Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมทางการเมือง

วัฒนธรรมทางการเมือง

Description: วัฒนธรรมทางการเมือง

Search

Read the Text Version

1

เรือ่ ง “วฒนธรรมทางการเมอื ง” ปที ี่พมิ พ ์ ธันวาคม ๒๕๕๖ จ�ำ นวนหน้า ๕๖ หน้า พิมพค์ รง้ั ท่ี ๑ จำ�นวน ๕,๐๐๐ เล่ม จดั ท�ำ โดย กลมุ่ งานผลิตเอกสาร สำ�นักประชาสมั พนั ธ์ สำ�นักงานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร ถนนประดพิ ทั ธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ๑๐๔๐๐ โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๔-๕ โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๒ ข้อมูล นางฟ้าดาว คงนคร พมิ พข์ อ้ มูล นางสาวดลธี จุลนานนท์ ศิลปกรรม นายนิธิทศั น์ องค์อศวิ ชยั พิมพ์ท ่ี สำ�นักการพิมพ์ สำ�นกั งานเลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร 2

3 จลุ สาร  เรอ่ื ง  ”วฒั นธรรมทางการเมอื ง”  จดั ท�ำ ขน้ึ เพอ่ื เผยแพร่ ความรู้ให้แก่นักเรียน  นิสิต  นักศึกษา  และประชาชนทั่วไปให้ไดร้ ับ ความร้คู วามเข้าใจในเร่อื ง  วัฒนธรรมทางการเมือง  เก่ยี วกับความหมาย  ประเภทของวฒั นธรรมทางการเมอื ง  ความส�ำ คญั ทเ่ี ปน็ ปจั จยั เสรมิ สรา้ ง ความชอบธรรมทางการเมือง  องค์ประกอบ  และวัฒนธรรม ทางการเมืองท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนในสังคม  ตลอดจน  ลั ก ษ ณ ะ สำ � คั ญ ท่ี แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ก า ร มี วั ฒ น ธ ร ร ม ท า ง ก า ร เ มื อ ง แบบประชาธปิ ไตย  ความสมั พนั ธท์ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาวฒั นธรรมทางการเมอื ง แบบประชาธิปไตย  โดยผ่านกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมือง นอกจากน ้ี ยงั ไดร้ บั ความรเู้ กย่ี วกบั การเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมทางการเมอื ง โดยผ่านกระบวนการจดั การศึกษาจากสถาบนั หลักตา่ ง ๆ ทง้ั ในระบบ  และนอกระบบ  ท่ีเป็นตัวกลางเช่ือมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับมนุษย์  และมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมทางการเมอื งจนพฒั นาเปน็ วฒั นธรรมทางการเมอื ง แบบประชาธปิ ไตย สำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จุลสารฉบับน้ี  จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเร่ือง วฒั นธรรมทางการเมือง มากขน้ึ ส�ำ นกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร ธนั วาคม ๒๕๕๖

4

5 บทนำ� ๗ ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมอื ง ๙ ประเภทของวัฒนธรรมทางการเมือง ๑๔ ความสำ�คญั ของวฒั นธรมทางการเมอื ง ๑๙ องค์ประกอบของวฒั นธรรมทางการเมือง ๒๑ อทิ ธิพลของวัฒนธรรมทางการเมืองทม่ี ผี ลต่อคนในสังคม ๒๙ ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมอื งแบบประชาธปิ ไตย ๓๐ ความสมั พันธ์การกล่อมเกลาทางการเมืองกบั วัฒนธรรมทางการเมอื ง ๓๕ การเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมทางการเมืองแบบประชาธปิ ไตยผ่าน กระบวนการจดั การศกึ ษา ๓๘ บทสรปุ ๕๒ บรรณานุกรม ๕๔

6

7 บทน�ำ ว ฒนธรรมเป็นส่ิงท่ีมนุษย์สรา้ งขึน้ เปน็ แนวคดิ และเปน็ ลกั ษณะ เฉพาะในการดำ�เนินชีวิตของคนในแต่ละสังคม  ที่แสดงออกถึงความเจริญ งอกงาม ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ความกา้ วหนา้ ทค่ี นสว่ นใหญใ่ นสงั คมนน้ั ๆ ยอมรับว่าเป็นสิ่งดีงาม  โดยสร้างเป็นกฎเกณฑ์แบบแผน  เพื่อนำ�ไปปฏิบัติ ให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน  และถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลังจนเป็นวิถีของ สังคม โดยวฒั นธรรมเป็นส่ิงทหี่ ลอ่ หลอมอปุ นิสยั มารยาท ความคิด ความเชือ่ ค่านยิ ม  บรรทดั ฐานในการประพฤติปฏิบัติของคนในสังคม จนเปน็ วฒั นธรรม ทางสังคม  ซ่งึ วัฒนธรรมทางสังคมมีส่วนในการหล่อหลอมวัฒนธรรมทางการเมือง ของแต่ละระบบการเมือง  โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสังคมการเมืองท่ีมีรูปแบบ

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย  ท่ีพฤติกรรมทางการเมือง มกี ารแสดงออกอยา่ งเดน่ ชดั   ทง้ั ในรปู แบบของปรชั ญา  อดุ มการณ์ ทศั นคติ และความเช่ือทางการเมือง  อาจกล่าวได้ว่า  วัฒนธรรมทางการเมือง เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง วั ฒ น ธ ร ร ม ท า ง สั ง ค ม ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร เ มื อ ง การปกครอง  เป็นผลิตผลของความรู้  ความคิด  ความเชื่อ  และ ทัศนคติทางการเมืองของบุคคล  หรือกลุ่มบุคคลท่ีได้รับการถ่ายทอด จากคนรุ่นหน่ึงสู่อีกรุ่นหน่ึง  โดยวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นผลของ การแสดงออกพฤตกิ รรมของคนในสงั คม  ผา่ นกระบวนการเรยี นรทู้ างการเมอื ง  ที่สะท้อนให้เห็นภาพของการเรียนรู้เป็นเสมือนแนวทางของพฤติกรรม ในการเสริมสร้างพลังให้ประชาชนได้ยึดถือปฏิบัติ  ซึ่งการเสริมสร้าง วฒั นธรรมทางการเมอื งนน้ั ตอ้ งอาศยั กระบวนการอบรม ปลกู ฝงั หลอ่ หลอม กลอ่ มเกลา ทง้ั ค่านิยม ความเช่อื และทศั นคติ จากสถาบนั หลกั ทส่ี �ำ คญั   ไดแ้ ก่ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา  สถาบนั ศาสนา  สถาบัน ส่ือมวลชน  และจากสถาบันทางสังคม  อื่น  ๆ  อย่างเป็นระบบและ ต่อเน่ือง  เพ่ือเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ  และมี ความศรทั ธาตอ่ ระบอบประชาธปิ ไตย  จนเกดิ เปน็ วฒั นธรรมทางการเมอื ง ท่ีมีความเหมาะสม  และเอ้ือประโยชน์ต่อการดำ�เนินชีวิตของ ประชาชนตามวถิ ีประชาธิปไตยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 8

9 ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมอื ง (political culture) คำ�ว่า  “วัฒนธรรม”  มาจากภาษาอังกฤษว่า  Culture ซึ่งคำ�เดิมในภาษาละตินคือ  Cultura  มีความหมายหลายอย่าง  เช่น การเพาะปลกู การปลกู ฝงั การปลกู พชื การท�ำ ให้ดีกว่าเดิม โดยการ อบรมหรอื ฝกึ หดั ความหมายตามพจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ค�ำ วา่   “วฒั นธรรม”  หมายถงึ สง่ิ ทท่ี �ำ ความเจรญิ งอกงาม ใหแ้ กห่ ม่คู ณะ ความหมายตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ  พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๔ “วฒั นธรรม” หมายถงึ วถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ ความคดิ ความเช่ือ ค่านยิ ม จารตี ประเพณี พิธีกรรม และภูมปิ ญั ญา ซง่ึ กลุ่มชน และสงั คมได้รว่ มสร้างสรรค์ สัง่ สม ปลูกฝัง สืบทอด เรียนรู้ ปรบั ปรงุ และเปล่ยี นแปลง เพอ่ื ให้เกิดความเจรญิ งอกงาม ทงั้ ด้านจิตใจและวตั ถุ อยา่ งสนั ติสขุ และยัง่ ยืน พลตรี  พระเจ้าวรวงศ์เธอ  กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบญั ญัติ ค�ำ ว่า “วัฒนธรรม” ไว้ โดยมาจากการรวมกันสองค�ำ คอื - วฒน มาจาก วุฒนุ ในภาษาบาลี หมายถึง ความเจรญิ งอกงาม - ธรรม มาจาก ธรุม ในภาษาสนั สกฤต หมายถึง สภาพที่ เป็นอยจู่ รงิ “วัฒนธรรม” ในความหมายนจ้ี ึงหมายถงึ สภาพที่แสดงถึง ความเจรญิ งอกงาม หรือความมรี ะเบยี บวนิ ัย

นอกจากน ้ี มนี กั วชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ ำ�นยิ ามจ�ำ กดั ความ คำ�ว่า  “วัฒนธรรม”  หมายถึง  สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น  และเป็นลักษณะ เฉพาะของแต่ละสังคมในการดำ�เนินชีวิตของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงาม  ความเป็นระเบียบเรียบร้อย  ความกลมเกลียว ความก้าวหน้า คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าเปน็ สิ่งดีงาม โดยสร้างเป็นกฎเกณฑ์แบบแผน เพื่อน�ำ ไปปฎิบตั ิให้เปน็ ไปตามรปู แบบ เดยี วกัน ถอื เปน็ “มรดกแหง่ สังคม” เพราะวัฒนธรรมเป็นสงิ่ ทมี่ นุษย์ ไดร้ บั มาจากบรรพบุรษุ หรอื ถ่ายทอดใหแ้ กอ่ นชุ นร่นุ หลงั จนเป็นวิถขี อง สงั คม จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมเป็นส่ิงที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล  ซึ่งการปฏิสัมพันธ์กันนั้นคนสร้างความคิด  ทัศนคติ ค่านยิ ม ความเช่อื เก่ียวกับกิจกรรมท่ีไดท้ �ำ ร่วมกนั   เมอ่ื การปฏสิ ัมพนั ธ์ 10

11 เกิดข้ึนบ่อยคร้ัง  ทำ�ให้เร่ิมคิดอย่างเดียวกันเกี่ยวกับการกระทำ�น้ัน  ๆ จนเป็นแบบแผนท่ีบอกความหมายว่า  “วัฒนธรรม”  ได้เกิดข้ึนแล้ว จงึ อาจกลา่ วสรปุ ไดว้ า่   “วฒั นธรรม”  คอื แบบแผนของชวี ติ ของหมคู่ ณะ ที่ตดิ ต่อกนั มาเปน็ เวลาชา้ นาน สำ�หรับค�ำ ว่า วัฒนธรรมทางการเมอื ง (Political Culture) ได้ใช้เป็นคร้ังแรกในบทความท่ีชื่อว่า  “Comparative  Political Systems” ซ่งึ เขยี นโดย เกเบรยี ล อลั มอนด์ (Gabriel A. Almond) ได้ให้ความหมายไว้ว่า  “วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นแบบแผนของ ทศั นคตแิ ละความเชอ่ื ของบคุ คลทม่ี ตี อ่ ระบบการเมอื ง  หรอื ตอ่ ระบบยอ่ ย ของระบบการเมอื ง และต่อบทบาททางการเมืองของบุคคล” ต่อมา  เกเบรียล  อลั มอนด์  และเพาเวลล์  (Gabriel  A. Almond และ Bingham G. Powell)  ได้ให้ความหมายเพอ่ื ใหเ้ กิด ความชดั เจนยิ่งขน้ึ วา่   “วัฒนธรรมทางการเมอื ง หมายถงึ แบบแผน ทางทศั นคติหรอื เปน็ ความร้สู กึ หรือการอบรมทแ่ี ตล่ ะคนได้รบั อนั จะ ทำ�ให้การกระทำ�ของแต่ละบุคคลมีความหมาย  หรืออาจเรียกว่า เปน็ ความโนม้ เอยี งทางการเมอื งของบคุ คลในฐานะทเ่ี ปน็ สมาชกิ ของระบบ การเมือง”  โดย  อลั มอนด ์ ไดอ้ ธบิ ายความโน้มเอียงวา่ มอี ยู่ ๓ ดา้ น ด้วยกนั ไดแ้ ก่ ๑. ความโน้มเอียงด้านความรู้หรือการรับร ู้ (Cognitive orientations) คอื ความรูค้ วามเข้าใจและ ความเชอื่ ของประชาชนทีม่ ตี ่อระบบการเมือง

๒. ความโนม้ เอียงดา้ นความรูส้ ึก (Affective orientations) คือ  ความรู้สึกทางอารมณ์ท่ีประชาชนมีต่อระบบการเมือง  เช่น ชอบ - ไมช่ อบ พอใจ - ไม่พอใจ ๓. ความโน้มเอียงด้านการประเมินค่า  (Evaluative orientations) คือ การใชด้ ลุ พนิ ิจตัดสนิ ใจใหค้ วามเหน็ ต่าง ๆ เก่ยี วกบั กิจกรรมและปรากฏการณ์ทางการเมือง  เช่น  ตัดสินว่า  ดี  -  ไม่ดี เปน็ ประโยชน์ - ไม่เป็นประโยชน์ ซ่ึงการตัดสินนีจ้ ะใช้ข้อมลู ข้อเทจ็ จรงิ อารมณ์ความรสู้ ึกเข้ามาใชป้ ระกอบการตดั สนิ ใจด้วย ลเู ซยี น พาย (Lucien W. Pye) กลา่ วถงึ วฒั นธรรมทางการเมอื ง มี ๔ ความหมาย ได้แก่ ๑. วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับความไว้วางใจหรือ ความไม่ไว้วางใจของบุคคลต่อบุคคลอื่น  หรือต่อสถาบันทางการเมือง เช่น  การมีความศรัทธา  หรือความเช่ือมั่นต่อสถาบัน  หรือต่อผู้นำ� ทางการเมือง ๒. วัฒนธรรมทางการเมืองเก่ียวข้องกับทัศนคติต่ออำ�นาจ ทางการเมือง  ซ่ึงจะสะท้อนถึงการยอมรับและความสัมพันธ์ระหว่าง ผูป้ กครองและผูถ้ กู ปกครอง หรอื ผ้นู �ำ กบั ประชาชนทว่ั ไป ซง่ึ ทศั นคตนิ ้ี ส่งผลโดยตรงท่ีจะทำ�ให้ประชาชนให้ความร่วมมือหรือต่อต้านอำ�นาจ ทางการเมอื งของผปู้ กครอง ๓. วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับเสรีภาพ  และ การควบคุมบังคับทางการเมือง  กล่าวคือ  วัฒนธรรมทางการเมือง ในสังคมนั้น  ให้การยอมรับหรือเคารพต่อเสรีภาพของประชาชน มากน้อยเพียงใด  หรือมุ่งเน้นการใช้อำ�นาจบังคับเพื่อให้เกิด ความเป็นระเบียบเรยี บร้อยของสงั คม 12

13 ๔. วัฒนธรรมทางการเมืองเก่ียวข้องกับความจงรักภักดี และยดึ มน่ั ในสงั คมการเมอื งของบคุ คล  กลา่ วคอื   วฒั นธรรมทางการเมอื ง ช่วยสร้างเอกลักษณ์ทางการเมืองให้แก่บุคคลในสังคมท่ียึดมั่นร่วมกัน และพร้อมที่จะต่อสู้  ปกป้องรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์น้ันให้คงอยู่ต่อไป อาจจะโดยการยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรอื สละผลประโยชน์ระยะสน้ั เพอ่ื ผลประโยชนร์ ะยะยาว เป็นตน้ ทั้งน้ี  อาจกล่าวได้ว่า  วัฒนธรรมการเมืองเป็นส่วนหน่ึง ของวัฒนธรรมทางสังคมที่มีความเก่ียวข้องกับการเมืองการปกครอง ส่วนประกอบท่ีสำ�คัญของวัฒนธรรมทางการเมือง  คือ  ค่านิยม ความเช่ือ  และทัศนคติท่ีบุคคลมีต่อระบบการเมืองการปกครองของตน  และแสดงออกโดยการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง  วัฒนธรรม ทางการเมืองถูกกำ�หนดข้ึนหรือได้รับอิทธิพลจากภูมิหลังทาง ประวตั ศิ าสตร์ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศาสนา โดยผ่านกระบวนการ อบรมหล่อหลอมของสังคมในระดับต่าง  ๆ  แล้วถ่ายทอดจากคนรุ่น หน่ึงไปสคู่ นรนุ่ ต่อ ๆ ไปอย่างตอ่ เนอ่ื ง และสอดรับกับสภาวะแวดล้อม ของการเปลย่ี นแปลงทางการเมืองในแตล่ ะชว่ งเวลา

ประเภทของวัฒนธรรมทางการเมือง ตามแนวคดิ ของ อลั มอนด์ (Almond) และ เวอรบ์ า (Verba) ไดแ้ บง่ วฒั นธรรมทางการเมืองออกเป็น ๓ ประเภท ดงั นี้ ๑. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบ (The parochial political culture) เปน็ วฒั นธรรมทางการเมอื งของบคุ คลทไ่ี มม่ คี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับระบบการเมืองเลย  ไม่มีการรับร้ ู ไม่มีความคิดเห็น และไมใ่ สใ่ จตอ่ ระบบการเมอื ง ไมค่ ดิ วา่ ตนเองมคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งมสี ว่ นรว่ ม ทางการเมอื ง  เพราะไม่คิดว่าการเมืองระดบั ชาตจิ ะกระทบกบั ตนเองได้ และไม่หวังว่าระบบการเมืองระดับชาติจะตอบสนองความต้องการ ของตนได้  สังคมที่อาจพบวัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบ  ก็คือ บรรดาสังคมเผ่าทั้งหลายในทวีปแอฟริกาหรือชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง  ๆ ซึ่งในแต่ละเผ่าขาดความเชื่อมโยงกับการเมืองระดับชาติ  ขาดโอกาส ในการรับรแู้ ละเข้าใจบทบาทของตนตอ่ ระบบการเมอื ง แตม่ กี ารรบั รทู้ ี่ “แคบ” อยเู่ ฉพาะแต่กจิ การในเผ่าของตน หรอื ในประเทศดอ้ ยพฒั นา ทป่ี ระชาชนสว่ นใหญย่ ากจนและไรก้ ารศกึ ษา จงึ ถกู ปลกู ฝงั ดว้ ยความเชอ่ื ดั้งเดิมมาแต่โบราณว่าเรื่องการปกครองเป็นเร่ืองของผู้ปกครอง  ทำ�ให้ ผปู้ กครองใชอ้ �ำ นาจไดโ้ ดยไมถ่ ูกตรวจสอบจากประชาชน 14

15 ๒. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า  (The  subject political  culture)  เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลท่ีมี  ความร้คู วามเข้าใจต่อระบบการเมืองโดยท่วั   ๆ  ไปแต่ไม่สนใจท่จี ะเข้ามี ส่วนร่วมทางการเมืองตลอดทุกกระบวนการ  และไม่มีความรู้สึกว่า ตนเองมีความหมายหรืออิทธิพลต่อระบบการเมือง  บุคคลเหล่าน้มี ักมี พฤติกรรมยอมรับอำ�นาจรัฐ  เช่ือฟัง  และปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ ด้วยความยินดีและช่ืนชม  ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมือง แบบไพรฟ่ า้ จะพบไดใ้ นกลมุ่ คนชน้ั กลางในประเทศกำ�ลงั พฒั นา  ทย่ี งั คงมี ความเช่ือท่ีฝังแน่นมาแต่เดิม  อันเป็นอิทธิพลของสังคมเกษตรกรรมว่า อำ�นาจรัฐเป็นของผู้ปกครอง  ประชาชนทั่วไปควรมีหน้าที่เช่ือฟังและ ปฏิบตั ติ ามกฎหมายเท่าน้ัน

๓. วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบมสี ว่ นรว่ ม  (The participant political  culture)  เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่มี ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับระบบการเมืองเป็นอย่างดี  เห็นคุณค่าและ ความสำ�คัญในการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง  เพ่ือควบคุม  กำ�กับ และตรวจสอบใหผ้ ปู้ กครองใชอ้ �ำ นาจปกครองเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการ ของประชาชน  ลกั ษณะวฒั นธรรมทางการเมอื งแบบมสี ว่ นรว่ มจะพบเหน็ ได้ ในชนชน้ั กลางสว่ นใหญข่ องประเทศอตุ สาหกรรมหรอื ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ (Developed Country) อยา่ งไรก็ตาม อลั มอนด์ (Almond) และ เวอร์บา (Verba) ไดอ้ ธบิ ายตอ่ ไปวา่ เปน็ การยากทจ่ี ะชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ในสงั คมตา่ ง ๆ ประชาชน ท้ังประเทศมีวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นแบบใดแบบหน่ึงโดยเฉพาะ ท้ังนี้เพราะประชาชนในสังคมต่าง  ๆ  ยังคงมีความแตกต่างด้านฐานะ ทางเศรษฐกิจ และสังคม ซ่งึ จะมผี ลตอ่ ความร้คู วามเข้าใจทางการเมือง ของบคุ คลเหลา่ นั้นดว้ ย  อัลมอนด์ (Almond) และ เวอร์บา (Verba) จงึ สรปุ วา่ ในสงั คมตา่ ง ๆ ประชาชนจะมลี กั ษณะวฒั นธรรมทางการเมอื ง แบบผสม (Mixed political culture) ได้แก่ 16

17 ๑. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบผสมไพร่ฟ้า  (The parochial - subject culture) เปน็ แบบทป่ี ระชาชนสว่ นใหญ่ ยังคงยอมรับอำ�นาจของผู้นำ�เผ่า  หัวหน้าหมู่บ้านหรือเจ้าของที่ดิน  แตป่ ระชาชนก�ำ ลงั มคี วามผกู พนั กบั วฒั นธรรมการเมอื งแบบคบั แคบของ ทอ้ งถิ่นนอ้ ยลง และเรมิ่ มีความจงรักภักดีต่อระบบและสถาบนั การเมือง สว่ นกลางมากขน้ึ ความส�ำ นกึ วา่ ตนเองเปน็ พลังทางการเมอื งอย่างหนึง่ ยงั คงมีนอ้ ย จงึ ยังไมส่ นใจเรียกร้องสิทธทิ างการเมอื ง ยงั มคี วามเปน็ อยู่ แบบด้ังเดมิ แต่ไม่ยอมรบั อำ�นาจเด็ดขาดของหัวหนา้ เผา่ อยา่ งเคร่งครดั หนั มายอมรบั กฎ  ระเบยี บของสว่ นกลาง  วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบน ้ี คอื   แบบที่ปรากฏมากในช่วงแรก  ๆ  ของการรวมท้องถิ่นต่าง  ๆ เปน็ อาณาจักร โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในสมัยโบราณ ๒. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้าผสมมีส่วนร่วม (The subject - participant culture) วฒั นธรรมการเมืองแบบน ี้ ประชาชนจะแบ่งออกเป็น  ๒  ประเภท  คือ  พวกที่มีความเข้าใจ ถึงบทบาท  คิดว่าตนเองมีบทบาทและมีอิทธิพลที่จะทำ�ให้เกิด การเปลย่ี นแปลงทางการเมอื ง  มคี วามรสู้ กึ ไวตอ่ วตั ถทุ างการเมอื งทกุ ชนดิ และมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมทางการเมือง  กับพวกท่ียังคง ยอมรับในอำ�นาจของอภิสิทธ์ิชนทางการเมือง  และมีความเฉื่อยชา ทางการเมือง  วัฒนธรรมทางการเมืองแบบนี้ปรากฏในยุโรปตะวันตก เช่น ฝร่งั เศส เยอรมนี และอิตาลี ในศตวรรษที่ ๑๙ ตน้ ศตวรรษที่ ๒๐ และประเทศก�ำ ลังพัฒนาหลายประเทศในปัจจุบัน ลักษณะส�ำ คัญทเ่ี ปน็ ผลของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบน้ีคือ  การสลับสับเปล่ียนระหว่าง รัฐบาลอำ�นาจนิยม  กับรัฐบาลประชาธิปไตย  ท้ังนี้เพราะคนในสังคม

เพียงส่วนหนึ่งเท่าน้ันที่มีวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม  แม้จะต้องการ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย แตใ่ นเมอ่ื คนสว่ นใหญย่ งั คงมวี ฒั นธรรม ทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า  ยังคงนิยมการปกครองแบบอำ�นาจนิยมอยู่ บรรดาผู้มีวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมจึงขาดความม่ันใจในความส�ำ เร็จ ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย วฒั นธรรมแบบนมี้ ีผลทำ�ให้เกดิ ความไม่มัน่ คงในโครงสร้างทางการเมือง ๓. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบผสมมีส่วนร่วม (The parochial - participant culture) เปน็ รปู แบบทเ่ี กิดอยูใ่ น ประเทศเกดิ ใหม่ และเป็นปญั หาในการพฒั นาวฒั นธรรมทางการเมอื ง กล่าวคือ  ประชาชนในประเทศเหล่านี้ส่วนมากจะมีวัฒนธรรมทาง การเมอื งแบบคบั แคบ  แตจ่ ะถกู ปลกุ เรา้ ในเรอ่ื งผลประโยชนท์ างเชอ้ื ชาติ ศาสนา  ทำ�ให้เกิดความสนใจที่จะเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง  เพ่ือ คุ้มครองประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตนเอง  การพยายามเข้ามีส่วนร่วม ทางการเมืองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองอาจนำ�ไปสู่ความ ขัดแย้งทางการเมือง  โดยกลุ่มชนหน่ึงอาจมีแนวคิดเอนเอียงไปทาง อำ�นาจนิยม  ในขณะท่ีอีกกลุ่มหนึ่งอาจเอนเอียงไปทางประชาธิปไตย ลักษณะความขัดแย้งน้ีทำ�ให้โครงสร้างทางการเมืองไม่ข้ึนอยู่กับ รูปแบบใดรปู แบบหน่งึ 18

19 นอกจากนี้ Ethridge and Handelman แบง่ วฒั นธรรม ทางการเมอื งอย่างกว้าง ๆ ออกเปน็ ๒ ประเภท ดังน้ี ๑. วฒั ธรรมทางการเมอื งแบบประชาธปิ ไตย (Democratic political culture) ประชาชนมคี วามใจกวา้ ง ยอมรบั ในความคดิ เห็นที่ แตกต่างจากตน มีความอดทน อดกลัน้ ในส่ิงท่ตี นไมเ่ ห็นดว้ ย และแกไ้ ข ปญั หาตา่ ง  ๆ  ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คมดว้ ยวถิ ที างประชาธปิ ไตย  เมอ่ื มกี ารเลอื กตง้ั ก็ยอมรับในผลของการเลือกต้ัง  แม้ฝ่ายตนพ่ายแพ้ก็ไม่มีการตีรวน เพอื่ ลม้ เลกิ การเลือกต้ังนัน้ แตอ่ ย่างใด ๒. วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบอ�ำ นาจนยิ ม  (Authoritarian political  culture)  ประชาชนไม่มคี วามอดทน  อดกลนั้ ไมย่ อมรับ ในความคิดเห็นท่ีแตกต่างจากตน  เน่ืองจากเน้นในเรื่องของความสงบ เรียบร้อยของสังคมเป็นสำ�คัญ  จึงเห็นว่า  ความคิดเห็นที่แตกต่าง หลากหลายอาจก่อผลกระทบอันเลวร้ายหรือสร้างความวุ่นวายให้กับ สังคมได ้         ความส�ำ คัญของวัฒนธรรมทางการเมอื ง วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรม  เป็นผลิตผลของความร้ ู ความคิด  และความเช่อื ทางการเมืองท่บี ุคคล หรือกลุ่มบุคคลได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหน่ึง  โดยผ่าน กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม  หรือกระบวนการกล่อมเกลา ทางการเมือง  ซึ่งประกอบด้วยสถาบันหลักท่ีสำ�คัญ  ได้แก่  สถาบัน ครอบครัว  สถาบันการศึกษา  สถาบันศาสนา  สถาบันการเมืองการ ปกครอง  และสถาบนั สอ่ื มวลชน  สถาบนั สนั ทนาการบนั เทงิ คดตี า่ ง  ๆ

ซึ่งวัฒนธรรมจะมีอยู่เฉพาะสังคมมนุษย์เท่าน้ัน  ไม่ว่ากลุ่มใดพวกใด ล้วนมีวัฒนธรรมทั้งสิ้น  วัฒนธรรมจะสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของสังคมมนุษย์  ดังนั้น  วัฒนธรรม ทางการเมอื งจงึ มีความสำ�คญั ดังน้ี ๑. วัฒนธรรมทางการเมืองคือ  ปัจจัยสำ�คัญท่ชี ่วยเสริมสร้าง ความชอบธรรมทางการเมอื งให้กับระบบการปกครองของแต่ละรฐั และ ทำ�ให้ระบบการเมืองของแต่ละรัฐดำ�รงคงอยู่ได้อย่างราบร่ืน  เพราะ ประชาชนจะให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับรัฐบาล  โดยการ เชื่อฟงั คำ�สั่งและกฎหมายต่าง ๆ อนั ท�ำ ใหเ้ กิดความมรี ะเบียบของสังคม ๒. วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นปัจจัยสำ�คัญในการกระตุ้น หรอื รเิ รมิ่ ให้เกิดการเปล่ยี นแปลงทางการเมือง วฒั นธรรมทางการเมอื ง แบบน้ีมักได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกและมักจะเกิดในหมู่ชนชั้นผู้นำ� ของสงั คม (elite) ซงึ่ ไม่พอใจสภาพการปกครองทางการเมืองทลี่ า้ หลัง และด้อยประสิทธิภาพ  ไม่สามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนอง ความต้องการของประชาชนได้  จึงต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง 20

21 องค์ประกอบของวฒั นธรรมทางการเมอื ง สังคมในแต่ละสังคมมีความแตกต่างกันท้ังในทางคุณค่า และความรู้สึก  แต่ส่ิงเหล่าน้ีผูกพันกันได้ด้วยความภักดีและความรู้สึก ผูกพันกับสังคมในการพัฒนาทางการเมือง  โดยสังคมจะต้องสร้าง วฒั นธรรมทางการเมอื ง ทมี่ ีองค์ประกอบ ดงั น้ี ประการแรก  ความไว้วางใจ  ความไม่ไว้วางใจและ ความสงสัย  วัฒนธรรมทางการเมืองจะถูกสร้างข้นึ ในสังคมโดยพ้นื ฐาน ของความเชื่อ  ความไว้วางใจต่อผู้ตามคือ  ประชาชน  หรือวัฒนธรรม ทางการเมืองสร้างขึ้นบนพ้ืนฐานของความไม่ไว้ใจในตัวประชาชน  ขณะเดียวกันความไว้วางใจของประชาชนต่อผ้ปู กครอง  และต่ออำ�นาจ สูงสุดของประเทศก็เป็นสิ่งสำ�คัญของวัฒนธรรมทางการเมืองเช่นกัน  อุปสรรคในการพัฒนาทางการเมืองคือ  ความไว้วางใจแบบไม่มีเหตุผล แบบความเชอ่ื ของเดก็ ทม่ี ตี อ่ ผปู้ กครองประเทศ  และตอ่ อ�ำ นาจทกุ รปู แบบ ในการปกครองประเทศ  ดังนั้น  ความไม่วางใจและความสงสัย จงึ เปน็ วฒั นธรรมทางการเมอื งทจ่ี ะตอ้ งสรา้ งขน้ึ ในสงั คมทต่ี อ้ งการพฒั นา ทางการเมืองเพือ่ ให้ผปู้ กครองประเทศใชอ้ �ำ นาจอยา่ งมีเหตมุ ีผลย่งิ ขึน้ ประการท่ีสอง  คือ  การให้ความสำ�คัญต่อความเท่าเทียม ของฝ่ายตรงข้าม  โดยทั่วไปวัฒนธรรมทางการเมืองของทุกสังคม เก่ียวข้องกับทัศนคติเร่ืองอำ�นาจ  เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำ�นาจ เหนอื กวา่ และดอ้ ยกวา่   ระหวา่ งผนู้ �ำ และผตู้ าม ในการพฒั นาทางการเมอื ง จึงจำ�เป็นที่จะต้องมีผู้นำ�ท่ีมีประสิทธิภาพ  แต่ขณะเดียวกันผู้นำ�นั้น จะต้องให้ความสำ�คัญต่อความเท่าเทียมของฝ่ายตรงข้าม  และจะต้อง ไม่แสวงหาอำ�นาจเพื่อคงไว้ซึ่งตำ�แหนง่ ทางการเมือง

ประการที่สาม  องค์ประกอบวัฒนธรรมทางการเมือง ท่ีสำ�คัญอีกประการหน่ึงคือ  เสรีภาพและการให้ความสำ�คัญของพลัง ฝา่ ยตรงขา้ ม  เพอ่ื เสรภี าพในการแสดงออกซง่ึ ความคดิ เหน็ ในสงั คมนน้ั   ๆ อันเป็นองค์ประกอบท่ีสำ�คัญของวัฒนธรรมทางการเมืองในการพัฒนา ทางการเมอื ง ประการสุดท้าย  ความภักดีและความผูกพันในสังคม โดยเฉพาะความผกู พนั ในครอบครวั กลมุ่ สงั คมเลก็ ๆขน้ึ มาถงึ ความผกู พนั ของคนท้ังชาติ  ประชาชนจะต้องมีแนวความคิดพ้นจากความแคบ  ๆ เ ฉ พ า ะ ก ลุ่ ม ข อ ง ต น ไ ป สู่ แ น ว ท า ง ที่ เ ห็ น ร ะ บ บ ก า ร เ มื อ ง ท้ั ง ร ะ บ บ ทเี่ ก่ยี วข้องกบั ประชาชน วฒั นธรรมทางการเมือง (Political culture) เป็นสว่ นหนง่ึ ของวฒั นธรรม ทเ่ี ปน็ รปู แบบของทศั นคติ (attitudes) และความโนม้ เอยี ง ในการเรียนรู้ของบุคคล  (orientations)  ท่ีมีต่อระบบการเมือง ตอ่ องค์ประกอบตา่ ง ๆ ของระบบการเมอื ง และตอ่ บทบาทของตนเอง ในระบบการเมอื ง โดยวัฒนธรรมทสี่ อดคลอ้ งกบั ประชาธปิ ไตยจะต้อง มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมสูง  นั่นคือ  ประกอบด้วยผู้มี 22

23 ส่วนร่วมแท้จริง  หรือผู้มีศักยภาพที่สามารถมีส่วนร่วมแท้จริงในระบบ การเมืองและมีความร้เู รอื่ งการเมอื งดี อย่างไรก็ตาม วฒั นธรรมทาง การเมอื งจะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การด�ำ เนนิ ชวี ติ ทางการเมอื งของคน  เพราะท�ำ ให้ คนมีทัศนคติและความเช่ือทางการเมืองตามวัฒนธรรมน้ัน  โดยจะ แสดงออกมาใหเ้ หน็ ไดท้ างพฤตกิ รรมและบคุ ลกิ ภาพ ทง้ั น้ี วสิ ทุ ธ์ิ โพธแิ ทน่ ได้สรุปวา่ วัฒนธรรมการเมอื งประชาธิปไตย จะประกอบดว้ ย ดังนี้ ๑. ความมีเหตุผล  หมายความว่า  การดำ�เนินชีวิตของ นักประชาธิปไตยจะต้องใช้เหตุผลประกอบเสมอ  โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในเรื่องท่เี กี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือเกยี่ วขอ้ งกับคนอนื่ ๆ เหตผุ ลทน่ี �ำ มาใช้น้ันจะต้องพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลเป็นสำ�คัญ  กล่าวคือ ต้องเป็นเหตุผลที่มีพื้นฐานของข้อเท็จจริงรองรับ  หากสิ่งนั้นเป็นเรื่อง ทางวัตถุหรือรูปธรรม  และถ้าหากส่ิงน้ันเป็นนามธรรมก็ต้องสามารถ แสดงความสมเหตุสมผลตามหลักตรรกศาสตร์  (ปรัชญาสาขาหน่ึง ด้วยการหาคิดเหตุผลว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่)  อันเป็นที่ยอมรับกัน ท่ัวไป ๒. เคารพตนเคารพท่าน หรอื การเคารพซึ่งกนั และกนั คือ การเคารพในความเป็นคน  หรือความเป็นมนุษย์โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่ดูถูกดูแคลนกันเพราะถือยศ  ถือศักดิ์  ถือฐานะ  ถือชาติตระกูล ถือชนช้ัน  และจะต้องเคารพในความสามารถของกันและกัน  โดย นักประชาธิปไตยจะไม่ขัดขวางหรืออิจฉาริษยาผู้ท่ีมีความสามารถ ในทางสุจริต  ให้มีโอกาสได้แสดงความสามารถ  และพร้อมจะยกย่อง ชมเชย  ซึ่งคนเราเม่ือมีความเคารพซึ่งกันและกันในทุกด้านมากข้ึน ก็จะเกิดความเชื่อถือกันมากข้ึนเท่าน้ัน  และจะมีความรัก

ความปรารถนาดีต่อกันตามมา  ก่อให้เกิดความร่วมมือท่ีดีต่อกัน ในสังคม  สามารถรวมพลังในการสร้างสรรค์และแก้ปัญหาของสังคม และประเทศชาติได้เปน็ อย่างดี ๓. ความอดกล้ันในความแตกต่าง  หมายถึง  การยอมรับ ความแตกต่างของกันและกันว่าเป็นเร่ืองปกติของมนุษย์  ท้ังใน เร่ืองความแตกต่างทางกายภาพและพฤติกรรม  ความรู้สึกนึกคิด  การแสดงออกซ่ึงความคิดเห็น  ตราบใดที่ความแตกต่างนั้นไม่ทำ� ความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้ใด  ผู้มีวัฒนธรรมการเมืองประชาธิปไตย จะไม่กล่าวหาใครง่าย  ๆ  โดยไม่คิดใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน ซึ่งการอดกลน้ั ในความแตกตา่ ง  จะเกดิ ขน้ึ ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื คนเรามคี วามเคารพ ซึ่งกันและกัน  อันนำ�มาซ่ึงการเห็นพ้องต้องกันท่ีจะไม่เห็นด้วยก็ได้  และสามารถสรา้ งเอกภาพในความแตกตา่ งของการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมได้ ๔. ตกลงกนั อยา่ งสนั ตวิ ธิ  ี หมายถงึ   การด�ำ รงและด�ำ เนนิ ชวี ติ ร่วมกันในสังคมอย่างสันติ  ถ้อยทีถ้อยอาศัย  เอาใจเขามาใส่ใจเรา ดว้ ยความรกั ความปรารถนาดตี อ่ กนั ไมม่ งุ่ รา้ ย ไมร่ ษิ ยาอาฆาต หรอื ไมใ่ ช้ ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด  เช่น  ด่าทอ ใช้กำ�ลัง  เป็นต้น  ในขณะท่กี ารถกเถียงคือ  การแลกเปล่ยี นข้อเท็จจริง 24

25 และความคิดเห็นอย่างสุภาพด้วยเหตุผล  เพ่ือพยายามหาข้อสรุป ที่น่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุดกับทุกคนทุกฝ่าย  การถกเถียงเป็นเรื่อง ปกติธรรมดาในสังคมประชาธิปไตย  ซึ่งต่างกับการทะเลาะที่เป็นการ มุ่งเอาชนะกนั ฝา่ ยเดยี วโดยไม่ค�ำ นึงถึงข้อเทจ็ จริง เหตุผล การทะเลาะ เปน็ การขาดการเคารพซง่ึ กนั และกนั และอาจจะมกี ารน�ำ วธิ กี ารทกุ รปู แบบ มาใช้เพื่อเอาชนะโดยไม่คำ�นึงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือ มีความยุติธรรมหรือไม่  วิธีการท่ีใช้อาจมีแม้กระทั่งการใช้ความรุนแรง ด้วยวาจาหรอื ความรนุ แรงด้วยกำ�ลังหรืออาวุธ ๕. รจู้ กั มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง  หมายความวา่   ผมู้ วี ฒั นธรรม ประชาธิปไตยจะต้องร้จู ักท่จี ะมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบต่าง  ๆ ด้วยการกระทำ�อย่างสมเหตุสมผลตามหลักการประชาธิปไตย  เพื่อท่ี จะให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสม และเปน็ ประโยชนต์ ่อสงั คมมากกว่า เป็นโทษ  เช่น  การมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง ผลู้ งคะแนนแตล่ ะคนกต็ อ้ งรจู้ กั เลอื กโดยพจิ ารณาเปรยี บเทยี บขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ียวกับผู้สมัคร  และพรรคการเมืองที่ผู้สมัครสังกัด  ถ้าไม่ทราบก็ต้อง

พยายามแสวงหาข้อมูลมาเพื่อให้ทราบมากท่ีสุด  แล้วลงคะแนนด้วย ความรอบคอบเพื่อใหไ้ ด้ผทู้ ่ีดที ีส่ ุด ๖. ไม่ลมื เรอื่ งสทิ ธแิ ละหน้าที่ หมายความว่า ทุกคนในสังคม ประชาธิปไตยต้องตระหนักว่าแต่ละคนต่างมีทั้งสิทธิและหน้าท่ีตาม หลักการของประชาธิปไตย สิทธิ คอื   ประโยชนท์ ่กี ฎหมายรับรองและ คุม้ ครองให้ หรอื สิง่ ทค่ี นแตล่ ะคนจะไดจ้ ากสังคม ซงึ่ คนแตล่ ะคนจะตอ้ ง ใชส้ ทิ ธิของตนเองให้เหมาะสมโดยไม่ไปละเมดิ สทิ ธขิ องผอู้ นื่ หน้าท่ี คอื ส่ิงท่ีคนแต่ละคนจะต้องทำ�ให้แก่สังคมและประเทศชาติ  คนแต่ละคน กต็ ้องทำ�หน้าทใี่ นฐานะตา่ ง ๆ ท่ตี นเปน็ อย ู่ เชน่ ในฐานะเป็นราษฎรของ ประเทศ ในฐานะเป็นสมาชิกชมุ ชน ในฐานะเป็นผูท้ �ำ งานในหน่วยงาน เปน็ ต้น ทงั้ น้ี คนทุกคนจะต้องคำ�นงึ อยเู่ สมอถงึ ความเหมาะสมในการ เรียกร้องสิทธิ  และการทำ�หน้าท่ีของตนเองอย่างมีความรับผิดชอบ อกี ทง้ั ตอ้ งมนี า้ํ ใจนกั กฬี า  รแู้ พ ้ รชู้ นะ  รอู้ ภยั   ไมใ่ ชส่ ตู้ ามกตกิ าสนั ตวิ ธิ ไี มไ่ ด ้ แล้วก็ใช้ความรุนแรงเอาชนะแล้วสร้างกติกาของพวกตนข้ึนมาเอง โดยไมค่ �ำ นงึ ถงึ เสยี งประชาชนสว่ นใหญว่ า่ แทจ้ รงิ แลว้ เขาตอ้ งการหรอื ไม่ นอกจากนี้  สิ่งสำ�คัญอีกอย่างหน่ึงในเรื่องการตระหนักถึงสิทธ ิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของตนเองและของผู้อ่ืนนั้นคือ  การตระหนักถึง ความมีระเบียบวินัยของตนเอง  ซ่ึงเป็นสิ่งที่คนมักมองข้าม  การมี ระเบยี บวนิ ยั ของตนเองเป็นเร่อื งสำ�คญั ของการปกครองตนเอง คนเรา จะปกครองตนเองได้จะต้องมรี ะเบยี บวินยั มากพอสมควร เพ่ือเป็นการ ควบคมุ ตวั เองใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทต่ี อ้ งการโดยไมใ่ หใ้ ครคนอน่ื มาอา้ งเหตุ ว่าเราปกครองตนเองไม่เป็น  แล้วเข้ามาควบคุมเราหรือปกครองเรา โดยเราไม่เรียกร้องหรือไม่ยินยอม  เพราะการปกครองตนเองร่วมกัน 26

27 ของประชาชนตามแนวคดิ ประชาธปิ ไตยนน้ั ประชาชนแตล่ ะคนทร่ี วมกนั เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องแสดงศักยภาพของตนว่า “ตนปกครองตนเองเป็น” ๗. ทำาดีเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การที่แต่ละคน คิดและทำาตนให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์ คนแตล่ ะคนกไ็ ดป้ ระโยชนด์ ว้ ย เพราะคนแตล่ ะคนเปน็ องคป์ ระกอบของ คนทง้ั หมด ทง้ั นไ้ี มไ่ ดห้ มายความวา่ คนแตล่ ะคนจะแสวงประโยชนส์ ว่ นตวั ไม่ได้ คนแต่ละคนย่อมแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวได้เสมอตราบใด ที่ประโยชน์ส่วนตัวหรือการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวนั้นไม่ทำาให้ผู้อ่ืน เสียหายหรือเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม ถ้าแต่ละคนแต่ละกลุ่มคิดถึง แต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง จนทำาให้ประโยชน์ส่วนรวม เสียหาย หรือประโยชน์ผู้อื่นเสียหายอย่างไม่ยุติธรรมแล้ว สังคมย่อม ไม่อาจสงบสุขได้เพราะอาจเกิดการขัดแย้งรุนแรงเก่ียวกับการจัดสรร ประโยชน์ เพราะฉะน้ัน ในสังคมประชาธิปไตยจึงมีหลักยึดถือว่า หากมีความขัดแย้งในเร่ืองผลประโยชน์แล้ว ผลประโยชน์ส่วนรวม ยอ่ มมากอ่ นเสมอ เพราะผลประโยชนส์ ว่ นรวมคอื ผลประโยชนท์ ท่ี กุ คน ตา่ งได้รับนัน่ เอง

๘. มีอุดมการณ์ร่วมคือ  แน่วแน่  วัฒนธรรมประชาธิปไตย ในข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การจะสร้าง พัฒนา และธ�ำ รงรักษาความเปน็ ประชาธิปไตยของประเทศให้อยู่ในระดับสูงได้น้ัน  คนส่วนใหญ่ ในประเทศโดยเฉพาะอย่างย่ิง  “ผู้นำ�”  ในระดับต่าง  ๆ  ของสังคม ต้องรู้จักและเข้าใจสาระสำ�คัญของประชาธิปไตย  และมีความต้องการ ประชาธปิ ไตยด้วย ๙. เห็นแก่ประเทศชาติ หรือมคี วามรักชาติ หมายความว่า การทค่ี นเรามคี วามส�ำ นกึ ในความเปน็ ชาตขิ องตน  มจี ติ ส�ำ นกึ ของความเปน็ ชาตินิยม  มีความรักและภูมิใจในประเทศชาติของตน  ต้องการให้ ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง  ราษฎรพลเมืองมีความสันติสุข  ร่วมกัน ทำ�นุบำ�รุงส่งิ ท่ดี ีอย่แู ล้ว  และสร้างส่งิ ดีท่ขี าดแคลนข้นึ มาใหม ่ ขจัดส่งิ ท่ี ไมด่ ีงาม  ซ่งึ ขวางก้นั ความสงบสุขและความเจริญร่งุ เรืองให้หมดไปหรือ ลดนอ้ ยลงใหม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะท�ำ ได ้ เปน็ การรจู้ กั แบง่ แยกสว่ นดสี ว่ นไมด่ ี โดยแก้ไขส่วนท่ีไม่ดีพร้อมกับเสริมสร้างส่วนท่ีดีอยู่แล้วให้ดียิ่ง  ๆ  ขึ้น โดยไมม่ คี วามจำ�เปน็ ต้องมุ่งร้ายหรือรุกรานใครหรือประเทศใด 28

29 ๑๐. พัฒนาความรู้ความสามารถของตน  หมายความว่า คนท่ีมีคุณภาพที่จะสามารถช่วยสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้น้ันจะต้อง พัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง  และของกันและกันอยู่เสมอ ให้ร้เู ท่าทันการเปล่ยี นแปลงของโลก  คนเราเม่อื เช่อื ว่าตนเองมีความรู้ ความสามารถก็จะมีความมั่นใจในตัวเอง  และเช่ือม่ันในการกระทำ� ของตวั เอง คนทม่ี คี วามม่ันใจในตัวเองยอ่ มมีโอกาสท่จี ะท�ำ การส่ิงใดให้ ประสบความส�ำ เร็จได้มากกวา่ คนท่ีไม่มีความมน่ั ใจในตวั เอง อิทธพิ ลของวฒั นธรรมทางการเมืองท่ีมีผลตอ่ คนในสังคม วัฒนธรรมทางการเมือง  เป็นลักษณะส่วนหนึ่งของ วฒั นธรรมสงั คม  จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจพฤตกิ รรมทางการเมอื ง ต่าง  ๆ  ได้ดีข้ึน  เพราะความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ย่อมมีส่วนในการ กำ�หนดพฤติกรรมของคนเราอยู่มาก  และเม่ือคนเรามีความรู้สึกนึกคิด อยู่อย่างไร  ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมออกมา  วัฒนธรรม ทางการเมืองเปน็ ความโนม้ เอยี งในอันท่จี ะเกิดพฤติกรรม แต่พฤติกรรม จะเกิดขึ้นได้นั้น  เป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถพูดได้จากการพิจารณา วัฒนธรรมทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว  พฤติกรรมจะเกิดหรือ ไมเ่ กดิ ข้ึนอยกู่ ับสิง่ อืน่ ๆ อกี หลายอยา่ ง ดงั นี้ ๑. มีผลต่อวิธีการท่ีบุคคลจะตอบโต้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน ในระบบการปกครอง  เช่น  เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นในประเทศหนึ่ง อาจจะพบว่าบางประเทศคนในชาติจะรวมกำ�ลังกันต่อต้าน  แต่ในบาง ประเทศจะพบว่าคนในชาตใิ ห้การสนบั สนุน

๒. มีอิทธิพลโดยตรงต่อเป้าหมายของการแสดงพฤติกรรม ทางการเมอื งของบคุ คล ๓. เป็นเคร่ืองบ่งบอกถึงวิธีการท่ีแต่ละคนจะเข้าไป เกย่ี วข้องกบั วิถีทางการเมือง ๔. เป็นเครื่องบ่งบอกถึงปทัสถาน  (แบบแผนสำ�หรับยึดถือ เปน็ แนวทางปฏบิ ตั )ิ ของบคุ คลทีจ่ ะมสี ่วนก�ำ หนดวธิ กี ารทใ่ี ช้เพอื่ บรรลุ เป้าหมายทางการเมือง ๕. เป็นเครื่องบอกให้รู้ถึงตำ�แหน่งที่มีอิทธิพลและ พลงั อ�ำ นาจทางการเมอื งของแตล่ ะกลมุ่ หรอื บคุ คล  ท�ำ ใหร้ วู้ า่ ในเรอ่ื งหนง่ึ เรื่องใดน้ันเราควรจะติดตอ่ กบั ใคร และร้วู ่าใครมีอิทธิพลเหนอื ใคร ๖. ทำ�ให้ทราบว่าหากต้องการติดต่อในเรื่องทางการเมือง ผู้ติดต่อจะต้องกล่าวถึงอะไรและพอจะประเมินได้ว่าผลของการ กล่าวถงึ น้ันจะออกมาอย่างไร ๗. ข้อพึงระวังคือ  แม้จะมีโครงสร้างทางการเมือง ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั   เชน่   มพี รรคการเมอื งและมรี ฐั สภา  แตห่ ากวฒั นธรรม ทางการเมืองต่างกัน  ก็จะทำ�ให้การปฏิบัติหน้าที่ของสถาบันการเมือง ต่างกนั ไป จนอาจประสบความลม้ เหลวได้ในทีส่ ุด ลกั ษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธปิ ไตย การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย เร่ิมต้นด้วยการส่งเสริมเผยแพร่ให้ประชาชนมีความรู้  ความเข้าใจ จนกระท่ังเกิดความเช่ือมั่น  ศรัทธา  ในคุณค่าของประชาธิปไตยว่า อำ�นาจอธิปไตยเป็นของประชาชน  โดยวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ ประชาธิปไตย จะมลี กั ษณะส�ำ คญั ๆ ดังน้ี 30

31 ๑. คนส่วนใหญ่ในสังคม  จะต้องมีจิตใจสนับสนุนหลักการ ปกครองแบบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีหลักการท่ีถือว่าอำ�นาจอธิปไตยเป็นของประชาชน  เพราะยึดมั่น ในความสำ�คัญ  ความเสมอภาค  และเสรีภาพของบุคคล  มีวิธีการ ให้ประชาชนได้ใช้อำ�นาจดังกล่าว  โดยมีข้อกำ�หนดต่าง  ๆ  ให้เกิด การใช้อำ�นาจ  เช่น  รัฐธรรมนูญ  การเลือกต้ัง  รวมท้ังวัตถุประสงค์ ในการปกครองเพ่ือผลประโยชนข์ องประชาชน ๒. ผู้นำ�และประชาชน  จะต้องยึดม่ันในความสำ�คัญและ ศักด์ิศรีของบุคคล  จะต้องมีความเชื่อม่ันในความเสมอภาคของบุคคล รวมทั้งรู้จักเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นในการพูด  ในการแสดง ความคดิ เหน็   และในการแสดงออก  แมว้ า่ สง่ิ นน้ั จะขดั แยง้ หรอื คดั คา้ นกบั ความคิดเห็นหรือรสนิยมของตนก็ตาม  คนท่ีมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย จะต้องยอมรับหรือมีความอดทนอดกลั้นในเร่ืองความแตกต่างของการ ประพฤติปฏิบัติของผู้อ่ืน  ตราบใดท่ีบุคคลผู้นั้นไม่ละเมิดศีลธรรมหรือ สทิ ธิเสรีภาพของผ้ใู ด ท้งั นี้ เพราะคนเรายอ่ มมผี ลประโยชน์ ความเชือ่ และเหตผุ ลต่าง ๆ กนั

๓. คนท่ีมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย  จะต้องเคารพในกติกา ของการปกครองแบบนั้น  คือ  ใช้วิธีตัดสินปัญหาด้วยเสียงข้างมาก โดยมีข้อผูกพันที่จะต้องมีการปฏิบัติตามจากทุกฝ่าย  ขณะเดียวกัน ก็ให้ความคุ้มครองสิทธิของฝ่ายที่มีเสียงข้างน้อย  ท้ังนี้  เพ่ือประกันว่า การแกป้ ญั หานน้ั เปน็ ไปเพอ่ื ผลประโยชนข์ องคนสว่ นรวม  และใหเ้ ปน็ ไป ตามหลักท่ีว่า  แต่ละคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน  ส่วนบุคคลท่ีไม่เห็นด้วย กับเสียงข้างมาก  จะถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือจะขจัดออกนอกสังคม ไมไ่ ด้ เชน่ จะห้ามการวิพากษ์วิจารณข์ องฝา่ ยนน้ั ไมไ่ ด้ ยิง่ กวา่ นน้ั กติกา ของการปกครองแบบน้ี  ยังรวมถึงการปฏิบัติต่อกันอย่างยุติธรรม การยดึ ถอื ระเบยี บวธิ กี ารตามกฎหมาย และการเคารพสทิ ธขิ องบคุ คลทจ่ี ะ ไดร้ บั การพิจารณาคดีโดยยุติธรรมอกี ด้วย ๔. คนท่จี ิตใจเป็นประชาธิปไตย  จะต้องสนใจในการมีส่วนร่วม กิจกรรมทางการเมือง  และการปกครองโดยติดตามข่าวสาร ของบ้านเมือง  พูดคุยถึงปัญหาของบ้านเมืองกับผู้อื่นในทางสร้างสรรค์ และพยายามมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ  หรือการกำ�หนดนโยบายของ ทางราชการ เชน่ การออกเสยี งเลอื กตง้ั การออกเสยี งประชามต ิ เปน็ ตน้ ซึ่งการมีส่วนร่วมเป็นการกระทำ�ท่ีมุ่งหวังผลกระทบต่อการตัดสินใจ ของผู้ใช้อำ�นาจทางการเมือง  หรือต่อการเปล่ียนแปลงทางการเมือง ในทศิ ทางท่ีประชาชนต้องการ ๕. คนที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย  จะต้องมีความสำ�นึก ในหน้าท่ีพลเมืองของตน  และมีความเช่ือม่ันตนเอง  หน้าท่ีพลเมือง ท่กี ล่าวถึงน้นั   ได้แก่  การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองในระบบประชาธิปไตยท่ดี ี การปฏิบัติตามกฎหมาย  การเสียภาษ ี การบำ�เพ็ญประโยชน์ต่อสังคม 32

33 การออกเสียงเลือกต้ัง  เป็นต้น  นอกจากน้ี  จะต้องมีความเช่ือม่ันว่า การมสี ่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของตนจะไดผ้ ล ๖. คนที่จิตใจแบบประชาธิปไตย  จะต้องมองโลกในแง่ดี ส่ิงนี้นับว่ามีความจำ�เป็นต่อความสำ�เร็จของการปกครองแบบ ประชาธิปไตยอยู่ไม่น้อย  เพราะการเมืองเป็นเร่ืองของความร่วมมือ ร่วมใจกัน  แม้จะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้างก็ตาม  ความสำ�เร็จ ในการดำ�เนินงานของสถาบันทางการเมืองต่าง  ๆ  ส่วนหนึ่งย่อมต้อง อาศัยความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน  โดยเฉพาะอย่างย่ิง  จะต้องมี ความเชอ่ื มน่ั วา่ การปกครองแบบประชาธปิ ไตย  จะชว่ ยแกป้ ญั หาตา่ ง  ๆ  ของสังคมได้ดีกวา่ การปกครองแบบอื่น ทงั้ ฝ่ายผนู้ ำ�และฝา่ ยประชาชน จะต้องมีความเช่ือว่า  คนเราจะปกครองตัวเองได ้ การมองโลกในแง่ด ี ย่อมช่วยให้มนุษย์มีความหวังได้ว่า  เรามีความสามารถที่จะเอาชนะ ส่ิงแวดล้อมและฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายไปได้  ด้วยระบอบ ประชาธปิ ไตย ซง่ึ มกั จะเปน็ ไปอย่างเช่อื งชา้ แต่มีความมนั่ ใจได้ ๗. คนทีม่ ีจติ ใจเป็นประชาธปิ ไตย จะตอ้ งรจู้ กั การวเิ คราะห์ วจิ ารณอ์ ยา่ งมเี หตผุ ลและในเชงิ สรา้ งสรรค์ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตอ่ การใช้ อำ�นาจหน้าที่  และการปฏิบัติงานของทางราชการ  เพราะถ้าปล่อยให้

ทำ�อะไรได้โดยไม่มีการคัดค้าน  ควบคุม  ตรวจสอบ  หรือเหน่ยี วร้งั ไว้ อาจทำ�ให้ฝ่ายน้ันหลงในอำ�นาจปฏิบัติตามอำ�เภอใจ  ก็อาจจะเกิด ความผิดพลาดขึ้นได้โดยง่าย  ในประเทศท่ีเป็นเผด็จการคนส่วนมาก มักจะมอบความไว้วางใจให้แก่ผู้มีอำ�นาจ  โดยปราศจากการโต้แย้ง หรือการวิพากษว์ ิจารณ์ใด ๆ ๘. คนส่วนใหญ่จะต้องไม่มีจิตใจเป็นแบบอำ�นาจนิยม การมีจิตใจแบบอำ�นาจนิยมคือ  การมอบความรับผิดชอบในทุกส่งิ ทุกอย่าง ไว้ที่ผู้นำ�  อ่อนน้อมจำ�นนต่อผู้มีอำ�นาจ  นิยมระบบเจ้าขุนมูลนาย ไม่ยอมรับความเสมอภาคของบุคคล  ไม่ยอมรับความแตกต่างของผ้อู ่นื ในการใช้สิทธิเสรีภาพของเขา  และการยึดม่ันในค่านิยมแบบดั้งเดิม ยอ่ มเปน็ การยากทก่ี ารปกครองแบบประชาธปิ ไตยจะประสบความสำ�เรจ็ สำ�หรับการมีจิตใจแบบประชาธิปไตยคือ  การสนับสนุนหลักการ ปกครองแบบประชาธิปไตย  เคารพในศักด์ิศรี  ความเสมอภาคและ เสรีภาพของบุคคล สนใจการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมอื ง สำ�นึก ในหน้าที่พลเมือง  มองส่ิงแวดล้อมของมนุษย์ในแง่ดี  รู้จักวิเคราะห์ วิจารณ์  และไม่มีจิตใจเป็นแบบอำ�นาจนิยม  ท้ังนี้  การมีจิตใจ แบบประชาธปิ ไตยจงึ ขน้ึ อยกู่ บั การทส่ี ถาบนั ตา่ ง ๆ ในสงั คมไดถ้ า่ ยทอดหรอื อบรม  หลอ่ หลอม  กลอ่ มเกลา  จติ ใจใหเ้ ปน็ แบบนน้ั สถาบนั ทก่ี ลา่ วถงึ เชน่ ครอบครัว  โรงเรียน  ชุมชน  สถานท่ีทำ�งาน  ส่ือมวลชน  และระบบ การเมอื งของสังคม  เปน็ ต้น 34

35 ความสัมพันธ์การกลอ่ มเกลาทางการเมอื งกับวัฒนธรรมทางการเมอื ง วัฒนธรรมเป็นสิ่งท่ีมนุษย์สามารถเรียนรู้  และถ่ายทอดได้ หมายความว่า  ต้องมีวิธีการที่จะทำ�ให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และ ถ่ายทอดวัฒนธรรมได้  วิธีการดังกล่าวก็คือ  การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) เป็นกระบวนการ ทางสังคมกับจิตวิทยา  ท่ีมีผลทำ�ให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทาง ท่ีสังคมต้องการ  กระบวนการขัดเกลาทางสังคมจะเริ่มต้นต้ังแต่บุคคล เกิดมา ตวั แทนของสังคมที่ท�ำ หน้าท่ใี นการขดั เกลา ได้แก่ ครอบครวั กลมุ่ เพ่ือน สถานศึกษา ศาสนา ตลอดจนสื่อมวลชนตา่ ง ๆ ทจ่ี ะท�ำ ให้ บุคคลได้ทราบถึงคุณธรรม  คุณค่า  อุดมคติท่ีสังคมยึดม่ัน  ได้เรียนรู้ บรรทัดฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีใช้อยู่ในสังคม  ตลอดจน

ยึดม่ันในหลักศีลธรรมของสังคม  และพร้อมที่จะใช้ชีวิตในแนวทาง ที่สังคมต้องการ  กระบวนการขัดเกลาทางสังคมเกิดข้ึนทั้งโดยตรงและ โดยอ้อม กล่าวอีกนัยหนึ่ง  การขัดเกลาทางสังคม  (Socialization) คอื กระบวนการอยา่ งหนงึ่ ที่ท�ำ ให้มนษุ ย์เรียนรู้สถานภาพและบทบาท ทส่ี งั คมคาดหวงั เปน็ กระบวนการทจ่ี ะตอ้ งประสบตง้ั แตเ่ กดิ จนกระทง่ั ตาย ท้ังโดยตรงและโดยอ้อม  อันจะทำ�ให้บุคคลนั้นได้มีแบบแผนของ ความประพฤตทิ เ่ี ปน็ ประโยชนแ์ กก่ ลมุ่   และสามารถด�ำ รงอยรู่ ว่ มกบั กลมุ่ ได้ อยา่ งเป็นระเบยี บ ในเมื่อวัฒนธรรมทางสังคม  สามารถเรียนรู้และ ถ่ายทอดโดยกระบวนการขัดเกลาทางสังคม  ดังน้ัน  การเรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรมทางการเมืองก็สามารถทำ �ได้โดย “การกลอ่ มเกลาทางการเมอื ง”(PoliticalSocialization) ห รอื เรยี กวา่ การเรยี นรทู้ างการเมอื ง  กระบวนการกลอ่ มเกลาทางการเมอื งน ้ี ถอื ไดว้ า่ เป็นตัวกลางท่ีเช่ือมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับมนุษย์  กล่าวคือ เปน็ ตวั ดงึ เอาวฒั นธรรมเขา้ ไปมสี ว่ นหรอื มอี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ หรอื เป็นการขดั เกลาทางสงั คมท่ีมผี ลต่อพฤตกิ รรมทางการเมือง Kenneth  P.  Langton  ได้ให้นิยามของการกล่อมเกลา ทางการเมือง  หมายถึง  กระบวนการท่ีบุคคลได้เรียนรู้แบบแผน พฤติกรรมและอุปนิสัยในทางที่เก่ียวเน่ืองกับการเมืองโดยผ่านทาง ส่อื กลางต่าง ๆ ของสังคม ส่อื กลางเหล่านีร้ วมถงึ สิ่งแวดล้อมทว่ั ๆ ไป เชน่ ครอบครวั กลมุ่ เพอ่ื นฝงู โรงเรยี น สมาคมผใู้ หญ่ และสอ่ื สารมวลชน ตา่ ง ๆ 36

37 การกลอ่ มเกลาหรือการเรยี นรูท้ างการเมอื ง สามารถกระท�ำ ได้ ๒ แนวทางหลกั ดังนี้ ๑. การกล่อมเกลาทางการเมืองโดยทางอ้อม  ซึ่งอาจแบ่ง ย่อยออกไดเ้ ป็น ๓ แบบด้วยกัน คือ ๑.๑ การถ่ายโอนระหว่างบุคคล  (Interpersonal Transference) ๑.๒ การฝกึ หดั อบรม (Apprenticeship) ๑.๓ ระบบความเชอื่ ๒. การกล่อมเกลาทางการเมืองโดยทางตรง  อาจแบ่งออก เป็น ๔ รูปแบบดว้ ยกัน คือ ๒.๑ การเลยี นแบบ ๒.๒ ก า ร เรี ย น รู้ โ ด ย ก า ร ค า ด ก า ร ณ์ ล่ ว ง ห น้ า (Anticipatory Socialization) ๒.๓ การศึกษาทางการเมือง  หมายถึง  วิธีการเรียนรู้ การเมืองอย่างตรงไปตรงมา  มีองค์กรหรือสถาบัน  เช่น  ครอบครัว โรงเรยี น หนว่ ยงานของรฐั หรอื พรรคการเมอื งเปน็ ผดู้ �ำ เนนิ การ สว่ นวธิ กี ารนน้ั แตกต่างกนั ไปในแต่ละสงั คม ๒.๔ ประสบการณท์ างการเมืองโดยตรง กลา่ วโดยสรปุ การกลอ่ มเกลาเรยี นรทู้ างการเมอื ง  เปน็ กระบวน การเรียนรู้ทางการเมืองรูปแบบหน่ึง  ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงภาพของ การเรียนรู้  การสืบทอด  เข้าใจ  ตระหนัก  อันนำ�ไปสู่การสร้างเสริม แ ล ะ แ ส ด ง อ อ ก ซ่ึง พ ฤ ติ ก ร ร ม อั น เ ห ม า ะ ส ม ต า ม วิ ถี ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย 

การกลอ่ มเกลาเรยี นรทู้ างการเมือง  มีความสัมพันธ์กับการกล่อมเกลา เรียนร้ทู างวัฒนธรรมสังคม  โดยจะมีการวางแผนและกระทำ�อย่างต้งั ใจ  เปน็ การพยายามกลอ่ มเกลาเรยี นรโู้ ดยสถาบนั การศกึ ษา  และหนว่ ยงาน ของรัฐ  เช่น  การสอนให้นักเรียนรู้จักตัวเองว่าเป็นคนชาติใด  รู้จักสัญญลักษณ์ซ่ึงเป็นตัวแทนชาติ  (ธงชาติ  เพลงชาติ  พระบรม ฉายาลักษณ์) การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยผ่าน กระบวนการจัดการศึกษา กระบวนการเรยี นรมู้ คี วามส�ำ คญั ตอ่ การพฒั นาวฒั นธรรมทาง การเมืองแบบประชาธิปไตย  เพราะสังคมท่ีมีความเป็นประชาธิปไตย  ประกอบด้วยเง่ือนไขพ้ืนฐานคือ  การมีประชาชนท่ีมีความกระตือรือร้น ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน  และท่ีสำ�คัญประชาชน เหล่าน้ันจะต้องมีสำ�นึกในความเท่าเทียมกัน  (Sense  of  equality)  ในสิทธิระหว่างปัจเจกบุคคล  (บุคคลแต่ละคน)  ภายใต้ความเป็น พลเมืองของรัฐ  (Citizenship)  ในหลักการเสรีประชาธิปไตย  โดยมี เป้าหมายปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อำ�นาจอธิปไตยของรัฐ  พลเมืองย่อมได้รับการรับรองสิทธิจากรัฐ อยา่ งเทา่ เทยี มกนั ใน ๓ ด้าน ประกอบดว้ ย ๑. สทิ ธพิ น้ื ฐานของพลเมอื ง (Civil rights) ซง่ึ ประกอบดว้ ย สิทธิในการได้รับความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย  สิทธิเสรีภาพ ส่วนบุคคล สิทธิครอบครองทรพั ย์สนิ หรือสิทธใิ นการท�ำ สญั ญา 38

39 ๒. สทิ ธทิ างการเมือง  (Political rights) ไดแ้ ก่ สทิ ธิในการ เลอื กต้งั สทิ ธิการเขา้ สตู่ ำ�แหน่งทางการเมอื ง สทิ ธกิ ารรวมกลมุ่ สมาคม หรือพรรคการเมือง เป็นต้น ๓. สทิ ธทิ างสงั คม (Social rights) ไดแ้ ก่ สทิ ธใิ นการเขา้ ถงึ สวัสดิการพ้ืนฐานทางสังคมและเศรษฐกิจ  เช่น  สวัสดิการการรักษา พยาบาล  การศึกษาขั้นพื้นฐาน  สิทธิในการประกอบอาชีพ  และการ ประกันสงั คม เป็นตน้ อย่างไรก็ดี  การได้รับการรับรองสิทธิดังกล่าวของพลเมือง จำ�เป็นต้องอยู่ภายใต้เง่ือนไขของการมีพันธะหน้าที่ที่พลเมืองต้อง ปฏบิ ตั ิต่อรัฐดว้ ยเช่นกัน น่ันคือ หน้าท่ใี นการเสยี ภาษี การเกณฑท์ หาร การมีความภักดีต่อรัฐ  ตลอดจนการมีความรับผิดชอบต่อการมีส่วนร่วม ในกระบวนการทางการเมือง  เช่น  การใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง เป็นตน้ ทงั้ นี้ พันธะหนา้ ท่ีและความรับผิดชอบของพลเมอื งในระบอบ ประชาธิปไตย  อาจเรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่าเป็น “คุณธรรมของ พลเมือง”  หรือความสำ�นึกในความเป็นสมาชิกของรัฐและตระหนัก ในพันธะหน้าท่แี ละความรับผิดชอบท่พี ึงปฏิบัติในฐานะท่เี ป็นส่วนหน่งึ ของชุมชนการเมือง  จึงนับเป็นคุณสมบัติพ้ืนฐานสำ�คัญที่แสดงถึง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย  อย่างไรก็ตาม  สภาพ ความเป็นจริง  คุณธรรมของพลเมืองไม่สามารถจะพฒั นาขน้ึ เองได้โดย ธรรมชาต ิ จ�ำ เปน็ ตอ้ งอาศยั กระบวนการเรยี นรแู้ ละเสรมิ สรา้ งใหเ้ กดิ ขน้ึ ในหมู่พลเมือง  เช่นเดียวกับการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในสิทธิ ของพลเมอื ง

ส�ำ หรบั กระบวนการเรยี นรเู้ พอ่ื พฒั นาวฒั นธรรมทางการเมอื ง แบบประชาธิปไตย  (Democratic  values)  มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับ กระบวนการเรยี นรู้ทางการเมอื งใน ๒ ลกั ษณะ กค็ ือ ดา้ นหน่ึงเช่อื วา่ ความโน้มเอียง  ในการเป็นประชาธิปไตยเกิดข้นึ อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการเรียนรู้ผ่านการพัฒนาสถาบันการเมือง  เช่น  พรรคการเมือง รัฐสภา  รัฐบาล  รวมถึง  การเปล่ียนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาว อันเป็นผลจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมสู่ความเป็นสมัยใหม่ แต่อีกด้านหน่ึงเห็นว่า  ความเป็นประชาธิปไตยเกิดข้ึนได้จากปัจจัย ระยะสน้ั   ผา่ นกระบวนการศกึ ษา  และกระบวนการเรยี นรกู้ ารมสี ว่ นรว่ ม ทางการเมอื งผา่ นกลุ่มทางสงั คม และ กล่มุ ทางการเมอื งในชุมชน ท้ังน้ี  การเสริมสร้างวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยท่ีมี ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสามารถเกดิ ขน้ึ ได้ โดยกระบวนการเสรมิ สรา้ ง ความร้ทู างการเมอื งแก่พลเมือง (Civic education) สองแนวทาง คือ แนวทางแรก  กระบวนการท่ีเป็นทางการ  เช่น  ปรับปรุง หลกั สตู รการศกึ ษาทง้ั ในและนอกระบบเพอ่ื เสรมิ สรา้ งความรทู้ างการเมอื ง แก่พลเมือง แนวทางท่ีสอง  กระบวนการท่ีไม่เป็นทางการ  เช่น  การรวมกลุ่มอย่างสมัครใจ  (Voluntary  associations)  และการ สร้างเสริมปฏิสัมพันธ์ของคนในสังคม  ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วม ในวถิ สี าธารณะ และปลูกฝงั “ความผกู พันกับชมุ ชน” (Community attachment) หรอื ความรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกลมุ่ และชมุ ชน (Group identity) ได้อย่างเป็นธรรมชาติ  ซ่ึงการพัฒนาความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึง ของชุมชนเป็นปัจจัยสำ�คัญต่อการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง แบบประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วม  เน่ืองจากความรู้สึกว่าตนเป็น 40

41 สว่ นหนง่ึ ของชมุ ชนจะท�ำ ใหค้ นเกดิ ความรสู้ กึ ผกู พนั และตอ้ งการมสี ว่ นรว่ ม ในวิถีพลเมือง (Civic life) อยา่ งกระตอื รอื ร้น ตวั ชี้วดั ความส�ำ เรจ็ ของ การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย  และการมี สว่ นร่วมทางการเมอื ง ประกอบด้วย ๑. ประชาชนมีความรู้ทางการเมอื ง ๒. ประชาชนมีทักษะในการเป็นพลเมือง  เช่น  ยอมรับ ในความแตกตา่ ง ๓. ประชาชนมคี วามไวว้ างใจในสงั คมและสถาบนั ทางการเมอื ง ตวั ชว้ี ัดเหลา่ นค้ี อื เปา้ หมายหลกั ของการเสริมสรา้ งความรทู้ างการเมอื ง แกพ่ ลเมอื ง จากที่กล่าวข้างต้นกระบวนการเสริมสร้างวัฒนธรรม ทางการเมืองน้ันมีสองแนวทาง  ท้ังนี้  จะขอกล่าวในแนวทางแรก  คือ  การเสรมิ สร้างกระบวนการจดั การศึกษาในระบบ และนอกระบบ แต่พอสังเขป ดงั นี้ การเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมผา่ นกระบวนจดั การศกึ ษาในระบบ การศึกษาในระบบเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมความรู้ ค ว า ม เข้ า ใ จ แ ล ะ ก า ร ป ลู ก ฝั ง บ่ ม เ พ า ะ วั ฒ น ธ ร ร ม ท า ง ก า ร เ มื อ ง แบบประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพสูงสุด  ทั้งนี้  เพราะกระบวนการ ศึกษาในระบบสามารถเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับระบอบ ประชาธิปไตย  ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ  โดยภาคทฤษฎี การศึกษาในระบบสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญา หรืออุดมการณ์ของประชาธิปไตย  หลักการของระบอบประชาธิปไตย

ตลอดจนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ได้อย่างถูกต้องและชัดเจน  ในขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียน มีโอกาสฝึกปฏิบัติวิถีประชาธิปไตยผ่านกิจกรรมการเรียนร้แู ละกิจกรรม พฒั นาผเู้ รยี นตา่ ง ๆ เชน่ ชมรมยวุ ชนนกั ประชาธปิ ไตย ชมรมโตว้ าที หรอื แม้แตก่ ารจัดการเลือกตัง้ ประธานนักเรียน และคณะกรรมการนกั เรยี น ท้ังนี้ เพ่ือหล่อหลอมให้ผูเ้ รยี นได้ซมึ ซบั คณุ ค่าของประชาธิปไตย ซ่งึ จะ พฒั นาไปสูค่ วามเชอ่ื ม่นั และถอื ปฏิบัติอยา่ งเปน็ แบบแผน จนกลายเป็น ผู้มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย  สำ�หรับรายละเอียด ของเน้ือหาท่ีสถานศึกษาจะตอ้ งจดั ใหผ้ ้เู รยี นได้ศกึ ษา ได้แก่ ๑. พลเมืองดี  ศึกษาบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบและ การปฏบิ ตั ิตนตามวถิ ปี ระชาธปิ ไตย สถานภาพ บทบาท สทิ ธิ เสรีภาพ หน้าทใ่ี นฐานะพลเมืองดี ๒. การเมืองการปกครอง  ศึกษาการใช้อำ�นาจอธิปไตย ในการปกครองประเทศ และสถาบนั การเมอื ง 42

43 ๓. การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข  ศึกษาการมีส่วนร่วม ในกิจกรรมการเมอื งการปกครองตามกระบวนการประชาธปิ ไตย ๔. กฎหมาย  ศึกษารัฐธรรมนูญ  สิทธิมนุษยชน  และ กฎหมายในชวี ิตประจ�ำ วนั ๕. ประเพณี วัฒนธรรม ศึกษาโครงสรา้ งทางสงั คม ลักษณะ สังคมไทย บรรทัดฐาน วัฒนธรรม และการยอมรับความหลากหลาย ของวฒั นธรรม นอกจากน้ี  “การจัดกิจกรรมการเรียนรู้”  ที่ผู้สอน จะตอ้ งปฏริ ปู วธิ กี ารเรยี นการสอนของทง้ั ผสู้ อนเองและของผเู้ รยี น  ใหม้ ี แนวทางท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำ�คัญมากย่ิงข้ึน  ต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าคิด วิเคราะห์  (Analysis)  สังเคราะห์  (Synthesis)  แสดงความคิดเห็น ร้จู ักการค้นคว้าเพ่มิ เติมนอกห้องเรียน  ตลอดจนฝึกการทำ�งานเป็นกล่มุ (Team work) การรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื และการน�ำ เสนอผลงาน (Presentation) มากกวา่ การใหเ้ นอ้ื หาสาระของบทเรยี นแกผ่ เู้ รยี นทางเดยี ว       ซงึ่ การจดั การศึกษาให้แกน่ ักเรียน คอื การเตรยี มตัวนักเรยี นใหส้ ามารถ ออกไปใช้ชีวิตในโลกได้ด้วยความราบร่ืน  โดยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม ในการเรยี นการสอนท้งั ในและนอกห้องเรียนตามสมควรอยา่ งเหมาะสม

การเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมผา่ นกระบวนการศกึ ษานอกระบบ สำ�หรับสังคมที่ประชาชนมีโอกาสศึกษาอยู่ในโรงเรียน มีจำ�นวนน้อย  หรืออาจมีโอกาสศึกษาเฉพาะในระดับต่ํา  เช่น  ระดับ ประถมศึกษาเท่านั้น  ทำ�ให้ประชาชนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ขาดโอกาสท่ีจะเรียนรู้และทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าของระบอบ ประชาธิปไตย  วิถีชีวิตจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความเช่ือด้ังเดิม ท่ีปลูกฝังถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน  ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็น วัฒนธรรมแบบอำ�นาจนิยม  คือการยอมรับอำ�นาจของผู้ปกครองโดย ไม่โต้แย้ง  และถือว่าวิธีการดำ�รงชีวิตของตนเป็นผลมาจากชาติก่อน โดยยอมรบั วา่ ประชาชนมฐี านะตา่ํ ตอ้ ยในทางสงั คม มหี นา้ ทจ่ี ะตอ้ งเคารพ ผปู้ กครอง ภายใตว้ ิถีแหง่ วฒั นธรรมดังกลา่ วทำ�ให้ประชาชนไมเ่ ข้าใจถึง คุณค่าของระบอบประชาธิปไตย  ถึงแม้จะมีโอกาสได้รับการปกครอง ในระบอบประชาธปิ ไตย  กม็ กั จะตกเปน็ เหยอ่ื ของผแู้ สวงหาผลประโยชน์ ส่วนตน  ดังน้ัน  แนวทางในการแก้ไขเพื่อเปล่ียนแปลงวัฒนธรรม 44

45 ทางการเมืองของประชาชนแบบอำ�นาจนิยมให้เป็นประชาธิปไตย  จึงมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนส่วนใหญ่ ที่อยู่นอกระบบการศึกษาให้เกิดความศรัทธา  เช่ือมั่นและยึดถือเป็น แนวปฏิบัติแทนความเช่ือดั้งเดิม  ซ่ึงสามารถทำ�ได้โดยการจัดโครงการ รณรงค์เพ่ือเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจต่อคุณค่าของประชาธิปไตย ทีเ่ ขา้ ถึงประชาชนโดยตรงและผา่ นสอื่ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ส่ือวทิ ยุ โทรทศั น์ สง่ิ พมิ พแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็   ซง่ึ จะตอ้ งกระท�ำ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง  เพอ่ื ใหม้ น่ั ใจวา่ ประชาชนนอกระบบการศึกษาจะได้รับความรู้ความเข้าใจ  และ ตระหนักในคุณค่าของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ซ่ึงการจัดโครงการ รณรงค์เผยแพร่ความร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกับประชาธิปไตย  จะต้องม่งุ เน้น ให้เป็นรายการท่ีน่าสนใจ  สนุก  ไม่น่าเบ่ือหน่าย  ต้องทำ�เร่ืองของ การเมืองการปกครองที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวให้เป็นเร่ือง ใกล้ตวั   ไม่น้อยไปกวา่ เรื่องปากทอ้ ง ต้องสามารถกระตุ้นให้ประชาชน ทกุ เพศทุกวยั สนใจรับฟัง และร่วมแสดงความคิดเห็นอยา่ งกวา้ งขวาง ทั้งน้ี  นอกจากการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง แบบประชาธปิ ไตยผา่ นกระบวนการจดั การศกึ ษาแลว้   ยงั มกี ารเสรมิ สรา้ ง การเรียนรู้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย  ผ่านสถาบัน สงั คมตา่ ง ๆ อกี อาทิ สถาบันครอบครัว  ครอบครวั นบั เปน็ สถาบนั เบอ้ื งตน้   หนา้ ทส่ี �ำ คญั ของครอบครวั คือ  การอบรมหล่อหลอม  กล่อมเกลาหรือการปลูกฝังจิตใจให้แก่เด็ก  ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลมากต่อการสร้างบุคลิกภาพเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ประชาธิปไตยในครอบครัวจะเริ่มต้นได้จากการที่ทุกคนยอมรับ

ในฐานะและหนา้ ทข่ี องกนั และกนั   บดิ าเปน็ หวั หนา้ ครอบครวั   มหี นา้ ท่ ี เล้ียงดูครอบครัวให้มีความสุข  มารดาเป็นแม่บ้านรับผิดชอบ ความเรยี บรอ้ ยภายในบา้ น  ส�ำ หรบั ลกู   ๆ  มหี นา้ ทป่ี ระพฤตติ นเปน็ ลกู ทด่ี ี เคารพเชอ่ื ฟงั ค�ำ สง่ั สอนของบดิ ามารดา  นอกจากน ้ี ทกุ คนจะตอ้ งมวี นิ ยั ประพฤติตนอยใู่ นกรอบ หรือกติกาของครอบครวั เคารพสิทธิเสรภี าพ ของกันและกัน  รู้จักรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน  มีการปรึกษา หารอื กนั ตลอดจนมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจและรบั ผดิ ชอบในการกระท�ำ ของตน  และในขณะเดียวกันแต่ละคนต้องรู้จักควบคุมหรือปกครอง ตนเอง  ท่สี ำ�คัญบิดามารดาควรยึดม่นั อย่ใู นความยุติธรรม  และส่งเสริม 46

47 ให้แต่ละคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างเป็นกันเอง  รวมท้ังส่งเสริม ให้ทุกคนมีความเช่อื มน่ั ในตนเอง  มากกว่าเนน้ ในร่อื งการเคารพเช่ือฟงั คำ�สั่งแตอ่ ยา่ งเดยี ว สถาบนั ศาสนา ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นสถาบันทางสังคมที่สำ�คัญ ซ่ึงมีอิทธิพลในการกำ�หนดความเช่ือ  ค่านิยม  และพฤติกรรมอันเป็น แบบวิถชี วี ติ ของบคุ คลในสงั คม สงั คมไทยเป็นสังคมทค่ี นสว่ นใหญห่ รือ เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธมาโดยตลอด  เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม

ท่ีเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง  และมีความสืบเน่ืองต่อกันมาตั้งแต่ อดีต  ลักษณะเช่นน้ีจึงทำ�ให้พุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยมีบทบาท ทส่ี �ำ คญั มาก  และไดก้ ลายเปน็ สถาบนั ทางสงั คมทเ่ี ปน็ หลกั ของสงั คมไทย ในปัจจุบัน  ศาสนาเป็นสถาบันที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม  และ ศีลธรรม  เป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นศูนย์กลางของชุมชนหรือสังคม ใช้หลักธรรมคำ�สอนทางศาสนา  ประเพณีและพิธีกรรมปลูกฝังคตินิยม ในการดำ�เนินชีวิต  อิทธิพลทางด้านคำ�สอนของศาสนาพุทธท่เี ก่ยี วกับ กฎแห่งกรรม  ทำ�ดีได้ดี  ทำ�ช่ัวได้ช่ัว  หรือหลักการของพุทธศาสนา ที่ว่า  “ละเว้นความช่ัว  ทำ�แต่ความดี  ทำ�จิตใจให้ผ่องใส”  มีอิทธิพล ในการกำ�หนดความเช่ือ  ค่านิยม  และโลกทัศน์ของคนไทยอยู่ไม่น้อย ในแง่ที่ว่าทำ�ให้คนไทยมีระดับความอดกลั้น  และอดทนต่อการเผชิญ กบั ความทกุ ข์ยากและปญั หาต่าง ๆ ได้สูง เพราะเชือ่ ว่าวันขา้ งหนา้ หรอื ชาตหิ นา้ คงจะดขี ึน้ โดยวนั น้หี รือชาตนิ ที้ ีต่ อ้ งทุกข์ยากก็เพราะผลกรรม ท่ีไม่ดีในชาติก่อน  ส่วนในด้านวัฒนธรรมความเช่ือแบบด้ังเดิมในแง่ 48

49 ของความเชื่อในสงิ่ ลกึ ลบั ภูตผปี ีศาจ วิญญาณ ก็ยงั คงมีอิทธิพลในการ กำ�หนดรปู แบบและลกั ษณะของวฒั นธรรมทางการเมอื งของไทยใหเ้ ปน็ แบบด้ังเดิมอีกด้วย  มรดกตกทอดจากอดีตที่เก่ียวกับอิทธิพล พทุ ธศาสนาและวฒั นธรรมแบบดง้ั เดมิ   จงึ สามารถเขา้ กนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดกี บั กระบวนการทางการเมืองท่ีเป็นอยู่ของสังคมการเมืองไทย  กล่าวคือ การมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า  ทำ�ให้คนไทยมีลักษณะของ การยอมรบั อำ�นาจแฝงอยู่ จงึ มีสว่ นท�ำ ให้การเมืองการปกครองของไทย ไ ม่ ส า ม า ร ถ พั ฒ น า ไ ป สู่ ก า ร เ มื อ ง ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ทแี่ ทจ้ รงิ ได้ สถานทีท่ �ำ งาน สถานท่ีทำ�งาน  จัดทำ�เป็นการรวมกลุ่มทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งเปรยี บเสมือนสงั คมย่อย ๆ ของแต่ละคน จึงน่าจะเกิดบรรยากาศ แบบประชาธิปไตยในท่ีทำ�งานได้  การมีหัวหน้างานและผู้ร่วมงาน ที่มีจิตใจแบบประชาธิปไตยย่อมจะช่วยให้หน่วยงานบรรลุเป้าหมายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ  ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดสามัคคีธรรมในการ ท�ำ งาน และก่อใหเ้ กิดความพอใจของผู้ร่วมงานทุก ๆ คน ประชาธิปไตย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook