนใหข๎ ึ้นมาอยทํู ผ่ี ิวดนิ และเป็นโอกาส ใหม๎ นั ได๎งอกข้ึนมา ยงิ่ กวาํ น้ันการไถพรวนดนิ ก็เปน็ วธิ ที ่ที าให๎วัชพชื ทีง่ อกไวโตเร็วทั้งหลาย แพรขํ ยายตัวยิง่ ข้นึ ดังนัน้ คุณอาจพดู ไดว๎ าํ เกษตรกรท่พี ยายามควบคมุ การเตบิ โตของวัชพืช โดยการไถพรวนดินนั้น แทจ๎ รงิ แลว๎ เป็นผู๎หวาํ นเมลด็ พันธุแ๑ หงํ ความโชคร๎ายดว๎ ยตัวเขาเอง การควบคุมแมลง ยังมีคนไมํนอ๎ ยที่คิดวําถา๎ ไมํใชส๎ ารเคมี ไม๎ผล และพชื ผลของเขาจะเหย่ี วเฉาตายไปตอํ หน๎าตอํ ตาอยํางแนนํ อน แตํความเป็นจริง คือ การใช๎สารเคมเี หลาํ นี้ตํางหากท่ีกลายเปน็ การทา ใหส๎ ถานการณอ๑ นั ไมมํ ีมลู ความจรงิ ดงั กลําวข๎างตน๎ เปน็ จรงิ ขึ้นมาโดยทผี่ ๎ูใช๎ใมํมเี จตนา เมอื่ ไมนํ านมาน้ี ไมส๎ นแดงญ่ปี ุนต๎องประสบกบั ความเสียหายอยํางใหญหํ ลวงท่ีเกดิ จาก การระบาดของโรคด๎วงงวงเจาะเปลือกสน (pine bark weevils) ปจั จบุ นั พนกั งานปาุ ไมต๎ อ๎ งใช๎ เฮลคิ อปเตอรขึ้นไปฉดี ยาพนํ บนอากาศ เพ่อื หยดุ ยง้ั ความเสียหายทเ่ี กดิ จากการระบาดนี้ ผมไมํ ปฏเิ สธวําวธิ นี เี้ ปน็ วธิ ีท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพในระยะสัน้ แตผํ มร๎วู าํ มันจะตอ๎ งมวี ิธอี ืน่ อกี จากงานวิจยั ลําสดุ กลาํ ววําโรคใบแหง๎ ท่มี ดี ว๎ งงวงเปน็ พาหะ (Weevil blights) ไมํได๎ เกดิ ขนึ้ เอง แตเํ กดิ ขึน้ จากไสเ๎ ดือนฝอย (nematode) เป็นส่ือ ไส๎เดือนฝอยแพรพํ นั ธ๑ุภายในลา ตน๎ ทาให๎ทํอนา้ เลย้ี งเกิดการอดุ ตัน ทาให๎ไมส๎ นเหีย่ วเฉาลงและตายไปในทสี่ ุดสาเหตุทแ่ี ทจ๎ รงิ ยงั ไมํเป็นท่เี ข๎าใจกนั อยาํ งแจํมชดั ไสเ๎ ดอื นฝอยได๎อาหารจากเชอ้ื ราในลาตน๎ ของตน๎ ไม๎ เหตุใดเช้ือราจงึ ขยายตวั อยําง มากมายในลาต๎นของตน๎ ไมไ๎ ด๎ เชื้อราไดข๎ ยายตวั หลงั จากมไี สเ๎ ดือนฝอยเกดิ ขนึ้ แล๎ว หรือวํา ไสเ๎ ดือนฝอยเกิดข้ึนเพราะมีเชอื้ ราเกิดขึน้ กอํ นกนั แนํ คาถามน้ันสรปุ ลงที่วําอะไรเกิดกอํ น เชื้อรา หรอื ไส๎เดือนฝอย ย่ิงกวํานั้น ยงั มสี ตั วเ๑ ล็ก ๆ พวกจุลชีพอกี ประเภทหน่ึง ทม่ี ักจะมาพรอ๎ มกับเชอื้ รา และ

ยงั มเี ชือ้ ไวรัสทีเ่ ป็นพษิ ตอํ เชอื้ รา ผลท่เี กดิ ขน้ึ กระทบตอํ เนอ่ื งกันทกุ ทศิ ทาง แตมํ เี พยี งสงิ่ เดียว ทอ่ี าจกลําวไดด๎ ๎วยความแนํนอน กค็ อื ไมส๎ นจะเหี่ยวเฉาลงเป็นจานวนท่ีมากจนผดิ ปกติ ไมมํ ใี ครรู๎สาเหตทุ แ่ี นชํ ัดของโรคใบแหง๎ ของสน (pine blight) ทั้งไมํมีใครรผู๎ ลท่ี เกิดขน้ึ ตามมาหลังจากการหายจากโรค ถ๎าเราเขา๎ ไปยํงุ กับสถานการณเชนํ นโ้ี ดยทยี่ งั รไู๎ มํ ชัดเจน กเ็ ทาํ กบั ไดห๎ วํานเมลด็ พันธ๑ุแหงํ ความหายนะท่ีย่ิงใหญกํ วาํ เดิมไวใ๎ นอนาคต ผมไมอํ าจ ร๎สู ึกยินดีกบั การท่ีความเสยี หายที่เกดิ จากดว๎ งเจาะนนั้ ลดลงอยาํ งฉบั พลนั เพราะผลจากการฉีด พํนสารเคมที างอากาศ การใชส๎ ารเคมีทางการเกษตรเปน็ วิธกี ารทไี่ มํสมควรท่สี ดุ ในการจัดการ กบั ปัญหาเชนํ นี้ วิธนี ้จี ะนาไปสูํปญั หาทย่ี ุงํ ยากมากขึน้ ในอนาคต หลกั การ ๔ ประการของเกษตรกรรมธรรมชาติ (ไมํไถพรวนดิน ไมํใชป๎ ยุ๋ เคมหี รอื ปุ๋ย หมกั ไมํกาจดั วชั พชื โดยการไถกลบหรือใช๎ยาปราบวชั พชื และไมํใชส๎ ารเคมี เปน็ การเดินตาม หลักเกณฑ๑ของธรรมชาติ และจะเปน็ วธิ บี ารงุ ธรรมชาติใหอ๎ ุดมสมบรู ณ๑ขึน้ ใหมํอีกครง้ั หน่งึ ผมได๎ คลาทางมาโดยอาศัยแนวคดิ น้เี ป็นตัวนา และนค่ี อื หวั ใจของวธิ ีการในการปลูกพชื ผกั ธัญพชื และสม๎ ของผม * ฟูกโู อกะเตรยี มปุ๋ยโดยการปลูกพชื คลมุ ดินจาพวกถว่ั และใช๎ฟางขา๎ วคลุมพ้นื ท่ี จากน้นั กใ็ สํข้เี ปด็ ขไี้ กลํ งไป เล็กน๎อย ** ฟกู โู อกะปลกู ธัญพืชโดยปราศจากการใช๎สารเคมีไมวํ ําชนดิ ใด แตสํ าหรบั ไมผ๎ ลบางคร้ังเขาจะใชน๎ ้ามันข้โี ล๎เพอื่ ควบคุมเพลี้ยหอยชนดิ ตาํ ง ๆ (Insect scale) และไมมํ ีการใชย๎ าท่ีมพี ิษตกค๎าง หรอื ออกฤทธกิ์ วา๎ ง และไมํมตี าราง การใชย๎ าฆาํ แมลง *** พืชคลมุ ดิน เชํน โคลเวอร๑ เวท็ ซ๑ และอลั ฟลั ฟาุ จะเป็นตัวปรบั สภาพดินและทาให๎ดินมีความอดุ มสมบูรณ๑ กลบั ข้นึ ไปทีห่ วั ขอ้ เรือ่ ง้ภาค ๒ ๒.๒ เกษตรกรรมท่ามกลางวชั พชื วชั พชื หลายชนดิ ไดเ๎ ตบิ โตขน้ึ รํวมกับธญั พชื และพืชคลมุ ดินจาพวกถวั่ ในที่นา แหงํ น้ี ฟางขา๎ วที่โปรยคลมุ ดินตงั้ แตํฤดใู บไม๎รวํ งทีแ่ ลว๎ ไดส๎ ลายตวั กลายเป็นฮวิ มสั อันอดุ ม ปรมิ าณผลผลติ ท่ีไดจ๎ ะประมาณ ๒๒ บูเชล (๕๒๐.๙ กิโลกรัมตํอที่ดิน ๑ ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) เม่ือวานนี้ศาสตราจารยค๑ าวาเอะ ซึ่งถอื กนั วาํ เปน็ ผ๎ูรชู๎ ้ันนาทางดา๎ นทุํงหญ๎าเลย้ี งสตั ว๑ และศาสตราจารย๑ ฮโิ รเอะ นักวจิ ัยด๎านพันธุ๑พชื โบราณ แวะมาหาผมท่นี า เม่อื ท้ังสองทํานแล เหน็ ข๎าวบาร๑เลย๑ และพชื คลมุ ดนิ แพรํขยายอยํางงดงามในที่นาของผม ทํานทง้ั สองเรียกมนั วาํ เป็นงานศลิ ป์อนั วิจติ รพิสดาร เกษตรกรเพ่ือนบา๎ นท่คี าดหมายวาํ ทุงํ นาของผมคงจะมีแตํวัชพชื

ขนึ้ รกเตม็ พน้ื ที่ ตํางพากนั ประหลาดใจท่ีพบวําขา๎ วบารเ๑ ลยเ๑ ติบโตอยาํ งแข็งแรงมากทํามกลาง พืชชนดิ อนื่ ๆ ผูเ๎ ชี่ยวชาญทางเทคนิคก็มาทน่ี ี่ด๎วย พอมองเหน็ วัชพืช ผกั กาดนา้ และโคลเวอร๑ งอกเต็มไปหมดทัง้ พื้นที่ ก็สํายหัวกอํ นจากไปดว๎ ยความพศิ วงงงงวย เมื่อ ๒๐ ปีกํอน ตอนทผ่ี มสนับสนนุ ใหป๎ ลูกพชื คลุมดนิ ถาวรในสวนผลไม๎ ในตอนนนั้ ไมํ มีใบหญ๎าสกั ใบใหเ๎ หน็ ในสวน หรอื ในนาสกั แหงํ ในประเทศ ตอํ เมอื่ มาเห็นสวนผลไมข๎ องผม คน จึงคอํ ยเข๎าใจวาํ ไม๎ผลจะปลูกได๎ดที ํามกลางวัชพชื และหญ๎า ปจั จุบนั สวนผลไม๎ท่ีมีหญ๎าปกคลมุ กลายเปน็ สงิ่ ธรรมดาในญีป่ ุน สวนผลไม๎ทไ่ี มํมหี ญ๎าขึน้ เลยเสยี อกี ท่กี ลายเป็นสิ่งหายาก นาขา๎ วก็เปน็ เชนํ เดียวกัน ขา๎ วเจา๎ ขา๎ วบารเ๑ ลย๑ และขา๎ วไรย๑ สามารถปลกู ไดผ๎ ลดี ทํามกลางพชื คลมุ ดนิ และวัชพืชท่ีขน้ึ ตลอดทั้งปี ผมจะลองทบทวนรายละเอยี ดในการปลกู พืชประจาปี และกาหนดการเกบ็ เกย่ี วในนา ของผม ตอนต๎นเดอื นตลุ าคมกํอนการเกบ็ เก่ยี ว ไวท๑ โคลเวอร๑ พืชคลมุ ดนิ จาพวกถั่ว และเมลด็ ธัญพืชฤดูหนาวท่ีโตไวหลายชนิดจะถูกหวาํ นลงไปในทํามกลางตน๎ ข๎าว* ทีก่ าลังสกุ งอม ถ๎าขา๎ วเจ๎าถูกหวาํ นในฤดูใบไมร๎ ํวง และปลํอยทิ้งไว๎โดยไมมํ ีอะไรหมุ๎ เอาไว๎เมล็ดขา๎ ว มักจะถูกหนูหรอื นกกนิ ไป หรือมิฉะนัน้ ก็อาจจะเนําเปอื่ ยไป ดว๎ ยเหตุนีผ้ มจงึ หมุ๎ เมล็ดข๎าวใน กระสนุ ดนิ เหนียวเลก็ ๆ กอํ นหวําน วิธที าคือ เอาเมล็ดขา๎ วใสํในจานแบนหรือกระด๎งแลว๎ ฝดั จากน้ันเอาผงดินเหนียวละเอยี ดมาคลกุ กบั เมล็ดขา๎ ว พรมนา้ เลก็ นอ๎ ยพอใหด๎ ินจบั ตวั กัน ปั้นเป็น กระสุนเลก็ ๆ ขนาดเส๎นผําศนู ย๑กลางคร่ึงนว้ิ ยังมีวิธที ากระสนุ เมลด็ ข๎าวด๎วยวธิ อี ่ืนอีก เบอ้ื งแรกนาข๎าวเปลอื กมาแชํน้าสกั หลาย ชัว่ โมง จากนน้ั เอาเมล็ดขา๎ วมาคลกุ กบั ดินเหนยี วหมาด ๆ ใชม๎ อื หรอื เทา๎ นวดให๎เขา๎ กนั เอาดนิ เหนยี วมากดผาํ นตะแกรงลวดให๎เปน็ ก๎อนเล็ก ๆ กอ๎ นดินเล็ก ๆ เหลาํ นี้ควรปลํอยไวร๎ าว ๑-๒ วัน ใหแ๎ หง๎ หรือจนกวาํ จะสามารถเอามาคลึงดว๎ ยฝาุ มอื ใหก๎ ลมเปน็ กระสนุ ไดง๎ ําย ๆ กระสนุ ทดี่ ีทสี่ ดุ ควรมีเมล็ดเพียงเมลด็ เดียว ในวนั หนง่ึ ๆ สามารถทากระสนุ เมล็ดข๎าวน้ไี ด๎พอสาหรับทีด่ ินหลาย เอเคอร๑ บางครัง้ ผมจะใช๎วธิ นี ้ีกบั เมล็ดพนั ธุอยํางอืน่ และเมลด็ ผักดว๎ ยกํอนหวาํ นซงึ่ ข้นึ อยกูํ บั แตํ ละสถานการณ๑และเง่อื นไข ระหวํางกลางเดอื นพฤศจิกายน และกลางเดือนธันวาคม เป็นเวลาทเี่ หมาะแกํการหวําน กระสนุ เมล็ดข๎าวเหลํานล้ี งไปในนาข๎าวบารเ๑ ลย๑ และข๎าวไรย๑ ซ่ึงยังเป็นต๎นอํอนอยูํ แตจํ ะรอไว๎ หวํานในฤดใู บไมผ๎ ลิ* กไ็ ดเ๎ ชํนกัน ปุ๋ยมูลสตั วจ๑ ากขีไ้ กจํ ะนามาโปรยบาง ๆ ไวท๎ ัว่ ทน่ี า เพื่อชํวย ให๎ฟางขา๎ วสลายตัว งานเพาะปลูกในแตลํ ะปีก็เป็นอนั เสร็จสิ้นสมบรู ณ๑ ในเดอื นพฤษภาคม ธัญพืชฤดูหนาวจะถกู เก็บเกี่ยว หลงั จากนวดข๎าวแล๎วฟางท้งั หมด จะนาไปแผํคลุมทีน่ าไว๎ น้าจะถูกปลํอยใหข๎ ังอยูใํ นนาประมาณ ๑ อาทิตย๑ - ๑๐ วัน มนั จะทาใหว๎ ชั พืช และพชื คลมุ ดนิ อํอนแอลง และปลอํ ยใหเ๎ มลด็ ข๎าวงอกออกมาจากฟางที่คลมุ นา้ ฝนเพียงอยํางเดียวก็ เพยี งพอ สาหรบั ต๎นขา๎ วในระหวํางเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พอถึงเดือนสิงหาคมผมจะปลํอย นา้ เข๎านาอาทิตย๑ละคร้ัง โดยไมตํ อ๎ งใหน๎ ้าขงั จากนัน้ งานเก็บเกยี่ วในฤดูใบไมร๎ ํวงก็กาลงั เรมิ่ ต๎น น่ีคอื วงจรประจาปีของการปลูกข๎าวเจ๎าและธัญพืชฤดหู นาวดว๎ ยวิธีธรรมชาติ การหวาํ น เมล็ดและการเก็บเกยี่ วดาเนินตามกฎเกณฑธ๑ รรมชาตอิ ยาํ งใกล๎ชิด จนอาจกลําวไดว๎ าํ เปน็ กระบวนการตามธรรมชาติ ย่ิงกวําเปน็ เทคนิคทางการเกษตร

เกษตรกรหนึง่ คนจะใชเ๎ วลาเพยี ง ๑-๒ ชวั่ โมงในการหวํานเมลด็ และโปรยฟางคลมุ พ้ืนที่ขนาด ๑ ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไร)ํ ยกเวน๎ งานเก็บเกย่ี วแล๎ว ธัญพชื ฤดูหนาวสามารถปลูกโดย อาศยั คนเพียงคนเดียว และเพียงคน ๒-๓ คนก็สามารถทางานท่จี าเป็นทั้งหมดในการปลูกขา๎ ว เจ๎า โดยอาศยั เพียงเคร่ืองไมเ๎ ครอื่ งมือพน้ื บ๎านของญ่ีปุนเทําน้นั อาจจะไมมํ วี ิธีการปลกู ธัญพชื ที่ งาํ ยดายยิ่งกวาํ นอ้ี กี แลว๎ ก็ได๎ ยังมีเรอ่ื งอื่นทีน่ อกเหนอื จากการหวาํ นเมล็ดพชื และโปรยฟางคลมุ พนื้ ท่ีอยํอู กี เล็กนอ๎ ย แตผํ มต๎องใช๎เวลามากกวํา ๓๐ ปกี วาํ จะเข๎าถงึ ความเรยี บงาํ ยทีว่ ํานี้ได๎ วธิ ที างการเกษตรแบบนีไ้ ด๎พฒั นาตามเง่ือนไขทางธรรมชาติ ของพ้นื ทท่ี เี่ ปน็ เกาะของ ญปี่ นุ แตผํ มร๎ูสกึ วาํ เกษตรกรรมธรรมชาตสิ ามารถนาไปปรับใชใ๎ นพืน้ ที่อ่ืน ๆ และในการปลกู พชื พื้นบา๎ นชนิดอื่น ๆ ด๎วย ในบริเวณที่นา้ อาจจะไมํคํอยสมบรู ณ๑ ก็อาจปลูกพืชชนิดอนื่ เชนํ ข๎าวไรํ หรอื ปลกู ธัญพืชชนิดอืน่ ๆ เชนํ บค๊ั วที ข๎าวฟุาง หรอื ขา๎ วมลิ เล็ท พชื คลมุ ดนิ จาพวกถ่ัวก็มหี ลาย ชนิดท่สี ามารถใช๎ปลูกทดแทนกนั ได๎ เชํน โคลเวอร๑ อัลฟลั ฟุา เวทซ๑ หรือ ลูปิน เกษตรกรรม ธรรมชาติมีรูปแบบทแี่ ตกตํางออกไปเปน็ พเิ ศษจากวธิ ีการอื่น โดยจะเป็นไปตามสภาวะและ เง่อื นไขท่ีเป็นเฉพาะตัวของแตํละสถานทที่ ี่ใช๎วธิ ีการดังกลําว ในชวํ งผาํ นกอํ นทจี่ ะมาใชว๎ ธิ ที างการเกษตรชนดิ น้ี การกาจัดวัชพืช การใชป๎ ุ๋ยหมัก หรือการตัดแตงํ กิ่งใบ อาจจะยงั เปน็ ส่งิ จาเป็นอยํูในระยะแรกแตํวธิ กี ารเหลาํ นีจ้ ะต๎องคํอย ๆ ลดลงในแตลํ ะปี วําถงึ ทส่ี ุดแล๎ว เทคนิคในการปลกู ไมํใชปํ จั จยั ทมี่ คี วามสาคัญทสี่ ุด แตสํ ่ิงท่ี สาคญั ท่สี ุดกลบั เปน็ สภาพจิตใจของ เกษตรกร * ในท่ดี นิ 1/4 เอเคอร๑ (0.6 ไร)ํ จะใช๎เมล็ดพันธไ๑ุ วท๑ โคลเวอร๑ ประมาณ 0.4 กิโลกรัม สํวนธัญพชื ฤดูหนาวจะใช๎ประมาณ 2.9-5.9 กิโลกรมั เกษตรกรท่ี ยังไมํมปี ระสบการณ๑หรอื ท่นี าซง่ึ ดินยังแข็ง และไมํอุดมสมบรู ณ๑ การหวาํ นเมลด็ พนั ธใุ๑ ห๎มากกวําน้ีในตอนเรม่ิ ตน๎ จะเปน็ การปลอดภัยกวาํ เมื่อดินคํอย ๆ ปรับสภาพดีขนึ้ จากการสลายตัวของฟางและปยุ๋ ธรรมชาตจิ ากพชื คลุมดนิ และเม่อื เกษตรกรคอํ ย ๆ คุ๎นกับวธิ กี ารหวํานเมล็ดโดยตรงลงในดนิ ท่ไี มตํ อ๎ งไถ พรวนแล๎ว เมลด็ พันธุ๑ทใ่ี ชใ๎ นการปลกู ก็จะลดลง ** ทีด่ นิ 1/4 เอเคอร๑ (0.6 ไร)ํ ใหเ๎ มลด็ ข๎าว 2-4.1 กิโลกรัม ในปลายเดือนเมษายน ฟกู โู อกะจะตรวจดูการงอกของต๎นข๎าวที่ได๎หวํานในฤดูใบไมร๎ ํวงและ จะหวํานแซมลงไปเทําทจี่ าเปน็ กลบั ข้ึนไปที่หัวขอ้ เร่อื ง้ภาค ๒ ๒.๓ ทาการเกษตรด้วยฟาง การ โปรยฟางคลุมทน่ี าอาจจะดไู มํสลักสาคญั อะไร แตํมนั เป็นพน้ื ฐานของวธิ ีปลกู ข๎าวและธญั พืชฤดหู นาวของผม มนั เก่ียวขอ๎ งกับทุกสิ่ง ตงั้ แตเํ รื่องความอดุ มสมบูรณ๑ การงอก ของต๎นอํอน การควบคมุ วชั พืชและปอู งกันนกมาจิกกิน ทัง้ ยงั เกีย่ วกับการจดั การระบบนาด๎วย

การใช๎ฟางในการเกษตรเปน็ เร่ืองทสี่ าคญั มากทง้ั ในภาคปฏิบตั แิ ละทฤษฎี นี่เป็นส่งิ หนึ่งที่ดู เหมือนผมจะไมสํ ามารถทาใหค๎ นเขา๎ ใจมนั ได๎ โปรยฟางทีไ่ ม่ได้สบั ศูนยท๑ ดลองการเกษตรที่โอคายามํากาลงั ทดลองปลกู ข๎าว โดยการหวาํ นเมลด็ โดยตรง ถึงรอ๎ ยละ ๘๐ ของแปลงทดลอง เม่อื ผมแนะใหเ๎ ขาโปรยฟางท่ีไมํไดส๎ บั พวกเขากท็ าทําใน ทานองวําเปน็ วธิ ที ี่ไมถํ กู ต๎อง แล๎วก็ยังคงทาการทดลองตํอไปโดยใชฟ๎ างทส่ี บั โดยเคร่ืองจกั ร ผมแวะไปเยีย่ มศูนยท๑ ดลองนเ้ี มื่อหลายปกี อํ น ผมไดพ๎ บวํา เขาแบํงแปลงทดลองออกเปน็ แปลง ท่ีใช๎ฟางสบั แลว๎ แปลงทีใ่ ชฟ๎ างไมํสับ และแปลงทไ่ี มใํ ช๎ฟางเลย น่เี ปน็ ส่งิ เดยี วกับทีผ่ มเคย ทดลองทามากํอนหนา๎ นี้นานแล๎ว และเม่อื ผมพบวาํ การใชฟ๎ างทไี่ มไํ ดส๎ บั ดีที่สุด ผมก็เลยใช๎วิธีนี้ คณุ ฟจู ิอิ อาจารย๑ในวิทยาลยั เกษตรกรรมยาซูกทิ ี่จงั หวัดชิมาเนะ ต๎องการทดลองการปลกู ธญั พชื ดว๎ ยการหวํานเมลด็ โดยตรง ได๎แวะมาเยยี่ มผมทน่ี า ผมแนะนาให๎เขาโปรยฟางที่ไมไํ ด๎ สับคลุมพนื้ ท่นี า เขากลับมาอกี คร้งั ในปรี ุงํ ขึน้ และบอกวาํ ผลการทดลองนั้นลม๎ เหลว หลังจากที่ ผมฟงั เขาอธบิ ายถงึ เรื่องตาํ ง ๆ อยํางละเอียดถถ่ี ๎วนแลว๎ ผมก็รูว๎ าํ เขาไดว๎ างฟางอยาํ งเปน็ ระเบียบประณีตเหมือนในแปลงสวนครวั ถ๎าคุณทาเชนํ นั้น เมล็ดข๎าวจะงอกได๎ไมํดเี ลย เชนํ เดยี วกับการโปรยฟางข๎าวบาร๑เลยหรอื ขา๎ วไรย๑ ถ๎าเราโปรยฟางอยํางเป็นระเบยี บเกินไปต๎น ขา๎ วกลา๎ ก็จะงอกได๎ยากเชนํ กนั วิธที ่ดี ีท่สี ดุ คอื การโปรยฟางไปท่ัว ๆ ให๎เหมอื นกับฟางนั้นตกลง มาอยํางเป็นธรรมชาติ ฟางจากข๎าวเจา๎ เหมาะท่จี ะใชค๎ ลมุ พื้นที่ปลกู ธัญพืชฤดูหนาว เชนํ เดียวกันฟางจาก ธญั พชื ฤดูหนาวก็เหมาะกบั ข๎าวเจ๎าดว๎ ย ผมต๎องการให๎ส่งิ น้เี ปน็ ท่ีเขา๎ ใจกนั อยํางแจํมชัด มีโรค หลายชนิดทีท่ าอนั ตรายตอํ ตน๎ ขา๎ วเจ๎าถา๎ ใชฟ๎ างสดจากขา๎ วชนิดเดียวกันคลมุ ท่นี า แตโํ รคของ ข๎าวเจ๎าจะไมทํ าอนั ตรายธญั พชื ฤดหู นาว และถา๎ นาฟางจากขา๎ วเจ๎ามาแผคํ ลมุ ทนี่ าตั้งแตฤํ ดู ใบไม๎รวํ ง มันกจ็ ะเปอื่ ยได๎ที่ เมือ่ ถงึ ฤดูใบไม๎ผลิ ซง่ึ เป็นเวลาทขี่ ๎าวกล๎าเรมิ่ งอก ฟางสดของขา๎ ว เจา๎ จะปลอดภยั สาหรบั ธญั พืชชนิดอ่นื เชํนเดยี วกบั ฟางจากขา๎ วบ๊คั วที และธัญพชื พันธุ๑อน่ื ๆก็ สามารถนามาใช๎คลุมขา๎ วเจ๎าและขา๎ วบ๊คั วที ด๎วยเชํนกัน โดยทัว่ ไปฟางสดจากธัญพืชฤดหู นาว เชํน ข๎าวสาลี ข๎าวไรย๑ และขา๎ วบารเ๑ ลยไมํควรนามาใช๎กบั ธัญพืชฤดูหนาวพนั ธ๑อุ นื่ ๆ เพราะวําจะ เกดิ โรคระบาดกอํ ความเสียหายข้ึนได๎ ฟางและแกลบท้งั หมดทเี่ หลือจากการนวดในการเก็บเกีย่ วท่ีเพงิ่ ผาํ นพน๎ ไปควรนา กลบั ไปใสไํ วใ๎ นท่ีนา ฟางขา้ วบารงุ ดนิ การโปรยฟางเปน็ วิธรี กั ษาโครงสร๎างของดนิ และบารงุ ดนิ ดังนนั้ ปุ๋ยท่ีเกดิ จากการเตรียม จึงเป็นสิง่ ไมจํ าเป็น วธิ นี ้ยี ํอมเกี่ยวข๎องกบั การไมไํ ถพรวนดินดว๎ ย ท่ีนาของผมอาจจะเปน็ ที่แหํง เดียวในญป่ี ุน ทไ่ี มเํ คยไถพรวนเลยตลอดเวลากวาํ ๒๐ ปีท่ผี ํานมา และคุณภาพของดนิ ดีขนึ้ ทกุ ฤดกู าล ผมคาดวําหนา๎ ดนิ ทีอ่ ุดมด๎วยฮวิ มัสมีความหนามากกวาํ ๔ นิ้วในระหวาํ งหลายปีนี้ นีค่ อื ผลโดยตรงจากการทน่ี าสงิ่ ตาํ ง ๆ ท่ีปลูกได๎ในนาขา๎ ว ยกเวน๎ ธัญญาหารใสํกลบั เข๎าไปในทีน่ าอกี ครัง้ หน่งึ ไมจ่ าเป็นต้องทาปยุ๋ หมกั ไมมํ ีความจาเปน็ ตอ๎ งทาปุ๋ยหมัก ผมไมํไดพ๎ ูดวําคณุ ไมํต๎องใซ๎ปุ๋ยหมักเพยี งแตํวําไมมํ ี ความจาเป็นต๎องทางานมากขึน้ เพื่อการน้ี ถ๎าปลํอยใหฟ๎ างคลมุ พนื้ ที่นาในระหวาํ งฤดใู บไมผ๎ ลิ หรอื ฤดใู บไมร๎ ํวง และใสํปุย๋ มูลสตั ว๑จากขี้ไกํหรอื ขีเ้ ปด็ เพียงเลก็ นอ๎ ย ภายใน ๖ เดือนมันจะเปอื่ ย ไดท๎ ี่

ในการทาปุ๋ยหมกั ดว๎ ยวิธที ว่ั ไปนนั้ เกษตรกรจะตอ๎ งทางานอยํางเปน็ บ๎าเป็นหลัง ทํามกลางแสงอาทิตยอ๑ นั รอ๎ นระอุ ตัง้ แตสํ ับฟางให๎เป็นชิ้น ๆ เติมนา้ เตมิ ปูนขาว พลิกช้ันปยุ๋ และ ลากเอาปุ๋ยท่หี มักไดท๎ แ่ี ลว๎ มาใช๎ในนา เขาทาตวั ให๎ลาบากเชํนน้เี พราะคดิ วํามันเปน็ \"วิธีท่ีดีกวาํ \" ผมอยากเห็นเกษตรกรโปรยฟางหรือแกลบ หรือข้ีเลื่อยบนที่นาของพวกเขามากกวาํ ระหวาํ งท่เี ดนิ ทางไปยงั ภาคตะวันตกของญป่ี ุนโดยรถไฟสายฮ็อกไคโด ผมสงั เกตเห็น วําเร่ิมมีการสบั ฟางอยาํ งหยาบ ๆ มากขนึ้ กวําเมอื่ ครัง้ ทผี่ มเรมิ่ เสนอใหม๎ กี ารโปรยฟางทีไ่ มตํ อ๎ ง สับ ผมร๎ูสกึ เลื่อมใสในเกษตรกรเหลํานน้ั แตํในปจั จบุ ันผเู๎ ช่ียวชาญยงั คงกลําววาํ วธิ ีที่ดที ส่ี ุดควร ใชฟ๎ างหลายรอ๎ ยปอนดต๑ อํ ท่ดี ิน ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) ทาไมเขาไมํบอกวาํ ให๎เอาฟางทั้งหมด ท่ไี ด๎จากการเก็บเกีย่ วใสกํ ลบั เขา๎ ไปในนาข๎าว เม่ือมองออกไปนอกหนา๎ ตาํ ง คณุ จะเหน็ เกษตรกรเอาฟางมาสบั และโปรยฟางประมาณครง่ึ หนงึ่ ลงไปในนา สํวนทเี่ หลอื กป็ ลํอยทิ้งไว๎ไห๎ มนั ผุพังไปเมือ่ ถกู ฝนชะ ถ๎าหากเกษตรกรท้ังหมดในญ่ปี ุนรํวมมอื กัน และเรมิ่ เอาฟางทง้ั หมดใสกํ ลับเขา๎ ไปในท่ี นา ผลของมันก็คอื ปยุ๋ จานวนมหาศาลจะกลบั สพูํ นื้ โลก การงอก เปน็ เวลาหลายร๎อยปีมาแลว๎ ที่เกษตรกรต๎องเตรยี มแปลงเพาะกล๎า เพ่ือที่จะไดต๎ น๎ กลา๎ ที่แข็งแรง แปลงเพราะเล็ก ๆ นาํ จะได๎รบั การดูแลอยํางเป็นระเบียบเรียบรอ๎ ย ราวกบั เป็นแทนํ บูชาของครอบครัวเลยทีเดียว ดนิ จะถกู ไถพรวน ทรายและข้เี ถา๎ จากการเผาแกลบจะถูกนามา โปรยไว๎ทว่ั แปลง มกี ารสวดมนตร๑เพ่ือให๎ ต๎นกล๎า เจริญงอกงาม นี่มใิ ชสํ ิง่ ไรเ๎ หตผุ ลท่ีเพอ่ื นบ๎านขา๎ งเคียงจะคดิ วาํ ผมสติไมํดี ท่ีหวาํ นเมลด็ ในขณะที่ ธัญพชื ฤดูหนาวยังอยใํู นนา ท้งั ยังเต็มไปดว๎ ยวัชพืช และเศษฟางท่กี าลังเปือ่ ยกระจดั กระจายอยํู เตม็ ท๎องนา เมล็ดจะงอกได๎ดีเม่อื หวํานลงในท่นี าทมี กี ารไถอยํางดกี จ็ ริงอยูํ แตํถ๎าฝนตกและทน่ี า กลายเป็นโคลน คุณกจ็ ะลงไปเดนิ ในทนี่ าไมไํ ด๎ และการหวาํ นก็ต๎องเลอื่ นออกไป วิธไี มํไถพรวน ดนิ จึงได๎เปรียบกวําในแงํนี้ แตํในอกี แงํหนงึ่ ก็มีปัญหากบั พวกสัตว๑เลก็ ๆ เชนํ ตัวตนุํ จ้ิงหรดี หนู และทาก ซ่งึ ชอบกนิ เมล็ดพชื การใช๎กระสุนดินเหนยี วหม๎ุ เมลด็ ไวจ๎ ึงชวํ ยแก๎ปญั หาในเรือ่ งนไ้ี ด๎ การหวํานเมล็ดธัญพืชฤดูหนาว วธิ กี ารโดยทัว่ ไปมกั จะใชว๎ ธิ ีหวํานเมล็ดแลว๎ เอาดนิ กลบ แตํถา๎ หยอดเมลด็ ไวล๎ กึ เกินไป มันกจ็ ะเนาํ เป่อื ยไป ผมเคยทดลองหยอดเมล็ดลงในหลุมเลก็ ๆ หรือใชว๎ ิธียกรอํ งเป็นคันดินขึ้นมาไมเํ อาดินกลบ แตผํ มกป็ ระสบกับความล๎มเหลวหลายครงั้ ทงั้ สองวธิ ี ท๎ายสุดผมเกิดความขเ้ี กียจ และแทนทจ่ี ะยกรอํ งหรอื ขุดหลมุ ปลกู ผมใช๎วิธหี ๎ุมเมล็ดไว๎ ในกระสนุ ดนิ เหนยี วและโยนเมลด็ เหลํานัน้ ลงไปยงั ทนี่ าโดยตรงเลย การงอกเปน็ ไปไดด๎ บี นผวิ ดิน เพราะไดอ๎ อกซเิ จน ผมพบวําบรเิ วณท่ีกระสุนเมล็ดพนั ธ๑เุ หลําน้ถี ูกปกคลมุ ดว๎ ยฟาง มันจะ งอกได๎ดีและไมํเนําเปื่อยแมใ๎ นปที ่ีมฝี นตกหนกั มากกต็ าม ฟางช่วยแก้ปัญหาเกีย่ วกบั วชั พืชและนก ทด่ี นิ ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) การจะไดฟ๎ างจากข๎าวบารเ๑ ลยป๑ ระมาณ ๙๐๐ ปอนด๑ (๔๐๙.๑ กิโลกรัม) ซึ่งนบั เป็นเกณฑท๑ ่ีดที ี่สุด ถ๎านาฟางทงั้ หมดไปโปรยในนามันจะสามารถ คลมุ ที่นาได๎ท้ังหมด แม๎แตํวัชพชื ท่ีสรา๎ งความยุํงยากเชํนหญา๎ ตนี กาซึ่งเป็นปัญหาท่ลี าบากมาก

สาหรบั การเพาะปลกู ดว๎ ยวิธีหวาํ นเมล็ดโดยตรงและไมไํ ถพรวนดนิ ก็จะสามารถควบคุมได๎ นกกระจอกสร๎างความปวดเศยี รเวยี นเกล๎าให๎ผมมาก การหวํานเมล็ดโดยตรงจะไมํ สาเร็จ ถา๎ ไมํมีวธิ ีทีวางใจไดใ๎ นการจดั การกับพวกนก และในหลาย ๆ ทที่ ก่ี ารเพาะปลูกด๎วยการ หวาํ นเมล็ดโดยตรง ไมเํ ปน็ ท่ีนยิ มแพรหํ ลายก็เพราะสาเหตเุ รื่องน้ี พวกคณุ หลายคนก็คงประสบ ปญั หากบั บรรดานกกระจอกแบบเดียวกนั และคุณกค็ งเขา๎ ใจวําผมหมายถงึ อะไร ผมยงั จาได๎ถงึ ตอนท่ีบรรดานกพวกนบ้ี นิ ตามหลงั ผมและกนิ เมล็ดที่ผมเพิง่ หวาํ นไป หยก ๆ จนหมด กอํ นทผ่ี มจะทนั หวํานให๎เสรจ็ อกี ฟากหน่งึ ของที่นาด๎วยซา้ ผมลองใช๎ทงั้ หุํนไลํ กา ตาขาํ ย และใช๎เชือกผกู กระปอ๋ งให๎มนั เกดิ เสยี งเวลากระทบกัน แตดํ เู หมอื นไมมํ ีวิธีใดที่ใช๎ ได๎ผลดี แมว๎ ําบางวธิ จี ะใช๎ไดผ๎ ลแตํก็ได๎ผลไมํนานกวํา ๑-๒ ปเี ทํานั้น ประสบการณ๑สวํ นตวั ของผมไดแ๎ สดงให๎เห็นวํา การหวํานเมลด็ ในขณะท่ีพืชผลอีกชนิด กํอนหนา๎ น้ยี ังไมไํ ด๎เก็บเก่ยี ว เป็นการฉวยใหเ๎ มล็ดเหลาํ นี้สามารถซํอนตัวอยูใํ นพงหญ๎าและพืช คลมุ ดิน ทัง้ การแผคํ ลมุ ท่นี าด๎วยฟางขา๎ วทันทีทกี่ ารเก็บเกีย่ วส้นิ สดุ ลง ปัญหาเร่อื งนกก็จะ สามารถแก๎ตกไปไดอ๎ ยํางมปี ระสิทธิภาพทส่ี ดุ ผมไดท๎ าผดิ พลาดไวม๎ ากขณะทาการทดลองระหวาํ งหลายปีท่ีผาํ นมาและกม็ ี ประสบการณเ๑ ก่ียวกับความลม๎ เหลวของวิธกี ารทงั้ หลาย ผมอาจจะร๎ูดีกวาํ ทกุ คนในญ่ปี ุนด๎วยซา้ วําวธิ ีการทาการเกษตรแบบใดทไี่ มํถูกตอ๎ งเหมาะสม เมอ่ื ผมประสบความสาเร็จในการปลูกขา๎ ว และธญั พืชฤดูหนาวดว๎ ยวิธไี มไํ ถพรวนดินเป็นคร้งั แรกน้ัน ผมมคี วามเบกิ บานใจเป็นทส่ี ดุ คงจะ เหมอื นกบั ทโ่ี คลัมบัสร๎ูสึกเมอื่ เขาคน๎ พบทวีปอเมรกิ า กลับขน้ึ ไปท่ีหวั ข้อเร่ือง้ภาค ๒ ๒.๔ ปลกู ขา้ วในนาแห้ง เม่ือถงึ ตน๎ เดือนสิงหาคม ต๎นข๎าวในท่นี าของเพื่อนบ๎านจะสงู ขนาดเอวในขณะที่ ข๎าวในนาของผมจะสูงเพียงครงึ่ หน่ึงของเพอ่ื นบ๎านเทาํ นน้ั คนทีม่ าดเี ยย่ี มในชํวงปลายเดือน กรกฎาคมมักจะเกิดความสงสัย และถามวาํ \"คุณฟกู โู อกะข๎าวพวกน้ีจะออกรวงได๎แนหํ รอื ครับ\"

\"แนํนอน\" ผมตอบ \"ไมตํ อ๎ งเป็นกังวลเลย ครบั \" ผมไมพํ ยายามทีจ่ ะปลกู ข๎าวที่ต๎นโตเรว็ และใบใหญํ แตพํ ยายามใหต๎ น๎ มขี นาดยํอมและ แข็งแรงมากที่สุดทจี่ ะเป็นไปได๎ พยายามให๎ชํวงบนเลก็ ไมบํ ารงุ ต๎นข๎าวมากเกินไป และปลํอย ใหม๎ นั เตบิ โตตามลักษณะท่ีเปน็ ธรรมชาติของตน๎ ข๎าว โดยทว่ั ไปตน๎ ข๎าวสูงประมาณ ๓-๔ ฟุต จะให๎ใบงามอุดมสมบรู ณ๑ และใหค๎ วามรส๎ู กึ วํา จะให๎เมล็ดมาก แตํท่ีจริงแล๎วมนั เพียงแตใํ ห๎ใบและลาตน๎ ที่แขง็ แรงเทํานัน้ ผลผลติ ของแปงู จะมี สูงแตํประสทิ ธภิ าพต่า พลงั งานสํวนใหญจํ ะหมดไปกบั การบารุงให๎ต๎นเจริญเตบิ โต จึงไมํมีเหลือ พอให๎เกบ็ กกั ไว๎ในเมล็ด ตัวอยํางเชนํ ตน๎ ข๎าวท่ีสูงเกินขนาดจะให๎ฟางได๎หนกั 2,000 ปอนด๑ (๙๐๙.๑ กิโลกรัม) สํวนผลผลติ ข๎าวจะไดเ๎ พียง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ ปอนด๑ (๔๕๗-๕๔๕.๔ กโิ ลกรัม) สํวนข๎าวตน๎ เตีย้ ทป่ี ลูกในนาของผม จะไดฟ๎ างหนกั ๒,๐๐๐ ปอนด๑ (๙๐๙.๑ กโิ ลกรมั ) และผลผลิตข๎าว 2,000 ปอนดเ๑ ชํนกัน ในบางปีที่การเพาะปลกู ไดผ๎ ลดี ผลผลิตขา๎ วจากนาของ ผมจะได๎ถึง ๒,๔๐๐ ปอนด๑ (๑.๐๙๐.๙ กโิ ลกรัม) ซึ่งแสดงวาํ ผลผลติ ขา๎ วทีไ่ ดม๎ ีน้าหนกั มากกวํา ฟางถึงร๎อยละ ๒๐ ตน๎ ข๎าวท่ปี ลูกในนาแหง๎ จะไมสํ งู มากนัก แสงอาทิตยจ๑ ะสํองถึงโคนต๎นและใบท่ีอยูํ ตา่ สุด ขนาดใบกวา๎ ง ๑ ตารางน้วิ ก็เพียงพอทีจ่ ะให๎เมล็ดขา๎ ว ๖ เมลด็ ใบเลก็ ๆ เพยี ง ๓-๔ ใบก็ เพียงพอทจี ะใหเ๎ มลด็ ข๎าวเป็นรอ๎ ยเมล็ด ผมหวาํ นเมล็ดขา๎ วคอํ นขา๎ งหนา ซงึ่ ให๎ผลผลติ ราวต๎น ละ ๒๕๐-๓๐๐ เมล็ด (๒๐-๒๕ ตน๎ ) ตอํ พ้ืนท่ี ๑ ตารางหลาถา๎ คุณมตี ๎นขา๎ วมากและไมํพยายาม ปลูกใหต๎ ๎นใหญํ คณุ จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได๎มากขน้ึ การปลูกข๎าวสาลี ข๎าวไรย๑ ข๎าวบค๊ั วีท ข๎าว โอต๏ และข๎าวมิลเลท็ รวมท้งั ธญั พชื อน่ื ๆ ก็เปน็ เชนํ เดยี วกนั วธิ โี ดยทั่วไป มักจะเกบ็ กกั นา้ ไว๎ในนาขา๎ วสูงหลายนว้ิ ตลอดฤดูการเพาะปลูก เกษตรกร ปลูกข๎าวในทนี่ า้ ทํวมขังเป็นเวลาหลายศตวรรษ จนกระท่งั คนสวํ นใหญเํ ชื่อวาํ ไมมํ ีการปลูกขา๎ ว ด๎วยวิธีอ่ืนอกี แล๎ว ขา๎ วนาลุํมนานาพนั ธจ๑ุ ะแขง็ แรงเมอ่ื ปลกู ในทนี่ าทน่ี ้าทํวมขงั แตกํ ารปลกู วิธีนี้ ไมํเปน็ ผลดีตอํ ต๎นข๎าว ต๎นขา๎ วจะเตบิ โตได๎ดีทสี่ ดุ เม่ือมีน้าอยใูํ นดินในระหวํางรอ๎ ยละ ๖๐-๘๐ ของจุดอ่ิมตัวของดินในการรับน้า เมือ่ ไมํปลํอยให๎น้าทํวมขัง ต๎นขา๎ วจะมีรากแข็งแรง และจะ สามารถสกู๎ บั การรุกรานของเชอ้ื โรคและแมลง เหตผุ ลหลักในการปลูกขา๎ วในทีน่ า้ ทวํ มขงั ก็เพ่ือควบคุมวชั พชื โดยการจดั สภาพแวดลอ๎ มที่เปดิ โอกาสใหว๎ ัชพืชเพียงไมกํ ี่ชนิดสามารถมีชวี ติ รอดอยํไู ด๎ แตกํ ระนัน้ กย็ งั ตอ๎ ง อาศัยการถอนด๎วยมือ หรอื เครอ่ื งมือในการไถกลบ วธิ แี บบพ้ืนบา๎ นเป็นนีเ้ ปน็ งานทีก่ ินเวลาและ ทาใหป๎ วดหลงั ซึ่งเป็นงานท่ตี อ๎ งทาแลว๎ ทาเลําหลายคร้งั หลายหนในทุกฤดกู าลเพาะปลูก ในเดือนมิถุนายนอนั เป็นหน๎ามรสมุ ผมจะปลอํ ยให๎น้าทํวมขังในนาประมาณ ๑ อาทติ ย๑ มีวชั พืชเพยี งไมํก่ีขนดิ ทส่ี ามารถมีชีวิตรอดอยูไํ ดแ๎ ม๎ไมํมีออกซเิ จนในชวํ งเวลาส้นั ๆ พืชคลุมดนิ กพ็ ลอยเห่ียวเฉาและกลายเป็นสเี หลอื งไปดว๎ ย นไ่ี มใํ ชคํ วามคิดทีจ่ ะกาจดั พชื คลมุ ดิน เพยี งแตํ ทาใหม๎ นั ออํ นแอลง และเปิดโอกาสให๎ต๎นกล๎าเติบโตหย่งั รากมั่นคง เมื่อปลํอยน้าออก (เร็วท่ีสุด เทาํ ทเี่ ปน็ ไปได๎) พชื คลมุ ดนิ พวกนี้จะฟน้ื ตวั ขน้ึ ใหมํ และแพรํขยายไปคลมุ พนื้ ทน่ี าอีกครง้ั ภายใตต๎ ๎นขา๎ วท่โี ตขน้ึ หลงั จากนน้ั ผมกแ็ ทบไมทํ าอะไรเลยเก่ยี วกับระบบน้า ชวํ งคร่งึ แรกของ ฤดูผมจะไมใํ หน๎ า้ เลยแม๎ในปที ี่มฝี นตกน๎อยมาก เพราะดินท่ีอยใํู ตช๎ นั้ ฟางและพืชคลุมดินกย็ งั คง มคี วามชํุมช้นื พอถงึ เดอื นสิงหาคม ผมจะปลํอยนา้ เข๎านาเลก็ น๎อยเป็นครัง้ คราว แตํไมปํ ลอํ ยให๎ นา้ ทํวมขัง หากคณุ เอาต๎นขา๎ วจากนาของผมไปใหเ๎ กษตรกรดู เขาก็จะร๎ูได๎ทันทวี ํามนั มลี ักษณะ ของต๎นข๎าวอยาํ งที่ควรจะเป็น และยงั มรี ูปทรงทเ่ี หมาะสมที่สุด เขาร๎อู ีกวําเมล็ดขา๎ วน้ันงอก ข้นึ มาตามธรรมชาติ และไมํใชกํ ารปกั ดา ต๎นขา๎ วนน้ั ไมํไดเ๎ ตบิ โตขึ้นมาในทีท่ ม่ี ีนา้ มาก อีกทั้งยงั

ไมไํ ด๎ใชป๎ ๋ยุ เคมี เกษตรกรคนไหนก็ได๎สามารถบอกสง่ิ เหลาํ นจี้ ากการมองดูรูปทรงโดยรวมของ ตน๎ ขา๎ ว รปู ทรงของราก และระยะหํางของข๎อทีล่ าตน๎ หากคุณร๎ูจักรูปทรงที่เป็นเลศิ ก็มาถงึ เร่ือง วาํ จะมวี ธิ ปี ลกู พืชใหม๎ ีรูปทรงเชํนนัน้ ภายใตเ๎ ง่อื นไขเฉพาะของทน่ี าของคณุ ได๎อยํางไร ผมไมเํ หน็ ด๎วยกบั ความคิดของศาสตราจารยม๑ ัทซชึ ิมาํ ที่วํา ตน๎ ข๎าวทด่ี ที ส่ี ดุ นน้ั ใบที่ ๔ นับจากยอดจะเปน็ ใบยาวทสี่ ดุ บางครง้ั ใบที่ ๒ หรือ ๓ ยาวทสี่ ดุ แตไํ ด๎ผลท่ีดที ่ีสดุ เชํนกัน ถ๎า ควบคุมการเจริญเตบิ โตของต๎นขา๎ วขณะทยี่ ังเล็กอยูใํ บบนสุดหรอื ใบท่ี ๒ มักจะยาวทีส่ ดุ แตํ ปริมาณผลผลิตก็ยงั คงสงู อยเูํ ชนํ เดมิ ทฤษฎีของศาสตราจารย๑มทั ซชึ มิ าํ มาจากการทดลองปลกู ข๎าวทีอ่ อํ นแอในแปลงเพาะ และใช๎ปุ๋ยชวํ ย หลังจากนั้นก็นามาปกั ดา ในอกี ด๎านหนึง่ ขา๎ วของผมปลูกตามวงจรชวี ิตของต๎น ขา๎ วตามธรรมชาติ เหมอื นกบั วาํ มนั เตบิ โตของมนั เอง ผมรอคอยอยาํ งอดทนใหต๎ ๎นขา๎ วเตบิ โต และสกุ เต็มทตี่ ามวถิ ที างของมนั เอง หลายปมี าน้ี ผมลองปลูกข๎าวเหนยี วพนั ธ๑ุเดิมจากทางภาคใต๎ แตํละเมล็ดท่หี วาํ นในฤดู ใบไม๎รํวง จะงอกเป็นตน๎ โดยเฉลย่ี ๑๒ ต๎น และใหเ๎ มล็ดถงึ รวงละ ๒๕๐ เมล็ด จากขา๎ วพันธ๑นุ ้ี ผมเชอ่ื วําสกั วันหน่งึ ผมจะสามารถเกบ็ เก่ียวผลผลิตได๎ใกล๎เคียงกับปริมาณ ซึ่งคานวณกันวําเปน็ ขีดสงู สดุ เทาํ ทพ่ี ลงั งานแสงอาทิตยใ๑ นทอ๎ งนาจะสามารถผลติ ได๎ ทนี่ ี่บางแปลงของผมได๎ผล ผลิตจากขา๎ วพันธ๑นุ ี้ถงึ ๒๗ ๑/๒ บเู ชล (๗๕๐ กิโลกรัม) ตอํ ท่ีดิน ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไรํ) เม่ือมองจากสายตาทลี่ ังเลสงสัยของนกั เทคนคิ วธิ กี ารปลูกข๎าวของผมอาจกลาํ วไดว๎ าํ เปน็ เรือ่ งระยะส้นั หรอื ผลชว่ั คราว พวกเขาอาจจะพูดวํา \"หากการทดลองน้กี ินเวลาตอํ เน่อื ง ยาวนานขน้ึ ปญั หาบางอยาํ งจะตอ๎ งปรากฏข้ึนอยาํ งไมตํ ๎องสงสัย\" แตผํ มไดป๎ ลกู ขา๎ วด๎วยวธิ ี เชํนนี้มากวาํ ๒๐ ปีแลว๎ ผลผลติ เพิ่มข้ึนอยํางตอํ เนอ่ื ง และดินกอ็ ุดมสมบูรณ๑ข้ึนทุกปี กลบั ขนึ้ ไปทีห่ ัวข้อเร่ือง้ภาค ๒ ๒.๕ ไมส้ วน

ผมปลกู สม๎ ไว๎หลายพนั ธ๑ุแถบเชงิ เขาใกล๎บา๎ น เมือ่ ผมกลับมาทาเกษตรอีกครง้ั หลัง สงครามโลก ผมเรม่ิ ทาสวนส๎มในทีด่ ิน ๑ ๓/๔ เอเคอร๑ (๓.๙ ไร)ํ และทานาในพน้ื ที่ ๓/๘ เอเคอร๑ (๐.๘ ไร)ํ แตปํ จั จบุ ันเฉพาะสวนสม๎ กินเนือ้ ทถ่ี งึ ๑๒ ๑/๒ เอเคอร๑ (๓๑.๒ ไรํ) ผมเป็น เจ๎าของทด่ี นิ แถบนโ้ี ดยการจบั จองทด่ี ินข๎างเขาซง่ึ เปน็ ที่รกรา๎ งวาํ งเปลํา หลงั จากนัน้ ผมก็เริ่ม ถากถางมนั ด๎วยมือของผมเอง ต๎นสนตามท่ีลาดเชิงเขาทงั้ หลายถกู โคนํ ลงหลายปีกอํ นหนา๎ นี้ สิ่งท่ีผมทาก็คอื การขดุ หลมุ ตามแนวสนั เขา และปลูกชาต๎นสม๎ เม่ือเวลาผาํ นไปกิง่ ก๎านกเ็ รม่ิ แตกออกจากตอตน๎ สน และหญ๎าตระกูลแขมและเลา รวมทงั้ หญา๎ คาและผักกดู ก็เติบโตขนึ้ ตน๎ ออํ นของสม๎ ก็ถกู กลืน หายไปทาํ มกลางพงพฤกษชาติ ผมตดั ต๎นออํ นของสนออกไปเปน็ สวํ นใหญํ แตํเหลอื บางสวํ นไว๎เปน็ แนวกนั ลมทาง ดา๎ นหลัง จากนั้นผมกต็ ัดพมํุ ไม๎หนาแนํนออกบา๎ ง และถางหญ๎าคลุมดินออกพร๎อมกับปลูกพืช จาพวกถว่ั เชนํ โคลเวอรแ๑ ทน ๖-๗ ปใี ห๎หลังตน๎ สม๎ กเ็ รม่ิ ออกผล ผมขดุ ดนิ ด๎านหลังของตน๎ ไม๎ออก เพื่อทาให๎เปน็ ข้ันบันได และสวนในตอนน้ีกเ็ ร่ิมดูแปลกตากวาํ ของผอู๎ นื่ ไปบ๎าง ผมยังคงรักษาหลักการทีว่ าํ ไมมํ กี ารไถพรวนดิน ไมใํ ช๎ป๋ยุ เคมี ไมํใชย๎ าฆาํ แมลง และไมํ กาจัดวัชพืช สิง่ ทีน่ ําสนใจประการหนึง่ ก็คือ เมือ่ ตน๎ อํอนเติบโตขึ้นภายใตไ๎ ม๎ปุาที่เรม่ิ แตกยอด ใหมํ ไมปํ รากฏวํามีแมลงศัตรพู ืชอยาํ งเพลี้ยหอยหวั ธนู (arrowhead scale) ตอํ เมือพํุมไมท๎ ่ี หนาแนํนและต๎นไมท๎ ีแ่ ตกยอดใหมํนนั้ ถูกถางออก จึงทาใหท๎ ดี่ นิ รกเร้อื น๎อยลงและดเู ปน็ สวน มากข้นึ เม่อื นั้นแหละท่แี มลงเหลาํ นนั้ จะปรากฏข้ึน การปลํอยให๎ไม๎ผลเตบิ โตตามลกั ษณะธรรมชาติของมันตั้งแตํต๎นจะเปน็ การดที ีส่ ดุ ต๎นไมจ๎ ะให๎ผลทกุ ปี และไมมํ ีความจาเปน็ ทีต่ อ๎ งตัดแตํงกง่ิ ใบ ต๎นสม๎ จะเตบิ โตในลกั ษณะ เดยี วกับตน๎ ซีดารแ๑ ละตน๎ สน กลาํ วคอื มีลาต๎นกลางสูงตรงและมีก่ิงก๎านงอกสลับสบั หวาํ งกนั แนํนอน สม๎ ทกุ พนั ธ๑ไุ มํได๎มขี นาดหรือรูปทรงแบบเดยี วกันทัง้ หมด อยาํ งเชนํ สม๎ ฮาซากุ และสม๎ โอ จะมลี าตน๎ สงู มาก สม๎ อนุ ซูพันธ๑ฤุ ดูหนาวจะมลี กั ษณะเต้ยี ปูอม สํวนสม๎ พนั ธซ๑ุ ัทซมู ํา ตน๎ เลก็ แมเ๎ ม่ือโตเต็มที่แล๎ว แตสํ ๎มทุกพันธ๑ุจะมลี าตน๎ กลางแบบเดยี วกนั อย่าฆ่าสตั วก์ นิ แมลงตามธรรมชาติ ผมคิดวําทกุ คนคงจะรูว๎ า แมลงศัตรูพืชทพ่ี บทัว่ ไปในสวน เชนํ เพล้ียหอยแดง(Ruby scale) และเพลยี้ หอยขีผ้ ้ึงมีเขา (horned wax scale) มศี ตั รูตามธรรมชาติของมันอยํูจึงไมํมี ความจาเปน็ ต๎องใชย๎ าฆาํ แมลงเพื่อควบคมุ ศตั รูพืชเหลําน้ี เมื่อยาฆําแมลงเชนํ ฟโู ซล (Fusol) ถกู นามาใชใ๎ นญ่ปี ุนสัตว๑กินแมลงตามธรรมชาตจิ ะถูกทาลายไปอยํางส้นิ เชงิ และปัญหาจาก ผลลัพธ๑ดังกลาํ วยังคงมอี ยํใู นหลายแหํง จากประสบการณ๑นี้ ผมคิดวําเกษตรกรสํวนใหญเํ ริม่ จะ ตระหนกั วํา การกาจัดศัตรตู ามธรรมชาตขิ องแมลงเป็นส่งิ ไมํพงึ ปรารถนา เพราะวาํ ในระยะยาว แล๎วความเสยี หายจากแมลงจะเพม่ิ มากขน้ึ สาหรับตัวไรและเพล้ยี หอยทีเ่ กิดขนึ้ หากใชน๎ ้ามันเคร่อื งทเ่ี จือจางประมาณ ๒๐๐-๔๐๐

เทํา ซึง่ เปน็ สารเคมีท่ีไมํมอี นั ตรายตํอศัตรูตามธรรมชาติของเเมลงเม่อื เทียบกบั ชนิดอ่ืน ฉีดพนํ บาง ๆ ในกลางฤดูรอ๎ น และปลํอยใหช๎ มุ ชนแมลงปรบั สมดุลตามธรรมชาติ หลงั จากนน้ั ปัญหา ตําง ๆ กจ็ ะคํอย ๆ แกไ๎ ขได๎ดว๎ ยตวั มนั เอง แตนํ ่ีจะไมไํ ดผ๎ ล หากใช๎อินทรยี ส๑ ารพวกฟอสฟอรัส* เป็นยาฆําแมลงในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม เพราะวาํ ศตั รูตามธรรมชาตขิ องแมลงจะพลอย ถูกฆําไปดว๎ ย ผมไมไํ ดห๎ มายความวําจะสนับสนนุ ใหใ๎ ช๎สงิ่ ทีเ่ รียกวํายาพํนแบบ \"อินทรีย๑สาร\" ท่ี ปราศจากอนั ตรายเปน็ สารละลายเกลอื กระเทยี ม หรือ น้ามนั ข้โี ล๎ หรือมคี วามพอใจท่จี ะนาศัตรู ธรรมชาตขิ องแมลงพนั ธ๑ุตาํ งประเทศเขา๎ มาในสวนผลไม๎เพื่อควบคมุ พวกแมลงนําราคาญ เหลํานนั้ แตอํ ยาํ งใด การทีต่ น๎ ไม๎เกดิ อํอนแอและถูกรบกวนจากแมลง เพราะมนั ไดเ๎ บย่ี งเบนออก จากลักษณะตามธรรมชาติของมัน หากตน๎ ไมเ๎ ติบโตในลักษณะทผ่ี ิดธรรมชาติ แลว๎ ถกู ปลอํ ย ปละละเลยในสภาพนนั้ กงิ่ ก๎านของมนั จะงอกไขวซ๎ อ๎ นกนั ไปมา และผลก็คอื แมลงจะรุมทาลาย ผมไดเ๎ ลําใหฟ๎ ังแล๎ววาํ ผมได๎ทาใหต๎ น๎ ส๎มตายไปหลายเอเคอรเ๑ พราะการทาเชํนนี้ แตถํ า๎ เราคํอย ๆ แก๎ไขให๎ต๎นไมไ๎ ดเ๎ ตบิ โตอยาํ งถูกต๎องแลว๎ มันกจ็ ะกลับไปสลํู ักษณะ ตามธรรมชาติของมัน ต๎นไม๎จะแขง็ แรงขนึ้ และวิธกี ารควบคมุ แมลงก็จะเป็นสงิ่ ไมํจาเปน็ หาก เราปลกู ตน๎ ไมอ๎ ยาํ งระมดั ระวัง และปลํอยใหม๎ นั เป็นไปตามลกั ษณะธรรมชาติของมนั ต้งั แตตํ น๎ ไมมํ คี วามจาเป็นตอ๎ งตดั แตํงกงิ่ ใบหรอื พนํ ยาชนิดใดเลย ต๎นอํอนสํวนใหญํจะได๎รับการตดั แตงํ กง่ิ หรอื มิฉะนนั้ รากของมนั ก็จะถูกทาให๎เสยี หายตัง้ แตํอยํใู นเรือนเพาะกอํ นท่จี ะนามาปกั ชาใน สวน ซึ่งทาใหก๎ ารตดั แตํงกง่ิ เป็นส่งิ จาเป็นตง้ั แตํเร่ิมต๎น ผมพยายามปลูกพืชหลายชนดิ เพอ่ื ปรับปรุงดนิ ในสวน ในบรรดาพชื เหลําน้ผี มปลูกต๎น โมรชิ ิมํา อะคาเซีย ต๎นไมช๎ นิดนี้เตบิ โตตลอดทงั้ ปี แตกตาใหมทํ ุกฤดกู าล เพล้ยี ออํ นชนดิ ตําง ๆ (aphids) ทก่ี ินตาออํ นของตน๎ ไมก๎ เ็ รมิ่ ขยายพันธุ๑อยํางรวดเร็ว แมลงเตาํ ลาย (lady bug) ที่ อาศยั กนิ เพลยี้ ออํ นเหลาํ นี้ ในไมชํ า๎ ไมํนานกแ็ พรํขยายพนั ธุ๑เพมิ่ ขนึ้ เมอื่ มนั กินเพล้ยี อํอนจนหมด มนั จะไตํลงมาหาตน๎ สม๎ และเรม่ิ กนิ แมลงชนิดอืน เชนํ ไร เพลย้ี หอยหัวธนู และเพลย้ี หอยนวม สาย (cottony - cusion scale) การปลกู ไม๎ผลโดยไมตํ ดั แตงํ กง่ิ ใบ ไมใํ ช๎ปยุ๋ และไมใํ ช๎ยาพํนจาพวกสารเคมีจะเป็นไป ได๎ก็แตใํ นสภาพแวดล๎อมทเี่ ป็นธรรมชาติเทาํ นน้ั * สารพวก organs-phosphate เชนํ พาราไธออน มาลาไธออน ฯลฯ : ผ๎แู ปล กลับข้นึ ไปทีห่ วั ข้อเร่ือง้ภาค ๒ ๒.๖

ดินสวน การปรับปรงุ ดนิ ถือเป็นเร่อื งพ้ืนฐานของการจดั การเก่ยี วกบั สวน หากวําคณุ ใช๎ ป๋ยุ เคมีต๎นไม๎จะโตข้ึนก็จริงอยูํ แตปํ แี ลว๎ ปเี ลาํ ดนิ จะจืดลงตามลาดับ ปุ๋ยเคมีจะสบู เอาความอุดม สมบรู ณข๑ องแผํนดินไปจนหมด และด๎วยการทาเพยี งเทาํ น้นั แคํชัว่ รํนุ เดยี ว ดินจะเสียหายอยาํ ง เห็นได๎ชัด ไมมํ ีวิธีการในการทาเกษตรทสี่ ขุ มุ รอบคอบยง่ิ กวาํ หนทางทีช่ ํวยให๎เกดิ การฟืน้ ฟสู ภาพ ดินอยํางสมบูรณ๑ เมอื่ 20 ปีทแี่ ลว๎ โฉมหนา๎ ของภเู ขาลกู นเี้ ป็นเขาหวั โล๎นดนิ เปน็ สแี ดง แข็ง กระดา๎ งจนคุณไมํสามารถใชจ๎ อบหรอื เสยี มลงบนดินไดเ๎ ลย ท่ีดนิ รอบ ๆ บริเวณนกี้ ม็ ลี กั ษณะ เดยี วกัน ชาวบา๎ นแถบนป้ี ลกู มัน จนกระทัง่ ดนิ หมดสภาพอดุ มสมบรู ณ๑ และหลงั จากนั้นทีด่ นิ แถบ นี้กถ็ กู ปลํอยใหร๎ กรา๎ งวาํ งเปลาํ อาจพดู ไดว๎ าํ ผมชํวยฟ้ืนฟคู วามอดุ มสมบรู ณ๑ของดนิ ที่นีข้ น้ึ มาอกี คร้ังย่ิงกวําจะพูดวาํ ผมมาปลูกส๎มและพืชผักท่ีนี่ เรามาพดู กันถงึ วิธที ่ผี มไดฟ๎ ืน้ สภาพอ๎นแห๎งแล๎งของท่ีลาดเชิงเขาแหงํ นีก้ ันสกั หนอํ ย หลงั สงครามโลก เทคนคิ ในการไถพลิกดนิ ขนาดลกึ เพื่อทาสวนสม๎ และขดุ หลุมเพอื่ เตมิ ปุย๋ อนิ ทรยี เ๑ ปน็ เทคนิคที่ไดร๎ บ๎ การสนับสนนุ เมอ่ื ผมออกจากศนู ยว๑ จิ ัย ผมไดล๎ องใช๎วธิ นี กี้ ับสวนของ ผมเอง หลายปตี อํ มา ผมไดข๎ ๎อสรปุ วําวธิ ีการเชํนนี้ นอกจากจะทาลายสภาพทางกายภาพแล๎ว ยังไมมํ ีสวํ นในการชวํ ยฟ้ืนฟูสภาพดนิ เอาเสยี เลย ตอนแรกผมเอาฟางและต๎นเฟิรน๑ ซึ่งผมนาลงมาจากหลังเขามาใสํหลุมฝงั ไว๎ การขน ของหนักถงึ ๙๐ ปอนด๑ (๔๐.๙ กโิ ลกรัม) หรอื กวําน้ันเป็นงานใหญมํ าก แตํหลงั จากน้ัน ๒-๓ ปี กไ็ มมํ แี ม๎เพียงฮิวมัสสกั ฝุามอื หน่งึ ยิ่งกวาํ น้นั หลมุ ทผ่ี มขดุ ไวใ๎ สอํ นิ ทรยี ๑วตั ถกุ พ็ งั ยุบไป กลายเปน็ เพยี งหลุมโลงํ ๆ ตอํ มาผมพยายามใหมดํ ว๎ ยการฝงั เศษไม๎ ดูเหมอื นวาํ ฟางจะเปน็ ตัวชํวยที่ดที ่สี ุดในการ ฟื้นฟูสภาพดิน แตถํ ๎าพจิ ารณาจากปริมาณขององคป๑ ระกอบของดนิ เศษไมจ๎ ะดีกวาํ วธิ ีนี้จะดี ตราบเทําทย่ี งั มีไมไ๎ หต๎ ัด แตํสาหรับบางคนทีไ่ มมํ ตี น๎ ไมใ๎ กล๎ ๆ ยํอมเป็นการดกี วาํ ทีจ่ ะปลูกต๎นไม๎ ในสวนโดยตรง ย่ิงกวําจะไปขนไมม๎ าจากท่ีไกล ๆ ในสวนของผมมีต๎นซีดาร๑ ตน๎ สน ต๎นสาลอี่ ยํู ๒-๓ ต๎น ตนพลับ ป่แี ปั ตน๎ เชอรญิ่ ี่ปนุ และ ไมผ๎ ลพื้นบ๎านอกี หลายชนดิ ข้นึ ปะปนอยํูกับต๎นสน ต๎นไมท๎ ่นี ําสนใจท่ีสดุ ต๎นหนง่ึ ซงึ่ แมจ๎ ะไมใํ ชํ ไม๎พ้ืนบ๎าน คอื ต๎นโมรชิ ิมํา อะคาเซีย เปน็ ตน๎ เดยี วกบั ทผี่ มกลําวถึงกอํ นหน๎าน้ี ท่มี ีสํวนสัมพนั ธ๑ กบั การสงวนรกั ษาศัตรูตามธรรมชาติของแมลงรวมท้งั แมลงเตาํ ลาย ต๎นไมช๎ นิดนเ้ี ปน็ ไมเ๎ นือ้ แขง็ ดอกของมนั จะดงึ ดูดผ้งึ มาหาน้าหวาน ใบของมนั เหมาะสาหรับเลย้ี งสตั ว๑ ท้งั ยังชํวยปูองกนั แมลงในสวนและชํวยกนั ลม นอกจากนี้บกั เตรที ี่อาศยั อยํูในรากยงั ชวํ ยทาใหด๎ นิ อดุ มสมบูรณ๑ ต๎นไม๎พันธ๑ุน้นี าเข๎ามายงั ญีป่ ุนจากประเทศออสเตรเลยี เม่ือหลายปกี อํ นและเป็นไม๎โต เร็วกวาํ ต๎นไม๎ชนดิ ใดท่ผี มเคยพบมา รากของมันจะหยง่ั ลกึ ลงในดนิ เพียงชวั่ เวลาไมํกีเ่ ดอื น และ เพียง ๖-๗ ปีให๎หลังลาตวั ของมนั จะสูงเทํา ๆ กบั เสาโทรศัพทท๑ เี ดยี ว นอกจากนี้ ต๎นไม๎พันธุ๑นี้ ยงั เปน็ ตวั ตรึงไนโตรเจน ดงั น้ันหากปลกู ต๎นไม๎ชนดิ น้ีสัก ๖-๑๐ ตน๎ ในพื้นท่ี ๑/๔ เอเคอร๑ (๐.๖ ไร)ํ มันจะชวํ ยให๎เกดิ การฟืน้ ฟูสภาพดนิ จนถงึ ชนั้ ดินทอ่ี ยูลํ กึ ลงไป และกไ็ มมํ คี วามจาเปน็ ตอ๎ ง ทนหลังขดหลังแข็งในการขนลากไมจ๎ ากภูเขาเพื่อมาทาปุ๋ย สาหรับการบารุงหนา๎ ดนิ ผมจะหวาํ นเมลด็ ไวท๑ โคลเวอร๑ และหญ๎าอลั ฟลั ฟุาบนพน้ื ดนิ ทีแ่ ห๎งแล๎ง เปน็ เวลาหลายปีกวําพชื คลมุ ดินเหลํานจี้ ะสามารถเกาะหนา๎ ดนิ ได๎ แตใํ นท่ีสดุ มนั ก็

สามารถข้ึนครอบคลมุ พืน้ ทใ่ี นสวนบรเิ วณเชิงเขาแหงํ นี้ ผมปลกู หวั ไชเทา๎ ญป่ี ุนทเี่ รยี กวาํ ไดกอน ไวด๎ ๎วย รากของมันจะชอนไชลกึ ลงไปในดิน นาเอาอินทรยี ๑สารลงไปในดนิ และเปิดทางใหก๎ าร หมนุ เวียนของอากาศและนา้ ดีขน้ึ มนั ขยายพันธไ๑ุ ด๎งําย และหลงั จากหวาํ นไปแลว๎ คร้งั หน่งึ คุณก็ แทบจะลืมมันไปไดเ๎ ลย เมือ่ ดินมีความอุดมสมบรู ณขึ้น วัชพชื ก็เรม่ิ จะกลบั มาอกี ครงั้ ๗-๘ ปีใหห๎ ลัง พืชจาพวก ถั่วทปี่ ลูกไว๎คลุมดนิ ก็แทบจะกลืนหายไปทาํ มกลางวชั พืช ผมจงึ หวํานเมลด็ โคลเวอรเ๑ พ่มิ ลงไป อกี เล็กน๎อย ในตอนปลายฤดูร๎อนหลงั จากตัดวัชพชื ออกไป* ผลจากพืชคลุมดนิ จาพวกถวั่ และ วัชพืชทขี่ นึ้ หนาแนํนเปน็ เวลากวาํ ๒๕ ปีทาให๎หน๎าดนิ ในสวนแหํงนีท้ ี่เคยแขง็ กระดา๎ งและมสี ี แดงคํอย ๆ ออํ นตวั ลงและมสี ีดา ท้ังยงั อดุ มไปด๎วยไส๎เดือนและอนิ ทรยี ๑วตั ถุ เมื่อพชื คลมุ ดินไดช๎ วํ ยฟนื้ สภาพหนา๎ ดิน ในขณะเดยี วกนั รากของต๎นโมริชิมา อะคาเซีย ก็ชํวยฟืน้ ฟสู ภาพดินทีอ่ ยํูลกึ ลงไป คณุ ก็ไมมํ ีความจาเป็นต๎องใชป๎ ๋ยุ และไถพลกิ ดินระหวาํ งไม๎ ผลในสวนอกี สภาพในสวนผลไมจ๎ ะมีตน๎ ไมส๎ งู ๆ สาหรบั กันลม ตน๎ ส๎มอยูํตรงกลาง และพชื คลุม ดินอยูํเบอ้ื งลาํ ง ผมได๎พบวธิ ีทีจ่ ะอยูอํ ยาํ งสบาย ๆ และปลํอยใหส๎ วนจัดการทุกอยาํ งดว๎ ยตัวมัน เอง * ระหวาํ งฤดูรอ๎ น ฟกู ูโอกะจะตัดวชั พชื ไมห๎ นาม และต๎นอํอนของพชื ท่ีขน้ึ อยํูใต๎ไม๎ผลในสวนโดยใช๎เคยี ว กลบั ขึน้ ไปท่หี ัวขอ้ เรอ่ื ง้ภาค ๒ ๒.๗ ปลูกผักบ้านแบบผกั ป่า เรามาพดู ถงึ การปลกู พชื ผกั สกั หนํอย เราอาจจะใช๎สวนหลงั บ๎านเปน็ ทป่ี ลูกผักสวน ครวั เพอื่ เลย้ี งดูคนในครอบครวั หรือมฉิ ะนนั้ ก็อาจจะปลูกบนทีด่ ินวําง ๆ ทไ่ี มใํ ชป๎ ระโยชน๑ก็ได๎ สาหรับสวนหลงั บา๎ น ขอแนะนาวาํ คุณควรปลูกผกั สวนครัวชนิดที่เหมาะสมในเวลาที่ เหมาะเจาะ ในแปลงท่ีเตรียมด๎วยปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกตามธรรมชาติ วิธีการปลูกพืชผักตาม ตารางสวนครัวแบบเกาํ ของญปี่ ุนนั้นสอดคล๎องเป็นอยาํ งดกี ับแบบแผนตามธรรมชาตขิ องชีวติ เดก็ ๆ จะเลนํ กนั ใต๎ต๎นไม๎ในสวนหลังบ๎าน สํวนหมกู ก็ นิ เศษอาหารที่เหลือจากครวั และรากไม๎ ตามดิน หมาจะเลนํ และสงํ เสียงเหาํ ในขณะทีเ่ กษตรกรจะหวาํ นเมล็ดพืชในดินอนั อดุ ม ตัว

หนอนและแมลงเติบโตขึน้ พรอ๎ มกับพืชผกั ไกํจิกหนอนและวางไขํไวไ๎ ห๎เดก็ ๆ ได๎กนิ ครอบครัวชนบทที่เป็นแบบฉบับของญีป่ ุนจะปลกู พืชผกั ในลกั ษณะเชนํ นีจ้ นเม่ือราวไมํ เกนิ ๒๐ ปใี หห๎ ลังมาน้เี อง โรคพษิ จะปูองกนั ไดด๎ ๎วยการปลูกผกั พ้นื บา๎ นในเวลาที่เหมาะสม รักษาดินใหอ๎ ุดมด๎วย การนาของเหลอื ทีเ่ ป็นอินทรียส๑ ารใสกํ ลับไปในดนิ และปลกู พืชหมนุ เวียน แมลงท่ีทาอันตราย ตอํ พืชจะถกู จบั ทิง้ บ๎าง โดนไกํจิกกนิ ไปบา๎ ง ในภาคใต๎ของเกาะชิโกกุ มไี กพํ ันธหุ๑ นึ่งท่ีจะกนิ เฉพาะตัวหนอนและแมลงทอี่ ยํูบนพชื ผัก โดยไมคํ ุย๎ เข่ยี ทาลายต๎นผักและรากของมัน ชาวบ๎านบางสํวนอาจจะวิพากษ๑วิจารณ๑ในตอนแรกเก่ยี วกับการใชม๎ ูลสัตว๑และมลู คนวํา เปน็ วธิ กี ารโบรา่ โบราณและสกปรก ปัจจุบันผ๎คู นนิยมพชื ผกั ท่ี \"สะอาด\" ดว๎ ยเหตุน้ีเกษตรกรจึง ปลกู พืชผักในเรอื นกระจกโดยไมตํ ๎องอาศัยดินเลย การปลูกพชื ผักในกรวด ในทราย และในนา้ โดยไมอํ าศัยดนิ เลยกลายเป็นสิง่ ทที่ ันสมยั กวาํ พชื ผักเหลาํ น้ีปลกู โดยอาศัยสารเคมเี ป็นธาตุ อาหาร และอาศยั แสงซง่ึ สอํ งผาํ นผ๎าคลมุ เสน๎ ใยสงเคราะห๑ เป็นส่งิ ท่ีนําประหลาดทป่ี ระชาชน มองพืชผักเหลํานีว้ าํ เปน็ ของ \"สะอาด\" และปลอดภยั ท่ีจะนามากนิ อาหารที่ปลูกในดนิ ทม่ี ีความ สมดุลระหวาํ งการทางานของไส๎เดอื น จุลินทรีย๑ และการเนาํ เป่ือยของมูลสัตวน๑ ้ัน เป็นสิง่ ที่ สะอาดท่ีสุด และมีความอุดมสมบูรณ๑ในตวั มันเองทสี่ ดุ ย่งิ กวําสิ่งอ่นื ๆ การปลูกพชื ผกั ในลกั ษณะ \"ก่ึงผักปุา\" จะทาให๎ทวี่ าํ งทีม่ อี ยมํู ากมายรมิ ฝั่งแมนํ ้า หรือ ทด่ี ินโลํง ๆ ทไ่ี มํไดใ๎ ช๎ประโยชน๑นน้ั เกิดเปน็ ประโยชน๑ข้นึ มา ในความคิดของผม วิธปี ลูกพืชชนดิ นี้กค็ ือ เพยี งแตํโยนเมล็ดผักไปตามที่เหลําน้แี ละปลํอยใหม๎ นั โตขึน้ พรอ๎ มกับวชั พืช ตัวผมเอง ปลกู ผกั อยูขํ า๎ งภูเขาในทีว่ าํ งระหวาํ งตน๎ สม๎ สิง่ ท่สี าคัญคอื ตอ๎ งรวู๎ าํ เม่ือไหรํควรจะปลูก สาหรบั พชื ผกั ในฤดใู บไม๎ผลิเวลาท่ีควรปลูก คือ เมอื่ วัชพืชฤดูหนาวเรมิ่ เหย่ี วเฉาตายไป และกอํ นที่วัชพชื ในฤดูรอ๎ นจะทันงอก* ออกมา การ หวาํ นเมล็ดในฤดูใบไมร๎ วํ งควรหวํานเม่ือหญ๎าในฤดรู ๎อนกาลงั เฉาตาย และวัชพืชฤดหู นาวยังไมํ งอกออกมา เปน็ การดีท่ีสุดทจ่ี ะรอฝนซ่ึงจะตกติดตํอกนั เป็นเวลาหลายวัน ตัดวชั พชื ทคี่ ลมุ อยูํออก และหวํานเมล็ดพนั ธุ๑ผกั ไมจํ าเป็นตอ๎ งใช๎ดนิ กลบ เพียงแตเํ อาวัชพชื ทตี่ ดั แลว๎ คลุมลงไปบน เมล็ดผักเหลําน้นั เหมือนกับคลมุ ด๎วยฟาง วธิ ีนจี้ ะซอํ นเมลด็ ผักเหลาํ นัน้ จากนกและไกํ จนกวํามัน จะงอกเปน็ ต๎นอํอน ปกติแลว๎ ควรตดั วัชพชื ออกสัก ๒-๓ ครงั้ นเ่ี ป็นการเปดิ ทางใหต๎ ๎นออํ นของ พชื ผกั ได๎งอกแตํบางครั้งการตดั หนเดยี วกเ็ พยี งพอแลว๎ ท่ที ่วี ชั พืชและพืชคลุมดนิ จาพวกถ่วั ไมขํ ้นึ หนาแนํนเกนิ ไป คณุ สามารถหวาํ นเมลด็ พันธ๑ุ ผกั ลงไป ไกจํ ะจกิ กินไปบา๎ ง แตสํ ํวนใหญํจะงอกเปน็ ตน๎ ออํ น แตํถา๎ คณุ ปลกู เป็นแนว หรอื ยกคนั รํอง ก็มโี อกาสท่แี มลงปีกแข็งและแมลงชนดิ ตําง ๆ จะพากนั มากินเมล็ดผักเหลําน้ันเสียเปน็ จานวนมาก เพราะแมลงพวกนเ้ี ดนิ เป็นเส๎นตรง ไกกํ จ็ ะจดจาพืน้ ที่หยํอมท่เี ราได๎ถางไว๎ แลว๎ กจ็ ะ มาค๎ยุ เขยี่ หาอาหารบรเิ วณนั้น มนั เปน็ ประสบการณ๑ของผมทีพ่ บวํา จะเป็นการดที ่ีสดุ ท่จี ะหวําน เมล็ดไว๎ทโ่ี นนํ บา๎ ง ทน่ี ีบ่ า๎ ง พืชผักทีเ่ ติบโตในลักษณะน้จี ะแข็งแรงเกินกวาํ ท่เี ราคิด หากวํามันงอกเปน็ ต๎นอํอนกอํ น วชั พชื มนั ก็จะไมํถกู วัชพืชขึ้นปกคลุมในภายหลงั มผี กั บางชนิดเชนํ ผกั ป๋วยเล๎ง และแครอท ซ่ึง จะงอกได๎ไมเํ รว็ นัก ควรเอาเมล็ดแชนํ ้าไว๎ ๑-๒ วัน แล๎วเอาดนิ เหนียวหุ๎มเมล็ดไว๎ วิธนี จ้ี ะชวํ ย แก๎ปัญหาได๎ ถ๎าหวํานเมล็ดหัวไชเท๎า ผักกาดหวั และผกั ใบเขยี วชนิดตาํ ง ๆ ทข่ี ึ้นในฤดใู บไม๎รํวง ให๎

มากสักหนํอย ก็จะสามารถสู๎กับวชั พืชฤดหู นาวและต๎นฤดใู บไมผ๎ ลิ จะมีบางสํวนทไ่ี มํถูกเกบ็ เก่ยี ว และจะแตกหนอํ ใหมํด๎วยตัวมนั เองปีแล๎วปเี ลํา พวกนี้จะมรี สชาติแปลกออกไป และกนิ อรํอยเป็นพิเศษ เป็นภาพทีน่ ําตน่ื ตาต่นื ใจท่ไี ด๎เห็นพืชผกั ทีไ่ มํคน๎ุ เคยหลายชนิด เตบิ โตงอกงามข้ึนท่ี โนนํ บ๎างทน่ี บ่ี ๎างบนภูเขา หัวไชเทา๎ และผกั กาดหวั จะงอกพน๎ ดนิ คร่ึงหนง่ึ สํวนอกี ครง่ึ หนึ่งซํอน ตัวอยใํู นดนิ แครอทและเบอร๑ดอ๏ กส๑ จะมีลักษณะอว๎ น เต้ยี และมรี ากมากมาย ผมเชอ่ื วาํ รสฝาด และขมเล็กน๎อยของมัน คือลักษณะเดิมของมันเมอื่ ครง้ั ยังเป็นผกั ปุา กระเทียม หอมเล็ก และ กระเทียมต๎นเมอ่ื ปลกู แลว๎ ครั้งหนงึ่ มันกจ็ ะสามารถขยายพันธุด๑ ๎วยตวั มันเองปแี ล๎วปเี ลํา พชื จาพวกถว่ั ที่ใชบ๎ ริโภคฝักหรือเมลด็ เหมาะทจี่ ะหวาํ นในฤดูใบไมผ๎ ลิ ถวั่ ฝักยาว และ ถั่วแดงหลวง เป็นพืชทป่ี ลกู งํายและให๎ผลผลิตสูง การปลกู ถั่วจาพวกถ่วั แดงอาซกู ิ ถ่วั เหลือง ถัว่ ลาย และถั่วแดงหลวง การงอกเปน็ ตน๎ ออํ นได๎เรว็ เป็นส่งิ ทจ่ี าเป็น มนั จะงอกได๎ยากถ๎าขาด น้าฝน และคุณกต็ ๎องคอยดูแลมนั ให๎พน๎ จากนกและแมลง มะเขอื เทศและมะเขือยาว ไมแํ ขง็ แรงพอทีจ่ ะสู๎กับวัชพืชเมื่อมนั ยังเปน็ ตน๎ อํอนอยูํ ดังนนั้ จึงควรปลูกในแปลงเพาะกอํ นจนโตพอจงึ คํอยยา๎ ยลงดนิ มะเขอื เทศควรปลอํ ยให๎เลือ้ ย ตามดินแทนทจ่ี ะทารา๎ นให๎ รากจะงอกออกจากตาตามแนวลาตน๎ ใหญํ สํวนยอดอํอนกจ็ ะงอก ออกมาและใหผ๎ ล สาหรับแตงกวาพันธทุ๑ ีง่ อกเลอ้ื ยตามดนิ จะดีทส่ี ุด คุณจะต๎องดูแลตอนที่ยังเปน็ ตน๎ อํอน อยํู โดยการตดั วชั พืชให๎เป็นคร้งั คราว แตํหลงั จากนั้นมนั จะแขง็ แรง เอาไม๎ไผํหรือกง่ิ ไมป๎ กั ไว๎ ให๎มนั เล้ือยพนั วิธนี จี้ ะชํวยใหล๎ กู ของมนั อยํพู ๎นดินเปน็ การปัองกนั ไมํใหล๎ ูกเนําเปื่อย วธิ ีปลกู แตงกวาน้ีกใ็ ช๎กับการปลกู แตงเทศและนา้ เตา๎ ด๎วย มันและเผอื กเปน็ พชื ทีแ่ ขง็ แรงมาก ปลกู เพยี งครง้ั เดียวมนั ก็จะขึน้ ในทเ่ี ดิมทุกปีและไมํ เคยถูกวัชพืชข้ึนปกคลุม เวลาที่คณุ เก็บเก่ียวใหท๎ ้งิ บางสํวนไวใ๎ นดนิ ถา๎ ดินแข็งควรปลูกหัวไช เท๎ากอํ น เพราะเม่อื รากของมันโต มันจะชวํ ยพรวนดนิ และทาใหด๎ นิ ออํ นนํุมขึ้น และเพียงไมกํ ฤ่ี ดู ก็สามารถปลูกมันแทนได๎ ผมพบวาํ พชื คลุมดินจาพวกถ่ัวเชนํ ไวท๑ โคลเวอร๑ มีประโยชนใ๑ นการยบั ยงั้ การเติบโต ของวัชพืช มันจะขนึ้ อยาํ งหนาแนนํ และสามารถกาจัดวัชพชื ทีแ่ ข็งแรง เชนํ มักเวริ ท๑ และหญา๎ ตนี กา ถา๎ หวาํ นเมล็ดโคลเวอร๑คลุกเคล๎ากับเมลด็ พันธผุ๑ กั มนั จะทาหนา๎ ที่เป็นวตั ถคุ ลมุ ดนิ ท่ีมี ชีวิต ท่ีชวํ ยใหด๎ ินอุดมสมบรู ณแ๑ ละรกั ษาความช้ืนในดิน ทงั้ ชวํ ยให๎การระบายอากาศเป็นไปไดด๎ ี การหวํานเมลด็ โคลเวอรก๑ เ็ ชํนเดยี วกบั พืชผัก กลาํ วคอื สง่ิ สาคัญอยํูท่กี ารเลอื กเวลาท่ี เหมาะสม การหวํานในปลายฤดูรอ๎ นหรือฤดูใบไม๎รํวงจะดที สี่ ุด รากจะคํอยเติบโตในระหวําง เดือนท่ีหนาวเยน็ จนในทสี่ ุดลาต๎นจะโผลขํ น้ึ มาส๎ูกบั วัชพืชในฤดใู บไม๎ผลิ พืชคลุมดินจะทางาน ไดด๎ เี ชนํ กันถ๎าหวํานตอนตน๎ ฤดใู บไมผ๎ ลิ จะใชว๎ ธิ ีหวํานหรอื ปลูกเป็นแถวหาํ งกนั ชวํ งละ ๑๒ นว้ิ ก็ ได๎ เมอ่ื พืชคลุมดนิ สามารถขึ้นปกคลมุ พนื้ ท่ี คุณกไ็ มจํ าเป็นต๎องหวํานเมลด็ เพิ่มอกี เป็นเวลาถงึ ๕-๖ ปี จุดประสงค๑หลักในการปลกู ผักในลักษณะกึ่งผกั ปุาเชนํ น้ี ก็เพอื่ ใหก๎ ารปลูกผกั เปน็ ธรรมชาตมิ ากเทําท่ีจะเปน็ ได๎ในทดี่ ินซง่ึ ถกู ท้ิงไวไ๎ มํใชป๎ ระโยชน๑อยํแู ลว๎ ถ๎าคณุ พยายามใช๎ วิธกี ารทีพ่ ัฒนามากกวําน้ี หรอื เพอื่ จะเพิม่ ผลผลิต คุณจะพบกับความลม๎ เหลว ความล๎มเหลว สํวนใหญจํ ะเกดิ จากแมลงและโรค ถา๎ สมนุ ไพรและพนั ธุ๑ผกั หลายชนิดถูกนามาคลกุ เคลา๎ กัน และปลกู ทาํ มกลางพืชพนั ธธุ๑ รรมชาติอนื่ ๆ ความเสยี หายจากแมลงและโรคพืชจะมีน๎อย และไมํ

จาเปน็ ต๎องใช๎ยาพนํ หรือจับแมลงเจาะกินพชื ผกั คุณสามารถปลูกผกั ท่ไี หนก็ได๎ทม่ี ีวชั พชื หลายชนดิ ขน้ึ อยูมํ ากมาย ความสาคญั อยํทู ี่ ต๎องค๎นุ เคยกบั วงจรในแตํละปี และแบบแผนการเติบโตของวัชพืชและหญ๎าจากการดคู วาม หลากหลายและขนาดของวัชพืชในที่แหงํ ใดแหงํ หนงึ่ คุณกจ็ ะสามารถรู๎ชนดิ ของดนิ และสภาพ วํามคี วามอุดมสมบูรณห๑ รือไมํ ในสวนของผม ผมปลูกเบอร๎ด๏อกซ๑ กะหลา่ ปลี มะเขือเทศ แคร็อท ผกั โสภณ ถวั่ ผักกาดหวั และสมนุ ไพรหลายชนิด รวมท้งั พชื ผักจานวนมากในลักษณะก่ึงผักปาุ เชนํ น้ี * วิธปี ลูกผกั เชํนน้ีไดพ๎ ัฒนามาโดยอาศัยการทดลองของฟกู โู อกะ ซ่งึ สัมพนั ธ๑กับเงื่อนไขของทอ๎ งถนิ่ ที่ท่เี ขาอยํู อาศยั จะมีฝนในฤดใู บไม๎ผลซิ ง่ึ เป็นเรืองแนนํ อน และอากาศอนํุ พอท่ีจะปลูกผักได๎ทกุ ฤดกู าล อาศัยการทดลองเป็น เวลาหลายปี เขาเรียนรูว๎ ามผี ักชนดิ ไหนทีสามารถข้ึนพร๎อมกบั วัชพืชชนดิ ใด และต๎องการดูแลแบบไหน วิธีการเฉพาะของฟูกูโอกะในการปลกู พืชผกั น้ี ไมเํ หมาะสมกับพ้ืนทส่ี ํวนใหญํทางอเมรกิ าเหนือ การปลกู ผักในลักษณะก่งึ ผกั ปาุ เชํนนีต้ อ๎ งขน้ึ อยกํู ับเกษตรกรแตลํ ะคน ที่จะพัฒนาวิธีการให๎เหมาะสมกับท่ดี ินและพืชผัก ตามธรรมชาตใิ นทอ๎ งถ่นิ ของตน กลับข้นึ ไปทหี่ วั ขอ้ เร่ือง้ภาค้๒ ๒.๘ เวลาแห่งการละเลิกสารเคมี ทกุ วนั นี้การปลกู ข๎าวเจ๎าญป่ี นุ กาลงั อยูํ ณ ทางแยกที่สาคัญ ท้งั เกษตรกรและ ผู๎เชย่ี วชาญลว๎ นอยใูํ นความสบั สนวําควรจะเดินไปบนเสน๎ ทางใด จะใชว๎ ธิ ปี กั ดาหรอื เปล่ยี นไปใช๎ วิธหี วาํ นเมล็ดโดยตรง และถา๎ เปน็ วิธหี ลงั จะเลือกการไถพรวนดินหรือไมํไถพรวนดนิ ผมไดพ๎ ูด มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแลว๎ วาํ การหวาํ นเมล็ดโดยตรงลงไปในดนิ ท่ไี มํไถพรวน จะคํอย ๆ พิสูจนใ๑ ห๎ เห็นวําเปน็ วธิ ีการทีด่ ที ่สี ดุ ความแพรหํ ลายอยํางรวดเรว็ ของวธิ หี วาํ นเมล็ดโดยตรง ซง่ึ เกดิ ขึน้ แล๎วในจงั หวดั โอคายามาํ เปน็ สิ่งยนื ยันไดอ๎ ยาํ งดี อยาํ งไรก็ตาม ยงั มคี นจานวนหน่งึ ทีก่ ลาํ ววําการเปลีย่ นไปทาการเกษตรท่ไี มํใชส๎ ารเคมี เพอื่ สนองตอบความจาเปน็ ทางอาหารในระดบั ชาตินัน้ เปน็ เรื่องเหลอื เช่ือ พวกเขากลาํ ววาํ การ ใชส๎ ารเคมเี ป็นสิง่ จาเป็นในการควบคุมโรคข๎าวทีส่ าคญั ๓ ชนดิ คอื โรคลาต๎นเนาํ (stem rot) โรคใบไหม๎และโรคขอบใบแห๎ง (bacterial leaf blight) แตํถ๎าเกษตรกรเลกิ ใช๎พนั ธ๑ุข๎าว \"ปรบั ปรุง\" ทอ่ี ํอนแอพวกนัน้ ไมใํ สปํ ุ๋ยไนโตรเจนมากเกนิ ไปในดนิ และลดปรมิ าณน้าขงั เพื่อให๎ รากสามารถเติบโตแข็งแรงขึน้ โรคเหลาํ นจี้ ะหมดไป และยาพนํ สารเคมเี หลํานี้ก็จะกลายเป็นสงิ่

ไมจํ าเปน็ ในตอนแรก ดินสีแดงในทน่ี าของผมขาดความอุดมและไมเํ หมาะทจ่ี ะปลูกขา๎ ว โรคใบ จดุ สนี ้าตาล (brown spot) กม็ ักจะเกดิ ขึ้น แตํเมื่อทีน่ าคอํ ย ๆอดุ มสมบูรณข๑ ้นึ โรคใบจดุ สี นา้ ตาลก็ลดน๎อยลง หลงั จากน้นั ก็ไมํเคยปรากฏวํามีโรคระบาดเลย ปัญหาการรบกวนจากแมลงก็เชํนเดียวกนั สิง่ ท่สี าคญั ท่สี ุดคอื ตอ๎ งไมํฆําศัตรตู าม ธรรมชาตขิ องแมลง การปลอํ ยให๎ท่ีนาจมอยํูในน้าขังท่นี ิ่งและเนําเสยี ทาใหเ๎ กิดปญั หาทางดา๎ น แมลงด๎วยเป็นกัน แมลงศตั รูพชื ที่กอํ ความยงํุ ยากที่สุดคอื เพล้ียจักจัน่ ในหนา๎ รอ๎ นกบั ฤดใู บไม๎ รํวงพวกนนั้ สามารถควบคุมไดถ๎ ๎าไมํปลํอยให๎นา้ ขงั ในนาข๎าว เพล้ียจกั จ่ันสเี ขียว (Green rice leaf-hoppers) ทีอ่ าศัยอยํูกบั วัชพืชตลอดฤดูหนาว อาจกลายเป็นพาหะของไวรัส ถา๎ หากส่ิงน้ีเกดิ ขน้ึ ผลคอื เราตอ๎ งสญู เสียข๎าวไปราวรอ๎ ยละ ๑๐- ๒๐ จากโรคใบไหมข๎ องข๎าว ถา๎ เราไมพํ นํ สารเคมี จะมีแมงมมุ เกดิ ข้ึนมากมายในทนี่ า และเราก็ สามารถปลอํ ยให๎แมงมุมเหลํานีจ้ ัดการกบั ปญั หาดังกลําว แตํแมงมุมนน้ั อํอนไหวมาก การเข๎าไป ยํุงเกยี่ วกับมนั แมเ๎ พยี งเล็กน๎อยก็มผี ลร๎ายตอํ มนั ได๎ ดงั น้ัน จงึ ควรระมัดระวังอยํเู สมอในแงํนี้ คนสํวนใหญคํ ิดวํา ถา๎ ไมใํ ชป๎ ุย๋ เคมีและยาฆําแมลง ปริมาณผลผลิตทางเกษตรกรรมจะ ตกตา่ ลงจากระดบั ปจั จุบนั มาก ผู๎เชย่ี วชาญดา๎ นแมลงประมาณความสูญเสยี ในปแี รกหลงั จาก เลกิ ใชย๎ าฆําแมลงวํา จะตกประมาณร๎อยละ ๕ และการเลกิ ใชป๎ ๋ยุ เคมกี ็จะเพิ่มความสญู เสยี อีก ราวรอ๎ ยละ ๕ อยํางไมํตอ๎ งสงสัย นัน่ คือถ๎ามกี ารลดปรมิ าณนา้ ขังในนาขา๎ ว และเลกิ ใชป๎ ุ๋ยเคมตี ลอดจนยาฆําแมลง ซ่งึ สนบั สนนุ ให๎ใชโ๎ ดยสหกรณก๑ ารเกษตรแล๎วละก็ ความสญู เสยี โดยเฉลย่ี ในในปแี รกจะตก ประมาณร๎อยละ ๑๐ พลังแหงํ การฟืน้ ตวั ของธรรมชาตนิ ัน้ ยง่ิ ใหญเํ กินกวาํ ทเี่ ราจะจนิ ตนาการได๎ และหลงั จากการสญู เสยี ในระยะเริม่ แรกน้ี ผมเช่อื วําผลผลิตจะเพิ่มขึ้น และคํอย ๆ ก๎าวหนา๎ พ๎น ระดับเดิมเสยี อีก เมื่อผมทางานอยํทู ่สี ถานีวจิ ัยในจังหวดั โคชิ ผมได๎ทดลองวิธีการปูองกนั หนอนกอข๎าว (stem borers) แมลงเหลาํ นเ้ี จาะลาต๎นขา๎ วและอยํอู าศยั ในนน้ั ทาให๎ลาต๎นกลายเป็นสขี าวและ เฉาตาย วธิ ีประเมนิ ความเสยี หายนน้ั ทาได๎งําย ๆ คณุ นับจานวนต๎นขา๎ วทีก่ ลายเป็นสขี าววํามอี ยํู เทาํ ไหรํ ในจานวนขา๎ ว ๑๐๐ ตน๎ ประมาณรอ๎ ยละ ๑๐-๒๐ ของมันจะกลายเปน็ สีขาว ในกรณีที่ รนุ แรง มองดเู หมือนวําต๎นข๎าวจะเสียหายหมดทง้ั แปลง แตคํ วามเสียหายทแี่ ท๎จรงิ จะประมาณ รอ๎ ยละ ๓๐ ความพยายามท่ีจะหลีกเลีย่ งความสูญเสียเชํนน้ี ผมใช๎วธิ ีพํนยาฆาํ แมลงเพอ่ื ฆาํ หนอน กอขา๎ วในทน่ี าแปลงหน่ึง สํวนนาอกี แปลงจะปลํอยไว๎เชนํ นั้น เมอื มาคานวณผลลัพธท๑ เ่ี กิดขึน้ ปรากฏวาํ นาแปลงที่ไมใํ ชย๎ าฆําแมลงที่มีลาตน๎ เฉาอยเํู ป็นจานวนมากกลบั มีผลผลิตสงู กวํา ครง้ั แรกผมแทบไมํเชือ่ ตัวเอง และคดิ วํามันเป็นความผิดพลาดของการทดลอง แตํขอ๎ มูลท่เี กบ็ ได๎ นน้ั ถูกตอ๎ งแนํนอน ดังนัน้ ผมจงึ ทาการทดลองตอํ สงิ่ ท่เี กดิ ขนึ้ ก็คือ เมือ่ หนอนกอข๎าวทาลายตน๎ ขา๎ วทอี่ ํอนแอ ทาให๎ความหนาแนนํ ของ ต๎นขา๎ วลดนอ๎ ยลง การเฉาตายของตน๎ ขา๎ วทาให๎เกิดท่ีวาํ งมากขึ้นสาหรับขา๎ วทีเ่ หลอื ด๎วยเหตุนี้ แสงแดดจงึ สามารถสํองลงไปจนถงึ ใบทอี่ ยตํู ่าสดุ ผลก็คอื ต๎นข๎าวท่เี หลอื เติบโตแขง็ แรงกวําเกาํ แตกตํางมากขน้ึ และให๎เมล็ดขา๎ วมากกวําตอนทต่ี น๎ ข๎าวยงั หนาแนํน เมอ่ื ต๎นข๎าวขึ้นอยําง หนาแนํนมาก และแมลงไมํไดร๎ บกวนทาให๎ตน๎ ขา๎ วดูอดุ มสมบรู ณ๑ดี แตํในหลายกรณีการเกบ็ เก่ยี วจะให๎ผลตา่ กวํา

ถ๎าอาํ นรายงานการวจิ ัยหลาย ๆ ชิ้นของสถานีวิจยั ทางการเกษตร คุณจะได๎เห็นบนั ทกึ ผลการใช๎ยาพํนสารเคมแี ตํละชนดิ แตโํ ดยทัว่ ไปมกั ไมรํ ๎ูกนั วาํ รายงานดังกลาํ วจะบนั ทึกผลการ ใชไ๎ วเ๎ พียงครึ่งเดียวเทํานนั้ แนํนอนลํะ ไมใํ ชคํ วามจงใจท่จี ะปิดบังอะไรไว๎ แตเํ มอื่ ผลการใช๎ เหลาํ น้ีไดร๎ ับการตพี ิมพเ๑ พอการโฆษณาโดยบรษิ ทั ผลิตสารเคมีเหลําน้นั ก็ดูเหมอื นวาํ ข๎อมลู ที่ ขดั แยง๎ กนั จะถูกปดิ บังไมํเปิดเผยออกมา ผลลัพธท๑ แ่ี สดงปริมาณผลผลติ ตา่ ดังทเ่ี กดิ ขน้ึ ในการ ทดลองเก่ยี วกบั หนอนกอข๎าวนน้ั ถกู คัดออกไปดว๎ ยเหตผุ ลท่วี าํ เปน็ การทดลองท่ีให๎ผลขัดแยง๎ กัน และไมํไดร๎ ับความใสใํ จ แนนํ อนทยี่ อํ มจะมกี รณที แ่ี มลงถกู กาจัดแล๎วผลผลิตมปี ริมาณสงู ขึ้น แตกํ ็มีกรณีที่ผลผลติ ลดต่าลงด๎วยเชนํ กัน รายงานเก่ียวกับผลทดลองประการหลังมกั จะไมคํ ํอย ไดป๎ รากฏออกมาทางสง่ิ ตพี ิมพ๑ ในบรรดาสารเคมีเกย่ี วกับการเกษตร ยาปราบวัชพชื ดูจะเป็นสง่ิ ท่ยี ากทส่ี ดุ ทีจ่ ะยบั ยง้ั เกษตรกรไมํให๎ใช๎ นบั ตง้ั แตํอดีตมาเกษตรกรตอ๎ งประสบความยุงํ ยากกับส่งิ ที่เรยี กวาํ \"การทา สงครามกับวัชพชื \" การไถ การพรวน และแบบแผนในการปกั ดานน้ั ทงั้ หมดล๎วนเป็นไปเพอื่ กาจัดวัชพืช กอํ นทจ่ี ะมกี ารคิดค๎นยาปราบวชั พชื เกษตรกรต๎องเดนิ เปน็ ระยะทางหลายไมล๑ ตามท่นี าที่มนี า้ ทํวมขงั ในแตํละฤดูกาล เขน็ เครือ่ งมอื ตัดหญ๎าขน้ึ ๆ ลง ๆ ไปตามแนวรอํ ง หรือ ใชว๎ ธิ ีถอนวัชพชื ด๎วยมือ ดว๎ ยเหตุน้ีจงึ เป็นเรือ่ งเข๎าใจได๎งํายวํา เหตใุ ดสารเคมีเหลํานจี้ ึงได๎รับ การยอมรบั ราวกับของขวญั ทสี่ วรรคป๑ ระทานมาให๎ จากการใชฟ๎ าง และพชื คลุมดนิ ตลอดจน การปลํอยใหน๎ ้าขังในนาขา๎ วเพยี งช่วั คราว ผมได๎พบวิธงี าํ ย ๆ ในการควบคมุ วัชพชื โดยไมตํ อ๎ ง ทนตรากตราถอนวัชพืชหรอื ใชส๎ ารเคมีเลย กลับข้นึ ไปทีห่ วั ข้อเรอ่ื ง้ภาค้๒ ๒.๙ ข้อจากัดของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนทนี่ ักวจิ ัยจะเป็นนักวิจัย เขาควรเปน็ นกั ปรชั ญาเสยี กํอน เขาควรจะได๎ พิจารณาวาํ อะไรคือเปูาหมายของมนุษย๑ อะไรคือสิ่งที่มนุษยชาตคิ วรสร๎างสรรคข๑ ้นึ มา แพทย๑ก็ ควรตัดสนิ ใจในระดบั พนื้ ฐานให๎ไดเ๎ สียกํอนวาํ อะไรท่เี ป็นปจั จยั ให๎แกํการดารงชวี ิตของมนุษย๑ ในการประยกุ ตท๑ ฤษฎขี องผมเขา๎ กบั การทาเกษตรกรรม ผมได๎ทดลองปลกู พชื อยํู หลายวธิ ี ซ่ึงลว๎ นอิงกบั ความคิดทจี่ ะพัฒนาวิธีการที่ใกลช๎ ดิ กับธรรมชาติ ผมได๎ทาโดยการ ลดทอนวิธีการทางการเกษตรทไ่ี มจํ าเป็นลงเสีย ในด๎านหนึ่งเกษตรกรรมวทิ ยาศาสตร๑แผนใหมํไมมํ ที ัศนวสิ ยั เชนํ นี้ การวิจัยเคลอ่ื นไป

อยํางไรเ๎ ปูาหมาย นักวิจยั แตลํ ะคนจะมองเพยี งเหตปุ ัจจยั เดยี วของกระบวนแหงํ เหตุปจั จยั ของ ธรรมชาตอิ ันไมสํ ิ้นสุด ท่มี ีผลกระทบตํอปรมิ าณผลผลติ ยิง่ กวํานั้น เหตุปัจจัยของธรรมชาติยงั มี ความเปลีย่ นแปลงไมํสิน้ สดุ แมว๎ ําจะเป็นทนี่ าแปลงเดมิ เกษตรกรก็จะปลกู พืชในแตํละปตี ํางกันออกไป ทั้งนข้ี ึน้ อยูํ กับการเปล่ยี นแปลงด๎านอากาศ ประชากรของแมลง สภาพของดนิ และเหตปุ ัจจัยทางธรรมชาติ อืน่ ๆ ธรรมชาตใิ นทุกหนแหํงจะมีความเคลือ่ นไหวไมหํ ยดุ นิ่งเสมอ เง่อื นไขตาํ ง ๆ ไมํมีลกั ษณะ คงทีห่ รือเหมอื นกนั เลย ไมวํ ําจะเป็นการเปรยี บเทียบระหวํางปีใด การวจิ ยั แบบสมัยใหมจํ ะแบํงแยกธรรมชาติออกเป็นสํวนเลก็ สํวนน๎อย แล๎วทาการ ทดลองซึง่ ไมมํ คี วามละม๎ายเหมือนท้ังในแงํของกฎธรรมชาติ หรอื ประสบการณท๑ างการปฏิบัติ เลย ผลของมันถกู กาหนดขึ้นเพอ่ื ความสะดวกของการวิจัย มากกวาํ จะเป็นไปตามความจาเปน็ ของเกษตรกร และการคดิ วําข๎อสรุปดงั กลําวสามารถนาไปใชไ๎ นท๎องนาอยาํ งมีความสาเรจ็ เป็น นิจสนิ นัน้ ถอื วําเปน็ ความเขา๎ ใจผดิ อยาํ งใหญํหลวง เม่ือเรว็ ๆ นี้ศาสตราจารย๑ ทซึโนะ แหํงมหาวทิ ยาลัยอไิ ฮมิ ได๎เขยี นหนังสอื เกี่ยวกับ ความสมั พนั ธร๑ ะหวํางระบบเมตาบอลซิ ึม* ของพืชกับผลผลิตของขา๎ วไวอ๎ ยํางยดื ยาว ศาสตราจารยผ๑ ู๎นม้ี ักจะแวะมาเยย่ี มท่ีนาของผม ทํานจะขดุ ดนิ ลึกลงไปสัก ๒-๓ ฟุตเพื่อตรวจดู ดนิ บางทกี่ ็พานกั ศึกษามาวัดมมุ ทแ่ี สงอาทติ ยต๑ กลง และรํมเงา และอะไรตอํ อะไรอกี มาก นอกจากน้ีก็เก็บตัวอยาํ งพชื กลับไปยงั หอ๎ งทดลองเพ่อื จาแนกแยกแยะดู ผมมักจะถามทาํ นวาํ เม่ือทํานกลับไป ทํานจะทดลองการหวํานเมลด็ โดยตรงลงไปในทนี่ าท่ีไมไํ ถพรวนหรือเปลํา\" ทํานจะตอบหัวเราะ ๆ วํา \"ไมหํ รอก ผมปลํอยการปฏิบัติเปน็ หน๎าท่ีของคณุ สํวนผมจะทุํมเท ให๎กบั การวจิ ยั \" ดงั นั้นทุกอยํางกจ็ ึงเป็นเชํนนี้ คุณศกึ ษาถงึ หนา๎ ทข่ี องระบบเมตาบอลซิ มึ ของพืช และ ความสามารถในการดดู ซึมสารอาหารจากดนิ แลว๎ เขียนเป็นตาราจากน้นั ก็จะได๎รับปรญิ ญาเอก ในสาขาวิทยาศาสตรท๑ างการเกษตร แตอํ ยําถามวําทฤษฎเี กีย่ วกบั การดูดซมึ นั้นสอดคลอ๎ งกับ ผลผลติ หรอื ไมํ แมค๎ ุณจะสามารถอธิบายได๎วําระบบเมตาบอลซิ มึ มผี ลตอํ การออกรวงของใบบนสุดได๎ อยํางไร เมือ่ อุณหภูมิโดยเฉล่ยี เทํากบั ๘๔ องศาฟาเรนไฮต๑ แตมํ นั กย็ ังมีสถานทหี่ ลายแหงํ ซงึ่ อุณหภมู ไิ มถํ ึง ๘๔ องศา และถา๎ อณุ หภมู ิในปีนท้ี ่อี ิไฮมเิ ปน็ ๘๔ องศา ปีหน๎าอณุ หภมู อิ าจจะ เหลอื เพยี ง ๗๕ องศาเทํานนั้ ก็ได๎ การกลาํ วถึงการเพ่ิมเมตาบอลซิ มึ อยํางโดด ๆ วาํ จะชวํ ยเพม่ิ คารโ๑ บไฮเดรทและทาใหผ๎ ลผลติ สงู ขึ้นนัน้ เปน็ ความเขา๎ ใจผดิ ภมู ศิ าสตรแ๑ ละผังภมู ิของทดี่ ิน สภาพของทดี่ ิน โครงสร๎างของดิน เนือ้ ดิน การระบายน้า การรบั แสง ความสมั พันธ๑ของแมลง ชนดิ ของเมล็ดพนั ธ๑พุ ชื ท่ีใช๎ วิธกี ารในการเพาะปลูก ซึง่ ลว๎ นเปน็ เหตปุ จั จัยท่ีกอํ ให๎เกิดความ แตกตํางกันอยํางไมสํ น้ิ สุด ท้งั หมดนลี้ ๎วนตอ๎ งนามาพจิ ารณาทัง้ ส้นิ วิธีการทดลองแบบ วทิ ยาศาสตร๑ ไมํสามารถนาเหตปุ จั จยั ที่มีสวํ นเก่ียวข๎องทง้ั หมดเหลํานี้มารํวมพิจารณาได๎ ทุกวนั น้ีคุณคงจะได๎ยนิ การพูดถึงผลประโยชน๑จาก \"ขบวนการขา๎ วพันธดุ๑ แี ละ \"การ ปฏวิ ตั ิเขยี ว\" อยูบํ อํ ย ๆ เพราะวธิ กี ารเหลาํ นี้ลว๎ นขน้ึ อยํูกบั พนั ธุข๑ า๎ ว \"ปรบั ปรุง\" ที่ออํ นแอ จงึ จาเปน็ ท่ีเกษตรกรตอ๎ งใช๎สารเคมี และยาฆาํ แมลง ๘-๑๐ ครงั้ ในระหวาํ งฤดเู พาะปลกู เพียงช่ัว เวลาอนั สนั้ อินทรยี ๑วัตถุและจุลินทรีย๑ในดินจะถกู ทาลายหมดเกลยี้ ง อายุของดนิ ก็ถกู บ่นั ทอนไป ด๎วย และพืชผลกต็ ๎องพึ่งพิงสารอาหารจากภายนอกในรปู ของปุ๋ยเคมี ดูเหมอื นวําทกุ อยาํ งดขี ึน้ ตงั้ แตํเกษตรกรเร่มิ หันมาใชเ๎ ทคนคิ แบบ \"วิทยาศาสตร๑\" แตนํ ี่ มิได๎หมายความวําความอดุ มสมบรู ณต๑ ามธรรมชาติโดยตัวมนั เองไมํเพียงพอ จึงตอ๎ งอาศัย วิทยาศาสตร๑เข๎ามาชํวย แตํหมายความวาํ การชํวยเหลือจากวิทยาศาสตร๑กลายเปน็ สิ่งจาเปน็ ก็

เพราะวําความอดุ มสมบรู ณ๑ตามธรรมชาตไิ ดถ๎ กู ทาลายไปตํางหาก การใช๎ฟางคลมุ พน้ื ที่ ปลูกพืชคลมุ ดนิ และนาอินทรยี ๑วตั ถทุ เ่ี หลือใช๎ใสลํ งในดนิ จะชํวย ให๎ทีน่ าคอํ ย ๆ มสี ารอาหารทีจ่ าเปน็ ตํอการปลูกขา๎ วและธัญพืชฤดูหนาวปีแลว๎ ปีเลําในผนื นาผนื เดิม และเกษตรกรรมธรรมชาติจะชวํ ยใหท๎ นี่ าทเ่ี สยี หายจากการเพาะปลกู หรอื สารเคมที าง การเกษตรสามารถฟนื้ ตวั ข้นึ ใหมอํ ยํางมปี ระสิทธภิ าพ * เมตาบอลซิ ึม (metabolism) มาจากคากรีกวํา metabole แปลวาํ \"การเปลยี่ นแปลง\" ซึง่ หมายกึงผลรวมของ การเปลีย่ นแปลงทางเคมตี ําง ๆ ซงึ่ กาลงั เกิดข้ึนภายในหนํวยชีวิต และโดยเฉพาะอยาํ งย่ิงภายในเซลซ่งึ มกี าร เปลย่ี นแปลงทางเคมี เหลํานี้จาเป็นสาหรบั การดารงชีวิตอยูไํ ด๎ ....มันมีความสาคัญแคไํ หนตํอมนษุ ยใ๑ นการทจ่ี ะได๎กนิ ผลไมน๎ ี้กํอนเวลา ๑ เดือน ความจริงกจ็ ะเปน็ วาํ มนั ไมมํ ี ความสาคญั อะไรเลย และเงินกม็ ิใชราคาคาํ งวดเพยี งอยํางเดียวทีเ่ ราจํายให๎กับการตามใจปากเชํนนั้น ...เม่ือ เกษตรกรเริ่มปลกู พชื เพอ่ื เงนิ ทอง เขาก็หลงลมื หลกั การที่แทจ๎ รงิ ของเกษตรกรรม ....... ภาค ๓  เมอื่ เกษตรกรคนหน่งึ พดู  ทางออกอันออ่ นน้อมต่อปัญหาท่ียงุ่ ยาก  ผลพวงในยามยาก  อาหารธรรมชาตแิ ละการตลาด  เกษตรกรรมเพอ่ื การค้าจะล้มเหลว  วจิ ัยเพื่อผลประโยชน์ของใคร  อะไรคอื อาหารของมนษุ ย์  ความตายอันน่าเวทนาของข้าวบาร์เลย์  รบั ใชธ้ รรมชาติ  โรงเรยี นเกษตรกรรมธรรมชาติ

๓.๑ เมือ่ เกษตรกรคนหนงึ่ พูด ปัจจุบนั ความกังวลได๎กอํ ตวั ขนึ้ ในหมํคู นญปี่ นุ เกยี่ วกบั ความเส่ือมโทรมของ สภาพแวดล๎อม ทมี่ ีผลตอํ มลภาวะทางอาหาร ประชาชนไดร๎ วมตัวกันคว่าบาตร และจัดให๎มีการ เดนิ ขบวนเปน็ จานวนหลายสิบคร้ังเพอ่ื ตํอต๎านความเฉยเมย ไมํเอาใจใสํของบรรดาผูน๎ าทาง การเมอื ง และผู๎นาของโรงงานอุตสาหกรรมแตกํ ิจกรรมท้งั หลายล๎วนให๎ผลท่สี ญู เปลาํ หากวํายัง กระทากันดว๎ ยความคดิ จิตใจดงั ที่เปน็ อยใํู นปจั จบุ นั การถกเถียงถึงวิธขี จดั มลภาวะเฉพาะกรณี ก็ เปรียบไดก๎ ับการรักษาโรคตามอาการ โดยปลํอยใหร๎ ากเหง๎าของความเจบ็ ปุวยปลํอย พษิ ร๎าย ออกมาอยูํตลอดเวลา ตัวอยาํ งเชํน เมอื่ ๒ ปีกอํ น ศนู ย๑วจิ ยั การจัดการทางการเกษตร ไดร๎ ํวมกับสภา เกษตรกรรมอินทรยี ๑ และสหกรณ๑นาดา ไดจ๎ ดั การประชุมเพ่ืออภปิ รายถกเถยี งเก่ยี วกบั ปัญหา มลภาวะข้ึน ประธานการประชุมในครง้ั นั้นคือคณุ เทรโู อะ อิชิรากุ ซ่งึ เปน็ ผู๎อานวยการของสมาคม เกษตรกรรมอนิ ทรยี แ๑ หงํ ญป่ี ุน และเปน็ ผท๎ู ี่มอี ิทธพิ ลมากท่สี ุดคนหนึง่ ในสหกรณก๑ ารเกษตรของ รฐั บาล คาแนะนาจากหนวํ ยงานน้เี ปน็ สิ่งท่ีเกษตรกรแทบทกุ หมํูบ๎านทวั่ ประเทศญ่ปี ุนถอี ปฏิบัติ ตาม คาแนะนาน้นั มตี ง้ั แตํพืชชนิดใดและเมล็ดพนั ธุช๑ นดิ ใดท่ีเกษตรกรควรปลูก ปรมิ าณปยุ๋ ท่ี ควรใช๎ ตลอดจนชนิดของสารเคมีท่ีควรใช๎ ด๎วยเหตุท่ีมีบคุ คลท่ที รงอานาจและอทิ ธพิ ลเขา๎ รวํ มประชุมเปน็ จานวนมาก ผมจึงเกดิ ความหวงั วํา ผลจากการประชุมจะสามารถนาไปปฏิบตั แิ ละสํงผลที่กว๎างไกล การประชมุ คร้งั นอ้ี าจกลําวได๎วาํ ประสบความสาเร็จ หากมองในแงขํ องการตพี ิมพ๑ ปัญหาเกย่ี วกับมลภาวะทางอาหาร แตกํ เ็ ชนํ เดยี วกบั การประชุมครั้งอื่น ๆ การอภปิ รายถกเถยี ง จะถกู ดงึ ลงมาสปูํ ระเดน็ การรายงาน ท่ีเป็นเรอื่ งทางเทคนิคอนั ซบั ซอ๎ นของผเู๎ ชย่ี วชาญทางดา๎ น วิจัย และความเห็นสวํ นบุคคลเกีย่ วกบั ความนาํ กลัวของมลภาวะทางอาหาร ดูเหมือนจะไมํมีใคร เลยทคี่ ิดจะพูดถงึ ปญั หาน้ใี นระดับรากฐานของมนั ตวั อยํางเชํนในการอภิปรายถึงปัญหาเกย่ี วกบั ความเปน็ พิษจากสารปรอทในปลาโอ ตัวแทนจากองค๑การประมงไดอ๎ ภปิ รายเปน็ คนแรกถงึ ความนํากลวั ของปัญหาน้ี ในระหวํางนัน้ ปญั หามลภาวะจากสารปรอทได๎ถกู นามาพดู ถึงแทบทุกวันทางสถานวี ทิ ยแุ ละในหน๎า หนงั สือพิมพ๑ ดังนั้นทุกคนจึงเงีย่ หฟู งั อยาํ งตง้ั ใจในสิง่ ท่เี ขาพดู ผู๎แทนจากองคก๑ ารประมงกลาํ ววาํ ปริมาณสารปรอทท่พี บในปลาโอจะมีปรมิ าณสูง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook