เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี บทท่ี 4 พ้ืนฐานทฤษฎสี ารก่ึงตวั นาํ และอปุ กรณแบบรอยตอ จดุ ประสงคร ายวชิ า 1.เพอื่ ใหน กั ศกึ ษาสามารถอธบิ ายโครงสรางพนื้ ฐานของอะตอมได 2.เพอื่ ใหน กั ศกึ ษาเขา ใจพน้ื ฐานเกยี่ วกบั ทฤษฎแี ถบพลงั งานพ้นื ฐานของสารกง่ึ ตัวนาํ 3.เพอ่ื ใหน กั ศกึ ษาเขา ใจคุณสมบตั ขิ องสารกึง่ ตัวนาํ บริสทุ ธแิ์ ละสารกง่ึ ตวั นําไมบ ริสุทธไ์ิ ด 4.เพอ่ื ใหน ักศกึ ษาเขา ใจโครงสรา งและการทํางานรอยตอ ของสารพเี อน็ ได 4.1 บทนาํ อปุ กรณอ เิ ล็กทรอนกิ สทาํ งานโดยอาศยั การเคลอื่ นทขี่ องอนภุ าคประจุ (โฮลหรืออเิ ลก็ ตรอน) ที่เดนิ ทางในอปุ กรณน ้นั ๆ ดงั น้นั จงึ มคี วามจาํ เปนตอ งทําความเขาใจเกยี่ วกบั หลกั การทีใ่ ชใ นการ ควบคุมการเคลอ่ื นทขี่ องอนภุ าคประจเุ หลา น้ี ซงึ่ เกดิ ข้นึ ภายในอุปกรณอเิ ลก็ ทรอนกิ สท ่ีมสี ถานะเปน ของแขง็ (Solid state) โดยของแขง็ เหลา น้ีเกดิ จากจดั เรยี งอะตอมของธาตแุ ละสารประกอบแขง็ ตางๆ ที่เปนวสั ดุในการสรางอปุ กรณอ เิ ล็กทรอนกิ ส โดยเฉพาะวัสดุทเ่ี ปน สารกึ่งตวั นําตวั (Semiconductor) เพราะเปนวัสดุหลักทส่ี าํ คญั ในการผลติ อุปกรณหรือวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกสใ นปจ จบุ นั ดังนัน้ ในการทจี่ ะ ศกึ ษาใหเขาใจการทํางานของวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ สจ งึ จาํ เปนตอ งศกึ ษาทฤษฎพี ื้นฐานของสารกงึ่ ตัวนาํ ซง่ึ จะเกย่ี วขอ งกับกลไกการเคลอ่ื นทข่ี องประจพุ าหะภายในเนือ้ สารก่งึ ตวั นํา รอยตอ ของสารก่ึงตวั นํา หรือรอยตอ พเี อน็ (PN junction) นําไปสูการคน พบอปุ กรณอเิ ลก็ ทรอนิกสพ น้ื ฐานทส่ี าํ คัญไดแ ก ไดโอด ทรานซสิ เตอรและวงจรรวมทางอิเล็กทรอนกิ สช นิดตา งๆ 4.2 พน้ื ฐานเกี่ยวกบั อะตอม อนุภาคท่ีเล็กท่ีสุดของธาตุ (Element) ที่ยังคงรักษาคุณสมบัติของธาตุแตละชนิดไวก็คือ อะตอมซึ่งประกอบไปดวยนิวเคลียสท่ีอยูเปนแกนกลางและมีอิเล็กตรอนโคจรอยูรอบๆนิวเคลียส ภายในนิวเคลียสประกอบไปดว ยอนภุ าคโปรตอนและนิวตรอนอยรู วมกัน อิเล็กตรอนท่ีโคจรอยูรอบ นิวเคลียสมปี ระจลุ บ สว นโปรตอนที่อยใู นนวิ เคลียสมีประจุบวกและนวิ ตรอนทอ่ี ยูใ นนิวเคลยี สมสี ภาพ เปนกลางทางไฟฟา ปกตอิ ะตอมของธาตุตา งๆจะเปนกลางทางไฟฟา เพราะมีจาํ นวนโปรตอนเทากับ จํานวนอิเล็กตรอน คาเฉพาะตวั ของอนภุ าคเหลา น้จี ะแสดงไวในตารางที่ 4.1 สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 121
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ตารางท่ี 4.1 อนุภาคมลู ฐานของอะตอม อนุภาค สัญลกั ษ มวล มวลเทียบ ประจใุ นหนวย ชนดิ ของ ณ ประจุ kg amu กบั อเิ ล็กตรอน คูลอมบ esu +1 p 1.672 x 10-27 1.0073 1.602 x 10-19 4.8209x10-12 0 โปรตอน n 1.674 x 10-27 1.0087 1836 -1 0 0 นิวตรอน 1839 1.602 x 10-19 4.8209x10-12 อเิ ล็กตรอน e 9.109 x 10-32 0.00054 1 amu = 1 atomic mass unit = 1.66x10-24 g รปู ที่ 4.1 แบบจาํ ลองอะตอมของบอร โดยธรรมชาติอิเล็กตรอนท่โี คจรอยเู ตม็ ในวงโคจรหรอื ระดับพลงั งาน (Energy level) ในวงโคจรดา น ในสุดจะไมเ กิดอันตรกิรยิ ากบั สิ่งกระตนุ ภายนอก เพราะมีพลังงานนอยท่ีสุดหรอื อยูในระดบั พลงั งาน ตา่ํ สุดท่เี รียกวา “ระดับพลงั งานสถานะพ้นื (Ground state)” แตอ ิเล็กตรอนทีอ่ ยูในวงโคจรนอก สุดหรือระดับพลังงานมากท่ีสุดท่ีเรียกวา “อิเล็กตรอนวาเลนซ (Valence electron)” คือ อิเลก็ ตรอนทม่ี โี อกาสเกดิ อนั ตรกริ ิยากบั ส่ิงกระตุนภายนอกมากทส่ี ุดเชน จากแรงดงึ ดูดจากนวิ เคลยี ส ของอะตอมขางเคียง ความรอน แสงหรือคล่ืนแมเหลก็ ไฟฟา ในกรณีของโลหะอเิ ล็กตรอนวาเลนซจ ะ ถกู พจิ ารณาวาเปน “อเิ ล็กตรอนอิสระ (Free electron)” รายละเอียดเกย่ี วจะกลาวถึงในหวั ขอ ตอ ไป 4.2.1 วงโคจรของอเิ ล็กตรอน จากทฤษฎีควอนตัมแมคคานิกส อนุภาคอิเล็กตรอนเคลื่อนท่ีเปนวงรอบรอบ นวิ เคลียสในวงโคจรหรอื ระดับพลงั งานตา งๆ โดยอะตอมของธาตุแตละชนิดมีจํานวนอิเล็กตรอนไม เทากันจากการแกสมการคล่ืนของโชรดิงเจอร พบวามีกลุมตัวเลขที่เกี่ยวของ 4 คา เรียกวา สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 122
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี “เลขควอนตัม (Quantum number)” คือ n, l, ml และ ms หรือบางคร้ังเรียกวา “สถานะ ควอนตัม (Quantum state)” ท่ีนํามาใชในการอธิบายการจัดเรียงอิเล็กตรอนภายในอะตอม ตวั เลขควอนตัมซ่ึงมี 4 ตัวคือ 1. เลขควอนตมั หลัก (Principal quantum number : n) 2. เลขควอนตมั โมเมนตมั เชงิ มุม (Angular momentum quantum number : l) 3. เลขควอนตมั แมเ หลก็ (Magnetic quantum number : ml) 4. เลขควอนตมั สปน (Spin quantum number : ms) 1.เลขควอนตมั หลกั (n) ใชก าํ หนดวงโคจรหรือช้นั พลังงานหลกั ของอเิ ลก็ ตรอนภายใน อะตอมระดบั ชน้ั พลังงานของอิเลก็ ตรอนจะเรยี งลําดับจากคา นอ ยไปหามาก รูปที่ 4.2 วงโคจรหรือชัน้ พลงั งานของอเิ ลก็ ตรอนรอบอะตอม กําหนดช่อื วงโคจรดวยตัวอักษรทอี่ ยเู รียงลาํ ดบั กนั โดย n คอื ลาํ ดบั ของวงโคจร ซง่ึ มคี า n = 1, 2 , 3 … หรือ K =1, L =2, M =3, ….. ตามลาํ ดบั ดงั รปู ท่ี 4.2 ในแตล ะระดับพลงั งานจะมี อเิ ลก็ ตรอนบรรจอุ ยไู ดจ าํ นวน 2n2 ดังนี้ เลขควอนตมั หลัก วงโคจร ความจอุ เิ ลก็ ตรอน 1 K2 2 L8 สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 123
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี 3M 18 32 4N 50 72 5O 6P การจดั เรยี งอเิ ล็กตรอนใหก ระจายอยตู ามระดับชั้นพลังงานตา งๆ จะอาศยั หลกั 3 อยา งคอื 1.หลกั การกีดกันของเพาลี กลาววา “ไมม อี ิเลก็ ตรอน 2 ตวั ใดๆในอะตอมทจี่ ะมตี ัวเลข ควอนตมั n, l, m, s เหมอื นกันท้ังหมด” 2.หลกั เกณฑข องฮนุ ด กลาววา “การเตมิ อเิ ลก็ ตรอนในออรบ ิทลั (ชั้น) ยอ ยทมี่ ีพลงั งาน เทากนั ใหเ ตมิ อิเล็กตรอนเพยี งตัวเดยี วซงึ่ มสี ปน (การหมนุ ) เหมอื นกันลงในออรบ ิทลั ยอ ย กอ น จากน้นั ถามอี เิ ล็กตรอนเหลอื อกี ใหเ ตมิ อิเลก็ ตรอนใหเขา คูกัน (สปน ตางกนั )” 3.หลักของเอาฟเบาเกย่ี วขอ งกับตัวเลขควอนตมั n และ l กลา ววา “การเตมิ อเิ ล็กตรอนท่ี สถานะพื้น (Ground state) จะตอ งเตมิ ในชน้ั ท่มี ีระดับพลงั งานตาํ่ กวาใหเ ตม็ กอน จากนน้ั จงึ เตมิ ในช้นั ท่มี ีพลงั งานสงู ข้ึนไป” 2. เลขควอนตัมออรบทิ ัล (l) หรือ เลขควอนตมั โมเมนตมั เชงิ มมุ (Angular momentum quantum number) บอกรปู รางของออรบทิ ลั ทอ่ี ิเลก็ ตรอนอยู เปน ระดบั พลงั งานยอ ย (Sub-shell) ในระดับพลังงานหลัก โดย l เปน เลขจาํ นวนเต็มข้ึนกบั คา n มคี าตัง้ แต l = 0, 1, 2… ,n-1 หรอื มี ทัง้ หมด n คา เชนอเิ ล็กตรอนทอ่ี ยใู นช้นั พลงั งานหลัก n = 3 ก็จะมีคา l = 0, 1, 2 การเตมิ อเิ ลก็ ตรอนจะเตมิ ตามหลกั ของเอาฟเบา จะตอ งเติมอเิ ลก็ ตรอนในชั้นทม่ี พี ลงั งานต่าํ กวาใหเตม็ กอ น โดยในแตละระดับช้ันพลงั งานจะมีระดับพลงั งานชัน้ ยอ ยได ไมเกนิ 4 ชัน้ ยอ ยและมีชอ่ื เรียกดงั นี้ วาระดบั พลังงานยอ ย s , p , d , f สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 124
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี โดยที่ ระดับพลงั งานยอ ย s มอี เิ ลก็ ตรอนได ไมเกนิ 2 ตัว ระดบั พลังงานยอ ย p มอี ิเล็กตรอนได ไมเ กิน 6 ตัว ระดบั พลังงานยอ ย d มอี ิเลก็ ตรอนได ไมเ กิน 10 ตวั ระดบั พลงั งานยอ ย f มอี เิ ล็กตรอนได ไมเ กนิ 14 ตวั 3. เลขควอนตัมแมเ หลก็ (Magnetic quantum number : ml) แสดงทิศทางการจดั ตัวของออรบทิ ลั บอกจาํ นวนออรบทิ ลั ในระดับพลังงานหลัก คา ml เปนเลขจาํ นวนตม็ ขนึ้ กบั คา l โดยที่ ml มีคา ระหวา ง l ถึง – l รวมมีการจดั ทศิ ทางของอเิ ลก็ ตรอนทงั้ หมด 2l + 1 คา l = 0 , ml = 0 l = 1 , ml = 0, +1, -1 l = 2 , ml = 0, +1, +2, -1, -2 l = 3 , ml = 0, +1, +2, +3, -1, -2, -3 อเิ ลก็ ตรอนทมี่ คี า l เดยี วกนั แตม ีคา ml ตา งกันเมอื่ เคลอื่ นทีใ่ นอะตอม จะมีโมเมนตัมเชิงมมุ เทา กนั เมอ่ื อยใู นสนามแมเ หลก็ หรือสนามไฟฟา ทิศทางการเรยี งตัวของออรบ ิทลั ตา งกนั จะมปี ฏกิ ิริยากบั สนาม ตางกัน ทาํ ใหร ะดับพลังงานไมเทา กัน 4. เลขควอนตมั สปน (Spin quantum number: ms) เปน ตัวเลขบอกทิศทางการ หมุนรอบตัวเองของอเิ ลก็ ตรอน มคี า + ½ , - ½ ms = +½ แสดงวา อเิ ลก็ ตรอนอยูในสภาพ สปนข้นึ ms = -½ แสดงวา อเิ ลก็ ตรอนอยูในสภาพ สปน ลง ในแตละระดบั พลงั งานหรือวงโคจรจะมอี เิ ลก็ ตรอนบรรจอุ ยไู ดส งู สุดจาํ นวน 2n2 ตวั เมอ่ื n คอื ลาํ ดบั ของวงโคจร ดงั นน้ั วงโคจร K ซงึ่ เปนวงท่ี 1 จะมอี เิ ลก็ ตรอนสงู สดุ เทา กบั 2n2 = 2(1)2 = 2 ตัว วงท่ี 2 L = 8 ตัว วงที่ 3 M = 18 ตวั วงท่ี 4 N = 32 ตัว วงที่ 5 O = 50 ตวั ตามลําดบั ในรูปท่ี 4.3 แสดงแบบจาํ ลองอะตอมของโบรอนและซิลิกอน ซงึ่ มจี าํ นวนอิเลก็ ตรอนท่ีรายลอ มนิวเคลยี สอยใู น จาํ นวนทเ่ี ทา กบั จํานวนโปรตอนทอี่ ยูในนวิ เคลยี ส เมอื่ จดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอนจากวงโคจรในสดุ ไปจนถงึ วง โคจรนอกสดุ พบวา อิเลก็ ตรอนวงโคจรชั้นนอกสุดของโบรอนและซลิ กิ อนมอี เิ ลก็ ตรอนวาเลนซเ ปน 3 และ 4 ตวั ตามลําดบั ต้งั แตระดับพลังงาน O เปนตน ไป จาํ นวนอิเล็กตรอนทบี่ รรจลุ งไปมโี อกาสท่ี สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 125
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี จะไมเ ตม็ จาํ นวนและมขี อ จํากัดในการบรรจุอเิ ลก็ ตรอนอยา งหนึ่งก็คอื “วงโคจรนอกสดุ จะมี อิเลก็ ตรอนไดไ มเ กนิ 8 ตัว” เพอ่ื ใหอ ะตอมมคี วามเสถยี รและเรียกอเิ ลก็ ตรอนทถ่ี ูกบรรจใุ นวงโคจร นอกสุดนีว้ า อิเล็กตรอนวาเลนซด ังท่ไี ดก ลา วมาแลว จากรูปที่ 4.6 พบวายง่ิ คา n มคี ามากขึ้นเทาใดซง่ึ สมั พันธก บั ระยะทางทห่ี า งจากนิวเคลยี สมากข้ึนกย็ ่งิ แสดงวา อเิ ลก็ ตรอนมรี ะดับพลังงานมากขึ้น ใน รปู ที่ 4.7 เปน ตวั อยางการบรรจอุ ิเล็กตรอนของอะตอมซลิ กิ อนซึง่ มที ้ังหมด 14 ตวั ลงในระดบั พลงั งาน งานหลกั n = 1, 2 และ 3 และในระดบั พลงั งานยอ ยๆ แตล ะช้นั เทากับ 5 และ 14 ตวั (ก) อะตอมโบรอน (ข) อะตอมซิลกิ อน รปู ที่ 4.3 อะตอมของโบรอนและซิลิกอนซง่ึ มอี เิ ล็กตรอนท่ีรายลอ มนิวเคลยี สอยูในจาํ นวนที่ P 126 O 5g 5f N 6p 4f 5d 6s 5p M 4d 5s 4p 3d 4s 3p L 3s 2p K 2s 1s n 1 n 2 n 3 n 4 n 5 n 6 รูปท่ี 4.4 ระดบั พลังงานทสี่ มั พันธกบั ขนาดของพลงั งาน สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี M m 2 m 1m 0 m 1 m 2 d (n 3) p (l 2) (l 1) Si 3s2 3p2 s (l 0) Lp (n 2) (l 1) s (l 0) K s (n 1) (l 0) รปู ท่ี 4.5 การบรรจอุ ิเลก็ ตรอนลงในระดับพลงั งานของอะตอมซิลกิ อน รูปที่ 4.6 การบรรจอุ เิ ลก็ ตรอนลงในช้ันพลงั งานของธาตุชนิดตา งๆ ท่ีมาของภาพ : www-inst.eecs.berkeley.edu/~ee130/sp07/lectures/lecture1.ppt สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 127
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี อเิ ลก็ ตรอน 2 ตวั แรกจะถกู บรรจลุ งในช้นั 1s โดยมีการหมุนหรือสปนที่ตา งกนั จากนน้ั อเิ ล็กตรอนอีก 8 ตวั จะถกู บรรจลุ งในระดับพลงั งานยอ ย 2s และ 2p โดยบรรจุในชั้น 2s จํานวน 2 ตัวและชัน้ 2p จาํ นวน 6 ตวั อเิ ลก็ ตรอนอกี 4 ตัวที่เหลอื จะถกู บรรจใุ นช้นั พลังงานยอ ย 3s และ 3p โดยบรรจุใน ช้นั 3s จํานวน 2 ตัวและช้นั 2p จาํ นวน 2 ตวั หรอื เขยี นเปน 1s2 2s2 sp6 3s2 3p2 ตามลาํ ดับ ใน รปู ท่ี 4.3 จะสังเกตเห็นการบรรจอุ เิ ล็กตรอน 4 ตัวของอะตอมซลิ กิ อน ลงในชนั้ พลังงานยอ ย 3s2 3p2 4.2.2 จาํ นวนอิเลก็ ตรอนวาเลนซท่มี ีผลตอคุณสมบตั ทิ างไฟฟาของสสาร จํานวนอเิ ลก็ ตรอนวาเลนซในอะตอมของสสารแตละชนิดสามารถใชในการบงบอก ถงึ คุณสมบัติทางไฟฟาของสสารหรอื ธาตตุ า งๆ ไดโดยแบงออกเปน 3 ชนิด คือ ตวั นาํ ไฟฟา สารก่ึง ตัวนาํ และฉนวนไฟฟา ดังนี้ ตัวนําไฟฟา ตัวนําไฟฟา คอื ธาตทุ ีม่ วี าเลนซอ เิ ลก็ ตรอน 1 - 3 ตัว ซ่ึงอเิ ล็กตรอนสามารถหลุดออก จากอะตอมไดโดยงาย เมื่อมีพลังงานหรือแรงมากระทําเพียงเล็กนอย นํากระแสไฟฟาไดดี ธาตุ เหลานี้เชน ทองคาํ เงนิ ทองแดง อลูมเิ นยี ม เหล็กและสงั กะสีเปน ตน สารกึง่ ตัวนํา ธาตทุ ่ีจัดเปนจําพวกสารก่ึงตัวนําไฟฟาคือ ธาตุท่ีมีจํานวนอิเล็กตรอนวาเลนซ 4 ตัว ซึ่งมีคุณสมบัติอยูก่ึงกลางระหวางตัวนาํ ไฟฟาและฉนวนไฟฟา ธาตุกึ่งตัวนําไฟฟาน้ีจะนิยม นาํ ไปใชผ ลิตเปน อุปกรณอเิ ล็กทรอนิกสตางๆ ธาตุท่จี ัดวาเปนสารกึ่งตัวนําไดแก คารบอน ซิลิคอน เจอรมาเนียม ดีบุก ตะก่ัว แตที่นิยมนําไปผลิตเปนอุปกรณอิเล็กทรอนิกสมี 2 ชนิด คือ ซิลิกอน (Si) และเจอรม าเนยี ม (Ge) ฉนวนไฟฟา ธาตุที่จัดเปนจําพวกฉนวนไฟฟา คือธาตุท่ีมีวาเลนซอิเล็กตรอน 5 - 8 ตัว ซึ่ง อิเล็กตรอนไมสามารถหลุดออกจากอะตอมไดโดยงาย จะตองใชพลังงานสูงมากๆ มากระทํา อิเล็กตรอนจึงจะหลุดออกได กระแสไฟฟาไหลผานไดยาก มีคาความตานทานไฟฟาสูงมากฉนวน เหลานนั้ เชน ไมกา แกว พลาสตกิ และไมแหง เปนตน สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 128
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ตวั นาํ ไฟฟ้ า จะมอี ิเลก็ ตรอนวาเลนซ์จํานวน 1 - 3 ตวั สารกงึ ตวั นํา จะมีอิเลก็ ตรอนวาเลนซ์จาํ นวน 4 ตวั ฉนวนไฟฟ้ า จะมอี ิเล็กตรอนวาเลนซ์จาํ นวน 5 - 8 ตัว 4.3 แถบพลงั งาน (Energy band) ในอะตอมเดี่ยวอิเล็กตรอนจะโคจรรอบนิวเคลยี ส ในระดับพลังงานทอ่ี เิ ลก็ ตรอนครอบครองอยู (Occupied) ตามคา n อเิ ล็กตรอนใดย่งิ ครอบครองระดบั พลงั งานหา งจากนวิ เคลียสมากเทาใด กย็ ง่ิ มี ระดับพลังงานสูงมากขน้ึ เทานั้น (ติดลบนอยลง) ในรูปที่ 4.5 (ก) เปน ตัวอยา งการจดั เรยี งอิเล็กตรอน ท้ังหมด 14 ตัว ในอะตอมซิลิกอนจะเห็นวาในระดับพลังงาน n=3 ซึ่งเปนวงโคจรนอกสุดมี อิเล็กตรอนวาเลนซท้ังหมด 4 ตัว กระจายอยูในระดับพลังงานยอย 3s2 และ 3p2 ในกรณีของ อะตอมหลายๆตัวในผลึกของแขง็ ทว่ี างเรยี งรายอยูใกลๆกัน จนสามารถเกิดอนั ตรกริ ยิ า (interaction) ตอ กันไดจ นช้ันพลงั งานในแตละอะตอมเกดิ การเลอ่ื นระดับพลังงานเล็กนอ ย (ปรับวงโคจรใหม) 3p n=3 3s M-shell 2p n=2 ระดับพลังงาน 2s L-shell (ข) แถบพลงั งานในผลกึ ของแขง็ n=1 1s K-shell (ก) ชัน้ พลงั งานในอะตอมเดย่ี ว รูปที่ 4.7 การบรรจอุ เิ ลก็ ตรอนลงในชน้ั พลงั งานของธาตุชนิดตา งๆ เพอ่ื ไมใ หร ะดับพลังงานเกดิ การทบั ซอ นกนั ตามกฏการกีดกันของเพาลี ดังน้ันจึงเกิด “การ แยกของระดับพลังงาน (Splitting of energy levels)” ที่มีคาใกลเคียงกันเปนจํานวนมาก จํานวน N ชั้นถา ทอี ะตอมทงั้ หมด N อะตอม จนเปลยี่ นสภาพจากช้นั พลังงาน (ในอะตอมเดีย่ ว) เปน “แถบพลงั งาน (Energy band)” กลมุ วงโคจรของอิเลก็ ตรอนท่อี ยูใกลๆ กนั ดงั รูปท่ี 4.5 (ข) ในแต ละระดับพลังงานหลักจะมคี าเรียงตอเนื่องกันเปนแถบเรียกวา “แถบพลังงานยินยอม หรือ แถบ ยินยอม (Allowed band)” ผลกึ ของแข็งบางชนดิ มีแถบยินยอมไดห ลายแถบ โดยแถบยนิ ยอมแต สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 129
เอกสารประกอบการสอนวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ละแถบจะถกู คั่นดวยชองวา งของพลังงานหรือเปนระดับพลังงานทอี่ ิเล็กตรอนเขา ไปครอบครองไมได เรยี กชว งพลงั งานน้ีวา “แถบพลังงานตอ งหาม หรือแถบตองหา ม (Forbidden band) ” พจิ ารณาจากรูปที่ 4.6 (ก) อเิ ล็กตรอนโคจรทอ่ี ยใู นแถบพลังงานชั้นนอกสดุ หรอื แถบพลงั งาน วาเลนซจะเกดิ อนั ตรกริ ยิ ากับสง่ิ กระตุน ภายนอกไดมากที่สุด เม่อื พิจารณาแกน x ของกราฟซึ่งเปน ระยะหางระหวา งอะตอมทอ่ี ยูใกลเคียงกัน เมือ่ อะตอมเคลื่อนทีเ่ ขามาอยใู กลๆ กนั จากระยะ d รูปที่ 4.8 การบรรจอุ เิ ล็กตรอนลงในชน้ั พลังงานของธาตชุ นิดตา งๆ ทมี่ าของภาพ : http://ecee.colorado.edu/~bart/book/book/chapter2/ch2_3.htm ลดลงเปนระยะ c b และระยะ a ซึ่งเทากับคาคงที่ของแลททิซผลึก (Lattice constant) ท่ี ระยะหางระหวางอะตอมเทากับ a จะเกิดการแยกตัวของแถบวาเลนซและแถบนําหา งออกจากกัน ขนึ้ อยกู บั ชนดิ ของผลกึ ระยะหางระหวา งแถบพลังงานท่แี ยกออกจากกันจะเรยี กวา “ชองวางพลงั งาน (Energy gap : Eg)” มีหนวยเปนอิเล็กตรอนโวลต (eV) ซ่ึงเปนขนาดของพลังงานกระตุนท่ีทําให อเิ ลก็ ตรอนวาเลนซหลุดจากแถบวาเลนซกลายเปนอิเล็กตรอนอิสระท่ีสามารถนาํ ไฟฟา ไดแ ละเลอ่ื นขนึ้ ไปอยใู นแถบนาํ พลงั งานทม่ี ากระตุนใหอเิ ล็กตรอนเลื่อนระดับพลังงานอาจจะอยูในรูปพลังงานความ รอนหรอื แสงสวา งซ่งึ จะตองมีระดับพลงั งานสูงกวา Eg ชอ งวา งพลังงานในวัสดุตา งชนิดกนั จะไมเ ทา กนั รปู ที่ 4.9 แถบพลังงานและชองวา งพลงั งาน (Eg) มหี นวยเปน อเิ ลก็ ตรอนโวลต (eV) สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 130
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี 4.4 ของแขง็ สสารในสถานะของแข็งประกอบไปดวยที่อนุภาคอยูชิดกัน มีชองวางระหวางอนุภาคนอย อนุภาคของแขง็ จงึ เคล่อื นท่ีไมได แตจะส่ันไปมาไดเ ลก็ นอย เนือ่ งจากมชี อ งวางระหวา งโมเลกุลนอ ย มาก (ก) ของแขง็ ที่มรี ปู รา งผลกึ (ข) ของแขง็ ท่เี ปน วสั ดุกงึ่ ผลกึ (ค) ของแขง็ ท่ีไมม ีรูปรางผลึก รปู ท่ี 4.10 การแบง ชนิดของชนดิ ขอองของแข็งตามรปู รา งผลึก ดงั น้นั สสารจึงมีรูปรางและปรมิ าตรคงที่ เพราะเกดิ การเปล่ียนแปลงรปู รา งและปริมาตรไดย าก ทําให ของแข็งมีคาแรงยึดเหน่ียวระหวางอนุภาคมาก ของแข็งจึงไหลไมไดเหมือนของเหลวและอัดไมได เหมือนแกส เมอื่ พิจารณาของแขง็ ตามรูปผลึก สามารถแบงประเภทของของแข็งไดเปน 3 ชนิดคือ ก) ของแข็งที่มีรูปรางผลึก (Crystalline solids) ข ) ของแข็งท่ีเปน วัสดุกึง่ ผลึก (Quasi-crystal solids) และ ค) ของแข็งท่ไี มมีรูปรางผลึก (Non-crystal / amorphous solids) ดังรปู ท่ี 4.8 แถบพลังงานในของแข็ง คุณสมบัติทางไฟฟาของสสารที่ใชในการแบงกลุมสสารเหลานั้นใหเปน ตัวนําไฟฟา วัสดุ ฉนวนไฟฟา หรือสารกงึ่ ตวั นาํ คอื คา สภาพความนาํ ไฟฟา คา สภาพความตานทานไฟฟา ดังรูปที่ 4.9 ความเปน ตัวนาํ ไฟฟาของสสารข้นึ อยกู บั อุณหภมู ิและสิ่งเจือปนอยูในวัสดุพวกนี้ ตัวนําไฟฟาอาจจะ เปน ธาตุหรอื สารประกอบเชน เจอรเ มเนียม ซิลคิ อน ซลี เี นยี มและตะกัว่ เทลลไู รดเปน ตน สว นสารกงึ่ ตวั นําจะมคี วามตานทานไฟฟาลดลงเมอื่ อุณหภมู ิสูงข้ึนซึง่ เปนลกั ษณะตรงขามกบั โลหะท้ังปวง การ จําแนกของแขง็ วามีคณุ สมบตั เิ ปนตวั นําไฟฟา สารกึ่งตัวนาํ หรอื ฉนวนไฟฟา น้ันสามารถทําไดอีกวิธี หนึ่งโดยใชคา ชองวางแถบพลังงานในการจําแนก โดยสสารที่เปนฉนวนไฟฟาจะมีชองวาง แถบพลังงานมากกวา 5 อิเลก็ ตรอนโวลต สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 131
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี รปู ท่ี 4.11 การแบง ชนดิ ของวัสดเุ ปน ตวั นํา สารก่ึงตัวนําและฉนวนตามคาสภาพความนําไฟฟา ท่ีมาของภาพ : Pual sacherz. (2000). Practical Electronics for Inventors. New York: McGraw-Hill. สว นสสารที่เปน ตัวนาํ จะมีแถบพลงั งานนํากระแสซอ นทับกับแถบพลังงานวาเลนซ ตัวอยางชองวาง พลังงานของผลกึ ชนดิ ตา งๆ มดี ังน้ี ตารางท่ี 4.2 คา ชองวางพลงั งานของผลกึ ชนดิ ตางๆ ชอ งวางพลงั งาน (Eg : eV) ชนดิ ผลึก 5.40 1.17 เพชร (diamond) 0.74 ซิลกิ อน (Si) 1.54 0.56 เจอรม าเนยี ม (Ge) แกลเลยี มอารเซไนด (GaAs) ซิงคแอนติโมไนด (ZnSb) เราสามารถแบง ชนดิ ของผลกึ แข็งตามรปู แบบของแถบพลังงานไดดังรูปที่ 4.1 โดยท่ี 132 - ตวั นาํ แถบวาเลนชซ อนทบั กบั แถบนาํ จึงเกดิ การนําโดยไมต องกระตนุ - กึ่งตวั นาํ มีชอ งวา งพลังงานไมเกนิ 5 อเิ ลก็ ตรอนโวลต (eV) - ฉนวน มีชองวา งพลงั งานมากกวา 5 อิเลก็ ตรอนโวลต (eV) สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี รูปที่ 4.12 เปรยี บเทยี บแถบพลงั งานในฉนวน สารก่ึงตัวนาํ และโลหะ 4.5 สารกึง่ ตวั นาํ สารกึ่งตัวนําคือวัสดุที่มีคาสภาพความนําไฟฟาและคาสภาพความตานทานไฟฟาอยูก่ึงกลาง ระหวางตัวนาํ ไฟฟา กบั ฉนวนไฟฟา เปน วสั ดุท่ใี ชในการผลิตอุปกรณอิเล็กทรอนกิ สท งั้ แบบพาสซีพและ แอคทีพเชน ตวั ตา นทาน ตัวเกบ็ ประจุ ตัวเหนย่ี วนาํ ไดโอด ทรานซิสเตอรและวงจรรวมตางๆ คา ความตา นทานจาํ เพาะของวัสดปุ ระเภทตางๆ ทแี่ สดงในตารางท่ี 4.3 จะเปน การเปรยี บเทยี บคา ความ ตา นทานจาํ เพาะของสารก่ึงตัวนาํ กบั ตัวนําและฉนวนอยา งทองแดงและไมกาตามลาํ ดับ ตารางที่ 4.3 เปรยี บเทยี บคา สภาพความตานทานไฟฟาของวัสดุ ตัวนํา สารก่งึ ตวั นาํ ฉนวน 1012 -cm (Mica) 106 -cm (Cu) 50 -cm (Ge) 50103 -cm (Si) 4.5.1 สารกง่ึ ตวั นําบรสิ ทุ ธิ์ สารกง่ึ ตวั นําบรสิ ทุ ธ์ิ (Intrinsic semiconductor) คอื ธาตุหรอื สารประกอบกง่ึ ตวั นําทยี่ ังไมไดเ ตมิ สารเจอื ปน (Dopant) ใดๆ ผสมลงไป ทนี่ ยิ มนาํ ไปสรา งเปนสงิ่ ประดิษฐส ารก่ึง ตัวนาํ มากทสี่ ดุ คอื ซลิ ิกอนและเจอรมาเนยี ม โดยซลิ กิ อนมอี เิ ลก็ ตรอน 14 ตวั ในขณะท่ีเจอรม าเนยี มมี อเิ ลก็ ตรอน 32 ตวั ตอ หนงึ่ อะตอม ซลิ กิ อนมโี ครงสรางผลึกแบบเตตราฮดี รอล (tetrahedral lattice) ดังรปู ที่ 4.13 เปน ธาตุทม่ี คี ุณสมบตั ิทางไฟฟา เคมแี ละทางกลเหมาะสมทจ่ี ะนําไปสรา งเปน ส่งิ ประดษิ ฐส ารกึง่ ตัวนาํ นอกจากนย้ี ังมรี าคาถกู เพราะสกดั ไดจ ากแกว หรือทราย (SiO2 ) ทีม่ อี ยู มากมายในธรรมชาติ มขี อ สงั เกตวา ธาตุทงั้ สองชนิดเปน ธาตหุ มู 4 เหมอื นกนั อะตอมของซลิ ิกอนและ เจอรมาเนยี มยดึ เหนย่ี วกันเปน โครงสรา งผลกึ ในรูปของพนั ธะโควาเลนซ สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 133
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี รปู ท่ี 4.13 โครงสรา งผลกึ ของซลิ กิ อน ท่ีมาของภาพ http://jas.eng.buffalo.edu/ ดังน้ันเพอ่ื ใหอะตอมเกิดความเสถยี รจงึ ตอ งใชอเิ ลก็ ตรอนรวมกับอะตอมขางเคยี งอกี 4 อะตอม เพอ่ื ให เสมือนวา มอี ิเลก็ ตรอนวงโคจรนอกสุดครบ 8 ตวั ดังรูปที่ 4.14 แบบจําลอง 2 มิตขิ องอะตอมซลิ กิ อน ประกอบไปดวยโปรตอน 14 และนิวตรอน 14 ตัวอัดแนนอยูตรงก่ึงกลางของนิวเคลียสและมี อเิ ล็กตรอน 14 ตวั โคจรอยูรายรอบดงั รูปท่ี 14.5 (ก) สมารถแทนท่ีดวยแบบจําลอง อะตอมแบบ นิวเคลียสเสมือน (effective nucleus) ดังรูปท่ี 14.5 (ข) ที่ประกอบไปดวยประจุรวม +4q และ อเิ ลก็ ตรอนวาเลนซอ ีก 4 ตัว (โปรตอน 14 ตัว หักลา งกบั อิเลก็ ตรอนที่เหลอื อีก 10 ตัวในวงโคจรดา น ในจงึ กลายเปน +4q) รปู ท่ี 4.14 การใชอเิ ลก็ ตรอนวงนอกสดุ รว มกันเพอ่ื ใหค รบ 8 ตัวของอะตอมซิลกิ อนและเจอรม าเนยี ม ท่ีอุณหภมู ิศนู ยเคลวนิ (T 0 K ) สารก่งึ ตวั นําจะไมน าํ ไฟฟา เพราะอิเล็กตรอนท้ังหมดถูกตรึงอยู ดวยพันธะโควาเลนต (ไมมีอเิ ลก็ ตรอนอิสระ) ดงั รูปท่ี 4.16 สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 134
เอกสารประกอบการสอนวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี -q -q -q -q -q -q -q +14q -q -q -q -q -q -q รปู ที่ 4.15 (ก) อะตอมของซิลิกอนทป่ี ระกอบไปดว ยนิวเคลยี สทมี่ โี ปรตอน 14 และอิเลก็ ตรอน 14 ตัว อยูรายรอบและ (ข) อะตอมแบบนวิ เคลยี สเสมอื น (effective nucleus) ทปี่ ระกอบไปดว ยประจรุ วม +4q และอเิ ลก็ ตรอนวาเลนซอ กี 4 ตัว แตที่อณุ หภมู สิ งู กวา ศูนยอ งศาเคลวนิ (T 0 K ) เมื่ออิเล็กตรอนบางตวั ไดรับพลังงานความรอน มากพอท่ีจะทําลายพนั ธะโควาเลนตทําใหอิเล็กตรอนหลุดไปจากพันธะทีย่ ึดเหน่ียวอยู กลายเปน อิเล็กตรอนอิสระจึงทําใหสารกึ่งตัวนํานําไฟฟาได ในรูปที่ 4.18 เปนแถบพลังงานของซิลิกอนท่ี อุณหภมู ศิ นู ยเคลวนิ T 0 K และ T 0 K ขนาดของพลงั งานกระตุนท่ีจะทําลายพันธะโควา เลนตเพ่ือใหอิเล็กตรอนหลุดจากพันธะหรือขามชองวางพลังงาน (energy gap :EG ) จากแถบวา เลนซไปยังแถบความนาํ ไดใ นผลกึ ซิลกิ อนมีคา 1.1 eV สว นในเจอรม าเนียมมคี า 0.72 eV (ก) (ข) รปู ที่ 4.16 โครงสรา งผลึกซลิ ิกอนทอี่ ณุ หภมู ิ T 0 K (ข) ทอ่ี ุณหภมู ิ T 0 K มากกวา ศูนยอ งศาเคลวนิ สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 135
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี T 0K รูปท่ี 4.17 แถบพลงั งานของซิลกิ อนทอี่ ุณหภมู ิ T 0 K T 0 K รูปที่ 4.18 แถบพลังงานของซลิ ิกอนทอ่ี ณุ หภมู ิ T 0 K โดยท่ี EF คอื ระดบั พลังงานเฟอรมใี นสารกึง่ ตัวนําบรสิ ทุ ธิ์ EV คอื ระดับพลงั งานวาเลนซส ูงสดุ ของ อเิ ลก็ ตรอนในวงโคจรรอบนอก EC คอื ระดับพลงั งานแถบนาํ ตา่ํ สดุ ตามลาํ ดบั 4.5.2 การนําไฟฟาในตวั นาํ การศกึ ษาคุณสมบตั ทิ างไฟฟาในสารก่ึงตวั นาํ จะตอ งเรมิ่ ตน ทีก่ ารศึกษาการนําไฟฟา ใน สารตวั นาํ หรอื โลหะกอน ในโลหะแตล ะอะตอมจะมอี ิเลก็ ตรอนอิสระอยางนอ ย 1 ตัว การเคลอ่ื นทขี่ อง อิเล็กตอนอิสระจะทําใหเกิดการชนกับไอออนและรวมตัวกับไอออน จึงไมมีจํานวนของ อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระเคล่อื นท่ีผานตัวนาํ ท่จี ดุ ใดๆหรือกลา ววา ไมมีกระแสไหลในตวั นํานัน้ แตเ มือ่ นาํ ตัวนํา มาตอ กบั แหลงจายไฟฟาจะทําใหเ กิดสนามไฟฟาที่จะควบคุมการเคล่ือนที่ของอิเล็กตรอนอิสระใหมี สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 136
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ความเรง โดยการเคล่ือนท่ขี องอเิ ล็กตรอนอิสระจะมีความเร็วเฉล่ียคาหนึ่ง เรียกวา “ความเร็วลอย เล่อื น (Drift velocity)” ซงึ่ จะเปล่ียนแปลงตามคา สนามไฟฟา ดังสมการ vd หรอื vd เม่อื vd คือความเรว็ ลอยเลื่อน (Drift velocity) คือคาสัมประสิทธใิ์ นการเคลื่อนที่ (Mobility) ของประจพุ าหะ การหากระแสไหลในตัวนํา พิจารณาไดจากตัวนํามีพ้ืนท่ีหนาตัด A ตารางเมตรและมีความยาว L เมตร ตอกบั แหลง จา ยแรงดัน V โวลต โดยสมมุตวิ ามีอิเลก็ ตรอนอสิ ระ N ตัวเคล่ือนท่ีผานความยาว ของตวั นําในเวลา t วนิ าที ดงั แสดงในรูปที่ 4.19 L A vd I รปู ที่ 4.19 การเคลอ่ื นที่ของอิเลก็ ตรอนอสิ ระภายใตส นามไฟฟา จะไดสมการความเร็วลอยเลอื่ นดังสมการ vd L (m/s) (4.1) t (4.2) และจากสมการ จัดรปู สมการใหมจะได I Q Nq เพราะฉะน้ันจะได t t I Nq L Nq L tL Lt I Nq vd L สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 137
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ถากาํ หนดให J I เปนความหนาแนนของกระแสไฟฟาตอพนื้ ท่หี นา ตดั ของตัวนาํ ดงั นน้ั จะได A J I N qvd A/m2 (4.3) A LA ถากาํ หนดให n คือจํานวนอิเล็กตรอนอสิ ระตอ หนวยปรมิ าตร n N LA จากสมการท่ี (J) จะได J nqvd A/m2 สมการดงั กลา วสามารถเขียนใหอ ยูในความสัมพันธก ับสนามไฟฟาไดเปน J nq A/m2 (4.4) โดยทีเ่ ทอม nq ก็คอื คา สภาพความนาํ ไฟฟา (Conductivity: ) น่ันเอง ดังนัน้ จะได nq m 1 (4.5) สว นคา ความตานทานจําเพาะ (Specific resistance หรือ Resistivity : ) ของวัสดุใดๆ จะหาได จากการวดั คาความตานทานของวสั ดทุ ีม่ ขี นาด 1 ลูกบาศกเ ซนตเิ มตรดงั รูปที่ 4.20 จากสมการ RA หนว ยคือ cm (4.6) l รปู ท่ี 4.20 หลกั การหาคา ความตา นทานจําเพาะของสสาร ดังนั้น R l (1cm) A (1cm2 ) สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 138
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี โดยท่ี 1 1 m (4.7) nq ตัวอยางที่ 4.1 จงหาความยาวของแทง ทองแดงทรงกลมเสนผา นศนู ยก ลาง 1 มิลลเิ มตรที่มีคาความ ตานทาน 1 กิโลโอหมและคาสภาพความนําไฟฟา 5.8 107 S / m และจงหาความหนาแนน กระแสถาเสนลวดถูกปอนสนามไฟฟาขนาด 10 mV / m (Electronic Circuits, R.S. Sedra, S. Chand & Company, Singapore, 2007) วิธที ํา จากสมการ R l A l 1 l 1 l 1 l A A d2 5.8 107 0.001 2/4 1000 4 1000 4l 182.12 เพราะฉะนน้ั l 1000 182.12 45.5 km 4 4.5.3 การนําไฟฟา ในสารกึ่งตวั นําบรสิ ุทธิ์ เม่ือมสี นามไฟฟามาตอเขา กับชิน้ สารก่งึ ตวั นําเหลาน้ี กจ็ ะกลายเปน อปุ กรณอ เิ ลก็ ตรอน ท่ีสามารถทํางานโดยอาศยั การเคลอื่ นที่ของอิเลก็ ตรอนผานสญุ ญากาศ กาซหรอื สารกงึ่ ตัวนาํ [1] โดย อิเล็กตรอนจะเคล่ือนที่ไปยังข้ัวบวก สวนโฮลจะเคล่ือนที่ไปยังขั้วลบซ่ึงในผลึกของสารกึ่งตัวนํา บรสิ ทุ ธ์เิ มื่อเกดิ อเิ ล็กตรอนอสิ ระ 1 ตัวก็จะเกิดโฮล 1 ตวั เสมอหรือกลาวไดวา ที่อุณหภูมิหอง (298 K) ปริมาณความเขมขนของอิเล็กตรอนอิสระเทากับปริมาณความเขมขนของโฮล เมื่อเกิด อิเลก็ ตรอนอสิ ระก็จะเกิดโฮลตามทันทีหรือเรยี กวาเกิดคูของอเิ ลก็ ตรอนและโฮล เรียกขบวนการนว้ี า “การกาํ เนิดของคพู าหะ (Generation of an electron-hole pair )”และเน่อื งจากในผลกึ มีอะตอม จาํ นวนมากเปนไปไดวาอเิ ล็กตรอนอสิ ระอาจกลับเขา ไปรวมกับโฮล ซ่งึ จะทําใหคูของอเิ ล็กตรอนและ โฮลหายไปและเรียกขบวนการน้ีวา “การรวมตัวของคพู าหะ (Regeneration of an electron with hole)” สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 139
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี รูปท่ี 4.21 การเคลอื่ นทข่ี องอเิ ล็กตรอนและชองวา งเมอ่ื อยใู นสนามไฟฟา ที่มาของภาพ : http://hyperphysics.phy-astr.gsu.edu/hbase/solids/intrin.html ถา ni คอื จาํ นวนอเิ ล็กตรอนอสิ ระตอ หนวยปริมาตรในผลกึ สารกึง่ ตัวนําบรสิ ทุ ธ์ิ pi คอื จาํ นวนโฮลตอ หนวยปริมาตรในผลึกสารก่งึ ตวั นาํ บริสุทธ์ิ ดังนั้นในสารกึ่งตัวนําบรสิ ทุ ธ์จิ ะไดค วามสัมพนั ธของจาํ นวนอเิ ล็กตรอนอิสระและจาํ นวนโฮลตอหนวย ปรมิ าตรดงั สมการ ni pi (4.9) โดยปริมาณสทุ ธขิ องประจุพาหะแตล ะชนดิ ในผลึกสารกง่ึ ตัวนําบริสุทธ์จิ ะมคี า เปน ni pi N 0T e3/2 (Eg 0/2KT ) (4.10) เมอื่ N0 คอื คาคงท่ีการเกิดไอออไนซของวสั ดุแตล ะชนิด T คืออุณหภมู ิมีหนวยเปนเคลวิล Eg0 คอื คา ชองวา งพลงั งานของวัสดุทอี่ ุณหภมู ิศูนยองศาเคลวิล k คอื คาคงทข่ี องโบลทซม าน มีคา 8.62×105 eV/K หรือ 1.38×10−23 J/K ในผลกึ สารก่ึงตัวนาํ จะมกี ระแสไหลสุทธทิ เ่ี กดิ จากผลรวมของกระแสท่ีเกิดจากอิเล็กตรอนอิสระและ โฮลดังแสดงในรูปท่ี 4.22 สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 140
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี I รูปท่ี 4.22 การไหลของกระแสในสารกึ่งตวั นาํ เมอ่ื Ip,Jp คอื กระแสและความหนาแนนกระแสทเ่ี กดิ จากการเคลอ่ื นทีข่ องโฮลและ มที ิศทางเดยี วกบั การเคลอ่ื นทข่ี องโฮล In,Jn คือกระแสและความหนาแนกระแสท่เี กิดจากการเคล่ือนท่ีของอิเลก็ ตรอนอิสระและ มีทิศทางตรงขามกบั การเคลอ่ื นท่ีของอเิ ลก็ ตรอน n,p คือคาสมั ประสทิ ธ์ิในการเคล่อื นทีข่ องอิเล็กตรอนอสิ ระและโฮล เม่ือพิจารณาการเคล่ือนท่ีของประจุพาหะภายใตสนามไฟฟา ความหนาแนนของกระแสของ อเิ ล็กตรอนและโฮลจะมคี วามสัมพันธดงั สมการ Jni qnni (4.11 ก) Jni qp pi (4.11 ข) ดงั น้ันความหนาแนน กระแสรวมในสารก่ึงตัวนาํ J(total) J(ni ) J(pi ) q(nni p pi ) (4.12) คาสภาพความนํารวมภายในสารก่ึงตวั นาํ มคี า ดังสมการ (total ) q(nni p pi ) (4.13) (4.14) สวนคาสภาพความตา นทานรวมภายในสารกงึ่ ตัวนาํ คอื (total ) q(nni 1 p pi ) ในกรณีของสารกงึ่ ตัวนาํ บรสิ ุทธิ์ (ni pi ) คณุ สมบตั ิทางไฟฟา ทั้ง 3 ขอ จะกลายเปน 141 สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี J(in) qni (n p ) (4.15 ก) (4.15 ข) (int) qni(n p ) (4.15 ค) (int) 1 p ) qni (n พิจารณาคุณสมบตั ิการนาํ ไฟฟา ในสารกง่ึ ตวั นาํ บริสุทธ์ิพบวา มีจาํ นวนอเิ ล็กตรอนอิสระเทากับจํานวน โฮลและเปล่ียนแปลงตามอณุ หภูมิ ทําใหไ มส ามารถควบคุมทง้ั ชนิดและจํานวนของประจุพาหะได ซ่ึง เปน เหตุผลสําคญั ทจ่ี ะไมสามารถควบคุมขนาดและทศิ ทางของกระแสได ดังนั้นในการที่จะควบคุม ขนาดและทิศทางของกระแสจําเปน ตอ งกําหนดจํานวนประจพุ าหะทั้งสองใหมีจํานวนตามที่ตองการ โดยการเตมิ สารเจอื ( Impurities) ลงในสารกึ่งตัวนําบรสิ ุทธท์ิ ี่เรยี กวา “การโดป (Doping)” ตัวอยา งที่ 4.2 จงคาํ นวณหาคาสภาพความนําไฟฟา ของสารกงึ่ ตัวนาํ ซิลิกอนบริสุทธ์ิที่อุณหภูมิหอง ถ า ni 1.411016 ,m3 n 0.145 m2 /V s , p 0.05 m2 /V s แ ล ะ q 1.61019C จงคํานวณหาคาสภาพความนําไฟฟาที่เกิดจากประจุพาหะท่ีเปนโฮลและ อเิ ล็กตรอน (Electronic Circuits, R.S. Sedra, S. Chand & Company, Singapore, 2007 ) วิธีทํา จากสมการ i q ni(n p) i q ni n q ni p 1.6 1019 1.411016 0.145 1.61019 1.411016 0.05 0.325 103 0.112 103 -m1 เพราะฉะน้ัน คา สภาพความนาํ ไฟฟา ทีเ่ ปนผลจากอเิ ล็กตรอนมีคา 0.325103 -m1 คาสภาพความนาํ ไฟฟา ทเี่ ปน ผลจากโฮลมคี า 0.112 103 -m1 4.6. สารกึ่งตัวนาํ ไมบ ริสทุ ธ์ิ เม่ือตองการควบคุมชนิดและจํานวนประจุพาหะในสารกึ่งตัวนําหรือเพื่อตองการ ปรับแตง คณุ สมบตั ทิ างไฟฟา ของสารกงึ่ ตวั นาํ ใหมปี ระจุพาหะในการนาํ กระแสมากขึ้น สามารถทําได โดยการเตมิ อะตอมของสารเจือซ่ึงมักจะเปนอะตอมของธาตุหมู 3 หรอื หมู 5 ลงไปเจอื ปนกับสารกึ่ง สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 142
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ตวั นําบรสิ ุทธิ์ท่เี ปนซิลิกอนหรือเจอรมาเนยี มบริสุทธิ์ท่ีเปนวัสดุตั้งตน จํานวนอะตอมของสารเจือท่ี เติมลงไปจะมคี าระหวา ง 1 : 108 ถงึ 1 : 104 (อะตอมสารเจือ : อะตอมซิลกิ อน) สิ่งท่ไี ดค ือสารก่ึง ตัวนําไมบรสิ ุทธ์ิ (Extrinsic semiconductor) ท่ถี ูกเจอื 4.6.1 สารก่งึ ตัวนําชนดิ เอ็น สารก่ึงตัวนําชนิดเอ็น ( N – type semiconductor )ไดจากการเติมสารเจือหมู 5 เชน แอนติโมนี (Sb) อารเซนิก (As) หรอื ฟอสฟอรัส (P) ซงึ่ มอี ิเลก็ ตรอนวาเลนซ 5 ตัวลงในซิลิกอน หรือเจอรม าเนยี มบริสุทธ์ิ ดังรูปท่ี 4.23 (ก) อะตอมของ Si +4 อะตอมแอนติโมนี (Sb) +4 +5 +4 อเิ ลก็ ตรอนอิสระ +4 (ก) ระ ัดบพ ัลงงาน (eV) (ข) รปู ที่ 4.23 (ก) การใชอิเล็กตรอนวงนอกรวมกันระหวาง Si กบั Sb ในสารกึ่งตวั นาํ ชนิดเอ็นและ (ข) แถบพลังงานของสารก่ึงตัวนาํ ชนิดเอน็ ทําใหเ กิดอเิ ล็กตรอนที่เกนิ (Excess electron) จากการแชรอเิ ล็กตรอนรวมกันระหวางอะตอมของ สารเจือ 1 อะตอมทแี่ ทรกเขาไปกับอะตอมของสารกึง่ ตวั นําบรสิ ุทธิ์รอบๆขางอกี 4 อะตอม ในรูปท่ี 4.23 (ข) ระดบั พลังงานของอะตอมสารเจอื (ED) จะวางตวั อยูใกลๆ กับแถบความนาํ ซง่ึ หมายความ สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 143
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี วาเม่ือมพี ลงั งานมากระตนุ เพยี งเล็กนอ ยอะตอมของสารเจือกจ็ ะเกิดไอออนไนซทําใหอ เิ ลก็ ตรอนหลดุ ออกมา โดยพลังงานท่ีใชในการแยก (Detach) อิเล็กตรอนสวนเกินเหลานี้มีคา 0.05 อิเล็กตรอน โวลตส าํ หรับซลิ ิกอนและ 0.01 อเิ ล็กตรอนโวลตสําหรับเจอรมาเนียม เม่ืออิเล็กตรอนหลุดออกมา จากอะตอมของธาตผุ ใู หจะทาํ ใหอะตอมดงั กลาวกลายสภาพเปนไออนบวกหรือไอออนผูให (Donor ion) ไอออนนจี้ ะถูกตรงึ ดวยพนั ธะโควาเลนตท ้ัง 4 พนั ธะทําใหเคล่ือนที่ไมไ ด ทําใหไมมผี ลกระทบตอ แถบความนํา ดังนนั้ กระแสทไ่ี หลในสารกงึ่ ตัวนาํ ชนดิ เอน็ จึงเกดิ จากอเิ ลก็ ตรอนและโฮลเทานั้น ใน สารก่ึงตวั นําชนิดเอน็ ระดับพลังงานเฟอรมี (Ef ) จะเล่ือนข้ึนไปหาแถบนํา ย่ิงโดปอะตอมสารเจอ มากยง่ิ เล่อื นข้นึ ไปมาก สงผลใหอ เิ ล็กตรอนขามไปยงั แถบนาํ ไดงา ยขึ้นหรือเกิดการนําไฟฟา ข้ึนงา ยขน้ึ 4.6.2 สารกง่ึ ตัวนาํ ชนิดพี สารก่ึงตัวนําชนิดพี (P-type semiconductor) ไดจ ากการเติมสารเจือหมู 3 ที่มี อิเล็กตรอนวาเลนซ 3 ตวั ไดแก โบรอน (B) แกลเลี่ยม (Ga) หรอื อินเดียม (In) อยา งใดอยางหน่ึงลง ในเจอรม าเนียมหรือซลิ กิ อนบรสิ ทุ ธด์ิ งั รูปที่ 4.24 การเติมสารเจอื ท่ีเปนธาตุหมู 3 ทาํ ใหอ ิเลก็ ตรอนวา เลนซข าดไปหนึ่งตวั กลายเปนชองวา งหรอื โฮล ซ่งึ มปี ระจทุ างไฟฟา เปนบวก การเติมอะตอมสารเจือ ผูร บั (อเิ ลก็ ตรอน) ซ่งึ มรี ะดบั พลงั งาน (EA) ใกลๆ กับแถบวาเลนซ และจะทําใหแถบพลังงานเฟอรม ี เล่ือนลงไปเขาใกลแ ถบวาเลนต เพราะอะตอมของสารเจือผรู บั พยายามทีจ่ ะสรางพนั ธะโควาเลนต พันธะท่ี 4 เพ่ิมข้ึนมา จึงพยายามดึงอิเล็กตรอนจากอะตอมขางเคียง ซ่ึงหลุดมาจากอะตอมอื่น เนอื่ งจากไดรบั พลังงานกระตนุ แตเมือ่ อะตอมสารเจือผูรบั ไดรบั อิเลก็ ตรอนเพ่ิมก็จะทําใหกลายเปนไอออนลบ (Acceptor ion) ท่ีไมส ามารถเคลือ่ นที่ไดเ พราะถกู ตรึงดว ยพันธะโควาเลนต ผลของการดงึ อิเลก็ ตรอนของอะตอม สารเจือดังกลาวทําใหปริมาณของโฮลเพิม่ ขึ้นในแถบพลังงานวาเลนซเม่ือเทียบกบั สารกึ่งตัวนาํ บรสิ ทุ ธ์ิ ข อ เ ท็ จ จ ริ ง อี ก ป ร ะ ก า ร ห นึ่ ง ท่ี เ กิ ด ขึ้ น ก็ คื อ เ ม่ื อ ป ริ ม า ณ โฮ ล เ พ่ิ ม ข้ึ น จ ะ ทํ า ใ หอั ต รา ก า ร ร วม ตั ว (Recombination) ของโฮลและอิเลก็ ตรอนเพม่ิ ข้นึ ตามไปดวย ดงั นัน้ ประจุพาหะท่ีทําใหเกิดกระแส ในสารก่งึ ตัวนาํ ชนิดพคี ือโฮลและอิเลก็ ตรอน โดยจะมปี รมิ าณโฮล (ในแถบวาเลนซ) เปนประจุพาหะ สว นมากซึ่งมากกวาอิเลก็ ตรอนในแถบความนํา สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 144
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี (ก) ระ ัดบพ ัลงงาน (eV) (ข) รูปที่ 4.24 ลักษณะการจับตวั กันของอิเล็กตรอนวงโคจรนอกสุดระหวางซลิ กิ อนและโบรอน ในสารกง่ึ ตัวนําชนดิ พี 4.6.3 ประจพุ าหะสว นมากและประจุพาหะสวนนอ ย ถา เตมิ อะตอมสารเจือท่ีมีอิเล็กตรอนวาเลนซ 5 ตัวลงไปในการก่ึงตัวนําบริสุทธ์ิจะได สารกง่ึ ตัวนําชนดิ เอ็น ซง่ึ มีอเิ ล็กตรอนเปน ประจุพาหะสวนมาก (Majority carrier) ในขณะท่ีประจุ พาหะสว นนอย (Minority carrier) จะเปนโฮล ถา เติมสารเจือทม่ี ีอเิ ลก็ ตรอนวาเลนซ 3 ตัวลงไปจะได สารกง่ึ ตวั นําชนดิ พีที่มีประจพุ าหะสว นมากเปนโฮลและอิเล็กตรอนเปนประจุพาหะสวนนอยดังรูปท่ี 4.25 และขอ มลู ในตารางท่ี 4.4 สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 145
เอกสารประกอบการสอนวิชาวิศวกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี (ก) (ข) รปู ท่ี 4.25 ประจพุ าหะสว นมากและสวนนอ ยในสารกงึ่ ตัวนาํ (ก) ชนิดพี และ (ข) ชนิดเอ็น ตารางท่ี 4.4 สารกงึ่ ตวั นําและประจุพาหะสวนมากประจพุ าหะสวนนอ ย ชนิด พาหะขางมาก พาหะขา งนอย (Majority carrier) (Minority carrier) สารกง่ึ ตัวนาํ ชนดิ พี โฮล อเิ ลก็ ตรอน สารก่ึงตัวนาํ ชนดิ เอ็น อเิ ลก็ ตรอน โฮล 4.6.4 ประจแุ บบเคลอ่ื นทแี่ ละแบบไมเ คล่ือนท่ใี นสารกึ่งตวั นําชนดิ เอน็ ในสารกึ่งตัวนําแบบไมบรสิ ุทธิ์หรอื ทถ่ี กู เจอื แลว จะมีชนิดของประจอุ ยู 2 คอื ประจุ แบบเคลอื่ นท่ี (Mobile charge) และแบบไมเ คลอ่ื นท่ี (Immobile ion) ในสารก่ึงตวั นาํ จะพบวา มอี ยู สองชนิดคอื รูปที่ 4.26 ไอออนของอะตอมผูให (ประจแุ บบอยูนงิ่ ) และอเิ ลก็ ตรอน (ประจแุ บบเคลอ่ื นท)ี่ ในสารก่ึงตวั นาํ ขนดิ เอน็ สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 146
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี รปู ที่ 4.27 ไอออนของอะตอมผูรับ (ประจแุ บบอยนู ่ิง) และโฮล (ประจแุ บบเคลอ่ื นท)่ี ในสารก่งึ ตัวนําชนดิ พี 1) ไอออนของอะตอมผใู หห รอื ผูรบั ซ่ึงเปนประจทุ ีอ่ ยูน ่งิ ไมเคลอื่ นท่ี (ไอออนของอะตอม สารเจอื ) และ 2) ประจุพาหะท่ีเคลอ่ื นท่ี (อิเลก็ ตรอนหรอื โฮล) โดยไอออนของอะตอมสารเจอื จะอยใู นรปู ไอออนของอะตอมผใู ห Sb+ P+ As+ หรอื ไอออนของอะตอมผรู ับ เชน B- Al- แตเ นอ่ื งจากในโครงสรางผลึกจะตอ งมผี ลรวมประจเุ ปนกลาง ดงั นั้นผลรวมของความเขม ขน ของประจลุ บตอ งเทา กับผลรวมของความเขมขน ของประจบุ วกในรปู ท่ี 4.26 และ 4.27 แสดงประจุ 2 ชนิดในสารก่งึ ตวั นาํ ชนิดพีคอื ไอออนของอะตอมผรู บั (ประจแุ บบอยนู ง่ิ ) และโฮล (ประจุแบบ เคลอื่ นท)่ี ในสารกง่ึ ตวั นําชนดิ พี 4.6.5 ความหนาแนน ประจุและการนํากระแสในสารก่งึ ตวั นําไมบ ริสุทธิ์ ในสารก่ึงตวั นาํ ชนดิ เอ็นมีจํานวนอิเล็กตรอนอิสระมากกวาจํานวนโฮล เม่ือเทียบกับ สารกง่ึ ตวั นาํ บรสิ ทุ ธิ์ ดงั นน้ั อิเล็กตรอนจึงเปนประจุพาหะสวนมากสวนโฮลเปนประจุพาหะสวนนอย อยา งไรกด็ ี “กฎการกระทํามวลสาร (Mass Action Law)” ของทฤษฎีกลศาสตรควอนตมั กลาว ไวว า “คา ผลคณู ของปริมาณประจุพาหะในสารกึ่งตัวนําทุกชนิดจะมีคาคงที่ ไมว าจะมีการเติมสารเจือ หรอื ไมกต็ าม” เขียนสมการไดเ ปน n p ni2 (4.16) สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 147
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี สมการน้ีมคี วามสําคญั มาก โดยเฉพาะอยา งยงิ่ เมือ่ ใชใ นการคาํ นวณหาปรมิ าณสารเจอื ท่ีจะเติมลงใน สารกง่ึ ตัวนําใหมีคุณสมบัติทางไฟฟา ตามตองการ ในกรณีสารกึ่งตวั นําชนิดเอน็ กําหนดให ND คอื จํานวนสารเจอื ผูใหท ี่เติมตอหนว ยปริมาตร(ความเขมขนของสารเจือ) nn, pn คือจํานวนอิเล็กตรอนอิสระและโฮลตอหนวยปรมิ าตรในสารกงึ่ ตัวนาํ ชนิดเอ็น ท่อี ณุ หภูมิหอ งอะตอมของสารเจอื ท้งั หมดจะไอออนไนซ กลายเปน ไอออนบวกเทา กบั จาํ นวนอะตอม ของสารเจือที่เติมลงไปคือ ND ตัว แตท้ังผลกึ จะตองมีความเปนกลางทางไฟฟาหรือจํานวนประจุ บวกเทา กับประจลุ บ ดงั นน้ั จึงสามารถเขยี นสมการไดเ ปน ND pn nn (4.17) (4.18) โดยท่วั ไปแลว ND pn ดงั นัน้ สมการที่ (3.23) จะเขยี นไดเปน ND nn หรอื nn ni2 ND โดยสมการความหนาแนนกระแสและสภาพความตา นทานภายในสารกึง่ ตวั นําชนดิ เอ็นคอื Jn qnnn (4.19) (4.20) และ n q 1 nnn พจิ ารณาตวั แปรตา งๆ ทจี่ ะนําไปหาคาสภาพความตานทานไฟฟา และคา สภาพความนาํ ไฟฟา ในสารกง่ึ ตวั นาํ ชนดิ พโี ดยกาํ หนดให NA คือจาํ นวนสารเจือผูรับทเี่ ตมิ ตอหนว ยปริมาตร(ความเขม ขน ของสารเจอื ) np, pp คอื จาํ นวนอิเลก็ ตรอนอสิ ระและโฮลตอ หนวยปรมิ าตรในสารก่งึ ตวั นําชนิดพี สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 148
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี กลไกทเ่ี กดิ ขึ้นจะคลายกับสารเจือชนดิ เอ็น นัน่ คอื เมือ่ อะตอมสารเจอื ผรู บั ไดร บั อิเลก็ ตรอนจากอะตอม ขา งเคียงจะทาํ ใหอ ะตอมนั้นไอออไนซเปนประจุลบ ดังนน้ั จะได NA np pp (4.21) โดยท่วั ไปแลว NA np ดังนน้ั สมการที่ (3.23) จะเขยี นไดเ ปน NA pp หรือ np ni2 (4.22) NA ดงั นน้ั สมการความหนาแนน กระแสและสภาพความตานทานภายในสารกงึ่ ตัวนาํ ชนิดพีคอื J p qppp (4.23) (4.24) และ p 1 q p pp ตัวอยางที่ 4.3 รอยตอพีเอ็นแบบเจอรมาเนียมท่ีอุณหภูมิ 300 K ประกอบไปดวยตัวแปร ดั ง ต อ ไ ป นี้ , , จ งND 5 1018 cm3 NA 6 1016 cm3 ni 1.51010 cm3 คํานวณหาความหนาแนนของอิเลก็ ตรอนซ่ึงเปนประจุพาหะสวนนอยในสารกึ่งตัวนําดานพี และ ความหนาแนนของโฮลซึ่งเปนประจุพาหะสวนนอยในสารกึ่งตัวนําดานเอ็น (Electronic Circuits, R.S. Sedra, S. Chand & Company, Singapore, 2007 ) วธิ ที ํา จากสมการ nn ni2 และ np ni2 แทนคาจะได ND NA จาํ นวนอิเล็กตรอนในสารกง่ึ ตัวนําดานพี nn ni2 1.5 1010 2 0.375 104 ND 6 1016 จํานวนโฮลในสารก่ึงตัวนาํ ดา นเอน็ สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 149
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี np ni2 1.5 1010 2 0.45102 ND 5 1018 4.6.6 กลไกการเคลอื่ นทข่ี องประจพุ าหะในสารก่งึ ตวั นํา กลไก (Machanism) การเคลอ่ื นที่ของประจพุ าหะ ในสารกง่ึ ตวั นํามี 2 ลกั ษณะคือ 1) แบบแพร (Diffusion) และ 2) แบบลอยเล่ือนหรือแบบดริฟท (Drift) พิจารณาในรูปความ หนาแนน กระแสของอเิ ล็กตรอนและโฮลในสารกึ่งตวั นําสามารถอธบิ ายไดดังน้ี ความหนาแนนกระแสการแพร (Diffusion current density) เปนความหนาแนนกระแสที่ เกดิ จากการเคลือ่ นของอนุภาคจากบริเวณทม่ี คี วามหนาแนน สูงไปยงั บริเวณที่มีความหนาแนนตํ่าดัง รูปท่ี 4.28 บริเวณความหนาแนน่ สูงA' บริเวณความหนาแนน่ ตํา 0 Jp A A ระยะทAาง (x) (ก) A t 0 t0 t t1 t t2 (ข) รูปท่ี 4.28 ไอออนของอะตอมผูรับ (ประจุแบบอยูน่ิง) และโฮล (ประจุแบบเคลื่อนที่) ในสารกง่ึ ตวั นาํ ขนิดพี ความหนาแนน กระแสลอยเลอ่ื น (Drift current density) เปนความหนาแนนกระแสท่ีเกิด จากการเคลอื่ นทขี่ องอนุภาคเมอ่ื ไดรับอทิ ธพิ ลจากสนามไฟฟา น้ันคอื เม่ือสารกึ่งตวั นาํ ไดร ับ สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 150
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี E E รูปที่ 4.29 ไอออนของอะตอมผูรับ (ประจุแบบอยูน่ิง) และโฮล (ประจุแบบเคล่ือนท่ี) ในสารกงึ่ ตัวนาํ ขนดิ พี สนามไฟฟา (E) ผลของแรงท่ีกระทําตอพาหะทําใหโฮลถูกเรงในทิศทางเดียวกับสนามไฟฟาและ อิเล็กตรอนถูกเรงในทศิ ทางตรงกนั ขามกับสนามไฟฟาดงั รปู ที่ 4.29 4.7 รอยตอ พีเอ็น (PN-Junction) สารก่งึ ตวั นําชนดิ เอน็ หรอื ชนดิ พจี ะมีสภาพเปนเพียงตวั ตา นทานธรรมดาถา หากแยกกันอยู แตถ า นาํ มาประกบกนั เปนอุปกรณรอยตอจะทาํ ใหส ามารถควบคุมการเคล่อื นที่ของประจพุ าหทุ เ่ี ดนิ ทางขา ม รอยตอ สารกงึ่ ตัวนาํ ไดบ ริเวณทีส่ ารกึ่งตวั นาํ ทั้งสองชนดิ สัมผสั กันเรียกวา รอยตอ (Junction) รปู ที่ 4.30 การเคลอื่ นทขี่ า มรอยตอ ของโฮลและอเิ ล็กตรอนบรเิ วณรอยตอ รอยตอ น้ีจะยอมใหอ ิเล็กตรอนอสิ ระท่มี ีอยมู ากในสารกงึ่ ตัวนาํ ดานเอน็ แพรข า มไปรวมกับโฮลในสารกงึ่ ตัวนําดานพี เชนเดียวกันโฮลที่มีอยูมากในสารก่ึงตัวนําดานพีก็จะแพรขามรอยตอไปรวมกับ อเิ ล็กตรอนในสารกึ่งตัวนําดานเอ็นดังรูปท่ี 4.30 ในชวงแรกการแพรจะเกิดข้ึนอยางรวดเร็วๆ และ สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 151
เอกสารประกอบการสอนวิชาวิศวกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี คอ ยๆ ชา ลงตามลาํ ดับจนเขาสูสภาวะสมดลุ ก็จะหยุดโดยส้ินเชิง ดังน้ันการทป่ี ระจพุ าหะแพรอ อกไป จนหมดจากบริเวณนี้ บริเวณนี้จงึ กลายเปน \"บริเวณปลอดประจุพาหะ : Depletion Region\" เม่ืออิเลก็ ตรอนและโฮลในบริเวณปลอดประจพุ าหะแพรขา มรอยตอ จงึ ทาํ ใหเ หลอื เฉพาะไอออน ลบในสารกงึ่ ตวั นาํ ดา นพแี ละไอออนบวกในสารกงึ่ ตัวนาํ ดานเอ็นดงั รูปที่ 4.31 ทาํ ใหเ กดิ ช้นั ของประจุ ไฟฟา บวกดานหนึง่ และประจุไฟฟาลบอกี ดา นหนึง่ เมอื่ เกิดชน้ั ของประจุบวกและประจลุ บก็จะทําให ไมมีการรวมตัวระหวางอิเล็กตรอนอสิ ระและโฮลขา มรอยตอ อกี ตอไป เพราะชั้นของไอออนลบในสาร ก่ึงตวั นําดานพที ีอ่ ยใู กลก บั บริเวณรอยตอจะผลักอิเล็กตรอนอิสระจากสารกง่ึ ตวั นาํ ดา นเอน็ ไมใ หเ ขา มา รวมอีก ปฏกิ ิริยาจึงเปน การปองกันไมใ หบริเวณปลอดพาหะขยายกวางออกไปอีก รูปท่ี 4.31 การเกดิ บริเวณปลอดพาหะบริเวณรอยตอพเี อน็ ชนั้ ของไอออนบวกและไอออนลบที่บริเวณรอยตอน้ีจะมีศกั ยไฟฟาสะสมในตัวระดับหน่ึง และเนื่องดวยประจุท้ังสองมีข้ัวตรงกันขามกันจึงทําใหเกิดความตางศักยไฟฟาหรือแรงดันไฟฟา ปรากฏครอมรอยตอเรียกความตางศักยไฟฟานี้วา กําแพงศักยไฟฟา (Barrier potential) หรือ กําแพงศักดาไฟฟา (Barrier Voltage) โดยขนาดของกําแพงศักดาไฟฟาบริเวณรอยตอพีเอ็น สําหรับสารก่ึงตัวนําซิลิกอนมีคาประมาณ 0.7 โวลตและเจอรมาเนียมมีคาประมาณ 0.3 โวลตท่ี อณุ หภมู หิ อง รอยตอ พีเอ็นเมอ่ื ไมมแี หลง จา ย เมื่อมีการแพรขามรอยตอของโฮลและอิเล็กตรอน รวมท้ังการเกิดชั้นประจุหรอื กําแพง ไอออนลบและไอออนบวกทกี่ อตวั กลายเปนกําแพงศักยทําใหเกิดการผลักไมใหอิเล็กตรอนและโฮล สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 152
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี แพรข า มรอยตอ ไปไดอกี ในสภาวะน้ีเองทําใหเกดิ สนามไฟฟา (Electric field) ข้นึ ในบริเวณปลอด ประจุพาหะดังรูปท่ี 4.32 NA ND x 0 รปู ท่ี 4.32 (ก) การแพรข องอเิ ล็กตรอนและโฮลขามรอยตอ และ (ข) การเกดิ สนามไฟฟา บรเิ วณ ปลอดประจุพาหะ การแพรของอเิ ล็กตรอนที่เปนประจุพาหะสวนมากในดานเอ็นและโฮลในดานพีจะทําใหเกิดกระแส แพร (Diffusion current : JD ) ที่มีทิศการไหลจากดานพีไปยังดานเอ็น ดังรปู ที่ 4.33 ใน ขณะเดียวกันอิเล็กตรอนในดา นพีและโฮลในดา นเอ็นซง่ึ เปนประจพุ าหะสวนนอยที่ไดรับอิทธิพลจาก สนามไฟฟา และความรอนที่เปลีย่ นแลงตามอุณหภูมจิ ะเคล่ือนที่ขา มรอยตอ ทาํ ใหเ กดิ กระแสลอยเลอื่ น (Drift current : J ) มีทิศการไหลจากดานเอ็นไปดานพี ดงั น้นั กระแสสุทธิขณะใดๆ ที่ไหลผาน รอยตอจึงมคี า เปนศนู ย เพราะกระแสที่เกดิ จากการแพร (ID ) จะมคี าเทา กบั กระแสลอยเล่ือน (I ) ท่ีเกิดจากสนามไฟฟาภายใน เรียกสภาวะดังกลาววา “สภาวะสมดุลทางความรอน (Thermal equilibrium)” ในสภาวะดงั กลาว ID I IS 153 สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี JD J Vbi JD J รูปที่ 4.33 กระแสเนอื่ งจากการแพรแ ละเนอ่ื งจากสนามไฟฟาภายในท่เี คลอื่ นทขี่ ามรอยตอ พเี อ็น เมอ่ื IS คือคาคงที่กระแสของสารกงึ่ ตัวนํามคี าตํา่ มากในชวง 1015 A ซึ่งแปรผันตามระดับความ เขม ขน ของอะตอมสารเจือ (NA และND ) และอุณหภูมิ สนามไฟฟา ที่รอยตอ จะทําใหการแพรของ อิเล็กตรอนและโฮลหยุดลง สงผลใหบริเวณน้ีกลายเปนยานปลอดประจุ (Space-charge region) หรอื ยา นปลอดพาหะ ศักดาไฟฟาทีบ่ ริเวณรอยตอน้ีเรยี กวา Built-in barrier potential barrier หรอื built-in voltage : Vbi หรือ ดงั สมการ Vbi VT ln N AN D (4.25) ni2 VT คอื คา แรงดนั ความรอน (thermal voltage) ขนึ้ กบั อณุ หภมู ิ มคี าประมาณ 26 มิลลโิ วลต ที่ อุณหภมู ิ 300 °K และ ni คอื คา ความหนาแนป ระจพุ าหะในสารก่ึงตวั นาํ บรสิ ุทธ์ิ สาํ หรบั ซลิ กิ อน มีคาประมาณ 1.5 × 1010 อนภุ าค/cm3 ตวั อยางท่ี 4.4 จงคาํ นวณหาคา Vbi ของรอยตอ พเี อน็ ซลิ กิ อนชน้ิ หน่ึง ทอ่ี ณุ หภมู ิ (T = 300°K) ที่มี คา NA 1015 cm-3 ND 1016 cm-3 โดยมีคา ni เทากับ 1.5 × 1010 cm-3 แทนคา ทงั้ หมด ลงในสมการ (4.24) ได Vbi 26 ln 1015 1016 2.25 1020 638 mV สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 154
เอกสารประกอบการสอนวิชาวิศวกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี 4.8 แถบพลงั งานของรอยตอพเี อ็น เมื่อนําสารก่ึงตัวนาํ สองชนิดที่มีโครงสรางแถบพลังงานตางกันมาสรางเปนรอยตอพี-เอ็น สามารถเขียนโครงสรางของแถบพลังงาน (Energy band diagram) ไดดังรูปท่ี 4.34 โดยท่ี Ei คือระดับพลังงานท่ีอยูก่ึงกลางของชองวางพลงั งาน (Energy gap) ทง้ั ทางดานสารก่ึง ตัวนําชนิดเอ็นและชนดิ พี Ef คอื ระดับพลงั งานเฟอรมีท้งั ในดานสารกึง่ ตัวนาํ ชนดิ เอน็ และชนิดพี สารกงึ ตวั นาํ ชนิด p สารกงึ ตวั นาํ ชนิด n Ec Ec Ef Ei Ei Ef Ev Ev แถบพลังงานวาเลนซ์ รูปที่ 4.34 แถบพลงั งานของรอยตอ พเี อ็นในชวงเรม่ิ ตน มขี อสังเกตวาระดับพลงั งานเฉลี่ย Ei ในสารก่ึงตัวนําชนิดเอ็นและชนิดพี มีคาเทากันดังรูปที่แสดง ดวยเสนประเสน เดียวกัน ความหนาแนน ของประจพุ าหุท่ีสมั พันธกับระดับพลังงานเหลาน้ีจะอยูใน รูปของ ความหนาแนนของอเิ ล็กตรอนทีแ่ ถบนาํ ดงั สมการ n Nc e(Ec Ef )/kT (4.26) ในขณะทีส่ ารกงึ่ ตวั นาํ ชนิดพีจะมีคาความหนาแนน ของโฮลในแถบวาเลนซเ ทา กบั สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 155
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี p Nv e(Ef Ev )/kT (4.27) เม่อื และ คือความหนาแนนสถานะประสิทธิผล (Effective densities of state) ในแถบความนํา และแถบวาเลนซ เมอื่ รอยตอพี-เอน็ เกิดข้นึ และอยใู นสภาวะสมดุลดังรูปท่ี 4.35 ระดับพลังงานเฟอรมีในดาน สารก่ึงตัวนําชนิดเอ็นและชนิดพีจะมีระดับเดียวกัน เพราะเกิดการถายเทประจุพาหะเนื่องจาก อิเล็กตรอนไหลจากดานเอน็ ไปดานพีและโฮลไหลจากดา นพีไปดา นเอ็น JD J รูปที่ 4.35 แถบพลังงานของรอยตอ พเี อน็ เมอ่ื เขา สสู ภาวะสมดลุ จากรปู จะเกิดความตางศักยร ะหวางดานพีและดา นเอน็ ท่เี รยี กวา “ศกั ยส มั ผัส (Contact potential : Vo )” หรือ “แรงดันภายใน (Built in voltage)” โดยขนาดของศักยสัมผัสน้ีจะขึ้นกับคาความ หนาแนนของอะตอมสารเจือและอณุ หภูมดิ งั สมการท่ี (4.25) 4.8.1 แถบพลงั งานเน่อื งจากการไบอสั ตรงท่รี อยตอ พีเอ็น การไบอสั ตรงรอยตอพีเอ็น (Forward-biased p-n junction) คอื การปอ นศกั ยไ ฟฟา บวกแกสารกึง่ ตวั นําชนิดพแี ละศกั ยไฟฟา ลบแกสารกึง่ ตัวนาํ ชนิดเอน็ ทาํ ใหความสูงของกําแพงศักยท่ี รอยตอ ลดลง พจิ ารณาไดจากความชนั ของแถบพลงั งานบรเิ วณปลอดประจุพาหุที่มีคาลดลง ทําให จาํ นวนของประจุพาหะสว นมากทม่ี พี ลังงานมากพอท่ีจะขา มรอยตอไดมีจํานวนเพ่ิมข้ึนหรือเปนการ ผลักประจุพาหะสวนมากเขา หารอยตอทําใหบริเวณปลอดพาหะแคบลงไปดวยดังรูปที่ 4.36 หาก ศักยไฟฟาภายนอกที่ปอนใหแกรอยตอพีเอ็นมีคาสูงกวากําแพงศักยไฟฟาภายในรอยตอจะทําให สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 156
เอกสารประกอบการสอนวิชาวิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี อิเล็กตรอนจากสารก่ึงตัวนําดานเอน็ สามารถแพรขามรอยตอไปยังสารกึ่งตัวนําดานพีไดอีกคร้ัง ดงั นัน้ กระแสการแพรจ ึงมคี า มากกวากระแสลอยเลือ่ น In Ec EFn Ei Ev Ip p ---- ++++ n I +- VD >0 รูปท่ี 4.36 แถบพลงั งานของรอยตอ พีเอ็นเมอ่ื เขาสสู ภาวะสมดลุ กระแสทีไ่ หลผานรอยตอจะมคี วามสัมพนั ธก บั แรงดนั ทจ่ี ายใหร อยตอแบบเอกซโ ปเน็นเชยี ล เมอ่ื ยา น ปลอดพาหะหมดไปอิเล็กตรอนหรือกระแสไฟฟาก็สามารถไหลผานรอยตอพีเอ็นไปไดเราเรียกการ ไบอสั รอยตอแบบน้วี า การไบอสั ตรงซ่งึ เกิดข้ึนไดก ต็ อ เม่ือ VD Vbi เทา นัน้ ในสภาวะนป้ี ระจพุ าหะ สวนมากทแ่ี พรขามรอยตอพีเอ็นไปไดจะกลายสภาพไปเปนพาหะสวนนอยซึง่ ก็จะทําใหความเขมขน ของประจุพาหะสว นนอยมีคา มากตามไปดว ย 4.8.2 แถบพลังงานเนื่องจากการไบอสั ยอ นกลบั ทรี่ อยตอ พีเอ็น การไบอสั กลับแกรอยตอ พเี อน็ (Reverse-biased p-n junction) ทาํ ไดด ว ยการปอ น ศกั ยไฟฟา บวกแกส ารกึ่งตัวนําชนดิ เอ็นและศกั ยไฟฟา ลบแกสารก่งึ ตัวนําชนิดพีผลท่ีไดก็คือ ความ ชันของแถบพลงั งานบริเวณปลอดประจุพาหะเพ่ิมขึ้นทําใหขนาดของกําแพงศกั ยท รี่ อยตอเพิม่ ขน้ึ ตาม ไปดว ยทําใหจ าํ นวนของประจุพาหะสวนมากท่ีมีพลงั งานมากพอท่ีจะขามรอยตอไดมีจํานวนนอยลง หรอื จนกระทั่งไมมเี ลย ดังนนั้ จงึ เปนการผลกั ประจุพาหะสวนมากออกจากรอยตอ ทําใหบรเิ วณปลอด พาหะกวา งข้ึนดังรูปท่ี 4.37 จากรูปจะมเี ฉพาะการเคลอื่ นที่ของประจุพาหะสว นนอยจากอิทธพิ ลของ สนามไฟฟา เทานั้นท่ผี านรอยตอไปไดซ ่งึ เปน กระแสแบบลอยเลือ่ นนน่ั เอง สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 157
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี รูปที่ 4.37 แถบพลงั งานของรอยตอ พีเอน็ เมอื่ เขาสสู ภาวะสมดลุ 4.9 บทสรปุ การทาํ ความเขา ใจเกยี่ วกบั สารก่ึงตัวนํา โครงสรา งผลึกและโครงสรา งแถบพลงั งานของสารกงึ่ ตวั นาํ ศกึ ษาปกรณอ เิ ล็กทรอนกิ สท าํ งานโดยอาศยั การเคลอื่ นทขี่ องอนภุ าคประจุ (โฮลหรือ อเิ ลก็ ตรอน) ท่ีเดินทางในอปุ กรณน้นั ๆ ดังน้ันจงึ มคี วามจาํ เปนตอ งทําความเขาใจเกย่ี วกบั หลกั การทใ่ี ช ในการควบคมุ การเคลอื่ นทขี่ องอนุภาคประจุเหลา น้ี ซึง่ เกดิ ข้ึนภายในอปุ กรณอิเลก็ ทรอนกิ สท ่ีมี สถานะเปนของแข็ง (Solid state) โดยของแข็งเหลานเี้ กดิ จากจดั เรยี งอะตอมของธาตแุ ละ สารประกอบแข็งตางๆ ท่เี ปน วสั ดุในการสรา งอปุ กรณอเิ ล็กทรอนกิ ส โดยเฉพาะวัสดทุ ี่เปน สารกงึ่ ตัวนําตวั (Semiconductor) เพราะเปน วสั ดหุ ลกั ทส่ี ําคญั ในการผลติ อปุ กรณหรอื วงจรอิเล็กทรอนกิ ส ในปจจุบัน ดังนนั้ ในการทจ่ี ะศึกษาใหเ ขาใจการทํางานของวงจรอเิ ล็กทรอนกิ สจ งึ จาํ เปนตอ งศกึ ษา ทฤษฎพี นื้ ฐานของสารกง่ึ ตวั นาํ ซง่ึ จะเกยี่ วขอ งกบั กลไกการเคลอ่ื นทขี่ องประจพุ าหะภายในเนอื้ สารก่ึง ตวั นํา รอยตอ ของสารก่ึงตวั นาํ หรอื รอยตอ พีเอน็ (PN junction) นาํ ไปสูการคน พบอปุ กรณ อเิ ลก็ ทรอนกิ สพ ้ืนฐานทส่ี าํ คญั ไดแก ไดโอด ทรานซสิ เตอรแ ละวงจรรวมทางอเิ ลก็ ทรอนิกสช นิดตางๆ สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 158
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี คาํ ถามทา ยบท 4.1 จงอธบิ ายหลกั การจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในช้นั พลังงานตา งๆ มาพอเขาใจ 4.2 ประจุแบบเคลอื่ นท่ีและประจุแบบสถติ ในสารก่ึงตวั นําคอื อะไร 4.3 กลไกลทที่ าํ ใหประจพุ าหะเคลอื่ นที่ในสารกึง่ ตวั นาํ มีอะไรบาง 4.4 เหตใุ ดจงึ มสี นามไฟฟา และกาํ แพงศักยเ กดิ ขน้ึ ทร่ี อยตอพี-เอน็ แมวาอุปกรณรอยตอยังไมไ ด ตอ กับแหลงจายแรงดนั ภายนอก 4.5 บริเวณปลอดประจพุ าหะเกดิ ข้นึ ไดอ ยา งไรและมีคณุ สมบตั ิอยา งไร 4.6 การเปลี่ยนแปลงอณุ หภูมมิ ีผลตอ กระแสทไ่ี หลผา นรอยตอพี-เอน็ อยางไร 4.7 จงหาความยาวของแทงทองแดงทรงกลมเสนผา นศนู ยก ลาง 0.25 มลิ ลิเมตรทม่ี ีคา ความตานทาน 2.2 กิโลโอหม และคา สภาพความนาํ ไฟฟา 5.8 107 S / m และจงหาความหนาแนนกระแส ถา เสนลวดถกู ปอ นสนามไฟฟาขนาด 22 mV / m 4.8 จงคํานวณหาคาสภาพความนําไฟฟาของสารก่ึงตัวนําซิลิกอนบริสุทธ์ิที่อุณหภูมิหอง ถา ,ni 1.5 1016 m3 n 0.165 m2 /V s , p 0.07 m2 /V s แ ล ะ q 1.61019C จงคํานวณหาคาสภาพความนําไฟฟาที่เกิดจากประจุพาหะท่ีเปนโฮลและ อเิ ลก็ ตรอน 4.9 รอยตอพีเอ็นแบบเจอรมาเนียมที่อุณหภูมิ 300 K ประกอบไปดวยตัวแปรดังตอไปนี้ ND 6 1018 , ,cm3 NA 7 1016 cm3 ni 1.6 1010 cm3 จ ง คํ า น ว ณ ห า ความหนาแนนของอิเล็กตรอนซึ่งเปนประจุพาหะสวนนอยในสารก่ึงตัวนําดานพี และความ หนาแนน ของโฮลซึง่ เปนประจุพาหะสว นนอ ยในสารกึง่ ตัวนาํ ดา นเอน็ 4.10 จงคํานวณหาคา Vbi ของรอยตอ พเี อน็ ซิลกิ อนชิน้ หนง่ึ ทอ่ี ณุ หภมู ิ (T = 300°K) ที่มคี า NA 1015 cm-3 ND 1016 cm-3 โดยมคี า ni เทา กบั 1.5 × 1010 cm-3 สาขาวศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 159
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี เอกสารอางอิง Sedra, Adel S. and Smith, Kenneth C.(1998). Microelectronic Circuits. New York: Oxford University Press. Neamen, A. D. (2002). Electronic Circuit Analysis and Design. New York: McGraw-Hill. Floyd, L. T. (1999). Electronic Devices. New Jersey: Prentice-Hall International Inc.: Millman, J. and Grabel, A. (1987), Microelectronics. New York: McGraw-Hill. Boylestad, R. and Nashelsky, L. (1996) Electronic Devices and Circuit Theory. Prentice-Hall. Sedra, R. S.(2007). Electronic Devices for Computer Engineering. India : S. Chand and Company Ltd. ยืน ภวู รวรรณ. (2531). ทฤษฎแี ละการใชงานอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เลม 1. กรงุ เทพ : หจก. นาํ อกั ษร การพิมพ. สมเกยี รติ ศภุ เดช. (2543). สงิ่ ประดษิ ฐส ารกงึ่ ตวั นาํ . กรุงเทพ: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกลา ลาดกระบงั . ประภากร สวุ รรณะ และ สมศกั ดิ์ ชมุ ชวย. (2545). วิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส 1 พิมพค รั้งท่ี 1 กรงุ เทพ: สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลาลาดกระบงั จริ ยทุ ธ มหทั ธนกุล. (2550). อิเลก็ ทรอนกิ ส. พมิ พค รงั้ ที่ 2 กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีมหานคร. สุรนนั ท นอ ยมณี (2549). เอกสารคาํ สอนกระบวนวชิ า 261213 อปุ กรณอ ิเลก็ ทรอนกิ สสําหรับ วศิ วกรรมคอมพวิ เตอร. จ. เชียงใหม : มหาวิทยาลยั เชยี งใหม. สาขาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 160
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี แผนบริหารการสอนประจําบทท่ี 5 ไดโอดและวงจรไดโอด 6 ช่วั โมง หวั ขอ เนอ้ื หา 161 5.1 บทนํา 5.2 แบบจาํ ลองไดโอด 5.2.1 แบบจําลองไดโอดอดุ มคติ 5.2.2 แบบจาํ ลองไดโอดทางปฏิบตั ิ 5.2.3 แบบจาํ ลองไดโอดแบบเชงิ เสนยอ ย 5.3 ความตา นทานในตัวไดโอด 5.3.1 ความตานทานไฟฟากระแสตรงหรอื ความตานทานสถติ 5.3.2 ความตา นทานไฟฟากระแสสลบั หรือความตานทานพลวัต 5.3.3 ความตา นทานเฉลย่ี ไฟฟา กระแสสลบั 5.4 สมการของไดโอด 5.4.1 ผลของอณุ หภมู ิทีม่ ผี ลตอ ไดโอด 5.4.2 ความสมบตั ดิ านทางไฟฟากระแสตรง 5.5 คุณสมบตั ดิ า นการเปน สวิตซข องไดโอด 5.6 คณุ สมบตั ทิ างดา นสัญญาณระดบั ตํา่ 5.7 วงจรไดโอดไฟฟากระแสตรง 5.8 การวิเคราะหโดยใชกราฟ 5.8.1 การวเิ คราะหโ ดยการใชกราฟ 5.8.2 การวิเคราะหโดยใชแ บบจาํ ลองงาย 5.9 วงจรเรยี งกระแส 5.9.1 วงจรเรยี งกระแสแบบครึ่งลกู คลนื่ 5.9.2 วงจรเรยี งกระแสแบบเต็มลกู คล่ืน 5.9.3 วงจรเรยี งกระแสแบบบรดิ จ 5.9.4 วงจรกรองกระแส 5.9.5 วงจรคูณแรงดนั 5.9.6 วงจรปอ งกนั แรงดนั เกนิ 5.10 บทสรุป สาขาวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี วตั ถปุ ระสงคเ ชิงพฤตกิ รรม 1. เพอื่ ใหผเู รยี นมคี วามเขา ใจและสามารถอธิบายคณุ ลกั ษณะและคณุ สมบตั ิทสี่ ําคญั ของไดโอด 2. เพอื่ ใหผ ูเ รยี นมคี วามเขาใจและสามารถอธิบายแบบจาํ ลองของไดโอดแบบตาง 3. เพอื่ ใหผ ูเ รยี นมคี วามเขาใจและสามารถอธบิ ายการทํางานของวงจรไดโอดแบบตา งๆ วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจําบท 1. บรรยายเนอื้ หาในแตล ะหวั ขอ พรอ มยกตวั อยา งประกอบ 2. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3. ผสู อนสรุปเนอื้ หา 4. ทาํ แบบฝก หดั เพอ่ื ทบทวนบทเรยี น 5. ผเู รยี นถามขอ สงสยั 6. ผูส อนทาํ การซกั ถาม สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส 1 2. ภาพเลือ่ น (Slide) การวดั ผลและการประเมิน 1. ประเมินจากการซกั ถามในช้ันเรียน 2. ประเมนิ จากความรว มมอื และความรบั ผดิ ชอบตอ การเรยี น 3. ประเมินจากการทาํ แบบฝกหดั ทบทวนทายบทเรยี น สาขาวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 162
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี วัตถุประสงค บทท่ี 5 1. เพอ่ื ใหเ ขา ใจคุณลกั ษณะและคุณสมบตั ิทสี่ ําคัญของไดโอด ไดโอดและวงจรไดโอด 2. เพอื่ ใหร ูจ กั และเขา ใจแบบจาํ ลองของไดโอดแบบตาง 3. เพอื่ ศกึ ษาการทาํ งานของวงจรไดโอดแบบตางๆ 5.1 บทนาํ ไดโอดเปนอปุ กรณแบบรอยตอทสี่ รางจากสารกึ่งตวั นาํ ชนดิ เอ็นและพี มคี ุณสมบัติในการควบคมุ ใหก ระแสจากภายนอกไหลผาไดใ นทิศทางเดยี วขึน้ อยูกบั ข้ัวของแรงดนั ไบแอสท่ีจา ยใหกับไดโอดซ่ึงมี อยู 2 สภาวะคอื สภาวะไบแอสตรงเปน สภาวะท่ีไดโอดนาํ กระแสคือไดโอดทาํ งานและสภาวะไบแอส กลับเปนสภาวะที่ไดโอดไมนํากระแสคือไดโอดไม ไดโอดจึงเปนอุปกรณท่ีมีการใชงานอยาง แพรหลายในวงจรทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สแ ละไฟฟา หลายรปู แบบเชน วงจรแหลงจายไฟฟา กระแสตรงเพอื่ เรียงไฟฟากระแสสลับใหเปนไฟฟากระแสตรง การใชงานเปนสวิตชอิเล็กทรอนิกสในวงจรทาง อิเล็กทรอนกิ สก าํ ลังหรอื งานควบคุมแบบตา งๆ การใชเ ปนอุปกรณเ รียงกระแสในเคร่ืองรับวิทยุแบบ เอเอม็ เปนตน ดงั นนั้ จงึ ตองเขาใจคณุ สมบัติพื้นฐานทางไฟฟา ของไดโอดในดา นตางๆ เพอื่ ทจ่ี ะสามารถ เลอื กใชไดโอดทม่ี มี ากมายหลายชนิดให รปู ท่ี 5.1 ไดโอดทบี่ รรจใุ นตวั ถงั แบบตางๆ 163 ทม่ี าของภาพ : http://www.listdd.com/node/8946 สาขาวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี เหมาะสมกับงานท่ีตองการ อีกท้ังการเขาใจคุณสมบัติของไดโอดยังเปนพ้ืนฐานสําคัญท่ีจะนําไปสู ความเขา ใจคุณสมบัติของอุปกรณส ารก่ึงตัวนําที่ซับซอนข้ึนชนิดอ่ืนๆ เชน ทรานซิสเตอรแบบสอง รอยตอ อุปกรณส วิตชแ บบไตรแอคหรือเอสซอี ารท ใ่ี ชงานเปน สวติ ชในวงจรอิเล็กทรอนิกสกําลังเปน ตน ในทางปฏิบัตจิ ึงมีรปู แบบของตัวถังของไดโอดอยหู ลายแบบข้นึ กบั ชนิด พิกัดกําลังไฟฟาเปนตน โดยท่ัวไปคณุ สมบัติพ้นื ฐานของไดโอดสามารถแบงออกไดเปน คุณสมบัติทางดานไฟกระแสตรง คุณสมบัติทางดานการสวิตช และการการตอบสนองตอสัญญาณระดับต่ําหรือการตอบสนองทาง ความถ่ี แตใ นการทํางานนน้ั พฤติกรรมของไดโอดท่ีดงั นัน้ เราสามารถแบงคณุ สมบตั ิของไดโอดโดยสรุป ไดด งั นี้ ในดา นการทํางานเราจะพจิ ารณาพฤตกิ รรมของไดโอดไดเปน 2 แบบคือ ไดโอดในอุดม คติ (Ideal diode) และไดโอดในทางปฏิบตั ิหรือทีใ่ ชง านจรงิ (Practical diode) 5.1.1 โครงสรา งและสญั ลกั ษณข องไดโอด โครงสรางของไดโอดประกอบไปดว ยขัว้ หรือขาสําหรับตอใชงานตอใชงาน 2 ขั้ว คือ แอโนด (Anode: A) ซงึ่ ตอ อยกู บั สารกึ่งตัวนําชนดิ พีและแคโธด (Cathode: K) ซ่ึงตออยูกับสารกึ่ง ตัวนาํ ชนิดเอน็ สัญลกั ษณจะใชลูกศรแทนขาแอโนด โดยทิศทางของลูกศรเปนทิศทางการไหลของ กระแสสมมตุ ิ (ตรงขามกลบั ทศิ ทางการไหลของอิเลก็ ตรอน) และใชขดี แทนขาแคโธดดงั รปู ท่ี 5.2 แอโนด (A) สารกึ่งตวั นาํ ชนดิ พี แคโธด (K) รอยตอ พเี อ็น สารกงึ่ ตวั นําชนดิ เอ็น รูปท่ี 5.2 สัญลักษณแ ละโครงสรา งอยางงายของไดโอด 5.2 แบบจาํ ลองไดโอด แบบจาํ ลองไดโอดแบบพ้ืนฐานมี 3 แบบคือ แบบจําลองไดโอดอุดมคติ แบบจําลองไดโอด ในทางปฏบิ ตั หิ รือแบบจําลองแบบแรงดนั ตกครอมคงท่แี ละแบบจาํ ลองแบบเสนตรงยอย สาขาวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 164
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี 5.2.1 แบบจาํ ลองไดโอดอดุ มคติ ไดโอดในอุดมคติคือ ไดโอดท่ีผูใชงานมุงหวังท่ีจะใหไ ดโอดมีลักษณะการทํางาน เหมอื นสวติ ชไฟฟาน่นั คอื เมือ่ ไดโอดไดรับแรงดันไบแอสตรงก็จะนํากระแสเหมือนกับสวิตชอยูใน สภาวะตอวงจร (Switch ON) และเมื่อใดทไี่ ดโอดไดร ับแรงดนั ไบแอสกลับจะไมนาํ กระแสเหมือนกับ สวิตชต ัดวงจร (Switch OFF) กราฟคณุ ลักษณะระหวา งแรงดันและกระแส (V-I characteristic) ของ ไดโอดในอุดมคติจะแสดงในรูปที่ 5.3 ไดโอดในอุดมคติจะมีคาแรงดันคัตอินหรือแรงดันขีดเริ่ม (VD0 ) เปนศูนยโวลต มีคาความตานทานเปนอนันตเม่ือมีการไบแอสยอนกลับและมีความตานทาน เปนศูนยเม่อื ไบแอสตรง ดังน้ันไดโอดอุดมคติจึงไมมีแรงดันตกครอมในวงจรสมมูล (VD0 0 V ไดโอดนาํ กระแสทนั ที) รปู ที่ 5.3 (ก) กราฟคุณลกั ษณะแรงดันและกระแสของไดโอดอดุ มคติ และ (ข) สวติ ชป ดวงจร แทนไดโอดเมอ่ื ไดร บั แรงดันไบแอสตรงและสวติ ชเ ปด วงจรเมอ่ื ไดรับแรงดนั ไบแอสกลบั VBIAS R IF VBIAS R IF 0 A VF VBIAS (ก) (ข) รูปที่ 5.4 (ก) วงจรไดโอดแบบไบแอสตรงและ (ข) วงจรไดโอดแบบไบอสั กลบั สาขาวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 165
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี เพื่อใหงายตอการเขาใจการทํางานของไดโอดในอุดมคติจะใชแบบจําลองซึ่งเปนวงจรไฟฟาแบบ พ้ืนฐานมาอธิบายการทํางานของไดโอดดังรูปที่ 5.4 ซึ่งแสดงใหเห็นวา ไดโอดทํางานแบบสวิตชปด (นาํ กระแส) เมอ่ื ไดรับแรงดันไบแอสตรงและสวติ ชเ ปด (ไมนาํ กระแส) เมื่อไดร บั แรงดนั ไบแอสกลับ วงจรสมมูลแบบนจ้ี ะมีแตกตา งจากไดโอดจรงิ คอ นขางมากจงึ ไมมีความแมนตรงท่ีจะนาํ ไปใชกบั งาน ท่ีขนาดสัญญาณมีขนาดตํา่ ๆ แตเ หมาะสมท่จี ะนําไปใชใ นกรณีที่ความตานทานในวงจรสวนอ่ืนๆ มคี า มากกวา ความตานทานของไดโอดมากๆ หรือแรงดันไฟฟาในวงจรสวนอื่นมีคาสูงกวาแรงดันคัตอนิ ของไดโอดมากๆ (ปกติเกิน 10 เทาขนึ้ ไป) 5.2.2 แบบจาํ ลองไดโอดในทางปฏบิ ตั ิ แบบจําลองไดโอดในทางปฏิบัตหิ รอื แบบจําลองแบบแรงดันตกครอมคงที่ (Constant voltage drop : CVD model) เปน แบบจาํ ลองท่มี ีความใกลเ คียงกบั พฤตกิ รรมของไดโอดจริงมาก ขนึ้ แตย ังไมส มบูรณแ บบ วงจรสมมูลของไดโอดในทางปฏบิ ัติจะเสมือนไดโอดในอดุ มคตติ อ อนกุ รมกบั แหลงจายแรงดนั ขดี เริ่ม VD0 เมื่อนาํ ไดโอดไปใชง านเปน สวิตช ไดโอดจะเร่ิมนํากระแสก็ตอเมื่อ ไดรบั แรงดันไบแอสตรง (Forward voltage : VF ) ทีม่ ีคามากกวา แรงดันขีดเร่ิมของไดโอแตล ะชนดิ ของสารกึง่ ตัวนาํ ทน่ี าํ มาผลติ ไดโอดเชน ไดโอดซิลิกอนมีคา แรงดันขีดเริ่มประมาณ 0.6-0.7 โวลต ในขณะทไี่ ดโอดเจอรมาเนียมมคี าแรงดันขดี เร่มิ ประมาณ 0.2-0.3 โวลต ดังรปู ที่ 5.5 (ก) (ข) รูปที่ 5.5 (ก) กราฟคณุ ลกั ษณะแรงดันกระแสของแบบจาํ ลองไดโอซลิ กิ อน และ (ข) แบบจาํ ลอง ไดโอดในทางปฏิบตั อิ ยา งงา ย การทํางานของไดโอดในทางปฏบิ ัติจะพิจารณาไดจ ากวงจรสมมูลของไดโอดดังรูปท่ี 5.5 ซึ่งแสดงให เห็นวาเม่ือไดโอดไดรับแรงดันไบแอสตรงก็จะเริ่มนํากระแสและมีพฤติกรรมเปนแบบสวิตชปด สาขาวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 166
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี (นํากระแส) ทต่ี อ อนุกรมอยกู บั แบตเตอรี่ทีม่ คี า แรงดันเทา กบั VD0 โวลต เมือ่ ไดรับแรงดนั ไบแอสกลบั ไดโอดจะมีพฤตกิ รรมเหมอื นกับสวิตชท ี่เปดวงจร (ไมนาํ กระแส) ตวั อยา งท่ี 5.1 จงหาคา กระแสท่ีไหลผา นไดโอดชนดิ ซลิ กิ อนเมอ่ื ใชแ บบจําลองไดโอดแบบแรงดันตก ครอ มคงท่ี (CVD model) และ VDD มีคา 2 โวลต ใช แ บ บ จํ าลอ ง แ บ บ แ รง ดัน ต ก ค ร อ มค ง ที่ แ ท น ที่ ได โ อ ด ใ น วง จ ร จ ะ ไ ด วง จ ร ส ม มูล โด ย ป ร ะม า ณ (Equivalent approximate circuit) ดังรูป สมมตุ ิวา ไดโอดอยูในสภาวา “On” ซ่ึงแรงดนั ตกครอ ม VD จะมีคา เทากบั 0.7 โวลต จากนัน้ ใชกฎ แรงดันของเคอรชอฟตงั้ สมการวงรอบแรงดนั จะได VDD I DR VD เพราะฉะนัน้ ID VDD VD 2 0.7 1.3 มลิ ลแิ อมแปร R 1000 คา ของกระแสเปนบวกแสดงวาการกําหนดทศิ ทางของกระแสถกู ตองและไดโอดอยูใ นสภาวะ “On” สาขาวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 167
เอกสารประกอบการสอนวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี 5.2.3 แบบจําลองไดโอดแบบเสน ตรงยอย แบบจําลองแบบเสนตรงยอย (Piecewise–linear model) เปนแบบจําลองที่มี คุณลักษณะใกลเคียงไดโอดจริงมากท่ีสุดเมื่อเปรียบเทียบกันในแบบจําลองพื้นฐานท้ัง 3 แบบ แบบจําลองประกอบดวยแบตเตอรี่ (VD0 ) ตออนุกรมกับตัวตานทานภายในของไดโอด กราฟ คณุ ลกั ษณะของแบบจําลองน้ีจะมีลักษณะใกลเคียงกบั กราฟคุณลักษณะของไดโอดจริง แตตางท่ี กราฟคณุ ลักษณะของแบบจําลองนี้จะไมมีสว นโคง ดังนั้นพฤติกรรมของไดโอดจึงถูกอธิบายดวย เสน ตรงยอ ย 3 สว นคอื 1) สวนลาดเอยี งในสวนความสมั พันธของกราฟ V-I ต้งั แตค า VD0 เปนตน ไป ซ่งึ แทนความตานทานไฟสลับหรือความตานทานพลวัต (Dynamic resistance : rD ) 2) สวนไบอัส ยอนกลับจะแทนการเปดวงจรของไดโอดในชวงท่ีไดโอดไดรับแรงดันไบแอสและ 3) สวนไบอัสเดิน หนา ท่แี รงดนั ขีดเรม่ิ VD0 0.7 โวลต ดงั รูปที่ 5.6 iD + Ideal vD VD0 rD - รปู ท่ี 5.6 กราฟคุณลักษณะและแบบจําลองไดโอดแบบเสน ตรงยอ ย สาํ หรับคา ความตา นทานไฟสลับหรอื ความตา นทานพลวตั ของไดโอดนั้นสามารถวดั หรือคํานวณหาได จากกราฟความสัมพนั ธระหวา งกระแสและแรงดันของไดโอด ในรูปท่ี 5.6 เปนการหาคา ความ ตานทาน rD ซ่ึงกค็ อื คา ความชันของกราฟคณุ ลกั ษณะทางดานไบแอสตรงดังสมการ rD VF VF 1 VF 2 (5.1) I F IF1 IF2 สาขาวิชาวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 168
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี ตวั อยา งที่ 5.2 จงหาคา กระแสทีไ่ หลในวงจรไดโอดโดยใชแบบจาํ ลองแบบเสน ตรงยอ ย (PWL) จากรปู VD0 0.65 โวลตดงั นนั้ หาความตานทาน rD ไดจ าก rD VF 0.9V 0.65V 20.8 I F 12mA 0mA จากนน้ั ใชแบบจาํ ลองแบบ PWL แทนไดโอดในวงจรจะได สมมุติวาไดโอด “on” จากน้ันหาสมมหารวงรอบแรงดนั KVL จะได VDD IdR VD0 IdrD 2.0 Id 1000 0.65 Id 20.8 จะได Id 1.32 mA ซง่ึ ใกลเ คยี งกับคา 1.3 mA ทค่ี าํ นวณไดจ ากแบบจาํ ลองแบบแรงดันตกครอ มคงที่ในตัวอยางท่ี 5.1 สาขาวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 169
เอกสารประกอบการสอนวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1 โดย อาจารย์ ดร. ระวี พรหมหลวงศรี 5.3 ความตานทานในตวั ไดโอด ความตานทานในตัวไดโอดแบงตามชนิดของแรงดันท่ีใหกับไดโอดซึ่งแยกออกเปน ความ ตานทานไฟกระแสตรงหรอื ความตานทานสถิตและความตา นทานไฟสลับหรอื ความตานทานพลวตั 5.3.1 ความตานทานทางไฟตรงหรอื ความตา นทานสถิต (Static) เนอ่ื งจากคณุ ลกั ษณะแรงดนั และกระแสของโอดไมเ ปน ลักษณะเชงิ เสน ดงั น้ันความ ตานทานของไดโอดซึ่งเปนความชันของกราฟจึงไมคงที่ จากฎของโอหมจะไดความตานทานไฟ กระแสตรง ณ จุดทาํ งาน ขณะท่ไี มมีสญั ญาณอืน่ ไดเขามาเปน RDC VD (5.2) ID ความตา นทานไฟกระแสตรงหรอื ความตา นทานสถติ ของไดโอดตวั เดยี วกนั อาจจะไมเทากันก็ได ถา จุดทาํ งานไฟกระแสตรงเปล่ยี นไป ซึ่งอาจะเกิดจากคา แรงดนั ไฟตรงครอมไดโอดเปลย่ี นหรอื โหลดของ วงจรไดโอดเปล่ยี น รูปท่ี 5.7 กราฟคณุ สมบตั ขิ องไดโอดในทางปฏิบตั ิ ในกรณที จี่ ุดทํางานเล่ือนไปทางดานที่กระแสมากขึ้นจะทําใหคาความตานทานไฟกระแสตรงลดลง เพราะเมอ่ื คา VD,ID เพมิ่ ขนึ้ ความชันของกราฟกจ็ ะเพิ่มขน้ึ ตามไปดวย ทาํ ใหค า ความตา นทาน RDC ลดลง บรษิ ทั ผูผลิตไดโอดจะใหขอมูลท่ีท่เี ปน คาแรงดนั ไบแอสตรงสูงสุด VF max และกระแสไบอสั สาขาวชิ าวศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์ คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 170
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396