Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: 018

Search

Read the Text Version

ฉบบั พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑/๒๕๔๐ ผ้แู ต่ง : Sir Edwin Arnold (first published 1879) ผู้แปล : เจ้าศักดิ์ประเสรฐิ นครจาปาศกั ด์ิ ๒๔๘๓ คาํ นํา (ของผ้ปู ระพันธ์) การ ทขี่ ้าพเจ้าสามารถประพันธ์เรอื่ งพระจรรยาและพระลัทธิ อีกทั้ง สามารถเผยแผพ่ ระอัธยาตมวทิ ยาแห่งพระองค์สมเด็จพระสมณโคมดม ผูเ้ ป็นเจ้าแหง่ ชนชาติฮินดู ซึ่งเปน็ ผทู้ รงพระคุณธรรมอนั สขุ มุ คัมภรี ภาพ และผ้ทู รงสถาปนา พระพทุ ธศาสนา อนั ประกอบด้วยสมั มาสัมโพธิญาณในกาพยค์ ดเี ล่มนี้ไดน้ น้ั ก็โดยได้ อาศัยการถา่ ยเทมาจากพทุ ธศาสนกิ ชน ซ่งึ เชอื่ วา่ เปน็ ผ้ทู รงไวซ้ ่งึ ธรรมะอันเคร่งครัดผู้ หนงึ่ แมว้ ่าพระพทุ ธศาสนาได้อุบตั ิมาแลว้ ตง้ั แต่ ๒,๔๐๐ ปกี วา่ ก็ยังมผี ูท้ เี่ คารพนับ ถอื มากมาย ท้ังยงั คงเจริญอย่จู นถงึ ปจ๎ จบุ นั น้ี อกี ทง้ั ไดไ้ พศาลไปในเหลา่ ประเทศท้งั ปวงมากหลายจนแมแ้ ต่ในประเทศ ซง่ึ มคี วามเชอ่ื ถอื ในลทั ธิอย่างอืน่ ก็ไดไ้ พศาลไปใน ประเทศเหลา่ นัน้ เหมือนกันกด็ ี แต่ว่าในประเทศยุโรปน้นั นับแต่กาลสมยั กอ่ นๆ เป็น ลําดบั มา จนกระท่ังกาลสมยั ทีพ่ ่งึ ลว่ งมาแล้วนเ้ี อง ไม่ทราบหรอื แทบจะไมเ่ ข้าใจเลยวา่ เรื่องราวของพระพุทธศาสนาอันเจรญิ รงุ่ เรอื งอยใู่ นทวีปอาเซยี น้ี เป็นอย่างไรบ้าง จาํ นวนคนตง้ั ๔๗๐ ลา้ นคน เปน็ และตายอย่ภู ายใต้ธรรมะบรรทัดฐานแหง่ องคส์ มเด็จ พระสมณโคดม และความไพศาลอนั รุ่งเรืองดว้ ยความศรทั ธาในพระศาสนาของพระองค์ ซง่ึ เป็นพระบรมศาสดาจารยแ์ ตโ่ บราณกาล ณ กาลทกุ วนั น้ี ก็กําลงั เจรญิ อย่ใู นแว่นแควน้ เนปาล เกาะลังกา ทว่ั ทุก คาบสมุทรแห่งภาคบรุ พทศิ ประเทศญีป่ ุ่น ประเทศจีน ทวปี อาเซียภาคกลาง ประเทศไซบเี รยี และตลอดจนกระทง่ั แมแ้ ตท่ ่ีลาโปเนียของสวีเด็น สว่ นในประเทศ อินเดยี ทีเ่ ป็นประเทศซึง่ แตเ่ ดิมกน็ บั เน่ืองอยูใ่ นพระราชอาณาจกั รอนั ร่งุ เรือง ซงึ่ เปน็ บ่อ เกิดแห่งพระพุทธศาสนา แต่บัดนี้ พระพทุ ธศาสนาแทบจะเสือ่ มความนิยมนบั ถือเสียสน้ิ แล้วกด็ ี แตโ่ ดยเหตทุ ่พี ระพทุ ธศาสนาน้ี ประกอบด้วยพระคุณธรรมอันจะลบลา้ งล้มเลกิ เสยี มิได้ พระโอวาทของสมเดจ็ พระสมณโคดมยังจารกึ อยจู่ งึ สามารถแทรกแซงอยู่ เหนอื ลทั ธปิ ระเพณีพราหมณส์ มยั ใหมไ่ ด้ บรรดาความนิยมและความเชื่อถือของชาว

ฮนิ ดูซง่ึ ปรากฏเด่นชัดย่ิง ก็นอบน้อมอย่างละมุนละม่อมไปข้างลทั ธิของพระพทุ ธเจา้ เม่ือเป็นดงั นี้จึงอาจกลา่ วไดว้ ่า มมี หาชนมากกวา่ เศษหนง่ึ ส่วนสามของ จาํ นวนมนษุ ย์ท้ังโลก ต้องนับถือเคารพในพระจรรยานวุ ัตร และพระศาสนาของ พระพุทธเจ้า ผู้ทรงไวซ้ งึ่ บารมีพระองค์นี้ ซง่ึ แมแ้ ต่เรอ่ื งราวของพระองคจ์ ะมีความ บกพร่อง โดยเหตุทจ่ี าํ ลองใหแ้ จ้งแสดงใหป้ รากฏไมไ่ ดบ้ รบิ ูรณ์สบื ๆ กันมาก็ดี กย็ ัง กระทําให้น่าเช่ือว่า พระองค์เป็นเอกอัครมหาบุรษุ ในตํานานแห่งความคดิ ทางใจ เป็นองค์ท่คี วรไดร้ บั ความรกั ความเคารพอย่างเอก เป็นองคผ์ ูท้ รงบริสทุ ธิ์ มี ธรรมเมตตากรณุ าเอ็นดแู กส่ ตั วโ์ ลกทัง้ ปวงอย่างยง่ิ จนหาผใู้ ดในประวัติแหง่ ผู้ทรง ไวซ้ ึ่งความคิด ความวิจารณ์ทางใจมาเสมอเหมอื นพระองคเ์ สยี มไิ ด้ ถึงแม้ว่าพระคัมภรี ์ทั้งปวง ซงึ่ เกยี่ วกบั เรื่องของพระพทุ ธศาสนา มีแตกตา่ งกัน บ้างเฉพาะในพลความบางข้อ จนกระทั่งถงึ บางข้อบางเรอ่ื ง กระทาํ ใหเ้ ป็นมลทนิ มวั หมองแก่พระศาสนา โดยเกิดจากการประดิษฐต์ อ่ เติมดว้ ยความหวงั อนั ผิดและความ บกพร่องในการตกแต่งคดั ลอกกด็ ี ก็ไม่มีข้อใด คําใดทีอ่ าจทําให้ความบริสุทธอิ์ ันสดใส ยิ่งลดนอ้ ยลง โดยพระบารมขี องพระบรมศาสดาจารย์ของชาวอนิ เดีย ผ้มู ีพระปญ๎ ญาอนั ทรงพระคณุ ธรรมวิเศษอย่างลาํ้ เลิศและเครง่ ครดั ย่ิง ในการทท่ี รงทรมาน (ซงึ่ แมพ้ ระองค์ เปน็ ถงึ ลกู กษตั รยิ ์กด็ ี) เพื่อประโยชน์แกม่ นษุ ยโลกทัว่ ไป อน่ึง ถึงแม้ว่ามองสเิ ออร์บารเ์ ทเลอมี-แซงตอ์ ีแลร์ ได้มีอรรถาธบิ ายในเร่ือง พระพทุ ธศาสนาผิดถนดั ไปบางขอ้ กด็ ี ศาสตราจารย์ มักซม์ ลุ เลช์ กย็ ังรบั รองว่าถกู ต้อง ในตอนที่มองสิเออรบ์ ารเ์ ทเลอมี-แซงต์อแี ลร์ กลา่ วถงึ พระสทิ ธัตถะว่า \"พระจรรยา ของพระองค์หามลทนิ มิได้เลย พระวิรยิ ภาพของพระองคก์ บั ความมน่ั ของ พระองคม์ ีน้ําหนกั เทียบเทา่ กนั หากวา่ ตาํ หรับทมี่ ีอยนู่ ัน้ คลาดเคล่ือนกด็ ี แต่ อาการท่ีพระองคท์ รงประพฤตดิ ว้ ยพระวรกายของพระองค์เองให้เปน็ ตัวอย่าง ทั้งปวง ก็ลว้ นแต่เปน็ แบบ ซ่ึงไม่มีที่ตําหนติ เิ ตยี นไดท้ ัง้ สน้ิ \" พระองค์เปน็ ผู้สาํ เร็จแล้วในตวั อย่างท้ังปวง ซ่งึ พระองคไ์ ดท้ รงส่ังสอนไว้ การ สละเสยี ซง่ึ ความสขุ ในสว่ นพระองค์กับความเมตตาของพระองค์ กบั ทั้งพระอรยิ คุณสมบัติอันบรสิ ทุ ธ์ิของพระองคไ์ มม่ ที วี่ ิปรติ ไปเลย จนแม้แต่ในขณะใดทง้ั ส้นิ ก่อนที่ พระองคจ์ ะแสดงลัทธขิ องพระองคใ์ ห้ปรากฏแกส่ ตั ว์โลกท้ังปวงนนั้ พระองคไ์ ด้เสด็จ ออกทรงบรรพชา ทาํ ทกุ รกิริยาเปน็ เวลา ๖ ปี เพ่ือพิจารณาคน้ หาความจรงิ แห่งโลก \"ครั้นตรัสรแู้ ลว้ ก็ไดเ้ ผยแผ่ศาสนาของพระองค์ โดยพระอาการสงบเงียบ ในทางวาจา คือ การเทศนาสั่งสอนสรรพสัตวโ์ ลกทง้ั ปวงเทา่ นน้ั เปน็ เวลาถงึ ๔๕ ปเี ศษ ครั้นเมอ่ื พระองค์เสด็จสู่ปรนิ ิพพาน อยู่ในระหว่างหัตถ์แห่งสาวกทัง้ ปวงของพระองค์ ก็ ทรงประกอบพร้อมดว้ ยพระลกั ษณะอันบรสิ ุทธเ์ิ ป็นเอกอัครมหาบุรุษ ผซู้ ึง่ ได้ทรงกระทํา ความดมี าแลว้ ตลอดพระชนมชพี ของพระองค์ และแสดงว่า คือพระองค์นนั่ แหละ ซ่ึง เปน็ องค์ผู้ทรงพบแล้วซ่งึ ความจรงิ ทงั้ ปวงแหง่ โลก\" ดังนีจ้ งึ เปน็ อนั ว่า พระพุทธเจา้ เป็นผู้ท่ที รงบรรลุแล้วซงึ่ ผลสาํ เร็จในมรรคผล แหง่ ธรรมวิเศษ อนั น่าพิศวงสําหรับมนษุ ย์ และถึงแม้ว่าพระองคไ์ มท่ รงเหน็ พ้องดว้ ยกบั จารตี บางอย่างและพระองค์ตรัสว่า พระองค์เปน็ ผูซ้ ง่ึ ทรงได้บรรลแุ ล้วซงึ่ นพิ พาน แต่ พระองค์กย็ งั ไดต้ รสั เหมอื นกันว่า \"ผู้อ่นื กอ็ าจสามารถสร้างกศุ ลให้บรรลุถงึ ซงึ่ นพิ พานได้ เหมือนกัน\" วนั แล้ววนั เลา่ กองบปุ ผชาติก็มีแต่เดยี รดาษเหนอื ปชู นยี สถานแหง่ พระองค์ และทกุ ๆ วันมนษุ ยโลกอันอักโขก็มแี ต่ภาวนาออกจากปากของตนซาํ้ แล้วซ้ําอกี โดย ประโยคอันน้วี า่ \"ขา้ พเจ้าขอพระพทุ ธเจ้าเปน็ ทพี่ ่งึ \" พระพุทธเจ้าซึ่งออกพระนามในกาพยค์ ดนี ี้ต้องมีจริงโดยไมต่ ้องสงสัย

พระองคท์ รงสมภพในแดนเนปาล (เชงิ เขาหมิ พานต์) ก่อนพระเยซเู กดิ ราว ๖๒๓ ปี และ เสดจ็ เขา้ สปู่ รนิ พิ พานในราว ๕๔๓ ปี ก่อนครสิ ตกาล ที่เมอื งโกสนิ าราในเขตแขวง มณฑลอทุ ธะ ดงั นีเ้ ม่อื นาํ ศาสนาอ่นื มาเปรียบเทียบกบั พระศาสนาอันน่าเคารพ กอปร ด้วยความนับถือของหมู่ชนทั่วโลก และชวั่ นิรันดรน้แี ลว้ จกั บงั เกดิ ความรักและความนบั ถืออของมนษุ ย์ไม่มที ี่สนิ้ สุด อนั คุณสมบตั ิท่ีกระทาํ ใหเ้ ชื่อถอื ในผลแห่งความดซี ่ึงไม่มีอะไรทีจ่ ะทําลายลง ได้ อกี ทัง้ ความมน่ั คงในขอ้ ท่ีว่า มนุษยท์ งั้ หลาย ยอมมธี รรมะแหง่ ความอสิ ระของตน ซึง่ ไม่เคยมสี อนมาแตไ่ หนแต่ไรเลยน้แี ลว้ พงึ เห็นวา่ ศาสนาอ่นื ล้วนแตพ่ ึง่ อบุ ัตขิ ึน้ เมื่อเร็วๆ นเ้ี อง แต่ความวิปริตแปลกประหลาดทัง้ ปวง ซึ่งกระทาํ ให้ประวัติ และลัทธิแหง่ พระพุทธศาสนาบกพร่องไปนนั้ ต้องเกิดจากความเสือ่ มอนั ไม่สามารถจะหลกี ให้พ้นได้ โดยเหลา่ ภกิ ษุสงฆ์มกั แก้ไขไปตามความคดิ ความเหน็ ทใ่ี หญโ่ ตต่อๆ กนั มาเสมอน้นั พระบารมแี ละพระธรรมรสแห่งลทั ธิเดิมของพระพุทธเจา้ ตอ้ งถูกดัดแปลงแก้ไข โดย ความคิดความเห็นของเหลา่ ภิกษุสงฆ์ หาใชเ่ ปน็ โดยผ้แู ปลคําส่งั สอนของพระองค์ หรอื ธรรมเทศนาของพระองคอ์ ันหามลทนิ มไิ ดน้ น้ั ไม่ และเม่ือคราวมกี ารสงั คายนา คง เลินเล่อ และนกึ ตกแต่งให้ไพเราะเสยี มาก การทีข่ ้าพเจา้ เรียบเรยี งสิริลิขติ เลม่ นี้ ตอ้ งเรยี บเรยี งตามปากคาํ ของ พทุ ธศาสนกิ ชนผู้หน่ึง เพราะวา่ เพอ่ื จะไดอ้ นโุ ลมใหเ้ ห็นความคดิ การวิจารณแ์ หง่ ชนชาว อาเซีย กต็ ้องอาศัยความเพง่ เล็งดูความเห็นของชาวชนเบือ้ งบุรพทศิ และถึงแม้วา่ ใน ทน่ี ้ี มีเรอื่ งราวกล่าวถงึ ความอัศจรรย์ หรอื อธั ยาตมวทิ ยาปรากฏอย่ดู ว้ ยกด็ ี กค็ งจะไม่ กระทําใหบ้ ังเกิดความเข้าใจผิดไปอยา่ งอืน่ ได้ นอกจากจะกระทาํ ให้เขา้ ใจว่า เป็น ธรรมดาลทั ธอิ ันวา่ ด้วยการเวียนเกดิ เวยี นตายแห่งวญิ ญาณเป็นต้น ถงึ หากวา่ ไมต่ ้อง ดว้ ยความเชอื่ ถอื ของบคุ คลสมัยใหม่ก็ดี แต่ลัทธคิ วามเชื่ออนั นี้ ก็ได้มีรกรากและได้รบั ความเคารพรบั ถือจากชาวฮินดูมาแลว้ ตงั้ แตส่ มยั พุทธกาล ซง่ึ ขณะน้นั เมืองนินิฟกําลัง ตกอยู่ในเง้อื มมือของพวกเมเด้ส และพวกโฟเซียนสร้างเมอื งมารไ์ ซร์ (ในประเทศ ฝร่ังเศส) เรื่องน้ีเปน็ เรอื่ งโบราณคดี เพราะฉะนั้น ตามทีข่ ้าพเจ้าบรรยายในท่ีน้ี อยา่ งไร กด็ ี กต็ อ้ งมีความไมบ่ ริบูรณ์อยเู่ อง และถา้ ย่งิ ไปคดิ ถึงกฎของการประพนั ธ์สิรลิ ิขติ ด้วย แลว้ จะเปน็ ข้อความซ่ึงเกย่ี วกบั อธั ยาตมวิทยากด็ ี หรอื จะเปน็ ขอ้ ความซงึ่ เกี่ยวกบั เวลา อนั ยืดยาว ซง่ึ พระพุทธองค์ทรงบาํ เพ็ญพระพุทธกจิ ของพระองคน์ ั้นก็ดี ข้าพเจ้าตอ้ ง ออกตวั ว่า ข้าพเจ้าคงได้ข้ามเรอ่ื งตอนสาํ คญั ๆ มากมายเปน็ แน่ แม้แต่กระน้ันกด็ ี หากว่าเทา่ ที่ข้าพเจ้าได้ประพันธน์ ้พี อท่ีจะกระทาํ ให้ทา่ น ทัง้ หลายสามารถทราบพระธรรมจรยิ านวุ ตั ร อีกทั้งพระลัทธขิ องพระพทุ ธเจ้าได้ พอสมควรแล้ว กต็ ้องนบั วา่ ขา้ พเจ้าสามารถทําการไดผ้ ลสมความมงุ่ หมายแลว้ เหมอื นกัน อนง่ึ เฉพาะพระลัทธขิ องพระพุทธเจ้าน้นั มนี กั ปราชญ์มากหลายได้เยินยอ เป็นปุจฉาวิสัชนามามากแลว้ สําหรบั ขา้ พเจา้ จงึ ขอกล่าววา่ ข้าพเจ้าเองกไ็ ด้ความรู้มาจากทางอ่ืน ซึ่ง กล่าวถึงเร่อื งพระพุทธศาสนานไ้ี ม่บริบูรณ์เตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ยเหมอื นกัน มจี ากขอ้ ความซ่ึง ปรากฏในหนงั สือของสเปน็ ซ์ ฮาร์ดี เปน็ ตน้ และการดดั แปลงเร่อื งราวใหเ้ ปน็ \"การเลา่ เร่ืองธรรมดา\" นนั้ ข้าพเจา้ เองกไ็ มป่ ฏเิ สธว่าขา้ พเจา้ ไมไ่ ด้ทาํ มาแลว้ มากมาย เหมอื นกัน แต่อย่างไรก็ดี คาํ อธบิ ายของขา้ พเจ้าสําหรับเรอ่ื งซ่งึ เกย่ี วกบั นพิ พาน, ธรรม และ กรรม, กบั เร่อื งอ่ืนอนั เปน็ แก่นของพระพทุ ธศาสนา ซึ่งขา้ พเจ้าได้นาํ มา

อธิบายในหนงั สือเลม่ นี้ อย่างนอ้ ยกค็ งจะเปน็ ประโยชนแ์ ก่การศกึ ษามากมายอยกู่ ับท้งั อาจเปน็ ประโยชนแ์ ก่การพจิ ารรา ความเชื่อถืออันม่ันคงของมนษุ ยโลกตงั้ หนึง่ ในสาม ส่วนของโลก ซง่ึ อย่างไรก็ดี คงจะไมม่ ีอะไรที่อาจกระทาํ ให้เขาเชอื่ ว่า วิญญาณ เปน็ ของดับสญู ในช่ัวกําเนดิ ครง้ั เดียวเปน็ แน่. ในทีส่ ุดน้ี โดยความเคารพตอ่ พระอิสสรยิ บารมีแห่งพระองคใ์ นเรื่อง \"ประทปี อาเซยี \" น้ี อีกท้ังโดยความนับถอื แกบ่ รรดาทา่ นนกั ปราชญท์ งั้ หลาย ซึง่ เปน็ ผทู้ ไี่ ด้ ประพันธ์เร่ืองราวอันควรเคารพของพระองค์และเป็นผู้ทรงไว้ซ่ึงปญ๎ ญาความเฉลียว ฉลาดเปรอ่ื งปราชญป์ รชี ายงิ่ กวา่ ข้าพเจา้ ขา้ พเจ้าขอไดร้ บั อภัยในความบกพร่องอนั พึงมี ในความรู้อันเป็นเคร่ืองกระทาํ ให้ขา้ พเจ้าประพันธ์กาพยค์ ดี อนั อปุ มาเหมือนหนึง่ วา่ ข้าพเจ้าเร่งทําอยา่ ง \"สกุ กอ่ นห่าม\" น้ีดว้ ย ทขี่ า้ พเจ้ากลา่ วดังนี้กเ็ พราะเวลาของขา้ พเจ้าจํากดั ที่สุด แต่ท่ีทาํ สาํ เรจ็ ลงไป ได้ กโ็ ดยได้ อาศยั ความเจตนาท่ีจะให้ความรูข้ องทวปี อาเซยี ไดร้ ูไ้ ปถึงยุโรป เป็น เครอ่ื งดลใจ และเร่งเรา้ ความอุตสาหะของข้าพเจ้าเสมอเท่าน้นั เอง เมอ่ื ไดก้ ลา่ วมาถึง เพยี งนแี้ ลว้ คงจะเปน็ การพอทจี่ ะกระทาํ ใหข้ ้าพเจ้าอาจภูมใิ จไดแ้ ล้ววา่ หนังสอื เล่มน้ีซึง่ เปน็ ชิน้ เอกของเร่อื งอนิ เดียเร่อื งหนง่ึ ทีข่ า้ พเจา้ ไดป้ ระพันธร์ ้อยกรองขึ้นดังประหนง่ึ เปน็ \"วิหาระดุริยางคแ์ หง่ ดรุ ยิ างคข์ องอนิ เดยี \" ของขา้ พเจ้า หวังวา่ (หนังสือเลม่ นี้) คง อาจสามารถท่ีจะชว่ ยเชิดชูสติป๎ญญาของผู้ทร่ี กั ประเทศอินเดีย และทวยนกิ รชนชาว อนิ เดียได้เป็นแน่. (ลงนาม) เอดวิน อารน์ อลด์ Sir Edwin Arnold (1832–1904), English author. Sir Edwin Arnold (1832-1904), British poet and journalist, was born on June 10 1832, and was educated at King's school, Rochester; King's College, London; and University College, Oxford. He became a schoolmaster, and went to India as principal of the Government Sanskrit College at Poona, a post which he held during the mutiny of 1857, when he was able to render services which he was publicly thanked by Lord Elphinstone in the Bombay council. Returning to England in 1861 he worked as journalist on the staff of the Daily Telegraph, a newspaper with which he continued to be associated for more than forty years. It was he who, on. behalf of the proprietors of the Daily Telegraph in conjunction with the New York Herald, arranged the journey of HM Stanley to Africa to discover the course the Congo, and Stanley named after him a mountain to the north-east of Albert Edward Nyanza. Arnold must also be credited with the first idea of a great trunk line traversing the entire African continent, for in 1874 he first employed the phrase \"Cape to Cairo railway\"

subsequently popularized by Cecil Rhodes. It was, however, as a poet that he was best known his contemporaries.The Light of Asia appeared in 1879 and in an immediate success, going through numerous editions in England and America. It is an Indian epic, dealing with the life and teaching of Buddha, which are expounded with much wealth of local colour and not a little felicity of versification. The poem contains many lines of unquestionable beauty; and its immediate popularity was rather increased than diminished by the twofold criticism to which it was subjected. On the one hand it was held by Oriental scholars to give false impression of Buddhist doctrine; while, on the other, suggested analogy between Sakyamuni and Christ offended a taste of some devout Christians. The latter criticism probly suggested to Arnold the idea of attempting a second narrative poem of which the central figure should be the founder of Christianity, as the founder of Buddhism had been that of the first. But though The Light of the World (1891), in which this ~a took shape, had considerable poetic merit, it lacked the novelty of theme and setting which had given the earlier poem much of its attractiveness; and it failed to repeat the success gained by The Light of Asia. Arnold's other principal volumes poetry were Indian Song of Songs (1875), Pearls of the Faith 383), The Song Celestial (1885), FVith Sadi in the Garden (1888), tiphar's Wife (1892) and Adzuma (1893). In his later years Arnold resided for some time in Japan, and his third, wife was Japanese. In Seas and Lands (1891) and Japonica (1892) he gives an interesting study of Japanese life. He received the C.S.I. on the occasion of the proclamation of Queen Victoria as empress of India in 1877, and in 1888 was created C.I.E. He also possessed decorations conferred by the rulers Japan, Persia, Turkey and Siam. Sir Edwin Arnold died on March 24 1904. This entry was originally from the 1911 Encyclopedia Britannica . ปรเิ ฉทที่ ๑ ชาตกิ ถา (พระมหาบรุ ษุ ประสูติและทรงศกึ ษาวิชา)

พระ คมั ภรี แ์ หง่ ประวัตขิ องพระพุทธเจา้ ผูท้ รงโปรดสัตว์ใหพ้ น้ ทกุ ข์ ทรงพระ นามในโลกนี้วา่ สิทธัตถะ ไมม่ ผี ใู้ ดจะเสมอเหมอื นพระองค์ได้ในไตรภพ เป็นท่เี คารพบชู า ทว่ั ไปทง้ั สิ้น ทรงพระคุณธรรมอย่างประเสรฐิ ทรงตรัสรู้ในธรรมวิเศษ พระองคเ์ ปน็ ผูท้ รงส่งั สอน ชท้ี างพระนิพพาน และวินัยบัญญัติทง้ั ปวง เดิมเมอ่ื จะเกิดมีพระพทุ ธสมภพอุบตั ิมา เพื่อโปรดมนษุ ยโลกทง้ั หลายนนั้ มี เร่ืองราวดังต่อไปน้คี อื :- ถัดจากเบ้อื งสวรรคช์ ้ันสูงสดุ มาช้ันหน่งึ (คอื ชัน้ ตาวตสึ ) มจี ตุโลกบาลสถิตอยู่ ๔ องค์ และถัดลงมาจากสวรรคซ์ ง่ึ เป็นท่สี งิ สถติ อยู่ของจตโุ ลกบาลท้ัง ๔ นั้นมาอีก แตซ่ ่ึง นับว่าเปน็ สวรรค์ชน้ั ท่ีสูงเหมือนกนั ก็เปน็ ทส่ี ิงสถิตอยขู่ องวิญญาณแหง่ ผ้มู ีบุญซ่งึ มกี าํ หนด สิงสถติ อยู่ ณ โลกน้นั ถงึ ตรีคณู แห่ง ๑๐ พันปี (คอื ๓ หมื่นป)ี แลว้ จงึ จุตมิ าได้กาํ เนดิ ใหม่ อกี ดังนั้น ครน้ั เมอ่ื พระพุทธเจ้าจะเสด็จจตุ ิลงมาทรงกําเนิดในมนษุ ยโลกน้ัน จงึ มี นิมติ เบญจลักษณะตกลงมา ปวงเทวดาทัง้ หลายยอ่ มร้จู กั เบญจลกั ษณะนั้นได้ดี จึงมีวาทะ ไปว่า \"พระพทุ ธเจา้ จะเสดจ็ ลงไปโปรดสัตว์ท้งั ปวงในมนุษยโลกอกี แลว้ \" พระพทุ ธเจ้าตรัส ว่า \"จรงิ แลว้ , บัดนเี้ ราจะลงไปโปรดสตั ว์ท้งั หลายในมนุษยโลกและเปน็ ครั้งทีส่ ดุ ดว้ ยเพราะวา่ เมอ่ื เราได้โปรดสัตว์ทง้ั หลายแลว้ ความเกดิ และความตายเปน็ อันไมม่ ี สําหรับเราอกี ตอ่ ไป ท้งั สาํ หรบั ผซู้ ง่ึ ไดศ้ ึกษาปฏบิ ัตบิ ญั ญัติของเราด้วย เราจะไป ปฏสิ นธิในตระกูลศากยะ ซึ่งอยู่ทางทิศใตแ้ ห่งเขาหมิ พานต์ ณ นครซง่ึ ทวยนาครมคี วาม เลอื่ มใส และพระมหากษตั รยิ ์ทรงไวซ้ ึง่ ทศพิธราชธรรม\" ณ ราตรกี าลครัง้ นัน้ ขณะทีพ่ ระนางศรีมหามายาผู้เปน็ พระอัครมเหสขี องพระสุ ทโธทนะกําลังบรรทมอยู่เคยี งข้างพระสวามี พระนางไดท้ รงพระสบุ ินนิมติ แปลกประหลาด อยา่ งหน่งึ ในพระสบุ ินนั้นมอี ยวู่ า่ มดี าราลอยเด่นอย่างเปล่งปลั่งอย่กู ลางเวหาดวงหนึ่ง กอปรดว้ ยรัศมี ๖ อย่าง และดุจไขม่ กุ สีดอกกุหลาบ ณ เบ้ืองบนรศั มแี ลสีอันวจิ ิตรนั้น ปรากฏวา่ มีเศวตกญุ ชรตัวหนงึ่ มงี าถึง ๖ งา และมสี ีขาวประดุจน้ํานมแหง่ กามธกึ (Kamadhuk - ชอื่ โคในตาํ นานซ่ึงฮินดเู ทพทง้ั หลายใช้น้ํานมผสมกบั นาํ้ อมฤตแล้ว เป็นน้าํ เสวย) เศวตกญุ ชรนัน้ คอ่ ยๆ เล่อื นเคลอื่ นมาจากเวหาต่าํ ลงมาทกุ ที ครั้นแล้วก็ยรุ ยาตรเข้าสูพ่ ระครรภเ์ บ้ืองขวาของพระ นาง

เมอื่ พระนางตน่ื บรรทมข้นึ ก็ใหท้ รงรู้สกึ ว่า พระนางปรีดเ์ิ ปรมเกษมสันต์อย่างเหลือลน้ พน้ ประมาณ และคราเมื่อดวงสรุ โิ ยทัยไขแสงขึน้ เปน็ ประถมกาล รัศมี แจ่มจรัสอันมหัศจรรยก์ ็รุง่ โรจน์ โชตนาการไปครึ่งหนึ่ง ของพภิ พ บรรดาภูผามหาครี ที ้งั ปวงกก็ ัมปนาท หวาดหวน่ั บรรดาคลน่ื แหง่ ทะเลมหาสมทุ รอนั มหมึ า กร็ าบร่ืนดุจธาราของบอ่ น้อย ปวงบุปผชาติ ทัง้ หลายก็แยม้ กลีบกระจาย รสสคุ นธก์ ลิน่ หอมตรลบอบอวลท่ัวไป จนแมแ้ ต่ ณ กลางแดด ในเวลาเที่ยงวัน และจนแม้แตใ่ นโลก นรกสดุ แสนลึกก็ได้เห็นแสงสว่างส่องลงไป ดุจแสง ทองอนั สอ่ งลอดทะลุเข้าไปในไพรพฤกษ์อนั หนาทึบฉะนนั้ สตั ว์นรกจึงรอ้ งสาธุด้วยคาํ โอดครวญวา่ \" สาธุ สตั ว์นรก และสตั ว์โลกทัง้ หลายที่ ถงึ แลว้ ซ่งึ ความมรณะต่างกจ็ ะไดม้ โี อกาสลกุ ขึ้นสดับตรบั ฟ๎งพระธรรมเทศนาแห่งองค์ สมเด็จพระพุทธเจา้ เพ่ือจะได้พ้นจากกองทกุ ขเวทนานี้ เพราะบัดนี้ พระองค์ไดเ้ สด็จมา ทรงอบุ ตั ใิ นมนุษยโลกแล้ว ความสขุ สนั ตภิ าพจกั ไดแ้ ผ่ไพศาล ไม่เพยี งแตใ่ นมนษุ ยโลก ยงั ในโลกใตบ้ าดาลท้งั หลาย ก็มีสันตสิ ุขอย่างราบรื่นย่งิ เหมือนกัน\" บรรดาดวงกมลแหง่ สตั วโ์ ลกทัง้ หลาย กต็ ่นื เตน้ ไปด้วยความโสมนสั ปลาบปล้ืมยนิ ดี อํานาจแหง่ มหาวาโยก็ บรรเทาเบาลงจนโชยมาสพู่ ืน้ ธรณีและทะเลมหาสมุทรทงั้ หลาย แต่น้อยที่สุดทีจ่ ะนอ้ ยได้ พอเฉ่ือยๆ ละมนุ ละไมอยา่ งไมเ่ คยมี ครั้งเม่ือพระอาทิตยอ์ ุทัยไขแสงเต็มดวง และเมอื่ พระ นางไดท้ รงเล่าพระสุบินนิมติ นน้ั แลว้ เหลา่ โหราผมู้ ีอายุและทรงไว้ซ่ึงวฒุ ยิ ิ่ง จึงทาํ นายถวายวา่ \"พระสบุ ินของพระนาง นปี้ ระเสริฐยง่ิ นกั ดาวหางกับดวงพระอาทิตยต์ ดิ ตอ่ กัน เป็นศภุ นิมิตอนั หมายความว่า พระ นางจะมีพระราชโอรส พระโอรสผ้ทู รงญาณ ทรงญาณในธรรมวิทยาวเิ ศษท้งั ปวง อนั เปน็ ประโยชนแ์ ก่สัตว์โลกท้งั หลาย จะเป็นองค์ผทู้ รงธรรมเมตตา เพือ่ โปรดสัตว์โลกทงั้ หลาย ใหพ้ ้นจากกองทกุ ข์ หรอื มิฉะนั้นจะได้เป็นพระมหาจกั รพรรดิกษัตรยิ ์ปกครองโลกทั้งมวล หากพระองค์ตอ้ งพระประสงค์\" ครั้นถึงเม่อื เวลาท่ีสมเด็จพระพทุ ธเจ้าจะเสด็จสมภพมานัน้ ให้มีนมิ ติ ดงั นี้คอื บ่าย แห่งวันอันถงึ กาลกาํ หนดทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ประสูตนิ ั้น พระนางมายาเสดจ็ ไปในพระอทุ ยาน ประทับอยู่ภายใต้ต้นรงั ต้นหนึ่งซง่ึ มลี ําตน้ แขง็ แรง และตรงด่งิ ดจุ เสาพระวหิ าร กิง่ สาขาอดุ ม ดกดน่ื ไปด้วยใบอนั สดใสและดอกอนั มรี สสุคนธ์ เมอ่ื พฤกษชาตติ ้นน้นั (เพราะส่งิ ท้งั หลาย ย่อมร้ไู ด้ด้วยพุทธบารมี) ร้สู ึกวา่ จวนจะถงึ กาลกาํ หนดแล้ว ก็นอ้ มกิ่งสาขานนั้ มาปกปอู ง เหนอื พระนาง ฝุายจากพื้นธรณกี ็มบี ปุ ผชาตงิ อกข้นึ รองรบั เป็นเคร่อื งผดุงพระครรภ์ ก้อน ศลิ าอนั แขง็ สดุ แขง็ กป็ ล่อยธาราอันใสดจุ แก้วเจยี รไนออกมาเพือ่ ทรงสระสรง ในท่สี ุดพระ นางก็ประสูตพิ ระโอรสซงึ่ ประกอบดว้ ยศุภลกั ษณท์ ั้ง ๓๒ มา คร้นั แลว้ ข่าวกป็ รากฏไปท่ัวทงั้ พระบรมมหาราชวงั และเมื่อถงึ เวลาท่จี ะมีพระ เสลี่ยงมารับพระกมุ ารไปสพู่ ระราชสาํ นักนั้น ผูห้ ามกค็ ือจตโุ ลกบาลท้ัง ๔ ผูจ้ ารึกความ ประพฤติแหง่ มนุษยโลกในแผ่นสมั ฤทธ์ลิ งมาจากเขาพระสุเมรุ หมูเ่ ทวดาแหง่ ทศิ บูรพาซึ่ง สวมเสือ้ เงินก็ถอื โลส่ ีมุก เหลา่ เทวดาทศิ ใตซ้ ่ึงเปน็ กองทัพมา้ คอื กุมภัณฑ์ ขมี่ า้ สีเขยี วและ ถอื โลส่ ีนลิ , เทวดาฝาุ ยทิศอัสดงคม์ ฝี งู นาคเปน็ บริวาร ขี่มา้ สีแดงถอื โล่ประดบั ไขม่ กุ , เทวดา ฝุายเหนือมยี ักษเ์ ปน็ บริวารสวมเส้อื ทองคํา ข่ีม้าสเี หลอื งถือโลท่ อง บรรดาเทวดาทงั้ หลาย เหล่านี้ แมแ้ ต่มอี าํ นาจและเดชศักดานุภาพใหญย่ ่งิ เพยี งใดกต็ าม ต่างก็รบี คมุ พวกแห่งตน มาแห่แหนพระพุทธกุมาร นอกจากเหลา่ เทวดาทงั้ หลายทก่ี ลา่ วแล้ว ผองเทพเจา้ ผู้ทรง สถติ อย่ทู ัว่ ทุกสถานและทศิ านทุ ศิ ตา่ งก็มาแสดงความชืน่ ชมยินดดี ้วยพระพทุ ธกมุ าร โดย

ความเคารพวนั ทาเหมอื นกนั แต่ประพฤตกิ ารณท์ ้ังหลายแหลเ่ หล่านี้ ฝาุ ยมนุษยโลกหาได้ มองเห็นไม่ ท้ังนกี้ ็เพราะวา่ ฝาุ ยเมืองสวรรค์ ตา่ งก็ช่นื ชมยินดีด้วยพระพุทธสมภพมาใน มนุษยโลกนอ้ี ย่างย่ิงเหมอื นกัน ฝุายพระเจ้าสุทโธทนะหาไดท้ รงทราบวา่ พระกุมารนน้ั จะมีบุญบารมอี ยา่ งไรไม่ จนโหรทาํ นายถวายพระองค์จึงทรงทราบว่า พระโอรสจะได้เป็นใหญใ่ นสากลโลก และถงึ สมบตั แิ หง่ จักรพรรดิราช ซง่ึ ต้องสมภพมาสู่โลกนที้ กุ ๆ หลายพนั ปี เพื่อปกครองโลก มีของ วิเศษ ๗ ประการ คือ จกั รวิเศษ เรยี กวา่ จกั รรัตน์ เพชรวเิ ศษ เรยี กว่ามณรี ัตน์ มา้ วิเศษ เรียกว่าอศั วรัตนซ์ ง่ึ เหาะเหินเดนิ อากาศได้ ชา้ งเผือกสขี าวดุจหมิ ะ เรยี กวา่ หตั ถริ ัตน์ อุบัติ มาเพ่ือเปน็ พระทน่ี งั่ แหง่ พระองค์ อํามาตย์ผูฉ้ ลาดเฉลียว เสนาผชู้ าญชยั พระมเหสีผู้เปน็ เอกอคั รกลั ยาณี คอื สตรีรตั น์ งามแสนงามย่ิงกว่าแสงอรุณ เมื่อพระบิดาทรงทราบดังน้ีกม็ ี พระทัยยินดยี ิง่ จึงประกาศแดอ่ าํ มาตย์มขุ มนตรี และอาณาประชาราษฎรของพระองค์ ให้ พรอ้ มกันทาํ การสมโภชเป็นการใหญ่ ดังน้ัน บรรดาถนนหนทางน้อยใหญ่ท้ังปวงกจ็ ัดสะอาดสะอ้านตระการตา และมี น้ําราดสาดพรม ลว้ นแตเ่ ชอ้ื แหง่ นาํ้ ดอกกุหลาบ กลน่ิ หอมตรลบอบฟูุงจรุงนาสกิ เป็นทีเ่ จริญ รื่นชืน่ ใจย่ิงนกั ตามต้นไมก้ ็ประดับไปด้วยโคมและธงทวิ ส่วนอาณาประชาราษฎร์นน้ั บา้ งก็ ร้องรําทําเพลง บ้างกเ็ ต้น บ้างก็กระโดดโลดเล่นและไต่เชือก บ้างกป็ ระดบั ลูกกระพรวน ชวนเร่งจังหวะดจุ จังหวะของกรับทอง รวมความก็คอื วา่ ในงานสมโภชพระพทุ ธกมุ ารครง้ั น้ี มกี ารเล่นการกีฬาสารพัดอยา่ ง จนกระท่งั สเู้ สือ ส้สู ตั ว์รา้ ยต่างๆ เหลือที่จะกลา่ วเปน็ อเนก ปรยิ าย พวกพ่อค้าวาณชิ ต่างดา้ วทา้ วต่างแดนกป็ รดี าปราโมทยต์ ่อพระพุทธสมภพจึงตา่ ง ทา้ วตา่ งคนกจ็ ดั เครอ่ื งราชูปโภคและอุปโภค กับเครอื่ งรปู พรรณเพชรนิลจนิ ดาเงินทอง มากมายมาถวาย และบ้างก็นาํ ผ้าห่มทาํ ด้วยขนแกะ พรมเจยี มสฟี าู ผ้าเนื้อละเอียดบาง แม้แต่พบั เปน็ ๑๒ ชน้ั แลว้ ก็ยังอาจมองเห็นตลอดอกี ข้างหนึง่ ได้ กบั เข็มขัดประดับมกุ ไม้ หอม ไมจ้ ันทน์ ทงั้ น้ลี ้วนแตส่ ําหรับถวายขวัญพระราชกมุ ารซ่งึ ต่างกเ็ รียกวา่ \"พระสรวารถ สทิ ธะ\" คอื องค์ผูก้ ระทําความเจริญและความสําเร็จ หรือเรยี กพระนามยอ่ ว่า พระสิทธตั ถะ ในหมูไ่ ทต้ า่ งดาวตา่ งแดน ซง่ึ ตา่ งก็แห่แหนกนั มาชมพระบารมขี องพระพุทธกุมาร นน้ั มีดาบสรปู หนึง่ นามวา่ \"อสิตะ\" เปน็ ผซู้ ึ่งบาํ เพญ็ ตนโดยปิดทวารแหง่ โสตประสาท เพอื่ ใหพ้ น้ จากสรรพสําเนยี งของโลกมาเปน็ เวลาอนั นานแล้ว กําลังนงั่ สมาธอิ ยใู่ ต้ตน้ ไทร ต้นหนึง่ ต่อเมือ่ ปวงเทวดาทั้งหลายบรรเลงดุรยิ างคแ์ ละรอ้ งยอพระเกียรตแิ หง่ พระพทุ ธ สมภพ เธอจึงได้ยนิ แม้เธอจะเป็นดาบสผกู้ อปรดว้ ยความรูใ้ นนานาวทิ ยาท้ังปวง อนั รไู้ ด้ จากการบาํ เพ็ญตบะของเธอกด็ ี เธอกม็ ีความปรดี าปราโมทย์ยิ่งนกั จงึ ได้มาหมายจะเฝูา พระพทุ ธกุมารเหมอื นกนั เม่อื เธอมาถึง พระสุทโธทนะทรงรจู้ กั จึงนอ้ มพระองคท์ รงเคารพเธอ เธอกไ็ ม่ เกรงขามอะไรในพระสทุ โธทนะ แต่ครน้ั เหลือบแลไปเหน็ พระพทุ ธกุมาร ดาบสรปู นั้น เธอก็ นอ้ มเศยี รกราบถวายบงั คม ๘ ครงั้ แล้วก็เปลง่ อสิ ิวจนะเป็นความวา่ \"โอ! พระกุมาร! ขา้ พเจ้าบูชาเคารพพระองค์ เพราะพระองคค์ อื องคพ์ ระผู้มพี ระภาค ข้าพระองคป์ ระจักษ์ แล้วซง่ึ รัศมขี องพระองค์ ฝาุ พระบาทของพระองค์ปรากฏแลว้ ซ่ึงพระลกั ษณะวิเศษและ พระทวัตตสึ ะ ๓๒ ประการ กบั พระลกั ษณะประกอบอกี ๘๐ อย่าง พระองคค์ ือองค์ พระพทุ ธเจ้า พระองคจ์ ะเปน็ ผทู้ รงสถาปนาพระพทุ ธบญั ญตั ิ และโปรดสตั ว์โลกที่ถอื บญั ญตั ิ ของพระองคใ์ ห้พน้ จากกองทุกข์ท้ังปวง แต่ขา้ พระเจ้าจะไมไ่ ดย้ ินได้ฟง๎ พระธรรมเทศนา ของพระองคเ์ สียแลว้ เพราะอายขุ ยั ของข้าพระเจ้าก็ชรา ความมรณะจะมาปลิดชวี ติ ขา้ พระองคภ์ ายในไม่ช้าน้เี สียแล้ว ที่ไหนเลยข้าพระเจ้าจะมีโอกาสฟ๎งพระธรรมเทศนาของ พระองคไ์ ด้ แมแ้ ตก่ ระนนั้ ข้าพระองคก์ ็ไดป้ ลาบปลมื้ ยินดีท่ีไดม้ าเห็นพระองค์นี้อย่าง เหลือลน้ พ้นประมาณ\"

แล้วเธอกล่าวกับพระสทุ โธทนะวา่ \"ดูกรองคพ์ ระราชา ขอทรงราบไว้เถิดวา่ พระ กมุ ารพระองคน์ ้ีแหละ คือปทมุ อันเป็นธรรมแห่งมนษุ ย์ซึง่ หอมทนอยูท่ ั่วทุกนิรนั ดร รสสุคนธ์ ของปทมุ นกี้ ค็ ือ พระภยิ โยญาณ ตรสั รเู้ ลง็ เห็นชี้หนทางให้แก่มนษุ ยโลก อา! พระองค์จะ สนั ตสิ ุขเสียนก่ี ระไร แต่น่ันแหละพระราชา นา่ กลัว สันตินนั้ จะกลายเป็นประหน่งึ ว่า ความ ปราโมทยข์ องพระองค์น้ีจะกลับเป็นไดผ้ ล ดุจไดพ้ กกฤชมาไวเ้ พอื่ ทรงอาดูรดว้ ยกฤชนัน้ ทิ่ม แทงพระหฤทยั ของพระองค์ ฝาุ ยพระนาง โอ! พระนาง พระโอรสของพระนางนม้ี ีบญุ หนกั เหลือ ฉะนนั้ ภายใน ๗ วนั พระนางก็จะถงึ ซึ่งกาลส้นิ พระชีวี\" คร้นั ถึงสปั ตกาลกําหนด (๗ ราตรี) พระนางศรมี หามายากส็ ้นิ พระชนม์ มพี ระวร ลักษณอ์ ันปราศจากพระอาการกระวนกระวาย ริมฝพี ระโอษฐ์กย็ ังทรงย้ิมพรมิ้ พรายประดจุ แสดงพระอาการอันบรมสุขในยามบรรทมหลบั ฝุายพระวิญญาณก็เสด็จขึ้นไปบงั เกดิ เบอื้ ง บนสวรรค์ช้ันดุสิต มีหมู่เทพธดิ าเปน็ บริวาริณี เม่ือพระพทุ ธฏุมารเจริญชนมายไุ ด้ ๘ พรรษา พระบิดาก็ทรงจดั ใหพ้ ระองค์ทรง ศึกษาราชวทิ ยาอปุ ถมั ภ์ คือวิชาซงึ่ คู่ควรเปน็ เครือ่ งประดบั พระวุฒเิ กียรตแิ ห่งพระราชโอรส และท้ังเพื่อจะปูองกันมใิ ห้พระองค์มีโอกาสทรมานพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ตามทโี่ หรและ อสติ อสิ ีทํานายไวน้ ั้นด้วย เม่ือมีพระจาํ นงดังนี้แลว้ พระบิดาจึงทรงประชมุ บรรดา เสวกามาตย์ชั้นผู้ใหญ่ เป็นอคั รมหาเสนาบดีสภา แลว้ มพี ระราชดํารสั ถามว่า \"โอรสของเรา จะตอ้ งศึกษาราชวทิ ยาการ ฉะนน้ั อาจารย์ใดหนอจึงจะคคู่ วรแกโ่ อรสของเราน?้ี \" อาํ มาตย์ ทง้ั ปวงทราบถงึ ตรงนี้จงึ ทูลสนองเป็นคาํ เดยี วกนั ว่า \"วิศวามติ รนัน้ แลพระพุทธเจา้ ขา้ ซึ่ง ควรย่ิงแล้วท่ีจะเปน็ พระอาจารย์ของพระราชโอรส เพราะเธอเปน็ ผเู้ ยี่ยมแลว้ ในอักษร ศาสตร์และวิทยาศาสตรท์ ้ังปวง\" ดงั นัน้ ครูวศิ วามิตรจึงได้รับพระราชโองการใหม้ าเฝูา เพื่อ ฟ๎งพระราชกระแสรับสัง่ แลว้ ก็รบั พระราชทานพระบรมราชวโรกาสใหถ้ วายพระอกั ษรแก่ พระราชโอรส ต้ังแตบ่ ดั นนั้ มา พระพทุ ธกมุ ารเมอื่ ได้ทรงศกึ ษาวิชาดงั นัน้ แลว้ ณ กาลครง้ั หน่ึง จงึ พระอาจารยท์ ลู วา่ ขอทรงพระอกั ษรด้วยดนิ สหิ นิ วเิ ศษน้ี บนแผน่ กระดานของพระองค์ ท่าน\" แล้วก็ทลู เปน็ ประโยคๆ ไปเรียกวา่ คายตรี ซึง่ ทราบได้แตเ่ ฉพาะผทู้ ีม่ ภี มู ริ ูส้ ูงแลว้ และทว่ี ิศวามติ รถวายบทน้ีใหเ้ ขยี น ก็โดยเหน็ พระปญ๎ ญาอันมหศั จรรย์ของพระองคแ์ ลว้ มี ความว่า โอมฺ ตตสฺ วิ ตุรฺวเรณยมฺ ภรโฺ ค เทวสยฺ ธมี หิ ธิโย โย น ปรฺ โจทยาตฺ* \"อาจารย์ ฉันจะเขียนตามประสงคข์ องทา่ น\" พระพทุ ธกุมารรับสัง่ แลว้ ก็ทรงเขียน แตพ่ ระองคจ์ ะทรงเขียนเฉพาะลายลกั ษณอ์ กั ษรธรรมดาหามไิ ด้ ทรงเขียนเปน็ อักขระ นาครี ทักษิณยะ มงคล ปรษุ า ยวะ ตีรถ์ ี อรุ คะ ทรทะ สขิ ยานิ มนา มาธยาจาร ประกอบดว้ ย ลวดลายและเครือ่ งหมายสําคญั ตา่ งๆ บ้างกเ็ ป็นศัพท์ภาษาของชาวถาํ้ ภาษาทะเล ภาษา ของชาวชนท่ีบชู านาคใต้บาดาล ภาษาผบู้ ูชาพระเพลิง บูชาพระอาทติ ย์ บชู าเวทมนตร์ คาถาตา่ งๆ ตลอดจนกระทั่งภาษาของจาํ พวกบคุ คลซง่ึ ใชป้ อู มปราการเปน็ ท่ีอาศยั พระองค์ ทรงเขียนเปน็ บทๆ ต่อๆ กันมา อยา่ งตา่ งภาษาแลว้ กท็ รงอา่ นคาถาของพระอาจารยเ์ หล่านี้ พระอาจารยจ์ ึงทูลว่า \"พระองคท์ รงรูอ้ กั ขระบริบูรณย์ ิง่ แลว้ ทนี ้จี งทรงศกึ ษาวชิ า เลขตอ่ ไป จงวา่ ตามให้ถึงจาํ นวนหลักหน่ึง สอง สาม สี่...พัน...หม่นื ...แสน...\" พระองค์ก็ ว่าตามจนถงึ หลัก แตแ่ ลว้ พระองค์กเ็ ผยพระโอษฐ์นบั ดว้ ยพระองคเ์ องอย่างคอ่ ยๆ ตอ่ ไป \"โกฏิ นหตุ นินนหุต ขมั พ วสิ ขัมพ อพพ อัตตตะ จนถึงกุมุท คุนธิก และอตุ ปล ปณุ ฑรกี และปทุม ซงึ่ ใช้นบั ปรมาณู ซ่งึ ละเอยี ดที่สุดแห่งธรณหี สั ตนิ าครี ์ และผงธุลที ัง้ หลายท่ีเล็ก

กวา่ นนั้ ไปอกี เมอ่ื พระองคน์ ับคณนาวนี ี้แล้ว กท็ รงนบั ถงึ ดาราคณนาวิธี (คอื วิธนี บั ดาวใน รตั ติกาล) โกฏิคาถา สาํ หรบั คณนาหยดนํ้าแหง่ มหาสมทุ ร อิงค์ สาํ หรบั นับวงกลม สร์วนิก เษปะ สําหรบั นับทรายในแม่นํ้าคงคา แลว้ ก็ถึง อนั ธกลั ป์ คือนบั ธุลีของทรายแหง่ แม่นาํ้ คง คา หากว่าอยากใชม้ าตราสว่ นใหญข่ นึ้ ไปอีก กใ็ ช้เลขวธิ ีอสงไขย คือคณนาแยกหยดหยาด ของนาํ้ ซ่ึงตกลงมา ณ โลก โดยไมห่ ยดุ หย่อนตงั้ ๑๐ พนั ปี ในทส่ี ดุ ก็ถงึ ซ่งึ มหากัลปซ์ ่งึ เทพเจา้ ทรงใช้นับอดีต และอนาคตกาลของพระองค์ \"ดีทเี ดียว พระกมุ ารผทู้ รงปรชี า\" วศิ วามติ รกลา่ ววา่ \"เม่ือพระองค์ทรงมคี วามรถู้ งึ เพยี งน้แี ลว้ จะใหข้ า้ พระพทุ ธเจ้าสอนมาตราวดั เส้นตอ่ ไปอกี หรอื ไม?่ \" พระพุทธกมุ ารจึง ทรงตอบโดยสุภาพว่า \"ขอท่านอาจารย์จงฟง๎ ฉนั เถดิ ๑๐ ปรมาณูเปน็ ๑ ปะราสุกษมะ ๑๐ ปะราสกุ ษมะ เป็น ๑ตราสะเรนะ ๗ ตราสะเรนะ มีขนาดเทา่ กันกบั ปรมาณูซ่ึงลอยอยใู่ นแสง ของดวงอาทติ ย์ ๗ ปรมาณู เท่ากบั เส้นหนวด ๑ ของมสุ กิ ะ(หน)ู ๑๐ เท่าของเสน้ หนวดมสุ ิ กะเทา่ กบั ๑ ลิขยิ ะ ๑๐ ลขิ ิยะเปน็ ๑ ยุกะ ๑๐ ยกุ ะเป็น ๑ ใจเมล็ดขา้ ว ซึง่ มี ๗ เท่าอยู่ในตวั แตน ๑ ตวั ครั้นแลว้ ก็ถงึ เมลด็ มุงและมสั ตาดและเมล็ดข้าว ซ่งึ ๑๐ เทา่ ของเมล็ดเหลา่ นี้ เท่ากับ ๑ องคุลี ๑๒ องคุลีเทา่ กบั ๑ คบื แล้วก็ถงึ ศอก วา และความยาวของธนู ความยาว ของหอก ๒๐ เทา่ ของความยาวแหง่ หอกเทา่ กับระยะซง่ึ คนวิง่ อึดใจได้ระยะหนง่ึ ๔๐ เท่า ระยะซึง่ คนวิ่งอึดใจได้ระยะ ๑ เท่ากบั ๑ โคว ๒๐ โควเป็น ๑ โยชน์ และถ้าหากวา่ ท่าน อาจารย์ตอ้ งการ ฉันจะว่าใหฟ้ ง๎ อกี ในโยชนห์ น่งึ มปี รมาณกู ่มี ากนอ้ ย\" ตรัสแลว้ พระพุทธ กุมารกต็ รัสได้ถกู ตอ้ ง ฝุายวศิ วามิตรผู้เปน็ พระอาจารย์ เม่อื ได้ยินดังน้นั กก็ ราบถวายบงั คมพระองค์ พลางทลู ว่า \"พระองค์เปน็ พระอาจารยข์ องอาจารย์พระองคแ์ ล้ว พระองค์นีแ้ หละเป็นครุ หา ใช่ขา้ พระพทุ ธเจา้ มไิ ด้ โอ! ขา้ พระพุทธเจา้ ขอบูชาพระองค์ พระองคเ์ ปน็ พระกมุ ารอนั ออ่ นโยนสขุ ุมคัมภรี ภาพ ซง่ึ เสดจ็ มาในสํานกั ศกึ ษาของข้าพระพทุ ธเจ้า เฉพาะสําหรับทจี่ ะ ทรงแสดงให้เห็นวา่ พระองค์ทรงทราบทกุ ส่งิ ทกุ อย่าง โดยไมต่ ้องอาศยั ตาํ รบั ตํารากับทงั้ ทรงรจู้ กั แสดงพระจรรยา การปฏบิ ัตเิ คารพเปน็ อยา่ งยิ่งด้วย\" พระจรรยาความเคารพที่กลา่ วนี้ พระพุทธเจา้ ยอ่ มปฏิบัตติ อ่ พระอาจารยข์ องพระองคท์ ุกๆ คน แมพ้ ระองคท์ รงรดู้ กี ว่าพระอาจารยข์ องพระองค์ก็ดี ถึงพระองคจ์ ะทรงเฉลยี วฉลาดกวา่ พระอาจารย์ของพระองค์ พระองคก์ ต็ รัสแก่พระอาจารย์ของพระองค์โดยคารวะ พระองค์ ทรงลักษณะเปน็ เจ้า ซง่ึ กอปรดว้ ยพระอาการอันอารจี รงิ พระองคม์ พี ระจรรยาอันสุภาพ เรียบร้อย มีพระราชหฤทยั ละมนุ ละไม แตแ่ สดงมานะเช่ยี วชาญย่งิ ไม่มีอศั วานกึ ใด เชยี่ วชาญในการไล่เน้ือทรายท่ีมฝี เี ท้าเรว็ ยิ่งเทา่ พระองค์ ไม่มีสารถีใดจะชาํ นาญในการขับ แข่งราชรถในสนามแห่งพระราชวังดเี ทา่ พระองค์ แต่ถึงแมว้ า่ พระองค์จะทรงเชยี่ วชาญอย่างไรกด็ ี ในขณะทีท่ รงเล่นกีฬาไลส่ ตั ว์ น้นั พระองคม์ กั หยดุ แลว้ ปล่อยให้เน้อื ทรายไปเสยี มีอยเู่ นืองๆ เมือ่ พระองค์ทรงม้าแข่งหรอื วงิ่ แขง่ ทจ่ี วนจะชนะเดด็ อยู่แล้วนั้น พระองค์กลับหยุดเสยี เพราะทรงเหน็ วา่ ม้าเหนื่อยจน หอบ หรือมฉิ ะนน้ั เมือ่ ทรงเหน็ วา่ บรรดาเจ้าผเู้ ปน็ พระญาตทิ ท่ี รงเล่นด้วยนนั้ จะเสยี พระทยั โดยเหตุทีแ่ พ้พระอง๕ หรือมฉิ ะน้นั ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงซมึ ดว้ ยความฝ๎นอะไรใน พระองค์อย่างหน่ึง คร้นั ย่ิงปีทวีขึ้น ประดจุ ต้นไมใ้ หญ่ตน้ หนึ่งซงึ่ งอกขน้ึ จากหนอ่ อันอ่อน ละมนุ แลว้ ในทีส่ ุดก็แผ่ความรม่ รืน่ ไปในทอี่ นั กวา้ ง แตพ่ ระพทุ ธกุมารแทบจะไม่ทรงรูเ้ หน็ ใน เร่อื งความกลดั กลมุ้ ความเร่ารอ้ นและความเศร้าโศกอะไรนัน้ เลย ถงึ พระองค์ทรงทราบก็ คลา้ ยๆ กบั ทรงทราบ ซงึ่ อะไรท่ีแปลกประหลาดอย่างหน่งึ ซึ่งเปน็ สิ่งทบี่ รรดากษัตริย์ ท้ังหลายไมจ่ าํ เปน็ ตอ้ งทรงกงั วลหรอื ทรงรูส้ ึก อยู่มาวันหนง่ึ ในฤดูใบไม้ผลิ ฝูงหงสฝ์ งู หนง่ึ บนิ ข้ามพระราชอุทยานไปทางทศิ เหนอื เพอื่ ไปสูร่ งั ณ ใจกลางแหง่ เขาหมิ พาน นกบนิ พลางร้องด้วยเสยี งอันเยือกเย็น

เพ่อื ให้รู้ว่ามันไดบ้ นิ ไปแล้ว ตามวิถีทางของมนั ในเวหาอนั ขาวดุจหิมะ โดยความจูงนํา ความรสู้ กึ รัก ฝุายเทวทัตซง่ึ เป็นพระญาตขิ องพระพุทธกุมารก็ข้นึ ธนแู ล้วยิงไปท่ีหงส์ตวั ทีห่ น่งึ ถกู ตรงปกี อนั บริสทุ ธ์ิจนเลอื ดออกถงึ ต้องกางปีกแฉลบถลาตกลงมาส่พู ้นื ดนิ พระสทิ ธตั ถะเมอ่ื ทรงเหน็ ดงั นั้น จึงทรงเกบ็ นกนั้นขนึ้ มากอดไว้ยังพระอุระ แลว้ ก็ ทรงนัง่ ขัดสมาธิเพื่อจะปลอบมใิ หน้ กหวาดกลวั พระองค์ค่อยๆ ประคองจัดปีกใหเ้ รียบรอ้ ย แลว้ ก็คอ่ ยๆ ทรงลบู คลาํ นกน้นั ดว้ ยพระหัตถอ์ นั เบาและอ่อนนุ่มประดจุ ใบตองอ่อน และ ขณะที่พระหตั ถ์เบอ้ื งซา้ ยทรงประคองนก พระหัตถ์เบือ้ งขวากท็ รงถอนลกู ศรเหลก็ อนั รา้ ย น้นั และทรงพอกแผลดว้ ยใบไมอ้ ันอ่อนกับนํา้ ผงึ้ พระองคไ์ มเ่ คยทรงประสบความเจบ็ ปวด พระองค์ทรงกาํ ลูกศรนนั้ โดยแรง บังเอิญปลายลูกศรถกู พระหัตถน์ ้อยหนง่ึ กท็ รงรู้สึกว่า เจ็บปวด ดังนน้ั พระองค์จงึ ทรงเรม่ิ กอดนกนน้ั อกี พลางทรงพระกรรแสงไห้ ลาํ ดบั นั้นมีคนๆ หน่งึ ได้มาทูลแก่พระองคว์ ่า \"เจา้ ของขา้ พระพทุ ธเจ้าได้ยิงนกตก ลงมาที่กลางสวนต้นกุหลาบน้ตี ัวหนง่ึ ท่านจงึ ใช้ให้ขา้ พระพทุ ธเจา้ มา ขอให้พระองคส์ ง่ นก น้ันไปให้ พระองค์จะโปรดสง่ ใหห้ รอื ไม่\" \"มไิ ด้\" พระสทิ ธตั ถะตรัสตอบ \"หากว่านกนต้ี าย การท่ีจะสง่ ไปใหแ้ ก่ผทู้ ่พี ฆิ าตนน้ั กค็ วรอยู่ แตน่ ีห่ งส์นัน้ ยงั มีชีวติ พ่นี ้องของฉนั ได้พฆิ าตแต่ เพียงกาํ ลงั ความเร็วแหง่ การบนิ ทําให้ขนหลดุ มาเท่านั้น\" เทวทัตจงึ ตอบไปโดยทันควันวา่ \"นกปาุ จะเป็นหรอื ตาย ก็ต้องได้แกผ่ ู้ทย่ี ิงมนั บนเวหานัน้ ไม่ได้เป็นของใครเลย แตเ่ มอ่ื ตก มาแล้ว มนั กเ็ ป็นของเรา จงส่งนกทีเ่ ปน็ อาหารมาให้แก่เราเถดิ \" พระพุทธกุมารทรงประคอง นกประทบั ท่พี ระปรางค์แล้ว ทรงตอบแกเ่ ทวทตั วา่ \"เราบอกว่าไม่ได้! นกนี้เปน็ ของเรา เพราะเปน็ สิ่งแรกแห่งส่ิงท้งั หลายอันเหลอื ท่จี ะคณานบั ซง่ึ เปน็ ของเราโดยอาํ นาจแหง่ ธรรม เมตตา เดยี๋ วนี้เราร้แู ล้วว่าอะไรท่ดี ลใจ กระทาํ ใหเ้ ราจะสง่ั สอนความเมตตาแก่มนษุ ย์ ทั้งหลาย และกระทําใหเ้ ราต้องเปน็ ผอู้ ธบิ ายความมืดมนอนธการแห่งโลก และจาํ ทาํ ให้ อํานาจแห่งความทุกขอ์ นั ชวั่ ร้ายแห่งโลกลดน้อยถอยลง แต่ถ้าเจ้าของทา่ นมิยอม กใ็ ห้นํา เรื่องไปส่ผู ู้รู้หลักเถิด แลว้ เรากจ็ ะคอยฟง๎ คําตดั สินของผ้รู ู้หลกั น้นั กอ่ น\" ดังนนั้ เรอ่ื งนจี้ งึ ตก ไปอยใู่ นความตดั สินของสภาอัครมหามนตรี ซึ่งตา่ งคนก็มคี วามเห็นตา่ งกัน ในทีส่ ดุ มีฤษซี ึง่ ไม่มใี ครรจู้ กั รปู หนง่ึ มาแลว้ กก็ ลา่ วว่า \"ถา้ หากวา่ ชวี ติ ย่อมมีคา่ ผูซ้ ่งึ ช่วยชวี ติ กต็ อ้ งมสี ิทธิเป็นเจา้ ของส่ิงท่ีมีชีวติ น้ันมากกว่าผทู้ ี่พยายามฆ่าสง่ิ ที่มี ชวี ติ น้นั ผู้พฆิ าตเปน็ ผู้นาํ ทําความมลทนิ และลา้ งผลาญ ส่วนผูป้ กป้องกันนั้นเป็นผู้ ผดงุ ช่วยเหลือ จงใหน้ กแก่ผทู้ ีช่ ่วยนกน้ันเถดิ \" ทกุ ๆ คนกเ็ หน็ เป็นการยุตธิ รรม แตเ่ ม่อื พระมหากษตั ริยม์ ีพระราชประสงคห์ าตวั ผทู้ รงธรรมนนั้ เพ่ือยกยอเกียรติ คุณ ฤษนี ้ันก็ไดห้ ายไปเสยี แลว้ แต่มีคนๆ หนงึ่ เห็นงูตวั หนึ่งเลอื้ ยออกไปขา้ งนอก เทพเจา้ มักจําแลงตัวมาเช่นน้ี ดังนพ้ี ระพทุ ธเจา้ จึงเร่มิ ทรงปลงธรรมเมตตาตัง้ แต่บัดนัน้ เปน็ ตน้ มา ถงึ กระนั้น วาระนัน้ พระองค์ยังไมท่ รงทราบอะไรอื่นอีกนอกจากความเจบ็ ปวด ทกุ ข์ร้อนของนกซึ่งเม่ือหายแลว้ ก็บนิ กลับไปสู่พวก พอ้ งของมนั ดว้ ยความปลาบปลม้ื แตม่ า อกี วันหนง่ึ มีการวัปปมงคลแรกนาขวัญอนั เป็นนักขัตฤกษข์ องบา้ นเมือง พระราชบิดามพี ระ ราชดํารสั ว่า \"จงมาเถิดลกู รกั เพือ่ ไปชมดูส่ิงท่นี ่าดแู ห่งฤดใู บไม้ผลิ ดูพื้นดินอันอดุ มสมแก่ การซึง่ จะบังเกดิ ความม่ังมใี หแ้ กข่ าวนา ดูราชอาณาจักรของบดิ า อาณาจักรซ่ึงเม่อื ไฟฟืน จะบังเกดิ เป็นเปลวเผารา่ งของพ่อแล้ว ก็ตกเปน็ ของลูก จะหล่อเลย้ี งตวั ของทวยประชาทกุ รปู ทกุ นาม และบาํ เพญ็ ความเจรญิ ให้แกค่ ลังของกษตั ริย์ ฤดงู ามดว้ ยความประดบั แหง่ ใบไม้อ่อน ด้วยปวงบุปผชาตอิ นั มสี งี าม และด้วยหญ้าอันเขยี วชะอุม่ จงฟง๎ เสยี งขับรอ้ งของ

คนไถนา\" ตรัสดงั นนั้ แลว้ พระบดิ าก็ทรงพาพระโอรสเสด็จไป ณ ตาํ บลหนง่ึ ซ่งึ มกี ระแสน้าํ และสวนแล้วก็ทอดพระเนตรโคซึ่งเดินในทงุ่ อันอุดม โดยใชค้ อของมันลากไถ โดยอํานาจ แหง่ ไถดนิ ก็ถกู ขดุ ออกเป็นแผ่นๆ และเปน็ แถวเป็นแนว ฝาุ ยคนไถกพ็ ยายามกดคันไถ เพือ่ ใหไ้ ถกินดินลึกไปอกี ท่ีทา่ มกลางแห่งต้นตาล ลําธารกท็ รงศัพทส์ าํ เนยี งเสียงนาํ้ ไหล ดงั พมึ พาํ ทบี่ างแหง่ ก็มีตน้ เทยี นแลตน้ ตะไคร้งอกข้ึนเป็นเครื่องประดับ บางแหง่ ก็มคี น กําลังหวา่ นขา้ วอยู่ สว่ นในปุาก็มีเสียงขบั ร้องแหง่ นก ณ รังของมนั ในพงในหนามกม็ ีสตั ว์ท่ี เล็ก เช่นกงิ้ กา่ ผึง้ แมลงปอ และสตั ว์อื่นๆ อกี มากมาย เพระในฤดูใบไม้ผลนิ ้ี อะไร ๆ ก็ บันเทิงรา่ เริงใจท้งั สน้ิ ณ กง่ิ ของต้นมะมว่ งก็มนี กครี ีบูนยอสีอันงาม กระรอกกไ็ ต่เต้นเอาการ เอางานของมนั ตัวแตนปากงุม้ ก็ร่อนตามผีเส้ือทีม่ ีสตี า่ งๆ เคยี งข้างกระแตทก่ี าํ ลงั แล่นไล่ ขบั แมลง เหลา่ มะอิสนา (ภาษาปญ๎ จาปวา่ นกกระทง) กเ็ รร่ ่อนหาอาหารพลางป๎ดเปาุ เกา คอเจ้าหมู่ ๗ สเี ทา (ซึง่ เป็น นกชนิดหน่ึง มกั ไปเปน็ ฝูงๆ ๗ ตัวเสมอ) กไ็ ตอ่ ยูภ่ ายในพ่มุ ต้น หนาม เสือปลามีสลี ายกินปลากจ็ ดจ้องย่องอยู่ ณ รมิ หนอง เหล่านกยางมากหลายกเ็ ดินอยู่ บนหลังกระบือ นกเหยี่ยวหมุนเคว้งอยูก่ ลางเวหาอันมีสีดจุ แสงทอง ณ ใกลโ้ บสถ์ซึง่ มสี ีอนั กลา้ ก็มนี กยงู บนิ ไปมา เหลา่ นกพริ าบก็ขันคูอยู่ทุกด้านทุก มมุ ณ ที่ไกลๆ ไปอกี ก็มีเสยี งกลองแห่งงานววิ าหมงคลดังกระหึ่ม ทุกส่ิงทกุ เหลา่ น้ลี ว้ นแต่ แสดงวา่ มีความสงบสนั ตภิ าพและความไพบลู ย์ทง้ั สิ้น ฝาุ ยพระสทิ ธัตถะกมุ าร เม่อื ทรงทอดพระเนตรเห็นส่ิงเหล่านี้กท็ รงเพลินพระทัย แตเ่ มอ่ื ทรงมองดใู ห้ซึ้งถงึ อาการภายในแล้ว กท็ รงปรากฏวา่ ทกุ สิง่ ทุกอย่างยอ่ มมปี ระดจุ หนามซ่อนอยู่ภายใต้ดอกกหุ ลาบแหง่ ชวี ติ ทงั้ ส้ิน พระองคท์ รงเห็นว่าชาวชนบทท่ี กรอบเกรียมไดร้ ับจา้ งโดยอาศยั ทีต่ ้องอาบเหง่ือแหง่ ตนเป็นสง่ิ ท่ีตอ้ งกงั วล เพือ่ มชี ่องทาง เลย้ี งชีพแหง่ ตน ต้องขับเคย่ี วโคของตนให้ทาํ งานกลางแดดกลา้ ด้วยตาอันโพลงและดว้ ย ปะฏักทใี่ ชท้ ิม่ แทงสีขา้ งของโคน้นั ๆ พระองค์ยังทรงสงั เกตเห็นอีกว่า กิ้งก่านน้ั กินมด เหยีย่ วกินทั้งกง้ิ ก่าและมด ท้ังโฉบเอาอาหารซึ่งเสือปลาจับไดไ้ ปเสียจากเสอื ปลา พระองค์ ทรงเหน็ นกกางเขนไล่นกบลุ บุล (นกเลก็ ๆ ชนิดหนง่ึ จาํ พวกนกปรอดหัวโขน?) ซึ่งไลจ่ บั ผเี สื้อแปลกๆ เทา่ กบั ว่าทุกแห่งๆ ใครๆ กฆ็ ่าผ้ทู ี่ฆ่าเขาแลว้ ตวั เองก็ถกู ฆ่าตามลงไปอกี คอื ฆ่าชีวติ แห่งความเป็นอยซู่ ึ่งยอมตาย ดงั นี้ ส่งิ ทแ่ี ลเห็นวา่ รน่ื เรงิ น้นั กเ็ พยี งแตเ่ ปน็ เคร่อื ง กําบังไมใ่ หแ้ ลเห็นได้แจ้งชดั ว่า สงิ่ ทง้ั หลายท้งั ปวงมีแต่ปองท่ีจะพฆิ าตฆา่ กันท้ังสนิ้ เทา่ นัน้ นับตัง้ แต่มดจนกระท่ังถงึ คนซึง่ ฆา่ เพ่ือนมนษุ ยก์ นั เองอย่างร้ายกาจนา่ กลวั โดยไม่มีท่สี น้ิ สดุ เมอ่ื ทรงประจักษ์ เป็นตน้ คนไถนายอ่ มหิวโหย และโคของตนบ่ากถ็ ลอกปอกเปกิ ดว้ ยความ กดขี่โหดรา้ ยของตนเปน็ กรณียซ์ ่ึงกระทาํ ให้ความต้องการมีชวี ิตคงดํารงอยูด่ ้วยลักษณะอนั โหดร้ายนนั่ แหละที่กระทาํ ใหส้ ัตว์โลกถงึ กบั เคีย่ วเขญ็ เขน่ ฆา่ กัน พระสทิ ธัตถะจงึ ทรงถอน พระทัยแลว้ ทรงบ่นวา่ \"พืน้ ธรณที ใี่ หด้ ูน้ีหรอื ทเี่ รยี กว่ากอปรดว้ ยความสุข? ชาว ชนบททีอ่ าศยั ขา้ วสกุ อนั โอชากับเกลอื การใช้วัวชา่ งหนกั มือเสยี นี่กระไร การต่อสู้ ในระหวา่ งผทู้ ี่มีเรี่ยวแรงและอ่อนแอในกลางรกกลางหนาม ดชู ่างร้ายกาจจริง ทาง อากาศก็มีการเคย่ี วเขญ็ เขน่ ฆ่ากัน แมแ้ ตใ่ นนํ้าก็ไมม่ พี น้ ภยั \" เม่อื ไดท้ รง ทอดพระเนตรเห็นส่งิ ท้งั หลายเหล่านีแ้ ลว้ จงึ กราบทลู พระบดิ าว่า \"ขอพระบิดาไดโ้ ปรดเสดจ็ ไปใหห้ ่างขา้ พระพทุ ธเจ้าหนอ่ ย ปลอ่ ยให้ ข้าพระพทุ ธเจา้ ไดพ้ จิ ารณาสง่ิ ท้ังหลายทพ่ี ระองคช์ ้ใี ห้ข้าพระพทุ ธเจา้ ดูน่ีโดยลาํ พงั เถดิ \" ตรัสแลว้ พระพทุ ธเจ้าก็ทรงนงั่ ขัดสมาธพิ ิจารณาดคู วามทุกข์ยากแหง่ ชีวติ อยา่ ง ลกึ ซงึ้ ตลอดถงึ บอ่ เกิดอนั ลึกลับของความเปน็ อยู่ จนยากที่จะบําบัดหรอื บรรเทาความทกุ ข์ ยากเหล่านั้น เม่อื ทรงพิจารณาแล้ว ความเมตตากบ็ งั เกดิ ขึ้นแก่พระทัยของพระองค์ พระองคท์ รงร้สู ึกรักสตั วโ์ ลกทง้ั ปวงอยา่ งใหญย่ งิ่ อนั เป็นความรูส้ ึกท่ีทําใหท้ รงตอ้ งการแต่

ชว่ ยบรรเทาทกุ ข์และโดยอาํ นาจแหง่ ฌาน พระองคก์ พ็ น้ จากมลทินอันเกลอื กกล้ัวด้วย ความมรณะในความรู้สกึ แหง่ รูปกาย ดงั น้ันพระองค์ก็ทรงบรรลุถึงซ่ึงปฐมฌาน เป็นวิถีแรกที่ พระองค์จะทรงดําเนินตอ่ ไป ในวาระนนั้ ณ เบื้องบนเวหาอันสูงสุด มีเบญจเทวดาเขจรมาในอากาศ เมอื่ เหาะ มาเหนอื ต้นไม้ซึง่ พระองคป์ ระทบั อยนู่ ั้น ใหร้ ู้สกึ เรรวนจึงกลา่ วแก่กันว่า \"มหาบารมอี ะไร หนอทท่ี ําให้เราตอ้ งหยุดเหาะดงั น?ี้ \" นี่กเ็ พราะเทวดาย่อมรู้ไดว้ ่ามีอะไรทศ่ี กั ด์ิสทิ ธอิ์ ยู่ ณ เบอ้ื งลา่ ง จงึ มองดูลงไปกเ็ หน็ พระพทุ ธกุมาร มรี ัศมเี ปล่งปลงั่ และกําลงั ทรงราํ พงึ ช่วยสตั ว์ โลกให้พ้นจากกองทุกข์ คร้ันแลว้ กม็ ีเสยี งออกจากพุ่มไมร้ อ้ งข้นึ ไปว่า \"เทวะ! นี่แหละคือผู้ ซ่งึ จะทรงช่วยสัตวโลก จงลงมาบชู าพระองคเ์ ถดิ \" เทวดาเหล่านนั้ จึงเหาะลงมาฟูอนรําขบั รอ้ งยอพระบารมขี องพระองค์ แลว้ จึงเหาะเลยไปเพ่อื นาํ ข่าวดีอันน้ไี ปประกาศแกฝ่ งู เทว บตุ ร เทวธดิ าท้ังหลายต่อไป เมอ่ื มหาดเลก็ ซ่งึ พระบดิ าทรงใช้ใหม้ าดพู ระองค์มาไดเ้ ห็น ขณะทีพ่ ระองค์ทรง สมาธิอยู่ แม้ว่าเท่ยี งลว่ งแล้ว และดวงพระอาทติ ย์เอนเอียงลงไปสู่เขาแห่งทศิ อสั ดง ถงึ แม้ เงาอนื่ กย็ อ่ มเคลื่อนไปตามแสงแหง่ ดวงอาทิตยน์ นั้ แต่กระน้ันเงาแห่งชมพพู ฤกษ์ซึ่งพระ พุทธกุมารประทับอยูภ่ ายใตน้ ้นั ก็ดํารงคงทเ่ี พอื่ บงั มิให้แสงแดดเปน็ ราคีแก่พระองค์ เมอ่ื ปรากฏมหศั จรรยด์ ังน้ัน ผซู้ ึง่ ประจักษ์ไดย้ ินเสยี งออกจากพมุ่ กหุ ลาบว่า \"จงปลอ่ ยให้พระ ราชโอรสประทบั อยโู่ ดยลาํ พงั พระองคเ์ ถดิ ตราบใดท่ีไม่มพี ระทยั พรากจากเงาไม้นี้ไป เงา ของขา้ พเจ้าจะไมย่ ้ายใหเ้ คลอื่ นไปที่อนื่ อีกเป็นอนั ขาด\" * (เวทยบูชาอันน้ี เรียกกันแตใ่ นหมพู่ วกพราหมณต์ ามท่ี บลั ฟูร์ แปลคงได้ความวา่ \"โอม ขา้ พเจา้ ขอทาํ นาย ในอานุภาพแหง่ พระรัศมีอนั แรงกล้าของดวงอาทติ ยอ์ นั ศักด์สิ ทิ ธิว์ ่า จงส่องแสงแหง่ ความฉลาดใหแ้ กข่ ้าพเจา้ ดงั นีเ้ ถิด\" คาํ ว่า โอม เปน็ คําประสาทประสิทธ์) ปริเฉทท่ี ๒ อาวาหมงคลกถา (พระมหาบรุ ษุ ลองศลิ ปศาสตร์และอภิเษกสมรส)

กาลา นุกาล เม่ือองค์พระตถาคตของเราทรงพระเจรญิ พระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา พระบดิ าจึงโปรดเกล้าฯ ให้ชา่ งสรา้ งปราสาทอันวจิ ิตร ๓ หลงั หลังหนงึ่ มขี ือ่ สี่เหลีย่ มมงุ ด้วยไมย้ มหอม เป็นปราสาทอันอบอ่นุ สาํ หรบั เหมนั ตฤดู อีกหลังหน่ึง สรา้ งดว้ ยหนิ อ่อนลาย เปน็ ปราสาทเย็นสาํ หรับ ฤดูคมิ หะ หลงั ที่ ๓ ทําด้วยอิฐเผามงุ ดว้ ยกระเบอ้ื งสีฟูา เหมาะสําหรบั ฤดูเพาะฤดหู วา่ น คราวเมอ่ื เหล่า ตน้ จมั ปก๎ (ต้นจําปา) เต็มไปดว้ ยดอกอันมีรสสคุ นธ์ ปราสาทท้ัง ๓ หลงั นมี้ นี ามว่า ศภุ ะ สุรัมมา รมั มา มีอุทยานอยู่ในบริเวณรอบปราสาท เป็น สถานสําราญร่นื เดียรดาษด้วยดอกไม้ มีลาํ ธารอันเกิดไหลเลีย้ วเลาะลัดอยูภ่ ายใน มลี ะเมาะต้นไม้ดอก ส่งกลน่ิ หอม และมกี ระโจมอนั งามตระการตาอย่มู ากหลาย กบั ทัง้ สนามหญา้ อนั เขียวชอมุ่ อีกด้วย พระสิทธตั ถะทรงสํานกั และประพาสในราชฐานเหล่านี้ ตามอาํ เภอพระทยั พลางทรงประสบ แต่ความย่ัวยวนใหมๆ่ แปลกๆ เป็นนติ ย์ แล้วเวลาของพระองคก์ ็ล่วงไปโดยบันเทิงพระอิริยาบถ ด้วย เหตุวา่ พระโลหติ อันเจรญิ วยั หนมุ่ กาํ ลงั แลน่ อยทู่ ่ัวพระวรกายของพระองค์ แตไ่ ม่ช้านานเท่าใด เงาแหง่ สมาธญิ าณก็กลับมารบเร้าพระองค์ เฉกเช่นประกายแสงเงนิ แห่งทะเลสาบ ซ่ึงต้องขมุกขมัวด้วยความ ลอ่ งลอยแหง่ กอ้ นเมฆท่ีผ่านไปฉะนน้ั เมอ่ื พระบิดาทรงประจกั ษ์ความเปน็ ไปดังนั้น จึงตรัสเรียกเหล่าเสวกามาตยข์ องพระองคม์ า ตรสั วา่ \"อํามาตย์ของเราทั้งหลาย ขอให้ใครค่ รวญตามคาํ พยากรณข์ องฤษแี ละพวกโหรผ้ทู าํ นายฝ๎น นน้ั เถิด ลกู เราคนนี้ซ่ึงเรารักยิง่ กว่าโลหิตแห่งดวงใจของเรา จะไดเ้ ปน็ ใหญ่ไพศาลในโลก จะเหยียบย่ํา ป๎จจามติ รทง้ั หลายด้วยเบ้อื งบาทา จะเป็นราชาแห่งราชาทงั้ หลาย ซงึ่ เปน็ การต้องดว้ ยความปรารถนา ของเรา หรอื มิฉะนั้นลกู ของเราคนนีจ้ ะเดนิ ไปตามวิถีทางอนั ถอ่ มตาํ่ และเศรา้ สลดดว้ ยการเสียสละและ ความทรมานอันแกก่ ลา้ ไปด้วยความศรัทธา เพอ่ื จะได้บรรลุถงึ ซงึ่ ความสาํ เรจ็ ในอะไรอย่างหน่ึง ภายหลังท่ีได้เสียสง่ิ ทัง้ ปวงทตี่ อ้ งลาํ บากรกั ษาดแู ลมาแลว้ น้นั ซงึ่ ใครไมท่ ราบไดว้ า่ เป็นความดีอะไร และคงไปสผู่ ลอันน้แี หละ ที่ตาอนั ซึมของเขาเพ่งเล็งถงึ ในทา่ มกลางแหง่ วันของเรา ฉะนัน้ ทําอยา่ งไรเทา้ ลกู ของเราจงึ จะอาจหันไปสู่ทางอันศกั ดานภุ าพซ่ึงเขาควรจะเดนิ และทําอย่างไรจึงจะ ใหล้ างเคร่อื งหมายแห่งความสุขซง่ึ มวี า่ จะใหเ้ ขาครอบครองโลกพิภพ หากเขาต้องการกลายเกิดเป็น ความจริงได้?\"

อํามาตย์ผูม้ ีอาวโุ สสงู สดุ จงึ กราบทูลวา่ \"มหาราชา! ตัณหาจะกําจดั ความเดือดรอ้ นอัน เล็กน้อยน้ไี ด้ จงทรงผกู มัดกามด้วยความมารยาของสตรีโดยรอบพระทยั ซ่งึ นยั ว่าไม่ทรงพระธุระกับ อะไรนน้ั เสยี เถดิ พระราชโอรสจะทรงทราบแล้วหรือวา่ ความงาม ดวงตาซึ่งอาจทําให้ลืมจนกระทั่ง สวรรคก์ บั ทง้ั ริมฝปี ากอันหอมช่ืนนน้ั คอื อะไร ขอพระองค์จงทรงจดั หาสตรีท่ยี ่วั ยวน และคู่ควรแก่การ หมกหมนุ่ ต่อการบันเทิงนน้ั เถดิ ความคดิ ซึง่ ไม่มใี ครอาจร้ังไว้ไดด้ ้วยโซ่สาํ ริดนัน้ เส้นผมของสตรีเพยี ง เส้นเดียวก็อาจผูกมัดใหต้ ดิ อยูไ่ ด้โดยงา่ ย\" บรรดาอาํ มาตย์ทงั้ ปวงกเ็ ห็นสอดคล้อง พอ้ งด้วยคําทูลของอํามาตยผ์ ู้มีอาวโุ สสงู แต่ พระราชาตรสั ว่า \"ถ้าเราหาสตรีใหเ้ ขากจ็ ะได้ประโยชน์อะไร? ความรักมักเลอื กโดยตาข้างเดียว และหา กวา่ เรารายเรยี งพน้ื ท่ีซ่ึงมคี วามงามใหเ้ ปน็ แถวๆ เพ่อื เขาจะไดเ้ ด็ดดอกไมต้ ามความพอใจ เขาก็จะ เพยี งแตย่ ิม้ แลว้ คอ่ ยๆ หลีกไปให้พน้ เสียจากความกระสนั ซงึ่ เขาไมร่ จู้ ักน้นั อํามาตยผ์ ู้หนึ่งจึงทลู วา่ \"กวางย่างเย้ืองจนกระทัง่ ลูกศรปลวิ ไปต้อง\" (กวางหมายความวา่ \"ชาย\" ลูกศรคอื \"ความงามเลศิ ของหญิง\") พระ ราชโอรสคงจะเปน็ ดงั น้ี เชน่ เดียวกันกับผู้ซงึ่ มีความคิดออ่ นกว่าพระองค์ กามบางอยา่ ง หน้าตา บางอย่าง อาจกระทาํ ใหเ้ ปน็ ประหน่งึ เมอื งสวรรค์สําหรบั พระราชโอรสก็เป็นได้ ภาพบางอย่างอาจ กระทาํ ให้พระองคเ์ หน็ เป็นงามกว่าแสงอรณุ คราวเมื่อปลุกให้โลกตนื่ กเ็ ป็นได้ โอ! พระราชาของ ขา้ พระพุทธเจา้ ขอพระองคจ์ งทรงกระทําดงั นี้ คอื ได้โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารฉลองปราสาทใหม่ซ่งึ บรรดาสตรี สาวทงั้ ปวงทวั่ พระราชอาณาจักรจะต้องมาประกวดความงามแห่งความเปน็ สาวซ่ึงกนั และกนั แลว้ ทรง โปรดเกล้าฯ ใหม้ ีการบันเทิงตามขตั ตยิ ะประเพณีทุกประการ ทรงโปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระราชโอรสเป็นผู้ ทรงพระราชทานรางวัลแก่สาวท่ีงาม และเมอ่ื บรรดาสาวทีม่ ชี ัยดว้ ยความงามผ่านมาตรงหนา้ ทป่ี ระทบั ของพระราชโอรส เราท่านทัง้ หลายก็จงสงั เกตวา่ มนี างสาวคนหนึ่งคนใดกระทาํ ใหค้ วามเศร้าอันบึ้งบูด แห่งพระวรพกั ตรข์ องพระองคเ์ ปล่ียนแปลงไปบ้างหรอื ไม่ ดังนี้ เราอาจเลอื กวธิ ีให้มตี ณั หาไดด้ ้วยตาซ่ึง มีตณั หานัน้ เองและดว้ ยกลอบุ ายอันนี้ องคพ์ ระราชโอรสก็จะทรงรา่ เรงิ บนั เทิงพระทยั ขนึ้ \" คําทลู แนะนําอันน้ีดเู ขา้ ทีอยู่ ฉะน้ันวนั หลงั ตอ่ มา พนักงานผูร้ อ้ งประกาศจึงไดเ้ ทยี่ วรอ้ ง ประกาศเชญิ บรรดาสตรสี าวทส่ี วยงามทงั้ ปวงใหม้ าสูพ่ ระราชวงั ในวนั เวลาท่ปี ระกวด ซ่งึ พระราชโอรส จะพระราชทานรางวลั คือรางวัลของประเสรฐิ ใหแ้ กท่ ุกๆ คน และของประเสริฐยิง่ ยวดใหแ้ ก่สาวใดซึ่ง ไดร้ บั พระราชวินจิ ฉยั ว่างามเลิศ ดงั น้ันแล้วบรรดาสตรสี าวแห่งกรงุ กบิลพัสดจุ์ ึงไปรวมกนั อยู่ ณ พระทวาร ทุกๆ คนพึงหวแี ละ เกล้าเกาของตนเสรจ็ ใหม่ๆ ขอบตากแ็ ตง่ ใหข้ าํ เปน็ แววดว้ ยผงแรพ่ ลวง อาบน้ําชําระกาย ทานํ้าอบ มาแล้วใหมๆ่ ทุกคนแล้วแต่หม่ สไบ สวมเสื้อซึ่งมสี ีอนั สุขุม มอื เท้าอนั เรียวก็ทาขมิน้ และแตม้ ไฝใหค้ ม ขาํ การท่นี างสาวอนิ เดียมาชมุ นุมประชมุ กนั เดินสวนหนา้ พระราชบลั ลงั ก์ พลางปริ่มดวงเนตรอนั กว้างดูพนื้ ดนิ ชมอ้ ยอายดังนี้ ชา่ งงามน่าดเู สียน่กี ระไร? เพราะเมือ่ เหล่านารีเหน็ พระราชโอรสซึง่ กระทาํ ใหใ้ จอนั ประหมา่ ของนางท้ังหลายเตน้ มากกว่าจะนึกเคารพในพระราชอิสริยยศ ก็โดยพระราชโอรสนน้ั ประทับนง่ิ ยิ่งนกั นา่ รักยง่ิ นัก แต่ทงั้ เปน็ ใหญย่ ง่ิ กว่านางทั้งหลายด้วย นางสาวทุกคนตา่ งรบั รางวลั ของ ตนพลางลดสายตาไม่กลา้ ดพู ระราชโอรส และถา้ ปวงชนทั้งปวงทไ่ี ปดนู นั้ เปล่งอทุ านว่า นารใี ดคนหน่ึง ซึง่ นยั ว่างามเลศิ และสมลกั ษณะกวา่ คปู่ ระกวดอ่นื ซ่ึงล้วนแตม่ าเพ่ือเป็นเครอ่ื งประโลมลอ่ พระทยั พระ ราชโอรสดว้ ยกนั ทัง้ สนิ้ กด็ ี นารีผ้นู ัน้ ก็นิง่ อยู่เหมือนหนงึ่ นางเนอ้ื ทรายท่ปี ระหม่าด้วยพระหัตถ์ อนั ลออเอย่ี มที่มาแตะตอ้ ง แล้วกว็ ่งิ ไปสู่เพือ่ นของตนต่อไป ประหม่าเช่นนกี้ ค็ วรประหมา่ แลว้ ด้วยพระราชโอรสนนั้ ดเู หมือนได้ ประกอบแล้วด้วยลกั ษณะแห่งเทพเจา้ เปน็ สงา่ นา่ เคารพศักด์สิ ิทธ์ิ และเป็นใหญเ่ หนือนางทั้งปวงดงั น้ี

แหละทเ่ี หล่านางทง้ั ปวงมาสวนหน้าพระทน่ี ง่ั แตล่ ะคนลว้ นงามเดินตามหลังต่อๆ กัน ประดุจดอกไม้ แห่งพระราชธานี และเมอ่ื ส้ินพิธีอนั สง่านา่ ดู กับเมอ่ื ของรางวลั ไดห้ มดสนิ้ ไป ในวาระซ่งึ นางคนทส่ี ุด คือเจ้าหญิงยโสธราไดผ้ ่านมา บรรดาผู้ทน่ี งั่ อยู่เคียงข้างพระสิทธัตถะ ก็แลเห็นพระองค์สะด้งุ ในเมอื่ พระนางพรหมจารศี รียโสธรายา่ งเยอื้ งเข้ามาใกลพ้ ระองค์ สิรริ ปู โฉมของ พระนางนน้ั ดจุ รูปปน้๎ ช้นั วมิ าน อาการยา่ งเยอื้ งกป็ านดังดําเนนิ ของนางปารวตี ผู้เป็นราชนิ ีแหง่ พระศวิ ะ ดวงเนตรของเธอเหมือนดวงตาของนางเน้อื ทรายในฤดูแห่งความปฏิพทั ธ์ ดวงพกั ตรง์ ามยงิ่ จนน้าํ คํา ไม่สามารถจะพรรณนาให้เห็นเสนห่ ไ์ ด้ เธอผูเ้ ดียวมองดพู ระสิทธัตถะตรงพระพกั ตร์ ประณมมือเหนอื ทรวงปล่อยใหเ้ ห็นพระศอ \"มรี างวลั อะไรสาํ หรับหม่อมฉนั ไหม?\" พระนางทลู ถามพลางย้ิม \"รางวัลหมดแลว้ \" พระสทิ ธตั ถะตอบ \"แต่จงรบั เอาของน้เี ปน็ รางวลั แทนไปเถิด น้องสาวทีร่ ัก ผซู้ ่ึงความงามของนอ้ งเปน็ สมบัติอนั เกนิ อวดในราชธานขี องเรา\" ตรัสแลว้ ก็ทรงถอดสรอ้ ยสงั วาลมรกตของพระองค์ออกสวมใสเ่ จ้าหญงิ ผู้วไิ ลโฉม ที่น้ีดวง เนตรทง้ั สองฝุายก็ก็มาประสบกัน และด้วยการแยบยลอันนี้ กระทําให้เกดิ ความปฏิพัทธก์ ําหนัดข้ึน ชา้ นานต่อมา เมื่อได้ตรัสรสู้ มบรู ณแ์ ล้ว สมเดจ็ พระพทุ ธเจ้าซง่ึ มผี ทู้ ูลถามว่า เหตใุ ดพระทัย ของพระองคจ์ งึ ลุกเปน็ เปลวขน้ึ ไดใ้ นเมอื่ แรกทอดพระเนตรเหน็ สาวขตั ติยนารนี น้ั พระองคต์ รัสตอบว่า \"เราไมใ่ ช่คนอ่ืนไกล ดังเราและชุมนมุ ชนทนี่ ีเ่ ชอ่ื กันเมื่อกาลเมื่อปาง กอ่ นซงึ่ เป็นเวลาชา้ นานมาแล้วนน้ั บตุ รชายของนายพรานผู้หน่งึ เลน่ อยู่กบั หญิงสาวชาวไพรใกล้ต้น น้ํายมนุ าซงึ่ มภี ูเขานันทเทวี (ภเู ขาแห่งจงั หวดั ต่างๆ ทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนอื ซง่ึ อาศยั อยโู่ ดย เทพธดิ านามว่า นันทะ) ได้ถูกเลอื กให้เปน็ ผ้ตู ัดสินการละเลน่ ในเม่ือนางสาวเหล่าน้นั ว่ิงภายใต้ตน้ สนดุจดังกระต่ายเล่นสนุก คลกุ คลีเคยี งขา้ งโพลงอยู่ ภายใตแ้ สงเงินแห่งดวงจนั ทร์ ชายหนมุ่ น้นั สวมพวงมาลยั งามแจ่มจรสั ดุจดวงดาราให้แกน่ างหนึง่ แก่ อกี นางหนง่ึ สวมขนปกี นกอันยาวซง่ึ ถอนไดจ้ ากไกฟ่ าู ตาทพิ ย์และจากไก่แหง่ ไพรหลวง แกน่ างคนท่ี สามใหล้ กู ฉําฉาเป็นรางวลั แตน่ างคนทมี่ าสุดทา้ ยกลายเป็นคนทห่ี น่ึงสําหรบั ชายหน่มุ น้ัน เขาจึงให้ลูก นางเกง้ ท่เี ชอื่ ง และความปฏพิ ัทธแ์ หง่ ดวงใจแก่นาง ต้ังแตบ่ ดั น้นั มา บรุ ษุ และสตรีทง้ั สองนั้นกไ็ ด้อยู่ รว่ มกันยนื ยงในปุานัน้ ด้วยความสันตสิ ขุ และเขาตายรว่ มกนั ในปาุ นนั้ เอง\" \"เห็นไหม? ดงั น้ีแหละที่พชื พันธซ์ุ ึง่ ซ่อนอยู่ไดง้ อกข้นึ จากใตธ้ รณภี าหลงั กาลหลายปแี ห่ง ความแห้งเล้ง ฉนั ใดกด็ ี ความดีและความช่ัว ความทรมานและความสนกุ รื่นเริง ความแรน้ แค้นและ ความรกั กบั ความประพฤตทิ ัง้ ปวงท่ีตายแล้วย่อมกลับมาเกดิ ใหม่อกี โดยนําท้ังใบอนั สุกใสสดชืน่ หรอื เหี่ยวแหง้ หมน่ หมองและผลซง่ึ หวานหรือขมมาด้วย กแ็ ลเราน้ี เราก็เป็นตัวชายหนมุ่ นัน้ เอง และหญงิ สาวนั้นก็คือยโสธราน้แี หละ ตราบใดวัฏสงสารแห่งการมชี วี ิตและความตายยงั หมนุ อยู่ ส่ิงใดทเ่ี ปน็ มาแล้วกจ็ ะเป็นไปในระหวา่ งเราทัง้ สองนส้ี ืบไป\" แตบ่ รรดาผู้ซ่งึ ลอบมองดพู ระราชโอรสในระหว่างที่พระราชทานรางวัลน้นั ไดเ้ หน็ และได้ยิน ส้นิ ทุกอย่าง จงึ ทูลพระราชบดิ าซง่ึ กําลังเอาพระทยั ใส่เพ่อื ไดท้ รงทราบว่า พระราชโอรสทรงเฉยเมย จนกระทงั่ ถงึ เวลาทเ่ี จ้าหญงิ ยโสธรา พระองค์ทรงเปล่ียนสายพระเนตรทนั ทีอย่างไร เจ้าหญงิ กบั พระ ราชโอรสทรงจอ้ งดกู นั อยา่ งไร ตลอดถงึ การท่ีพระราชโอรสพระราชทานสรอ้ ยสงั วาลมรกต และแวว พระเนตรท้งั สองฝุายชมอ้ ยกระแสความร้สู ึกให้แก่กันอย่างไร

พระปยิ ราชตรัสอย่างแยม้ สรวลว่า \"เหน็ ไหมละ่ ! เราได้เหยอ่ื แลว้ ทีน้ีเราตอ้ งหาวธิ ที ีจ่ ะใช้ เหยอ่ื น้เี พอื่ ลอ่ เหย่ียวของเรามาจากเมฆใหไ้ ด้ เราต้องจัดทูตใหไ้ ปขอธิดาสาวของเขาเพื่อแตง่ งานกบั ลกู ของเรา\" แต่ตามขัตติยประเพณีมอี ย่วู ่า เมอ่ื ผใู้ ดสู่ขอธดิ าสาวของครอบครัวแหง่ ตระกูลสูงซงึ่ งาม และพึงพอใจ ฝาุ ยชายตอ้ งแสดงความสามารถในขบวนยุทธศลิ ป์ แขง่ ขนั กนั กบั ผู้อ่นื ซงึ่ เป็นผ้ขู อชงิ ธดิ าน้นั ก่อน และประเพณนี ้ีย่อมไมเ่ วน้ จนแม้กษัตริยอ์ งค์ใด ดงั นน้ั เมื่อพระบดิ าของเจ้าหญงิ ทรงตอบแกท่ ูตวา่ \"แกจงกราบทูลพระราชาวา่ ธดิ าของเรา เปน็ ท่พี ึงประสงค์ของบรรดาเจา้ ชายใกลไ้ กลมากหลาย ถา้ พระราชโอรสผ้สู ขุ มุ ย่งิ ของพระองค์มี ความสามารถในเชงิ ธนู เชงิ ดาบ และขมี่ า้ ดีกวา่ บรรดาเจ้าเหลา่ น้ัน กน็ บั วา่ เขาเปน็ ผมู้ ฝี ีมือเยยี่ มกว่า เพ่อื น และจะเยีย่ มสําหรบั เราด้วย แตจ่ ะเป็นไปไดห้ รือ เมื่อพระราชโอรสของพระราชาไดท้ รงรับความ ชินแต่ในส่งิ ทีอ่ ่อนแอ?\" เมอ่ื ทรงทราบดงั น้นั พระทัยของพระเจา้ สทุ โธทนะกป็ น่๎ ปุวน เพราะทรงเชอื่ ว่าพระโอรสคงไม่ สามารถจะขอหม้นั พระนางศรยี โสธราได้สมพระทยั ด้วยเหตุว่ามผี ูแ้ ข่งขันกบั พระองคค์ อื เทวทัต ผู้มี ฝีมอื เอกในเชิงธนู อรชุนผ้ขู ํานาญในการขม่ี า้ แข่งและขมี่ า้ ท่พี ยศ และนันทะผู้ลาํ้ เลศิ เลอเจา้ แห่งการ ฟน๎ ดาบ แตพ่ ระราชโอรสนั้นทรงขบขนั แต่ในพระทยั แลว้ ตรสั วา่ \"ศิลปะท้ังหลายแหล่เหลา่ น้นั ข้าพระพทุ ธเจ้าก็ได้เรียนรู้มาแล้วเหมือนกนั ดงั น้ันจงทรงจัดการประกาศเถิดวา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ผ้เู ป็น โอรสของพระองคจ์ ะสแู้ ข่งกับบรรดาผซู้ ่งึ มาเลอื กการกฬี าด้วยกนท่ัวทุกคน ขา้ พระพุทธเจ้าหวังว่า คง จะไมเ่ สียความรักของขา้ พระพุทธเจา้ ด้วยการแขง่ ขนั อนั เลก็ น้อยพันนด้ี อก\" ดังนั้นจึงไดม้ ีการปาุ วรอ้ ง ให้ร้วู า่ ณ วนั ถว้ นเจด็ พระสิทธัตถะราชกุมารจะหาญเผชิญกับบรรดาผซู้ ่งึ ประสงค์จะแข่งขนั กบั พระองค์ ในการแสดงความสามารถทุกอยา่ ง และว่าบาํ เหนจ็ สาํ หรบั ผมู้ ชี ัยกค็ ือเจ้าหญิงศรยี โสธรา ฉะน้ันพอถึงวันถว้ นเจด็ เหล่าศากยิ ะทั้งหลายทวยนาคร และชาวชนบทแห่งพระราชธานีกม็ า ประชุมนุม ณ ทอ้ งสนามหลวงคับค่ัง และเจา้ หญิงศรยี โสธราก็เสด็จมาเหมอื นกนั หอ้ มลอ้ มไปดว้ ยพระ ญาตพิ ระวงศ์ของพระนาง ในขบวนแหแ่ ห่งเจ้าหญงิ มีดนตรีขบั ร้อง มีสีวกิ ามากหลายโดยตบแตง่ งดงาม และมีโคเขาปดิ ทองประดบั ดอกไม้ เทวทตั ซึง่ เป็นศากยิ วงศ์ก็ขอหมน้ั พระนาง อกี ทั้งนนั ทะและอรชุนก็ดุจกนั เพราะทงั้ สองน้กี ็ นับเน่อื งอยูใ่ นวงศ์ตระกลู สงู เหมือนกัน ดังนนั้ นับวา่ เจา้ หญิงศรยี โสธราก็คอื มาลาซง่ึ บรรดาเจ้าชายหนมุ่ ทม่ี าพรอ้ มกนั ณ ทีน่ ีล้ ว้ นแตม่ ใี จปองท้งั ส้นิ ครนั้ แล้วพระสทิ ธตั ถะกุมารก็เสดจ็ มาถึง พระองคท์ รงพาชี สีขาวนามว่า กณั ฐกะ ซ่ึงพอมาถึงก็รอ้ งโดยนึกประหลาดใจด้วยฝงู ชนซึ่งไมเ่ คยชิน ฝาุ ยพระสทิ ธตั ถะก็เหมือนกนั พระองค์ทรงทรงทอดพระเนตรฝงู ชนเหล่านั้นโดยพิศวง คือฝงู ชนซง่ึ เกิดมานอกเชงิ พระราชบลั ลังก์มกี ารอย่กู ารกนิ ผดิ กนั กับราชา ถึงกระนัน้ บางทกี ม็ ีสขุ มีทุกข์ เช่นเดยี วกันกับเหลา่ ราชาทั้งหลาย แต่ครัน้ พระสิทธัตถะราชกมุ ารทอดพระเนตรเห็นเจา้ หญงิ ศรียโส ธราผงู้ ามประไพ ความยิ้มแยม้ ก็ปรากฏขึ้นแก่พระพกั ตรข์ องพระองค์ พระองคล์ ดบังเหยี นด้วยพระองค์ เอง ทรงกระโดดลงยังพนื้ ธรณีแลว้ ทรงประกาศวา่ \"ผู้ใดไม่มีคา่ เทา่ กับไข่มุกนนั้ แลว้ ผนู้ ้ันกไ็ มค่ ู่ควรที่ จะไดไ้ ขม่ ุกน้ัน ขอบรรดาผู้แข่งขันของขา้ พเจ้าทุกคนจงพสิ จู น์ให้เหน็ เถิด วา่ ขา้ พเจ้าทะนงเกินไปฤา ไม่ ที่จะขอประสานมอื กบั พระนางได้\" ดังนัน้ นนั ทะจงึ ทา้ ให้ประลองความสามารถในการยิงธนู แล้วนาํ เปาู ทองสํารดิ ไปตัง้ ใน ระยะทาง ๖ โคว (โควละ ๒ เส้นหย่อน) เหมอื นกนั เทวทัตในระยะ ๘ โคว แต่พระสทิ ธัตถะทรงขอให้ต้ัง เปูาสาํ หรบั พระองค์ในระยะ ๑๐ โคว เพื่อจะใหเ้ ปูาน้แี ลเห็นไม่ใหญเ่ กนิ กว่าขนาดหอยเบี้ย เมอื่ ตัง้ เปูา

เรยี บร้อยแล้วตา่ งก็เริม่ ยิง นนั ทะยิงถูกเปาู ของตน อรชนุ กถ็ ูกเปูาของตน และเทวทตั ยิงทะลุเปาู ของตน อย่างแมน่ ยํา จนฝงุ ชนเปล่งอุทานชมเชย เจ้าหญิงศรยี โสธราถึงกบั ปลดสไบทอง ปิดดวงเนตรอนั ขวย เขนิ ด้วยเกรงว่าจะไดเ้ ห็นพระสทิ ธัตถะราชกมุ ารไม่สามารถจะยิงเปาู ของพระองคใ์ หถ้ ูกได้ แตพ่ ระองค์ เองทรงหยบิ ธนูคู่แขง่ ซึ่งเป็นหวายลงรักผกู รดั ดว้ ยเอ็นมสี ายเงนิ ซึ่งไดแ้ ตแ่ ขนกํายาํ แข็งแรงเท่านัน้ จึง จะขึน้ ได้ พระองค์โก่งธนนู ั้นจนปลายกับปลายจดกนั ดว้ ยความขบขนั ในพระทยั จนธนนู น้ั หัก แล้วตรสั วา่ \"นเ่ี ป็นธนูสาํ หรับเล่น ไม่ใชเ่ ปน็ ธนูสาํ หรบั ใช้การ ไมม่ ีใครมีธนสู าํ หรับศากยิ ะ ดกี ว่านอี้ ีกหรอื ?\" มคี นหน่งึ ทลู วา่ \"มีธนสู งิ หหนุซึง่ เกบ็ รกั ษาไวใ้ นวหิ ารนมนาน จนไมท่ ราบวา่ ต้ังแต่ เมอื่ ใด ธนนู ไี้ มม่ ีใครสามารถจะโก่งและยิงได้\" พระสทิ ธัตถะตรสั ว่า \"จงไปเอาธนซู ง่ึ เป็นอาวุธคคู่ วรแก่ คนหนง่ึ นน้ั มาเถดิ \" เขาจงึ ไปนาํ ธนโู บราณน้นั มาถวายเป็นธนโู ลหะดาํ และลวดลายใบไม้ทองและโค้งเหมือนเขา ควายกระทิง พระสิทธัตถะกไ็ ดล้ องกาํ ลังความแข็งแรงของธนนู ัน้ ด้วยพระชานสุ องครัง้ แลว้ ตรัสวา่ \"เอา ธนนู ้ยี งิ สิพ่ีน้องทง้ั หลาย\" แต่ไม่มีคแุ่ ขง่ ขันคนใดสามารถโกง่ ธนอู ันแขง็ นน้ั ได้สกั หนงึ่ ระยะมอื ครัน้ แล้วพระสทิ ธตั ถะจงึ ค่อยๆ กม้ ลง โก่งธนู เลง็ ศนู ย์ด้วยพระเนตร ทรงเหนี่ยวสายโดยแรง กระทาํ ให้เกิดเสียงดังไปตามอากาศกึกกอ้ ง สนัน่ หวนั่ ไหวเหมือนดังเสียงปกี นกอนิ ทรี จนพวกคน ทุพพลภาพซ่ึงอยใู่ นบา้ นของตนในวนั นน้ั ถามวา่ \"เสียงอะไรกันหนอ?\" มผี ู้ตอบว่า \"นน่ั คือเสยี งธนูสงิ หหนซุ ง่ึ พระราชโอรสได้โกง่ จะทรงยิง\" เมือ่ พระสทิ ธัตถะเอาลกู ศรพาด ดึงสายแลว้ ปล่อยลูกศรอนั คม กรบิ แล่นลว่ิ ไปตามอากาศ ทะลเุ ปาู อันไกลทส่ี ุด แลว้ ปลิวลิ่วตอ่ ไปตามท่งุ จนลบิ ลบั หายไปจากสายตา ในขณะนั้น เทวทตั จึงท้าคู่แข่งขนั ของเขาในเชิงดาบแล้วก็ฟน๎ ตน้ ไม้หนา ๖ นว้ิ อรชนุ ก็ ๗ นิว้ และนันทะฟน๎ ได้ ๙ น้วิ แต่ยังมตี ้นไมข้ นาดเท่ากนั ขึ้นชดิ เคยี งอยสู่ องต้นควบกนั และคมดาบของ พระสทิ ธัตถะตดั ขาดได้ท้งั สองต้นในขวบั เดียว ลกึ แต่ฟน๎ อย่างสุดแมน่ ยาํ จนลาํ ต้นไม้ทั้งสองนัน้ คงยืน อยูต่ รงที่ ถงึ กบั ทําใหน้ ันทะร้องข้ึนว่า \"คมดาบของเขาว่นิ ไปแล้ว\" ฝุายพระนางยโสธรา เมือ่ เหน็ ต้นไม้ยงั ยนื ตรงอยูก่ ็สั่นระรวั ทั่วทัง้ สรรพางค์ แตใ่ นขณะนนั้ เอง เหลา่ เทวดาแห่งเวหาสทัง้ หลายซง่ึ ดแู ลจงึ บันดาลให้บังเกดิ ลมพัดเฉอ่ื ยมาทางทิศใต้ ทาํ ให้ต้นไมซ้ ึ่ง เป็นพุ่มประดุจพวงหญา้ อ่อนอันเขยี วชะอมุ่ ล้มลงมาบนทรายเสยี งดัง ขาดสะบนั้ อย่างเด็ดขาด ครน้ั แล้วเขาจึงนาํ มา้ แข่งพนั ธท์ุ ี่พยศจรงิ ๆ มาคูแ่ ขง่ ขนั ทุกคนก็ขี่แข่งกันรอบสนามสามรอบ แตเ่ ศวตกณั ฐกะอัศดรทงิ้ ระยะใหต้ วั ทีเ่ ร็วที่สุดตอ้ งอยู่หลัง และวิ่งไปเร็วจนกระทง่ั วา่ ในระหวา่ งท่ีฟอง นํ้าลายกําลังจะตกจากปากน้ัน เขาก็ว่งิ ไปถงึ ระยะ ๒๐ ศอกแล้ว แต่นนั ทะกลา่ ววา่ \"เราเองกอ็ าจชนะได้ ถา้ หากเรามมี ้าเชน่ กณั ฐกะ จงไปนํามา้ พยศมา แล้วก็จะได้เห็นกนั ว่าใครจะขดี่ ีกว่าเพื่อน\" ดังนน้ั แลว้ พวกเลี้ยงมา้ จงึ ไปนําเอามา้ ผู้ลําพองทีเ่ ลี้ยงไวส้ ําหรับผสม และดําเหมือนราตรีกาล ลา่ มดว้ ยโซส่ าม เส้น ตาตน่ื ลําพอง จมูกเบ่ง ไรบงั เหยี น ไรอ้ าน เพราะยงั ไมม่ ีคนใดได้เคยขับขี่เลย เหล่าศากยิ ะหน่มุ ต่างกผ็ ลดั กนั กระโดดข้ึนหลงั อนั กวา้ งสามครง้ั แตเ่ จา้ มา้ ใจรอ้ นพยศอยา่ ง ร้ายกาจ จนสะบดั ให้ศากยิ ะหนมุ่ เหล่านั้นตกลงมายงั พ้นื ดิน แปดเปอ้ื นไปด้วยฝุน ใหไ้ ด้ความอับอาย อรชนุ คนเดียวสามารถรั้งใหน้ ง่ิ อยคู่ ร่หู นง่ึ และเมือ่ ใหแ้ กโ้ ซ่ออกแลว้ กเ็ อาเท้ากระตนุ้ สีข้างเจา้ ม้าตวั ดํา รวบบงั เหียนและรง้ั ปากใหอ้ ยู่มือได้ จนกระทง่ั ว่าโดยลมแหง่ แห่งความโกรธ ความบ้าคลงั่ และความ กลัว เจา้ ม้าผสมตัวคะนองกว็ ง่ิ ไปตามทงุ่ ไดร้ อบหน่ึง โดยอาการค่อนขา้ งจะเชอื่ งๆ แลว้ แตท่ นั ใด นั้นเอง มนั กห็ ันหนา้ มากลบั มาแยกเข้ียว งบั เอาเท้าอรชุนข้างหนง่ึ จนอรชุนตก แลว้ กจ็ ะพิฆาตเสีย หาก ว่าพวกคนเล้ียงวิ่งไปดึงเจา้ สตั วต์ วั น้นั ทัน คร้นั แลว้ ทุกคนจึงวา่ \"อยา่ ปล่อยใหพ้ ระสิทธัตถะไปยงุ่ กบั ภูตผี ซึ่งตบั ของมนั เปน็ ลมร้ายและ เลอื ดของมนั เปน็ เปลวไฟอันแดงนน้ั เลย\" แต่พระราชโอรสตรสั วา่ \"จงแก้โซ่ออกเสยี เถดิ แล้วจงู แต่ผมมนั มา\" ตรัสแล้วทรงจบั ผมมา้

นน้ั อยา่ งสงบเสงยี่ ม พลางตรสั ด้วยเสยี งอันเบาสองสามคาํ ทรงวางพระหัตถข์ วาทีต่ ามา้ น้นั แลว้ ค่อยๆ ลบู หน้าอันถมึงทงึ ของมนั ตลอดตามยาวของลําคอ และตามสีข้างอันสัน่ เท้ิม กระทําใหฝ้ ูงชนท่มี าดู อศั จรรยใ์ จทม่ี าเหน็ เจา้ ม้าตวั ดาํ เหมือนกลางคืนส้นิ พยศ แสดงอาการอ่อนและน่ิงประดจุ ว่ามันรจู้ กั องค์ ตถาคตของเรา แลว้ ก็เคารพตอ่ พระองค์ด้วยดษุ ณภี าพในขณะท่พี ระสิทธตั ถะเสดจ็ ข้นึ แล้วเดนิ ไปโดย เชอ่ื ง ตามทีพ่ ระองคย์ ักมันด้วยพระชานุและบังเหียนต่อหน้าหมู่ชนทง้ั มวล จนทวยชนทั้งหลายนัน้ ร้อง ขึ้นว่า \"คนอืน่ อยา่ สมู้ ากมายไปอีกเลย เพราะพระสิทธตั ถะดกี ว่าเพื่อนแลว้ \" คแู่ ขง่ ขันทุกคนกต็ อบวา่ \"เขาเก่งกวา่ เพอื่ นแลว้ \" ดงั นัน้ สุปปพุทธะพระบดิ าของเจา้ สาวจึงตอบวา่ \"ความต้องการในใจของเราก็คือ ให้ไดเ้ ห็น เธอมชี ัยในรางวัล เพราะเธอเปน็ ผู้ทีเ่ ราชอบ แตเ่ ธอจงบอกเราหน่อยเถิดว่า โดยกลอุบายอนั ใดหรอื ที่ สอนใหเ้ ธอรู้ดยี ่ิงในศิลปวิทยา อยใู่ นทา่ มกลางแห่งพมุ่ กุหลาบและความเพอ้ ฝน๎ ของเธอ ถงึ กับรู้ใน วชิ าการสงคราม การล่าสตั ว์และกายบรหิ ารท้งั ปวง หาผ้อู นื่ รเู้ สมอเหมอื นมิได้ โอ! พระราชโอรส จงพาเอาขมุ ทรพั ย์ซงึ่ เธอได้รับเป็นรางวัลสําหรบั ความสามารถของเธอไป เถิด\" เม่ือพระบิดารับสงั่ ดังนั้น เจา้ หญงิ จงึ ลุกข้นึ จากท่ี เดินผา่ นฝูงชนหยบิ เอาพวงมะลิพวงหนง่ึ ค่อยๆ ประคองสไบบางสดี ําและป๎กทองแยม้ ดวงพกั ตรผ์ ่านหนา้ ชายหน่มุ ทง้ั ปวงไปโดยสง่า และถึงทีซ่ ง่ึ พระ สทิ ธัตถะประทบั อยดู่ ้วยพระวรลักษณอ์ ันวเิ ศษ สูงตระหงา่ นยงิ่ ขนึ้ เพราะอศั ดรตวั ดาํ ซง่ึ กม้ คออัน แข็งแรงของมัน แล้วคอ่ ยๆ ลอดใตพ้ ระกรของผ้เู ป็นเจา้ แมแ่ หง่ มัน นางนอ้ มกายอยา่ งตา่ํ ยง่ิ ต่อพระ พักตรพ์ ระราชโอรส พลางแสดงดวงพักตร์วา่ เปล่งปล่ังไปด้วยความปลื้ม โดยความปฏพิ ัทธอ์ ันสนั ตสิ ขุ ครน้ั แล้วนางก็สวมพวงมาลัยอนั มรี สสุคนธ์ ณ พระศอ และแนบเศียรเกล้าอันงามวิเศษ ณ พระอรุ ประเทศของพระองค์ แล้วนอ้ มกายกราบบาทของพระองค์ดว้ ยดวงเนตรอันแวววบั พร้อมด้วย ความยินดี พลางทลู ว่า \"เจา้ ชายท่ีรกั จงมองดขู า้ พระองคเ์ ถิด ขา้ พระองค์ซง่ึ เปน็ ของพระองค์\" ฝุายหมู่ ชนก็เบกิ บานเมอื่ ไดเ้ ห็นเจา้ ชายกบั เจ้าหญิงเสด็จผ่านไป พระหัตถ์เกยี่ วพระหัตถซ์ ึ่งกันและกัน และ พระทัยกําลังเต้นเปน็ อนั หนึ่งอนั เดยี วกนั วาระนี้สไบดําและป๎กทองก็คลุมนางใหม่อีก ช้านานต่อมา เมือ่ ความตรสั รู้ของพระองค์เป็นทแี่ พร่หลายแล้ว มีผ้ทู ลู ถามพระพุทธเจ้าถงึ เรอื่ งนี้ และทลู ถามพระองค์ว่าเหตุใดพระนางยโสธราจึงทรงสไบดาํ และทอง และดาํ เนินสวยยิ่งนกั พระองคผ์ ู้ซง่ึ สากลโลกบชู าเคารพจงึ ตรัสตอบวา่ \"นอกจากเราไมม่ ีใครรู้เรือ่ งนี้ ถึงนัยว่ารกู้ ร็ อู้ ยา่ งครึง่ ๆ กลางๆ คอื ในระหวา่ งที่วัฏสงสารแห่งความเกิดและความตายกาํ ลงั หมนุ อยู่นั้น สงิ่ ตา่ งๆ และความรู้สกึ ท่ลี ่วงมาแล้วกบั ความเป็นไปในปางก่อนๆ ก็กลับมาเป็นอกี บดั น้ี เราจําๆไดแ้ ล้วเม่อื หวลนกึ ไปถงึ หลายหมืน่ ปีมาแลว้ เหลอื ท่จี ะคณนากพ็ ึงเห็นได้วา่ กาลเมอื่ เราพเนจรไปตามเขาตา่ งๆ ซ่งึ เปน็ ปาุ แห่งเขาหิมาลยั นั้น เราเป็นเสือหิวโดยมีหนังลาย เราซึง่ เปน็ พุทธะบดั นี้ ขณะทก่ี ําลงั นอนบนหญา้ กสุ า (คอื หญ้าซง่ึ ชาวฮินดใู ชใ้ นพิธีตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วกบั ศาสนา) เราแอบ มองดูฝูงสัตว์ทกี่ าํ ลงั เลม็ หญา้ อยดู่ ้วยตาอนั รบิ หรี่ และสตั วเ์ หล่านน้ั คอ่ ยๆ เดินใกล้มาสู่ความตายของ มนั ทุกที โดยทีม่ นั เดินมาสู่ซอ่ งของเรา หรือมิฉะนน้ั เวลากลางคนื ระยบั ดว้ ยแสงดาว เราซดั เซลดั เลาะ ไปดว้ ยความกระหายเลอื ดไม่มีท่ีสิน้ สุด เพือ่ หาอาหารสกั ตวั โดยดดู ดมกลนิ่ มนษุ ย์หรือเนือ้ ทราย เรื่อยไปตามทาง ในทา่ มกลางสัตวป์ ุาซึ่งบดั นั้นเปน็ พวกพอ้ งของเราผ้อู าศัยปุาหนาทึบ หรอื พ้นื ดนิ ทแ่ี ฉะชื้น เปน็ หนอง เปน็ บึงอนั เตม็ ไปดว้ ยตน้ อ้อ มนี างพยัคฆีตัวหน่ึง งามกวา่ พยคั ฆีทง้ั หลาย จนทาํ ให้หมู่ พยัคฆ์ท้งั หลายทําสงครามตอ่ กนั สขี นของพยัคฆตี ัวนัน้ เป็นทองเหลือบสลบั ดาํ ดจุ กนั กบั สีสไบยโสธรา ปกคลมุ นน้ั การทําสงครามภายในปุานนั้ นบั ว่าแรงกล้า ฟน๎ กบั เลบ็ เป็นศาสตราวุธ ลาํ ดบั นนั้ นางพยัคฆตี วั งามซงึ่ อยูภ่ ายใตต้ ้นพลับพลึงกม็ องดูเราซึง่ โทรมไปดว้ ยโลหติ เพราะ บาดเจ็บอย่างสาหสั และยังจาํ ได้อกี ว่า ในที่สุดนางพยัคฆีตัวนนั้ กม็ า พลางบ่นพึมพําผา่ นหน้าเจ้าแหง่ ปาุ อื่นๆ ซง่ึ เต็มไปด้วยบาดแผลและซึ่งเราไดผ้ จญใหแ้ พ้ไปแลว้ และด้วยปากอันถนอมกลอ่ มเกลี้ยง นางพยัคฆีก็ใชเ้ ลยี สีขา้ งอันหอบเหนื่อยของเรา คร้ันแลว้ ค่อยดําเนินอย่างสง่ามาสมส่อู ยูใ่ นปุากับเรา

ดว้ ยความปฏพิ ัทธ์ วัฏสงสารแห่งความเกิดและความตายหมุนจากกาํ เนิดทีต่ า่ํ มาสทู่ ่ีสงู ดังนแ้ี หละ\" ดงั นน้ั เปน็ อนั ว่า เจา้ สาวย่อมได้แกพ่ ระสทิ ธัตถะโดยเจตนาสันนวิ าส (ตามประเพณีคันธาวาสหรือ นักดนตรใี นสวรรค์ เป็นประเพณเี ษกสมรสอันหน่ึงแห่งแหง่ ประเพณที งั้ ๘ ตามบญั ญตั พิ ระมนู ซ่งึ ยอ่ ไว้วา่ \"การรว่ มภริ มย์ แหง่ หญิงสาวกับชายหนมุ่ ย่อมเป็นมาจากบุพเพสนั นิวาส\") และเมอ่ื เหลา่ ดาราไดศ้ ุภฤกษ์ เมษะ แกะแดงเปน็ เจา้ แห่งสวรรค์ พระราชพธิ ีอภเิ ษกสมรสก็สมโภชตามขัตติยราชประเพณี มีการตัง้ พระแท่นทอง ปูพรม เจยี ม หอ้ ยพวงมาลาแห่งพิธเี ษกสมรส ผูกด้ายทขี่ ้อพระหัตถค์ หู่ ม้นั แลว้ ถวายขนมหวานให้เสวย ซัด ข้าวและนํา้ อบ เส้นฟางท้งั สองลอยลอ่ งอยู่บนนํา้ นมสีแดง และคอ่ ยๆ ลอยเข้าหากนั ซ่งึ เปน็ ศุภนมิ ติ แห่งความเสน่หาอันยนื ยงคงอยจู่ นกระทง่ั ถึงวันตาย คร้ันแล้วองค์เจ้าบา่ วและเจา้ สาวก็กา้ ว ๗ ก้าว สามรอบแหง่ พระเพลิง (ตามประเพณีเษกสมรสของพราหมณ์) แจกจา่ ยสง่ิ ของให้แก่พวกนักบวช ไทยทานและเคร่อื งสังเวยก็ส่งไปบูชาตามบรรดาศาลพระผู้เปน็ เจ้า ในท่สี ดุ กม็ ีการสวดมนต์ และผกู ฉลองพระองค์ขององค์เจา้ บ่าวติดกนั กับขององคเ์ จ้าสาว แล้วเฒา่ แกจ่ งึ กล่าวว่า \"พระองคผ์ ู้ทรงเกียรตยิ ศ เจ้าหญงิ ซง่ึ เดมิ เป็นของเราทง้ั หลาย บดั นี้เปน็ ของ พระองคแ์ ต่ผู้เดยี วแล้ว จงทรงกรุณากบั เธอซ่ึงมีชนมชพี อยู่ในสทิ ธิของพระองค์ด้วยเถดิ \" เสร็จแล้วเขา จึงเชญิ เจ้าหญงิ ยโสธราไปสู่เรือนหอ แวดล้อมไปด้วยการขบั ร้องแตรบรรเลง เม่อื นางไปสู่ภายในพระ กรทง้ั คูข่ องพระสาวมแี ลว้ ในที่สุดกเ็ ป็นอันเสร็จพิธซี ง่ึ ทําใหเ้ กิดดูดดื่มแก่ความปฏิพัทธ์นน้ั ฝาุ ยพระราชานน้ั ไมเ่ ป็นแต่เพียงไวว้ างพระทัยในความปฏิพัทธ์แห่งเจ้าชายและเจ้าหญิงแต่ อย่างเดียว พระองคย์ งั ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทอันงามวิจิตรเพ่อื ยงั ความเปรมปรีดข์ องพระ ราชโอรสและเจ้าหญงิ อกี ดว้ ย เปน็ ปราสาทซงึ่ ทวั่ ท้ังแผน่ ดนิ ไม่มปี ราสาทวเิ ศษใดจะงามเสมอ เหมอื นกับปราสาทหลังน้ซี ง่ึ มนี ามว่า วิศรมั วัน คอื วิมานเกษมสนั ตข์ องพระราชโอรส ในท่ามกลางแหง่ พนื้ ทโี่ ดยรอบปราสาท ก็สงู ตระหงา่ นดว้ ยเขาเขินเนินอรัญญ์ มพี ฤกษชาติ เขียวชอมุ่ ซึ่งภายใตก้ ล็ อดไหลหลงั่ ดว้ ยลาํ นํ้า โรหิณีท่ไี หลมาจากเชิงเขาหิมาลัยอนั กวา้ ง เพื่อ นําเคร่ืองบรรณาการคอื ธาราไปสู่ลําแม่คงคา ทางด้านใต้มตี ้นมะขามและรกุ ขชาตเิ รียงเป็นพมุ่ ๆ เต็มไปด้วยไม้ดอกชือ่ คนั ธสี ฟี ูาออ่ นก้นั เปน็ ร้วั วัง ทกุ ครัง้ มีเสียงกระหม่ึ แหง่ พระนครขจรมาตามความกระพอื ของลม เสนาะประดจุ เสียงครวญ ของภมรทรี่ ่อนวนอยู่ ณ พ่มุ ไมซ้ ึ่งหา่ งไกลทางดา้ นเหนอื ผาอนั นฤมลแห่งเขาหิมาลยั ซึ่งมหึมา ซับซอ้ นรายเรียงเป็นแถวแนวขาวอย่างแวววบั สงู ตระหง่านเยีย่ มเวหาอนั เขียวดูมโหฬารตระการตาไม่ ร้จู ักสิน้ วเิ ศษนักและโดยภมู ิภาคซ่ึงมียอดและศิลาแหลม กลมหรือแบน ลาดผาอนั เขยี ว ก้อนนํา้ แข็ง อนั เรียว (ยอดเขาหมิ าลยั หนาวเย็นมีนาํ้ แขง็ อันเกดิ จากหิมะ ซ่ึงตกลงมาทับถมกนั อดั แน่นจนเปน็ นํา้ แข็ง) เหวลกึ และ หน้าผาอนั ชนั ทงั้ หลายแหล่เหล่านี้ ล้วนแตเ่ ปน็ ภาพซึง่ ดลใหม้ คี วามคิดอันสูงยิง่ จนประหนง่ึ ว่าสงู แลว้ จนถึงสวรรค์และอยรู่ ่วมดว้ ยพระผู้เปน็ เจ้าทัง้ หลาย เบื้องใตแ้ หง่ หิมะมแี นวปุาอันขมุกขมวั สลบั ด้วยแสง อนั แวววับแหง่ น้าํ ตกซ่ึงไหลซู่ซ่าและปิดบังครมึ้ ไปด้วยหมอก ต่ําลงมาหนอ่ ยก็มตี น้ ฉําฉาและตน้ สนซ่งึ กูก่ ้องไปด้วยเสยี งรอ้ งเรียกแห่งไกฟ่ ูา เสียงรอ้ งของเสอื ดาว เสียงรอ้ งของแกะปาุ เหนอื ก้อนศิลา และ

เสยี งร้องของนกอินทรีอนั โหยหวน ตํ่าลงมาอีกมีทุง่ อันตระการตาประดจุ ดงั ปูลาดพรมเพอื่ สวดมนต์ ภาวนา ณ เชงิ เขาพระแทน่ อันศักด์สิ ทิ ธ์ิ ขา้ งหน้านายช่างก็สร้างพลับพลาอันวจิ ิตรบนพืน้ ทสี่ ูง มหี อ ข้างเคียงและระเบยี งซ่ึงมีเสาเรยี งรายอยูโ่ ดยรอบ ลวดลายแห่งขอื่ เป็นภาพแสดงเร่ืองราวในโบราณ กาลมีราธา (คู่รกั ของกฤษณะผ้อู โุ ฆษในเร่ืองเสน่ห์ จนมกี าพย์คดีแพร่หลายมากในประเทศอนิ เดีย) และกฤษณะ เหลา่ พรหมจารีแห่งปุา นางสีดา หนมุ าน และนางเทราบที และบนซมุ้ ประตดู า้ นกลางก็มีคเณศวรผู้เป็น พระเจา้ แหง่ ฤกษ์ น่งั หดงวงถือกงจกั รและของ้าว ตัง้ ไว้ท่นี ั่นเพอ่ื ใหม้ คี วามดแี ละความเจรญิ โดย วิถีทางอันคดเคีย้ วแห่งอทุ ยานและลาน กเ็ ดินไปสูท่ วารนอ้ ยเปน็ หนิ อ่อนขาวลายและกุหลาบ ก็ได้ธรณี หนิ อ่อนเปน็ เงาและประตไู มจ้ ันทน์มลี วดลายระบายสี เมอ่ื ผ่านธรณีแล้วก็เดินเล่นไดอ้ ย่างร่าเริง ภายในหอ้ งนอกอันงามและในห้องเงาอนั ขมกุ ขมวั ขน้ึ บันไดอันวจิ ิตร เดนิ ไปตามระเบียง ชน้ั ๆ ฝาระบายสีและเสาเป็นหม่ๆู มนี าํ้ พปุ ระดับ บัวรายเรียงและกระจบั ซึ่งพน้ นา้ํ ออกมา มจั ฉาชาตซิ ึ่ง ตระการตาภายในแก้วเจยี ระไนสีเข้มสที องและสเี ขยี ว ณ ภายในแหง่ เรอื นกลางแจ้ง นางเก้งตาใหญ่เล็มดอกกหุ ลาบซ่งึ มี รสสคุ นธ์ ฝงู นกสีรงุ้ บนิ ร่อนท่ามกลางแห่งต้นตาล นกพริ าบสีเขียวสเี ทาสร้างรงั ดว้ ยความปลอดภัย ณ เบอ้ื งบนหัวเสาสที อง ณ พืน้ ศลิ าใสเปน็ เงา เหลา่ นกยงู คล่ี หางอนั งามออกลาํ แพน ฝุายนกกระสาสีขาวดจุ นาํ้ นมและนกฮูกตัวน้อยกช็ มดู นกยูงด้วยอาการสงบเสงย่ี ม นกแก้วคอสีดนิ แดงกไ็ กวแกว่งตัวจากผลไมน้ ไี้ ปสู่ ผลไมน้ น้ั เหล่าจงิ้ จอก กง้ิ ก่าเจ้าตัวไวก็ผิงแดดบนกง่ิ ไมป้ ราศจากความกลวั เหลา่ กระรอก กระแตกม็ ีมากนิ อาหารทีอ่ ยใู่ นมอื เพราะความสันตสิ ุขอบุ ัติอยทู่ วั่ ไป งูดํา ซ่ึงเปน็ ลางแหง่ โชคดแี ก่ครอบครวั ขดตวั นอนอยกู่ ลางแดดภายใตด้ อกไมน้ ามวา่ ดอกจนั ทน์ ใกล้ๆ ณ ทนี่ ้ัน หมูว่ านรตาสีน้ําตาลเข้มทําทา่ หลอนหลอกแกฝ่ ูงกา นอกจากนี้ยังมีบรวิ าร บ่าวไพรอ่ ันซอื่ สัตยก์ ็มอี ยมู่ ากมายภายในพระราชวงั น้นั จะให้สัญญา แตเ่ พยี งน้อยหนง่ึ ก็มีผูค้ นหนา้ ตาสภุ าพและเสียงพูดอนั ไพเราะตะลีตะลานมาปฏบิ ตั ริ ับใชอ้ ยา่ งขมีขมัน ต่างคนตา่ งยนิ ดบี ําเพญ็ ความสนั ตสิ ุข แสดงความร่าเริงเพอื่ ให้อุบัติความปราโมทย์ ภมู ใิ จทจ่ี ะปฏิบตั ิ เคารพ ประหนึ่งวา่ ตอ้ งการให้ชีวิตความเป็นอยู่ไหลหล่งั ความปรดี ์เปรมเหมอื นแมน่ ้ําท่มี ขี อบเขตเป็น ดอกไมค้ ืออมรบปุ ผา และยโสธราเป็นราชนิ แี หง่ พระราชสาํ นกั เกษมสันตน์ ีแ้ ล แตน่ อกจากห้องตัง้ รอ้ ยห้องซึ่งงามวจิ ิตร ยังมีหอ้ งลับอกี หอ้ งหนึ่งซงึ่ ศิลปะได้ประณตี ความ งามทกุ กระบิดกระบวนเพือ่ หย่อนใจ เม่ือไปสู่ห้องนี้ต้องผ่านลานลับซง่ึ อยู่ภายในปราสาทนัน้ ไป แต่ เปน็ ลานโปร่ง ในทา่ มกลางมีสระน้ําทําดว้ ยศลิ าอ่อนขาวดุจน้ํานม ซ่ึงแคมขอบบนั ไดและรว้ั ก้นั สลักเป็น ลวดลายประดับหินเป็นสตี ่างๆ อย่างงดงาม ชา่ งช่ืนอกชืน่ ใจเสียนกี่ ระไร เม่อื ไดส้ งบอารมณ์ตาม อําเภอใจภายในราชสถานอนั สําราญร่ืน ประดุจไดเ้ ดนิ บนนาํ้ แขง็ ในฤดรู อ้ น รัศมแี หง่ ดวงอาทติ ยส์ ่อง แสงสที อง ผ่านทางประตแู ละสอ่ งแสงอ่อนลงๆ จนเป็นสขี าวอย่างเงนิ จางลงเกอื บขมุกขมัวประดุจหนึง่ วา่ แสงตะวันนัน้ ไดห้ ยุดแลว้ เปลย่ี นเปน็ แสงแห่งความเสนห่ าและความสงบเสงยี่ มซง่ึ สงิ สถติ อยู่ ณ ประตมู ีห้องอันโอ่โถงตระการตาวเิ ศษกว่าท่ีอ่ืนๆ มีโคมอนั ออ่ นหอมสอ่ งแสงลอดมาทางหน้าตา่ งมุข และม่านดอกดาราซบั เยยี ระบับสีทอง ท่ีนอนแพรและฉากอันหนักและงามตระการตา ซึ่งถูกเปิดออกแต่ เฉพาะสําหรับปล่อยให้สตรที ี่งามเลิศเข้าไปเท่านนั้ ณ ทนี่ น้ั ไม่มใี ครร้ไู ดเ้ ลยวา่ เป็นกลางวนั หรือกลางคนื เพราะประทีปที่คอ่ ยสวา่ งไสวอยเู่ สมอ นน้ั สว่างกวา่ เวลาสวา่ งเมอ่ื ยํา่ ร่งุ แต่แสงระเรอ่ื กวา่ แสงเงนิ แสงทองแหง่ อาทติ ยอ์ ุทยั ลมเฉอ่ื ยพัดมา

สบายกว่าเวลาเชา้ แตเ่ ย็นเหมือนเวลาเที่ยงคนื เสยี งพณิ บรรเลงทัง้ กลาวนั กลางคนื กระยาหารอนั โอชากม็ มี าไมว่ า่ กลางวันกลางคืน ผลไมช้ มุ่ ชน่ื ดว้ ยน้ําค้าง เครอ่ื งด่มื ปรุงดว้ ยหิมะแหง่ เขาหิมาลยั แปูง อนั มีรสโอชา และน้ํากะทิใสม่ าในภาชนะซ่ึงทาํ ด้วยงา ทั้งกลางคืนกลางวนั ก็มีหมูน่ างระบาํ ทเ่ี ลอื กเฟนู มาแลว้ ประจาํ อยพู่ ร้อมท้งั นักรอ้ งนักดนตรี เปน็ บรวิ ารประโคมโลมเล้าความเสนห่ า เป็นการปลกุ ดวงพระเนตรอันสงบแห่งพระสทิ ธตั ถะผ้ทู รงสนั ติ สขุ และเมอื่ ตื่นแลว้ ก็นาํ พาให้วิญญาณของพระองคก์ ลบั ไปตกอยู่ในความบันเทิงใหม่อีก โดยดนตรซี งึ่ กอ้ งกังวานอยู่กลางดอกไม้หรอื โดยกามแหง่ เสยี งจาํ เรียงร้องยั่วความเสนห่ า และการฟูอนราํ อันร่าเรงิ เป็นจังหวะกันดว้ ยระฆังและลกู พรวนซึง่ ผูกท่ขี ้อเท้าของนางระบําท่าทางรําทําแขนและเสียงพิณสาย เงนิ สว่ นน้าํ มนั ชะมดและจาํ ปากบั แสงสีเขยี วซ่ึงเผาอบระเหยหอมใหฟ้ งูุ ขจรกท็ าํ ความเคยชิน ใหแ้ กว่ ญิ ญาณของพระองค์อีกาํ แลว้ เชญิ เสดจ็ ให้บรรทมเหนอื กรพระนางศรยี โสธรา พระสทิ ธตั ถะทรง สําราญพระอิริยาบถดังนกี้ ท็ รงลมื เสียซง่ึ สิง่ อ่นื ๆทัง้ หมดในโลก อน่งึ พระราชายังทรงบญั ญัตวิ า่ ภายในกําแพงพระราชวงั นน้ั มใิ หผ้ ูใ้ ดพดู ถงึ ความตาย ความ แกช่ รา ความทกุ ขโ์ ศก ความแร้นแคน้ หรือความเจบ็ ปุวย นางใดหากความงามลดละลง ณ พระราช สถานอนั สง่า หากเทา้ ไม่สามารถเตน้ ราํ ได้แล้ว นางใดท่เี ป็นเชน่ นน้ั ซงึ่ แม้ไม่เป็นโทษอาชญาอนั หา ทจุ รติ มิได้ก็ถูกเนรเทศให้ออกจากพระราชวงั สวรรคน์ ้นั โดยเกรงว่าพระราชโอรสจะไดเ้ ห็นความทุกข์ ความทรมานแหง่ นางนั้นๆ แลมีเจ้าหนา้ ทผ่ี เู้ คร่งคอยแตพ่ พิ ากษาโทษผซู้ ึง่ พดู ถงึ ความทุกข์ภยั ในโลก อันเต็มไปดว้ ยความทรมาน ความครวญครา่ํ ความโหยไห้ ความหวาดเสียว และความครวญครางของผู้ ต้องทุกข์ และควันอันนา่ สยองแห่งกองอัคคี หากมเี ส้นผมหงอกขาวแตเ่ สน้ เดยี วปรากฏอย่ใู นมวยผม ของนางนักรอ้ งบําเรอ หรือนางละครคนใดจะถอื ว่ามโี ทษฐานทรยศ และทุกๆ เวลายํ่ารงุ่ ดอกกุหลาบที่ เหย่ี วแห้งแลว้ กถ็ ูกเกบ็ เสยี ใบไม้ตายก็ถูกกวาดทงิ้ บรรดาภาพอนั ทําให้บังเกิดความทกุ ข์ตอ้ งกาํ จัดใหพ้ น้ จากราชสถาน น้โี ดยสิน้ เชิง เพราะพระราชาตรสั วา่ \"หากเขา (คือพระราชโอรส) ดํารงประถมวยั ไกลจากส่ิงซึง่ ยว่ั ให้ เกิดสงั เวช และเกิดเจริญขน้ึ ในญาณคตทิ ่ียงั ไมป่ รากฏนัน้ แลว้ เงาแห่งโชคซ่งึ ล้ํามนุษยส์ ามัญจะพงึ ได้ (โพธญิ าณ) กจ็ ะอ่อนลงได้ และเราก็จะไดเ้ ห็นเขาเปน็ เจา้ ผมู้ อี านุภาพงิ่ ซึ่งจะไดค้ รองท่วั ทกุ ประเทศ (จักรพรรดิราช) หากเขาต้องการ และจะไดเ้ ป็นเจ้าแหง่ กษตั ริยท์ ้ังหลายซ่ึงเปน็ เกียรติศกั ดแ์ิ หง่ สมัย กาลของเขา\" ฉะน้ันโดยรอบแหง่ ท่ีขังอันงามวิจิตร ซึ่งมีแต่ราคตณั หาเป็นผู้คุมและความบนั เทิงเป็นกรงกัน้ ขงั แตไ่ กลจากท่ีใครแลเห็นไดน้ น้ั พระราชาได้ทรงจดั ให้สร้างกาํ แพงอันหนามีประตสู ํารดิ มบี านสอง บาน ประตหู น่ึง ประตูนีต้ อ้ งใช้คนต้ังร้อยคนสําหรบั เปิด ขณะท่เี ปดิ กม็ ีเสยี งดงั สน่ันไกลไประยะครึง่ โยชน์ หลังประตนู ้ีก็มปี ระตูทสี่ องทีส่ ามถัดกนั ไปอกี เปน็ อนั วา่ เมอื่ จะออกจากพระราชสถานอนั เกษมนัน้ แล้ว ต้องผา่ นประตสู ามประตูนั้นมาก่อน จงึ จะออกได้ เปน็ ประตูมหึมา ลน่ั กลอนและกน้ั ด้วยลกู กรงอกี ช้นั หน่ึงกบั ท่ใี กล้ๆ ประตูแหง่ หน่งึ ๆ ก็มีคน ยามซ่อื สัตย์รักษาการอยู่ และตามพระบรมราชโองการแหง่ พระราชามีอยู่วา่ \"อยา่ ปล่อยใหใ้ ครผา่ นไปมาจนแมแ้ ต่โอรสของเรา เจา้ ต้องรบั ผดิ ชอบดว้ ยศรี ษะของเจา้ \"

ปรเิ ฉทท่ี ๓ เทวทูตทสั นกถา (พระมหาบุรุษเห็นเทวทตู ) สมเดจ็ พระพุทธเจา้ ของเรา ประทับอยูใ่ นพระราชสถานเกษมสนั ตน์ ี้ ด้วยพระชนมชพี อนั สันติสขุ และด้วยความปฏิพทั ธ์ ไม่ทรงทราบเลยซง่ึ ความเศรา้ โศก ความขดั สน ความกลดั กลมุ้ ความชราภาพ และความมรณะ ถึงกระนั้นกด็ ี ในยามบรรทมหลับกท็ รงพระสุบนิ ว่า พระวญิ ญาณได้เรร่ ่อนไปตาม ทะเลแห่งความมืด และไปบรรลถุ งึ ฝ่ง๎ อันสว่างไดเ้ มอื่ อ่อนเพลียแล้ว โดยนาํ ความจาํ อนั แปลกประหลาดในการเดินทางอนั ขมุกขมัวนนั้ มาดว้ ย และทง้ั มีอยู่อีกวา่ ครัง้ หน่ึง ขณะท่ี พระองคเ์ กยพระเศียรหลับอย่บู นพระอุระอนั วไิ ลลักษณข์ องพระนางยโสธรา ซึง่ หัตถท์ ั้งคู่ เปน็ เครื่องกระทําให้ซาบซ่าน ค่อยๆ ประเลา้ ประโลมให้พระเนตรของพระองคห์ ลบั ไป จน พระองค์ทรงละเมอโดยมีพระอทุ านออกมาว่า \"โลกของฉัน! โอ! โลก! ฉันไดย้ นิ ! ฉันร!ู้ ฉนั จงึ มา!\" นางจงึ ทูลถามดว้ ยดวงเนตรอันโพลงเพราะความตื่นตกพระทัยวา่ \"เปน็ อะไรไป นะเพคะ ทลู กระหมอ่ ม\" เพราะในวาระน้ัน พระวริ ิยภาพซึง่ ปรากฏจากแววพระเนตรของ พระองคซ์ ่งึ ทอดมาแสดงใหเ้ กิดความกลัว และพระพักตรข์ องพระองค์กแ็ มน้ เหมือนเทพเจ้า พระองค์หน่งึ คร้นั แล้วพระองคก์ ็ทรงยม้ิ ไปใหม่ เพือ่ บรรเทาความโหยไหข้ องพระเทวี แลว้ ทรงขอใหน้ กั ดนตรดี ีดพิณ แต่คร้งั หนง่ึ มีผนู้ าํ เครอื่ งดนตรรี ูปอย่างผลน้าํ เตา้ มีสาย(ซอ)มาวางที่ธรณปี ระตู ณ ที่ซงึ่ ลมอาจพดั ใหม้ ีเสยี งเป็นเพลงและบรรเลงไปโดยลําพัง เพราะลมสามารถทําให้สาย เงนิ เหล่านน้ั เป็นเพลงอยา่ งนา่ พิศวงได้ บรรดาผู้ซึ่งอยรู่ อบๆ น้ัน ได้ยนิ แต่เพยี งเสยี งเทา่ นนั้ แตพ่ ระสิทธตั ถะทรงได้ยิน หมู่เทวาบรรเลงเพลงและขบั รอ้ งเปน็ ลาํ นาํ มาสพู่ ระโสตของพระองคว์ ่าดงั นี้ \"เราเป็นเสยี ง ของลมโชยซึง่ จะโบกพัดแสวงหาความสงบอารมณ์ แตก่ ็ไมไ่ ดพ้ บความสงบอารมณน์ น้ั เลย

จงดูเถิด ลมเปน็ ฉันใด ชีวติ ท่ตี ้องตายก็เปน็ ฉันน้นั คอื มคี วามสลดใจ ความอัดอน้ั ความ กังวลและความดิน้ รน\" \"เราไมอ่ าจรู้เหตุผลแหง่ ความเปน็ อย่ขู องเราและกําเนดิ แหง่ ความเป็นอย่ขู องเรา ต้นกาํ เนิดของชวี ติ และผลทส่ี ุดของชีวิตได้ เราก็เปน็ เหมอื นที่ทา่ นเปน็ คือภาพแหง่ ความ เวงิ้ ว้าง เราจะมคี วามสนกุ อะไรในความเศรา้ โศกซ่ึงเปล่ยี นแปลงไมม่ ที ่สี ดุ ?\" \"ความสําราญอะไรที่ท่านมอี ยใู่ นความสนุกไมร่ สู้ ร่าง อา! หากความเสนห่ ายืนยง ความเสนห่ าอาจบังเกิดความสุขได้อยา่ งลน้ พ้น แตช่ ีวติ เป็นเหมือนลม ทุกส่งิ ทุกอยา่ งเปน็ แต่เพยี งเสียงซึง่ ไมถ่ าวร ทีก่ งั วานมาจากสายท่ีดงั นน้ั \" \"โอ! โอรสของมายาเอย๋ เปน็ เพราะเราเร่รอ่ นอยู่ ณ พน้ื ปฐพนี นั้ เอง เราจึงมีเสียง คร่าํ ครวญอยทู่ ีส่ าย เราไม่ขับรอ้ งเรื่องปลาบปลืม้ เพราะเราเห็นความทกุ ขโ์ ศกมากมายใน ประเทศทงั้ หลาย มแี ตด่ วงตาทร่ี อ้ งไหแ้ ละบดิ มือดว้ ยความสิ้นหวงั \" \"ตลอดเวลาที่เราพดั เรอ่ื ยไป เราเหน็ เปน็ ทีน่ ่าขบขนั เพราะถา้ มนษุ ยอ์ าจรวู้ ่า ชวี ิต ทม่ี ีอยู่นั้นเปน็ แต่สภาพท่ไี มเ่ ปน็ แก่นสารแลว้ ถึงจะมีอาํ นาจบงั คับเมฆ หรอื กระแสนาํ้ ใหน้ งิ่ ไดก้ ด็ ี ก็ยังคงมีชพี ทีไ่ มเ่ ป็นแก่นสารดจุ กัน\" \"แต่พระองคต์ อ้ งเปน็ ผู้โปรดสตั ว์ เวลาของพระองคใ์ กลเ้ ข้ามาแล้ว โลกอนั นา่ อนาถคอยพระองคด์ ้วยความแรน้ แค้น โลกอนั มืดมนอนธการกําลังหมนุ เคว้งคว้างอยู่ในวง แหง่ ความเศร้าโศก! จงลกุ ข้ึนเถดิ ! พระโอรสของมายา! จงราํ พึงถึงพระองคเ์ ถดิ จงเลกิ พักผ่อนพระองค์เสยี เถดิ \" \"เราเปน็ เสียงของลมซ่งึ โชยไป จงเห็นตามข้าพเจา้ เถิดเจ้าขา้ เพือ่ พระองค์จะได้ พบการพกั ผอ่ นของพระองค์ จงสละความเสน่หาของพระองค์เสยี เพอื่ ความเมตตาแกส่ ตั ว์ ทั้งปวงทค่ี วรรกั จงมคี วามเอน็ ดูตอ่ ผเู้ ศรา้ โศกทรมาน และทิง้ พระราชอิสรยิ ยศเพ่ือบรรเทา ทกุ ข์ และบาํ เพ็ญความช่วยเหลือ\" \"ซง่ึ เราโชยมาสัมผสั บนสายเงนิ ดังนี้ ก็เพราะสําหรับพระองคท์ ีย่ งั ไม่ทรงทราบสิ่ง ท้ังปวงแหง่ โลก ซ่ึงเรากลา่ วดังนแ้ี หละ เราเยาะเยย้ ตามสภาพ ซึ่งพระองค์ทรงเพลดิ เพลนิ อยู่ ณ บัดนี้\" คร้ังหน่งึ ชา้ นานต่อมาเป็นเวลาเย็น ขณะพระองค์ประทับอยู่ทา่ มกลางแห่ง พระราชสาํ นักอันงามวิจติ รของพระองค์ พลางถือพระหัตถ์พระนางศรยี โสธราไว้ สตรีสาว คนหนึง่ ขบั รอ้ งเพลงดึกดาํ บรรพ์เรอื่ งหนึง่ เพ่ือยวั่ กามในยามสําราญอย่างอม่ิ เอบิ กับมี ดนตรคี อยรับ ในเม่อื เสียงอนั ไพเราะของคนร้องหยุดร้องเป็นบทๆ คอื เป็นเสภาเรอื่ งความ รัก วา่ ดว้ ยป๎ญหาแหง่ มา้ วิเศษตวั หน่ึงและนครอันน่าพศิ วงแหง่ หน่ึง อยไู่ กลซ่ึงชนชาวชาติ ผวิ ซดี อาศัยอยู่ และซงึ่ ดวงอาทติ ยเ์ มือ่ จวนคา่ํ กจ็ มดงิ่ ลงไปในทะเล พระองค์จึงตรสั ว่า \"จิต ทําให้เรานกึ ถึงการขบั รอ้ งของลมตามสายซอซ่ึงมี เรอื่ งราวอันนา่ ฟง๎ จงให้ไขม่ กุ ของเธอไปยโสธราเพือ่ ขอบใจเขา แต่สว่ นเธอ เธอผู้เปน็ ไข่มุกของฉนั จงว่าใหฟ้ ๎งทเี ถดิ ! ว่ามีโลกกว้างใหญย่ ิ่งกว่าน้ีไปอีกไหม? มีประเทศใดทเ่ี หน็ ดวงอาทิตยใ์ หญห่ มนุ อยใู่ นคลน่ื บ้างหรือ? ณ ที่นัน้ มีใจใครเหมือนใจเราบ้าง มีคนมากมายสุดคณนา ทไ่ี มร่ ้จู ัก บางทตี ก ทุกข์ได้ยากด้วยซา้ํ ซง่ึ เราอาจช่วยได้ ถา้ เราร้จู ักเขาเหล่านน้ั ! เมื่อดวงอาทติ ยก์ าํ ลงั โผลม่ า

จากทิศตะวนั ออก แหวกราชวิถีสีทอง ฉันนกึ ถามตนเองดว้ ยความประหลาดใจบอ่ ยๆ วา่ ณ ปลายท่ีสดุ ของโลกนน้ั เด็กในจําพวกเดก็ ทางทศิ ตะวนั ออกคนใดเปน็ คนทแี่ รกซงึ่ ไดก้ ระทํา ความเคารพรศั มขี องดวงอาทิตย์ จนแมแ้ ตใ่ นขณะกําลังอย่ใู นวงแขนของเธอและเหนอื อุระ ของเธอ ออื ! แมเ่ ทวผี งู้ ามประโลมของฉัน ดวงหทัยของฉันเต้นอย่างร้ายแรงในยาม อัสดงคตแห่งดวงอาทติ ยบ์ อ่ ยๆ ด้วยความตอ้ งการอยากตามดวงอาทิตย์ไปสูท่ ิศอสั ดงคซ์ งึ่ มสี แี ดงเข้มเพ่อื เหน็ ชาวชนแหง่ ทิศตะวันตก ท่ีน่ันคงต้องมมี นุษย์ใจดีซ่งึ เราต้องรกั เปน็ แน่ คงจะไมม่ อี ย่างอื่นอยู่ทนี่ ่ันเปน็ แนม่ ใิ ช่หรอื !\" ในขณะนนั้ เอง ฉันมีความกลดั กลุ้มใจ จนแมแ้ ตจ่ มุ พติ รมิ พระโอษฐอ์ ัน ละมุนละไมของเธอกไ็ มส่ ามารถจะบรรเทาถอนได้ เออ! นางสาวธดิ า เออ! จติ ! เจ้าทีร่ ู้จกั เมอื งวิเศษ อาชาไนยในนทิ านของเจ้านั้นเขาผูกไว้ทไี่ หนหนอ! ขา้ จักไมอ่ าจเอาเวียงวัง ของขา้ ใสห่ ลงั อาชาไนยน้ันได้สกั วันหน่งึ แล้วเหาะไปเหาะไปเพ่อื ดคู วามกวา้ งแหง่ พ้นื พภิ พทีเดยี วหรอื ? หรือมฉิ ะนัน้ ถา้ ขา้ ไดป้ ีกของแร้งหน่มุ เจ้าซากศพตัวนั้นทเ่ี ลง็ เห็นสมบัติ ราชอาณาจกั รอ่นื ใหญย่ ิง่ กวา่ อาณาจกั รของข้า ขา้ จะบินไปสูย่ อดเขาหมิ าลยั ซงึ่ แวววบั ไป ด้วยหมิ ะซงึ่ มสี ีแม้นกหุ ลาบ เพอ่ื ทอดตาค้นหาประเทศท่อี ย่โู ดยรอบ \"แต่นช่ี ่างกระไรเลย ข้าไมเ่ คยไดเ้ หน็ เลย และไมเ่ คยพยายามให้ข้าไดเ้ ห็นเลย! จงบอกข้าบา้ งเถดิ ว่า นอก ออกไปจากประตสู าํ รดิ ของเรานน้ั มอี ะไรบา้ ง?\" ดังน้นั จงึ มผี ูท้ ลู ว่า \"ขา้ แต่พระองค์ผ้ทู รงเกษมสันต์ มีพระนคร มีวัดวาอาราม สวน และปาุ ละเมาะ มีท่งุ บางทงุ่ กม็ ีลําราง ลาํ หว้ ย สนามหญ้า มปี ุาทบึ และท่งุ หญ้าอันกวา้ ง ใหญ่สุดสายตามากหลาย แล้วกค็ อื พระราชอาณาจกั รของพระเจา้ พมิ พสิ าร และในท่สี ุดก็ ทงุ่ อนั กว้างแหง่ โลกซง่ึ มนษุ ยม์ ากต่อมากอาศัยอยู่...\" ดแี ล้ว พระสิทธตั ถะตรัส \"จงบอก นายฉันนะให้เตรยี มเทยี มรถของเรา พรงุ่ นี้เทย่ี งเราจะไปดูสิ่งซึ่งมอี ยภู่ ายนอกพระราชวัง\" ดงั น้ี จึงมีผไู้ ปทูลพระราชบิดาว่า \"ข้าแต่พระองค์ พระราชโอรสของพระองค์มพี ระประสงค์ อยากให้ราชรถไดเ้ ทียมพรงุ่ นเี้ วลาเทย่ี ง เพื่อจะได้เสดจ็ ออกและทอดพระเนตรมนษุ ยชาติ\" \"เออ\" พระผ้ทู รงธรรมรับส่งั \"ถงึ เวลาทเี่ ขาจะเห็นได้แลว้ แตจ่ งจดั การให้มผี ู้ไป ปุาวรอ้ งแก่บรรดาประชาราษฎรท้ังปวงให้ตกแต่งพระนคร จนกระทั่งอยา่ ใหไ้ ด้พบเห็น สภาพอย่างหนึ่งอยา่ งใดซงึ่ กระทาํ ใหบ้ งั เกดิ ความเศรา้ ใจ อย่าให้คนตาบอดหรือเท้าดว้ น คนใด คนเจ็บคนใด คนท่ีมอี ายุมากคนใด คนท่ีเปน็ โรคเรื้อนคนใด คนพิการคนใด ทั้งหลายเหลา่ นี้ออกมาใหป้ รากฏเป็นอนั ขาด\" เพราะฉะนน้ั กม็ ีการกวาดถนน ผูห้ าบนํ้าด้วยครซุ ึ่งไหลพลา่ นกร็ ดถนนทกุ ๆ แห่ง เหลา่ พวกนางแม่บา้ นกโ็ ปรยโรยผงแดง ณ ธรณปี ระตบู ้านของตน ประดบั พวงระย้าใหม่ และตั้งพุม่ ตน้ กะเพรา (ตุลสี-ตน้ ไม้ชนิดหนึ่ง ชาวฮนิ ดูเรียกวา่ ตลุ สี มกั จะมีไวใ้ นบ้านเป็นเคร่ืองรางลทั ธิ พิเศษอย่างหนึง่ เวลาทช่ี าวฮินดจู ะสาบานตนให้การในศาล พราหมณ์ตอ้ งส่งั ใหก้ นิ ใบกะเพราเสยี ใบหนงึ่ ก่อน) ข้างหน้าประตู รูปสีตามบรรดาฝาก็มีการระบายปาู ยสซี อ่ มแซมใหม่ บรรดาต้นไมก้ ม็ ธี ง ประดบั อยเู่ ตม็ รูปทีเ่ คารพทงั้ ปวงก็ปิดทองเสียใหม่ ณ ส่แี ยกสรุ ิยเทวาและเทวรูปทีศ่ ักดิ์สทิ ธิ์กส็ ุกปลง่ั สถติ อยเู่ หนอื แท่นโดยประการ ดังนี้ พระนครก็เปน็ เสมอื นหนึ่งวา่ เปน็ พระนครแห่งพระราชอาณาจักรเกษมสันต์ ผรู้ ้อง ประกาศกป็ ุาวรอ้ งทัว่ ทุกถนนกับตกี ลองและฆ้อง พลางร้องอย่างดงั ๆ วา่ \"จงฟ๎ง! ทวยชน ทง้ั หลาย! พระราชามพี ระบรมราชโองการดํารสั สั่งวา่ วันนี้อย่าใหส้ ภาพความเศร้าโศกได้ ปรากฏออกมาเป็นอันขาด อยา่ ปลอ่ ยให้คนตาบอด คนขาด้วน คนเจ็บ คนแก่ คนเป็นโรค เรือ้ นและคนพกิ ารใดๆ ออกมาใหเ้ ห็นเป็นอันขาด กบั หา้ มมใิ หผ้ ูใ้ ดเผาศพหรือเอาศพออก จนกระท่งั ถงึ เวลาค่ํา ท้ังน้เี ปน็ พระบรมราชโองการของพระเจา้ สุทโธทนะ\"

เมือ่ เป็นดงั นี้ ทกุ ส่ิงทุกอยา่ งก็ลว้ นแตเ่ จรญิ เพลนิ จักษปุ ระสาท และบรรดาเคหะ สถานบา้ นเรอื นท้ังปวงกต็ กแตง่ ท่งั ท้งั พระนครกบิลพสั ดุ์ คราวเมือ่ พระสิทธตั ถราชโอรส เสด็จประพาสโดยรถทรงอันแพรวพรรณรายเทยี มด้วยโคคู่ขาวดุจหมิ ะซ่งึ โคลงคอและถู โหนกกับแอกสลกั และลงรัก ความรา่ เรงิ ของทวยชนซึง่ โห่ร้องรับรองพระราชโอรสกระทาํ ใหเ้ ปน็ ที่น่าทัศนาอยา่ งยง่ิ พระสิทธัตถะจงึ ทรงเบิกบานพระทัยทไี่ ดท้ อดพระเนตรเห็นปวง ประชาอนั ซื่อสัตยข์ องพระองคส์ วมเครอ่ื งแตง่ กายสําหรับงานฉลองและบนั เทงิ ร่าเริง ประหนึ่งว่าการมชี วี ติ อยู่เป็นสง่ิ ทีด่ ี \"โลกเรานี้ดงี าม\" พระองค์รับสั่ง \"เราชอบ และบรรดาทวยชนเหล่าน้ซี ึ่งไม่ได้เปน็ พระราชาลว้ นแต่ สวยงามและนา่ รัก และนา่ เอน็ ดกู ็คือเหลา่ ภคนิ ซี ่งึ ทํางานและอยเู่ ฝาู บา้ น เราได้ทํา ประโยชนอ์ ะไรให้เขาเหลา่ น้ี เขาจึงรา่ เริง? เด็กๆ เหล่านีร้ ไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ เรารักเขา ไดก้ รุณา เถิด จงเอาศากิยะหนุ่มนอ้ ยซง่ึ โยนดอกไม้มาใหเ้ รานน้ั ข้นึ มาบนรถเราด้วยเถิด ช่างดีนี่ กระไรทีไดเ้ ถลงิ ถวัลยราชย์ ณ ราชธานนี ี้ เปน็ ความสุขอันบริสทุ ธ์นิ ่ีกระไร หากว่าทวยประชาเหลา่ นี้มคี วามยนิ ดี เพราะเหตุท่เี รามาอยู่ในท่ามกลางของพวก เขา ส่ิงท้ังหลายทั้งปวงชา่ งไร้ประโยชนแ์ กเ่ ราเสียนก่ี ระไร หากวา่ บรรดาเรอื นเล็กๆ เหลา่ นี้ จคุ วามร่าเริงพอท่ีจะบาํ เพ็ญเพ่มิ พนู พระนครของเรา ให้เปีย่ มไปดว้ ยความแยม้ สรวลได้ \"ไป ให้เรว็ เขา้ หน่อยเถดิ นายฉันนะ! ออกประตูไปเพื่อเราจะได้เห็นโลกงามซง่ึ เราไมร่ ้วู า่ มีมาก ขนึ้ อกี \" ดงั นน้ั แลว้ นายฉันนะผเู้ ป็นสารถีก็ขบั ราชรถพาพระราชโอรสผ่านประตไู ปใน ท่ามกลางหมู่ชนซึง่ รา่ เรงิ กาํ ลังตะลตี ะลาน หลีกจากวิถที างลอ้ แหง่ รถทรง บางคนวิง่ ไป ข้างหนา้ โค พลางโยนพวงมาลาให้ บางคนกล็ บู คลาํ สขี า้ งอนั ละมนุ ละไมของโค บ้างก็นํา ข้าวและขนมมา แลว้ ทกุ ๆคนเปล่งอุทานว่า \"ไชโย! ไชโย! สําหรับพระราชโอรสผมู้ ี วริ ิยภาพของเรา\" ในขณะทที่ ว่ั ทกุ ถนนกําลงั เตม็ ไปด้วยหน้าตาทีร่ ่าเรงิ และสภาพแห่งความช่ืนชม ตามพระราชโองการของพระราชานน้ั มียาจกเขญ็ ใจกระร่องกระแรง่ ตาตน่ื และโสมมเตม็ ไป ด้วยเหงื่อไคลคนหน่งึ เดนิ โซเซออกมาจากหลุมท่ีซ่อนตนอยู่ แลว้ กพ็ ยุงตวั เองไปสกู่ ลาง ถนน ยาจกนที้ พุ พลภาพ ชรามาก และหนังอนั ยยู่ ่นโดยอํานาจแห่งดวงอาทิตย์กต็ ิดกระดกู สนทิ เฉกเช่นหนังสัตว์ทีห่ ุ้มอยูก่ บั กระดูกหลงั กโ็ กงโดยนาํ้ หนกั แห่งกาลอนั อเนกอนันตว์ นั กระบอกตากม็ ีสีแดงชา้ํ ซึ่งถกู เซาะดว้ ยน้ําอัสสุชลอันโหยไห้ เมือ่ กาลนานมาแล้ว ตาก็ตื่น และขากรรไกร ปราศจากฟน๎ กส็ ั่นเทาดว้ ยพยาธิและความกลวั ท่มี าเหน็ หมชู่ น และความรา่ เริงอนั อกั โขดงั นี้ มอื ซง่ึ ผอมขา้ งหนึ่งจบั ไมเ้ ทา้ อนั สึกหรอเพื่อประคองเทา้ อันซวนเซทงั้ สองข้าง และมอื อกี ขา้ งหนงึ่ บีบซ่ีโครงซึง่ ผายลมหายใจออกมาได้โดยยาก \"โปรดทาํ ทาน เถดิ เจ้าประคุณเจา้ ขา้ \" ยาจกชราครวญครางวา่ \"เพราะกระผมจะตายในวนั นห้ี รอื พรุ่งนีแ้ ล้ว\" วา่ แลว้ กไ็ อ และแบมอื ออกยนื่ ตอ่ ไป พลางหรี่ตาและสน่ั เทาด้วยอาํ นาจแห่งความกระตกุ ของ เสน้ ประสาทแลว้ รอ้ งวา่ \"ทาํ ทาน!\" ดงั นนั้ บรรดาผู้ซ่งึ ห้อมล้อมตามเสด็จก็ชว่ ยกันลากโดย แรงไปให้พน้ เสียจากถนนพลางว่า \"พระราชโอรสเสดจ็ แลไม่เหน็ หรือ? จงกลับไปยังทอี่ ยู่ ของแกเสยี เถิด?\" แตพ่ ระสทิ ธัตถะทรงรับสัง่ ว่า \"ปลอ่ ยแกเสีย! ปล่อยแกเสีย! นายฉนั นะ นัน่ สตั ว์ โลกอะไรที่แม้นเหมือนมนุษย์ แตผ่ ิดกนั ก็เพยี งทีแ่ กมอี าการหลงั โกงแรน้ แค้น น่าอนาถและ มอี าการตืน่ กลวั มมี นษุ ย์ใดท่ีพอเกดิ กเ็ ป็นเช่นน้ีทเี ดียวหรือ? คาํ ทีแ่ กกลา่ ววา่ กระผม จะตาย ในวนั น้หี รอื พรงุ่ น้แี ล้วนั้นหมายความวา่ กระไร? แกคงไม่ไดป้ ระสพอาหารกระมัง กระดูกจึง แหลมๆ ออกมาดังนน้ั ? อกุศลกรรมอะไรหนอท่มี าพ้องพานสัตว์อนั เวทนาน้ี\"

ดงั น้นี ายสารถรี ถทรงจงึ ทลู สนองวา่ \"พระองค์ผู้ทรงคณุ ธรรม น่นั เปน็ แต่เพียง คนชราเท่าน้นั เมือ่ สกั ๘๐ ปีมานห้ี ลงั ของแกยังตรงอยู่ ตาก็ยงั สว่างและกายกย็ ังบริสทุ ธ์ิ บดั นี้อํานาจแหค่ วามมอี ายมุ ากไดท้ าํ ใหเ้ ลือดซึ่งหล่อเลย้ี งรา่ งกายของแกสน้ิ ไป และคร่า เอากําลังวังชาของแกสิน้ ไปและทําให้สติสมั ปชัญญะบกพร่องไปด้วย น้าํ มนั ตะเกยี งของแก ได้หมดเสียแล้ว ไส้เหย่ี วแห้ง สง่ิ ซ่งึ ยงั เหลือเป็นชวี ิตของแกอย่กู ็เพียงแต่แสงมวั สลัวๆ ซึง่ อันธการกอ่ นท่ีจะดบั ลงตามธรรมดาของผลท่ีสดุ แห่งอายุ พระองค์จะไปทรงใฝุพระทัย ทาํ ไม?\" พระราชโอรสจึงรับสั่งว่า \"คนอืน่ ๆ หรือคนทกุ คนย่อมเปน็ เช่นนน้ั เหมือนกนั หรือ นอ้ ยนักทจ่ี ะเปน็ แก่คนใดดุจยาจกคนนัน้ ?\" \"พระองค์ผทู้ รงปรชี าอนั สขุ ุม\" นายฉนั นะรีบทลู สนอง \"คนทกุ คนซึ่งปรากฏอย่นู ี้ตอ่ ไปต้องเป็นเหมอื นแกทั้งสนิ้ หากคนเหลา่ น้ีจะมชี ีวติ อยู่ นาน\" พระราชโอรสจงึ ตรัสถามว่า \"แต่ถ้าข้านม้ี ีชีวิตยนื นานเข้ากค็ งเปน็ เช่นนี้ดุจกัน และ หากว่ายโสธรามชี วี ติ อย่จู นกระทั่งถึง ๘๐ ปคี วามชราภาพก็กระทําให้เธอไดร้ ับผลที่สดุ เชน่ เดยี วกันอยา่ งนั้นหรอื ! ข้าไดเ้ หน็ สงิ่ ซ่ึงไมไ่ ด้นกึ ว่าจะได้เหน็ น้นั แล้ว\" โดยเหตทุ ีท่ รงรําพึงถงึ สิง่ ท่ไี ดท้ รงประจกั ษม์ าดงั น้ัน พระสิทธตั ถะซึ่งทรงมพี ระ อาการซึมเซาจงึ เสดจ็ เขา้ ส่พู ระราชสาํ นักอันงามวจิ ติ รของพระองคด์ ้วยพระอาการและ พระวรพกั ตรอ์ ันโศกเศร้า และพระองคไ์ ม่เสวยขนมขาว (ขนมหมิ ะแหง่ หมิ าลยั หรือไอสครีม) และ ผลไมซ้ ึ่งใชเ้ ปน็ พระกระยาหารเวลาเย็น และพระองค์ไมท่ รงโปรดเหลือบแลดนู างละครตัว ทีง่ ามเย่ียมๆ แหง่ พระราชวงั ซ่งึ พยายามทําให้พระองคท์ รงกระสนั พระองคไ์ มท่ รงเผยพระ โอษฐ์ หากว่าไม่ใช่สําหรบั มรี บั ส่ังอนั ละหอ้ ยละเห่ียกบั พระนางยโสธราผรู้ นั ทดสลดพระทัย กราบลงยังเบอื้ งบาทยุคลวิงวอนทูลถามวา่ \"พระองค์ไม่มคี วามสุขในข้าพระองค์นี้หรอื ?\" \"โอ! แม่เทพผี สู้ ุดสวาท\" พระองคต์ รัส \"ความสุขสาํ ราญเชน่ น้นั เป็นความสขุ ซ่ึงดวงวิญญาณของฉันได้รบั ความทรมาน เมอ่ื นกึ เหน็ วา่ จะหมดสิ้น และเราทัง้ สองตา่ งก็จะตอ้ งถงึ ความชราภาพ ยโสธราเอ๋ย แลว้ ก็ สนิ้ ตัณหากลบั กลายเปน็ น่าเกลยี ด ออ่ นแอ และหลังโกงลงไป จริงทเี ดยี วถึงแมว้ ่าริมโอษฐ์ ของเราได้รว่ มประสานซึ่งกันและกัน และความปฏพิ ัทธข์ องเรารว่ มกันอยา่ งสนทิ ย่งิ ซ่ึง ประหนง่ึ วา่ ลมหายใจของเราแทบจะระคนกนั อยทู่ ุกคนื วนั กาลเวลาก็ยอ่ มเขยื้อนเคลอื่ นไป ในระหว่างเรา สาํ หรับชว่ งชงิ เอาราคะ ตณั หาของฉันและความปรานขี องเธอไปด้วย เหมอื น ราตรีกาลอนั ดํามืดมาลบล้างรศั มกี ุหลาบซึ่งส่องสวา่ งเหนอื ภูเขาเหล่านนั้ โดยค่อยๆ กําบงั ด้วยฉากแหง่ ความขมกุ ขมวั นแ่ี หละสง่ิ ซ่ึงฉนั ได้คน้ พบ และดวงใจของฉันทั้งมวลกท็ บั ถม ไปดว้ ยความหวาดหวัน่ โดยความอนั รําพึงอนั น้ี และดวงใจของฉนั ทัง้ มวลกค็ ดิ ถึงแตส่ ง่ิ ทีจ่ ะ ปูองกนั ความรักให้พน้ จากความพ้องพานของกาลเวลาท่จี ะมาพิฆาตซ่งึ ความชราภาพ ใหแ้ กม่ นษุ ย์\" เมอื่ ดงั น้แี ล้วพระสิทธตั ถะกป็ ระทบั นง่ิ อยู่ตลอดราตรีโดยไม่สามารถทีจ่ ะบรรทม ให้หลบั และทรงระงบั ความกระวนกระวายลงได้ อนง่ึ ในระหวา่ งราตรกี าลนน้ั ฝุายพระเจา้ สทุ โธทนะกท็ รงถูกรบเรา้ ด้วยพระสุบิน อันทาํ ให้ป๎่นปุวนพระทัย ขอ้ แรกพระองคท์ รงนิมิตเห็นธงชกั ขน้ึ เปน็ สงา่ ผา่ เผยธงหนง่ึ ซึ่งพระอาทิตย์แจม่ จรสั เป็นสที อง คอื รัศมขี องพรอนิ ทร์ฉายมา แต่ภายหลังก็มีลมพัดมาจนธงอันศกั ดสิ์ ิทธนิ์ ัน้ ขาดเปน็ ช้ินๆ แล้วก็โบกพัดใหต้ กลงในธลุ ี ต่อมากม็ เี ทวดาเหาะลงมาเก็บธงที่เปน็ อันตราย นนั้ ข้นึ แล้วกน็ ํามาวางทท่ี ศิ ตะวนั ออกแหง่ ทวารของพระราชธานี

คร้นั แลว้ พระสบุ นิ ขอ้ ที่ ๒ ว่า พระองคท์ อดพระเนตรเห็นคชสาร ๑๐ เชือก งาเป็น เงินซงึ่ ทําใหพ้ ืน้ ธรณสี นน่ั ด้วยการดาํ เนินอนั หนกั ช้างเหล่านั้นเดินมาจากทางทศิ ใต้ ผซู้ ึ่งข่ี อย่เู หนอื คอคชสารตวั ทหี่ น่งึ เปน็ พระราชโอรสของพระองค์ ตวั อนื่ ๆ เดินตามหลงั พระสบุ ินข้อท่ี ๓ ว่ามรี ถอันแพรวพราวดว้ ยรัศมอี ันรุง่ โรจนเ์ ทียมด้วยพาชี ๔ ตัว ซึ่งพน่ ควันขาวออกมาจากจมูก และเคยี้ วฟองซึง่ เปน็ ไฟ พระสิทธตั ถะประทับอยู่เหนือพระ ราชรถนน้ั พระสุบินข้อที่ ๔ ว่า มลี ้อซึง่ หมนุ หมุนมิไดห้ ยดุ ดุมเปน็ ทองสลบั ด้วยรศั มีแหง่ มณรี ตั น์ซึง่ ประดบั ไว้ และมีสิ่งแปลกประหลาดท่ีเขยี นไว้ ณ กรอบลูกลอ้ และลอ้ อนั นี้ ขณะท่ีกาํ ลังหมุนอยกู่ ป็ ระหน่งึ ว่าเกดิ เปน็ ไฟและดนตรี พระสุบินขอ้ ที่ ๕ ว่า มีกลองอันมหมึ าตงั้ อยูก่ ลางทางในระหว่างพระราชธานีกบั ภเู ขาซงึ่ พระราชโอรสทรงตดี ้วยทอ่ นเหลก็ จนมีเสยี งสนน่ั เหมอื นความระเบดิ แหง่ ฟาู ร้อง เสียงก้องกระหม่ึ ไปสู่ระยะไกลในเวหาและทว่ี า่ งเวงิ้ พระสุบนิ ข้อท่ี ๖ ว่ามหี อคอยซงึ่ สูงข้ึน สงู ขนึ้ เสมอจนแลเหน็ ไดท้ ว่ั ทัง้ พระราช ธานี จนกระทง่ั ยอดอันสูงตระหง่านประหนึง่ ว่าหอ่ หุ้มดว้ ยกอ้ นเมฆ และบนยอดหอคอยน้นั พระราชโอรสประทบั อยู่ พลางหวา่ นพรรณอันร่งุ โรจน์เต็มๆ พระหัตถไ์ ปทว่ั ทศิ านทุ ศิ ดงั น้ี จนเสมือนหนึ่งว่าเปน็ พระพิรุณบุปผชาติ (ตามตน้ ฉบบั เรยี กว่าดอกยาซิงท์ เป็นดอกไม้ท่ียงั ไมม่ ีช่ือใน ภาษาไทย ภาษาอังกฤษเรยี กไฮซนิ ท์ (Hyacinth) ต้นและใบคลา้ ยตน้ ซ่อนกล่ิน แต่ขนาดต่ํากว่า มดี อกสี ขาว) และพลอยทบั ทมิ และปวงชนทงั้ หลายกม็ าเบียดเสยี ดกนั เพ่ือเกบ็ ทรัพย์อนั มีค่าซึง่ ตก ลงมาทุกหนทกุ แห่งน้ี และเหตกุ ารณ์ในพระสุบนิ ลาํ ดับท่ี ๗ ของพระองค์คือ ได้ยินออื้ อึงไปดว้ ยศพั ท์ สําเนยี งเสียงครวญคราง และทอดพระเนตรเหน็ คน ๖ คน รอ้ งไห้ และกัดฟ๎นกับเอามอื ปดิ ปาก โศกเศรา้ ดว้ ยความสน้ิ หวงั น่แี หละคอื พระสบุ นิ ทั้ง ๗ ขอ้ อันนา่ หวาดหวัน่ ซงึ่ พระองคท์ รงนิมติ แตจ่ ะได้มี โหราฉลาดคนใดกลา้ ทํานายถวายได้น้ันกห็ าไม่ เพราะฉะนน้ั พระราชาผู้ทรงเรา่ รอ้ นใน พระทัยจึงทรงเปล่งพระอทุ านวา่ \"คงมที ุกข์อะไรมาพ้องพานวังของเราแน่แลว้ และใน บรรดาพวกทา่ นเหล่านี้ ไม่มีใครเลยจนคนเดียวท่มี คี วามรูล้ กึ ซง้ึ พอทีจ่ ะชว่ ยพิเคราะหด์ ใู ห้รู้ สงิ่ ซ่งึ เหล่าเทพเจา้ ผทู้ รงอานภุ าพทัง้ หลายมานิมิตใหป้ รากฏแกเ่ ราโดยทางสุบินทงั้ สนิ้ นี้ เลย\" เมื่อเป็นดังน้ีพระราชธานีก็มีแต่โศกเศรา้ เหตทุ ่พี ระราชาทรงพระสุบนิ อันรา้ ยซงึ่ ไมม่ ผี ู้ใดสามารถทาํ นายถวายได้ แตท่ นี ้กี ็ มีชายชราคนหนง่ึ น่งุ หนังสตั ว์ ประหนึง่ วา่ ฤษีซ่งึ ไม่มผี ้ใู ดรู้จักมาทีห่ น้าพระทวารและรอ้ งว่า \"จงพาเราไปเฝูาพระราชา เพราะเราอาจสามารถทาํ นายพระสบุ ินนิมติ ของพระองคไ์ ด้\" ครน้ั เมื่อฤษีรูปนั้นไดเ้ ข้าไปเฝาู ฟ๎งรบั ส่ังในเรอ่ื งพระสบุ ินอนั อศั จรรยท์ ั้ง ๗ ข้อน้นั แล้ว ก็นอ้ มกายลงด้วยความเคารพและทูลวา่ \"โอ มหาราช! ข้าพเจ้าขอเคารพพระราช ตระกูลซ่งึ จะได้ประสพสวัสดิโชคซงึ่ จะมีรัศมอี รา่ มเรอื งยงิ่ กว่าดวงพระอาทิตย์! ขอพระองค์ ได้ทรงทราบเถดิ ว่า พระสบุ ินอันทาํ ให้พระองคท์ รงหวาดหวนั่ น้ีเป็นพระสุบินซง่ึ ล้วนแตเ่ ปน็ มงคลท้ังสิน้ ทีจ่ รงิ อนั วา่ ธงซึง่ ปลวิ ไสว สง่าผา่ เผย เปน็ เครือ่ งหมายแสดงว่าเป็นพระอนิ ทร์ ท่ี

ทอดพระเนตรเหน็ วา่ ธงน้ันขาดและปลิวลงมานั้น หมายความถึงวาระที่สุดแหง่ ความเชื่อถือ ลัทธิประเพณเี ก่า และจกั เผดิมเริ่มมลี ทั ธปิ ระเพณใี หม่ เพราะเทพเจา้ ท้ังหลายย่อมไม่ เปลย่ี นแปลงนอ้ ยไปกว่ามนษุ ยโลก และกัลปห์ ลายกลั ปย์ อ่ มผา่ นพน้ มาดจุ เดยี วกันกับทิวา ราตรีทลี่ ่วงไปส้นิ ไป คชสารทั้ง ๑๐ ทําใหพ้ ้ืนธรณีสน่นั น้นั หมายความวา่ มหาบารมีแห่งธรรมวิเศษทงั้ ๑๐ ซง่ึ โดยอํานาจแหง่ ธรรมวเิ ศษทัง้ ๑๐ น้ี พระราชโอรสจะสละพระราชธานขี องพระองค์ และทรงทําให้โลกสนั่นหวั่นไหวโดยทรงนาํ ใหโ้ ลกได้บรรลุถึงซง่ึ การรูจ้ ักผลแห่งความ เที่ยงแท้ อัศดรทงั้ ๔ ทเี่ ทียมรถพน่ ลมหายใจออกมาเป็นไฟกค็ ือบญุ ญาธกิ ารอนั เชย่ี วชาญ คอื อรยิ สัจจะท้ัง ๔ ซง่ึ นําพาให้พระราชโอรสของพระองคพ์ ้นจากความกังขา และความมืด ไปสแู่ สงสวา่ งแห่งบุญบารมี ล้อซง่ึ หมนุ ดว้ ยกาํ กงสวุ รรณประดบั ด้วยจนิ ดาและกดุ น่ั เปน็ ลอ้ วเิ ศษยง่ิ แหง่ พระวนิ ัยอันบริสทุ ธซิ์ ึ่งจะหมนุ ใหป้ ระจักษแ์ กโ่ ลกทัง้ มวล กลองซึ่งพระราชโอรสตีจนเสียงดังสน่นั ไปทวั่ ทุกประเทศ หมายความวา่ ความ ก้องกังวานดุจฟูาร้องแหง่ พระธรรมโอวาทซึง่ พระราชโอรสจะทรงสง่ั สอน หอคอยซงึ่ สงู จนกระทัง่ จดฟาู แปลว่าความเยย่ี มแห่งพระคมั ภรี ์ของพระพทุ ธเจา้ และเครอ่ื งเพชรพลอย ซ่งึ โปรยลงมาจากหอคอยนนั้ คอื สมบตั ิอนั เกนิ คา่ แหง่ พระธรรมวนิ ยั นี้ ซง่ึ เป็นที่รกั ของปวง เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย และทกุ ๆ คนก็ต้องการ น่แี หละเปน็ คาํ ทาํ นายเรอ่ื งหอคอยน้นั สว่ นคน ๖ คนซ่งึ ครวญครางพลางปิดปากคือศาสดาจารยต์ วั สาํ คญั ทง้ั ๖ ซ่ึงพระ ราชโอรสจะทรงกระทําให้รู้สํานึกตวั ในความเหลวไหลของเขาโดยพระบารมีแหง่ ความ เทีย่ งธรรม และพระธรรมเทศนาซ่งึ ไมม่ ีขอ้ เถียงได้ \"โอ! พระราชา พระองค์จงสําราญ พระทัยเถิด พระคณุ สมบตั ิของพระราชโอรสมีค่าเกินกว่าพระราชอาณาจกั รทงั้ หมด ผ้า (สบง จีวร) ขาดกะร่งุ กะริ่งของฤษี (พระ) มคี า่ ย่งิ กว่าผา้ ซง่ึ ทอด้วยทองคาํ พระสบุ ินนิมติ ของพระองคแ์ ปลความได้ดังนแ้ี ล และภายใน ๗ ทวิ า และใน ๗ ราตรี สิง่ ท้งั ปวงนม้ี าอุบัติ ข้นึ \" เมอื่ บุรุษนักบุญพดู แล้วก็กราบลงอย่างตาํ่ ๘ ครัง้ พลางแตะพืน้ ธรณี ๓ คร้ัง กลับหลัง หันแล้วก็ออกไป แตเ่ ม่อื พระราชาทรงโปรดให้หาตวั เพอื่ พระราชทานสิ่งของอันมีคา่ ผู้รับ พระราชโองการกลับมาทลู ว่า \"ขา้ พระองคต์ ามไปจนกระทงั่ ถงึ วิหารจนั ทราซึง่ เห็นเธอเขา้ ไป แต่เมอื่ ไปถงึ ในนนั้ ก็เหน็ มีแตน่ กฮกู สเี ทาตวั หนึง่ บินไปจากแท่น บางคร้งั เทพเจา้ ก็ จาํ แลงตวั มาเช่นนั้นแหละ\" พระราชาผทู้ รงเศร้าพระทยั เม่ือทรงทราบคาํ ทํานายฝ๎นน้นั แล้วกต็ กพระทัย และ ทรงโปรดใหจ้ ดั การแวดล้อมพระสิทธัตถะโดยความบนั ทงิ รา่ เรงิ ใหม่ เพื่อเหนี่ยวร้งั พระทัย ใหห้ มกมุน่ ในพระราชสถานอันเกษมสันต์ นอกจากนี้ยงั ทรงโปรดให้ทวกี องรักษาพระทวาร ขึ้นอีกดว้ ย แตใ่ ครเลา่ อาจสามารถท่จี ะห้ามมใิ ห้เป็นไปตามโชคชะตาได?้ อันท่ีจริงพระราชโอรสกม็ ปี ระสงคจ์ ะทอดพระเนตรทวยชนและความเปน็ ไปของ ชีวติ มนษุ ย์อีก ซึ่งคงจะเป็นส่ิงทีน่ า่ ดูนา่ ชม หากว่าความเปน็ ไปของมนษุ ยเ์ หล่านนั้ ไมไ่ ปสู่ ความวิบาก คือความมรณะอันเป็นท่ีสุดของเวลา \"ขอพระองคจ์ งทรงพระกรณุ าเถดิ จงไดโ้ ปรดใหข้ ้าพระองคอ์ อกชมดูธานีของเรา ตามสภาพเปน็ อย่างธรรมดา\" พระราชโอรสทลู แก่พระเจ้าสุทโธทนะ \"ครง้ั กอ่ นน้นั โดยพระ มหากรณุ าธิคุณของพระองค์ พระองค์ไดท้ รงห้ามมิให้สตั ว์โลกซ่งึ ทรมานและสภาพอันเปน็ อย่างธรรมดาได้ปรากฏ แต่ให้ทุกๆ คนและสภาพทุกอยา่ งแสดงอาการร่าเรงิ เพื่อใหเ้ ปน็ ที่ สาํ ราญแก่ขา้ พระองค์ กบั ทั้งทกุ ถนนหนทางให้มีแตค่ วามสนกุ ครึกคร้ืน ถึงกระน้นั ขา้ พระองคก์ ็ทรงทราบเกล้าแล้วว่า สิ่งท้ังหลายเหลา่ น้นั หาใชเ่ ปน็ ไปโดยความเปน็ ไปซึ่งมีอยู่

ทกุ วันไม่ และโดยเหตุทข่ี า้ พระองคเ์ ปน็ ผูท้ ใี่ กลช้ ิดกบั พระองคแ์ ละราชอาณาจกั รยิ่งกวา่ ใครๆ ขา้ พระองคจ์ ะใคร่อยากรจู้ ักอาณาประชาราษฎรและถนนหนทางตามสภาพธรรมดา ของสภาพท้งั หลายทั้งปวงเหลา่ น้ัน กิจการงานอนั เปน็ ธรรมดาอยทู่ กุ วนั และอาชพี ซ่ึง ประกอบโดยทวยชนทงั้ หลายที่ไมใ่ ช่เป็นพระราชา พระองคผ์ ้ทู รงพระคุณธรรมอันประเสรฐิ จงทรงอนุญาตให้ขา้ พระองค์ออกไปจากพระราชอทุ ยานอันสําราญของขา้ พระองคโ์ ดย ไมใ่ หม้ กี ติ ตศิ พั ท์ ข้าพระองคจ์ ะกลบั มาพรอ้ มดว้ ยความปราโมทย์ สคู่ วามร่มรน่ื แห่งอุทยาน หรือหากไมป่ ราโมทยย์ ินดกี ค็ งไดค้ วามร้มู าสู่ตนด้วย จงไดโ้ ปรดให้ขา้ พระองคอ์ อกไปสู่ ถนนตา่ งๆ พรงุ่ น้แี ตโ่ ดยลําพังของขา้ พระองคก์ ับคนใชเ้ ถดิ \" เมอ่ื พระราชโอรสได้กราบทลู ดงั น้นั แล้ว พระราชาจงึ ตรสั ในท่ามกลางเสนามุข มนตรขี องพระองคว์ า่ \"บางทกี ารออกไปคราวน้อี าจแกค้ วามรู้สกึ แหง่ การท่ีออกไปคราว ก่อนนีไ้ ด้ เห็นไหม น่แี หละคือเหยย่ี วซ่งึ ใฝฝุ น๎ ดว้ ยสิ่งทงั้ หลายทตี่ นเห็น ภายหลังที่ไดห้ ลง แลว้ ในเสนห่ ์ จงปล่อยใหล้ กู เราได้เหน็ ทุกส่งิ ทุกสงิ่ ทุกอยา่ ง แล้วจงนําขา่ วแห่งลกั ษณะ อาการความรสู้ กึ ของเขามาแจง้ แกเ่ ราด้วย\" ฉะนน้ั พอร่งุ ขึ้น ราวเที่ยงวัน พระราชโอรสกบั นายฉันนะกอ็ อกไปจากประตซู ่งึ เปดิ ออก เมอื่ คนยามไดเ้ หน็ พระราชลัญจกร แตผ่ ู้ซงึ่ เปดิ ประตูน้นั หาได้รวู้ า่ ผู้ทีแ่ ต่งกายเป็น นายพาณชิ ออกจากประตไู ปนนั้ เปน็ พระราชโอรสไม่ ทัง้ นายสารถีเลา่ ก็แต่งกายปลอม เหมือนคนธรรมดา เจ้ากับนายสารถที ั้งสองคนเดนิ ไปตามทางหลวง ปนเปไปกับหมศู่ ากิยะ ทัง้ ปวง พลางทอดพระเนตรเห็นส่ิงทสี่ นกุ และสง่ิ ท่ีทุกข์ทงั้ ปวงในพระนคร บรรดาถนนอนั งามท้ังปวงกป็ รากฏแตส่ รรพสําเนยี งเสียงระเบงเซง็ แซ่ของทวยชนซึ่งประกอบอาชีพอยู่ อยา่ งนิจนิรนั ดร์ พวกพอ่ คา้ นง่ั ยองๆ อย่ใู นทา่ มกลางแหง่ เครื่องเทศและเมล็ดพนั ธต์ุ ่างๆ พวกผู้ ซือ้ กม็ ีเงนิ อยใู่ นไถ้ของตนไว้ซือ้ ของบ้าง กเ็ ถยี งกนั ในเร่อื งซ้ือขาย บ้างกร็ ้องบอกใหห้ ลีก ทาง หลีกท่ีมีทงั้ เกวยี นทม่ี ลี อ้ เปน็ หินหนกั ลากด้วยโคแข็งแรง ก้าวอย่างช้าๆ และบรรทุก ของทหี่ นกั มคี นหามแครซ่ ึ่งร้องเพลง พวกกุลขี นของมคี อกว้างกาํ ยาํ โซมไปด้วยเหงอื่ เพราะตากแดด หญงิ แมเ่ รอื น ทนู ศีรษะด้วยหมอ้ ดนิ หรือทองเหลืองใสน่ ้ําซ่งึ ตกั มาจากบอ่ ทั้งอุม้ ลกู ตาดาํ ๆ ทส่ี ะเอวของ ตนด้วย รา้ นจําหนา่ ยตังเมลูกกวาดกม็ ีแมลงวนั ตอมเตม็ อยู่ ชา่ งทอผา้ กท็ ํางานของตนโดยเคาะกระสวย ลกู โมก่ ําลังหมุนเพอื่ บดขา้ วสาลี สนุ ัขกว็ ิง่ พลา่ นไปเพ่ือเทยี่ วหาเศษอาหาร ชา่ งทําอาวธุ กาํ ลงั ทาํ เส้ือเกราะด้วยปากคบี และ ค้อน ช่างเหลก็ ก็กาํ ลงั เผาจอบและหอกใหแ้ ดงอยูใ่ นเตา ณ โรงเรยี นเหล่าดรณุ ศากิยะซง่ึ เปน็ ศิษยก์ ็น่ังอย่โู ดยรอบครขู องตนพลางบา้ งอา่ นมนต์ บ้างศกึ ษาตาํ นานพระผเู้ ปน็ เจา้ และ เจ้าท้ังหลาย พวกย้อมผา้ ตากผา้ สีสม้ สกี ุหลาบ หรอื สีใบไม้ ซง่ึ พ่ึงเอาขน้ึ จากถังกาํ ลงั เปียกๆ มที หารซงึ่ กําลงั เดินมเี สียงดาบกระทบกบั โล่ ควาญอูฐนัง่ โคลงเคลงอยเู่ หนอื โหนก ของอฐู ทรงประจักษท์ ง้ั พราหมณ์ (ตามกฎของพระมนแู บง่ พลเมืองอนิ เดียเปน็ ๔ ประเภทคอื ๑. พราหมณ์ คอื พวกปฏิบตั ิกิจ ๒. กษัตรยิ ์ คือนักรบท่ีเป็นพระราชา ๓. ไวศย คือพวกพ่อค้าพานชิ และพวกทํา

การเพาะปลูก ๔. ศทู ร คอื พวกกรรมกร ท้งั ๔ ประเภทนแ้ี ยกตามกําเนิดในตระกูลของบุคคล) ผมู้ ีธรรม ขตั ติยะนกั รบซ่งึ สง่าองอาจ ชนสามัญคือกรรมกร ณ ทแี่ หง่ หนึ่ง มีคนหมูเ่ บียดเสยี ดยดั เยียดกนั เพอ่ื ดหู มองซู ง่ึ พูดพลางกเ็ อางพู นั แขนตนอย่างเครือ่ งประดับอนั มชี วี ติ หรอื มฉิ ะน้ัน ก็บงั คบั ให้อสรพิษตวั ร้ายนนั้ ราํ พลางชคู อแผ่แม่เบย้ี ทาํ ท่าตามจงั หวะกลองซึ่งประดบั ด้วย เศษแก้วต่างๆ บางแหง่ กม็ ีขบวนแหแ่ ละแตรงอน มมี ้าประดับเคร่ืองอนั หรูหราและกลดแพรเพื่อ แห่เจา้ สาวไปสู่เรือนหอ บางแหง่ ก็มีสตรถี วายขนมและพวงมาลยั แก่พระเจา้ เพื่อบนบานให้ สามขี องตนกลบั จากการเดินทาง หรือมฉิ ะน้ันกข็ อให้ได้บุตรสักคนหนง่ึ ไกลออกไปอีกมชี ่างทาํ ภาชนะกายดาํ ๆ ตีทองแดงดงั ลั่นเพอื่ ทําตะเกยี งและหม้อ พน้ จากทน่ี ้ันมา พระโอรสกับนายฉันนะเดนิ เลียบมาตามกําแพงโบสถแ์ ละใกล้ประตูใหญ่ แล้วกบ็ รรลุถึงแม่น้ําและสะพานซงึ่ อยู่ใตก้ าํ แพงพระราชธานี แตพ่ อเสด็จข้ามสะพานพ้นมา ทนั ใดน้นั กม็ เี สยี งครวญครางปรากฏขนึ้ ทีร่ ิมถนน พราํ่ ว่า \"พระคุณเจ้าขา จงช่วยขา้ พเจา้ ด้วยเถิด จงชว่ ยพยุงขา้ พเจ้าดว้ ย โอ! ช่วยข้าพเจา้ ด้วย มฉิ ะนนั้ ข้าพเจา้ เห็นจะตายกอ่ นถึงบา้ น\" ผนู้ ้ีคอื ผูต้ กยากเข็ญใจรอ้ งครวญครางเพราะเป็นไขท้ รพษิ ซง่ึ ร้ายกาจถงึ ตาย และ กําลงั ด้นิ รนอยกู่ บั ธลุ ี เต็มไปด้วยน้ําหนองและเลอื ดสแี ดงสดๆ เสโทอันเย็นไหลออกตาม หนา้ ผากเป็นเม็ดๆ ปากก็สนั่ รวั ไปด้วยความเจ็บปวด สว่ นตาอนั เหลอื กลานก็ตกอยใู่ นความ ทรมานแหง่ ยมทตู ใหด้ ้นิ รน กระวนกระวาย มือดงึ ต้นหญา้ ซึง่ มีอยู่ตามทางเพอื่ ลุกข้ึน เมอ่ื เผยอศรี ษะข้นึ แล้วก็ลม้ ลงไปอกี พลางสน่ั เทม้ิ ไปทัว่ สรรพางค์กาย พรอ้ มดว้ ยร้องอย่างเอน็ จอนาถว่า \"อา! ปวดเหลือเกนิ ! ทา่ นผ้มู ใี จกรุณาได้โปรดชว่ ยด้วย\" ในทนั ใดนนั้ พระสทิ ธตั ถะก็วิง่ ไปประคองผูต้ กทกุ ข์คนนน้ั ข้นึ ด้วยพระหัตถ์อนั ปรานี พลางค่อยๆ วางศีรษะคนเจ็บนนั้ บนพระชุ ทรงลบู คลําเพือ่ ให้บรรเทาความเจบ็ ลง แล้วจงึ ตรัสถามว่า \"พ่ี! ความทรมานของพค่ี อื อะไร? ทกุ ขอ์ ะไรได้มาพอ้ งพานพ?ี่ ทําไมจึง ลุกไมไ่ หว ทาํ ไมนายฉนั นะ พ่คี นน้แี กจงึ หอบและครวญคราง พูดไม่ออก แสดงอาการอย่าง นา่ อนาถใจดงั นี้?\" นายสารถกี ราบทูลวา่ \"คนน้ีแหละ เปน็ คนไข้ทรพษิ ชนดิ หนง่ึ ธาตุทงั้ ปวงกาํ ลังจะ ดบั โลหติ อนั เป็นประโยชนส์ ําหรบั ไหลฉดี ไปตามเส้นต่างๆ เพือ่ เล้ยี งรา่ งกายของแกนน้ั บดั นีไ้ ดป้ น่๎ ปุวนและเดือดดาลเหมอื นหว้ งเพลงิ หวั ใจทเ่ี คยเต้นสมาํ่ เสมอเป็นปกติ บัดน้บี าง ทกี ็เต้นเรว็ บางทกี เ็ ต้นชา้ เหมือนกลองซึง่ มคี นตีโดยปราศจากจังหวะ กล้ามเนือ้ ทกุ สว่ นชืด ชาเหมอื นสายธนูทห่ี ยอ่ น กาํ ลงั วงั ชาไดส้ ิน้ ไปจากนอ่ งเอวและคอของแกเสียแล้ว อันความ สง่าและความรน่ื เริงของแกตามธรรมดาของมนษุ ย์ท้ังมวลก็ไดห้ นหี า่ งจากไปแลว้ นี่เรียกวา่ คนเจ็บ และเดย๋ี วนีโ้ รคกําลงั กาํ เรบิ พระองคด์ ูเถดิ น้นั แกช่วยตัวของแกเอง เพ่ือหมายถอนพิษความเจ็บปวดของแก ออก ดูแกกล้งิ เกลอื กเสอื กไส มดี วงตาคลอหลอ่ ไปด้วยเลือด ลมหายใจของแกกป็ ระหน่งึ ว่าถกู รมควนั ใหส้ าํ ลกั ดเู ถดิ ! แกคงอยากจะตายๆ ไปเสีย แตแ่ กกไ็ ม่ตายกอ่ นทโ่ี รคของแก ได้กระทําใหแ้ กท่ รมานจนถึงขนาดแลว้ โดยพิฆาตฆ่าบรรดาเสน้ ประสาททง้ั ปวงซึ่งตาย กอ่ นชีวิต และเมื่อบรรดากล้ามเนือ้ ท้ังปวงสลายลงดว้ ยอํานาจของตรีโทษ กบั เมอื่ อวัยวะ ทง้ั ปวงส้นิ ความรู้สึกในความเจบ็ ปวด โรคจะพรากไปจากแกแล้วกไ็ ปผลาญทีอ่ ่ืนอีกต่อไป โอ! พระองค์ เปน็ การมิบงั ควรเลยทีจ่ ะมาประคองแกไวด้ ังนี้ โรคนีอ้ าจเป็นโรคตดิ ต่อและ อาจติดถงึ พระองค์ได้\"

แตพ่ ระราชโอรสตรสั พลางชว่ ยบรรเทาความเจบ็ ปวดของเจ้าคนน้ันตอ่ ไป \"มเี ป็น แต่แกคนน้คี นเดียว หรอื มมี ากหลายด้วยกันทเ่ี ป็นเช่นน?ี้ แลตัวฉันเองอาจเปน็ เชน่ นี้ได้ เหมือนกันหรือ?\" \"พระเจ้าข้า\" นายสารถีทูลสนอง \"ความเจบ็ ปวดย่อมเป็นแก่ทุกคนโดยมีลกั ษณะ ต่างๆ มากมาย ความปวุ ยไขแ้ ละความเจบ็ พยาธิ ขีก้ ลาก โรคอมั พาต ขเ้ี รื้อน โรคบดิ ลง ท้องและโรคฝตี า่ งๆ ย่อมจกั เป็นแกส่ รรพสตั วท์ ่ีเกดิ มาในโลกทุกอยา่ งและลามไปได้ทัว่ ทุก แห่ง\" \"ก็โรคทั้งปวงจะจับใครๆ โดยไม่สามารถจะแลเหน็ มนั ไดอ้ ยา่ งนน้ั หรอื ?\" พระราช โอรสทรงถามและนายฉันนะทลู ตอบว่า \"มนั มาเหมือนอสรพิษร้ายซึ่งขบกดั โดยไม่ใหเ้ ห็น ตวั มนั เหมอื นพยัคฆร์ า้ ยซงึ่ แอบแฝงอยู่ในพ่มุ ตน้ หนามพรหม (Karounda ตรงกบั ภาษาละติน Garissa Carandas = ต้นหนามพรหม) ใกล้ๆ ทางแหง่ ปุาใหญ่สําหรบั จอ้ งคอยเวลาอนั เหมาะแก่ การท่จี ะกระโดดตะครบุ หรือเหมือนอสนุ ีบาตซึ่งพิฆาตแตบ่ างคน และไมพ่ ิฆาตบางคน สดุ แต่โชคชะตาอยูเ่ ร่อื ยไป\" \"กถ็ ้าเชน่ นนั้ มนษุ ยท์ กุ คนกด็ าํ รงชพี อยู่ด้วยความหวาดเสยี วอย่างน้นั หรือ?\" \"มนษุ ย์ดาํ รงชีพอยู่อย่างนนั้ แหละ พระเจ้าข้า\" \"เออ! ก็ไม่มีใครเลยท่จี ะรองรบั ได้ว่า คนื นนั้ ฉนั นอนสบายและเป็นสุขเม่ือตนื่ ข้นึ แลว้ ก็จะสบายแลเป็นสขุ เหมือนกัน ดังน้ใี ช่ไหม?\" \"ไม่มีใครรับรองได้เลยพระเจา้ ขา้ \" \"และที่สุดของความทรมานทั้งหลายเหลา่ นี้ ซงึ่ เมอื่ จะมาพ้องพานกโ็ ดยมิทันให้เหน็ ใหร้ ูต้ วั และมีผลเชน่ ว่า ให้กายคดงอ วิญญาณ ทพุ พลภาพ แลว้ ก็แก่ชราลง ดงั นน้ั หรือ?\" \"อยา่ งนน้ั แหละ พระเจ้าขา้ ถา้ หากใครมีชีวิตยืนนาน\" \"ก็หากวา่ เราไมส่ ามารถ ทนทานอาํ นาจแหง่ พิษของมันได้ และหากเราไมอ่ ยากทนมัน และอยากใหม้ นั หมดไป หรอื หากเราตอ้ งทนแล้ว หรอื หากเราเป็นเชน่ นจ้ี นอ่อนแอและรแู้ ต่ครวญครางอยา่ งเดียว แตเ่ รายังมีชวี ิตอยอู่ ีก แล้วก็ชราลง ชราลงทุกๆ ทดี งั นี้จะมีทส่ี นิ้ สดุ อยา่ งไร?\" \"ก็ตายเท่านัน้ แหละ พระเจ้าขา้ \" \"คนเราตายด้วยหรอื ?\" \"ถกู แลว้ พระเจา้ ขา้ ในทสี่ ดุ กถ็ ึงซ่งึ ความตายโดยไมเ่ ลือกวา่ ณ ทีใ่ ด ในเวลา ไหน คนบางคนท่ีแก่ลง บางคนตอ้ งทรมานและลม้ เจบ็ ลง แตท่ กุ ๆ คนจะตอ้ งตาย จง ทอดพระเนตรเถดิ น่นั แหละความตายท่ีผ่านไป\" ดังนนั้ พระสทิ ธตั ถะเงยพระพกั ตร์ข้นึ แล้วก็ทอดพระเนตรเห็นกระบวนแห่กระบวน หน่ึงซึง่ มีคนรอ้ งไห้เดินเปน็ แถวอยา่ งชา้ ๆ ทางขา้ งลาํ แมน่ ํา้ ขา้ งหน้ากระบวนมคี นแกว่ง หม้อดนิ ซึง่ เต็มไปดว้ ยถ่านไฟ ข้างหลังมพี วกญาตเิ ดินตาม ศีรษะโกนเกล้ียง แตง่ กายเตม็ ไปด้วยเครือ่ งไวท้ กุ ข์ เสือ้ ผา้ ไมส่ มประกอบและร้องด้วยเสยี งอันดังวา่ \"โอ! รามา รามา โปรดฟ๎ง! พนี่ อ้ งท้งั หลายของฉัน จงชว่ ยกันอ้อนวอนรามา\" ถดั จากนน้ั กม็ ที ี่ใส่ศพทําด้วย ไมร้ วก ๔ อนั และสานดว้ ยไมไ้ ผ่ แลว้ วางศพอันปราศจากความรู้สึกในจักษปุ ระสาท สีขา้ ง ทง้ั สองโบ๋ แยกเขีย้ วยงิ ฟน๎ ไวบ้ นนนั้ แลโรยเต็มไปดว้ ยผงแดงๆ และเหลือง พอถึง ๔ แยก พวกคนหามกห็ ันเอาหวั ศพไปไวข้ ้างหน้า แลว้ รอ้ งว่า \"รามา! รามา!\" คร้ันแลว้ กน็ าํ ศพไปท่รี ิมตล่ิงซึ่งมีกองฟืนต้ังอยู่และจัด นําศพไปวางบนท่รี ับศพแลว้ นั้นกเ็ อาฟืนทบั ลงอกี ผ้ใู ดทน่ี อนเหนือท่นี อนเชน่ น้ียอ่ มนอน หลับสนทิ อย่างลึกซึ้ง ความหนาวไม่ทาํ ใหเ้ ขาตื่นไดเ้ ลย แม้ถูกเขาตัง้ เปลอื ยๆ อยกู่ ลางลม จดั ดงั นี้กด็ ี คร้ันแลว้ ตา่ งกพ็ ากนั จดุ ไฟทม่ี มุ ทั้ง ๔ ด้าน ไฟซ่งึ คอ่ ยๆ ตดิ กล็ ามแลบเอากอง ฟืนลกุ เป็นเปลวขึน้ ทนั ใดจนถึงซากศพ ไหมต้ ัวศพนนั้ ด้วยไฟซึง่ ลุกกระพือเป็นเปลวและ แตกดังเปรย๊ี ะเปรีย๊ ะเปน็ เสียงเย้ยหยัน คร้ันแลว้ หนังซึ่งแห้งก็แยกแยะออก ข้อกระดูกทัง้ ปวงกข็ าดสะบน้ั ในทสี่ ุดควนั อนั หนากจ็ างลง และข้ีเถ้าซ่ึงมสี ีแดงและเทากท็ รดุ ลง ปล่อย ใหก้ ระดูกอันขาวเปน็ เศษซากของมนษุ ย์ปรากฏอยเู่ กล่ือนกลาด

เม่อื ปรากฏดงั นี้แล้ว พระราชโอรสจงึ ตรสั ว่า \"นหี่ รอื คือวาระท่สี ุดซงึ่ รอคอยทุกผู้ ทุกคนซงึ่ มชี วี ิตอยู่\" \"เป็นวาระท่สี ดุ ซง่ึ สงวนไวใ้ หแ้ ก่ทุกๆ คนแหละพระเจา้ ขา้ \" นายฉันนะทลู สนอง \"ผูซ้ ง่ึ อยูบ่ นกองฟืนเมอื่ กีน้ ้นั และซง่ึ มีเศษซากนอ้ ยจนแต่กาหิวกย็ ังร้องบินไปไมใ่ ยดีจะ อยากได้เป็นอาหาร แต่เดมิ คนนน้ั ก็กิน ดม่ื หัวเราะ รัก มชี วี ติ รกั และชีวติ เหมือนกนั แต่ ภายหลงั กลับเป็นอยา่ งไร? จะมใี ครรู้ได?้ พายแุ ห่งปาุ ทบึ กา้ วเทา้ พลาดบนทางเดนิ ความ สกปรกในบอ่ งเู งย้ี วขบกัด เหล็กมีพิษตาํ ความหนาว กา้ งปลา หรอื กระเบือ้ งตก\" เหลา่ น้ีอาจทาํ ใหช้ ีวิตให้ทําลายลงได้ แล้วมนุษย์ก็ถึงซงึ่ ความตาย ทีนี้ก็เป็นอัน สน้ิ ความรู้ในรส ในความสนกุ รื่นเริง และในความเจ็บปวด ใครจะจุมพิตรมิ ฝีปากของเขา ถึง เปลวไฟจะลามไหมเ้ ขากต็ าม เขาหาได้เกิดความรสู้ กึ อย่างใดไม่ เขาไมร่ ้สู ึกในการท่ีเนื้อ ของเขาถูกเผาและในกลน่ิ ของกํายานและไม้หอมซึง่ เผาระเหย ปากของเขาสน้ิ แล้วซึ่งรส หกู ็ส้ินแลว้ ซง่ึ การได้ยนิ ตากไ็ ม่เห็นอะไร คนทร่ี ักของผู้ตายกไ็ ด้แตร่ า่ํ รอ้ งไหค้ รวญคราง ข้างเดยี ว เพราะตอ้ งทําลายซากศพนน้ั เพ่อื ไม่ใหก้ ายเปน็ อาหารอันน่าอนาถของหนอน กายซึ่งดํารงอยู่ได้กโ็ ดยชีวิต ชวี ติ ซ่งึ เปน็ ตะเกยี งภายในนี่แหละ คอื โชคอนั เปน็ ธรรมดาสําหรับเลือดเน้อื ของมนษุ ย์ แมว้ า่ ใครจะมอี านภุ าพหรอื ยากจนขน้ แคน้ กต็ าม ดีหรือ ช่ัวกต็ ามก็ต้องตายกนั ทงั้ สิ้น และตามทปี่ รากฏตามคาํ ท่สี อนกันมา กว็ ่าเมื่อตายแลว้ ก็ไป เกิดใหมอ่ กี ซง่ึ ไมม่ ีใครรู้ว่าไปเกดิ ท่ีไหนและเกดิ อยา่ งไร เมอื่ เกิดแลว้ กต็ อ้ งเผดมิ เร่ิมด้วย ความหวาดเสียวและในวาระทส่ี ดุ กเ็ ข้าสกู่ องไฟเผากายเชน่ เดยี วกนั นแ่ี หละคือวัฏสงสาร ของมนุษย์ เม่อื ได้สดับดังนั้น พระสทิ ธตั ถะจงึ เงยพระพักตร์มพี ระเนตรอันคลอหล่อไปด้วย อัสสุชลอันศกั ด์สิ ิทธ์ิ ทอดดูฟาู แล้วกม็ องดดู ิน เต็มตืน้ ไปด้วยธรรมเมตตา พระองค์ ทอดพระเนตรดูฟูาบา้ ง ดูดนิ บ้าง ประดุจวา่ พระทัยของพระองคก์ าํ ลงั เพ่งเล็งคน้ ควา้ หา ความเหน็ อะไรอย่างหนึ่งอนั ลึกซ้ึง และซ่ึงเกยี่ วเน่ืองติดต่อระหว่างฟาู และดนิ คอื ความเหน็ ซึง่ ลํา้ ความเห็นและมองไมไ่ ด้ด้วยตา แต่เม่ือคน้ ควา้ หาแล้วก็อาจพบเห็นและรูจ้ ักได้ คร้นั แล้วโดยพระอาการอันสง่าซึง่ ปน่๎ ปุวนโดยอาํ นาจแหง่ ความดน้ิ รนอย่างเดือด ดาล ดว้ ยความเมตตาอยา่ งเหลือล้นพ้นประมาณ และความเช่อื แน่ในความหวังอันหาทีส่ ุด และส้นิ สญู มิได้ พระองคจ์ ึงเปล่งพระอทุ านวา่ \"โอ! โลกซึ่งทรมาน! โอ! พ่นี อ้ งท่รี ู้จกั และไม่ร้จู ักท้ังหลาย ซ่งึ ลว้ นแตต่ ิดอยู่ ในขา่ ยแห่งความทกุ ข์ยากและความตาย ตายแล้วกเ็ กดิ ใหมอ่ กี เพราะถูกหน่วง เหนีย่ วโดยวญิ ญาณ! เราเหน็ เรารู้สึกแล้วในเหตุแหง่ ความวนุ่ วายทรมานของโลก ความเยอ่ หยง่ ในความสาํ ราญ ความเยา้ ยั่วในความสขุ ความหวาดเสียวในความ ป่วยเจบ็ ของโลก ความสนุกร่ืนเริงนน้ั ส้ินสุดลง เมอ่ื ประจวบเข้ากบั ความแรน้ แค้น ความหนมุ่ ย่อมส้ินลง เม่ือประจวบเขา้ กับความชราภาพ ความรักทาํ ให้เกดิ ทุกข์ เม่อื สงิ่ ท่ีตนรักไดห้ ายไป เปน็ แล้วก็มีความตายมาตอบแทน และเมือ่ ตายแลว้ กไ็ ป เกิดเปน็ อะไรท่รี ไู้ มไ่ ด้เข้าอีกซงึ่ กระทาํ ให้มนุษยไ์ ด้รับความเปน็ ไปใหม่อกี ตาม วฏั สงสาร สาํ หรับให้หมุนในวงแห่งความเบกิ บานท่ีไม่เที่ยง และในความทรมานอนั แทจ้ ริง เราเองกเ็ หมอื นกันย่อมถกู หลอกด้วยเหย่ือเช่นเดียวกันนี้ และชวี ติ ก็ดู เหมอื นว่าเปน็ ของรกั ของเรา และแม้นเหมอื นกบั กระแสน้ํากลางแดด ซ่งึ ไหลโดย สนั ติสขุ ปราศจากขุ่นมัวช่ัวนิรันดร แต่แท้จรงิ แมน่ า้ํ อันปราศจากเดียงสา ถงึ จะได้ไหลหล่ังผ่านสนามอนั เต็มไปด้วย บปุ ผชาติก็ดี ในทส่ี ุดนาํ้ ซึง่ ใสดจุ แกว้ เจยี ระไนกไ็ หลอยา่ งรวดเรว็ ลงไปสทู่ ะเลซึ่งเค็ม ไม่ บริสทุ ธเิ์ ทา่ นนั้ น่แี หละส่ิงซงึ่ ทําให้เรามดื มัวไดป้ ระจกั ษแ์ จง้ แก่เรา แล้วเรากเ็ ปน็ อย่าง

มนษุ ย์ทั้งหลายซง่ึ อ้อนวอนพระเจ้าโดยพระเจา้ ไมเ่ หน็ ฟ๎ง แตอ่ ยา่ งไรก็ดี ตอ้ งมที างหนงึ่ ทางใดท่จี ะชว่ ยเหลือเขา และช่วยเรา และใครๆ ท้งั มวลทตี่ อ้ งการความชว่ ยเหลอื สาํ หรบั ท่านเองกว็ า่ ไม่ไดแ้ ละไฉนหนอทา่ นจงึ อ่อนแอนัก อ่อนจนไม่สามารถชว่ ยเหลอื ปวงชนทรี่ า่ํ รอ้ งวิงวอนถึง เราไมป่ ระสงคจ์ ะปลอ่ ยใหผ้ ูท้ ี่เรา สามารถเกอ้ื กูลต้องตกอยู่ในความร่ําไห้ ทําไมพรหมเทพจึงไดส้ ร้างโลกข้นึ แล้วสละละทง้ิ ไวใ้ นหว้ งแห่งภยั ร้าย ถ้าท่านมฤี ทธานุภาพเป่ียมแท้ แตป่ ล่อยให้โลกคงอยใู่ นสภาพด้วย ลกั ษณะฉะน้ีแล้ว ท่านก็ไม่นบั ว่าดตี ามทาํ นองธรรม ท่านก็คงมิใช่พระผเู้ ปน็ เจ้าอยา่ ง แนน่ อน \"แน่ะ! นายฉันนะ กลับวงั เถอะ พอแล้ว ฉันได้ประสบพบเหน็ เหตุต่างๆ พอแลว้ \" ครั้นสมเดจ็ พระราชบิดาได้ตระหนักในกรณที ่เี กดิ ขึ้นโดยประการดงั กล่าวมาแล้ว นัน้ พระองค์จงึ ให้เพิ่มหมวดรักษาการประจาํ ตามทวารต่างๆ ขึน้ สามเทา่ จาํ นวนเดิม ทัง้ มี พระราชกฤษฎกี าหา้ มมิให้ผหู้ นง่ึ ผูใ้ ดเขา้ ออกได้ด้วย ไมว่ ่าจะเปน็ ในเวลากลางวันหรือ กลางคืน ทัง้ น้จี นกว่าจะล่วงพ้นกําหนดจํานวนวนั ที่ได้ทรงทราบไว้ในพระสบุ ิน ปรเิ ฉทที่ ๔ ปัพพัชชกถา (พระมหาบุรุษออกบรรพชา) แต่ เม่ือทวิ าวารกาลกําหนดลว่ งไปแล้วก็บรรลถุ ึงวาระอนั พระพทุ ธเจา้ ของ เราจะเสด็จออกบรรพชา ซ่งึ เปน็ วาระทจ่ี ะต้องปรากฏขึน้ อยา่ งแนน่ อน และโดยเหตนุ ภ้ี ายใน ปราสาทอันอร่ามเรอื งกจ็ ะอบุ ตั ิความโศกศลั ย์ ความกําสรดของพระราชาผู้เปน็ พระราชบิดา ความเศรา้ โศกาลัยโอดครวญหวนไหข้ องปวงประชาราษฎรทงั้ หลายแห่งพระราชธานี แตถ่ งึ กระน้นั ก็ดี การเสดจ็ ของพระองคก์ เ็ ปน็ ประโยชน์ กลา่ วคือ เปน็ ปฐมเหตุให้ เกดิ พุทธบัญญตั ิท่ีจะยังความปราโมทย์ใหแ้ กป่ วงบุคคลทีเ่ ล่อื มใสได้เช่ือฟง๎ และทาํ ให้ บรรดาสัตว์โลกทง้ั หลายไดพ้ น้ จากกองทกุ ขท์ ้งั ปวง ความมดื แห่งราตรกี าลค่อย ๆ แผ่ ไพศาลไปในบรรดาทุง่ ทงั้ หลายแห่งอนิ เดียราชธานี ณ กาลเม่อื พระจันทรเ์ พญ็ เต็มดวงแหง่

เดือนจิตรมาส (ตรงกับปลายเดอื นมีนาคมและต้นเดอื นเมษายน) คราเมอ่ื ตน้ มะมว่ งเต็มไปด้วยผลอันสุกและพุ่มต้นอโศก (อะ แปลวา่ ปราศจาก โศกะ แปลว่าทุกข์ -เปน็ ชอื่ ต้นไม้อทุ ิศใหแ้ ก่พระศิวะ) ท้ังหลาย ส่งรสสคุ นธฟ์ งูุ ขจรไปตามพระพายซงึ่ พัด มาอ่อน ๆ และวนั ทจ่ี ะกําหนดวันราชสมภพของพระรามกใ็ กล้เขา้ มาทุกที ตามชนบทและ นคิ มคามท้ังหลายกาํ ลังปรดี เิ์ ปรมเกษมสันต์ และความมดื แหง่ ราตรีนีเ้ องก็ปกคลุมไปเบือ้ ง บน วิศรมั วัน (ปาุ อนั สงดั ซ่งึ พวกฤษีอยู่) ทลี ะน้อยพรอ้ มด้วยกลน่ิ ระเหยแห่งบปุ ผชาติ และ พน้ื เวหาเดียรดาษไปด้วยดาราสุดทจ่ี ะคณนานับ ฝุายลมก็พัดเฉื่อยฉิวพาเอาความเยอื กเย็นของหมิ ะแหง่ ยอดเขาหมิ าลัยมา เม่ือดวงจนั ทรป์ รากฏมา ณ เบือ้ งหลังผาด้านตะวันออกขจรมาตามวิถีทางเวหา ซึง่ เดยี รดาษด้วยดวงดาว ทอดแสงมาตอ้ งกระแสแหลง่ ลําน้าํ โรหณิ ี และเหล่าเขินซอกเขา และท่งุ อนั สงัดเงยี บ และมาต้องเบอ้ื งบนหลังคาแหง่ ปราสาทอันสนั ตสิ ขุ ดูขาวเป็นเงนิ ซึ่ง ใคร ๆ ก็หลับกนั ส้นิ แล้ว เวน้ แตย่ ามเฝาู ประตูชนั้ ในซงึ่ รอ้ งขานยามว่า \"มูทระ\" แล้วกม็ ีเป็น คาํ ตอบว่า อังคณะแลว้ กต็ ีกลองตามเวรดงั ขนึ้ โดยรอบบรเิ วณครัง้ หนึ่ง ฉะน้นั พืน้ พระธรณีก็ สงบเงยี บวิเวกวังเวง คงมีแตเ่ สยี งรอ้ งของสุนัขจ้งิ จอก (Jackal) ท่ีเร่ร่อน และเสยี งจงิ้ หรดี ใน อทุ ยานท่รี อ้ งไมห่ ยุดหย่อน พระจนั ทร์ส่องแสงไปต้องศิลาสลัก ทาํ ความสวา่ งใหแ้ กฝ่ ามุกและทอ้ งพระโรงหนิ อ่อนลาย และทอดรศั มสี ีทองค่อย ๆ เลอ่ื นไปส่หู ม่นู างกํานลั อนิ เดยี ดูประดจุ ดงั หมนู่ างเทวี (เทพธดิ า)ซ่ึงอยู่ในหอ้ งรโหฐานแห่งสรวงสวรรค์ นางงามชนั้ พระสนมเอกทัง้ ปวงซงึ่ ล้วนแต่ นา่ เอน็ ดูและภกั ดียง่ิ แห่งพระราชสํานกั ได้เลอื กสรรใหม้ าอยรู่ ่วมกันทปี่ ราสาทของพระ สิทธตั ถราชกุมารท้ังสน้ิ เม่ือได้ยลลกั ษณะในเวลาปกตินทิ ราของเหล่านางทัง้ หลาย ขณะน้ัน แตล่ ะนางก็ ล้วนน่าบูชาดว้ ยความสวาท ซ่ึงทา่ นก็คงจะออกอุทานวา่ \"นางคนนีเ้ ป็นไขม่ ุกของนางอืน่ ทงั้ มวล\" (ซึง่ หมายความวา่ เม่ือไดเ้ หน็ แตค่ นเดยี วกว็ า่ นางนั้นงามกว่านางอ่ืนทง้ั ปวง) แต่ เม่ือเหลือบไปเหน็ นางทีป่ รากฏอย่ขู า้ งขวาหรอื ขา้ งซา้ ยของทา่ นแลว้ ท่านจะกลับใจวา่ นาง นั้น ๆ งามยงิ่ กว่าไปอีก และจักษุของทา่ นก็จะพรา่ ไปดว้ ยการท่ไี ดพ้ บเห็นแต่งามแล้วงาม เลา่ ประดุจดงั วา่ จกั ษทุ า่ นตอ้ งตะลงึ พรงึ เพรดิ ด้วยไดเ้ ห็นเพชรนลิ จินดาอนั เดยี รดาษของ นายชา่ งทอง ลว้ นแตล่ ะชนิ้ ก็มีแต่แสงแวววาวระยบั ซ่ึงยังความพึงตาพอใจของท่านให้ เปลยี่ นแปลงไมร่ ู้สิ้นสดุ นางเหลา่ นั้นนอนอยา่ งงามพริง้ ปราศจากความระวังตวั อวัยวะอันงามก็วางอย่าง ไดส้ ว่ น กายกห็ ่มผา้ แตเ่ ผยบางส่วนให้เหน็ ผวิ เกษาอันเหลอื บเป็นเงาก็มีปลอกทองคําหรอื พวงมาลยั ใสไ่ ว้มิให้สยายกระจายออก หรอื มิฉะนนั้ ก็เกล้าไว้แนบสนิทตดิ อยู่กับต้นคออัน งามยิ่ง ตา่ งนางต่างใฝุฝ๎นในระหวา่ งนทิ ราอย่างสขุ ารมณ์ หลงั จากการเหนอ่ื ยละเลงิ เล่น ต่างนางตา่ งนอน ในอาการประหนึ่งวา่ เมือ่ ยล้า เหมอื นนกสงี าม ๆ ซ่งึ ได้แต่ร้องและรา่ เริง มาตลอดวนั แล้วก็ซ่อนซุกศรี ษะของตนภายใตป้ ีก นอนจนกระทั่งแสงอรณุ ปลกุ ให้ตื่น แลง้ ราํ่ ร้องละเลิงเลน่ สนกุ สนานไปใหม่อีก โคมเงินสลกั เปน็ ลวดลายอันห้อยลง มาจากเพดาน ด้วยโซเ่ งิน และเต็มไปดว้ ยนํา้ มนั หอม สอ่ งแสงสลับกนั กบั รศั มขี องพระจันทร์ กระทาํ ให้แล เห็นกายอันวไิ ลลักษณ์ของนางรุ่นกาํ ดดั ท้งั ปวงไดช้ ดั เจน จนกระทง่ั อุรประเทศอนั นนู เดน่ มือซง่ึ ทาขม้ินกแ็ บหรอื กําไว้ ดวงพกั ตร์อันงามขาํ ด้วยค้ิวอนั โคง้ ดจุ คันธนู ริมโอษฐอ์ นั แย้ม แตน่ อ้ ยเผยฟน๎ งามดุจไขม่ กุ ซ่ึงนายชา่ งร้อยเปน็ สร้อยศอ ขอบตาซึง่ ปิดหลับอยนู่ ั้นดแู ชม่ ช้อย ประกอบดว้ ยขนตาซ่งึ เอนอ่อนลงมาทางแก้ม ข้อมือกลม เท้าอันเรยี วผกู ลกู พรวนและ ลูกปด๎ ซึ่งทาํ ใหม้ เี สยี งดังเบา ๆ ในเม่อื นางท่นี อนนนั้ ๆ พลิกตวั และเสียงอันน้ันทท่ี ําใหน้ าง ฝน๎ และช่ืนชมว่าได้เตน้ ราํ ทาํ นองใหม่เป็นทโ่ี ปรดปราน และพระสิทธตั ถะพระราชทานแหวน วงหน่ึงให้แกน่ างเปน็ รางวัลด้วยความเสน่หา

บางแห่งบางนางก็นอนเอาปรางแนบขา้ งเคยี งอยกู่ บั พณิ และนว้ิ อนั เรยี วก็ยังจรด อยกู่ ับสาย คลา้ ยกับวา่ เมือ่ นางไดด้ ดี พณิ เพลงสดุ ท้าย เพือ่ กล่อมใหบ้ รรทมแล้วหลับไป บางนางก็นอนกอดกระจงแหง่ ทะเลทรายซ่งึ มีศรี ษะประดบั ดว้ ยโค้งเขาอนั นา่ ดู นอนขดตวั อยู่ในวงแขน ประหน่ึงว่าอย่ใู นรังอันอบอุน่ ของมนั ก่อนหนา้ ทีน่ างและสัตวน์ ่ารักจะหลบั ลง นั้น เจ้าสัตว์นา่ รักกาํ ลังกนิ ดอกกหุ ลาบสแี ดงพ่งึ หมดไป ยังเหลืออยู่อกี ครงึ่ ดอก ดงั น้ันเมื่อ นางหลับแลว้ ดอกไม้ที่ยงั เหลอื อยนู่ น้ั จึงยงั กาํ ลังอยใู่ นมือของนาง และท่รี มิ ฝีปากของสัตว์ ก็ยังมกี ลีบ ๆ หนึง่ ตดิ อยู่ อีกดา้ นหน่ึงมีสองนางนอนเคียงกัน มีพวงมาลัยโมครา (ดอกไม้ เถา มีตามปุาในอินเดีย) สองพวงผูกติดกัน แสดงวา่ พึง่ ได้รอ้ ยกรองมาแลว้ ด้วยกนั ท้งั สอง พวง และผกู ตดิ กันก็เพอื่ แสดงว่ารกั ทัง้ หายแล้วก็รักกันท้ังใจดว้ ย นางหนง่ึ นอนเหนือบปุ ผา อีกนางหน่งึ นอนองิ พิงเหนอื เพือ่ นของนาง ยังมอี ีกนาง หน่ึง ก่อนท่ีจะนอนไดร้ อ้ ยจินดาเพื่อทําเป็นสร้อยคอ มพี ลอย โมรา จนิ ดา มกุ และมณรี ตั น์ สายสร้อยสเี หลือบ แลเปน็ เงาเปลง่ ปลั่งอยรู่ อบข้อมือของนาง สว่ นในมอื อีกขา้ งหนึง่ ก็ยงั กาํ จินดาเม็ดทส่ี ดุ ซึ่งนางไมท่ นั ทจี่ ะร้อยสรอ้ ยคอใหแ้ ล้วเสียก่อนในนทิ ราคอื มรกตเมด็ หนึ่ง ซ่งึ เจยี ระไนเป็นเคร่ืองรางกันภัยและจารึกด้วยทองคํา การทต่ี า่ งพากันหลบั ไปหมดดว้ ยอาการต่าง ๆ ดงั น้กี ็โดยความเพลิดเพลินฟ๎ง เสยี งกระแสนา้ํ ไหลของลาํ ธารแหง่ อทุ ยาน เฉกเชน่ ดอกกหุ ลาบแรกแย้มกลบี คอยแสงอรุณ เพอื่ บชุ าความงามให้แกแ่ สงสวา่ งในเวลาเช้าตรู่ น่คี ือสภาพซึ่งปรากฏในห้องระโหฐานของ พระสิทธัตถะ แต่ที่ใกล้กับม่านก้นั ห้องบรรทมน้ัน มีนางงามที่สุดนอนอยู่ คือคงุ คะ และโคต มี ผทู้ รงตําแหนง่ ชนั้ เอกอย่ใู นพระราชฐาน อนั เตม็ ไปดว้ ยความเสน่หาและความสงบ ปุร์ดาห์ (ม่าน) ทก่ี ้ันน้นั มีสีแดงเข้มและสนี ้ําเงนิ ปก๎ ทองก้ันอยู่ ณ ประตไู ม้หอม สลักเป็นลวดลาย มบี าทวิถี ๓ ทางเช่อื มตอ่ กันไปสูห่ ้องอนั งามวจิ ติ ร ซงึ่ มีพระยภ่ี ลู่ าดอยู่ เหนือพระแทน่ หุม้ ด้วยพรมไหมเงนิ อันกระทําใหร้ สู้ กึ น่ิมพระบาท ประดจุ เหยียบยา่ํ บนเบาะ ที่ยัดดว้ ยดอกน่มิ (ดอกสะเดา) ฝาทุกด้านล้วนแตป่ ระดบั ไขม่ กุ ซง่ึ มาจากละลอกแห่งลงั กา ทวีป(ช่ือเก่าของเกาะซลี อน) และเบือ้ งบนแหง่ เพดานหินออ่ นสลกั เปน็ ลวดลายเงาระยบั จับ ตาเปน็ กระจับ เป็นดอกบัวและเปน็ นก โดยรอบยอดมณฑป ณ ฝาและ ณ บนกรอบลาย จําหลกั ซงึ่ เม่ือยามดวงจนั ทร์ส่องแสงและลมพดั มาเฉื่อย ๆ ดอกจําปาและมะลิก็ส่งกลิน่ หอมฟูุงขจรมา แต่กไ็ มม่ ีความงามและความชวนเสน่ห์อนั ไพบูลย์ อย่ใู นความทรงสถติ ของ พระสิทธตั ถะเจ้าแห่งศากิยะ และพระนางศรียโสธราผงู้ ามประโลม ณ ทน่ี ี้ ลําดบั นี้ พระราชเทวีหมอบอยู่ขา้ งพระสทิ ตั ถะปล่อยให้ผา้ สไบ (ซดู า) ตกลงมา อยบู่ นั้ พระองค์ พระหัตถ์กุมพระนลาฏอยุ่ พลางก้มพระพกั ตรถ์ อนพระทัยกนั แสง มีอสั สุชล ไหลหลง่ั อยรู่ ิน ๆ พระนางจุมพิตพระหัตถพ์ ระสิทธตั ถะ ๓ คร้ังแลว้ สะอ้ืน ทลู วา่ \"ทรงตืน่ เถดิ เพคะ พระทลู กระหม่อม จงรบั สั่งใหห้ ม่อมฉันไดเ้ บาใจดว้ ยเถิด\" พระ สทิ ธตั ถะจึงตรัสถามวา่ \"เธอเป็นอะไรไปหรือยอดรัก\" แตพ่ ระนางก็ยงั คงสะอ้ืนสะอืน้ จนอดั อน้ั แล้วจึงทลู ว่า \"โธเ่ อย๋ ทลู กระหมอ่ ม หม่อมฉันได้นอนหลับเปน็ สขุ อยา่ งสนทิ มาแลว้ เพราะเหตุ ว่าพระราชโอรสของพระองคซ์ ง่ึ อยู่ในคัพโภทรไดแ้ สดงอาการดน้ิ อันเปน็ เหตทุ ําให้ดวงใจ หมอ่ มฉันตนื่ เตน้ ผดิ ปกติ ทงั้ ดรุ ิยางค์กก็ ระทําความไพเราะใหแ้ ก่หมอ่ มฉันด้วยความสันติ สขุ และความปฏิพทั ธ์ แตช่ า่ งกระไรหนอ พอหมอ่ มฉนั หลบั ไปกใ็ หบ้ งั เกิดสบุ นิ นิมตเป็นลาง ร้าย ๓ อยา่ ง ซง่ึ กระทําใหค้ วามคิดของหม่อมฉันเกิดความกลวั ขึ้นภายในดวงจติ ในสบุ ินนิมิตวา่ หมอ่ มฉันเห็นววั กระทิงขาวเขาใหญ่ซ่งึ เป็นเจา้ แห่งทอ้ งทุง่ ผ่านมา ตามถนน ตรงหนา้ ผากมนี ลิ จนิ ดาอันแวววบั เหมอื นดวงดารา หรอื แก้วกณั ฐรตั นะซง่ึ มีพระยา งู (ตามความเช่อื ถือของพวกฮินดู วา่ ในใต้พิภพนีม้ ีงใู หญม่ หึมาอยู่ตัวหนงึ่ ในบรเิ วณตาํ บลดลั ฮี เวลานม้ี เี สา เหลก็ ยาว ๕๐ ฟิตป๎กอยูเ่ สาหนึ่ง เสาเหล็กน้ีมีตาํ นานว่า เม่ือ ๓ หรอื ๔ ร้อยปี กอ่ นคริสตศักราช มพี ระราชา

พระองค์หน่งึ ทรงพระนามว่าธวะ (Dhava) เป็นผเู้ อาเหล็กท่อนน้ีแทงงใู หญ่น้นั จงึ ปก๎ อยเู่ ปน็ เสาเหล็กอยู่ ตลอดมาจนทุกวนั น้ี) เฝาู เพ่อื เปล่งรัศมีในบาดาลใหม้ แี สงสวา่ งเหมอื นดวงอาทติ ย์ ววั นัน้ ค่อย ๆ เดินไปตามถนน มุ่งตรงมาสูป่ ระตู ไม่มีผูใ้ ดมาสามารถจบั ได้ แม้แต่มีเสยี งมาจากอนิ ทรา วหิ ารร้องว่า \"ถ้าไมจ่ บั ก็นบั ว่าความไพบลู ยข์ องพระราชธานีจะต้องรบั ความหายนะ\" ถึง กระนัน้ กไ็ มม่ ใี ครจบั ได้ ครัน้ แลว้ หม่อมฉันกร็ อ้ งไห้ ร้องพลางโอบคอโคนัน้ ด้วยแขนท้งั คู่ อย่างสุดแรงเกดิ แล้วหม่อมฉันสง่ั ให้เขาก้นั ประตู แตพ่ ระยาโคน้นั ร้อง และสะบัดศีรษะอนั เบงิ่ อย่างคล่องแคล่วหลดุ จากแขนของหมอ่ มฉันไป และโลดโผนไปท่เี ครอ่ื งกีดก้นั วง่ิ ผา่ น กองรักษาไปได้น้เี ร่อื งหนง่ึ อีกเรอ่ื งหนึง่ เป็นความฝ๎นซ่ึงปรากฏวา่ มีเทวดา ๔ องค์ มีดวงเนตรแวววับงามย่งิ เหมอื นหนึ่งเป็นจตุโลกบาล ซึง่ สถติ อยู่บนภเู ขาพระสุเมรุ ลอยเปลง่ ปลั่งอยเู่ บอ้ื งฟาู ณ ทา่ มกลางหมเู่ ทวดาเปน็ อันมากซงึ่ เป็นบริวารแหแ่ หน แล้วเหาะลงมาสกู่ ําแพงพระนครของ เรา จนหมอ่ มฉันได้เห็นธงทิวของพระอินทร์ปลวิ ไสวเหนือประตแู ล้วตกลงมา ในทันใดนัน้ ก็ มธี งหน่งึ ปลวิ ไสวรุ่งโรจนส์ ลดั ชายประดุจไฟมีรัศมแี จ่มจรสั ด้วยพลอยทับทิม อันประดบั ติด อยกู่ ับลวดเงิน ประจกั ษ์ให้เห็นเปน็ ถ้อยคําและประโยคซึง่ จะทาํ ใหธ้ รรมชาติท้งั หลายมี ความสขุ ฝุายขา้ งทิศบูรพากม็ ลี มแหง่ อรโุ ณทัยซึ่งคล่ีธงแวววบั ใหก้ างออกเตม็ ท่ี เพื่อท่ที ุก คนจะได้อ่านทวั่ กนั แล้วมีบปุ ผชาติอนั วิเศษซง่ึ เกบ็ มาจากประเทศใดก็ไม่ทราบเกล้าฯ มีสี แปลกประหลาดกว่าทขี่ องเรามีอยู่ ตกลงมาส่พู นื้ ลานของเราดจุ พิรณุ \" เม่อื พระนางได้ทูลถวายซึ่งสบุ นิ นมิ ิตของพระนางดังนัน้ แล้วพระสิทธตั ถะจงึ ตรัส วา่ \"แมย่ อดท่รี ักดุจปทุมมาลย์ สงิ่ ที่เธอฝ๎นท้ังหลายเหลา่ นัน้ กล็ ว้ นแตด่ ีควรเปน็ ที่ปลม้ื ใจ ทั้งสิ้น\" \"แตน่ ั้นแหละเพคะ ทลู กระหม่อม หมอ่ มฉันยงั หนักใจมาก\" พระนางทลู สนอง ตอ่ ไปวา่ \"แล้วตอ่ จากน้ันมาอกี หมอ่ มฉนั ก็ได้ยนิ เสียงอยา่ งน่าอนาถร้องวา่ \"เวลาใกลเ้ ข้า มาแลว้ เวลาใกล้เขา้ มาแล้ว\" คร้ันแล้วสุบนิ ตอนที่ ๓ ก็มาปรากฏแก่หมอ่ มฉนั อีกต่อไปคือ วา่ ในเวลาซ่งึ หม่อมฉันอยากจะแตะต้องพระวรกายของพระองค์ หมอ่ มฉนั กเ็ หน็ แต่พระ เขนยซงึ่ ยังไมไ่ ดอ้ ิงและฉลองพระองค์อนั วา่ งเปลา่ อยู่บนพระที่บรรทมเท่าน้ัน ฝุายพระองค์ พระองค์ผเู้ ปน็ ประทปี เป็นดวงชีพ เป็นพระราชา เป็นโลกของหม่อม ฉันน้ีหาเหน็ ไม่ และในยามที่กําลงั บรรทมหลบั อยู่นนั่ เองหมอ่ มฉันก็ลกุ ข้ึน แลว้ เหลือบแล ไปเหน็ รัดพระองค์ ไข่มกุ ของพระองคย์ งั อยรู่ อบอทุ รของหม่อมฉนั แต่รัดพระองคน์ น้ั กลายเป็นงู และขบกดั หม่อมฉนั กําไลท่ีสวมขอ้ เทา้ หม่อมฉนั กต็ ก ธาํ มรงค์กห็ กั สะบน้ั พวง มะลซิ ่งึ พันรอบเกศาของหมอ่ มฉนั กข็ าดปุนเปน็ ละอองธลุ ี คลมุ บรรทมกย็ ุ่งเหยิงกระจุก กระจยุ และปุร์ดาห์(มา่ น)สแี ดงเขม้ ก็ขาด ครน้ั แลว้ หม่อมฉนั ก็ไดย้ ินววั กระทงิ ขาวร้องจากที่ ไกล และ ณ ทไ่ี กลน้ันมธี งป๎กปลิวไสว แลว้ เสียงรอ้ งอนั นา่ อนาถนัน้ กก็ ้องปรากฏข้ึนอีกว่า \"เวลาลลุ ่วงมาแลว้ \" โดยเหตทุ ด่ี วงใจของหม่อมฉันหวาดเสยี วต่อเสยี งนั้น หม่อมฉนั ก็ตน่ื ขึน้ \"โอ! ทูลกระหมอ่ ม สุบินเหลา่ นแ้ี ปลความวา่ กระไร หากไมแ่ ปลว่า หมอ่ มฉนั จะตอ้ งถงึ ซงึ่ ความมรณะ กม็ แิ ปลว่าพระองค์จะตอ้ งพรากจากหม่อมฉนั ซ่ึงรา้ ยเสยี ยิ่งกว่าความมรณะ อย่างหน่ึงอยา่ งใดเสียอกี อย่างนนั้ หรอื เพคะ\" พระสิทธัตถะทอดพระเนตรไปทพ่ี ระนางผเู้ ปน็ เทวีซึง่ กําลังมีอาการตระหนกตก พระทัยดว้ ยแววพระเนตรอันกอปรไปด้วยเมตตา ประดจุ แสงอาทิตย์ท่จี วนจะอสั ดงคต แลว้ ตรสั วา่ \"จงบรรเทาทุกข์เสียเถิดยอดรัก หากวา่ ความบรรเทาของเธอย่อมเปน็ ไปไดโ้ ดย อํานาจของความรกั ซึง่ ไม่แปรปรวน! เพราะถึงแม้ว่าความฝน๎ จะเปน็ เหมอื นดงั บรู พนมิ ิตของ ส่ิงท่ีจะมมี าก็ตาม และถงึ แมป้ วงเทพเจา้ จะต้องไหวหวน่ั ร้อนอาสนแ์ ละโลกจะตน่ื เพราะ ต้องการผู้ช่วยเหลอื หรือจะมอี นั เป็นอยา่ งไรในเราท้ังสองน้ีกด็ ี ก็ขอเธอจงมั่นใจเถดิ วา่ ฉนั ได้รกั และยังคงรักยโสธราเสมอ\"

เธอยอ่ มรอู้ ยู่แล้วว่าตัง้ แต่หลายตอ่ หลายเดอื นมาแลว้ ฉนั มีความคิดอยากจะช่วย โลกอันแรน้ แคน้ ซึง่ ฉันได้เหน็ ใหพ้ น้ ทุกข์ และเมอื่ ถึงกาลกาํ หนดท่ีต้องช่วยกจ็ ะชว่ ยเสียให้ เสรจ็ แตถ่ ้าวญิ ญาณของฉันเศร้าสลดลงสาํ หรบั ประโยชนแ์ กว่ ิญญาณผ้อู ืน่ ทฉ่ี ันไม่รู้จกั และ หากฉนั ทรมานสําหรบั ประโยชนแ์ ห่งทุกขซ์ ง่ึ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ทกุ ขข์ องฉนั เอง เธอจงพิจารณาดูเถดิ ว่า ความคดิ อันลอยล่ิวของฉันชา่ งล่องลอยอยู่เหนือสัตว์โลก ท้งั ปวงนน้ั เพียงใด แล้วกท็ าํ ใหฉ้ นั ต้องการมีสว่ นทุกขส์ ขุ ดว้ ย เพราฉันร้สู กึ ว่าทุกรูปทุกนาม ลว้ นแต่เป็นท่รี ักของฉนั ทั้งสิ้น ฝาุ ยเธอนน้ั เลา่ ดวงวิญญาณของเธอก็เปน็ ที่รักยงิ่ ของฉัน งามยง่ิ ดียิ่งของฉนั อีกทงั้ ใกลช้ ิดย่ิงกบั ดวงใจของฉนั ดว้ ย อา! เธอผู้ซึง่ เปน็ มารดาแห่งลูก ชายของฉัน เธอซง่ึ กายได้ร่วมกับกายฉันเพ่ือทําให้เกดิ ความหวงั อันนี้ ดวงจติ ของฉนั เร่ร่อน เหนือแผ่นดินและทะเลทัง้ หลายโดยเต็มเปย่ี มไปดว้ ยความเมตตาแกเ่ พอ่ื นมนุษยท์ ัง้ หลาย อยา่ งแกก่ ลา้ ดุจนกพิราบซึง่ บินเร็วเต็มเป่ยี มไปดว้ ยความรกั ในไขข่ องมันและทกุ ๆ ครง้ั มนั กก็ ลบั มาสรู่ ังดว้ ยปกี ซ่งึ กระพอื ด้วยความยินดี และขนซ่ึงกระจกุ กระจยุ เพราะความรกั คนื มา ส่เู ธอซง่ึ งามยงิ่ ในมนษุ ยชาติ อย่างเดยี วกบั ฉนั บรสิ ทุ ธ์ิยิ่ง อ่อนหวานยิง่ และซ่งึ เป็นทร่ี กั ของฉันยงิ่ กว่าส่ิงอื่น ๆ ท้ังปวง อน่ึงถึงแม้ว่าต่อไปจะมีอะไรมาเปน็ ขึน้ แก่เรา ขอเธอจงระลึกถึงววั กระทงิ ท่ีร้อง ธง ท่ีประดบั นิลจินดาซ่งึ ในฝน๎ ของเธอปรากฏวา่ ปลิวไสวน้นั เถิด แล้วจงมั่นใจเถิดว่า ฉนั เคยได้ รกั เธออยเู่ สมอ และฉันยงั รกั เธออยู่เสมออกี ฉะนนั้ ส่ิงใดซง่ึ ฉันแสวงหาสาํ หรบั คนอ่ืน ฉนั ก็ แสวงหาใหเ้ ธอนนั่ แหละมากกว่าผอู้ นื่ แตย่ อดรักจงบรรเทาทุกขน์ ั้นเสยี เถิด โดยนึกว่าใน แผน่ ดินนจ้ี ะถึงแล้วซง่ึ ความสันติสุข เพราะความทรมานของเรา แล้วจงึ รับเอาส่ิงทงั้ ปวงซ่งึ ความรักบรสิ ทุ ธ์ิพยายามแสดงใหป้ รากฏวา่ ยินดี และตอ้ งการอํานวยอวยพรให้จากวงแขน ของฉันไปเถดิ \"จรงิ อยู่ สง่ิ เหลา่ นเ้ี ป็นสงิ่ ทเ่ี ล็กน้อย เพราะกาํ ลังของความรกั ก็ออ่ นแอมาก จงจุมพติ ท่ีโอษฐ์ แล้วก็เพราะฉนั รกั เธอยงิ่ กว่าสิง่ มชี ีวิตท้งั หลายซึง่ ฉนั กร็ ักอยา่ งลกึ ซงึ้ อยู่ แล้ว บดั นเี้ ธอจงอยู่ที่นเี่ ถิดนะ แมย่ อดรัก! เพราะฉนั อยากจะตนื่ แลว้ \" ดงั นน้ั พระนางกบ็ รรทมตอ่ ไป แต่หลบั ไปด้วยความใครค่ รวญในสุบิน เพราะพอ พระนางหลับกไ็ ด้ยนิ เสียงร้องอีกว่า \"กาลเวลาได้มาถึงแลว้ !\" ฝาุ ยพระสิทธตั ถะเม่ือ ผนิ พระ พกั ตร์จากพระนางก็ทอดพระเนตรเห็นดวงจนั ทรก์ ําลงั สอ่ งแสงโดยลกั ษณะอย่างดาวหาง และดวงดาราแสงเงนิ ท้งั หลายรายเรยี งอยู่ดังไดท้ าํ นายกันแต่บรมโบราณมาแล้ว, ขณะนน้ั พระองค์กไ็ ด้ยนิ เสยี งรําพันว่า \"น่ีคอื ราตรีกาล จะเลือกวิถีทางอานภุ าพหรอื ทางแห่งความเมตตา จะเลอื กเสวย ราชสมบตั ิเป็นพระเจ้าจักรพรรดริ าชหรือจะจารกิ ไปโดดเดีย่ ว โดยปราศจากมงกุฎและทพ่ี ัก อาศัยเพ่ือช่วยโลกพน้ ทกุ ข์\" ครน้ั แล้วก็มเี สยี งกระพือตามลมมาสัมผสั พระโสตของพระองค์ เป็นเสียงรําพนั ของปวงเทพดาทงั้ หลาย ซึง่ ต้องการวงิ วอนต่อพระองค์ใหช้ ่วยทุกขส์ ัตวโ์ ลก ทงั้ หลาย เพราะในยามซ่ึงพระองคช์ มเวหาอันแจม่ จรัสอย่นู น้ั ไมต่ ้องสงสัยเลยวา่ พระองค์ จะไม่ทรงถูกแวดล้อมและระแวดระวงั ไปด้วยหมูเ่ ทพเจ้าท้งั หลาย \"ฉนั อยากไปแลว้ \" พระองค์ตรสั \"กาลเวลาได้มาถึงแล้ว!\" ริมโอษฐ์อนั นมิ่ นวล ของเธอน้นั น่ะ แมเ่ ทวผี ้หู ลับใหลทร่ี กั บังคับให้ฉนั ประพฤตใิ นทางทตี่ อ้ งชว่ ยมนุษยโลกให้ พ้นทกุ ข์ แต่เราจะตอ้ งพรากจากกนั และภายในความเงยี บแห่งเวหาอนั นี้ ฉันอ่านดคู วาม เป็นไปของฉันด้วยอักษรอนั แวววับ ฉนั ได้บรรลุถึงซึ่งผลทสี่ ดุ แห่งวิถีทาง ซงึ่ ฉันเดนิ มา หลายวนั และหลายคืนน้นั แลว้ เพราะฉนั ไม่ต้องการมงกฎุ มรกตของฉนั และฉันไม่ยอมรับ ราชอาณาจกั รทั้งปวงซึง่ คอยให้ฉันปกครองดว้ ยคมดาบของฉัน รถของเราจะไม่หมุนไป โดยลอ้ ซงึ่ อาบเลอื ด โดยมีชยั ชนะแล้วมีชยั ชนะอีก ประหน่งึ ว่าพน้ื แผ่นดินน้มี ีนามของฉนั ไวเ้ ปน็ ทร่ี ะลึกดว้ ยเลอื ดสแี ดง ๆ ติดอยู่ เราพอใจพยายามจะเดนิ ไปตามทางท้งั ปวงดว้ ยเท้าอนั บรสิ ุทธิข์ องเรา โดยใชฝ้ ุน ธุลีทเ่ี ป็นที่นอนและความสนั โดษแหง่ สถานทีเ่ หลา่ นน้ั เปน็ ทอ่ี าศัยของเรา แล้วเอาส่ิงทไ่ี มม่ ี คา่ เสียเลยเป็นเพ่อื น ไมม่ เี ส้ืออื่นนอกจากเศษผ้าท่ีหยาบ ไมม่ ีอาหารอะไรอืน่ นอกจาก

อาหารซงึ่ คนใจบุญทาํ ทานให้ ไม่มีทีร่ ม่ อะไรนอกจากถ้ําหรอื รม่ สาขาของไพรพฤกษ์ น่ีแหละสิ่งซึ่งพึงประสงค์ของฉัน เพราะสรรพเสยี งอนั อนาถของชีวิต และของสตั ว์ โลกซ่งึ มชี ีวติ ทั้งปวง ไดแ้ ล่นเข้าสโู่ สตประสาทของฉนั แล้ว และเพราะว่าดวงวญิ ญาณของ ฉันเตม็ เปย่ี มไปดว้ ยความสงสารแกค่ วามแรน้ แคน้ ของโลก ซึง่ ฉนั จะช่วยใหพ้ น้ ทกุ ข์ หาก ฉนั อาจจะช่วยได้ โดยยอมสละเสียซ่ึงทกุ สงิ่ ทุกอยา่ ง ๆ เด็ดขาด และกล้าต่อสู้อย่างจริงจัง เพราะเทพเจ้าองคใ์ ดเล่า จะเลก็ กด็ หี รือใหญ่กด็ จี ะมสี ทิ ธิและความเมตตากรุณา บ้าง ใครบ้างมองเหน็ เทพเจ้าเหลา่ น้นั เทพเจา้ เหลา่ นัน้ ได้ทาํ อะไรบ้างเพ่ือช่วยปวงสัตว์ โลกทงั้ หลายท่ีเคารพบชู าท่าน เทพเจ้าไดท้ ําประโยชน์อะไรตอบแทนแกม่ นุษยซ์ ่งึ สรรเสริญวิงวอน เซน่ สรวงด้วยธัญญาหารและนํา้ มัน โดยขับร้องดว้ ยบทกลอนอันเปน็ พระ เวท ทําการบูชายัญด้วยสัตวท์ ีร่ อ้ งและดิ้นรน ทาํ ศาลอนั งามตระการตาถวายเกือ้ หนุน นักบวชและออ้ นวอนวษิ ณุ ศิวะ สรุ ิยะซ่ึงไม่เห็นไดช้ ว่ ยใครเลย จนแมแ้ ต่คนท่ีควรชว่ ยทสี่ ุด ใหพ้ น้ จากทกุ ข์ซ่งึ พรรณนาในคําสรรเสริญเยินยอและเคารพด้วยความเกรงกลัวทวขี น้ึ ๆ ทกุ วนั เหมอื นควันอันปราศจากคา่ เพือ่ นมนษุ ยข์ องฉนั คนใดบ้างซ่ึงอาศัยคําสวดมนต์ สรรเสรญิ แล้วกพ็ ้นจากความทรมานในความเป็นอยู่ ความลําบากอันขมขนื่ ในความประสงค์ และในความสูญหายสง่ิ ของทีต่ นรัก จาก ไขอ้ นั เรา่ ร้อนซง่ึ ทาํ ให้หวาดหว่ันจากความชราภาพท่คี อ่ ย ๆ ยอ่ งมาพ้องพาน แลว้ ทําการ อนั ธการใหแ้ กค่ วามผดิ และรูปกาย จากความตายอันขมุกขมัวอันน่าพงึ สยอง และจากส่ิงซึ่ง จะต้องเปน็ ไปตามเวลาของวัฏสงสาร แลว้ ไปเกิดใหมใ่ นทุกข์ ในความตอ้ งการใหม่อกี ซ่ึง วนเวียนอยู่ไม่รจู้ ักสน้ิ นนั้ พีส่ าวหรอื น้องสาวของเราคนใดบา้ งซึ่งไดร้ ับผลแหง่ การถอื บวช อดอาหาร หรอื การท่รี ้องเพลงสรรเสริญบา้ ง การทีถ่ วายนมข้นขาวและใบตลุ สี (กะเพรา) นน้ั กระทําให้เทพเจ้าองค์ใดบ้างช่วยให้รอดพ้นจากการเจ็บปวดในยามเม่อื คลอดบุตร เปล่าเลย! อาจมบี ้าง เทพเจา้ ที่ดี และเทพเจา้ ทไี่ มด่ ี แต่ถึงมีดไี ม่ดีกล็ ้วนแตอ่ ่อนแอมากจน ไม่สามารถทจี่ ะทาํ ความช่วยเหลืออะไรได้ เทพเจ้าเหลา่ นม้ี ที งั้ ความเมตตาและความทารุณดุร้าย และตกอยู่ในวฏั สงสารแหง่ ความเปลี่ยนแปลง แลว้ ผ่านไปสคู่ วามเกดิ ความเป็นอยตู่ ่อ ๆ ไป อีกเป็นลําดับ เหมือน มนษุ ยท์ ง้ั ปวง เพราะตามซ่ึงพระคัมภรี ์ได้กลา่ วสงั่ สอนไว้นนั้ กด็ เู หมอื นการถูกต้องแล้ว คอื พอชีวิตเริ่มอบุ ตั ิข้นึ จะมเี ดิมกําเนิดและมูลเปน็ อย่างไรกต็ าม ก็ดําเนนิ ตามชะตาราสีแห่ง ความเปน็ อยูข่ องตน นับแต่ปรมาณูมาเป็นแมลง หนอน สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานมาเปน็ มจั ฉาชาติ เปน็ นก เป็น สตั วท์ ม่ี ขี น แล้วกเ็ ป็นมนษุ ย์ เป็นปศิ าจ เป็นเทวดา แล้วเป็นเทพเจ้า ครัน้ แลว้ ก็จตุ มิ าเกิด บนแผน่ ดินใหม่อีก จนกระทั่งถงึ ปรมาณู เม่ือเปน็ ดังนเี้ ราทง้ั หลายเหล่าน้ีก็นับวา่ เป็นญาติ กันกบั ส่ิงท้ังหลายท้งั ปวงในโลกน้ที ัง้ ส้ิน หากว่าใครสามารถช่วยมนษุ ย์ให้พ้นจากความ หมุนเวยี นแห่งวัฏสงสารไดแ้ ล้ว โลกอันกว้างนก้ี จ็ ะถงึ ซงึ่ ความรอบรใู้ นเหตุอันพึงกระทําให้ ตนรู้จักความสวา่ ง ความจริงแห่งความโงเ่ ขลา มคี วามกลัวซงึ่ ปราศจากเสยี งเป็นเงา ความ เห้ียมโหดเปน็ ผลร้ายแหง่ กาลเวลาท่ผี า่ นพน้ ไป นัน่ แหละหากใครสามารถชว่ ยโลกใหพ้ ้น ทุกข์ไดจ้ ริงแล้ว วิธีท่ีจะชว่ ยน้ันตอ้ งมอี ย่ใู นโลกน้แี น่นอน! โลกนตี้ ้องมที พ่ี ่ึง! มนษุ ยต์ ายโดยเหตุท่ี เยือกเย็นเพราะอาํ นาจของลม จนกระทงั่ ตอ่ เมือ่ มผี ูส้ ามารถตีหินใหเ้ ปน็ ประกาย ลกู ไปแห่ง ดวงอาทิตย์ซงึ่ อบอุ่น ศลิ าซงึ่ เยน็ มนุษยก์ ินเนือ้ กันเอง จนกระทง่ั ต่อเมือ่ มีผู้รูจ้ กั เกบ็ เกีย่ ว ขา้ วซึ่งเดมิ งอกข้ึนเหมือนหญา้ และเดยี๋ วนเ้ี ป็นอาหารซ่ึงเล้ยี งชวี ิตมนุษย์ได้ ตา่ งคนตา่ งทํา ทา่ ทางและออกเสยี งละลํา่ ละลกั จนกระทง่ั กลายเป็นมีผูป้ ระดิษฐ์ใหม้ ีศพั ท์มีภาษาคําพดู มากขึ้น และนิ้วมอื ก็สามารถขดี เขยี นลายลกั ษณอ์ ักษรได้ เปน็ บําเหน็จอะไรหนอทพี่ ี่น้อง ของเราท้ังหลายไดร้ บั มาโดยอาศัยความคน้ ควา้

การต่อสู้และการพลซี ง่ึ เป็นเพราะความรกั ? หากมนุษยม์ อี านุภาพและเคราะห์ดี สมบรู ณ์พูนผล มคี วามสุขและมคี วามสบาย เกดิ มาก็มีผู้แตง่ ต้งั ใหส้ ืบราชสมบัติ ถา้ ตน ตอ้ งการราชสมบัตนิ ั้น และเปน็ จักรพรรดริ าช หากมนุษย์คนใดไม่แกช่ ราเพราะกรากกราํ ฉนาํ กาลทท่ี วมี ากข้นึ แตต่ ั้งแตป่ ฏิสนธแิ ห่งชีวิตของตนก็มีแต่ความสุขสบาย ถงึ กระนนั้ กย็ งั ไม่จุใจในรสแห่งกาม ยังคงใคร่และปรารถนาอยเู่ สมอ ถ้าหากผูใ้ ดไม่รู้จักทอ้ ถอยเน้ือเห่ียวดว้ ยความชรา และเปน็ ปราชญ์ผ้ทู ่มี องเห็น ทกุ ข์แตก่ ม็ สี ุขใจในบุญและความเมตตา ซง่ึ ปะปนอย่กู ับความชวั่ ท้งั ปวงในใตห้ ล้านี้ และมี อิสระท่ีจะเลอื กตามชอบใจในสง่ิ ใดทนี่ า่ รกั ยิ่งในโลกนี้ คือเลือกสัตวโลกอนั หน่งึ ดังตัวเราที่ เป็นอยู่เด๋ยี วน้ี โดยปราศจากความเศร้าโศก ความต้องการ ทรมานแตใ่ นความทรมานของ ผอู้ ่นื เว้นแตค่ วามทรมานดว้ ยเหตุท่เี ปน็ มนษุ ย์ ถ้าสตั วโลกใดกต็ ามมอี ะไรต่อมิอะไรทจ่ี ะให้ แลว้ ให้เพราะมีความรกั ในเพอื่ นมนษุ ยด์ ว้ ยกัน แล้วกพ็ ลีจนแม้แต่ชวี ติ ของตนเพือ่ ค้นควา้ หาความจริงสาํ หรับล่วงรคู้ วามลบั แห่งการช่วยเหลอื สัตวโลกใหพ้ ้นทกุ ข์ โดยความลบั น้นั ซ่อนอยใู่ นขมุ นรก หรอื ในสวรรค์ หรืออยู่ใกล้เราแตเ่ ราไม่รไู้ ม่เห็นก็ตาม ในหัวใจของสงิ่ ใด ๆ ก็ตาม ในทีส่ ดุ เมอื่ ไดพ้ ยายามนาน ๆ ไป เราแน่ใจว่า ส่งิ ท่ีเป็นฉากปอู งปดิ ความลบั ตอ้ ง เผยให้ปรากฏแกต่ าของมนษุ ยซ์ ่ึงคลําอยใู่ นความมดื และวิถที างเดินกจ็ ะเผยออก ณ เบ้ือง เท้าอนั เจ็บปวด แลว้ คงจะถงึ ซึ่งผลท่ีหวังในขณะเม่อื ตนสละความเป็นอย่ขู องโลกนี้ อกี ท้งั ความตายกจ็ ะได้พบผทู้ ี่มีอํานาจเหนือมัน น่ีแหละเป็นสงิ่ ท่เี ราเอง ผูม้ รี าชอาณาจักรทตี่ ้อง สละท้งิ จะเปน็ ผกู้ ระทาํ เราอยากทาํ กเ็ พราะเรารกั ราชอาณาจักรของเรา เพราะใจเราเตน้ เปน็ อนั หนงึ่ อันเดียวกนั กับใจของผู้ซ่ึงทรมาน จะเปน็ ผทู้ รี่ จู้ ักกด็ ีหรอื ไม่รจู้ กั ก็ดี สตั วโลกซง่ึ อักโขผเู้ ปน็ ของเรา หรือซ่งึ ตอ่ ไปจะกลายเปน็ ของเรา และจะได้รบั ความช่วยเหลือให้พ้น จากกองทกุ ข์โดยการสละเสยี ซึง่ เรายอมประพฤตใิ ห้เขาบัดน้ี โอ! ดาราซ่ึงเป็นเครอื่ งแนะนาํ เรา เรายอมนําตนไปประพฤตแิ ล้ว! โอ! ธรณีอนั เศรา้ หมอง สําหรับเจ้าและสง่ิ ซ่ึงอย่เู หนือทรวงของเจ้า เรายอมสละความหนมุ่ แนน่ ของเรา ราชบัลลงั กข์ องเรา ความสนกุ รา่ เรงิ ทง้ั ทิวาอันร่งุ โรจน์ และราตรอี ันสขุ ของเรา พระราชวงั อนั เกษมศานตข์ องเรา และจากวงแขนของพระนาง แม่กัลยาณผี ู้เปน็ เทวสี ดุ สวาทของเรา ซ่ึงเรายังอาลยั ยิ่งในการท่ีพรากไปยิง่ กวา่ สงิ่ ท้งั ปวง! แต่เธอนกี้ เ็ หมอื นกัน เราต้องช่วยเธอ พรอ้ มกันกับท่ีชว่ ยโลก และผูท้ ีซ่ ่งึ ดิ้นรนอย่ใู นคพั โภทรของเธอ คือลูกของเรา บุปผาที่ ซ่อนซึง่ เกดิ ขน้ึ เพราะความปฏิพทั ธ์ของเรา ซงึ่ ทาํ ให้ท้อต่อความตกลงใจของเรา ถ้าเรายัง รอเพอื่ อวยพรเขา \"โอ! แม่เทวที ร่ี ักของฉัน! ลกู ของฉัน! พระราชบดิ าของฉนั ! อาณา ประชาราษฎรของฉนั ! ทา่ นจาํ เปน็ ตอ้ งอดรนทนโศกาลัยไปพกั หนึง่ ก่อน เพื่อประทีปจะได้ โชตชิ ่วงชัชวาลขึน้ แลว้ สตั วโลกทงั้ หลายก็ตะได้เรยี นธรรมวนิ ัย บดั น้ีฉันไดต้ กลงใจแลว้ ฉนั จะออกเดินทาง และจะไมก่ ลบั กอ่ นกาลทฉ่ี ันได้พบสิง่ ที่ฉนั ค้นมาน้ันแล้ว หากวา่ การ ค้นหาย่อมเปน็ ไปดว้ ยศรัทธาและความพยายามของฉันจะสามารถสาํ เร็จได้\" ครั้นแลว้ พระองคก์ ท็ อดสายพระเนตรแห่งการรํา่ ลาอย่างสุดแสนอาลยั ไปสดู่ วง พกั ตร์ของพระนางซ่งึ กําลังหลบั อันยงั ชุ่มโชกอยูด่ ว้ ยพระอสั สุชลซ่ึงทรงกนั แสง แลว้ พระองค์กค็ อ่ ย ๆ วดั เฉวยี นเวยี นรอบทีบ่ รรทม ๓ ครั้ง โดยความเคารพประหนึง่ ว่าเคารพตอ่ พระแทน่ พลางประณมพระหตั ถเ์ หนือหทยั ซง่ึ ปน๎่ ปวุ น \"ไมม่ วี นั ที่เราจะได้มานอนที่นอ่ี ีก แลว้ \" พระองค์ตรัสแก่พระองคเ์ อง แลว้ พระองค์กอ็ ยากจะเสดจ็ ออกไปถงึ ๓ ครงั้ แต่ทง้ั ๓ ครงั้ น้ันเอง พระองค์ก็ตอ้ งเสด็จกลับ ทั้งน้เี พราะความงามของพระนางยโสธรานั้นยอดยงิ่ และความรักของพระองคซ์ ่งึ มีอยแู่ ก่พระนางกเ็ หลอื ลน้ จนพระองคต์ อ้ งเอาฉลองพระองค์ คลุมพระเศยี รแล้วกลบั ดาํ เนินเปิดมา่ นเสดจ็ ออกไป

เมือ่ เสด็จออกมาแล้วก็ทอดพระเนตรเหน็ นางสาวสนมทง้ั ปวงกําลังนอนหลับอยู่ เดยี รดาษประดุจดอกปทุมชาติท่ีน่งิ อยเู่ หนือน้ํามนี างคุงคะและโคตมที ้งั สองซง่ึ ประหนึ่ง ดอกปทมุ ฝาแฝดท่ีพ่ึงแย้มกลีบนอนอยูข่ า้ งเคยี งนางอนื่ ๆ ทเี่ ปน็ คล้าย ๆ ใบอนั เขยี วชอ่มุ น่าเอ็นดู เม่ือทอดพระเนตรเห็น พระองคจ์ งึ ตรัสวา่ \"เจ้าสวยมากทีเดยี ว นางสดุ สวาทท้ังหลาย กระทาํ ใหเ้ ราพรากจากเจา้ ไปไดย้ าก เสยี น่กี ระไร แต่ถา้ เราไม่พรากจากเจ้าซ่งึ ไม่มยี าแก้และความมรณะซึง่ หลีกไม่พน้ ไมม่ ีพ้น ด้วยกนั ทงั้ ส้นิ แมเ้ จ้าท้ังหลายนมี้ กี ารหลับเปน็ การพักผอ่ นก็ดี แต่เจา้ ก็ต้องตายอยดู่ ี กเ็ มอ่ื ดอกกุหลาบคายแลว้ รสกลน่ิ และความงามไปอยู่ท่ไี หนหนอ? เมอื่ ตะเกียงดับแลว้ เปลวไฟ ไปอยเู่ สียทไ่ี หน? \"โอ! ในราตรีนจ้ี งดลความหนกั ใหแ้ ก่หนงั ตาและตรงึ ตราริมฝีปากของเขาเหล่าน้ี ดว้ ย เพอื่ อย่าใหม้ ีการรอ้ งไห้ มเี สียงแสดงอาลัยโดยภักดีมายับยงั้ การออกเดนิ ทางของเรา ได้ เพราะถ้าบรรดานางสาวศรเี หลา่ น้ยี ่ิงกระทําความสาํ ราญให้แกช่ นมชพี ของเรามากข้ึน ตราบใด ความขืน่ ขมกจ็ ะยง่ิ มอี ยู่ในใจทีจ่ ะให้เหน็ ไปวา่ เขา(คือสตรที ง้ั หลายเหลา่ น้ี) กบั ตัว เราเองอีกทั้งธรรมชาติอน่ื ๆ ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งกจ็ ะดาํ รงอยใู่ นชนมชีพของตน เหมือนต้นไม้ ซ่ึงเกิดข้นึ ในฤดูอบอุน่ กรากกรําฝน หมิ ะและความหนาว แลว้ ก็เต็มไปดว้ ยใบที่ตาย เพอ่ื เกิด ใหม่ซ่งึ บางทีจะเกดิ ในฤดูอบอุ่นหนา้ น้ันอกี หรือมิฉะนนั้ ก็ถูกตดั ดว้ ยคมแหง่ ขวานเสยี ดังนี้ก็ มี เราไม่ตอ้ งการให้เปน็ ดงั น้ี เราซง่ึ มีชนมชีพอยู่ในมนษุ ยโลกน้ี เปน็ ชนมชีพแห่ง เทพเจ้า! เราไมต่ ้องการเชน่ น้ันอยตู่ ลอดเวลาท่มี ุนษุ ยย์ ังคร่ําครวญอยู่ในความมดื ฉะนนั้ ลา ก่อนนะมงิ่ มติ รท้ังหลาย! ในระหวา่ งทีช่ วี ิตของเรายังทาํ ประโยชนไ์ ด้ เรากท็ าํ เราจึงไปเพื่อ แสวงหาทางทจ่ี ะช่วยเหลอื ให้พ้นทุกขเวทนา และหาความสว่างท่ยี งั ไม่ปรากฏ ณ บัดน\"้ี ครัน้ แลว้ พระสิทธตั ถะกค็ ่อย ๆ เสด็จผา่ นมาในทา่ มกลางแห่งสตรสี าวท้งั ปวงซง่ึ กาํ ลงั หลับ เม่อื พ้นแลว้ ก็มาบรรลถุ ึงในทา่ มกลางแห่งราตรกี าล ซ่ึงมดี วงตา คอดาราแจ่ม จรัสทัง้ หลายมองดูพระองคด์ ้วยความรัก และลมกโ็ ชยเฉือ่ ยฉิวมาต้องชายฉลองพระองค์ อยูไ่ หว ๆ ปวงบปุ ผชาตซิ ึ่งจบี กลีบในยามทิวาวารกแ็ ย้มกลีบน้ันออกเพ่ือสง่ กลิ่นหอมด้วย เกสรสีกุหลาบและแดงเข้ม ณ ทงุ่ ตัง้ แตภ่ ูเขาหมิ าลัย จนกระทัง่ ถงึ ทะเลแหง่ ประเทศ อินเดยี กใ็ หบ้ ังเกิดความสะเทอื นเหมือนหนงึ่ วา่ ดวงวญิ ญาณของแม่พระธรณสี นน่ั หว่นั ไหว โดยมหี วังในสง่ิ อะไรอยา่ งหนึง่ ซ่ึงยงั ไม่ปรากฏ อนง่ึ พระคัมภีรซ์ ่ึงพรรณนาพระประวตั ิของ พระพุทธเจ้าของเรายังกล่าวอกี วา่ มีเทพดรุ ยิ างค์บรรเลงทางทศิ ตะวันออกและตะวันตก โดยหมเู่ ทวดาซ่งึ เปล่งปล่งั ด้วยรศั มี ทําให้ราตรกี าลและเวหามแี สงสวา่ ง และชืน่ บานท้ัง ทศิ เหนอื และทศิ ใต้ ยง่ิ กวา่ นั้น ท้าวจตโุ ลกบาลกเ็ รยี งเปน็ แนวแถวละสองลงมาสูพ่ ระทวารแหง่ พระราชวัง พร้อมด้วยหมู่ทวยเทพอนั เปล่งปลัง่ ซ่งึ มนุษยแ์ ลไม่เห็น มีอาวธุ คอื นลิ เงนิ ทองและไขม่ ุก ประณมมอื ชมุ่ ชื่นด้วยองคพ์ ระสิทธตั ถะราชกมุ ารแหง่ อินเดยี ซง่ึ พระเนตร ชมุ่ โชกไปดว้ ยพระอสั สชุ ล ทอดดูหมดู่ ารา และมิไดเ้ ผยรมิ ฝพี ระโอษฐ์ ทรงมงุ่ แต่ในพระ หฤทัยราํ พึงถึงความรกั สรรพสัตวอ์ ันใหญ่ยงิ่ พระองค์ทรงย่างเขา้ สทู่ ีม่ ืดแล้วรอ้ งว่า \"นายฉันนะ ลุกข้นึ เถิด แลว้ จงู กณั ฐกะ ออกมา\" \"พระองค์มพี ระประสงค์อะไร!\" นายมา้ ต้นทูลถาม พลางคอ่ ย ๆ ลุกขน้ึ จากท่ซี ง่ึ เขานอนอยู่เคียงข้างประตู \"จะเสดจ็ ทรงมา้ ไปในเวลาค่ําคนื ในยามซึง่ วถิ ที างทุกแห่งกาํ ลงั มืดอยูอ่ ยา่ งนี้หรอื พะยะค่ะ\" \"พดู คอ่ ย ๆ เถดิ \" พระสิทธตั ถะตรสั \"จงนําม้าของฉันออกมา เพราะถึงเวลาซง่ึ ฉัน

ต้องพรากจากท่คี ุมขังอนั อร่ามเรอื ง ที่ใจของฉนั เห็นว่าเหมือนตดิ กรงน้แี ล้ว เพ่ือจะได้ไป พบความจริงซึ่งฉันจะไปหาต้ังแตบ่ ดั นีเ้ ปน็ ต้นไป สําหรับความพ้นทกุ ขภ์ ยั แห่งมนษุ ย์ ท้ังหลาย จนกว่าจะไดค้ ้นพบ\" \"นา่ ประหลาด! พระองคผ์ ู้เป็นทีร่ กั ของข้าพระพุทธเจ้า\" นายฉันนะทูลสนอง \"มิ เปน็ การไร้ประโยชน์แลว้ หรือ ซงึ่ บรรดาปราชญ์และฤาษผี ู้สงั เกตดูดาว แลว้ กลา่ วใหเ้ รา คอยเวลาซึง่ พระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะจะครองมหาอาณาจักร และจะเป็นราชา แห่งราชาทง้ั หลายน้นั (พระเจา้ จกั รพรรดริ าช) พระองค์อยากเสดจ็ โดยทอดทงิ้ โลกและ ราชสมบัติอันมโหฬารใหพ้ น้ จากพระราชอํานาจของพระองค์ เพ่ือไปถอื กะลาอย่างคน ขอทานเชน่ นนั้ หรอื พระองค์อยากเสด็จไปหาที่วา่ งงเวงิ้ อันเรา่ รอ้ นดงั นนั้ หรอื พระองค์ผมู้ ี เมอื งสวรรค์แหง่ ความเกษม ศานตอ์ ยู่ที่นี่\" พระสทิ ธัตถะตรัสตอบว่า \"ความว่างเวิ้งนนั่ แหละทฉ่ี ันตอ้ งการ ไมใ่ ชต่ อ้ งการราช บัลลงั ก์ ราชสมบัติท่ีฉนั ตอ้ งการมคี า่ ย่งิ กวา่ ราชอาณาจักร และส่งิ ท้ังหลายท่อี ย่ใู ต้อาํ นาจ แหง่ ความชราและมรณะ จงนาํ กัณฐกะมาให้ฉันเถิด\" \"พระองคผ์ ู้ทรงเกียรตยิ ศยิ่ง\" นายม้าตน้ กราบทูล \"ขอพระองค์จงทรงระลึกถึง ความเศร้าโศกของพระราชบิดาของพระองคเ์ ถดิ จงทรงคิดถงึ ความโศกาดูรของผซู้ งึ่ พระองคไ์ ด้ร่วมสนั ติสขุ เกษมศานต์ยง่ิ กว่าใคร ๆ นนั้ เถดิ ! พระองค์จะช่วยไดอ้ ย่างไร เมือ่ พระองคม์ าเร่ิมทอดทงิ้ เสียแลว้ ดังนี้\" พระสิทธัตถะตรสั ตอบว่า \"เพือ่ นเอ๋ย เปน็ ความรักทผ่ี ดิ แทท้ ีไ่ ปผกู พนั กบั สิ่งท่ีตน รกั เพอ่ื ให้ไดค้ วามสนกุ สนานแตต่ ัวเองโดยตรง แต่ฉันเองซึ่งรักพระราชบดิ าและแมเ่ ทวี พระนางของฉันยิง่ กว่าความสนกุ ร่นื เริงของฉนั เอง ท้ังย่ิงกว่าความสนุกรน่ื เรงิ ของพระราช บดิ าและแม่เทวดี ว้ ย ฉันต้องออกเดนิ ทางไปเพือ่ ชว่ ยท่านเหล่าน้กี ับสตั วโลกอ่นื ๆ ทงั้ หลาย ให้พน้ จากกองทกุ ข์ หากแหละความรกั อันแรงกล้านัน้ สามารถบันดาลให้สาํ เร็จได้ ไปเถิด ไปนํากณั ฐกะมาใหฉ้ ัน\" นายฉันนะจึงทลู วา่ \"พะยะคะ่ ขา้ พระพุทธเจา้ จะไปจัดนํามาถวาย\" ทูลแล้วก็ไปสู่ โรงมา้ ดว้ ยอาการอันเศร้าโศก หยิบเอาขลุมเงิน บงั เหียน สายรัดทึบ สายคางจากท่ีเกบ็ รัด สายรัด ติดห่วง และจงู กณั ฐกะออกมา แลว้ ผกู กบั หว่ ง แปรงและผูกเครอ่ื ง พลางลบู เลา้ ถู กายอนั ขาวเหลอื บดุจไหม เอาพรมสเี่ หล่ียม (นมู ดา-พรมสาํ หรับรองอานม้า) ปหู ลังและวาง อานอนั งามลง รัดสายรัดทบึ ประดับนลิ จนิ ดา สวมซองหางขา้ งท้ายผา้ รัดหลงั เอาโกลน ทองคาํ แกะเปน็ ลวดลายลงทั้งสองข้าง ครั้นแลว้ กค็ ลุมกายทั้งมวลด้วยผา้ รา่ งแหไหมสีทอง เหลอื บประดับไข่มกุ แล้วพาอัศวอาชาไนยอันงามนั้นมาสู่ทวารพระราชวงั ซึ่งพระสิทธตั ถะ ทรงรออยู่ และมา้ นั้นโดยยนิ ดีทเี่ ห็นพระองค์ กร็ อ้ งขน้ึ อยา่ งรา่ เรงิ พลางกระทําอาการกริ ยิ า ดว้ ยจมกู อันเบง่ นอกจากนี้ในพระคมั ภีร์ยงั กลา่ วอีกวา่ ถ้าหากปวงเทวาไมช่ ว่ ยบันดาลปดิ โสต ประสาทของผทู้ หี่ ลบั เหลา่ นัน้ เสียเพ่ือปอู งกนั ไมใ่ หไ้ ด้ยินแล้ว แนน่ อนทีเดียว ทุก ๆ คนจะ ได้ยินเสียงร้องของกัณฐกะอศั วราช กับเสียงค้ยุ เขย่ี ดว้ ยเท้าซง่ึ สวมดว้ ยเกอื กเหลก็ พระสิทธตั ถะประคองเศียรอันสงา่ ของกัณฐกะ ลูบคลาํ คออันเหลอื บแล้วตรสั ว่า \"นง่ิ เสียเถิดกณั ฐกะขาวทรี่ ัก น่ิงเสียเถดิ จงพาฉันไปในระยะอนั หา่ งไกล ซ่ึงไมเ่ คยมอี ศั วนึก คนใดเคยไปถึง เพราะคนื น้ฉี นั ออกไปหาเพอ่ื ความจรงิ ความจรงิ ซง่ึ ฉันยงั รู้ไมไ่ ดว้ ่าการ แสวงหาของฉันจะสดุ สิน้ ลงทไ่ี หน ขอแต่อยา่ ใหส้ ุดส้ินลงก่อนทก่ี ารแสวงหาของฉันจะได้ บรรลุถงึ สัมฤทธิผลเทา่ น้นั ฉะนนั้ จงรา่ เริงและวอ่ งไวเถิด ม้าท่รี กั ของฉนั และขออย่าให้มีสงิ่

ใดอาจมาขดั ขวางวถิ ีทางของเจ้าไดจ้ นแม้แต่ดาบต้ังพนั เลม่ มากดี ขวางทางของเจา้ อยู่ อกี ท้งั กาํ แพงท้งั หลุมกอ็ ยา่ ใหอ้ าจมากีดก้ันทางไปของเราได้ จงฟง๎ ถา้ ฉันกระตนุ้ สีข้างของเจา้ เขา้ แลว้ รอ้ งวา่ \"ไปเถิด กัณฐกะ! กจ็ งไปใหเ้ รว็ ย่งิ กวา่ ลมหวน และจงทาํ ให้เหมอื นไปกับลม ในการอาสาเจา้ ของเจา้ นะม้าเอ๋ย ถ้าดงั นก้ี ็นับวา่ เจา้ จะได้มีส่วนกับเจา้ ของของเจ้าในบุญบารมแี หง่ กจิ ซ่ึงสามารถช่วยโลกใหพ้ ้นจากทุกข์ ได้ เพราะวา่ การท่ีฉันออกไปนี้ไม่เพยี งแตส่ าํ หรบั ช่วยเฉพาะมนษุ ย์ แตย่ งั จะสําหรับชว่ ย บรรดาสัตว์ท้งั หลายทงั้ ปวงทีพ่ ูดไม่ได้ ทมี่ สี ว่ นความลาํ บากดว้ ยกับเรา และไม่มีความหวัง ทั้งกไ็ ม่มคี วามฉลาดพอที่จะขวนขวายหาความหวงั นน้ั ดว้ ย\" เมอ่ื ตรัสเสร็จแล้ว พระองค์ก็ค่อย ๆ เสด็จข้ึนไปประทับเหนืออานลบู คลาํ ผมอนั งาม กณั ฐกะจงึ วง่ิ ถลาจนเท้าซึ่งสวมเหลก็ กระทําให้เกิดเป็นประกายเพลิงและทาํ ใหเ้ หลก็ บงั เหียนมเี สียง แตก่ ็หาทาํ ให้ผู้ใดได้ยินเสยี งเหลา่ นไ้ี ม่ เพราะเทวสทุ ธัส (แปลว่า \"ผู้บรสิ ทุ ธิ์\" เป็นชอื่ ของบุคคลชนั้ สูง หรือ อรยิ ะ) ซ่ึงลงมาแห่ห้อมพระองคเ์ ก็บดอกโมคราสีแดง (ดอกไมเ้ ถา ในปาุ อินเดีย) แล้วกโ็ ปรยโรยไปตามวถิ ีทางท่เี สด็จไป และเอาพระหตั ถซ์ งึ่ มองไมเ่ หน็ กมุ เสยี งดังของบังเหยี นและสายโซ่ พระคมั ภีร์ยังกลา่ วอกี ว่า เม่อื เสดจ็ ถงึ พระลานใกล้พระทวารใน มอี สรู นาํ ผ้าวิเศษ มารองรบั เท้าของอัศวราช แลว้ กุมกนั มใิ ห้เสยี งฝีเท้าดงั ออกมาได้ ครน้ั ถงึ ประตูสัมรดิ ๓ ชน้ั ซ่งึ มคี นยาม ๑๐๐ คน เปิดปิดแทบไมอ่ อกน้นั ก็ค่อย ๆ เปดิ ออกเองอยา่ งเงยี บ ๆ แม้ตามธรรมดาเมือ่ เปิดหรือปิดแลว้ ประตูนนั้ กย็ ่อมดังกอ้ งกงั วาน ไปในระยะ ๒ ก๊อสส์ (มาตราวัดของอินเดยี กอ๊ สสห์ นึ่งประมาณระยะ ๘๔๐ วา) ดจุ เสยี งฟาู ร้อง เพราะเสียงระฆังและโซอ่ นั หนกั แห่งประตูน้ัน ประตูอันมหึมาดา้ นกลางและด้านนอกเปดิ ออกเองอย่างเงยี บ ๆ ดจุ ประตูแรก ใน เมื่อพระสทิ ธตั ถะและราชอาชาไนยจะใกล้ถงึ ฝาุ ยกองรักษา ทง้ั นายและพลทหารซึ่งราย เรยี งเขา้ วถิ ที างก็แนน่ ิ่งประดุจคนตาย พลางปล่อยหอกดาบและโลเ่ ขนเสยี เพราะตาม วิถีทางของพระองคท์ เี่ สดจ็ ไปนัน้ มลี มซึง่ ทาํ ใหน้ อนหลับไดย้ ่ิงกวา่ ลมแห่งทุง่ มัลลวะ (เปน็ ช่อื จงั หวัดหน่งึ ในแว่นแคว้นอินเดียซง่ึ เปน็ ท่ีปลกู ตน้ ไม้ชนิดหนง่ึ ใชท้ าํ ฝิ่น) อนั ง่วงเหงาและหลับใหล ทั่วทศิ านุทศิ ดังนี้แหละซึง่ พระสทิ ธัตถะกบั ราชอาชาไนยและนายฉนั นะจงึ ออกจาก พระราชวงั ไปได้อย่างงา่ ยดาย เมื่อดาวกัลปพฤกษจ์ วนร่งุ ข้ึนอยู่ทางบรู พาทศิ ห่างขอบฟูาประมาณคร่ึงหอก และ ลมเฉือ่ ยเวลาเชา้ เริ่มพัดเหนอื พระธรณกี ระทาํ ให้แมน่ ้ําอโนมาซ่ึงใช้เป็นเขตขัณฑเสมา อาณาจกั รเกดิ เป็นละออง พระสิทธัตถะจงึ ลดบังเหียน ทรงกระโดดลงยังพ้นื ดิน และเมื่อ ทรงถอดเศวตกณั ฐกะตรงหวา่ งหแู ล้วกต็ รัสแก่นายฉนั นะว่า \"ตามที่เธอไดท้ ํามาแลว้ น้ี จะ เปน็ กุศลโชคแก่เธอและสตั วโลกท้ังปวง จงแน่ใจเถิดว่า ฉันรกั เธอเสมอ เพราะความ กตญั ํซู งึ่ เธอได้แสดงใหป้ รากฏแลว้ แก่ฉนั จงพาม้าของเธอกลับไปเถดิ และเอาสร้อย ไข่มุกและเครอ่ื งทรงของฉนั ซง่ึ บดั นไี้ ม่มีประโยชน์อะไรแก่ฉันแลว้ เข็มขัดประดบั มณีวิเศษ ดาบและกองเกสาซง่ึ ฉนั ตัดจากเศียรเกลา้ กับอาวธุ อันคมกรบิ นไี้ ปดว้ ยเพ่ือถวายให้แกพ่ ระ ราชบดิ าทง้ั หมด และกราบทลู ว่า \"สทิ ธตั ถะขอใหพ้ ระองค์ทรงลมื สทิ ธัตถะ จนกวา่ สทิ ธัตถะจะ กลบั มาพรอ้ มดว้ ยเกียรตคิ ุณอนั ทศทวี ไดส้ ําเรจ็ ซงึ่ ราชวิทยาการโดยอาศัยการเสาะแสวง อย่างโดดเดยี่ ว และการตอ่ สู้ของพระองค์เพ่ือหวังประทปี คอื แสงสว่าง\" และจงทลู พระองค์ว่า \"ถา้ ฉันไดบ้ รรลถุ งึ ความสว่างทวี่ ่านแ้ี ล้ว โลกทัง้ มวลก็จะเปน็ ของฉัน เพราะเห็น

แก่กจิ อนั สาํ คญั ทฉ่ี นั บาํ เพ็ญใหเ้ ขา เปน็ ของฉนั โดยความรกั เพราะความหวังของมนุษย์ ยอ่ มสาํ เร็จได้ แต่เมอ่ื หวงั พ่งึ เพ่ือนมนุษยด์ ้วยกันเทา่ น้นั เอง และไม่มีใครเลยท่ีแสวงหา ความหวังเพอ่ื ใหผ้ ู้อืน่ ได้พงึ่ ดังท่ฉี ันต้องการแสวงหา คอื ฉันซึง่ ยอมสละโลกียเ์ พ่ือช่วยโลก น\"ี้ ปรเิ ฉทที่ ๕ ทุกรกริ ิยากถา (พระมหาบุรษุ ทรงกระทาํ ทกุ รกิรยิ า) โดย รอบพระนคราชคฤห์ มีปุาไม้ห้อมลอ้ มไปดว้ ยภูเขา ๕ ลูก ซงึ่ เป็น ขอบเขตอาณาจักรของพระเจา้ พิมพิสาร ภูเขา ๕ ลกู น้คี ือ เขาไพภาระ เขยี วชอุ่มไปดว้ ยปุา หวายซ่ึงมรี สสคุ นธแ์ ละต้นตาล เขาพปิ ุลล์ ซ่ึง ณ เชงิ เขานน้ั มตี ้นนา้ํ สารสูตไิ หลเร็วจนเป็น ฟอง เขาตโปวนั อันรม่ ร่นื และมบี ึงใหญห่ ลายบงึ แลดูนํา้ ขมุกขมัว มเี งาผาสีดาํ และมลี ําธาร ไหลจากยอดเขาลงมาส่พู ระธรณี ณ ทศิ ใตก้ ็ดูตระหงา่ นดว้ ยเขาไศลาคิรี สํานกั แหง่ หมแู่ ร้ง และทางทิศตะวันออก คอื เขารัตนคีรี เขาแหง่ เพชรนลิ จนิ ดา มวี ิถีทางขรขุ ระ สายหนงึ่ ดาษไปด้วยหินซงึ่ สกึ หรอดว้ ยการเดนิ แหง่ เทา้ และซ่ึงผา่ นไปสูไ่ รห่ ญ้าฝร่ันและ ปุาไผ่เป็นหย่อม ๆ เบ้อื งใต้แห่งตน้ มะม่วงซง่ึ มกี ิ่งสาขาเป็นรม่ และต้นพุทรา ใกล้กับก้อน ศลิ าสเี ทาและหนิ ออ่ นขาวดุจน้ํานม กอ้ นศิลาชนั และพนื้ ทซ่ี ่งึ เต็มไปด้วยดอกไมป้ ุา เปน็ ทางไปประจวบกับไหล่เขาทางทศิ ตะวนั ตก ซ่งึ มีถาํ้ อยหู่ นึ่งปกคลมุ ด้วยตน้ มะเด่ือปุาชะโงก ออกมา ท่นี ัน่ แหละ ทา่ นผูส้ ญั จรไปมาทา่ นจงถอดรองเท้าของทา่ นออก และนอ้ มเศยี รทา่ น ลง เพราะในโลกนไ้ี ม่มที ี่ไหน ๆ ซง่ึ ประเสรฐิ และศกั ดส์ิ ิทธย์ิ งิ่ กวา่ ท่นี ่ันแล้ว ณ ท่ีนัน้ แหละเปน็ ที่ซ่ึงพระพุทธเจ้าของเราเคยประทับอยู่ โดยทรงทรมาน ตรากตราํ อย่ตู ลอดฤดรู อ้ นอันอบอา้ ว และฝนหา่ ใหญ่ แสงอรณุ และอากาศอันเยือกเย็น เพ่ือ ชว่ ยมนุษย์ให้พ้นจากกองทกุ ข์ โดยทรงคลุมพระองค์ดว้ ยพระภูษาเหลือง(เปน็ สที ่ีนักบวช ภกิ ขาจารเลอื กใช้) เสวยพระกระยาหารอยา่ งเลวดุจยาจก ซึง่ สดุ แต่จะมีผศู้ รัทธาถวาย หรือไม่ กลางคืนกบ็ รรทมเหนอื หญา้ โดยปราศจากทร่ี ่ม สันโดษเดีย่ วอยู่แตล่ ําพงั พระองค์ ฝุายหมู่สุนัขจิ้งจอกซึง่ ยงั ไม่นอน กเ็ ห่าหอนโดยรอบถา้ํ ของพระองค์ หรอื มิฉะนั้นเหลา่ เสือหวิ ก็คํารามก้องอย่ใู นปาุ ละเมาะ ที่น่นั แหละพระองค์ผู้ซง่ึ มนุษยโลกบูชา ประทบั อยูท่ ั้งกลางคืนและกลางวัน โดยสละพระวรกายซ่ึงควรรบั แต่ความสนั ติสุข มาถือกา รอดพระกระยาหาร และอดบรรทมเป็นเวลายืดยาวเพ่อื สงบพิจารณาด้วยความสุขมุ คัมภรี

ภาพ นานจนในระหวา่ งซ่งึ พระองค์กาํ ลงั ประทบั ตรึกตรองพิจารณานิ่งแนแ่ ม้นเหมือนดงั ศิลาอยู่นัน้ มีกระรอกกระโดดไปบนพระชานขุ องพระองคบ์ ้าง มไี กน่ า(นกชนดิ สเี หลือง มี ลายคลา้ ยไกน่ า) ท่เี ปรียวมาฟก๎ ฟองในระหวา่ งพระบาท และมีนกพริ าบปาุ มาคอยกินเมล็ด ขา้ วในบาตรซง่ึ ตง้ั อย่เู คยี งข้างพระหตั ถข์ องพระองคบ์ ้าง พระองค์ทรงราํ พงึ พจิ ารณาอยู่ดงั นี้ ตงั้ แตเ่ ท่ยี งวนั คราเม่อื ความรอ้ นเผาพื้น ธรณีให้ระอุ และกาํ แพงและศาลปูชนยี สถานมปี ระกายแวววับ ในท่ามกลางอากาศร้อน จนกระทัง่ ถึงดวงอาทิตยอ์ สั ดงคตโดยไม่ทรงสงั เกต แม้แตด่ วงสุรโิ ยทัยอันอรา่ มเรืองซ่งึ หมุนอยใู่ นเวหา หรอื แม้แต่เวลาสายณั หซ์ ่ึงตกไปอย่างรวดเร็ว และฉายแสงสแี ดงเข้มเหนือ ทงุ่ อนั ราบร่นื จนแมแ้ ตย่ ามสงัดหรือเหลา่ ดาราท้ังหลายปรากฏขึ้นมาแม้แตส่ ียงกลองใน เมืองอนั กกึ ก้อง แมแ้ ต่เสียงร้องของนกฮกู และการตอ่ สูใ้ ด ๆ ท้ังปวงในราตรกี าลเลย เพราะพระองคก์ าํ ลังผูกพระทัยพระองค์ในการท่จี ะใช้วจิ ารณญาณอยา่ งเขม้ งวดของ พระองค์ เพอ่ื จะได้ทรงประจักษ์สภาพความเปน็ จริงอนั อเนกประการแห่งความเปน็ อยทู่ ง้ั ปวง พระองคไ์ ดป้ ระทับอย่ดู งั น้จี นกระทั่งถึงกาลเที่ยงคนื ซึง่ ธรรมชาติทุกอย่างบน ธรณสี งบตนสิน้ แลว้ เวน้ แตส่ ตั ว์กลางคืนซ่งึ เลื้อยคลานและรอ้ งในปุารก เสมือนดงั ความ กลวั และความแค้น และตณั หา ความตระหนี่ ความโกรธ ซ่งึ คลุกคลอี ยใู่ นปาุ ทบึ แหง่ ความ ไม่รูข้ องหมู่มนษุ ย์ คร้นั แล้วพระองคก์ บ็ รรทมเฉพาะช่วั เวลาพระจันทรโ์ คจรไปเหลอื ๑ ใน ๑๐ ของระยะทางจวนจะสิ้นสุดแหง่ ราตรี แลว้ กท็ รงต่ืนแต่เชา้ มืด ประทบั รําพึงเพียรต่อไป เหนอื พระแท่นหนิ ในเวลาท่ียังขมุกขมวั อยพู่ ลางพจิ ารณาพนื้ แผ่นดนิ ซึ่งสงบเงียบ ดว้ ยดวง พระเนตรอันขะมักเขมน้ และความคิดซ่งึ ผกู พันในสัตวโลกซึง่ ท่มี ชี วี ิตท้ังปวง คราเม่ือเหนือ ทุ่งกบ็ ังเกดิ เสียงเคลอื่ นไหว ในเวลาเช้าซง่ึ ปลุกใหป้ วงชนทัง้ หลายต่นื และทางเบือ้ งบูรพา ทศิ ก็ปรากฏจดุ รัศมมี หศั จรรย์แหง่ วันใหม่ กลา่ วคอื ในชัน้ ตน้ มแี สงขมุกขมัวยิง่ ประหนงึ่ ว่า ราตรีกาลน้นั จะไม่สําเหนียกเสียงในเวลาแรกอรณุ แต่ภายในไมช่ า้ กอ่ นที่ไกป่ าุ ขนั ๒ ครง้ั กระแสแสงเงนิ ก็แผ่กว้าง และแจ่ม จาํ รสั ข้นึ ทกุ ทกี ็ปรากฏขนึ้ สูงเทยี มดาวประจาํ เมืองซ่ึงถูกกลบเกลอ่ื นไปในหว้ งสเี งินนั้น เกิดเป็นสที องอ่อน ๆ ถกู ปกคลมุ ดว้ ยหมอกอันสงู สุด ส่องแสงสวา่ งสที อง ย้อมขอบเมฆ หมอกเป็นสีขมนิ้ สแี ดงเข้ม สีกุหลาบ และสีม่วง ครน้ั แล้วฟาู ก็กลายเป็นสีเขยี วสดใสและ เม่ือฟาู นน้ั เปล่งปล่ังไปด้วยรศั มีแหง่ แสงสว่างแลว้ ราชาแห่งชีวติ (พระอาทติ ย์)ก็โคจร ออกมาเปล่งรัศมีเตม็ ท่ี ครนั้ แลว้ พระมหาบรุ ษุ ของเรา ซึง่ ทรงกระทําอยา่ งฤาษกี ก็ ระทาํ ความเคารพดวง อาทิตยซ์ ึ่งปรากฏออกมานัน้ , และเมอ่ื ไดท้ รงชําระพระวรกายแลว้ ก็เสด็จเขา้ สู่ในเมืองโดย ทางทคี่ ดเคยี้ ว และโดยอาการอย่างฤาษีรูปหนึ่ง พระองคก์ ็เสดจ็ ไปตามถนนต่าง ๆ มบี าตร อยู่เหนือพระหัตถส์ ําหรับรับอาหารเลก็ น้อยเทา่ ท่ีจําเปน็ แก่การยงั ชีพ ในไมช่ ้าไมน่ านเท่าใด บาตรของพระองค์ก็เต็ม เพราะพลเมอื งมากมายต่างร้อง เชญิ วา่ “เชญิ พระองค์มารับอาหารจากทนี่ เี่ จ้าขา้ ” และ “จงมารบั ข้างนดี้ ้วย” ตา่ งคนต่าง สังเกตเห็นพระวรพักตร์อนั มบี ุญบารมี และดวงพระเนตรอนั คมคายของพระองค์ ฝาุ ยสตรีผมู้ ีอายุ เมอ่ื แลเหน็ พระองค์เสด็จผ่านมา ก็บอกให้ลูกหลานจบู พระบาทและเอา หนา้ ผากแตะขอบพระภษู าพระองค์ หรือเอาหม้อว่ิงไปใสน่ ้ํานมกับขนมจนเตม็ นําไปถวาย เมื่อพระองคผ์ า่ นไปทกุ ครง้ั ด้วยพระจรรยาอนั น่าเคารพและสงบเสงย่ี ม กอปร ด้วยพระจรรยาอนั มเี มตตาคณุ อย่างยอดเย่ยี ม เตม็ เปย่ี มไปดว้ ยความห่วงใยในเพอื่ นมนษุ ย์ ซ่งึ พระองคท์ รงทราบแตเ่ พยี งวา่ เป็นมนุษย์เชน่ เดียวกัน บางทีกม็ ีดวงเนตรอนั ดาํ ของ นางสาวอินเดียบางคนมองดูดว้ ยความพิศวงและโดยความยนิ ดโี ดยปจ๎ จบุ ัน แล้วตะลงึ แลดู

ความสง่างามของพระองค์ด้วยอาการเสมอื นหน่งึ วา่ หล่อนกาํ ลงั เห็นความฝ๎นอันสาํ ราญ บังเกิดเป็นความจรงิ แล้วความปรดี ์เิ ปรมก็พลนั อบุ ัติข้นึ ในดวงกมลของนาง แต่ฝาุ ยพระองคก์ ็เสด็จผ่านไปพร้อมดว้ ยบาตรและพระภษู าเหลืองของพระองค์ ทรงตอบแทนทานอันมผี เู้ ต็มใจถวายซึง่ พระองคท์ รงรบั มาน้นั ดว้ ยพระพรอนั ออ่ นหวาน แล้ว กเ็ สดจ็ กลบั คนื ยังภูผาศิลาอาสนอ์ นั วิเวกเพือ่ ประทับกับนกั บวชอืน่ ๆ แลว้ ฟ๎งเขาเหล่านน้ั ถามเขาเหล่านนั้ ในปรัชญาและในวถิ ีทางท่จี ะให้บรรลุปรชั ญานนั้ ดว้ ย ที่กลางทางซ่งึ สงบเสง่ียม ดว้ ยความร่มรนื่ ของรตั นครี ี ทางเหนอื ของพระนคร แต่เบอื้ งใต้แห่งถํ้าเป็นท่อี าศยั อยูข่ องหมชู่ นซงึ่ เชอื่ ถือว่า กายเปน็ ศตั รขู องวญิ ญาณ และ เน้ือเป็นเหมอื นสตั ว์ท่ีตอ้ งจําโซ่ตรวน และตอ่ ส้กู บั ความทรมานอันร้ายกาจจนกระทั่ง ความรสู้ ึกในความเจ็บปวดส้ินสญู ไป และซ่งึ กระทําความทรมานแกเ่ สน้ ประสาทของตนดจุ การกระทาํ ของเพชฌฆาต จาํ พวกมนุษย์เหล่าน้ี คอื โยคีพรหมจารี ภิกขุ (โยคี คอื ผหู้ นง่ึ ที่บาํ เพญ็ โยคะ หรอื นยั หนง่ึ มวลบัญญตั ติ า่ ง ๆ และหลกั เกณฑห์ ลายซึง่ นําไปสปู่ รชั ญาอนั สมบูรณ์<ความรู้ จริง> โดยทําลายอาํ นาจภายนอกซึง่ มีอยเู่ หนือวิญญาณ และทาํ ลายความรสู้ กึ ของบคุ คล โดยสภาพแห่งพรหมจารี เปน็ พวกใจบุญในสกลุ พราหมณ์ ภิกขุเป็นพวกทีป่ ฏิญาณตนงด เวน้ จากกิจปฏิบัติ ๓ ประการ คือความสนุกสนาน ความมง่ั คง่ั และความเพลดิ เพลนิ ทง้ั นี้ เพอ่ื จะได้ภาวนาหาความสงบระงบั โดยแทจ้ รงิ และเพอ่ื ทําลายเสยี ซ่ึงความอยาก ความกลวั และความหยิ่ง) เปน็ จําพวกเศรา้ และซูบซงึ่ อยูส่ นั โดษ บา้ งเหยียดแขนทัง้ ค่ขู นึ้ ขา้ งบนทง้ั กลางคนื และกลางวนั จนกระทง่ั ถึงรปู กายปราศจากเลือดเน้อื ซบู ซดี ดว้ ยพยาธิ ข้อกระดูก และอวยั วะ ง่องแงง่ ทุพพลภาพเห็นเดน่ ชดั อยู่ทีบ่ ่าอันเห่ียวแหง้ เหมือนดังกิง่ ไม้ซง่ึ ตาย ติดอยูบ่ นต้นของมนั บ้างกก็ ํามอื ของตนไวแ้ น่น นานแล้วนานเล่าและดว้ ยอาการกริ ิยาอย่างทิฏฐิ มานะ นา่ พงึ สยองจนเลบ็ อนั แหลมคมทะลไุ ปตามฝาุ มอื ซง่ึ เป่อื ยเนา่ บา้ งกเ็ ดินด้วยรองเทา้ อันมีตะปู บา้ งก็กรีดอก กรดี หน้าผาก กรดี ซี่โครงกบั หินคม หรือลนลวกตนเองด้วยเพลิง ท่มิ แทงตวั เองด้วยหนามปาุ และปลายเหล็กแหลม ถูทากายตนดว้ ยโคลนและข้ีเถา้ นอนบน ส่ิงโสโครก และพันสะเอวตนเองดว้ ยเศษผ้าซึ่งเกบ็ มาจากซากศพ บา้ งอาศยั อยู่ ณ ที่ สกปรกซงึ่ ใช้เปน็ ทเ่ี ผาศพ และดํารงตนอย่เู ปน็ เพ่อื นกับซากศพ ห้อมลอ้ มไปดว้ ยนกแร้งซงึ่ รอ้ งกอ้ งดงั อยเู่ หนือกองเศษซากศพแหง่ ปาุ ช้า บ้างก็รอ้ งออกนามพระศิวะ วันละ ๕๐๐ คร้งั มีงขู ู่ฟุอพันท่รี อบคออันผอม และท่ีสีข้างอนั มแี ตซ่ ่ีโครงของตน น่ังขดั สมาธิ น่แี หละคือสภาพอันนา่ อนาถท้งั สนิ้ เบอื้ งบนศรี ษะกเ็ ตม็ ไปดว้ ยรอยแผลท่ีพขุ ึ้น โดยอํานาจของความรอ้ นตาโบเ๋ ปน็ หลุมลึก เสน้ เอ็นและกลา้ มเนอื้ หดเหย่ี ว หน้าตาเห่ียว แห้งและซีดเหมอื นคนที่ตายมา ๕ วันแล้ว บางคนกน็ อนหมกอยู่กับฝนุ ละอองทกุ ๆ เวลา บา่ ย พยายามตวงเมล็ดหญ้าพนั เมล็ด และกินทลี ะเมลด็ ด้วยความมานะและหิว ในท่ีสดุ ก็ ถึงซึ่งความมรณะโดยความอด บางคนกนิ ถัว่ กบั ใบไมอ้ นั ขม โดยเกรงว่าปากของตนจะ ได้รับรสอนั โอชา เคยี งข้างนน้ั มนี ักบุญอันนา่ อนาถอีกคนหนง่ึ ซึง่ ทําลายอวยั วะของตนเอง จนกระทง่ั ไม่มตี า ไมม่ ลี ้นิ ไมม่ ีเพศ แล้วก็ง่อยเปล้ียและหูหนวก นแ่ี หละคอื ความกระหายแห่งดวงจิตทีจ่ ะเสยี สละกายของเขาเพือ่ สร้างบญุ กุศล ด้วยการทรมาน และเพ่ือจะไดร้ บั ความสุขซึ่งมีไว้ใหใ้ นโลกหน้า ตามซง่ึ กล่าวไว้ในคมั ภรี ์ว่า ความสขุ นน้ั เทพเจา้ สงวนไว้ใหแ้ กค่ นท่ที รมานกายดว้ ยยากเขญ็ จนทําให้เทพเจ้าซึ่งเป็นผู้ ประทานเหน็ ความลาํ บากนั้น มคี วามสมเพชความลาํ บากชนิดนี้ จะทาํ ใหม้ นุษย์มฐี านะเท่า เทียมพระเจา้ และแสดงวา่ ว่ามคี วามอดทนมากเกินขีดทรมานในนรก

และมหาบรุ ุษของเราทอดพระเนตรเขาเหล่านีบ้ างคนซงึ่ เปน็ หวั หน้าดว้ ยความ เศร้า แลว้ ตรัสวา่ “โอ! เธอทั้งหลายซ่งึ ทรมาน! ตง้ั แต่หลายเดือนมาแล้วเราอาศัยอยู่บนภูเขาน้ี เราซ่ึง แสวงหาความจริง และเราเหน็ ญาตพิ ีน่ อ้ งทงั้ หลายของเราท่ีน่ีทําทุกข์ทรมานตนเองดว้ ย อาการอันรา้ ยกาจปานน้เี พ่ืออะไร? เหตไุ ฉนเล่าเธอจึงเอาทกุ ข์มาเพิ่มพูนแก่ความดํารงชพี ของเธอซ่งึ มคี วามทุกข์มากอยู่แลว้ อีก” อาจารย์ผถู้ ูกถามจงึ ทลู ตอบพระองค์ว่า “ในคัมภีร์มกี ลา่ ววา่ ถ้าคนใดทรมาน เลอื ดเนื้อของตนจนกระทัง่ ความเจ็บปวดกําเรบิ ร้ายแรงถงึ กบั เหลืออย่แู ต่ลมปราณแหง่ ความทรงชวี ิตและความหวงั ในความตายอยา่ งใจเย็นแลว้ ความทรมานดังนี้จะกําจดั เสยี ซง่ึ มลู แหง่ บาป แลว้ วญิ ญาณซง่ึ บริสทุ ธก์ิ ็จกั ปลิวไปจากความเร่าร้อนป๎น่ ปวุ นไปยงั สถานท่ี รงุ่ เรอื งและมีบุญบารมีเหลือท่จี ะพรรณนา” พระมหาบรุ ุษจงึ ทรงมีพระดํารัสตอ่ ไปอกี วา่ “โน่นเมฆซ่ึงล่องลอยอยบู่ นเวหา แผ่ออกเหมอื นผนื ผา้ สที อง โดยรอบบัลลงั ก์พระอินทรข์ องเธอนน้ั ลอยขึ้นจากทะเลซ่งึ ป่น๎ ปวุ น แต่เมฆนั้นกต็ ้องตกลงมาเป็นหยด ๆ เหมอื นนา้ํ ตา แล้วไหลไปตามทางอันกนั ดาร แลขรขุ ระ ตามรอยแตกระแหงและห้วยหนองคลองซึง่ เป็นโคลน เพ่ือไหลไปสแู่ มค่ งคา แลว้ กลบั ไปสทู่ ะเลซ่ึงเปน็ แห่งที่ไดจ้ ากมา เธอรู้แลว้ หรือ พี่น้องทง้ั หลายวา่ สาํ หรบั นักบุญ และความสุขของเขาจะไม่เป็นเมฆเชน่ นนั้ บา้ ง ในภายหลงั ทไ่ี ดท้ รมานมามากแล้ว เพราะ ส่งิ ทลี่ อยข้ึนกต็ กมาใหม่ สิ่งใดที่ซ้อื กต็ อ้ งมีการชําระราคา และไมค่ ิดบา้ งหรอื ว่า ถา้ เธอซอื้ สวรรค์ด้วยเลอื ดของเธอ ณ ตลาดทกุ ขท์ รมานแหง่ นรก เม่ือการซือ้ ขายได้ตกลงกนั แล้ว ความลําบากกเ็ รม่ิ มขี น้ึ ใหมอ่ ีก” “ความลาํ บากอาจมีใหม่ข้ึนอีกได้” ฤาษนี ั้นทลู “โธ่เอ๋ย เราไมท่ ราบขอ้ นี้ และ เรากไ็ มม่ ีความแน่ใจในสงิ่ ใดสิ่งหนึ่งเลย แตอ่ ยา่ งไรก็ดี ทวิ ากาลย่อมอบุ ัติขึ้นภายหลงั ราตรี กาล และความสงบมีทหี ลังความทรมาน และเราเกลยี ดชงั เลอื ดเนอ้ื อนั เลวทรามซึง่ พวั พนั อยกู่ ับวิญญาณที่ต้องการอสิ ระ ดงั น้นั สาํ หรับความสุขของวญิ ญาณ เราทรมานกายของเรา ใหป้ รากฏแกท่ วยเทพเจ้าเพื่อพนันขันต่อแลกกบั ความสุขสดุ ท่ีไม่มสี ้นิ สดุ ” “แต่วา่ ” พระสทิ ธัตถะตรสั “อปุ มาวา่ ความสขุ นัน้ ยืนยงอยูไ่ ด้หลายลา้ นปี กค็ ง จะเบ่อื หนา่ ยไปทุก ๆ กาลอันยืดยาว หรือถ้ามิฉะน้ันมีความเป็นอย่อู ยา่ งหนึ่งอย่างใดที่ต่ําก็ ดี ทส่ี งู กด็ ี รอบข้างเรากด็ ี ทตี่ ่างกับเรากด็ ี ไม่มีความเปลย่ี นแปลงบ้างหรือ จงบอกเรา หนอ่ ยวา่ เทพเจ้าของทา่ นนน้ั ยัง่ ยืนอยู่ไมร่ ู้สนิ้ สุดดังนั้นหรอื เธอเอ๋ย” “เปล่า” พวกโยคีทูลตอบ “มแี ตพ่ ระพรหมเทา่ น้ันทคี่ งอยู่ สว่ นเทพเจ้าอ่ืน ๆ เปน็ แตเ่ พยี งมี ชวี ิตอย่ภู ายในชว่ั กาํ หนดเวลาอนั หนง่ึ ๆ เทา่ นัน้ ” ดังน้ันพระมหาบุรษุ ตรัสว่า “ ทา่ นต้องการเป็นนักปราชญ์เท่ากับท่ีทา่ นเปน็ นกั บุญและมีใจเข้มแข็งหรือไม่ จงละประพฤติในการกระทาํ อนั โหดรา้ ยน้ีซงึ่ กระทําให้ทา่ นต้องครํา่ ครวญหวนโหยเพ่อื หวัง ในผลซ่ึงบางทเี ป็นแตเ่ พยี งอย่างความฝ๎นและไมย่ งั่ ยืนน้นั เสยี เถิด” สําหรบั แสดงความรักในวญิ ญาณของท่านน้ัน ทา่ นยงั สมัครใจอยูห่ รอื ทจี่ ะ เกลียดชังเน้อื หนังของทา่ น ไม่สามารถทจี่ ะเป็นท่ีพาํ นกั ของความมปี ญ๎ ญาซง่ึ ตอ้ งมที ีอ่ าศยั จนถงึ กบั อบั ป๎ญญาลงกลางคนั ก่อนหน้ารตั ติกาลเหมอื นม้าทเี่ ชือ่ งดีแตถ่ ูกใชง้ านเกินกําลัง ทา่ นผนู้ า่ สมเพช ทา่ นมคี วามประสงค์ในการทป่ี ล้นทาํ ลายเรอื นอนั งามนซ้ี ึ่งเราได้มาอาศัย อย่ภู ายหลงั ความลาํ บากและซง่ึ เราได้อาศยั แสงสวา่ งโดยทางหน้าต่าง แสงสว่างอัน เล็กน้อยซึ่งทาํ ให้เรามองดูขา้ งนอก และรู้วา่ แสงอรุณจะมีมาหรือไม่ และเพื่อให้รวู้ า่ ที่ไหน

เป็นทางเดนิ ท่ดี ที สี่ ดุ เสียฉะนั้นหรอื ” เหล่าโยคีจงึ รอ้ งข้ึนว่า “เราไดเ้ ลือกทางนีแ้ ลว้ เราจะเดนิ ให้ถึงทสี่ ุด ดูกรพระ ราชบุตร ถึงแม้ว่าหนิ แหง่ ทางเหล่าน้จี ะกลายเป็นไฟไปหมด เราก็คงจะสู้ตายอยอู่ ยา่ งนี้ แหละ น่ีแน!่ ถ้าทา่ นไม่มที างใดท่ีดีกวา่ น้อี ีกกจ็ งกลา่ วมา หรอื มฉิ ะน้นั ก็จงไปตามความ พอใจในทางของท่าน” พระองคจ์ ึงเสด็จต่อไป เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก โดยเหตุที่ทรงเหน็ มนษุ ย์ กลัวความตายมาก จนถูกครอบงาํ ด้วยอํานาจแห่งความกลวั ตอ้ งการมีชีวิตอย่มู ากจนไม่ กลา้ รักชวี ิตของตน แลว้ ก็กระทาํ การทรมานชีพอยา่ งร้ายกาจซ่ึงบางทีกเ็ พอ่ื ให้ถกู ใจเหลา่ เทพเจ้าทั้งหลายซงึ่ ไมย่ ินดใี นความสขุ ของมนุษย์ หรือมฉิ ะน้ันก็เพอ่ื จะให้ตกไปยังนรก ภายหลงั ท่ไี ด้จุดอัคคีแห่งนรกอย่างอ่ืนเพอื่ ตนเอง หรอื บางทีจะทําเพราะฤทธแ์ิ ห่งศรัทธา อนั วิกลอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ โดยนึกวา่ วิญญาณจะหลุดพน้ ไปจากเนอ้ื หนังทรมานนั้นได้ สะดวก “เออ! ดอกไมเ้ ลก็ ๆ แหง่ ทงุ่ ทั้งหลาย” พระสิทธตั ถะตรัส “เจา้ ทง้ั หลายซ่งึ หนั ดอกอนั งามไปสดู่ วงอาทิตย์ ยนิ ดใี นแสงสวา่ งและรูค้ ่าแห่งกล่นิ สคุ นธ์หอมช่ืนเชย รวมท้ัง รูปอนั งามหรูหรา เป็นสีทอง สเี งิน สีแดงเข้มซงึ่ ธรรมชาตไิ ดส้ ร้างสรรคใ์ ห้ ไมม่ ีใครเลยใน พวกเจา้ ซงึ่ ไม่ปรารถนาในความเปน็ อยู่อันบรสิ ุทธิข์ องตน ไมม่ ใี ครเลยทท่ี าํ ลายความงาม และความสุขของตนเอง” “โอ! หมู่ตน้ ตาลท้งั หลายซง่ึ สูงตระหง่านดจุ ตอ้ งการเจาะเวหา และดดู ดม่ื ความ รําเพยพัดของลมซ่งึ มาจากเขาหมิ าลยั และความเยอื กเย็นแหง่ มหาสมุทรอันเขียว ความลับ อะไรเลา่ ซงึ่ เจ้ารจู้ นถงึ กบั อาจพนู เพาะความรา่ เริงของเจา้ ไดถ้ งึ ปุานฉะน้ี ต้งั แต่แรกงอกข้ึน จนกระท่ังมีลกู มผี ล และใบอนั เป็นพ่มุ ของเจ้ามเี สียงเป็นดรุ ยิ างคอ์ ย่กู ลางแดด? และเจ้า ทั้งหลายซงึ่ อยู่ดว้ ยความร่าเรงิ อยูใ่ นหมู่ไมน้ นั้ เล่า เจา้ นกแก้วซึ่งบินเรว็ เจ้าตวั แตน บลุ บลุ (นกปรอดหวั โขน) และนกพริ าบ ในพวกเจ้าไม่มใี ครเลยเกลียดชังความเปน็ อยู่ของตนเอง และไม่ฝืนตนเพอื่ ให้เปน็ สขุ ย่งิ ขึ้นไปอีกโดยการกระทาํ ตนใหไ้ ดร้ บั ความทรมาน แตม่ นุษย์ ซึง่ ฆ่าเจ้าเพราะเขาเปน็ ผู้มอี าํ นาจ ทง้ั เปน็ นกั ปราชญท์ ่ดี ี แตค่ วามเปน็ คนของเขาเจรญิ ไป ดว้ ยโลหิต เติบโตขน้ึ ทา่ มกลางแห่งความทกุ ข์ยากซึ่งเขาทําแก่ตวั ของเขาเอง” ในขณะทพ่ี ระมหาบรุ ษุ ตรัสปรารภอย่นู ้ัน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นหมอกฝุน กลมุ่ หนงึ่ ท่ีภูเขาพงุ่ ลอยขน้ึ เพราะฝูงแพะขาวกละแกะดาํ ซ่ึงคอ่ ย ๆ เดินมา และหยดุ ช้าอยู่ เพอ่ื เลม็ ใบไมใ้ บหญ้า และหลีกจากทางแวะไปส่ลู าํ ธารซง่ึ มนี ํ้าใสกระจา่ งและซง่ึ ที่มผี ล มะเดื่อปาุ หอ้ ยตํ่าลงมา แต่เม่ือสตั ว์ตวั ใดในฝูงนัน้ หลกี หา่ งไปแล้ว คนเลย้ี งก็ร้องข่แู ล้วขึ้น กระสุนยิงอฐิ ไป แล้วก็ตอ้ นฝูงสัตวอ์ นั เชือ่ งน้นั มาส่ทู ุ่ง ในฝงู สัตว์นน้ั มีแม่แกะตัวหน่งึ กบั ลกู สองตวั ตวั หน่ึงถูกตีจนพิการ และต้องเดินอาบเลอื ดตามฝงู ของตนไปดว้ ยความลําบาก ใน ระหวา่ งท่อี ีกตัวหนึง่ กระโดดโลดเต้นไปขา้ งหน้า ฝาุ ยตัวทีเ่ ป็นแม่ซึ่งห่วงลูกก็ไดแ้ ตร่ ีรอร่ํารอ้ งวง่ิ ไปทางนี้บา้ งทางโน้นบา้ ง เพราะกลวั วา่ ลกู ตัวใดตวั หน่ึงจะหายไป เมื่อพระมหาบรุ ุษของเราทอดพระเนตรเห็นดังนนั้ พระองคจ์ งึ อุ้มลกู แกะที่ บาดเจบ็ ไว้ในวงพระหตั ถแ์ ลว้ ตรสั ว่า “แมผ่ ู้มขี นละมนุ ละไมอันน่าสงสาร จงนอนใจเถดิ เจ้า ไปทีใ่ ด ข้าก็จะอ้มุ ลูกของเจ้าตามไปให้ เปน็ การปูองกันมใิ หส้ ัตวต์ วั หนง่ึ ไดร้ ับความทรมาน ดกี ว่าทจ่ี ะนัง่ ดูทกุ ขท์ รมานของโลกในถํ้านี้ในหม่นู กั บวชซึ่งพรํา่ สวดมนตภ์ าวนา” “แต่นแ่ี น”่ พระองคต์ รัสกับคนเลี้ยงแกะนน้ั “เพอ่ื นรกั ทําไมจึงไลฝ่ งู สตั ว์มาที่

ทงุ่ ตอ่ เมอื่ ตะวันตกดินเสียแล้วดังนี้ การไลส่ ัตวม์ าเมื่อเวลาเยน็ ๆ แล้วดังน้ี เขาทาํ กนั มา ตง้ั แตเ่ มอื่ ใด” พวกเลยี้ งแกะทลู ตอบไปวา่ “พวกเราได้รบั คาํ สัง่ ให้ต้อนแพะ ๑๐๐ ตัวกบั แกะ ๑๐๐ ตวั ซงึ่ สมเด็จพระราชามพี ระประสงคจ์ ะทรงทําการบชู ายญั ถวายแกเ่ ทพเจา้ ทงั้ หลาย คืนวนั น้ี” ดงั นนั้ พระองคจ์ งึ ตรสั วา่ “เราจะไปกับทา่ น” แลว้ พระองคก์ ท็ รงพยายามเสดจ็ ตาม ไปพรอ้ มด้วยลูกแกะซึง่ ทรงอุ้มไวโ้ ดยทรงทนตรากตราํ ฝุนและแสงแดดอันร้อนจัด ฝุายแกะ ตวั แม่กว็ ง่ิ รอ้ งคอ่ ย ๆ ตามอยู่ ณ ขา้ งพระบาทของพระองค์ เมอ่ื พากันมาถึงริมแมน่ ํา้ สตรคี นหนง่ึ ซึง่ มดี วงตาดุจนกพริ าบ ใบหนา้ อาบไป ด้วยนา้ํ ตาและมือประณมมากราบถวายบังคมพระองค์พลางทลู ว่า “พระคณุ พระคุณน้ีหรือ ซึ่งไดก้ รณุ าแกข่ ้าพเจา้ เมอื่ วานน้ีในพมุ่ ต้นมะเดอ่ื ซงึ่ ข้าพเจา้ อาศัยอย่แู ต่โดดเด่ยี ว เพ่ือ เลยี้ งลูกของข้าพเจา้ แตล่ กู น้ี ขณะที่กาํ ลงั เลน่ อยใู่ นระหวา่ งต้นไมด้ อกก็พบกับงูตัวหน่งึ ซ่ึง มารัดรอบแขน เจา้ เด็กก็หัวเราะและเอามือไปจอ่ ล้ินที่แลบออกมาจากปากที่อ้าของเพ่ือนท่ี ใจจืด (คอื งตู ัวน้นั ) แต่อนิจจา! ในประเด๋ียวนนั้ เอง เจ้าเด็กก็ซีดและแนน่ ง่ิ ไป ขา้ พเจ้าไมร่ วู้ ่าทาํ ไมเขาจึงหยดุ เลน่ และริมฝปี ากหลดุ จากนมของขา้ พเจ้า จึงมคี นหนึ่งบอก ว่า “มันถกู ยาพษิ ” อกี คนหนงึ่ วา่ “มนั จะตายแลว้ ” แต่ขา้ พเจา้ ผู้ซ่ึงไม่อยากใหล้ ูกทร่ี ักตาย จงึ ถามหายาทีศ่ ักดิ์สิทธ์ทิ ําให้ลูกของข้าพเจา้ สามารถลืมตาดูแสงสว่างอกี ต่อไป รอยแผล ทีง่ ขู บนัน่ เล็กนิดเดียว และสัตว์น้นั ขา้ พเจา้ นกึ ว่าคงไมอ่ าจเกลยี ดและทําร้ายลูกอนั นา่ รกั ของข้าพเจา้ ซึ่งเล่นกบั มนั และบางคนกว็ ่า “มีฤาษรี ูปหนึ่งทบ่ี นเขา มองดซู ิ กาํ ลงั จะผ่านมา เที่ยวท่ีครองผ้าเหลืองนนั้ แหละ จงถามแก่ฤาษีองค์นน้ั เมอื่ วา่ มยี าอะไรท่สี ามารถบาํ บัด ความเจบ็ ปวดท่ีเป็นแก่ลกู ของแกได”้ ดังนั้นขา้ พเจา้ จงึ ตัวสัน่ มาหาพระคุณซึ่งพระนลาฏเหมอื นดังพระเจา้ พระองค์ หน่งึ และในระหวา่ งข้าพเจา้ ร้องไห้ ขา้ พเจ้ายกผา้ ซ่งึ ปดิ หนา้ ของลูกขา้ พเจา้ ออก แล้ว วงิ วอนตอ่ พระคุณใหบ้ อกวธิ ซี ง่ึ อาจกระทาํ ให้หายได้สนทิ สนมทเี ดยี ว ฝาุ ยพระคณุ องค์ผู้ เปน็ เจ้า พระคุณก็ไม่ปด๎ คาํ วิงวอนของขา้ พเจา้ ทัง้ ได้มองดูลกู ของข้าพเจา้ ดว้ ยพระเนตรอนั สงสารและแตะด้วยพระหตั ถ์อนั แสดงวา่ มีหวัง คร้ันเมือ่ เอาผ้าปิดหน้าลกู ของข้าพเจา้ ใหม่แลว้ พระคุณกแ็ จ้งแก่ข้าพเจ้าว่า “น่นั แหละน้องหญงิ มีของสงิ่ หน่งึ ท่ีอาจกระทาํ ให้เจา้ หายได้ คอื ให้เจ้าหายกอ่ นและลกู ของเจ้าด้วย สง่ิ ท่ีกลา่ วนน้ั ถ้าเจา้ หาได้เจา้ กจ็ ะรักษาได้ เพราะว่าผใู้ ดมาหาหมอยอ่ มนาํ สิ่ง ซง่ึ มีเกณฑก์ ําหนดอยแู่ ลว้ มาให้หมอ เพราะฉะนั้นขอให้เจา้ จงไปหาพนั ธ์ุมสั ตาดดํามาหนึ่ง โตละ(โตละ ๑ นาํ้ หนกั เท่ากับ ๑ รูปหี รือราว ๘ กรมั <๑๘/๑๕ของบาทหนึ่ง >) แต่จงระวงั ไปหาใหไ้ ด้มาเฉพาะบา้ นใดซง่ึ พ่อแม่ลูกหลานหรือบา่ วไพร่ไมต่ ายเลย ถ้าเจ้าไดเ้ มล็ดมัส ตาดดําอย่างท่ีวา่ นี้มาแล้วก็จะสมหวงั ท่านได้แจง้ อย่างนแี้ หละเจ้าประคุณ” พระมหาบรุ ุษก็ตรัสตอบไปด้วยพระอาการอนั ยมิ้ โดยทรงเมตตาอย่างเหลือล้น ว่า “ถกู แลว้ เราได้บอกแกเ่ จา้ ดงั นนั้ แตเ่ จ้าหาเมล็ดนั้นไดแ้ ล้วหรือ?” พระคุณเจ้าขา้ ขา้ พเจา้ กอดรดั อุ้มลูกของขา้ พเจา้ ซ่ึงตัวเย็นลงแล้วนัน้ ไวก้ ับ ทรวงของข้าพเจ้าไปเท่ียวหา ขา้ พเจา้ ไปถามหาทกุ ๆ ลงั คาเรือน ในปุาบา้ ง ตามชาวเมอื ง บ้าง โดยกล่าวว่า “ท่านเจ้า ได้จงกรณุ าให้เมล็ดมัสตาดดาํ แกข่ ้าพเจ้าหนงึ่ โตละเถดิ ” ดงั นนั้ บรรดาผู้ซึง่ มีกน็ าํ มาให้แกข่ า้ พเจา้ เพราะคนจนยอ่ มมใี จเมตตาแก่คนจนดว้ ยกนั แต่ เม่อื ข้าพเจ้าถามวา่ “ก็แต่ในเรอื นของท่านนี้ได้เคยมีใครตายบ้างหรือเปล่า จะเป็นสามี ภรรยา ลูกหลานหรอื บ่าวไพร่อะไรก็ตาม” เขาจึงตอบแกข่ า้ พเจา้ ว่า “โอ! พ่ีสาว แกมาถาม อะไรแกเ่ ราเชน่ นี้ คนตายน้นั ดกด่ืนไป แต่ไมต่ ายนัน้ หายาก”

ดงั นั้นเมอ่ื ได้ขอบใจเขาอยา่ งเศรา้ โศกแลว้ ข้าพเจ้าก็คืนเมลด็ มัสตาดใหเ้ ขา แลว้ กไ็ ปหาที่อนื่ ตอ่ ไป แต่ผูท้ ไ่ี ปหาเขาใหมน่ ั้นต่างกบ็ อกข้าพเจ้าว่า “น่แี นะ่ เมล็ดมสั ตาด แต่เรามที าสของเราตายที่นี่” “น่แี น่ะเมลด็ มสั ตาด แต่ผวั ท่ีรกั ของฉันตาย” “นแี่ น่ะเมล็ดมัส ตาด แตผ่ ู้ทเี่ พาะต้นมสั ตาดน้ีได้ตายไปเสยี แล้วในระหว่างกาลฤดูฝนเก็บเกยี่ วขา้ ว” “โธ่ พระคณุ เจ้าข้า ข้าพเจา้ ไมส่ ามารถหาเมล็ดมัสตาดจากบ้านซึง่ ไม่มผี ู้ใดตายเลยน้นั ไดเ้ สีย แล้ว เพราะฉะนน้ั ข้าพเจ้าจงึ วางลูกของข้าพเจ้าซึ่งไม่อยากกินนมและไมอ่ ยากยิ้มแล้วนน้ั ไวท้ ตี่ ้นอง่นุ ปาุ ขา้ งริมแม่นํ้าแล้วขา้ พเจ้ากม็ าดูพระพักตร์ของพระคุณ จูบพระบาทของ พระคณุ แลว้ วิงวอนพระคณุ ไดโ้ ปรดชี้แจงดว้ ยว่าขา้ พเจ้าอาจหาเมลด็ มัสตาดดาํ นนั้ ไดท้ ่ี ไหนโดยไมไ่ ดพ้ บไม่ไดย้ นิ ข่าวตายดงั ทข่ี า้ พเจ้าวติ กและดงั ที่เขาวา่ กนั น้ัน” “นแ่ี นะ่ เจ้า” พระศาสดาจารยต์ รัส “ในระหว่างทีเ่ จา้ เที่ยวหาสิ่งซง่ึ ไม่มผี ้ใู ดเลย จะหาได้น้ัน เจา้ ก็ไดพ้ บโอสถอันขมข่ืนซ่ึงเราอยากใหแ้ กเ่ จา้ นน้ั เหมือนกนั ผซู้ ่ึงเจา้ รักน้นั หลบั แลว้ วันนเี้ จา้ กย็ ่อมไดร้ ู้แล้วว่า โลกอันกว้างใหญ่ท้ังมวลยอ่ มร้องไห้เพราะความเศรา้ โศกเชน่ เดียวกันกบั เจ้า ความทรมานซงึ่ ดวงใจทุก ๆ คนไดร้ บั นัน้ ของคน ๆ เดยี วยอ่ มน้อย กวา่ ของคนอ่นื ๆ จงดูเถดิ ! เราจะทาํ โลหิตของเราออกมาจากกายเปน็ หยด ๆ หากวา่ การ กระทําของเราอาจสามารถยับย้ังการรอ้ งไหข้ องเจ้าได้ และหากว่าการกระทาํ ของเรานัน้ สามารถเผยความลบั แหง่ เคราะหก์ รรมซงึ่ พาใหม้ นษุ ยเ์ จา้ ของสตั ว์เหล่านั้นข้าท่งุ เขียวชอมุ่ นี้ไปสู่ท่ีบชู ายญั กบั ฝูงสตั วท์ ี่พดู ไมไ่ ด้เหลา่ น้ซี ึ่งเขานําไปบูชายัญนนั้ เรากาํ ลังคน้ หา ความลับอันนี้แหละ ส่วนเจ้าน้ันจงฝ๎งลูกของเจ้าเสยี เถิด” เม่ือคนเลยี้ งแกะกับพระสิทธัตถะบรรลถุ งึ ในพระนครพร้อมกนั ณ กาลเมอื่ ดวง อาทิตย์เปล่งแสงสที องสุดทา้ ยไปสู่ลาํ น้ําโสนะ และฉายเงาเหนือถนนและทท่ี วารซึง่ มี ทหารของพระราชารกั ษาการณอ์ ยู่ แตเ่ มอ่ื ทหารเหล่านั้นเห็นพระศาสดาจารยข์ องเราอุ้มลกู แกะ ทหารเหลา่ นน้ั ก็ถอยห่าง ปวงชนซ่ึงชุมนุมกนั อยู่ทตี่ ลาดก็เรยี งรายรอรถของตนเพือ่ มองดูพระพกั ตรอ์ ัน ทรงสงา่ ณ ร้านขายของ ผูซ้ ื้อและผขู้ ายกห็ ยุดตอ่ ลอ้ ตอ่ เถียงในการซอื้ ขายกัน ชา่ งเหลก็ ซ่งึ ยกค้อนข้ึนเพอื่ ตเี หล็กก็หยุดตี ช่างทอผา้ ปลอ่ ยฟืมของตน พวกเสมียนปล่อยมว้ น กระดาษของตน ผู้แลกเงินลมื นับจํานวนเบย้ี โคขาวซง่ึ ถวายให้พระศวิ ะกถ็ ลามากนิ ข้าวซ่ึง ไมม่ ีใครเฝาู นํ้านมหกไหลออกจากหมอ้ ทองแดง เพราะเจา้ ของมวั เพลนิ ไปชมดูพระดาํ เนิน ของพระศาสดาของเราซง่ึ แมจ้ ะมพี ระอาการสงา่ นา่ เคารพก็ยงั ละมุนละมอ่ มน่ารัก ฝุายหมู่ สตรีซึ่งชุมนมุ กนั อยหู่ นา้ ประตกู ็ถามซงึ่ กันและกนั วา่ “บุรุษซง่ึ อุม้ สตั ว์ที่จะบูชายญั มาโดย อาการอันเตม็ ไปดว้ ยความปรานยี ง่ิ และทําให้เกดิ ความสงบสขุ ตามวถิ ีทางทว่ั ไปน่นั เปน็ ใคร หนอ? เปน็ บุรุษช้นั ไหน? ทาํ ไมดวงตาจึงงามชมอ้ ยยิ่งนักดังนั้น? บางทีจะเปน็ รปู เนรมติ (สา กระ รา่ งซ่งึ ไมม่ ตี ัวตน รปู เนรมิต) หรือเทวราช(ผเู้ ป็นใหญเ่ หนือเทพดาทงั้ หลาย)กระมงั ? บางคนก็ว่า “นน่ั คอื นักบญุ ซึง่ อาศัยอยู่กบั หมฤู่ าษที เี่ บือ้ งเขา” ฝุายพระมหาบุรุษซงึ่ กาํ ลัง ใฝฝุ ๎นอยใู่ นความพจิ ารณาทรงนึกว่า “อนจิ จา! แกะ(หมายความวา่ พวกราษฎรเหลา่ นั้น) ของเราเหล่านี้ไมม่ คี นเลี้ยง เขาเดินอยใู่ นทม่ี ืดโดยปราศจากผู้นําทางแล้วกร็ ่าํ ร้องในขณะ หลับตา คอ่ ย ๆ เขา้ ไปใกล้พร้าแหง่ ความตายดุจดังสัตวพ์ ดู ไม่ไดซ้ ึ่งเปน็ พน่ี ้องร่วมโลกของ เขาเหลา่ นี้” ครน้ั แล้วจงึ มีผ้ไู ปทลู พระราชาวา่ “มฤี าษผี ู้ทรงบุญรปู หน่ึงพาฝูงสัตว์ซ่งึ พระองคจ์ ะทรงกระทาํ บูชายญั น้ันมา” ขณะน้นั พระราชาประทับอยู่ ณ ที่สําหรับกระทําพธิ ี พวกพราหมณ์แตง่ กายสี ขาวกําลงั สวดมนต์ พลางโหมเพลงิ เหนือแท่นซึ่งอย่กู ลางทอ้ งพระโรง เปลวไฟแห่งกอง ฟนื อนั หอมกาํ ลงั สะบดั และแลบเลยี เคร่อื งบชู าท่เี ปน็ ไขมนั เครือ่ งหอมและเชื้อโสม (คอื ต้น เออ้ื งเถา เอายางหรือนา้ํ จากลําต้นมาปนกับขา้ วชนิดหนงึ่ และเนยใส ทําเปน็ เหล้าสําหรับ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook