เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 1. นําตัวเลขฐานสิบแตละพจนยอยมาแปลงเปนเลขฐานสอง และใสจํานวนบิตใหเทากับ จํานวนอินพตุ เชนกรณี 3 อนิ พุตของ 210 เม่ือแปลงเปน ฐานสองจะได 102 แตเนอ่ื งจากเปน 3 อนิ พุต จึงตอ งเพิม่ 0 ไวตาํ แหนง หนา สดุ อีก 1 ตวั ไดเปน 0102 2. แทนคาเลขฐานสองท่ีไดจากขอ 1 ดวยอินพุตแตละตัวและนํามาเช่ือมกันโดยใชตัว ดาํ เนนิ การออรโดยกรณที ีค่ า ประจําบิตเปน 1 ใหใ สค อมพลิเมนตด ว ย เชน กรณีอินพุต (A, B, C) มีคา เปน 2 เมื่อแปลงจาก 0+1+0 จะได A + B+ C 3. นําพจนยอ ยแตล ะพจนม าเชอ่ื มกันดวยตวั ดําเนนิ การแอนด ตวั อยา งที่ 5-6 จงแปลง f(A,B)= M(0,1) ใหอยูในรูปสมการพชี คณิตบลู นี วธิ ที าํ เน่ืองจากมอี นิ พตุ ทงั้ หมด 2 ตวั จึงสามารถแปลงพจนย อยแตจะพจนไดด ังนี้ 010 -> 002 -> 0 + 0 -> (A + B) 110 -> 012 -> 0 + 1 -> (A + B) เพราะฉะนนั้ f(A,B)= (A + B)(A + B) ตัวอยา งท่ี 5-7 จงแปลง f(A,B,C)= M(0,2,5,7) ใหอยูใ นรูปสมการพีชคณติ บลู นี วธิ ที าํ เนอื่ งจากมอี นิ พตุ ทง้ั หมด 3 ตวั จงึ สามารถแปลงพจนย อ ยแตจ ะพจนไดด งั น้ี 010 -> 0002 -> 0+ 0+ 0 -> (A + B+ C) 210 -> 0102 -> 0+ 1+ 0 -> (A + B+ C) 510 -> 1012 -> 1+ 0+ 1 -> (A + B+ C) 710 -> 1112 -> 1+ 1+ 1 -> (A + B+ C) เพราะฉะนั้น f(A,B,C)= (A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C) สําหรบั พจนย อยแตล ะพจนข องสมการพชี คณติ บลู นี ทซี่ งึ่ ออรกนั อยู เรยี กวา แมกเทอม (m axterm ) 5.4 การเขยี นสมการพีชคณติ บลู นี จากตารางความจรงิ การนําสถานะของเอาตพุตจากตารางความจริงมาเขียนเปนสมการพีชคณิตบูลีน สามารถ พจิ ารณาได 2 กรณี ดงั น้ี กรณที ่ี 1 เลอื กสถานะของเอาตพ ตุ เฉพาะกรณที ่ีมคี าเปน 1 ท้ังหมด และเขียนสมการพชี คณติ บลู ีนในรูปของผลรวมของผลคณู (สถานะอินพุตทีม่ คี า เปน 0 ใหใสคอมพลเิ มนต) กรณที ่ี 2 เลือกสถานะของเอาตพ ตุ เฉพาะท่มี คี า เปน 0 ทั้งหมด และเขยี นสมการพีชคณติ บลู นี ใน รปู ของผลคณู ของผลรวม (สถานะอินพตุ ท่ีมคี า เปน 1 ใหใสค อมพลเิ มนต) 82
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตวั อยางที่ 5-8 จงเขยี นสมการพีชคณติ บลู ีนในรปู ผลรวมของผลคณู และ ผลคูณของผลรวมจาก ตารางความจรงิ ตอ ไปนี้ อินพตุ เอาตพ คุ AB C Z 0 00 0 0 1 00 1 1 0 01 0 1 0 01 1 0 10 0 10 1 11 0 11 1 กรณีท่ี 1 เลอื กสถานะของเอาตพ ุตที่มคี าเปน 1 วิธที ํา เนือ่ งจากสถานะของอินพตุ ทท่ี าํ ใหส ถานะของเอาตพตุ มคี า เปน 1 มีดังนี้ 1. A = 0, B = 1 และ C = 0 2. A = 0, B = 1 และ C = 1 3. A = 1, B = 0 และ C = 1 ดังนั้น ดังเขยี นเปน สมการพชี คณติ บลู นี ไดด งั นี้ Z = ABC+ ABC+ ABC กรณที ่ี 2 เลือกสถานะของเอาตพ ตุ ทมี่ คี า เปน 0 วธิ ที ํา เนอ่ื งจากสถานะของอนิ พตุ ทที่ าํ ใหส ถานะของเอาตพ ตุ มคี า เปน 0 มดี งั นี้ 1. A = 0, B = 0 และ C = 0 2. A = 0, B = 0 และ C = 1 3. A = 1, B = 0 และ C = 0 4. A = 1, B = 1 และ C = 0 5. A = 1, B = 1 และ C = 1 ดงั นน้ั ดังเขยี นเปน สมการพชี คณติ บลู นี ไดด งั นี้ Z = (A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C) 5.5 การออกแบบวงจรรวมเชงิ จัดหมู การออกแบบวงจรรวมเชิงจัดหมู คือการที่ผูออกแบบวงจร ทําการออกแบบวงจรตาม คณุ ลักษณะของวงจรที่ตองการโดยใชตารางความจริงสําหรบั ออกแบบสถานะของเอาตพุต เพื่อที่จะ แปลงมาเปน สมการพีชคณติ บูลีนตอ ไป โดยมีข้นั ตอนดงั นี้ 83
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 1. จากคณุ ลกั ษณะของวงจรทต่ี อ งการ นํามาออกแบบโดยใชต ารางความจริง 2. จากตารางความจริงทีไ่ ดนํามาแปลงเปนสมการพชี คณติ บูลนี 3. ทาํ การลดรปู สมการพีชคณติ บลู นี ใหอยใู นรูปอยางงา ย 4. สรางวงจรตามสมการพชี คณติ บลู นี ทีไ่ ดใ นขั้นตอนท่ี 3 ตัวอยางท่ี 5-9 จงออกแบบวงจรลอจิกทส่ี ถานะของเอาตพ ตุ มคี า เปน 1 กต็ อ เมอ่ื อินพตุ อยางนอ ย 2 ตัวจากท้งั หมด 3 ตวั มสี ถานะเปน 1 วิธที าํ จากโจทยกําหนดวาอินพุตอยางนอย 2 ตัวจากท้ังหมด 3 ตวั แสดงวามีจํานวนอินพุต ท้ังหมด 3 ตัว โดยทสี่ ถานะของเอาตพ ุตจะมีคา เปน 1 ไดน ้ันจะตองมีอินพตุ อยางนอย 2 ตวั มีคาเปน 1 พรอมกันเทานั้น สวนกรณีอื่นๆ สถานะของเอาตพตุ จะมีคาเปน 0 ท้ังหมด สามารถสรางเปน ตาราง ความจริงไดดงั นี้ แถวท่ี อนิ พุต เอาตพ ตุ ABC Z 10 0 0 0 20 0 1 0 30 1 0 0 40 1 1 1 51 0 0 0 61 0 1 1 71 1 0 1 81 1 1 1 จากตาราง เหน็ ไดวา มีเพยี งแถวสีเทาเทานั้นที่ทําใหสถานะเอาตพุตมีคาเปน 1 เนื่องจากเปน แถวทม่ี อี นิ พุตอยา งนอ ย 2 ตวั ทีม่ คี าเปน 1 พรอ มกนั โดยมีท้ังหมด 4 แถวดังน้ี แถวท่ี 4 A = 0, B = 1 และ C = 1 แถวท่ี 6 A = 1, B = 0 และ C = 1 แถวท่ี 7 A = 1, B = 1 และ C = 0 แถวท่ี 8 A = 1, B = 1 และ C = 1 ดงั น้ัน ดงั เขียนเปนสมการพีชคณิตบูลีนไดด ังนี้ Z = ABC+ ABC+ ABC+ ABC จากสมการพชี คณติ บลู ีนท่ไี ด สามารถใชกฎพชี คณติ บูลีนในการลดรูปไดดงั นี้ Z = ABC+ ABC+ ABC+ ABC กฎ 4.4.3 ขอที่ 1 = ABC+ ABC+ AB(C+ C) กฎ 4.4.8 ขอท่ี 2 = ABC+ ABC+ AB(1) กฎ 4.4.6 ขอ ที่ 2 = ABC+ ABC+ AB กฎ 4.4.3 ขอ ท่ี 1 = ABC+ A(BC+ B) กฎ 4.4.9 ขอท่ี 3 = ABC+ A(C+ B) กฎ 4.4.3 ขอที่ 1 = ABC+ AC+ AB 84
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข = ABC+ AB+ AC กฎ 4.4.1 ขอที่ 1 = (AC+ A)B+ AC กฎ 4.4.3ขอท่ี 1 = (C+ A)B+ AC กฎ 4.4.9ขอที่ 3 = BC+ AB+ AC กฎ 4.4.3ขอ ที่ 1 เพราะฉะนนั้ ไดส มการพีชคณติ บลู นี ทีอ่ ยูใ นรูปที่งา ยทสี่ ดุ เปน ดงั นี้ Z = AB+ AC+ BC ตัวอยางท่ี 5-10 จงออกแบบวงจรลอจกิ ทสี่ ถานะของเอาตพ ุตมคี า เปน 1 กต็ อ เมอื่ อนิ พตุ 2 ตวั จาก ทง้ั หมด 4 ตวั มีสถานะเปน 1 วิธที าํ จากโจทยก าํ หนดวา อินพุต 2 ตวั จากทั้งหมด 4 ตวั แสดงวา มจี ํานวนอนิ พตุ ท้งั หมด 4 ตัว โดยท่สี ถานะของเอาตพุตจะมคี า เปน 1 ไดนนั้ จะตอ งมีอินพุต 2 ตัวมคี าเปน 1 พรอมกันเทา นั้น สวน กรณอี ื่น ๆ สถานะของเอาตพ ตุ จะมีคาเปน 0 ท้งั หมด สามารถสรางเปนตารางความจรงิ ไดดังนี้ แถวท่ี A อนิ พุต D เอาตพตุ 0 0 1 0 BC 1 Z 2 0 00 0 0 3 0 00 1 0 4 0 01 0 0 5 0 01 1 1 6 0 10 0 0 7 0 10 1 1 8 1 11 0 1 9 1 11 1 0 10 1 00 0 0 11 1 00 1 1 12 1 01 0 1 13 1 01 1 0 14 1 10 0 1 15 1 10 1 0 16 11 0 11 0 จากตาราง เหน็ ไดวา มเี พียงแถวสีเทาเทาน้ันที่ทําใหสถานะเอาตพุตมีคาเปน 1 เนื่องจากเปน แถวทีม่ ีอินพุต 2 ตวั เทานน้ั ที่มีคา เปน 1 พรอมกัน โดยมที ัง้ หมด 6 แถวดงั น้ี แถวท่ี 4 A = 0, B = 0, C = 1 และ D = 1 แถวที่ 6 A = 0, B = 1, C = 0 และ D = 1 แถวท่ี 7 A = 0, B = 1, C = 1 และ D = 0 แถวท่ี 10 A = 1, B = 0, C = 0 และ D = 1 85
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข แถวท่ี 11 A = 1, B = 0, C = 1 และ D = 0 แถวที่ 13 A = 1, B = 1, C = 0 และ D = 0 ดงั นัน้ ดังเขยี นเปนสมการพชี คณิตบลู นี ไดด งั น้ี Z = ABCD + ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD จากสมการพีชคณิตบูลีนท่ีได พบวาไมสามารถลดรูปไดแลว เพราะฉะนั้นสรุปไดวาสมการ ดงั กลา วเปน สมการท่อี ยูใ นรปู ที่งา ยที่สุดแลว 5.6 การใชยนู เิ วอรแ ซลเกตในการออกแบบวงจรรวมเชิงจดั หมู ยนู เิ วอรแ ซลเกต (Universal Gate) คือ เกตพนื้ ฐานทีส่ ามารถนาํ ไปใชง านแทนเกตพน้ื ฐานชนิด อื่นๆ ไดท้ังหมด ซ่ึงเปนกลุมของเกตพื้นฐานที่ชวยอํานวยความสะดวกใหผูออกแบบไดเปนอยางดี เนอ่ื งจากไมจําเปน ตอ งมองหาเกตพื้นฐานชนิดอื่นอีกเลย เพราะสามารถใชยูนิเวอรแซลเกตแทนได ทงั้ หมด โดยเกตพืน้ ฐานท่ีเปน ยูนิเวอรแ ซลเกตมี 2 ชนิดคอื แนนดเ กต และ นอรเ กต ตวั อยา งท่ี 5-11 จงใชแ นนดเ กตมาสรา งวงจรที่มกี ารทาํ งานเปน น็อตเกต แอนดเกต และ ออรเกต วธิ ที ํา 1. น็อตเกต จากรูป อนิ พตุ คือ A และ เอาตพุตคอื A ดังน้นั หากใชแนนดเกตในการสรางวงจรนอ็ ตเกตดังกลาว จะไดด งั ตอไปน้ี จากรูปอนิ พุต A เช่ือมตอกับ ขาอินพุตท้ังสองขาของแนนดเกต ดังน้ันจากกฎ 4.4.4 ขอ 2 ได AA = A 2. แอนดเ กต จากรปู อนิ พุต คอื A และ B เอาตพตุ คือ Z ดงั นนั้ หากใชแนนดเกตในการสรา งวงจรแอนดเ กต ดงั กลา วจะไดด งั ตอ ไปน้ี 86
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ จากรูป อินพุต A และ B เช่ือมตอกับ ขาอินพุตทั้งสองขาของแนนดเกตไดเปน AB และนํา ผลลัพธด ังกลา วมาผา นแนนดเกตตวั ทีส่ องซึ่งทาํ หนา ที่เปนน็อตเกต ดงั น้นั จากกฎ 4.4.5 ได AB=AB 3. ออรเ กต จากรูป อินพตุ คือ A และ B เอาตพตุ คือ Z ดังนั้น หากใชแนนดเกตในการสรางวงจรออรเกต ดงั กลาวจะไดด งั ตอไปน้ี จากรูป อนิ พตุ A และ B แตละตัวถูกเช่ือมตอกับแนนดเกตท่ีทําหนาที่เปนน็อตเกตไดเปน A และ B และนาํ ผลลัพธท ั้งสองมาใชง านเปนอนิ พตุ ใหแนนดเกตตวั สดุ ทายไดเปน AB และจากกฎ เดอมอรแกน (กฎ 4.4.10 ขอ 2) ไดว า AB= A+ B= A+ B ตัวอยา งท่ี 5-12 จงใชนอรเกตมาสรางวงจรทมี่ ีการทาํ งานเปน น็อตเกต แอนดเ กต และ ออรเ กต วธิ ที ํา 1. นอ็ ตเกต จากรปู อินพตุ คือ A และ เอาตพตุ คอื A ดงั น้ัน หากใชนอรเ กตในการสรา งวงจรน็อตเกต ดังกลาวจะไดดงั ตอ ไปนี้ จากรูป อนิ พตุ A เชอื่ มตอ กบั ขาอนิ พตุ ทง้ั สองขาของนอรเ กต ดงั น้ัน A + A= A 87
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข 2. แอนดเ กต จากรปู อนิ พตุ คอื A และ B เอาตพ ตุ คือ Z ดงั น้นั หากใชน อรเกตในการสรางวงจรแอนดเกต ดงั กลา วจะไดดงั ตอ ไปน้ี จากรปู อนิ พตุ A และ B แตละตวั ถกู เช่อื มตอกับนอรเ กตทท่ี าํ หนา ท่ีเปน นอ็ ตเกตไดเปน A และ B และนําผลลัพธทั้งสองมาใชงานเปนอินพุตใหนอรเกตตัวสุดทายไดเปน A+ B และ จากกฎเด อมอรแ กน (กฎ 4.4.10 ขอ 1) ไดวา A+ B= AB= AB 3. ออรเกต จากรูป อินพตุ คือ A และ B เอาตพุตคือ Z ดังนั้น หากใชนอรเกตในการสรางวงจรออรเกต ดังกลา วจะไดด งั ตอ ไปน้ี จากรูป อินพุต A และ B เช่ือมตอกับ ขาอินพุตทั้งสองขาของนอรเกตไดเปน A+ B และนํา ผลลัพธดังกลาวมาผานนอรเกตตัวที่สองซึ่งทําหนาท่ีเปนน็อตเกต ดังนั้นจากกฎ 4.4.5 ได A + B=A + B ตัวอยางท่ี 5-11 และ 5-12 แสดงใหเห็นวาสามารถใชแนนดเกต และ นอรเกตไปประยุกตใช แทนเกตพน้ื ฐานอ่นื ๆ ไดท ัง้ หมด 88
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข ตวั อยางที่ 5-13 จากวงจรลอจกิ ตอ ไปนี้ จงออกแบบวงจรดงั กลาวใหมโ ดยใชแ นนดเ กตเทา นั้น วิธที าํ จากรูป เปน วงจรลอจิกท่ีใช แอนดเกต 1 ตัว และ ออรเกต 1 ตัว ดังนนั้ จากตวั อยา งท่ี 5-11 ท่ีกลาวถงึ การใชย ูนเิ วอรแซลเกตแทนเกตพน้ื ฐานชนดิ อนื่ ๆ ไดวงจรลอจิกใหมเ ปนดังน้ี Y X เน่ืองจากแนนดเกต X และ แนนดเกต Y ทําหนาท่ีเปนคอมพลิเมนตที่อยูติดกัน ซ่ึงจากกฎ พ้นื ฐานพชี คณติ บูลนี พบวาเม่อื นําอนิ พุตมาผาน คอมพลเิ มนต สองคร้ัง ผลลัพธท่ีไดจะไดเปนอินพุต ตวั เดมิ (กฎ 4.4.5) ดังน้นั สามารถตัด แนนดเกต X และ แนนดเกต Y ไดดงั น้ี จากวงจรพสิ จู นไดด งั นี้ Z = ABC = AB+ C = AB+ C 5.7 บทสรุป กฎพชี คณิตบูลีนสามารถนํามาใชสําหรบั การลดรูปของวงจรเพอ่ื ใหวงจรมีขนาดท่เี ลก็ ลง และทํา ใหส มการของวงจรอยูใ นรปู ทง่ี า ยขน้ึ โดยสมการพีชคณิตบูลีนสามารถแปลงไดจากสมการท่ีอยูในรูป ชองผลรวมของผลคูณ (Sum of Product) สมการที่อยใู นรูปของผลคูณของผลรวม (Product of Sum) หรอื จากตารางความจรงิ สาํ หรบั การออกแบบวงจรรวมเชงิ จดั หมูน ั้นสามารถใชเ พียงแนนดเ กต หรือนอรเ กตในการออกแบบแทนเกตพนื้ ฐานชนิดอ่นื ไดทั้งหมด จึงเรยี กแนนดเ กต และ นอรเ กตวา ยนู ิ เวอรแซลเกต 89
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข คําถามทา ยบท 1. จงลดรูปวงจรตอไปน้โี ดยใชก ฎบูลีนเพอ่ื ใหอยใู นรปู แบบทง่ี า ยทีส่ ดุ 1.1 AB+ AB+ B 1.2 (AB+ A)BC 1.3 B(A + B)(A + C) 1.4 (A + B)(B+ C)(A + C) 1.5 ABC+ AB(AC) 2. จงแปลงจากฟงกชันตอ ไปน้ใี หอ ยูใ นรปู ของสมการพีชคณติ บลู ีน และลดรูปใหอ ยใู นรูปทง่ี า ยทส่ี ดุ 2.1 f(A, B, C) = m (0,1,4,6) 2.2 f(A, B, C) = m (1,3,4,5,7) 2.3 f(A, B, C, D) = m (0,1,4,5,6,9,10,13) 2.4 f(A, B, C) = M(1,2,4,7) 2.5 f(A, B, C) = M(0,3,5,7) 3. จงออกแบบวงจรลอจิกทส่ี ถานะของเอาตพตุ มคี า เปน 1 ก็ตอเม่อื อนิ พตุ อยางนอ ย 3 ตวั จากทั้งหมด 4 ตัวมสี ถานะเปน 0 4. จากสมการพชี คณติ บลู ีนที่กาํ หนดใหต อไปน้ี จงออกแบบวงจรโดยใชนอรเกตเพยี งอยางเดยี ว และ ใชแนนดเ กตเพยี งอยางเดยี ว 4.1 AB+ C 4.2 (A + B)C 4.3 AB(C+ D) 4.4 AB+ CD 4.5 AB+ CD 90
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข เอกสารอา งองิ Marcovit z, A. B. (2009). Introduction to Logic Design. New York: McGraw-Hil l . Mark, B. (2003). Com plete Digital Design: A Com prehensive Guide to Digital Electronics and Com puter System Architecture. New York: McGraw-Hil l . David, M. H. (2012).Digital Design and Com puter Architecture. USA: Morgan Kaufm ann. Ram aswam y, P. (2011). Digital System s Design. United Kingdom : London Business School . Morris, M, Michael , D. C. (2006). Digital Design. New Jersey: Prentice-Hal l Int ernational In c. ธวัชชยั เลอื่ นฉวี และ อนุรักษ เถือ่ นศริ ิ. (2527). ดจิ ิตอลเทคนิคเลม 1.กรงุ เทพฯ: มิตรนราการพิมพ. มงคล ทองสงคราม. (2544).ทฤษฎีดิจิตอล.กรุงเทพฯ: หางหุนสว นจาํ กดั วี.เจ. พรน้ิ ดงิ้ . ทมี งานสมารท เลริ น น่ิง. (2543). ออกแบบวงจร Digital และประยกุ ตใ ชงาน.กรงุ เทพฯ: หา งหนุ สว น สามัญสมารท เลริ นนิ่ง. สมชาย ชื่นวฒั นาประณธิ ิ. (2535). ดจิ ิตอลอิเลก็ ทรอนิกส.จ. อดุ รธาน:ี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี. 91
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข แผนบรหิ ารการสอนประจาํ บทที่ 6 แผนผังคารโ นห 3 ชว่ั โมง หวั ขอ เนอ้ื หา 6.1 รปู แบบของแผนผังคารโ นห 6.1.1 แผนผงั คารโนหข นาด 2 ตวั แปร 6.1.2 แผนผังคารโนหข นาด 3 ตวั แปร 6.1.3 แผนผังคารโ นหข นาด 4 ตัวแปร 6.2 การอา นคา ลงแผนผงั คารโ นห 6.3 การสรางลูป 6.4 เงอื่ นไขท่ีไมสนใจ 6.5 การออกแบบวงจรบวก และลบเลขฐานสอง 6.5.1 วงจรบวกแบบไมค ดิ ตัวทด 6.5.2 วงจรบวกแบบคดิ ตัวทด 6.5.3 วงจรลบแบบไมค ิดตัวยืม 6.5.4 วงจรลบแบบคดิ ตวั ยืม 6.5.5 วงจรบวกแบบหลายบิต 6.5.6 วงจรลบแบบหลายบติ 6.6 บทสรปุ วตั ถุประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม 1. เพอ่ื ใหผ เู รยี นมคี วามรูความเขา ใจเกยี่ วกบั แผนผงั คารโนห 2. เพอ่ื ใหผ เู รยี นสามารถใชแ ผนผงั คารโ นหเพอื่ ลดรูปสมการพชี คณิตบลู ีนได 2. เพอื่ ใหผ ูเ รยี นมคี วามรคู วามเขาใจเกยี่ วกบั สถานะที่ไมสนใจ 3. เพอ่ื ใหผ เู รยี นมคี วามรคู วามเขา ใจเกยี่ วกบั วงจรบวกและวงจรลบเลขฐานสอง วธิ กี ารสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจําบท 1. บรรยายเนอื้ หาในแตล ะหวั ขอ พรอมยกตัวอยา งประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผสู อนสรปุ เนอ้ื หา 4. ทาํ แบบฝก หดั เพ่อื ทบทวนบทเรยี น 5. เปด โอกาสใหผ เู รยี นถามขอสงสยั 6. ผสู อนทําการซักถาม สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ทิ ลั และลอจกิ 2. ภาพเล่ือน 92
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข การวัดผลและการประเมิน 1. ประเมินจากการซักถามในชน้ั เรยี น 2. ประเมินจากความรวมมอื และความรบั ผดิ ชอบตอการเรยี น 3. ประเมินจากการทาํ แบบฝกหดั ทบทวนบทเรียน 93
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ บทท่ี 6 แผนผังคารโ นห แผนผังคารโ นห (Karnaugh Map) เปน เทคนิควิธีท่ีใชสําหรับลดรูปสมการพีชคณิตบูลีนอีกวิธี หนึ่ง โดยใชต ารางเปน ตัวชว ยในการลดรปู เพ่อื ใหอยูในรปู ทงี่ า ยขึ้น การใชแผนผงั คารโนหจะแกป ญ หา ไดง า ย และรวดเรว็ กวา การใชกฎพื้นฐานพชี คณติ บูลนี ในกรณที ส่ี มการพชี คณติ บูลนี มอี ินพุตขนาด 2 – 4 ตวั แปร 6.1 รปู แบบแผนผงั คารโนห แผนผงั คารโ นห เปนเทคนิควิธีท่ีเหมาะกับอินพุตขนาด 2 – 4 ตัวแปร ซึ่งหากสมการพีชคณิต บูลีนมีจํานวนอินพุตที่มากกวา 4 ตัวแปรข้ึนไป วิธีอื่นจะมีความเหมาะสมกวา ดังนั้นในบทนี้จะ กลาวถงึ แผนผงั คารโนหท ่ีมขี นาด 2 – 4 ตวั แปรเทา นั้น ซึ่งจํานวนชอ งตารางของแผนผงั คารโ นหคือ 2จํานวนอินพุต ดังนี้ อินพตุ ตัวแปร มจี าํ นวนชอ งทงั้ หมด 2 ชอง 2 = 4 2 อินพตุ 3 ตัวแปร มีจาํ นวนชอ งทั้งหมด 3 = 8 ชอ ง 2 อินพุต 4 ตัวแปร มีจํานวนชองท้งั หมด 4 = 16 ชอง 2 6.1.1 แผนผังคารโนหขนาด 2 ตัวแปร แผนผงั คารโ นหข นาด 2 ตัวแปร ภายในตารางจะมีจํานวนชองท้ังหมด 4 ชองดังตอไปนี้ (สมมติ A และ B เปนอินพุตใดๆ) A B 0 1 ชองที่ 1 0 ชอ งที่ 3 ชอ งที่ 2 1 ชองที่ 4 รปู ท่ี 6.1 แผนผงั คารโนหแบบ 2 อนิ พุต จากรปู 6.1 แสดงแผนผังคารโนหแบบ 2 อินพุต มีท้ังหมด 2 แถว 2 คอลัมน ซ่ึงแตละ แถวจะใชส าํ หรับการแทนคาทเ่ี ปนไปไดท ัง้ หมดของตวั แปร B และแตละคอลัมนใชสําหรับแทนคาที่ เปนไปไดท้งั หมดของตวั แปร A ดังน้ี ชอ งท่ี 1 (แถวท่ี 1 คอลมั นที่ 1): เปน การแทนคาของ A = 0 และ B = 0 ชอ งท่ี 2 (แถวที่ 2 คอลมั นท ี่ 1): เปน การแทนคาของ A = 0 และ B = 1 ชองที่ 3 (แถวท่ี 1 คอลัมนที่ 2): เปนการแทนคา ของ A = 1 และ B = 0 ชอ งท่ี 4 (แถวท่ี 2 คอลัมนท่ี 2): เปน การแทนคา ของ A = 1 และ B = 1 94
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 6.1.2 แผนผังคารโ นหขนาด 3 ตวั แปร แผนผังคารโ นหขนาด 3 ตวั แปร ภายในตารางจะมจี ํานวนชองทัง้ หมด 8 ชอง ซงึ่ สามารถ เขียนได 2 แบบคือตารางแนวนอนและตารางแนวต้งั ดงั ตอไปนี้ (สมมติ A, B และ C เปน อินพุตใดๆ) AB C 00 01 11 10 0 1 รปู ที่ 6.2 แผนผงั คารโนหแ บบ 3 อินพุตแบบตารางแนวนอน จากรูป 6.2 แสดงแผนผงั คารโ นหแบบ 3 อนิ พุตแบบตารางแนวนอน มีท้งั หมด 2 แถว 4 คอลมั น ซึ่งแตละแถวจะใชส ําหรับการแทนคาทเ่ี ปน ไปไดท้งั หมดของตวั แปร C และแตละคอลัมนใช สาํ หรบั แทนคา ที่เปน ไปไดท ง้ั หมดของตวั แปร A และตัวแปร B ดังน้ี แถวที่ 1 คอลมั นท ่ี 1: เปน การแทนคาของ A = 0, B = 0 และ C = 0 แถวที่ 2 คอลมั นท ี่ 1: เปน การแทนคาของ A = 0, B = 0 และ C = 1 แถวที่ 1 คอลมั นท ่ี 2: เปนการแทนคา ของ A = 0, B = 1และ C = 0 แถวท่ี 2 คอลมั นที่ 2: เปน การแทนคา ของ A = 0, B = 1 และ C = 1 แถวท่ี 1 คอลมั นที่ 3: เปน การแทนคา ของ A = 1, B = 1 และ C = 0 แถวที่ 2 คอลมั นที่ 3: เปนการแทนคา ของ A = 1, B = 1 และ C = 1 แถวที่ 1 คอลมั นที่ 4: เปนการแทนคา ของ A = 1, B = 0 และ C = 0 แถวท่ี 2 คอลมั นท ่ี 4: เปน การแทนคา ของ A = 1, B = 0 และ C = 1 A 0 1 BC 00 01 11 10 รปู ที่ 6.3 แผนผงั คารโ นหแบบ 3 อนิ พุตแบบตารางแนวตง้ั จากรปู 6.3 แสดงแผนผงั คารโ นหแ บบ 3 อินพตุ แบบตารางแนวนอน มที งั้ หมด 4 แถว 2 คอลัมน ซ่งึ แตล ะแถวจะใชสาํ หรบั การแทนคา ทเี่ ปนไปไดท ัง้ หมดของตัวแปร B และ ตัวแปร C และ แตละคอลมั นใ ชส ําหรับแทนคา ทเ่ี ปนไปไดทงั้ หมดของตัวแปร A ดงั นี้ แถวที่ 1 คอลมั นที่ 1: เปนการแทนคา ของ A = 0, B = 0 และ C = 0 แถวที่ 1 คอลมั นที่ 2: เปน การแทนคาของ A = 1, B = 0 และ C = 0 แถวที่ 2 คอลมั นที่ 1: เปน การแทนคาของ A = 0, B = 0 และ C = 1 แถวท่ี 2 คอลมั นท่ี 2: เปนการแทนคาของ A = 1, B = 0 และ C = 1 แถวท่ี 3 คอลมั นท ี่ 1: เปนการแทนคาของ A = 0, B = 1 และ C = 1 95
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ แถวที่ 3 คอลมั นท ี่ 2: เปน การแทนคาของ A = 1, B = 1 และ C = 1 แถวที่ 4 คอลมั นท ี่ 1: เปน การแทนคา ของ A = 0, B = 1และ C = 0 แถวที่ 4 คอลมั นท ่ี 2: เปน การแทนคาของ A = 1, B = 1และ C = 0 สําหรับแผนผงั คารโนหท ม่ี ชี องในแนวแถว หรอื คอลมั น 4 ชองตอ 1 แถวหรือ 1 คอลมั น จะเรียงขอมูลอินพุตเปน 00, 01, 11 และ 10 ตามลําดับเสมอ ดังแสดงรูปท่ี 6.2 และ 6.3 เน่ืองจากวาสถานะของอินพุตที่อยูแตละชองติดกันในแผนผังคารโนหจะตองมีสถานะของอินพิต ตางกนั เพยี ง 1 ตัวเทานน้ั จึงใชว ิธีการเรยี งคา แบบรหสั เกรยแทนรหสั เลขฐานสอง 6.1.3 แผนผงั คารโนหข นาด 4 ตัวแปร แผนผังคารโ นหข นาด 4 ตวั แปร ภายในตารางจะมีจาํ นวนชองท้งั หมด 16 ชอ ง ดังตอไปน้ี (สมมติ A, B, C และ D เปนอินพตุ ใดๆ) AB CD 00 01 11 10 00 01 11 10 รปู ที่ 6.4 แผนผงั คารโ นหแ บบ 4 อนิ พตุ จากรปู 6.4 แสดงแผนผงั คารโนหแ บบ 4 อนิ พตุ ซึง่ มีทง้ั หมด 4 แถว 4 คอลัมน ซ่ึงแตล ะ แถวจะใชสาํ หรับการแทนคาท่ีเปนไปไดทั้งหมดของตัวแปร C และตัวแปร D และแตละคอลัมนใช สําหรับแทนคา ทเี่ ปนไปไดท ้งั หมดของตวั แปร A และตัวแปร B ดงั น้ี แถวท่ี 1 คอลมั นท่ี 1: เปน การแทนคาของ A = 0, B = 0, C = 0 และ D = 0 แถวท่ี 2 คอลมั นท่ี 1: เปน การแทนคา ของ A = 0, B = 0, C = 0 และ D = 1 แถวท่ี 3 คอลมั นท่ี 1: เปนการแทนคาของ A = 0, B = 0, C = 1 และ D = 1 แถวที่ 4 คอลมั นท ่ี 1: เปนการแทนคาของ A = 0, B = 0, C = 1 และ D = 0 แถวที่ 1 คอลมั นที่ 2: เปนการแทนคา ของ A = 0, B = 1, C = 0 และ D = 0 แถวที่ 2 คอลมั นท ่ี 2: เปนการแทนคาของ A = 0, B = 1, C = 0 และ D = 1 แถวท่ี 3 คอลมั นท ่ี 2: เปน การแทนคาของ A = 0, B = 1, C = 1 และ D = 1 แถวที่ 4 คอลมั นท ่ี 2: เปน การแทนคา ของ A = 0, B = 1, C = 1 และ D = 0 แถวที่ 1 คอลมั นท ี่ 3: เปน การแทนคาของ A = 1, B = 1, C = 0 และ D = 0 แถวท่ี 2 คอลมั นท ่ี 3: เปนการแทนคา ของ A = 1, B = 1, C = 0 และ D = 1 แถวท่ี 3 คอลมั นท่ี 3: เปนการแทนคาของ A = 1, B = 1, C = 1 และ D = 1 แถวที่ 4 คอลมั นท ี่ 3: เปนการแทนคาของ A = 1, B = 1, C = 1 และ D = 0 แถวท่ี 1 คอลมั นท่ี 4: เปน การแทนคา ของ A = 1, B = 0, C = 0 และ D = 0 แถวที่ 2 คอลมั นท ่ี 4: เปนการแทนคา ของ A = 1, B = 0, C = 0 และ D = 1 96
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข แถวที่ 3 คอลมั นท ี่ 4: เปนการแทนคา ของ A = 1, B = 0, C = 1 และ D = 1 แถวที่ 4 คอลมั นท่ี 4: เปน การแทนคา ของ A = 1, B = 0, C = 1 และ D = 0 6.2 การอานคาลงแผนผังคารโ นห การอานคา ลงแผนผังคารโนหสามารถทาํ ได 2 วิธี ดงั นี้ อา นจากสมการพีชคณิตบูลีนที่แปลงมา จากผลรวมของผลคูณ (หรอื แปลงจากตารางความจริงโดยเลือกเฉพาะสถานะเอาตพุตท่ีเปน 1) และ อา นจากสมการพีชคณิตบูลีนที่แปลงมาจากผลคูณของผลรวม (หรือแปลงจากตารางความจริงโดย เลอื กเฉพาะสถานะเอาตพ ตุ ทีเ่ ปน 0) ดงั ตอไปนี้ กรณีท่ี 1 สมการพชี คณติ บูลีนอยูใ นรูปผลรวมของผลคูณ: ใหพ จิ ารณามินเทอมของแตล ะพจน เพ่ือนําไปใสในแตละชอ งของตาราง โดยหากอนิ พุตไมมีคอมพลิเมนต คาของอินพตุ ตวั ดังกลาวจะมคี า เปน 1 แตหากมคี อมพลเิ มนตทอี่ นิ พตุ อนิ พุตตวั ดังกลา วจะมีคา เปน 0 เม่ือทราบสถานะอินพุตท้งั หมด ของพจนใ ด ๆ แลว ใหใส “ 1” ลงชองในแผนผังคารโ นหที่สถานะของอนิ พุตทง้ั หมดมีคาตรงกัน เมื่อใส “ 1” ครบทกุ ชอ งแลว ชอ งทเ่ี หลือจะมีคาเปน “ 0” กรณีที่ 2 สมการพชี คณิตบูลีนอยูในรูปผลคูณของผลรวม: ใหพิจารณาแมกเทอมของแตละ พจนเ พอ่ื นาํ ไปใสใ นแตละชองของตาราง โดยหากอินพตุ ไมม คี อมพลเิ มนตคาของอนิ พุตตวั ดังกลาวจะ มคี าเปน 0 แตห ากมคี อมพลิเมนตที่อินพุตอินพุตตัวดังกลาวจะมีคาเปน 1 เมอ่ื ทราบสถานะอินพุต ทง้ั หมดของพจนใดๆแลวใหใ ส “ 0” ลงชอ งในแผนผังคารโ นหทสี่ ถานะของอนิ พุตทั้งหมดมีคาตรงกัน เมอื่ ใส “ 0” ครบทุกชองแลว ชอ งทีเ่ หลอื จะมคี าเปน “ 1” ตัวอยางท่ี 6-1 จากสมการตอ ไปนี้ Z = AB+ AB จงเขยี นคาสถานะของอนิ พุตทงั้ หมดลงแผนผังคาร โนห วธิ ที ํา สมการนีอ้ ยใู นรูปผลรวมของผลคณู แบบ 2 อินพุต ดังนั้นนาํ มนิ เทอมแตละพจนมาใสค า ลงแผนผังคารโ นหด งั นี้ AB ใส “ 1” ลงชอ ง A = 0 และ B = 1 AB ใส “ 1” ลงชอ ง A = 1 และ B = 1 A 0 1 B 0 00 1 11 ตวั อยางท่ี 6-2 จากสมการตอ ไปน้ี Z = (A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C)(A + B+ C) จง เขยี นคา สถานะของอนิ พตุ ท้งั หมดลงแผนผังคารโนห วธิ ที าํ สมการน้ีอยูใ นรูปผลคณู ของผลรวมแบบ 3 อินพตุ ดังน้ันนาํ แมกเทอมแตล ะพจนม าใส คา ลงแผนผังคารโนหด งั นี้ A +B+ C ใส “ 0” ลงชอง A = 1 และ B = 1 และ C = 0 A +B+ C ใส “ 0” ลงชอง A = 0 และ B = 1 และ C = 0 A +B+ C ใส “ 0” ลงชอ ง A = 0 และ B = 1 และ C = 1 A+B+ C ใส “ 0” ลงชอ ง A = 1 และ B = 0 และ C = 0 97
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ - A + B+ C ใส “ 0” ลงชอ ง A = 0 และ B = 0 และ C = 0 AB C 00 01 11 10 00 0 0 0 11 0 1 1 6.3 การสรา งลูป การสรางลปู เปน ขน้ั ตอนของการแกสมการใหอยใู นรูปทงี่ า ยข้ึน โดยเปน คายุบรวมตําแหนงของ ชอ งท่มี ีคา เปน 1 ติดกนั ใหค รบทกุ ชอ ง (หรอื 0 ติดกัน) สําหรับขนั้ ตอนท่ีจะกลาวตอไปนี้ เปนกรณีท่ี พจิ ารณาเฉพาะชอ งทมี่ คี า เปน 1 โดยมหี ลักการดังน้ี 1. เลือกชองดาํ เนนิ การ คอื เลอื กเฉพาะชองทม่ี คี าเปน 1 ทั้งหมด ยบุ รวมชอ งทมี่ ี ตดิ กัน โดยแตล ะวงจะยบุ ไดจ าํ นวน n ชอ งเทา น้ัน เชน 2. 1 1, 2, 4, 8, 16,… 2 แตเน่อื งจากแผนผงั คารโนหท กี่ ลาวถงึ ในเอกสารเลมนมี้ ขี นาด 2 – 4 อนิ พุต ดงั นั้น จะยุบชองทมี่ ี 1 ตดิ กนั ไดสงู สดุ 16 ชอ ง 3. การยุบรวมจะใชว ิธีการวงรอบกลุม ทมี่ คี า 1 อยตู ดิ กัน โดยจะตอ งวงใหไ ดว งท่ใี หญทส่ี ดุ เทา ท่ี จะเปนไปได เชน ถาวงได 4 ชอง หามวงเปน วงเลก็ 2 วง ๆ ละ 2 ชอ ง 4. ชองทีอ่ ยตู าํ แหนง ขอบของตาราง หากสมมติวาพับแผนตารางแลว พบวา ชอ งทบั กัน ถอื วา อยู ตดิ กัน 5. ชอ งทถ่ี กู วงแลวสามารถถกู นําไปวงกบั วงอ่นื ไดอ กี เพ่ือใหว งดงั กลาวมขี นาดใหญข ้นึ 6. นําวงแตละวงท่ียุบไดมาแปลงเปนมินเทอม วิธีการแปลงใหดูสถานะของอนิ พุตท้ังหมดที่ ตาํ แหนงของวงดังกลาว (มองขน้ึ และมองไปทางซา ย) โดยกรณีท่พี บอินพตุ ตวั เดียวกันเปน ทงั้ 0 และ 1 ใหหกั ลา งทิง้ กรณีทอี่ ินพตุ ตวั เดียวกนั มคี า เปน 1 เหมอื นกนั ทั้งหมดใหใ สอ ินพุตตวั ดงั กลาวเพียงตัว เดยี ว แตถา พบอนิ พตุ ตัวเดยี วกนั มคี าเปน 0 ทง้ั หมดใหใสอินพุตตัวดังกลาวเพียงตัวเดียว และใหใส คอมพลิเมนตใ หอนิ พุตตวั ดังกลา ว 7. นาํ มินเทอมทัง้ หมดมาผานตัวดําเนนิ การ ออร ตัวอยา งที่ 6-3 จงหาสมการพชี คณติ บลู นี ทอ่ี ยใู นรปู ทีง่ ายทส่ี ดุ จากแผนผงั คารโนหต อไปน้ี AB C 00 01 11 10 01 1 0 0 10 0 1 1 วธิ ีทาํ เนอ่ื งจากพิจารณาเฉพาะชองทม่ี ีคาเปน 1 ทงั้ หมด จึงสามารถลบชองทมี่ คี าเปน 0 ออกกอน ได และจากตัวอยางพบวามี 1 ตดิ กนั 2 ชอ ง อยู 2 จุด จงึ มีการวงเพ่อื ยบุ รวม 2 ชองอยู 2 วงดังน้ี 98
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ AB C 00 01 11 10 วงที่ 1 01 1 1 11 วงที่ 2 การแปลงเปน มินเทอมแตละพจนใ หมองขึน้ และมองไปทางซายตามตําแหนงของชอ งท้ังหมดที่ถูกวง ดงั นี้ วงที่ 1 มองขนึ้ AB 00 01 11 10 C มองซา ย 0 1 1 1 11 มองข้ึน: พบ 00 และ 01 สงั เกตวาตัวหนาเปน ของ A และมคี า เปน 0 จงึ ใสค อมพลิเมนตดวยไดเปน A สวนตวั หลังเปน ของ B และเนอ่ื งจากวา พบทง้ั 0 และ 1 (00, 01) จึงหักลางออกไป มองซาย: พบ 0 ซ่ึงเปน ของ C และใสคอมพลิเมนตจงึ ไดเปน C ดงั นั้นไดม ินเทอมของพจนวงที่ 1 เปน AC วงที่ 2 มองข้ึน AB 00 C 01 11 10 01 1 มองซาย 1 11 มองข้ึน: พบ 11 และ10 สงั เกตวา ตวั หนา เปน ของ A และมคี าเปน 1 ไดเ ปน A สว นตวั หลงั เปนของ B และเนอื่ งจากวาพบทั้ง 0 และ 1 (11, 10) จึงหกั ลางออกไป มองซา ย: พบ 1 ซึง่ เปนของ C ไดเ ปน C ดังนนั้ ไดม ินเทอมของพจนวงที่ 2 เปน AC เพราะฉะน้ันเม่ือรวมมินเทอมท้งั สองพจนไดส มการพชี คณติ บูลีนเปน AC+ AC ตัวอยางท่ี 6-4 จงหาสมการพชี คณติ บลู นี ทอี่ ยูในรูปทงี่ ายทสี่ ดุ จากแผนผงั คารโ นหต อไปน้ี AB C 00 01 11 10 00 1 1 0 10 1 1 1 99
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข วธิ ที ํา จากตวั อยางพบวา มี 1 ติดกัน 4 ชอ ง อยู 1 จดุ และตดิ กัน 2 ชอ ง 1 จดุ จงึ ยบุ รวม ได 2 วง ดงั นี้ AB 00 01 11 10 C วงที่ 1 0 11 1 111 วงท่ี 2 การแปลงเปน มินเทอมแตล ะพจนใ หม องขึน้ และมองไปทางซายตามตําแหนง ของชอ งทงั้ หมดทถี่ กู วง ดงั น้ี วงท่ี 1 AB มองข้นึ C 00 01 11 10 มองซาย 0 1 11 1 1 11 มองข้ึน: พบ 01 และ 11 สังเกตวาตัวหนา เปนของ A และเนอ่ื งจากวาพบท้ัง 0 และ 1 (01, 11) จึง หกั ลางออกไปสวนตัวหลังเปนของ B ซึ่งมคี าเปน 1 จึงไดเ ปน B มองซา ย: พบ 0 และ 1 ซ่ึงเปน ของ C จงึ หักลา งออกไป ดงั น้ันไดม ินเทอมของพจนวงท่ี 1 เปน B วงที่ 2 มองข้นึ AB 00 01 11 10 C 01 1 1 มองซา ย 1 111 มองขึ้น: พบ 11 และ10 สังเกตวา ตัวหนาเปนของ A และมคี า เปน 1 ไดเ ปน A สว นตัวหลงั เปนของ B และเน่อื งจากวาพบท้งั 0 และ 1 (11, 10) จงึ หักลา งออกไป มองซา ย: พบ 1 ซึ่งเปน ของ C ไดเ ปน C ดงั นั้นไดม ินเทอมของพจนว งท่ี 2 เปน AC เพราะฉะนนั้ เม่อื รวมมินเทอมท้งั สองพจนไ ดส มการพชี คณติ บลู ีนเปน B + AC ตวั อยางที่ 6-4 แสดงใหเ ห็นวา ชอ งที่ถกู วงแลว สามารถถูกนําไปยบุ รวมกบั วงอืน่ ไดอกี เพอื่ ใหมนิ เทอมมขี นาดที่เล็กลง (จากตวั อยางคอื ชอ งที่ A, B, C มคี าเปน 1, 1, 1 ตามลําดับ) 100
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข ตวั อยางที่ 6-5 จงหาสมการพชี คณติ บลู นี ทอี่ ยูใ นรูปท่ีงา ยทสี่ ดุ จากแผนผงั คารโ นหต อ ไปนี้ AB C 00 01 11 10 00 0 0 0 11 0 0 1 วิธที าํ จากตัวอยา ง หากลองพับตารางตามแนวคอลมั นพ บวา ตําแหนงที่ A, B, C มคี าเปน 001 และ 101 จะทับกนั พอดเี พราะฉะน้ันสรปุ ไดวา 2 ชองดังกลา วอยตู ดิ กนั ดงั น้ี AB มองขน้ึ 01 มองขึ้น C 0 00 11 10 มองซา ย 1 1 1 มองขึ้น: พบ 00 และ10 สังเกตวา ตัวหนาเปนของ A และเนื่องจากวาพบทั้ง 0 และ 1 (00, 10) จึง หักลางออกไปสว นตัวหลงั เปน ของ B และมคี าเปน 0 ไดเ ปน B มองซา ย: พบ 1 ซ่งึ เปน ของ C ไดเปน C ดังน้ันไดมนิ เทอมเปน BC เนือ่ งจากมีการยบุ รวมเพยี งวงเดียวจงึ ไดส มการพีชคณิตบลู ีนคือ BC ตัวอยางท่ี 6-6 จงแกส มการพีชคณติ บลู นี Z = ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD ใหอยูใ นรปู ทีง่ า ยท่สี ดุ โดยใชแ ผนผงั คารโ นห วิธที าํ เน่อื งจากเปนสมการแบบ 4 อินพตุ จึงใชแ ผนผงั คารโ นหข นาด 16 ชอ ง และเติม 1 ใสช อ งท่ี ตรงกบั มนิ เทอมของสมการพชี คณติ บลู นี ขา งตน ในแตละพจน ดังนี้ มนิ เทอมตวั ท่ี 1: ABCD เตมิ 1 ใสช อง A = 0, B = 0, C = 0 และ D = 0 มินเทอมตวั ที่ 2: ABCD เตมิ 1 ใสช อง A = 0, B = 0, C = 0 และ D = 1 มินเทอมตวั ที่ 3: ABCD เตมิ 1 ใสช อ ง A = 0, B = 1, C = 0 และ D = 0 มินเทอมตวั ที่ 4: ABCD เตมิ 1 ใสช อง A = 0, B = 1, C = 0 และ D = 1 มินเทอมตวั ท่ี 5: ABCD เตมิ 1 ใสช อง A = 1, B = 0, C = 0 และ D = 0 มนิ เทอมตวั ท่ี 6: ABCD เติม 1 ใสช อ ง A = 1, B = 1, C = 1 และ D = 1 นาํ มินเทอมทัง้ 6 คา ใสลงในแผนผังคารโ นห ดังนี้ 101
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข AB 00 01 11 10 CD 1 1 1 1 00 1 1 11 10 01 11 1 1 วงที่ 2 10 11 10 จากแผนผงั คารโนหส ามารถยบุ รวมไดด งั นี้ 1 1 วงท่ี 1 CD 00 01 00 1 1 01 1 1 วงท่ี 3 11 10 วงที่ 1 มองขน้ึ มองซา ย AB 00 01 CD 1 1 00 1 1 01 11 10 มองขึ้น: พบ 00 และ 01 สังเกตวา ตวั หนา เปน ของ A และมีคา เปน 0 จงึ ใสค อมพลิเมนตดวยไดเปน A สว นตวั หลงั เปน ของ B และเนอื่ งจากวาพบทงั้ 0 และ 1 (00, 01) จงึ หักลา งออกไป มองซา ย: พบ 00 และ 01 สังเกตวาตวั หนา เปน ของ C และมคี าเปน 0 จึงใสค อมพลเิ มนตดวยไดเปน C สวนตวั หลงั เปน ของ D และเน่ืองจากวา พบทง้ั 0 และ 1 (00, 01) จงึ หกั ลางออกไป ดังนั้นไดมินเทอมของพจนว งที่ 1 เปน AC วงท่ี 2 มองขนึ้ มองขน้ึ AB 00 01 11 10 มองซา ย CD 1 1 1 00 1 1 01 1 11 10 102
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ มองขน้ึ : พบ 00 และ10 สังเกตวาสวนตัวหนา เปนของ A และเนอ่ื งจากวาพบท้ัง 0 และ 1 (00, 10) จึงหักลา งออกไปสว นตวั หลงั เปน ของ B และมีคาเปน 0 ไดเปน B มองซา ย: พบ 00 ซง่ึ เปน ของ C และ D ไดเปน CD ดังนน้ั ไดม ินเทอมของพจนวงที่ 2 เปน BCD วงท่ี 3 มองขนึ้ AB 00 01 11 10 CD 1 11 00 1 1 มองซาย 01 1 11 10 มองขนึ้ : พบ 11 ซ่งึ เปนของ A และ B ไดเ ปน AB มองซาย: พบ 11 ซึง่ เปน ของ C และ D ไดเปน CD ดงั น้ันไดมนิ เทอมของพจนว งท่ี 3เปน ABCD เพราะฉะน้นั เมือ่ รวมมินเทอมทงั้ สามพจนไดสมการพชี คณิตบลู นี เปน AC+BCD+ ABCD ตัวอยางที่ 6-7 จงเขยี นสมการพชี คณิตบูลีนจากตารางความจริงตอไปนี้ อินพุต เอาตพตุ AB C Z 0 00 0 0 1 00 1 1 0 01 0 1 0 01 1 0 10 0 10 1 11 0 11 1 วธิ ที ํา จากตารางความจรงิ เลอื กเฉพาะมนิ เทอมของอนิ พตุ ท่สี ถานะของเอาตพ ตุ มีคาเปน 1 ไดด ังน้ี มนิ เทอมตวั ที่ 1: A = 0, B = 1 และ C = 0 มินเทอมตวั ที่ 2: A = 0, B = 1 และ C = 1 มินเทอมตวั ท่ี 3: A = 1, B = 0 และ C = 1 103
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข AB 00 01 11 10 C 0 0 1 0 0 0 1 0 1 1 11 10 จากแผนผังคารโ นหส ามารถยบุ รวมไดด ังน้ี 11 1 วงที่ 2 AB 00 01 C 10 วงท่ี 1 0 1 1 1 1 วงที่ 1 มองขึน้ AB 01 C 00 1 มองซา ย 0 1 1 มองขึ้น: พบ 01 ซ่ึงเปน ของ A และ B ไดเ ปน AB มองซาย: พบ 0 และ 1 ซ่งึ เปนของ C จึงหกั ลางออกไป ดังน้นั ไดมนิ เทอมของพจนว งที่ 1 เปน AB วงที่ 2 มองขน้ึ AB 00 C 01 11 10 01 มองซา ย 1 1 1 มองขึน้ : พบ 10 ซ่งึ เปน ของ A และ B ไดเ ปน AB มองซาย: พบ 1 ซง่ึ เปน ของ C ไดเ ปน C ดงั น้นั ไดมนิ เทอมของพจนวงที่ 2 เปน ABC เพราะฉะนน้ั เมือ่ รวมมินเทอมทัง้ สองพจนไดส มการพชี คณติ บลู นี เปน AB+ ABC ตัวอยางที่ 6-8 จงหาสมการพชี คณติ บลู นี ทอี่ ยูในรปู ทีง่ ายทสี่ ดุ จากแผนผงั คารโ นหต อไปน้ี โดยใหอ ยู ในรปู ของผลคูณของผลรวม 104
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข AB 00 01 11 10 C 01 0 0 1 10 0 1 1 วธิ ที าํ จากโจทยกําหนดใหหาสมการพีชคณิตบูลีนโดยใหอยูในรูปของผลคูณของผลรวม ซึ่งจะ แตกตางจากตวั อยา งกอ นหนา น้ที ้ังหมดท่ไี ดเ คยแสดงมา เน่ืองจากตัวอยางกอนหนาน้ีทั้งหมดจะหา สมการพชี คณิตบูลนี ซ่งึ อยใู นรปู ผลรวมของผลคูณทงั้ หมด โดยวธิ กี ารหาสมการพชี คณิตบลู นี ในรูปผล คูณของผลรวม จะแตกตางจากวิธกี ารหาสมการพีชคณติ บลู ีนในรูปผลรวมของผลคูณ ดงั น้ี 1. เลือกชองดําเนินการ 0 ทงั้ หมด โดยทช่ี อ งดําเนินการ 1 ท้ังหมดใหเอาออก 2. ขัน้ ตอนการยบุ รวมเหมือนกบั แบบวธิ กี ารหาแบบผลรวมของผลคูณทุกประการ 3. นําวงแตล ะวงทย่ี บุ ไดมาแปลงเปนแมกเทอม 4. นาํ แมกเทอมทง้ั หมดมาผานตวั ดําเนนิ การ แอนด ดังนัน้ จากหลกั การขัน้ ตน เลือกเฉพาะชอ งดําเนินการ 0 ทง้ั หมดได ดังน้ี AB 00 01 11 10 C วงที่ 1 วงที่ 2 0 00 10 0 วงท่ี 1 มองข้นึ AB 00 01 11 10 มองซาย C 0 00 0 0 1 มองขนึ้ : พบ 01 และ 11 สังเกตวาตวั หนา เปนของ A และเนื่องจากวาพบท้ัง 0 และ 1 (01, 11) จึง หักลา งออกไป สวนตวั หลังเปนของ B และมีคาเปน 1 จึงใสคอมพลเิ มนตดวยไดเ ปน B มองซาย: พบ 0 ซงึ่ เปน ของ C ไดเปน C ดงั นั้นไดแ มกเทอมของพจนว งที่ 1 เปน B+C วงที่ 2 มองขนึ้ AB 00 01 11 10 C 0 00 มองซาย 1 0 0 105
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข มองข้นึ : พบ 00 และ 01 สังเกตวาตวั หนา เปนของ A และ มคี า เปน 0 ไดเปน A สว นตวั หลงั เปน ของ B เนอ่ื งจากวา พบทัง้ 0 และ 1 (00, 01) จึงหกั ลางออกไป มองซาย: พบ 1 ซง่ึ เปนของ C ไดเ ปน C ดังน้นั ไดแ มกเทอมของพจนวงที่ 2 เปน A+ C เพราะฉะนั้นเมอ่ื รวมแมกเทอมทงั้ สองพจนไดส มการพชี คณติ บลู นี เปน (B+ C)(A+ C) 6.4 เงือ่ นไขท่ไี มสนใจ (Don’t Care Condition) เงื่อนไขที่ไมสนใจคือ การกําหนดใหสถานะของมินเทอม หรือแมกเทอมเปนไดทั้ง 0 หรือ 1 ประโยชนของการนําเงื่อนไขท่ีไมสนใจมาใชงานคือจะชวยใหสามารถลดรูปสมการพีชคณิตบูลนี มี ขนาดที่เลก็ ลงได ขอ ควรระวงั คือ เง่ือนไขที่ไมสนใจอาจทําใหสมการพีชคณิตบูลีนมีขนาดท่ีใหญข้ึน เพราะฉะน้ันจึงตอ งระวงั ไมใ หเกิดกรณดี ังกลา วขึ้นดว ย สาํ หรับมนิ เทอม หรือแมกเทอมใดท่มี ีสถานะ เปน เงอ่ื นไขทไ่ี มสนใจใหใ ชสญั ลกั ษณ “ x” หรอื สญั ลกั ษณ “ d” แทนสถานะดังกลาว โดยท่ีเอกสาร ประกอบการสอนเลม น้จี ะเลอื กใชเฉพาะสัญลักษณ “ x” เทา น้นั ตัวอยา งที่ 6-9 จงเขียนสมการพชี คณติ บูลีนจากแผนผงั คารโ นหต อไปนี้ AB 00 01 11 10 CD 00 01 1 x 11 x 1 10 x วธิ ีทํา จากแผนผงั คารโ นหสงั เกตวา มีสถานะทเี่ ปนเงอ่ื นท่ไี มสนใจทั้งหมด 3 คา ซง่ึ อยตู ําแหนง ที่มิน เทอม “ ABCD” มีสถานะอินพุตเปน “ 0111” , “ 1101” และ “ 1110” เน่ืองจากสามารถมองให สถานะทเ่ี ปนเง่อื นไขที่ไมส นใจเปนไดท ้ัง “ 0” หรือ “ 1” จึงกําหนดใหส ถานะทีเ่ ปนเงื่อนไขทีไ่ มสนใจท่ี อยูต าํ แหนง “ ABCD” ทม่ี สี ถานะอินพตุ เปน “ 0111” และ “ 1101” มีคาเปน “ 1” เพอ่ื ใหส ามารถยุบ รวมไดว งท่ีใหญขึ้น (ยุบ 4 ชอง) สวนสถานะที่เปนเงื่อนไขที่ไมสนใจอีกคาหน่ึง (“ ABCD” มีคาเปน “ 1110” ) ใหก าํ หนดเปน “ 0” เพอื่ ทจ่ี ะไมไ ดถ กู นํามาใชงาน ดังนี้ มองขนึ้ AB 00 01 11 10 CD 00 มองซาย 01 11 11 11 10 มองขน้ึ : พบ 01 และ 11 สังเกตวา ตัวหนา เปนของ A เน่ืองจากวาพบทง้ั 0 และ 1 (01, 11) จึง หักลา งออกไป สว นตัวหลงั เปน ของ B และ มีคา เปน 1 ไดเ ปน B 106
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ มองซา ย: พบ 01 และ 11 สงั เกตวา ตัวหนาเปน ของ C เนอื่ งจากวา พบท้งั 0 และ 1 (01, 11) จงึ หกั ลา งออกไป สว นตัวหลงั เปนของ D และ มคี า เปน 1 ไดเปน D เพราะฉะน้ันไดสมการพชี คณติ บลู ีนเปน BD จากตวั อยา งนีห้ ากมองสถานะทเี่ ปนเงือ่ นทไี่ มส นใจของ “ ABCD” ท่มี ีสถานะอินพตุ เปน “ 1110” ใหมีสถานะเปน “ 1” จะพบวา จะทาํ ใหสมการพชี คณติ บูลีนมขี นาดทใ่ี หญข ้ึน ดงั นี้ AB 00 01 11 10 CD 00 01 11 BD 11 11 1 10 ABC จากแผนผังคารโ นหข างตนจะไดสมการพชี คณติ บลู นี เปนดงั น้ี ABC + BD ซึ่งสังเกตไดว าสมการ ท่ีไดเปนสมการที่มีขนาดใหญกวาสมการที่เปนคําตอบที่ถูกตอง (ถึงแมจะไดสถานะเอาตพุตที่ เหมือนกัน) ซงึ่ สงผลใหม ีการใชง านจาํ นวนไอซมี ากขน้ึ ตวั อยางที่ 6-10 กําหนดให A, B, C และ D แทนเลขฐานสองที่เรียงกันตามลําดับความสําคัญจาก มากไปหานอ ย โดย A เปน บิตที่มีลําดับความสําคัญสูงท่ีสุดและ D เปนบิตที่มีลําดับความสําคัญตํ่า ท่ีสุด จงเขียนสมการพีชคณิตบูลนี ทที่ ําใหเอาตพุตมีคาเปน 1 ก็ตอเม่ือสถานะของอินพุตซ่ึงมีการใช งานเพยี งแค 10 คาคอื 0000, 0001,…, 1001 มีคาเปน 1 พรอ มกนั 2 คา วธิ ที ํา จากตวั อยา งโจทยกาํ หนดใหมีการใชง านอินพตุ เพยี งแค 10 คา แตเน่ืองจากอินพุตมีจํานวน ทั้งหมด 4 บิตซึ่งมีคาท่ีเปนไปไดทั้งหมด 16 คา ดังนั้นอีก 6 คาที่เหลือ (1010, 1011,…, 1111) จะ เปนเง่ือนไขท่ีไมสนใจน่ันเอง และหากเอาตพ ุตจะมีคาเปน 1 ได สถานะของอินพุตจะตองเปน 1 พรอ มกัน 2 คาเทา นัน้ ดงั ตารางตอ ไปน้ี สถานะอินพุต สถานะเอาตพ ุต A B C D (Z) 00 0 0 0 00 0 1 0 00 1 0 0 00 1 1 1 01 0 0 0 01 0 1 1 01 1 0 1 107
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข สถานะอนิ พุต สถานะเอาตพุต AB C D (Z) 10 01 1 00 11 10 0 0x 1x 10 0 0x 1x 10 1 0x 1x 10 1 11 0 11 0 11 1 11 1 จากตารางความจริงสามารถนํามาเขยี นลงแผนผงั คารโ นหไ ดด งั น้ี AB 00 01 11 10 CD 00 0 0 x 0 01 0 1 x 1 11 1 0 x x 10 0 1 x x จากท่ีไดเ คยกลาวมาแลว วา การเขียนสมการการบูลีนจากแผนผังคารโนหสามารถทําได 2 วิธี คอื เลือกชองท่มี คี าเปน 1 ทัง้ หมด และ เงื่อนไขทไี่ มส นใจบางชอง หรือ เลือกชองที่มคี าเปน 0 ทัง้ หมด และเง่อื นไขทไ่ี มส นใจบางชอง ดังน้นั จากตัวอยา งผเู ขยี นเลอื กใชช องที่มคี า เปน 1 ทัง้ หมดและเง่อื นไข ทีไ่ มสนใจบางชองดงั น้ี AB 00 01 11 10 CD 00 x BCD 01 1x1 AD BCD 11 1 xx BCD 10 1xx เพราะฉะนัน้ ไดส มการพชี คณติ บูลนี เปน AD+BCD+BCD+BCD 6.5 การออกแบบวงจรบวกและลบเลขฐานสอง วงจรบวก และวงจรลบเลขฐานสอง คือวงจรท่ีมีการนาํ อนิ พตุ 2 ตวั ท่มี ีขนาด 1 บิตและมีลําดบั ความสําคัญที่เทากัน มาดําเนินการบวก หรือ ลบกันโดยกรณีท่ีเปนวงจรบวกผลลัพธท่ีไดจะเปน ผลรวม และตวั ทดในบิตถัดไป แตหากเปนวงจรลบผลลัพธท่ีไดจ ะเปนผลลบ และตัวยืมจากบิตท่ีมี 108
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ลําดับความสําคัญท่สี งู กวา 1 ตาํ แหนง โดยแบง ออกเปน 4 วงจรประกอบดว ยวงจรบวกแบบไมค ิดตัว ทด (Half Adder), วงจรบวกแบบคิดตัวทด (Full Adder), วงจรลบแบบไมคิดตัวยืม (Half Subtractor) และวงจรลบแบบคิดตัวยมื (Ful l Subtractor) 6.5.1 วงจรบวกแบบไมคิดตัวทด วงจรบวกแบบไมค ิดตัวทดคอื วงจรที่เกิดจากการนําบิตท่ีมีลําดับความสําคัญต่ําท่ีสุดมา ผานการดําเนินการบวกกันซึง่ ผลลัพธท ี่ไดจะมี 2 คาคอื ผลบวก และตวั ทดในบิตถดั ไป A Sum Half Add er B Carry รปู ที่ 6.5 โครงสรางวงจรบวกแบบไมคิดตวั ทด รูปท่ี 6.5 แสดงโครงสรางวงจรบวกแบบไมค ิดตวั ทด การทาํ งานของวงจรคือจะนําอินพุต A และ B ซ่ึงมีขนาด 1 บิตมาบวกกัน โดยเอาตพุตที่ไดจะมี 2 คาคือผลบวก (Sum) และตัวทด (Carry) เน่ืองจากอนิ พตุ มี 2 ตัว ดังน้นั คา ท่ีเปนไปไดทัง้ หมดมี 4 กรณี ดงั นี้ กรณีท่ี 1: A = 0 และ B = 0 Carry 0 (A) 0 (B) + (Sum ) 0 0 ผลลัพธท ่ไี ด: Sum = 0, Carry = 0 กรณีท่ี 2: A = 0 และ B = 1 Carry 0 (A) 0 (B) + (Sum ) 1 1 ผลลพั ธท ไี่ ด: Sum = 1, Carry = 0 109
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข กรณที ี่ 3: A = 1 และ B = 0 Carry 0 (A) 1 (B) + (Sum ) 0 1 ผลลัพธท ไ่ี ด: Sum = 1, Carry = 0 กรณีที่ 4: A = 1 และ B = 1 Carry 1 (A) 1 (B) + (Sum ) 1 0 ผลลพั ธท ไี่ ด: Sum = 0, Carry = 1 ตารางที่ 6.1 ตารางความจรงิ ของวงจรบวกแบบไมคดิ ตวั ทด อนิ พุต เอาตพ ตุ AB Sum Carry 00 0 0 01 1 0 10 1 0 11 0 1 จากตารางความจริงสามารถคาํ นวณคํานวณหาสมการพีชคณติ บลู นี ของ Sum และ Carry ได ดงั น้ี A 0 1 B 1 AB 0 AB 1 1 Sum = AB + AB 110
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข A 0 1 AB B 1 0 1 Carry = AB รปู ท่ี 6.6 วงจรบวกแบบไมค ิดตัวทด 6.5.2 วงจรบวกแบบคดิ ตวั ทด วงจรบวกแบบคดิ ตัวทดคอื วงจรทีเ่ กดิ จากการนําอนิ พตุ ขนาด 1 บิต 2 ตวั มาบวกกัน แต อนิ พุตทัง้ 2 ตวั จะตองเปน บิตที่มีลําดับความสาํ คัญท่เี ทา กนั และเปนบิตท่ีไมใชตําแหนงบิตที่มีลําดับ ความสาํ คัญต่ําท่สี ดุ ดังนั้นการบวกจงึ มคี วามเปนไปไดท ่จี ะตองนาํ ตวั ทดเขา (Carry_in) เขามาคดิ รว ม ดว ย อธิบายไดดงั น้สี มมติวาตองการบวกเลขขนาด 2 บติ คือ A1A0 + B1B0 โดยบิตท่ีเราสนใจคือการ บวกระหวา ง A1 และ B1 เทานัน้ แตเน่อื งจาก A1 และ B1 เปน บิตทไ่ี มไดเ ปน บิตที่มีลาํ ดับความสําคัญ ตํา่ ที่สุด ดงั น้นั จงึ มีความเปนไปไดท จี่ ะตอ งนาํ ตวั ทดเขาซึ่งเกดิ จากการบวกกนั เกนิ ของ A0 และ B0 เขา มาบวกรว มดว ย ซง่ึ ผลลัพธท ี่ไดจ ะมี 2 คาคือผลบวก และตวั ทดในบติ ถัดไป A Full Adder Sum B Carry_out Carry_in รปู ที่ 6.7 โครงสรางวงจรบวกแบบไมค ิดตวั ทด รูปท่ี 6.7 แสดงโครงสรางวงจรบวกแบบคดิ ตวั ทด การทาํ งานของวงจรคือจะนาํ อนิ พุต A, B และ Carry_in ซง่ึ มีขนาด 1 บติ มาบวกกนั โดยเอาตพ ุตทไี่ ดจ ะมี 2 คา คอื ผลบวก (Sum) และตวั ทด (Carry_out) เน่อื งจากอินพุตมี 3 ตวั ดงั นัน้ คาท่เี ปนไปไดท ้ังหมดมี 8 กรณี ดงั นี้ 111
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ กรณีที่ 1: A = 0, B = 0และ Carry_in = 0 Carr y_o ut Carry_in 00 0 (A) + 0 (B) 0 (Sum ) ผลลพั ธท ่ีได: Sum = 0, Carry_out = 0 กรณที ี่ 2: A = 0, B = 0 และ Carry_in = 1 Carry_out Carry_in 01 0 (A) + 0 (B) 1 (Sum ) ผลลพั ธท ่ีได: Sum = 1, Carry_out = 0 กรณีท่ี 3: A = 0, B = 1 และ Carry_in = 0 Carry_out Carry_in 00 0 (A) + 1 (B) 1 (Sum ) ผลลัพธท ีไ่ ด: Sum = 1, Carry_out = 0 กรณีที่ 4: A = 0, B = 1 และ Carry_in = 1 Carry_out Carry_in 11 0 (A) + 1 (B) 0 (Sum ) 112
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ผลลพั ธท ไี่ ด: Sum = 0, Carry_out = 1 กรณีท่ี 5: A = 1, B = 0 และ Carry_in = 0 Car ry _o u t Carry_in 00 1 (A) + 0 (B) 1 (Sum ) ผลลัพธท ่ไี ด: Sum = 1, Carry_out = 0 กรณที ี่ 6: A = 1, B = 0 และ Carry_in = 1 Carr y _o u t Carry_in 11 1 (A) + 0 (B) 0 (Sum ) ผลลพั ธท ไ่ี ด: Sum = 0, Carry_out = 1 กรณีที่ 7: A = 1, B = 1 และ Carry_in = 0 Carr y _o u t Carry_in 10 1 (A) + 1 (B) 0 (Sum ) ผลลัพธท ี่ได: Sum = 0, Carry_out = 1 113
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ กรณีท่ี 8: A = 1, B = 1 และ Carry_in = 1 Carry_out Carry_in 11 1 (A) + 1 (B) 1 (Sum ) ผลลัพธท ่ีได: Sum = 1, Carry_out = 1 ตารางท่ี 6.2 ตารางความจรงิ ของวงจรบวกแบบคดิ ตวั ทด อนิ พตุ เอาตพ ุต A B Carry_in Sum Carry_out 00 0 0 0 00 1 1 0 01 0 1 0 01 1 0 1 10 0 1 0 10 1 0 1 11 0 0 1 11 1 1 1 จากตารางความจรงิ สามารถคํานวณคํานวณหาสมการพชี คณติ บลู ีนของ Sum และ Carry_out ไดด งั นี้ AB 00 01 11 10 Carry_in ABCarry_in 0 1 1 ABCarry_in ABCarry_in 11 1 ABCarry_in Sum = ABCarry_in + ABCarry_in + ABCarry_in + ABCarry_in AB 00 01 11 10 Carry_in 01 AB ACarry_in BCarry_in 1 111 114 Carry_out = AB+ ACarry_in + BCarry_in
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข รูปที่ 6.8 วงจรบวกแบบคิดตวั ทด 6.5.3 วงจรลบแบบไมคิดตวั ยมื วงจรลบแบบไมคิดตัวยมื คือ วงจรทีเ่ กดิ จากการนาํ บิตทม่ี ีลาํ ดับความสาํ คญั ตา่ํ ทส่ี ดุ มาผา น การดาํ เนนิ การลบกนั ซึ่งผลลัพธท ไ่ี ดจ ะมี 2 คา คือผลลบ และตวั ยมื จากบติ ถดั ไป A Sub Half Subtractor B Borrow รูปที่ 6.9 โครงสรางวงจรลบแบบไมค ิดตัวยมื รูปที่ 6.9 แสดงโครงสรางวงจรลบแบบไมคดิ ตวั ยมื การทาํ งานของวงจรคือจะนาํ อินพตุ A ซง่ึ มขี นาด 1 บิตลบออกดว ย อนิ พตุ B ซ่ึงมขี นาด 1 บติ โดยเอาตพ ุตที่ไดจ ะมี 2 คาคือผลลบ (Sub) และตัวยืม (Borrow) เนอื่ งจากอินพตุ มี 2 ตวั ดงั นนั้ คาทเ่ี ปน ไปไดท ั้งหมดมี 4 กรณี ดงั นี้ กรณีท่ี 1: A = 0 และ B = 0 Borrow 0 (A) 0 (B) - (Su b ) 0 0 ผลลัพธท ี่ได: Sub = 0, Borrow = 0 115
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข กรณที ่ี 2: A = 0 และ B = 1 Borrow 1 (A) 0 (B) - (Su b ) 1 1 ผลลัพธท ไ่ี ด: Sub = 1, Borrow = 1 จากผลลัพธท ไ่ี ดใ นกรณที ี่ 2 อธบิ ายไดด ังนี้ เน่อื งจากตวั ต้ัง (A) มีคา นอยกวา ตวั ลบ (B) ซงึ่ ลบกันไมได A จึงตองไปขอยืมคาจากบิตติดกันที่มีลําดับความสําคัญสูงกวาทําให Borrow มีคาเปน 1 และ เนื่องจากเปนการลบกันแบบเลขฐานสอง คาที่ A ยืมมาไดจึงมีคาเปน 2 ดังน้ันผลลัพธของ A – B (Sub) คอื 102 – 12 = 1 กรณีที่ 3: A = 1 และ B = 0 Borrow 0 (A) 1 (B) - (Su b ) 0 1 ผลลพั ธท ่ีได: Sub = 1, Borrow = 0 กรณที ี่ 4: A = 1 และ B = 1 Bo r ro w 0 (A) 1 (B) - (Su b ) 1 0 ผลลัพธท ่ีได: Sum = 0, Carry = 0 116
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ตารางที่ 6.3 ตารางความจริงของวงจรลบแบบไมคดิ ตัวยมื อนิ พตุ เอาตพ ตุ AB Sub Borrow 00 00 01 11 10 10 11 00 จากตารางความจริงสามารถคํานวณคํานวณหาสมการพีชคณติ บลู ีนของ Subและ Borrowได ดงั น้ี A 0 1 B 01 AB AB 1 1 Su m = AB+ AB A 0 1 B 0 AB 1 1 Carry = AB x รปู ท่ี 6.10 วงจรลบแบบไมค ดิ ตวั ยมื จากรปู 6.10 สงั เกตไดวาไมจ าํ เปน ตอ งสรางวงจร Borrow ขน้ึ มาใหม เน่ืองจากผลลัพธของ เกต x มคี า เปน AB ซ่ึงตรงกับคา ของ Borrow ดังน้ันจึงสามารถใชรวมกันได ทําใหประหยัดการใช งานเกตไปได 1 ตวั 117
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 6.5.4 วงจรลบแบบคิดตัวยืม วงจรลบแบบคิดตัวยืมคือ วงจรที่เกิดจากการนําอินพุตขนาด 1 บิต 2 ตัวมาลบกัน แต อนิ พุตทัง้ 2 ตวั จะตอ งเปนบิตที่มีลําดับความสําคญั ทเี่ ทากนั และเปนบิตที่ไมใชตําแหนงบิตท่ีมีลําดับ ความสําคญั ต่าํ ท่ีสดุ ดงั น้นั การลบจึงมีความเปนไปไดที่บิตของตัวต้ังจะถูกยืม (Borrow_in) โดยบิต ตดิ กนั ท่มี ีลาํ ดับความสาํ คัญที่ตํ่ากวา เน่ืองจากบิตตวั ต้ังมคี า นอ ยกวา บติ ตวั ลบ อธิบายไดดังนีส้ มมตวิ า ตอ งการลบเลขขนาด 2 บิตคอื A1A0 - B1B0 โดยบติ ท่เี ราสนใจคือการลบระหวา ง A1 และ B1 เทานั้น แตเนื่องจาก A1 และ B1 เปน บติ ทีไ่ มใชบ ิตที่มลี าํ ดบั ความสําคญั ตํ่าทีส่ ุด ดังนัน้ จึงมคี วามเปนไปไดท ่จี ะ A1 อาจจะถกู ยมื จาก A0 เน่ืองจาก A0 มีคานอยกวา B0 ซึ่งลบโดยตรงไมไดจึงตองขอยืมจาก A1 ซ่ึง ผลลัพธท ่ไี ดจะมี 2 คาคอื ผลลบ และตัวยืมในบิตถดั ไป A Full Subtractor Su b B Bo rro w _o u t Bo rro w _in รปู ที่ 6.11 โครงสรา งวงจรลบแบบคดิ ตวั ยมื รปู ที่ 6.11 แสดงโครงสรางวงจรลบแบบคดิ ตัวยมื การทํางานของวงจรคือจะนําอินพุต A1 ซ่ึงมีขนาด 1 บิตมาลบออกดวย B1 ซึง่ มขี นาด 1 บิตเชนกนั และหาก Borrow_in ซึ่งมขี นาด 1 บติ มคี า เปน 1 จะตองนํา Borrow_in มาลบออกดว ย โดยเอาตพ ตุ ทีไ่ ดจะมี 2 คา คอื ผลลบ (Sub) และตัว ยมื (Borrow_out) เนอ่ื งจากอนิ พุตมี 3 ตัว ดงั น้นั คาที่เปนไปไดท้งั หมดมี 8 กรณี ดังนี้ กรณที ี่ 1: A = 0, B = 0 และ Borrow_in = 0 Borrow _out Bo rro w _in 00 0 (A) - 0 (B) 0 (Sub) ผลลัพธท ่ไี ด: Sub = 0, Borrow_out = 0 กรณีท่ี 2: A = 0, B = 0 และ Borrow_in = 1 Bo rro w _o u t Bo rro w _in 11 0 (A) - 0 (B) 1 (Sub) 118
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ผลลัพธท ่ไี ด: Sub = 1, Borow_out = 1 จากผลลัพธท่ีไดในกรณีที่ 2 อธิบายไดดังน้ี เน่ืองจากตัวต้ัง (A) ถูกยืมจากบิตที่มีลําดับ ความสําคญั ตํา่ กวาไป 1 คา (Borrow_in = 1) ทําให A มีคา นอยกวาตัวลบ (B) ซ่ึงลบกันไมได A จึง ตองไปขอยืมคาจากบิตติดกันท่ีมีลาํ ดับความสําคัญสูงกวาทําให Borrow_out มีคาเปน 1 และ เนื่องจากเปน การลบกนั แบบเลขฐานสอง คาท่ี A ยืมมาไดจ ึงมีคาเปน 2 แตโดนหักจากบิตที่มีลําดับ ความสาํ คญั ตา่ํ กวาทข่ี อยมื ไป 1 คา ดังนนั้ ผลลัพธของ A – B (Sub) คือ 1 – 0 = 1 กรณที ่ี 3: A = 0, B = 1 และ Borrow_in = 0 Bo rro w _o ut Bo rro w _in 10 0 (A) - 1 (B) 1 (Sub) ผลลพั ธท ี่ได: Sub = 1, Borrow_out = 1 กรณที ี่ 4: A = 0, B = 1 และ Borrow_in = 1 Bo rro w _o u t Bo rro w _in 11 0 (A) - 1 (B) 0 (Sub) ผลลัพธท ไ่ี ด: Sub = 0, Borrow_out = 1 กรณีที่ 5: A = 1, B = 0 และ Borrow_in = 0 Bo rro w _o u t Bo rro w _in 00 1 (A) - 0 (B) 1 (Sub) ผลลัพธท ี่ได: Sub = 1, Borrow_out = 0 119
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ กรณีท่ี 6: A = 1, B = 0 และ Borrow_in = 1 Bo rro w _o u t Borrow _in 01 1 (A) - 0 (B) 0 (Sub) ผลลัพธท ่ีได: Sub = 0, Borrow_out = 0 กรณที ี่ 7: A = 1, B = 1 และ Borrow_in = 0 Bo rro w _o ut Bo rro w _in 00 1 (A) - 1 (B) 0 (Sub) ผลลัพธท ่ไี ด: Sub = 0, Borrow_out = 0 กรณีท่ี 8: A = 1, B = 1 และBorrow_in = 1 Bo rro w _o ut Borrow _in 11 1 (A) - 1 (B) 1 (Sub) ผลลพั ธท ี่ได: Sub = 1, Borrow_out = 1 120
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข ตารางท่ี 6.4 ตารางความจรงิ ของวงจรลบแบบคิดตวั ยมื อินพตุ เอาตพ ตุ A B Borrow_in Sub Borrow_out 00 0 0 0 00 1 1 1 01 0 1 1 01 1 0 1 10 0 1 0 10 1 0 0 11 0 0 0 11 1 1 1 จากตารางความจริงสามารถคาํ นวณคาํ นวณหาสมการพีชคณิตบลู ีนของ Subและ Borrow_out ไดด ังนี้ AB 00 01 11 10 Borrow _in ABBorrow_in 0 1 1 ABBorrow_in ABBorrow_in 11 1 ABBorrow_in Sub = ABBorrow_in + ABBorrow_in + ABBorrow_in + ABBorrow_in AB 00 01 11 10 Borrow _in 01 AB BBo rro w _in ABorrow_in 1 1 1 1 Borro w_out = AB+ ABorrow_in + BBorrow_in 121
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ รูปที่ 6.12 วงจรลบแบบคิดตวั ยมื 6.5.5 วงจรบวกแบบหลายบติ วงจรบวกเลขฐานสองแบบคิดตัวทด และแบบไมคิดตวั ทดน้ันใชสําหรบั คํานวณหาผลบวก เลขฐานสองของอนิ พุต 2 ตวั ทมี่ ขี นาดเพยี ง 1 บติ เทา นัน้ โดยวงจรบวกแบบไมคิดตวั ทดจะใชสําหรับ การบวกเลขที่ตาํ แหนง บิตทม่ี ลี าํ ดบั ความสําคัญตา่ํ ท่สี ดุ สวนวงจรบวกแบบคิดตัวทดจะเปนวงจรที่ใช สาํ หรบั การบวกเลขท่ีตาํ แหนงบิตท่ไี มไดอยูในตําแหนงท่มี ีลําดับความสาํ คัญตา่ํ ทส่ี ดุ ดงั นน้ั กําหนดให จาํ นวนบิตของคาที่จะนาํ มาบวกกันมคี าเทากัน หากตอ งการออกแบบวงจรบวกเลขฐานสองท่ีมีขนาด มากกวา 1 บิตตอ งใชจํานวนวงจรบวกเลขฐานสองตามจาํ นวนบิตของอินพุตทั้งหมด เชนหากอินพุต ตัวทีม่ ีขนาดมากที่สดุ คือ 4 บิต ตองใชวงจรบวกเลขฐานท้งั หมด 4 ตวั ประกอบไปดวยวงจรบวกแบบ ไมค ดิ ตัวทด 1 ตวั และวงจรบวกแบบคิดตวั ทดอกี 3 ตวั ดังตัวอยางท่ี 6-11 ตัวอยา งท่ี 6-11 การออกแบบวงจรบวกเลขฐานสองขนาด 4 บติ วธิ ที าํ การออกแบบวงจรบวกเลขฐานสองขนาด 4 บิต โดยบติ ตัวทดออกของแตล ะวงจรจะถูกเชอื่ ม กบั ตัวทดเขาของ วงจรทม่ี ีลําดบั ความสําคัญทสี่ ูงกวา ดังน้ี A3 B3 A2 B2 A1 B1 A0 B0 Carry_ out 3 Full Add er Full Add er Full Add er Half Adder (3) (2) (1) (0) S3 S2 S1 S0 122
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ ทดสอบการทํางาน กําหนดให A = 1011 และ B = 0110 การคํานวณหา S = A+B จะถูกแบง ออกเปน 4 สว นซง่ึ แตละสว นมกี ารคํานวณเปน ดังน้ี สว นท่ี 1: A0 = 1 และ B0 = 0 ดงั นน้ั S0 = A0 + B0 = 1 + 0 = 1 สวนท่ี 2: A1 = 1 และ B1 = 1 ดงั นนั้ S0 = A1 + B1 = 1 + 1 = 0 แตม ีตวั ทดออกไปยังบิตที่ 2 สวนที่ 3: A2 = 0 และ B2 = 1 และมีตัวทดเขา (Carry_in2 = 1) ดังน้ัน S2 = A2 + B2 + Carry_in2 = 0 + 1 + 1 = 0 แตม ตี ัวทดออกไปยงั บติ ที่ 3 สวนท่ี 4: A3 = 1 และ B3 = 0 และมีตัวทดเขา (Carry_in3 = 1) ดังนั้น S3 = A3 + B3 + Carry_in3 = 1 + 0 + 1 = 0 แตม ตี ัวทดออกคอื Carry_out3 = 1 ดงั นัน้ S = S3S2S1S0 = 0001 และมีตวั ทดออก 6.5.6 วงจรลบแบบหลายบติ การออกแบบวงจรลบแบบหลายบติ สามารถทําไดโดยการนาํ วงจรลบแบบคิดตัวยืม และ วงจรลบแบบไมค ดิ ตัวยืมมาตอ รวมกัน กําหนดใหจ าํ นวนบิตของคา ท่ีจะนํามาลบกันมีคาเทากัน หาก ตอ งการออกแบบวงจรลบเลขฐานสองท่ีมีขนาดมากกวา 1 บิตตองใชจาํ นวนวงจรลบเลขฐานสองตาม จํานวนบิตของอินพุตท้ังหมด อยางไรก็ตามสามารถนําวงจรบวกเลขฐานสองแบบคิดตัวทดมา ออกแบบเปน วงจรลบเลขฐานฐานสองไดโ ดยการนําบติ ตัวลบทง้ั หมดมาผา นตัวดําเนนิ การเอ็กออรก ับ คา “ 1” และกําหนดใหต วั ทดเขา ของวงจรบวกเลขฐานสองของตําแหนง บิตท่ีมีลําดับความสําคัญตํ่า ท่ีสดุ มีคาเปน “ 1” ขอดีการการนําวงจรบวกเลขฐานสองมาออกแบบแทนวงจรลบเลขฐานสองคือ วงจรชนิดเดียวสามารถสรางไดท้ังวงจรบวก และวงจรลบเลขฐานสองซ่ึงจะชว ยใหจํานวนเกตที่จะ นํามาใชง านลดลง ตวั อยา งท่ี 6-12 การออกแบบวงจรลบเลขฐานสองขนาด 4 บติ วิธที ํา การออกแบบวงจรลบเลขฐานสองขนาด 4 บิต โดยการใชวงจรบวกเลขฐานสองแทนทง้ั หมด สามารถทาํ ไดด งั นี้ B3 B2 B1 B0 “ 1” A3 A2 A1 A0 X3 X2 X1 X0 Carry_ ou t 3 Full Adder Full Adder Full Adder Full Add er (3) (2) (1) (0) S3 S2 S1 S0 ทดสอบการทาํ งาน กาํ หนดให A = 1011 และ B = 0110 การคาํ นวณหา S = A - B จะถูกแบง ออกเปน 4 สวนซงึ่ แตล ะสว นมีการคาํ นวณเปน ดังน้ี 123
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข สว นที่ 1: A0 = 1 และ B0 = 0, ได X0 = B 1 = 0 1 = 1 0 ดงั น้ัน S0 = A0 + X0 + Carry_in0 = 1 + 1 + 1 = 1 และมตี วั ทดออกไปยงั บิตท่ี 1 สวนท่ี และ ได และมีตวั ทดเขาจากบติ ที่ 2: A1 = 1 B1 = 1, X1 = B 1 = 1 1 = 0 0 1 ดงั นั้น S1 = A1 + X1 + Carry_in1 = 1 + 0 + 1 = 0 และมีตวั ทดออกไปยังบติ ที่ 2 สว นท่ี และ ได และมีตวั ทดเขาจากบิตที่ 3: A2 = 0 B2 = 1, X2 = B 1 = 1 1 = 0 1 2 ดังนั้น S2 = A2 + X2 + Carry_in2 = 0 + 0 + 1 = 1 และไมมตี วั ทดออกไปยังบติ ท่ี 3 สวนที่ และ B3 0, ได X3 เน่ืองจากไมมตี ัวทดเขาจากบติ ท่ี 4: A3 = 1 = = B 1 = 0 1 = 1 3 2 ดังนัน้ S3 = A3 + X3 + Carry_in3 = 1 + 1 + 0 = 0 และมีตวั ทดออกคอื Carry_out3 = 1 ดงั นน้ั S = S3S2S1S0 = 0101 และมีตัวทดออกโดยตัวทดออกเปรียบเสมือนเปนตัวยืมจาก บติ ถดั ไป 6.6 บทสรุป นอกจากการใชกฎบูลีนแลว แผนผังคารโ นห (Karnaugh Map) เปน วธิ กี ารลดรูปสมการบูลนี อกี วธิ ีหน่ึงซึ่งเปนวิธที งี่ าย และมขี อผิดพลาดที่นอ ยกวา หากเปรียบเทียบกบั การใชกฎบูลนี สําหรบั การลด รปู สมการ โดยแผนผังคารโนหจะใชตารางสเ่ี หลย่ี มทีม่ จี าํ นวนชองเทา กบั 2จํานวนตัวแปร โดยการยุบรวม น้นั จะตอ งเลอื กชองทม่ี ีคาเปน 1 ท้ังหมดเพียงอยางเดียว หรือเลือกชองท่ีมีคาเปน 0 ท้ังหมดเพียง อยา งเดียว และทาํ การยบุ รวมชอ งท่ีอยูต ดิ กนั โดยแตละกลุมท่ถี ูกยุบรวมน้ันจะมีจํานวนชองอยูในรูป ของ n เทานั้น เม่ือ คือจํานวนเต็มบวกใดๆ โดยกรณีที่เลือกชองที่มีคาเปน ทั้งหมดใหเขียน n 1 2 สมการบูลีนของแตละกลุมโดยใชตัวดําเนินการแอนดเพ่ือเชื่อมแตละตัวแปร และนําแตละกลุมมา เช่ือมกันดว ยตัวดําเนนิ การออร แตห ากเปน กรณีที่เลือกชอ งทีม่ คี าเปน 0 ทัง้ หมด ใหเ ขียนสมการบลู ีน ของแตละกลมุ โดยใชตวั ดําเนินการออรเ พอ่ื เช่อื มแตละตัวแปร และนําแตละกลุมมาเชอื่ มกันดวยตัว ดําเนินการแอนด อยางไรก็ตามแผนผังคารโนหจะเหมาะสมกับการใชลดรูปสมการที่มีตัวแปรอยู ระหวา ง 2 – 4 ตวั เทา นั้น สถานะท่ไี มส นใจ (Don’ t Care Condition) คอื สถานะท่มี ีคาเปนไดทั้ง 0 หรอื 1 ซง่ึ สามารถชว ยลดรูปใหว งจรมขี นาดทเ่ี ล็กลงได และสุดทายในบทนี้ไดกลาวถึงการออกแบบ วงจรบวก และลบเลขฐานสองโดยใชแผนผังคารโนหสําหรับการลดรูปวงจร โดยวงจรบวก และลบ เลขฐานสองเปน วงจรทส่ี ามารถนํามาใชสําหรับการคํานวณดานการบวก และการลบระหวาง 2 ตัว แปรที่มีขนาด 1 บิต แตหากตองการใหมีการบวก หรือลบระหวางตัวแปรท่ีมีขนาดมากกวา 1 บิต สามารถทําไดโดยนําวงจรดังกลา วมาตอ เชือ่ มกนั ตามจาํ นวนบติ ท่ตี องการ 124
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ คาํ ถามทา ยบท 1. จงลดรูปสมการตอไปน้ีโดยใชแ ผนผงั คารโ นห 1.1 f(A, B, C) = m (0,1,4,6) 1.2 f(A, B, C) = m (1,3,4,5,7) 1.3 f(A, B, C, D) = m (0,1,4,5,6,9,10,13) 1.4 f(A, B, C) = M(1,2,4,7) 1.5 f(A, B, C) = M(0,3,5,7) 1.6 f(A, B, C) = m (0,4) 1.7 f(A, B, C, D) = m (1, 2, 5, 11) + d(3, 4, 8, 9) 1.8 f(A, B, C, D) = m (0, 2, 12, 15) 1.9 f(A, B, C) = M(2,3,5) + d(1,6) 1.10 f(A, B, C, D) = M(1,3, 10, 12) + d (2, 6, 11, 15) 2. จากตารางความจรงิ ตอ ไปนี้จงหาสมการบลู นี ทีอ่ ยใู นรูปที่งายท่ีสดุ และอยใู นรูปของผลรวมของผล คูณ 2.1) อินพุต เอาตพตุ AB (Z) 00 01 1 10 1 11 1 0 2.2) อินพุต เอาตพตุ A B (Z) 0 0 0 0 1 1 1 0 1 1 1 1 125
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ 2.3) เอาตพ ุต อนิ พตุ C (Z) 01 AB 11 00 01 00 10 01 00 01 10 10 01 10 10 11 11 2.4) อินพุต เอาตพตุ AB C (Z) 00 01 00 10 01 00 01 11 10 01 10 10 11 00 11 11 3. กําหนดให A, B, C และ D แทนเลขฐานสองท่ีเรียงกันตามลําดับความสําคัญจากมากไปหานอย โดย A เปนบิตท่มี ีลาํ ดบั ความสําคญั มากทสี่ ุดและ D เปนบิตที่มีลําดับความสําคัญนอยท่ีสุด จงเขียน สมการพชี คณิตบูลนี ท่ีทาํ ใหเ อาตพ ุตมคี าเปน 1 กต็ อเม่ือ สถานะของอินพตุ ซง่ึ มีการใชง านเพียงแค 8 คา คอื 0000, 0001,…, 1000 มคี า เปน 1 พรอ มกนั อยางนอย 2 คา 4. จงออกแบบวงจรบวกเลขฐานสองระหวา ง 2 ตัวแปรโดยทตี่ ัวแปรตัวหนง่ึ มีขนาด 5 บิต และตวั แปร อกี ตวั หนึ่งมขี นาด 3 บิต 126
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทัลและลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข เอกสารอางอิง Marcovit z, A. B. (2009). Introduction to Logic Design. New York: McGraw-Hil l . Mark, B. (2003). Com plete Digital Design: A Com prehensive Guide to Digital Electronics and Com puter System Architecture. New York: McGraw-Hil l . David, M. H. (2012).Digital Design and Com puter Architecture. USA: Morgan Kaufm ann. Ram aswam y, P. (2011). Digital System s Design. United Kingdom : London Business School . Morris, M, Michael , D. C. (2006). Digital Design. New Jersey: Prentice-Hal l Int ernational In c. ธวชั ชัย เลอ่ื นฉวี และ อนรุ ักษ เถื่อนศิริ. (2527). ดจิ ิตอลเทคนคิ เลม 1.กรงุ เทพฯ: มิตรนราการพิมพ. มงคล ทองสงคราม. (2544).ทฤษฎีดจิ ิตอล.กรุงเทพฯ: หา งหนุ สวนจํากดั วี.เจ. พรน้ิ ด้งิ . ทีมงานสมารท เลริ น นง่ิ . (2543). ออกแบบวงจร Digital และประยุกตใชงาน.กรงุ เทพฯ: หางหุนสวน สามัญสมารทเลิรนนิง่ . 127
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสขุ แผนบริหารการสอนประจําบทที่ 7 ฟลปิ ฟลอป 3 ชว่ั โมง หวั ขอ เนอื้ หา 7.1 ฟลปิ ฟลอปแบบ RS 7.1.1 ตารางเอก็ ไซเทชน่ั ของฟลปิ ฟลอปแบบ RS 7.1.2 การคํานวณหาสมการพชี คณติ บูลีนของเอาตพตุ ใหมข องฟลปิ ฟลอปแบบ RS 7.2 ฟลปิ ฟลอปแบบ D 7.2.1 ตารางเอ็กไซเทชัน่ ของฟลปิ ฟลอปแบบ D 7.2.2 การคํานวณหาสมการพชี คณติ บลู ีนของเอาตพ ตุ ใหมข องฟลปิ ฟลอปแบบ D 7.3 ฟลปิ ฟลอปแบบ T 7.3.1 ตารางเอ็กไซเทช่นั ของฟลปิ ฟลอปแบบ T 7.3.2 การคาํ นวณหาสมการพชี คณติ บูลีนของเอาตพตุ ใหมข องฟลปิ ฟลอปแบบ T 7.4 ฟลปิ ฟลอปแบบ JK 7.4.1 ตารางเอก็ ไซเทชั่นของฟลปิ ฟลอปแบบ JK 7.4.2 การคํานวณหาสมการพชี คณติ บูลีนของเอาตพตุ ใหมข องฟลปิ ฟลอปแบบ JK 7.5 บทสรุป วัตถปุ ระสงคเชิงพฤตกิ รรม 1. เพอ่ื ใหผ ูเรยี นมคี วามรูความเขาใจเกยี่ วกบั นยิ าม และคุณสมบตั ขิ องฟลปิ ฟลอปชนดิ ตางๆ 2. เพอ่ื ใหผ ูเ รยี นสามารถคาํ นวณหาสมการพีชคณิตบลู ีนสถานะเอาตพ ตุ ใหมของฟลปิ ฟลอปชนิดตา งๆ ได วธิ กี ารสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจําบท 1. บรรยายเน้ือหาในแตล ะหวั ขอ พรอมยกตวั อยา งประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผสู อนสรปุ เน้ือหา 4. ทาํ แบบฝก หดั เพอื่ ทบทวนบทเรยี น 5. เปด โอกาสใหผ ูเรยี นถามขอสงสยั 6. ผสู อนทาํ การซักถาม สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดจิ ิทัลและลอจิก 2. ภาพเลือ่ น 128
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดิจิทลั และลอจิก โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข การวดั ผลและการประเมิน 1. ประเมินจากการซกั ถามในช้นั เรยี น 2. ประเมินจากความรว มมือและความรับผดิ ชอบตอการเรยี น 3. ประเมินจากการทําแบบฝกหดั ทบทวนบทเรียน 129
เอกสารประกอบการสอนวิชาวงจรดจิ ิทลั และลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข บทที่ 7 ฟลปิ ฟลอป ฟลิปฟลอป เปน อปุ กรณทางอิเล็กทรอนกิ สทมี่ ีลักษณะเปนแบบมีหนวยความจําขนาด 1 บิต ซงึ่ สามารถสรา งไดโ ดยใชเ กตพ้ืนฐานตา งๆ โดยเฉพาะอยางย่ิง แนนดเกต หรือ นอรเกตโดยที่เอาตพุต ของฟลิปฟลอปจะคงสถานะเดิมไว ถึงแมวาจะไมมีสถานะของอินพุตเกิดข้ึนเลยก็ตาม โดยหาก ตองการเปล่ียนสถานะของเอาตพุตจะตองทาํ การเปลี่ยนสัญญาณอินพุต พรอมกับการเกิดสัญญาณ นาฬกิ า หรือเกดิ สญั ญาณเซต หรือ สัญญาณเคลียรส ัญญาณใดสัญญาณหนง่ึ เทานนั้ โดยวงจรทเ่ี กดิ จาก การนําฟลปิ ฟลอปมาใชงาน ซง่ึ อาจจะมีหรือไมม ีเกตพื้นฐานตอ ใชง านรวมดว ย เรยี กวา วงจรเชิงลําดบั (Sequential Logic) Input SET Q CLK Ou t p u t CLR Q รูปที่ 7.1 โครงสรางฟลปิ ฟลอป รปู ที่ 7.1 แสดงโครงสรางของฟลปิ ฟลอปซึ่งมสี ายสัญญาณที่สําคัญทั้งหมด 5 ตัวประกอบดวย สัญญาณอินพตุ สัญญาณเอาตพ ุต สญั ญาณนาฬิกา (CLK) สัญญาณเคลียรคา (CLR) และ สัญญาณ เซตคา (SET) สัญญาณอนิ พุตของฟลิปฟลอปจะถูกแบงออกเปน 2 ชนิดคือ ฟลิปฟลอปท่ีมีอินพุต 1 คามี 2 ชนิดคือ ฟลิปฟลอปแบบ D และ ฟลิปฟลอปแบบ T และ ฟลิปฟลอปท่ีมีอินพุต 2 คามี 2 ชนิดคือ ฟลิปฟลอปแบบ RS และ ฟลปิ ฟลอปแบบ JK สญั ญาณเอาตพ ตุ ของฟลิปฟลอปจะมี 2 คาคือ Q และ Q สังเกตวาทงั้ 2 คานีจ้ ะเปนนิเสธซ่ึงกัน และกันเพราะฉะนัน้ หาก Q มีคา เปน 1 แลว Q จะตองมีคา เปน 0 เทาน้ัน ในทางกลบั กันหาก Q มี คาเปน 0 แลว Q จะตองมีคา เปน 1 เทา น้นั สญั ญาณ CLK คอื สัญญาณทีท่ าํ ใหม กี ารเปลีย่ นสถานะท่ีสัญญาณเอาตพ ุต โดยหากไมมสี ญั ญาณ CLK เกดิ ขน้ึ สญั ญาณเอาตพตุ จะไมม กี ารเปลี่ยนแปลง (หากไมเ กดิ สัญญาณ SET หรือ CLR) ถงึ แมวา จะมีการเปลยี่ นสถานะของสัญญาณอินพุตก็ตาม โดยสัญญาณ CLK สามารถเกิดได 2 ตําแหนงคือ ตําแหนงที่เกิดจากการเปลี่ยนสถานะจาก “ 0” เปน “ 1” เรียกวาเกิดสัญญาณนาฬิกาท่ีขอบขาข้ึน และตาํ แหนงท่ีเกิดจากการเปล่ียนสถานะจากสถานะ “ 1” เปน “ 0” เรียกวาเกิดสัญญาณนาฬิกาที่ ขอบขาลง 130
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวงจรดิจิทัลและลอจกิ โดย อาจารย กฤษณพงศ สมสุข รปู ที่ 7.2 การเกิดสัญญาณนาฬกิ าที่ขอบขาข้นึ รปู ที่ 7.3 การเกดิ สัญญาณนาฬิกาที่ขอบขาลง สาํ หรบั กรณีทใี่ ชฟลปิ ฟลอปทมี่ กี ารเปลย่ี นสถานะของเอาตพ ุตทีข่ อบขาลง จะมีสัญลักษณ “ o” ทหี่ นาสัญญาณ CLK ดงั นี้ Input SET Q CLK Out p ut CLR Q รปู ท่ี 7.4 โครงสรา งฟลิปฟลอปทมี่ กี ารเปลย่ี นสถานะเอาตพุตท่ขี อบขาลง สญั ญาณ CLR คอื สญั ญาณทท่ี ําใหสถานะของเอาตพ ุตมีคาเปน 0 ทันทีทีไ่ ดรับสญั ญาณดงั กลาว โดยที่ไมสนใจวาในขณะนั้นมีสัญญาณ CLK เกิดขึ้นหรือไม เน่ืองจากสัญญาณ CLR มีลําดับ ความสําคญั ทสี่ งู กวาสัญญาณ CLK สัญญาณ SET คอื สญั ญาณท่ีทาํ ใหสถานะของเอาตพตุ มีคาเปน 1 ทันทีไดรับสัญญาณดังกลาว โดยท่ีไมสนใจวาในขณะน้ันมีสัญญาณ CLK เกิดข้ึนหรือไม เนื่องจากสัญญาณ SET มีลําดับ ความสาํ คัญทส่ี งู กวาสัญญาณ CLK จากผลลัพธขางตนของสัญญาณ CLR และสัญญาณ SET สรุปไดวาไมสามารถท่ีจะทําใหเกิด สัญญาณ CLR และ สญั ญาณ SET พรอมกนั ได เนอ่ื งจากสถานะของเอาตพ ตุ มคี า ออกมาตรงกันขาม กนั โดยเง่ือนไขท่ีเปนไปไดทั้งหมดของการเกดิ สญั ญาณทง้ั 2 คาเปน ดงั น้ี (กาํ หนดใหส ถานะ “ 1” คือ การสงสญั ญาณ และสถานะ “ 0” คอื ยงั ไมมีการสง สัญญาณ) กรณีท่ี 1 (CLR = 0, SET = 0): ยงั ไมมีการสง สญั ญาณ CLR และสญั ญาณ SET ดงั น้นั เอาตพ ตุ ที่ ไดจะขึน้ กับสญั ญาณ CLKและ อนิ พุต กรณที ่ี 2 (CLR = 0, SET = 1): มกี ารสงสญั ญาณ SET ดังนั้นเอาตพตุ ท่ีไดจะมีคา เปน 1 ทันทที ี่ ไดรับสญั ญาณ SET 131
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282