9 ดูจังหวะ ของการประชุม ทุกครั้งที่เรานำเสนอ ความคิดเห็นในที่ประชุม ต้องคอยดูว่าที่ประชุมสนใจไหม เราควรจะ พูดจนจบ ตามที่มีข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ตั้งใจไว้หรือไม่ แม้ว่าจะเป็นเจตนาดีเพียงใด แต่มันจะ เป็นการพูดที่ไร้ค่าถ้าไม่มีผู้ฟัง การได้ยินไม่ใช่การฟังครับ และเราไม่ควรพูดเมื่อ คนไม่อยากฟัง ยกเว้นกรณีที่ต้องการนำเสนอข้อมูลสำคัญเพื่อให้เป็นบันทึกในการประชุม ถ้าเป็นกรณีนี้ คนไม่ ฟังก็ต้องพูดครับ หลายครั้งที่ผมเจอบางคนพูดโดยไม่สนใจว่าเรื่องที่พูดนั้นมีคนสนใจฟังหรือไม่ น่าเห็นใจ มากครับ ผู้ร่วมประชุมบางคนก็ก้มหน้าเขี่ยโทรศัพท์ บางคนก็คุยกันบ้าง ไม่มีคนฟังก็ยังพูด บาง คนพูดจนเลยเวลาประชุมก็ยังมี เรื่องนี้สำคัญมากครับ “การได้ยินไม่ใช่การฟังครับ และเราไม่ควรพูดเมื่อ คนไม่อยากฟัง วิธีที่ใช้ได้ดี ในเรื่องของ การดูจังหวะ ว่าควรพูดต่อ ขยายความหรือย่อสรุป อีกอย่างคือ ให้สังเกต ท่าทางประธาน ก็จะช่วยให้ รู้ว่าแค่ไหนที่เหมาะสม ควรต่อ หรือ ควรจบ เพราะประธานส่วนใหญ่ มีประสบการณ์ในการควบคุมการประชุมให้ได้เป้าหมาย ไม่นอก เรื่อง และใช้เวลา อย่างมีประสิทธิภาพ 104
19 พูด สด สัมภาษณ์ สด อย่างมืออาชีพ การให้สัมภาษณ์สด ควรมี ข้อตกลงเรื่อง ขอบเขตของคำถาม และเป้าหมายที่ต้องการ รวมทั้งรายละเอียด อื่นๆ เช่นระยะเวลาสัมภาษณ์ และช่องทางที่ใช้เผยแพร่ 105
ผู้ให้สัมภาษณ์ควรนำข้อมูลมาเตรียมโครงเรื่อง เพื่อใชัในการควบคุมทิศทางและได้ผล ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ควรเตรียมอย่างน้อยสามส่วน คือโครงเรื่อง (Plot) ตัวอย่างดีๆ และ การจบ ถ้ามีเวลาเตรียม คำคมสวยๆไว้ จะมีประโยชน์มาก การให้สัมภาษณ์ ออกสื่อ สด เป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องระวังคำ เหยียด คำไม่สุภาพ ข้อความที่สร้างความเกลียดชัง และการให้ข้อมูล ที่เป็นเท็จ เพราะถ้าพูดออก ไปแล้ว จะไปคว้าคำพูดกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่มีปุ่ม delete จะลบก็ไม่ได้ ไม่มีปุ่ม unsent แบบที่ทำกันได้ใน app Line “ควรเตรียม อย่างน้อยสามส่วน คือโครงเรื่อง (Plot) ตัวอย่างดีๆ และ การจบ” เวลามือลั่น ยังเอาคืนมาได้ แต่เผลอปาก คืนไม่ได้นะครับ ทุกวันนี้ แม้แต่การสัมภาษณ์ไม่สด เช่นรายการสัมภาษณ์เพื่อนำไปตัดต่อ ก็ต้องระวังมาก ครับ เพราะโลกโซเชี่ยล เขามักจะด่ากันก่อนจะค้นหาความจริง ถ้าเผื่อคลิปคำพูดแย่ๆของเรา หลุดออกไป ก็อาจจะดังเร็ว กว่าที่คาดไว้นะครับ การสัมภาษณ์ พูดคุยบนเวทีโดยมีวิทยากรหลายคน เป็นอีกรูปแบบที่นิยมจัดกันมาก ในช่วงนี้ วิธีการจัดงานแบบนี้คือให้วิทยากรมานั่งเรียงกัน สองสามคน และมีพิธีกรหนึ่งคน เป็นผู้ดำเนินรายการ หรือบางรายการมีพิธีกรสองคน โดยให้วิทยากรนั่งเรียงกันตรงกลางและ พิธีกรประกบซ้ายขวา การพูดบนเวทีที่มีองค์คณะคับคั่งแบบนี้ทำให้เราต้องเตรียมพูดด้วยการเล่าเรื่องแบบสั้น ที่สุด เตรียมเน้นเอาแต่คำที่โดน จริงๆ ข้อความและคำพวกนี้ต้องเตรียมไว้ครับ เพราะบางที เรา 106
คิดไม่ทัน เตรียมประโยคที่จะใช้ให้เหมาะสม ควรเตรียมเป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟัง คิดและติดตาม มากกว่าจะเป็นการอธิบายความให้ ผู้ฟัง เข้าใจ รู้เรื่องหรือซาบซึ้ง เพราะบนเวทีแบบนี้ มีเวลา จำกัดมากครับ เวลาที่อยู่บนเวทีแบบนี้ เราต้องมีสมาธิในการฟังมาก คือต้องฟังทั้งคำถามของพิธีกร และ ฟังความคิดของวิทยากรที่ร่วมรายการ เพราะเมื่อถึงคิวเรา จะได้มีการพูดเพื่อต่อเติมเรื่องที่น่า สนใจให้ขยายความหรือเปิดประเด็นเรื่องสำคัญที่อาจขาดหายไป ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ฟังเกิด ประโยชน์สูงสุด ปกติผมจะไม่ค่อยรับงานรูปแบบนี้ครับเพราะเราไม่สามารถใช้พลังของการพูดได้อย่างเต็ม ที่ แต่ทุกครั้งที่ไปงานแบบนี้ ก็ตั้งใจที่จะไปเพื่อร่วมกันสร้างเนื้อหาให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังให้มาก ที่สุด ผมเคยไปรายการนึง มีผู้ร่วมรายการ เป็นวิทยากร 3 คน นั่งเรียงหน้ากระดาน หลังจาก พิธีกรแนะนำวิทยากรทีละคนจนครบ พิธีกร ก็แจ้งว่ารอบแรกนี้ ขอให้พูดคนละ10 นาทีนะคะ แล้วเชิญวิทยากรพูดทีละคน ........ คำถามในใจของผมคือ นี่จะให้เราพูดกับใคร ถ้าให้พูดกับผู้ฟัง แล้วที่เหลือข้างๆนี่ มานั่ง เรียงกันทำไม แต่ถ้าจะให้พูดคุยกันกับวิทยากรทุกท่านบนเวที ก็ควรมานั่งคุยกันเลย ไม่ใช่ให้พูด ทีละคน นี่แหละครับ ที่ผมรู้สึกว่า การจัดแบบนี้ ไม่ค่อยจะได้ผล ลองนึกดูนะครับ ตอนถึงคิววิทยากรคนที่หนึ่งพูดกับผู้ฟัง วิทยากรคิวที่เหลือจะทำอะไร จะใช้เวลาว่างนั่งแคะเล็บ แอบเขี่ยโทรศัพท์ นั่งหน้าเมื่อย ก็ดู ไม่เหมาะ หรือถ้าจะให้นั่งยกไม้ยกมือ ทักทายแฟนคลับก็ทำไม่ได้ ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์ นี้ คำ แนะนำของผมคือ คือต้องฟัง ตั้งใจฟังครับ ถึงแม้วิทยากรจะพูดกับผู้ฟัง ไม่ได้พูดกับเรา แต่การฟัง อย่างตั้งใจ จะทำเราคิดประเด็นต่อเนื่องได้ เราอาจปรับเรื่องที่เตรียมมา เพื่อให้ต่อเนื่องหรือเพิ่มเติมกับวิทยากร คิวก่อนหน้าเรา และบางเรื่องที่ วิทยากรคิวก่อนเราได้พูดไปแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก การพูดบนเวทีที่จัดงานรูปแบบนี้ต้องการความยืดหยุ่นสูงมากครับ ผมอยากจะบอกผู้จัดให้เปลี่ยน รูปแบบ เป็นสองช่วง แทนที่จะไปนั่งเรียงกันเป็นพระอันดับ ลองมาจัดแบบนี้น่าจะดีกว่าครับคือ ช่วงแรก ให้เชิญทีละคน ยืนพูดกับผู้ฟัง เป็นการเปิดประเด็น พูดคนละ 15 นาทีก็ได้ แล้วในช่วงหลัง ก็มารวมตัว พูดคุยกัน บนเวที โดยมีพิธีกรเป็นคนนำสนทนา มาร่วมวงคุยกัน เหมือนนั่งคุยในร้านกาแฟ ไม่ต้องจัดเรียงลำดับพูดกันคนละรอบ 107
จัดแบบนี้ จะให้ผู้ฟัง ร่วมถาม ก็ทำได้ในช่วงนี้ ซึ่งคิดว่าน่าจะราบรื่น และได้อรรถรสกว่ามาก ผู้จัดงานที่เผลอมาอ่านตรงนี้ ก็ลองเอาไปปรับ รูปแบบน่าจะได้ผลดีกว่าที่ทำตามๆกันมานะครับ พูดถึงรายการเสวนาแบบนี้ แล้วทำให้คิดถึงการเป็นพิธีกร นักพูดเก่งๆอาจเป็นพิธีกรที่ไม่ โดดเด่นอะไร เพราะผู้ดำเนินรายการ หรือพิธีกร เป็นงานพูดที่ใช้ทักษะต่างจากการเป็นวิทยากร มากครับ นักพูดเก่งๆถ้าอยากจะเป็นพิธีกรที่ดี ก็ต้องฝึกการพูดแบบพิธีกร ผมเคยเป็นผู้ดำเนิน รายการทีวี เป็นรายการ แนวพัฒนาคุณภาพชีวิต ชื่อ คิดต่างสร้างปัญญา ตอนแรก เขาเชิญมา ได้ ไปออกรายการในฐานะวิทยากร สนุกมากครับ เราได้แสดงความคิดเห็น เล่าเรื่อง คนดูก็ชอบ ต่อ “หน้าที่ของพิธีกร คือถามแทนผู้ชมและส่งเสริมให้ผู้ร่วม รายการ พูด” มาทางสถานี เลยเชิญมาเป็น พิธีกร ประจำรายการ ตอนเป็นพิธีกรนี่คนละเรื่องเลยครับ เพราะ หน้าที่ของพิธีกร คือถามแทนผู้ชมและส่งเสริมให้ผู้ร่วมรายการ พูด ให้ความรู้ นำเสนอความคิด ให้มากที่สุด ผมได้รับเชิญเป็นผู้ร่วมรายการ ฐานะวิทยากรในรายการทีวีมาเยอะ เจอพิธีกรเก่งๆ เขาทำหน้าที่ สองอย่างนี้ ได้ดีมากๆ คือส่งคำถามให้เราได้ดี ส่งเสริมให้ผู้ร่วมรายการได้พูดและ ควบคุมจังหวะเวลาได้เยี่ยม พอเรามาเป็นพิธีกรเองคิดว่าเราก็น่าจะทำได้ แต่เมื่อได้เป็นพิธีกร จริงๆเราทำได้ไม่ดีเท่าเขาเลย เพราะเราต้องถามทั้งๆที่เรารู้ ต้องส่งเสริมผู้ร่วมรายการไม่ใช่มา แสดงความรู้ของเราเอง ถึงพิธีกรจะมีความรู้ ก็ไม่ควรพูด เพราะไม่ใช่หน้าที่ งานพิธีกรจึงเป็นอีกทักษะที่ต้องฝึกฝนครับ หลังจากการเป็นพิธีกรสักพัก ผมก็เปลี่ยน บทบาทใหม่ คือไปทำที่เราถนัด บางคนเรียกว่า ไปทำที่ชอบๆคือกลับไปเป็นวิทยากร แต่คราวนี้ เป็นแบบถาวร คือเป็นวิทยากรประจำรายการ แบบนี้ ลื่นไหล เลยครับ เพราะถัดกว่า พิธีกร ไม่ใช่คนที่แค่ เตรียมคำถาม แล้วก็ถามไปตามหัวข้อที่เตรียมมา แต่ต้องเป็นผู้ฟัง อย่างตั้งใจและสนับสนุนให้ผู้ร่วมรายการ ได้แสดงความรู้ ความคิด บางจังหวะ ยาว บางจังหวะ 108
สั้น บางครั้ง ต้องเปลี่ยนสู่ประเด็นใหม่ นอกจากการ ส่งเสริมให้ผู้ร่วมรายารนำเสนอและถามแทน ผู้ฟังแล้ว หน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมเวลา การสร้างอารมณ์ของรายการ เพื่อให้รายการ น่าสนใจเป็นอีกหนึ่งทักษะที่พิธีกรเก่งๆมีกัน ทุกคน รายการจะสนุก มีประโยชน์ หรือ หนักแน่นเข้มข้นเพียงใดขึ้นกับพิธีกร ครับ ผมคิดว่า พิธีกร เหมือนพ่อครัว รายการจะมีรสชาดแบบไหน อร่อยถูกปากแฟนรายการเพียงใด “พิธีกร ไม่ใช่คนที่แค่เตรียมคำถาม แล้วก็ถามไปตามหัวข้อ ที่เตรียมมา ” นอกจากเป็นความคิดและความสามารถของโปรดิวเซอร์แล้ว คนหน้าฉากอย่างพิธีกร มีความสำคัญมากเช่นกัน สังคมออนไลน์ วันนี้ มีทั้งพิธีกร และวิทยากร จัดรายการประจำและรายการไม่ประจำ ที่ นิยมกันมาก คือ You tube และ FB Live เพราะต้นทุนตำ่มาก แค่มีโทรศัพท์ ดีๆ และ อินเตอร์เนตแรงๆก็กลายเป็นเจ้าของสถานี กันได้แล้ว ในฐานะที่ผมLive เรื่องการศึกษามานานก็มีข้อแนะนำเพื่อผู้อ่านที่สนใจอยาก เป็นInfluencerอยากสร้างชุมชนของตนเอง หรือแค่อยากจัดรายการ จะได้นำไปใช้ 1 การ Live ทุกครั้งควรมี การบอกล่วงหน้า ว่าจะพูดประเด็นอะไร ผู้ฟังจะได้อะไรจากการ ฟังและเปิดโอกาสให้แสดงความเห็น หรือคำถามล่วงหน้า 2 ควรมีการกำหนด ช่วง เวลาที่แน่นอน รายการประจำ จะช่วยให้มีผู้ติดตามมากกว่า รายการผลุบๆโผล่ๆ 3 หนังสือ และ หลักสูตร ในต่างประเทศ แนะนำว่า การlive ไม่ควรเกินครั้งละ 30นาที แต่จาก ประสบการณ์ที่ผม live สำหรับบ้านเรา อาจยาวกว่านั้นได้ บ้างครับ 109
4 ควรมีบันทึก และนำไปตัดต่อ ใส่ ภาพ คลิป และตัวหนังสือ รวมทั้งเสียงต่างๆ เพื่อทำเป็น คลิปไวรอล (คลิปที่คนแชร์กันมาก มีคนชมกันเยอะ) 5สร้างสีสัน โดยการมีผู้ร่วมรายการ เป็นวิทยากร มาแบ่งปันความรู้ หรือเป็นพิธีกรมา ช่วย ดำเนินรายการก็ได้ทั้งสองแบบ 6สร้าง Engagement โดย ทักทายผู้เข้ามาชม ตอบคำถามที่ผู้ชมส่งเข้ามาเป็นระยะ มีของรางวัลแจก และอาจเชิญผู้ชม มาร่วมชมสด ในห้องออกอากาศ ที่เล่าให้ฟังทั้ง6 ข้อนี้ เป็นวิธี ที่ควรทำนะครับ สำหรับตัวผมเองก็ทำไม่ครบตามนี้ หรอกครับ “ใครที่สามารถสร้างชุมชน บน Social network สำเร็จก็จะมี รายได้เข้ามาหลายทาง ” การพูดคุย เล่าเรื่อง วางโครงเรื่อง เกริ่น และจบในการLive ทั้งหมดโดยใช้วิธีการ ของ Talk like a pro จะทำให้รายการสนุกน่าติดตามและสร้างความประทับใจ ผมใช้วิธีแบบนี้ จัด รายการ จนตอนนี้มีผู้ติดตามคึกคัก ไม่มีเหงา ปัจจุบัน ใครที่สามารถสร้างชุมชน บน Social network สำเร็จก็จะมีรายได้เข้ามาหลายทาง เช่น ขายโฆษณา เป็น Presenter ขายสินค้า หรือบริการ ชุมชนคนชอบเที่ยว ก็ขายทัวร์ ชุมชนคนชอบถ่ายภาพ ก็ จัดทริป ถ่ายภาพ ชุมชนคนอยากสวย ก็ขายผลิตภัณฑ์เสริมสวย ชุมชนคนอยากผอม ก็ขาย โฆษณา งานวิ่ง บริการลดความอ้วน เพราะสังคมวันนี้ เป็นสังคมที่ข้อมูลล้น คนจึงไม่เชื่อโฆษณา แต่เขาจะเชื่อคนที่แบ่งปัน คนที่ ช่วยแก้ปัญหาให้เขา คนพวกนี้คือคนที่เขาเชื่อครับ เรียกกันว่า เป็น Influencer คือผู้ที่ มีผลต่อ การตัดสินใจ ของคนในชุมชน 110
เพราะสังคมวันนี้ นอกจาก Influencer you tuber แล้วยังมีอาชีพใหม่ๆ จากการ ใช้ความรู้ ความสามารถ ในการพูดและโพสต์ มากมาย กลายเป็น เป็นสังคมที่ข้อมูลล้น ธุรกิจทำเงิน เรียกรวมๆกันว่า เป็น Knowledge business ครับ ประมาณการ รายได้ รวมทั่วโลก สูงถึงวันละ 60,000ล้านบาท คนจึงไม่เชื่อโฆษณา แต่ เขาจะเชื่อคนที่แบ่งปัน ตอนนี้ มหาวิทยาลัยดังๆทั่วโลก วงการแฟชั่น ดารา นักร้อง นัก ดนตรี นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย แพทย์ ต่างเข้ามาสู่ธุรกิจนี้กัน มากขึ้น เรื่อยๆแล้วครับ อุปสรรคอย่างหนึ่งของนักพูดที่ต้องพูดสด คือเรื่องของการติด คำ เป็นคำที่ไม่ตั้งใจ แต่ก็พูดจนติด ถ้าเราอัดเป็นไฟล์ ก็นำมาตัดต่อได้ แต่ถ้าสด มันตัดต่อไม่ได้ ดัง นั้นเราจะเห็นว่า ยูทุปเบอร์บางคน อัดรายการออกอากาศ พูดดีมีคน ชอบเยอะ แต่ไม่ถนัดในการพูดสด คนทั่วไปจะติดบางคำ โดยไม่รู้ตัวคือพูดประโยคสองประโยคก็ จะมีคำนั้นออกมาด้วย ดังนั้นในการอบรมของชมรมฝึกพูด สมาคมฝึก พูด จะมีการปรับแก้ จุดนี้ เพื่อพัฒนาการพูด ผมมีโอกาสเข้าอบรมการพูดหลายครั้งและพบว่า เรื่องที่เขา เคร่งครัดกันที่สุดเรื่องนึงคือ เรื่อง คำติด นี่แหละครับ มีการฝึกจริงจัง เพื่อให้เลิก คำติด ที่มักพูดออกมาทั้งๆที่ไม่ได้มีความหมาย อะไร แต่ละคนมีการติดคำต่างกันนะครับ และมักจะไม่รู้ตัว พอมาชมรมฝึก พูด ก็จะได้รับการฝึกฝน มีคนนั่งนับเลยครับว่าในการพูด 10นาที เรา หลุดคำพวกนี้มีกี่คำ และก็ค่อยๆฝึกกันไปจนหายติดคำ บางคนติดคำว่า อ้า คือจะอ้าก่อนพูด “อ้า ผมคิดว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะ.......อ้า มุ่งมั่น อดทน จน ....อ้า...... จนสำเร็จ .......” กว่าจะพูดจบก็ใช้ไปหลาย อ้า บางคน ออกแนวฝรั่ง ไม่อ้าครับแต่ เอิ่ม “เอิ่ม ที่เข้ามาร่วมฝึกการพูด เพราะ .... เอิ่ม คิดว่าการพูดนี้ จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้ งานของ ดิฉัน ..... เอิ่ม...” บางคนติดคำลงท้าย เช่น “อะไรแบบนี้ “คือพูดอะไรก็เผลอ ลงท้าย “อะไรแบบนี้” 111
คนทั่วไปจะติดบางคำ “ เรื่องนี้จำเป็นมากนะคะเพราะมัน เป็นหัวใจของ การจัดงาน โดยไม่รู้ตัว อะไรแบบนี้ “ คือพูดประโยคสอง “ถ้าเรา อยากสำเร็จ ผมคิดว่าเราต้องมีความมุ่งมั่น อะไรแบบนี้” ประโยคก็จะมีคำนั้น คือถ้ามันไม่เยอะจนเป็นภาระของผู้ฟัง ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าติดจน ออกมาด้วย ออกมาแทบตลอดการพูดมันก็เสียบุคลิก อะไรแบบนี้ นะครับ ช่วงหลังมานี้ ผมสังเกตว่าพิธีกรตามงานที่เรียกกันว่า MC ( Master of ceremonies )โดยเฉพาะ บรรดาพริตตี้ ที่พูดในงานจะ ติดคำว่า “นั่นเอง” คือพูดถึงใคร พูดอะไรๆก็ต่อด้วยคำว่า “นั่นเอง” อีกเรื่องคือ มีการใช้ คำว่า “นะคะ” เยอะมาก ทั้งๆที่ไม่ได้จบ ประโยค และใช้คำว่า “นั่นเอง” ที่ไม่ได้มีความหมายอะไร “ อ่า ...สำหรับท่านที่เดินผ่านมา อย่าผ่านไป นะคะ แวะนะคะ มาเยี่ยมชมบูธของเรานั่นเอง เรามีของแจกนะคะ สำหรับทุกท่านนะ คะ “ เราไม่ต้อง นะคะ ทุกประโยคก็น่าจะฟังรื่นกว่า การติดคำ แก้ได้ครับ ต้องมีผู้ช่วยสังเกตุและเราต้องฝึกตัวเอง ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรมาก แต่ก็จะช่วยให้เราพัฒนาการ พูดได้ครับ 112
20 กฏ กติกา มารยาท การพูดในที่สาธารณะเป็นเหมือนดาบ คือยิ่งพูดเก่ง ดาบนั้นยิ่งก็ยิ่งคม แต่ผู้มีอาวุธที่ขาดสติเป็นอันตรายต่อผู้อื่นและตนเอง การพูดที่ไร้การควบคุมเจึงป็นอันตรายมาก ดังนั้นวิทยากรมืออาชีพต้องรู้และฝึกใช้ กฏ กติกา มรรยาท ของนักสื่อสาร ให้คล่องเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ 113
พูดอย่างมืออาชีพ คือ กฏกติกามารยาทของผู้สื่อสาร 10 ข้อ พูด ที่มีประโยชน์ ต่อผู้ ฟัง 1 อย่าทำให้ผู้ฟังเสียเวลา เกือบทุกงานที่ผมได้รับเชิญ ไปเป็นวิทยากร จะต้องมีพิธีเปิดเป็น ขั้นเป็นตอน และขั้นตอนที่สำคัญมาก คือก่อนที่จะขึ้นพูด ต้องมี ประธานในพิธี มาพูดกล่าวเปิดงาน ซึ่งเป็นพิธีการปกติ ที่บ้านเราทำ กันมานานมาก จนชิน และที่ชินกว่านั้นคือ ประธานมักจะมาสาย จน บางครั้ง วิทยากรต้องพูดไปก่อน พอประธานมาถึง วิทยากรก็ลงจาก เวที เพื่อให้ท่านประธานกล่าว เปิดงาน การกล่าวเปิดงานเป็นโอกาส ที่ดีมากๆของประธาน ถ้ารู้จักพูดอย่างมืออาชีพ คือพูดเรื่องที่มี ประโยชน์ต่อผู้ฟัง แต่ที่ผมเจอบ่อยๆมักจะมาแนวนี้ “ต้องขอโทษที่มาสาย เมื่อเช้าผมต้องไปงานมหกรรมผ้าทอ ครับ เป็นงานที่ท่านผู้ว่า และผู้ใหญ่หลายท่าน มากัน เราเป็นผู้บริหาร มหาวิทยาลัยก็เลยจำเป็น ความจริงแล้วผมเห็นความสำคัญของการพัฒนาอาจารย์มาก เพราะเรากำลังก้าวสู่สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง ในสมัยที่ผม เรียน...................... แล้วท่านก็ขอบคุณ และขอให้งานประสบความ สำเร็จ “ ประมาณนี้แหละครับ ข้อแนะนำ ของผมคือ 1 การขอโทษ นั้นเป็นเรื่องดี แต่จะดีกว่านั้นถ้ามาให้ตรงเวลา ถ้าติดงานจริงๆ ก็ให้คนอื่นเปิดงานแทนได้ เพราะการเปิดงาน ไม่ได้ใช้พลังอเวนเจอร์ หรือ ใช้สติปัญญาใน การแก้สมการอินทีเกรตยากๆอะไรเลย แค่พูดได้ ก็เปิดงานได้แล้วครับ 2 เมื่อมาสาย ก็ขอโทษสั้นๆแล้วเริ่มพูดเรื่องราวที่สร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์ ดีกว่าการเล่าเรื่องภาระกิจของท่านซึ่งไม่ได้เกิด ประโยชน์ต่อผู้ฟัง เพราะไม่ได้สร้างความรู้ ความสุข หรือให้ความหวัง ใดๆให้ผู้ฟังเลย แต่กลับทำให้ผู้ฟังเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกด้วย การจัด งานแบบนี้ ในบ้านเรา ผมเห็นมาหลายครั้ง ที่ผู้ฟังต้องนั่งรอประธาน และผู้ดำเนินรายการก็ขาดความยืดหยุ่น ผลคือก็ต้องรอกันไป 114
เมื่อมาสาย ก็ขอโทษ บางงาน ประธานก็มาช้า พูดก็นาน เพราะต้องอ้างงานเยอะแยะ สั้นๆ เท่านั้นยังไม่พอนะครับ พอประธานพูดจบ ก็ยังต้องมารวมตัวถ่ายรูป กัน ให้เป็นที่ระทึกกันอีก แล้วท่านประธานก็จากพวกเราไปด้วยภาระ แล้วเริ่มพูดเรื่องราวที่ กิจมหาศาล คาดว่าท่านอาจต้องรีบไปกล่าวคำขอโทษในการเปิดอีก สร้างสรรค์ และเกิด งานก็ได้ครับ หลังจากนั้นพิธีกรก็กล่าวประวัติวิทยากรยืดยาว ตั้งแต่ ประโยชน์ การศึกษาชั้นมัธยมจนจบปอเอก รวมผลงานต่างๆอีกมากมาย ยิ่งพูด นานผู้ฟังก็ยิ่งเบื่อ แล้วพิธีกร ก็จะจบลงตรงที่ จะดีกว่าเล่าเรื่องภาระ กิจของท่านซึ่งไม่ได้เกิด “เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เชิญพบกับ อาจารย์ ............” นั่น ประโยชน์ต่อผู้ฟัง แหละครับ เสียเวลาสุดๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ เหตการณ์แบบนี้ เราควรมีบัตร แนะนำ ตัวเตรียมไว้ให้พิธีกรอ่านเฉพาะงาน มีทั้งแบบสั้น แบบยาวและอาจ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับงาน เช่น ถ้าผู้ฟังเป็น นักศึกษา ก็แนะนำ แบบนึง ผู้ฟังเป็นผู้บริหารก็อาจใช้การแนะนำวิทยากรอีกแบบให้ เหมาะสมและถ้าจะดีกว่านั้น อาจทำคลิปสั้นๆเก็บไว้ นำติดตัวไปเผื่อ ให้ฉายขึ้นจอ เพื่อแนะนำตัว หรือทำบันทึกการพูดสั้นๆที่มีประโยชน์ คลิปสั้นๆพวกนี้ อาจเอาไว้ใช้ในงานเวลาที่ผู้ฟังทยอยกันเข้ามา หรือต้องรอคนมาช้า แทนที่คนมาตรงเวลาจะนั่งรอเปล่าๆ ระหว่างที่รอ คนทยอยกันเข้ามา ก็เปิดคลิปให้ชมกันเพลินๆ บางทีอาจใช้ได้ตอน รอประธานมาเปิดงานนี่แหละครับ 2 วิทยากร ต้องตรงเวลา เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้กันบ้างไหม กำหนด เวลาบรรยาย 10.00-12.00 เรื่อง “ตรงเวลา เพื่ออนาคตประเทศไทย” แต่ประธานมาสายนิดๆ และกล่าวเปิดงานยาวไปหน่อย กว่าวิทยากร จะได้ขึ้นเวที ปาเข้าไป เกือบ 11 โมง หลายท่านคงรู้สึกคุ้นๆ ผมก็เคยเจอแบบนี้ครับ แต่ผู้จัดก็ใจดี กลัวเราเตรียมเนื้อหามาเยอะ เกรงว่าเราจะพูดไม่ทัน แนะนำเราว่า อาจารย์พูดเลยเวลาไป ก็ได้นะคะ จะได้ฟังกันเต็มๆ ถ้าเจอแบบนี้ ผมจะบอกว่า ไม่เป็นไรครับ ขอจบ12.00 ตามกำหนด การรักษาเวลา เป็นเรื่องสำคัญมากของนักพูดมืออาชีพ เพราะเราไม่รู้ว่า ผู้ฟังจะมีงานต่อที่ไหน จะนัดใครไว้รึเปล่า 115
การรักษาเวลา เป็นเรื่อง การจัดงานบรรยายในบ้านเรา ผู้ฟังส่วนหนึ่งมักจะมาสาย และผู้ สำคัญมากๆของนักพูด จัดก็มักจะรอ คือจะรอให้คนฟังมากันเยอะๆทั้งๆที่เลยกำหนดเวลา มืออาชีพ อาจจะกลัวว่า คนน้อยแล้ววิทยากร จะพูดได้ไม่สนุก ถ้าผู้จัดมา ปรึกษาว่า รอสักหน่อยดีไหมครับ ผมมักจะบอกเขาว่า ไม่เป็นไรครับ เพราะเราไม่รู้ว่า ผู้ฟังจะ มีงานต่อที่ไหน จะนัด เกรงใจคนที่ตรงเวลา ใครไว้รึเปล่า ผมขอเริ่มเลยครับ ส่วนใครมาช้าก็ทยอยกันเข้ามาได้ ไม่ เป็นการรบกวนอะไร เรื่องแบบนี้ จะไม่ค่อย เจอกัน ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะ เขาถือว่า คนมาตรงเวลา ก็ต้องได้สิทธิ ถ้าให้คนตรงเวลาเสียสิทธิ ต่อไปคนก็จะไม่เห็นคุณค่าของการตรงเวลา บางรายการเขากำหนดเลยว่า ให้คนฟัง เข้าห้องได้ตั้งแต่ 9.00 และปิดห้อง 9.45 วิทยากร เริ่มบรรยาย 10.00 ผมเคยไป ตอนห้องประชุมปิดแล้ว ถึงแม้วิทยากรยังไม่ขึ้น บรรยาย เขาก็ไม่ให้เข้าจริงๆครับ ใครมาช้าก็รอไว้ฟังคราวต่อไป 3 กาละเทศะ หลายครั้งที่ผมเจอ คนมีความรู้มากมาย พูดเก่ง แต่ไม่พูดไม่ดูเวลา ตัวอย่างในเรื่องนี้มีเยอะมากในสังคมทุกวันนี้ ผมเจออาจารย์ท่านนึง ไม่เจอกันมาเมื่อสองสามปีแล้ว เจอหน้า เขา ผมก็ดีใจ เขาก็เข้ามาทักทายด้วยความดีใจ “สวัสดีครับ อาจารย์วิริยะ โหดีใจเจออาจารย์ อาจารย์สบายดี นะครับ” ผมยังไม่ทันตอบอะไร ท่านก็ลุยต่อทันที “เนี่ย ตอนนี้ ผมไปเปิดสอนจัดดอกไม้ โห คนมาเรียนกันเยอะ เลยครับ รับแทบไม่ไหว ผมต้องเทรนวิทยากร ช่วยงานเยอะเลยครับ” “ผมได้มาจากญี่ปุ่น เอามาผสมกับของไทยนะครับ มันสุดยอดจริงๆ แหมพูดแล้วขนลุก” ผมยังไม่ทันขนลุกตาม แกก็ลุยต่อ ไม่ให้ผมตั้งตัว 116
เขาถือว่า คนมาตรง “ตอนนี้ผมเลยเริ่มสร้างแบรนด์ เซตเป็น แฟรนไชด์เลยครับ เวลา ก็ต้องได้สิทธิ กะว่าในปีนี้ จะเอาสักสิบสาขา แหม คนติดต่อขอเปิดกันเข้ามา เกินเป้าน่ะครับ ถ้าให้คนตรงเวลาเสีย นึกไม่ถึงจริงๆ เนี่ยดีใจมากเลยที่เจอ อาจารย์ อาจารย์สบายดี สิทธิ นะครับ “ ผมตอบได้แค่ “สบายดี ครับ” ต่อไปคนก็จะ ไม่เห็น ท่านก็ คุยต่อทันที คุณค่า ของการตรงเวลา “ผมอยากให้อาจารย์ไปดูจริงๆ ที่ทำอยู่นี่ ผมใช้ แอพพลิเคชัน จากญี่ปุ่น มาช่วยการฝึกอบรมด้วยครับ คนชอบกันมาก แต่ติดตรงที่เราต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ เขาเป็น รายปี กำลังคิดว่า จะเอาพวกน้องมือดีๆมาพัฒนากันเอง อาจารย์ ว่าดีไหมครับ” ผมไม่มีทางเลือก นอกจากตอบว่า “ดีครับ” “ขอบคุณอาจารย์มากเลยครับ ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ แหม แต่ อาจารย์ว่าดี แบบนี้ ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย เนี่ย......... “ ก่อนที่ท่านจะเล่าเรื่องราวอะไรต่อ ผมต้องรีบหาทางออกละครับ “ต้องขอโทษจริงๆ เดี๋ยวผมต้องไปเตรียม ขึ้นเวทีนะครับ ยินดีด้วยนะครับ กับความสำเร็จ ขอบคุณมากครับที่มาทักทาย” การพูดคุย ที่ไม่มีกาละเทศะ เป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงครับ ในกรณีนี้ ถ้าท่านอยากจะได้คำแนะนำ ก็น่าจะขึ้นต้นด้วย เรื่อง ของท่านเพียงเล็กน้อย แล้วต่อด้วยคำพูดเช่น“ผมอยากขอคำปรึกษา อาจารย์จะพอมีเวลาไหมครับ”แบบนี้ น่าจะราบรื่นกว่า แต่ถ้าเพียงแค่ อยาก จะพูด โดยไม่สนใจผู้ฟังว่าเขาพร้อมไหม เขาสะดวกไหม แบบนี้ จะทำให้กลายเป็น ผลเสียมากกว่าครับ 117
การพูดคุย ที่ไม่มีกาละ คุณวิรัตน์ เป็นเพื่อนรุ่นน้อง เทศะ หน้าตาหล่อ อารมณ์ดี มีทัศนะคติดีสุดๆ เกินมาตรฐาน เรื่องอะไร ที่คนอื่นมองว่าร้าย เป็นเรื่องที่ควรหลีก คุณวิรัตน์ จะมองเป็นบวกได้เสมอ เลี่ยง เขาเป็นตัวอย่างที่ดีแบบเหลือเชื่อ ของคนที่มองโลกแง่บวก ผมชอบคุยกับคุณวิรัตน์ เพราะได้ยิ้ม ได้ ขำ ทุกครั้งที่คุยกัน คุณวิรัตน์ เป็นเจ้าของกิจการร้านขายหนังสือที่ครั้งหนึ่งเคย รุ่งเรืองที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ แต่โชคร้าย ร้านถูกไฟไหม้ และกิจการแย่ลงเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องปิดไป “โหพี่ ตอนนั้นมันก็แย่นะ แต่ก็ดี ถ้าไม่ถูกไฟไหม้ ผมก็ไม่ได้ไปเรียนที่อินเดียหรอก เพราะพ่อคงให้เรียนที่นี่ จะได้ทำร้านหนังสือต่อ ผมจบจากอินเดีย เลยได้มาทำ ผ้าไหมนี่แหละ โชคดีจริงๆ” เรื่องจริงไม่อิงนิยายครับ ต่อมาผมได้ข่าว โรงงานผ้าไหม เขาถูกไฟไหม้ คุณวิรัตน์ซึ่งปกติจะเล่นกอล์ฟกันเป็นประจำ เลยหายจากวงการ ไม่เจอกันนาน จนวันนึงมาเจอโดยบังเอิญ ที่ซุปเปอร์มาเกต คุณวิรัตน์ ตัวดำ ผอม ไปมาก หลังจากทักทายกันเขาก็เล่าว่า “ โหพี่ แทบหมดตัว แต่ก็ดี เนี่ยพี่ดูผมตอนนี้สิ เมื่อก่อนดำเพราะ เล่นกอล์ฟ ตอนนี้ผมดำ เพราะไปทำสวน เนี่ยลดนำ้หนักไปเยอะ ไม่ต้อง เสียค่าฟิตเนส กลางคืนก็ไม่ต้องเที่ยว งานสวนมันหนัก คำ่มาหลับสนิทเลย พี่ ไม่เปลืองค่าเหล้า .....” 118
ถ้าเพียงแค่อยาก จะพูด ผมไปเจอ คุณวิรัตน์ ที่งานศพ เพื่อน เขาก็มานั่งคุย โดยไม่สนใจผู้ฟังว่าเขา “คนเราก็ ต้องตายกันทุกคนนะพี่ แต่ไอ้นี่มันตายดี พร้อมไหม พี่รู้ปะ มันตายคา สนามแบต ฟิตสุดๆ ก่อนตายมันไปนั่งเล่นกีต้าร์บ้านผม แหมยังกะรู้ ...........” เขาสะดวกไหม ขนาดงานศพเพื่อน ยังมีอารมณ์ขำ บางทีเรื่องของกาละเทศะก็ จำเป็นนะครับ คุยกับเขา เนี่ย ผมต้องนั่งกลั้นหัวเราะตลอดงาน แบบนี้จะทำให้กลาย 3 ห้ามต่อว่าผู้ฟัง เป็น ผลเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ให้ใช้ความอดทนและสติ อาจมีแค่ผู้ฟัง ครับ บางคน ที่คว้าโทรศัพท์ มาคุย แต่ยังมีคนอีก499 คนที่กำลังฟังเรา ถ้า เราแค่ใช้สายตามอง ในใจตำหนิ ทุกคนจะหันไปสนใจ ผู้ฟังคนนั้น และจะทำให้เขากลายเป็นคนผิดทันที บางทีเขาอาจลืมปิดเสียง บางที อาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คิดแบบนี้ ก็จะสบายใจ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สมัยที่ผมบรรยายให้นักเรียนฟัง ต้องเจอกับ สภาพแบบนี้บ่อยๆ บางทีก็จับกลุ่มคุยกันเลยก็มีแต่เรามีวิธีจัดการ ความวุ่นวายพวกนี้ได้ โดยใช้เทคนิคการสร้างความร่วมมือเพื่อ ควบคุมกลุ่มผู้ฟังได้ครับ 4 หลีกเลี่ยงการ พูดเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา ผมเคยฟังวิทยากรหลายท่าน มีทั้งความรู้และประสบการณ์ แต่ พูดบนเวที คนฟังไม่ประทับใจ เพราะท่านพูด เรื่องที่ท่านอยากพูด แต่ อาจลืมไปว่าเรื่องที่พูดนั้นไม่เกี่ยวกับผู้ฟัง บางท่านเล่าเรื่องความสำเร็จของลูก บางท่านเล่าเรื่องความ สำเร็จในการงานของตนเอง บางท่านเล่าเรื่องความหลัง ระลึกอดีต ถึงแม้ว่าเรื่องจะน่าสนใจ แต่ควรให้เรื่องที่เล่า ส่งเสริมเป้าหมาย ของการพูด อย่าเล่าเพียงเพราะเรารู้สึกภูมิใจ เลยอดไม่ได้ ที่จะเล่าแต่ ถ้าอยากเล่าจริงๆก็ขอให้โดยผูกโยงเรื่องเหล่านั้น เข้าในประเด็น เพื่อ ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง การเล่าเรื่องราวความสำเร็จของผู้พูดมากๆ อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าวิทยากรขี้โม้ โอ้อวด ก็ได้ ทั้งๆที่เรื่องที่พูดนั้น เป็นเรื่องจริง 119
อาจมีแค่ผู้ฟังบางคน 5 อย่าพูด เรื่องเสียหาย เรื่องร้ายๆ ของบุคคลที่สาม ในการเล่าเรื่องบางครั้งเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงคนที่ทำ ที่คว้าโทรศัพท์ มาคุย เรื่องเสียหาย ทำอะไรแย่ๆ หรือทำเรื่องน่าละอาย การเล่าเรื่องเหล่านี้ เราควรหลีกเลี่ยง วิธีง่ายๆคืออย่าระบุชื่อหรือคำที่ระบุตัวตนของเขา แต่ คนอีก499 คนกำลัง เพราะการพูดที่ทำให้บุคคลที่สามได้รับความเสียหายถึงแม้จะเป็น ฟังเรา เรื่องจริง การพูดหรือโพสต์ ลักษณะนี้ มีความผิด ฐานหมิ่นประมาท แม้จะพูดถึงผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็มีความผิดครับ เราจะมาอ้างว่า พูด เรื่องจริง ไม่ได้หมิ่นอะไร แต่ตามกฏหมาย แม้จะพูดเรื่องจริงก็เข้าข่าย หมิ่นประมาทได้ครับ ถ้าเรื่องที่พูดไปนั้นทำให้บุคคลที่สามเสียหาย ได้ รับการเกลียดชัง หรือทำให้เขาอับอาย ผู้พูดก็มีความผิด เรื่องนี้ ยกเว้นในกรณี ที่เป็นการพูดตามหน้าที่ เช่นเป็นผู้อ่านข่าวที่ต้องพูด รายงานข่าว เป็นทนายที่ต้องพูดในศาล แต่ถ้าเอาไปโพสต์หรือพูด โดยไม่มีหน้าที่ เป็นความผิดนะครับ 6 อย่าเล่าความลับของผู้อื่น เรื่องความลับของผู้อื่น ซึ่งถึงแม้ว่าเรารู้ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าไม่ได้มีหน้าที่ เราจะเอามาเล่าให้ผู้อื่นเสียหายไม่ได้ครับ เป็นความผิดตามกฏหมายมีโทษถึงจำคุก โดยเฉพาะ คนที่มี อาชีพซึ่งผู้ใช้บริการต้องให้ข้อมูลส่วน เช่น แพทย์ เภสัชกร นักบัญชี ทนาย ยิ่งต้องระวัง เราจะเอาเรื่องส่วนตัวของเขาไปพูดหรือโพสต์ต่อ ไม่ได้ครับ 7 อย่าพูด เหยียด ดูถูก หรือนำ เรื่องความเชื่อส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องศาสนา เพศ ผิว มีนักพูด ระดับอาจารย์ท่านนึง เป็นนักพูดชั้นนำของประเทศ ผม ชอบอ่านหนังสือและชอบฟังท่านพูด ก็ได้แนวทางจากท่านมาเยอะครับ วันนึงท่านพูดเรื่องปัญหาชายแดนใต้ มีคำพูดตอนหนึ่ง ว่า “.... ปราบมุสลิมก็ใช้นำ้มันหมู................” ความจริงท่านพูดเรื่องต่างๆ เยอะแยะ ส่วนประโยคนี้ มีเจตนาแค่พูดให้ขำ ไม่ได้เป็นสาระอะไร แต่มันเป็นการพูดต้องห้ามครับ มีคนไม่พอใจ จนเกิดการต่อต้าน แค่ ประโยคเดียวเท่านั้นแหละครับ ชีวิตการเป็นนักพูด เป็นอาจารย์สอน พูด ก็จบเลย แต่ผมก็ยังคงนับถือในความเป็น มืออาชีพของท่านจน 120
อย่าเล่า เพียงเพราะเรา ทุกวันนี้ เพราะท่านรักษาเกียรติด้วยความรับผิดชอบ ท่านไม่ต้องรอ รู้สึกภูมิใจ ใครมากดดันครับ ท่านลาออกและถอนตัวจากวงการ วิทยากรชั้นนำ ของประเทศไปเลย เลยอดไม่ได้ ที่จะเล่า 8 อย่าเอาความพิการ ความไม่ปกติมาล้อเล่น สังคมเราชอบ เอาปมต่างๆของเพื่อนมา ล้อ ซึ่งเราเรียกกันว่า ล้อเล่น คือไม่เจตนาอะไร แค่เล่นนะครับ ผมเกิดมาในสังคมแบบนี้ เพื่อนชื่อสมพงษ์แต่ตาเข เราก็เรียกกันว่า ไอ้เหล่ เพื่อนชื่อสุชาติแต่ผิวดำ เราก็เรียกกันว่า ไอ้มืด ส่วนเพื่อนที่หาปมมาตั้งชื่อไม่ได้ เพราะดูอะไรๆก็เป็นปกติ เราก็ไปเอาชื่อ พ่อ ชื่อแม่ เขามาเรียก เราก็ทำกันมานานจนชิน แต่วันนี้เราเข้าสู่สังคมโลกแล้วนะครับ เขาไม่ยอมรับ การล้อเล่นแบบนี้ แต่บ้านเรายังมีบางส่วนที่พูดกัน อาจเพราะเคยชิน หรือไม่รู้ว่า เรื่องแบบนี้ ประโยคเดียวอาจหมดอนาคต ในอเมริกา มีเรื่องดังมาก เป็นเรื่องของผู้ก่อตั้งและอธิการ มหาวิทยาลัยแห่งนึงในอเมริกา ไปพูดในที่ประชุมในงานรับปริญญา ท่านหลุดมาประโยคเดียวแต่เป็นประโยคที่เหยียดคนผิวสี ความจริง แล้วเนื้อหาทั้งหมดก็ไม่ได้มีอะไร แต่เพราะเป็นการพูดในที่สาธารณะ คนฟังเยอะ มีคนฟังที่ไม่พอใจ นำไปแชร์กันในสื่อโซเชี่ยล บาน ปลาย จนท่านต้องลาออก ในบ้านเรา มีนักข่าวกีฬาคนนึง เรียกนักฟุตบอลบราซิล ว่า เหยิน เพราะเขาฟันเหยิน ถ้ามีใครมาแปลไปให้สื่อต่างประเทศ ได้รู้ ว่ามีคนไทยไปเรียกนักฟุตบอล ซุปเปอร์สตาร์ ที่ทั่วโลกยกย่อง ด้วย คำแบบนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านข่าวกีฬาคนนี้คงดังไปทั่วโลกละครับ สถานะของผู้เขียนหรือผู้พูด ที่ใช้คำ เหยียดแบบนี้ ( racist) อาจ ไม่มั่นคงครับ เรื่องนี้ต้องระวังมากๆโดยเฉพาะทุกวันนี้ มีโปรแกรม แปลภาษาออนไลน์ มีการแปลคลิปหลายภาษา ยิ่งอันตราย เราจะเห็น คำพวกนี้ในสื่อโซเชี่ยล กันเยอะมาก วันที่เราอาจยังไม่มีชื่อเสียง ยังไม่มีใครสนใจ 121
จะมาอ้างว่า พูดเรื่องจริง แต่อนาคตใครจะรู้ ถ้าวันนึงไปรับตำแหน่งใหญ่โตหรือไป ไม่ได้หมิ่นอะไร ทำให้ใครเสียผลประโยชน์ เรื่องที่พูดหรือโพสต์ พวกนี้แหละครับ อาจ กลับมาสร้างความยุ่งยากให้เราได้ แต่ตามกฏหมาย พูด เรื่องจริงก็เข้าข่ายหมิ่น 9 อย่าพูด เรื่องไม่จริง ประมาทได้ครับ อันนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องเล่าหรือนิทานนะครับ ถ้าเรื่องที่เล่าไปทำให้ การพูด รวมทั้งการสื่อสาร ทางอื่นๆ เช่น เขียน หรือโพสต์ในสื่อ บุคคลที่สามเสียหาย ต่างๆ ควรมีการตรวจสอบว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง หรืออย่างน้อยก็มี ที่มาของเรื่องที่ พอจะน่าเชื่อถือได้บ้างก็ยังดี เมื่อก่อน ตอนเทคโนโลยีเข้ามาใหม่ๆ เรามีจดหมายลูกโซ่ คือใครอ่านแล้วไม่ส่งต่อจะโดนแช่ง คำสาบแช่งนี้ ก็รุนแรง น่ากลัว จนหลายคนต้องส่งต่อให้ครบ ตามจำนวนที่ผู้แช่งต้องการแต่เดี๋ยวนี้ใครแชร์กลายเป็นเชย เรื่องไม่จริง มีพัฒนาการนะครับ ตอนนี้กลายมาเป็น ข่าวปลอม Fake news ข่าวพวกนี้ จะเหมือนเรื่องจริงมาก มีตัวตนคนพูด คนให้ ข่าว เช่นข่าว ลี กา ซิง ออกมาเตือนกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮ่องกง ให้รัก ชาติ เลิกประท้วง ผมเห็นครั้งแรกก็ขำ คิดว่าใครนะช่างคิด คุณลี กา ซิง เนี่ยตัวแกเองเป็นมหาเศรษฐีสายเสรีครับ แกกลัวจีนมากกว่าผู้ประ ท้วงด้วยซำ้ แกทยอยโอนย้ายธุรกิจไปต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จยตอนนี้โอนไปแล้วกว่า70% แต่ปรากฏว่าคนไทยเชื่อว่าแกเขียน จดหมายนี้ แชร์กันสนั่น จนผมชักลังเล หรือว่า ลี กา ซิง กลับใจ ไป ถามเพื่อนอาจารย์ชาวฮ่องกง เขาก็ขำ บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมลงทุน ไปหาข้อมูลใน south china morning post หนังสือพิมพ์ ฮ่องกง ที่ ไม่มีทางพลาดข่าวนี้ ปรากฏว่าไม่มี .... นี่แหละครับที่ ต้องระวัง นอกจากเรื่องนี้ยังมีอีกเยอะโดยเฉพาะเรื่องที่นำโยงสู่การเมือง ที่อยากจะบอกคือ .... ก่อนนำไปใช้ เช็คสักนิดครับ และถ้าจะนำ ไปพูด โดยไม่ได้ตรวจสอบ ก็ควรจะบอกผู้ฟังตรงๆว่า “ มีข่าวว่า ..........................แต่ผมไม่มั่นใจนะครับ ว่าจะเป็น เรื่องจริง ” “ตอนนี้มี การแชร์กันว่า ....... ผมก็ไม่รู้ว่า จริงแค่ไหนนะครับ แต่ ถ้า เป็นเรื่องจริงแล้ว .............” 122
เราก็ทำกันมานานจนชิน “…………… เรื่องนี้ผมไม่ยืนยันนะครับ เพราะได้มาจากกลุ่มไลน์ “ แต่วันนี้เราเข้าสู่สังคม โลกแล้วนะครับ คำพูดเหล่านี้ จะทำให้ผู้ฟังได้ไตร่ตรองเพราะบางทีผู้ฟังเชื่อใน ตัววิทยากร ก็คิดว่า เรื่องที่วิทยากรพูด คือเรื่องจริง ซึ่งถ้าเป็น fake เขาไม่ยอมรับ การล้อ news เราจะกลายเป็นผู้ร่วมเผยแพร่ ซึ่งไม่เกิดผลดีเลย เล่นแบบนี้ 10 ไปก่อนเวลาเพื่อ ตรวจสอบระดับความดัง ระดับความดังของเสียง ที่วิทยากรพูด คือหนึ่งในมรรยาท ที่ควร ใส่ใจ ในการบรรยายที่มีผู้ฟังจำนวนมาก และห้องประชุมใหญ่ วิทยากร ควรไปก่อนเวลาเพื่อให้ผู้จัดสบายใจ และยังได้ทำการ ทดสอบระดับความดังเสียง อีกด้วย อาจให้ทีมงานอยู่หลังห้อง แล้วลองพูด พอให้ได้ยินสบายๆ แต่หลายครั้งที่ เราทดสอบแบบนี้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะไป พอดีเวลา เราก็ใช้วิธีสังเกต จากตอนที่เราถาม เพื่อ สร้างความร่วมมือ กับ ผู้ฟัง ถ้าผู้ฟังทุกพื้นที่ ร่วมมือด้วย นั่นก็หมายถึงเสียงของเราไปถึง เขาแล้ว ถ้าเราต้องพูดต่อจากวิทยากรท่านอื่น แบบนี้ง่ายครับ แค่นั่งฟังอยู่ข้างหลังบ้าง ข้างซ้าย ขวา ก็จะพอประมาณได้ พูดเรื่องนี้แล้วนึกถึง sound check ที่เขาทำกันก่อนหนังในโรง ภาพยนต์ จะฉาย ก็คงคล้ายๆกันน่ะครับ การใช้ระดับความดังเสียงที่เหมาะสม เป็นหนึ่งในมารยาทของ วิทยากร 123
“ก่อนนำไปใช้ เช็คสักนิด และถ้าจะนำไปพูด โดยไม่ได้ตรวจสอบ ก็ควรจะบอกผู้ฟังตรงๆ” 124
21 ค่าบรรยาย การตั้งค่าบรรยาย ในรายการต่างๆของวิทยากรควรเป็นเท่าไร คำถามนี้ น่าสนใจ ผมอ่านหนังสือเรื่องการพูด การเป็นวิทยากร มาแทบทุกเล่มที่เป็นภาษา ไทยก็ หาคำตอบนี้ไม่เจอ หนังสือเกี่ยวกับการพูดของต่างประเทศก็ยังไม่เห็นมีเรื่องนี้ 125
อาจเพราะเรื่องค่าตัว มันเป็นเรื่องของความพอใจ ไม่ใช่ความพอใจของวิทยากรนะครับ แต่มักจะเป็นความพอใจของผู้จัด เกือบยี่สิบปีที่แล้ว ค่าตัวของผมราคาประมาณ ครั้งละ ลบหมื่นบาท คือเป็นราคาที่ต้องจ่ายไป เพื่อการเดินทาง ที่พัก และผู้ติดตาม เพื่อไปขอพูดให้ นักเรียนโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศฟัง คือ พูดเอง จ่ายเงินเอง ขนาดขอไปพูดฟรี หลายโรงเรียนยังไม่ค่อยอยากให้ผมพูด อาจเป็น เพราะผมไม่ใช่ตัวแทนกระทรวง ไม่ได้มีตำแหน่งและยังไม่มีคนรู้จัก ถ้าโชคดีก็จะเจอคุณครูใจดี จัดเด็ก จัดเวทีให้พูด แต่บางท่านก็ สายโหด ให้พูดในโรงอาหารก็มี เด็กก็ทานอาหารไป ฟังไป แต่ก็ยังดีกว่าบางท่าน ที่จัดให้พูดในโรงยิม ใครจะฟังก็มานั่งพื้น ใครซ้อมบาสก็ซ้อมไป เป็นบรรยากาศที่ทำให้ การพูดของผมต้องใช้พลังมาก นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ขอบคุณ ความตั้งใจในตอนนั้น คืออยากให้เด็กมีความหวัง ผมเห็นระบบการศึกษาที่มีระบบการสอนการสอบในหลายประเทศมันน่าสนใจ เขารักเด็ก และเห็นว่าเยาวชนคือทรัพยากรที่มีค่าของชาติ เห็นเด็กเขา มีวินัย มีความสุขในโรงเรียนก็คิดว่า เราน่าจะทำอะไรกันบ้าง ในสมัยนั้น ยังไม่ค่อยมีเวบไซด์เรื่องการศึกษา อินเตอร์เนตเมืองไทยก็ช้า แต่ด้วยความเชื่อ ว่าเด็กเรามีพลังและต่อไปเขาจะได้ดีถ้าเขามีความหวัง ผมเลยก่อตั้งเวบ www.eduzones.com ซึ่งเป็นเวบการศึกษาแรกๆของประเทศไทย เมื่อทำขึ้นมาแล้วไม่มีคนรู้จัก ถึงได้รับรางวัลเวบชนะเลิศประเทศไทยในปี 2000 แต่เด็กก็ ยังเข้ามาใช้บริการกันน้อย เลยตัดสินใจ เดินทางทั่วประเทศ 60 โรงเรียน ไปบรรยายให้เด็กรู้ ว่า เขามีแนวทางก้าวหน้าได้ทุกคนไม่ว่าจะเรียนเก่งหรือเป็นเด็กหลังห้อง งานบรรยายครั้งนี้ ผมจ่ายค่าบรรยายไป6 แสน ครับ หลังจากนั้นโครงการนี้ก็เป็นที่นิยม ผมบรรยายอยู่สามสี่ปีก็เลิก เพราะเวบนี้ กลายเป็นเวบการศึกษายอดนิยมของเด็กไปแล้ว แต่ทุกวันนี้ Eduzones ยังมีวิทยากร ที่ได้เข้ามาฝึกอบรมออกไปบรรยายให้โรงเรียนทั่วประเทศปี ละ 150-200 โรง เพราะมีผู้สนับสนุน จ่ายเงินให้ทุกปีตลอดมา พูดเรื่องนี้ ก็ต้องขอบคุณ ทาโร และพรีเมียร์มาเกตติ้ง ที่สนับสนุน โครงการมาเกือบ20 ปี แวะไปซะไกล กลับมาคุยเรื่องค่าตัวกันต่อนะครับ 126
ทุกวันนี้ วิทยากรที่ ผ่านการอบรมในเครือข่ายของ Eduzones รับค่าบรรยาย เฉลี่ย วันละ 5000-8000 บาท ซึ่งขึ้นกับลักษณะงาน ส่วนค่าตัวของผม ราคาสูงกว่านั้น หลักในการตั้งค่าตัวของผมง่ายๆครับ คือ เมื่อบรรยายจบ ผู้จัดต้องรู้สึกว่าคุ้ม ค่าเงิน และ บอกต่อกันไป โลกยุคนี้ ไม่มีอะไรที่ควบคุมมาตรฐานได้ดีเท่า คนที่เจ็บจากการจ่าย ถ้าผู้จ่าย รู้สึกไม่คุ้ม เขาจะบอกต่อกันอย่างรวดเร็ว คืนเดียวเห็นผลครับ “ เมื่อบรรยายจบ ผู้จัดต้องรู้สึกว่าคุ้ม ค่าเงิน และบอกต่อกันไป คำแนะนำเรื่องค่าบรรยาย ของผมคือ ประเมินตนเอง ว่า เมื่อผู้จัดต้องจ่าย ราคานั้น เขาจะต้องได้คุณค่ามากกว่าราคาที่จ่ายไป และถ้าไม่แน่ใจ ในคุณค่า ก็อย่าไปตั้งราคาสูง การตั้งราคาตำ่ จะทำให้ผู้จัดไม่คาดหวังสูง ก็ปลอดภัย ถ้าใครสนใจ ติดต่อมาให้ผมช่วยประเมินราคาได้นะครับ ผมเรียนจบมาด้านวิศวกรรม งานแรกที่ทำ คือประเมินราคางานก่อสร้าง (ฮา) 127
22 พัฒนาตนเอง เทคนิคของ Talk like a pro เป็นหลักการ ที่ใช้ ได้อย่างดี ในทุกแวดวงสาขาอาชีพ ที่ต้อง พูด แล้วมีอาชีพไหน ที่ไม่ต้องพูดบ้างครับ 128
ทุกคนต้องสื่อสาร ครู อาจารย์ วิทยากร พิธีกร ใช้การพูดเป็นหลัก แต่แทบทุกอาชีพก็ต้อง พูด แม้กระทั่งผู้ที่พูดไม่ได้ ก็ยังใช้ภาษามือ เพื่อการสื่อสาร หลักการนี้ จึงใช้ได้กับทุกคน แต่ถึงแม้เราจะรู้เทคนิคต่างๆในการพูด คือรู้วิธีนำเสนอ รู้จักการใช้จังหวะ ใช้เทคนิคต่างๆได้คล่อง แต่ยังมีเรื่องสำคัญที่เราต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือ 1 ความคิด Growth mindset ถึงแม้ว่าเรา จะรู้เทคนิคต่างๆ มีการพูดเป็นภาพ มีจังหวะ ดึงผู้ฟังได้ และ เล่าเรื่องชวน ติดตาม แต่ถ้าเราขาด Growth mindset เรายังเป็น นักพูดที่ไม่ดีพอ “คุณครู ที่สอนแล้วเด็ก ไม่เข้าใจ ก็เชื่อว่า เด็กกำลังทำความเข้าใจ คนที่พูดเก่งแต่มองโลกแง่ลบ จะทำให้การพูดกลายเป็นเครื่องมือในการทำลาย ส่วนคนที่มี Growth mindset จะใช้คำพูดอย่างสร้างสรรค์ เรื่องของ Mindset หรือชุดความคิดนี้ มาจาก หนังสือ ซึ่งเป็นผลงานของ Carol Dweck ผู้ คิดทฤษฏีเรื่อง Mindset เขาแบ่งประเภทของ Mindsetออกเป็น 2 แบบ คือ Growth Mindset และ Fixed mindset มีนักธุรกิจดังๆ และนักการศึกษานำแนวคิดนี้ไปใช้สร้างองค์กร และใช้พัฒนาคน ผลออกมา ดีมาก คำว่า Mindset เลยดังไปทั่วโลก Growth mindset คือชุดความคิด ความเชื่อหรือสมมุติฐาน ที่เป็นบวก เช่น เมื่อเกิด วิกฤติ ก็คิดว่ามันจะมีโอกาสเสมอ เมื่อ ล้มเหลว ก็เชื่อว่ามันคือทางของความสำเร็จ คุณครู ที่สอนแล้วเด็ก ไม่เข้าใจ ก็เชื่อว่า เด็กกำลังทำความเข้าใจ ครูจะหาทางอื่นๆช่วยเขาได้แน่นอน ส่วนพวก Fixed mindset จะคิตตรงกันข้าม 129
คือถ้าเด็กเรียนแล้วไม่เข้าใจ ครูที่มี Fixed mindset จะคิดว่า เป็นเพราะเด็กไม่สนใจ ไม่ ใส่ใจ เรียน ใครที่เรียนเรื่องการพูดแล้วได้มีโอกาสพัฒนา growth mindset ด้วย ผมเชื่อว่า ความ สำเร็จจะตามมาแน่นอนครับ ผมเคยเจอ ผู้โดยสารโวยวาย ในเครื่องบิน เพราะขึ้นมาบนเครื่องตั้งนาน แล้วเครื่องยังไม่ บินขึ้น “ นี่คุณ สายการบินคุณนี่ห่วยแตกจริงๆ ผมมีงานสำคัญ เครื่องดีเลย์ มาครึ่งชั่วโมงผมก็ทน นี่ยังต้องมานั่งรออะไรกันอีก” “ขอโทษผู้โดยสารจริงๆค่ะ อย่างนี้ แย่มาก เรื่องเวลานี่ ความจริงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หนูเองเคยเจอแบบนี้เหมือนกัน “ พนักงาน ใช้หลักการ พูดของการเปลี่ยนทัศนคติ คือ “ให้ผู้ฟังรับรู้ว่า เราคือพวกเดียวกัน” แล้วค่อยคุย ชี้แจง สาเหตุ ซึ่ง ความโกรธของผู้โดยสารจะลดลง ถ้าพนักงาน ไม่รู้เทคนิค นี้ ก็อาจจะชี้แจงทันที เช่น “ไม่มีใครอยากให้ดีเลย์นะคะ หนูต้องขอโทษด้วย แต่เราเป็นแค่พนักงาน เรื่องของ การดีเลย์ มาจากอีกฝ่ายหนึ่งค่ะ” คำพูดนี้ เป็นความจริง แต่คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ความรู้เรื่อง การพูดอย่างมืออาชีพจึงจำเป็นสำหรับทุกคน แต่ ถึงแม้ จะใช้เทคนิคการพูดแบบที่ฝึกฝนมาอย่างดี แต่ถ้าขาด Growth mindset ผลจะออกมาไม่ดีครับ เพราะถ้าพนักงาน พูดแบบนั้น แต่แววตาท่าทาง ไม่สอดคล้องกับคำพูด เพราะความจริงรำคาญผู้โดยสารมาก ในใจก็คิดว่า แค่สายการบิน ราคาถูก 130
จะมาเอาอะไรกันนักหนา ถ้าในใจคิดอย่างนี้ คือเป็น Fixed mindset ถึงแม้จะพูดด้วยเทคนิค มันก็จะไม่ราบรื่นครับ แต่คนที่มี Growth mindset จะมีความเชื่อ ว่า ผู้โดยสาร เดือดร้อนจริงๆ ถ้ามิเช่นนั้น เขาคงไม่โวยวาย น่าเห็นใจมาก ถ้าสมมุติฐานเราดี คิดบวก ท่าทาง แววตามันมาพร้อม การมี Growth mindset จะช่วยให้ การพูด สร้างสรรค์ หัวหน้างาน ที่พูดกับลูกน้องว่า “ เธอมันห่วยแตก ไม่รับผิดชอบ งานเสียหายหนัก กลับไปแก้ทันทีเลย พรุ่งนี้ผมขอรายงานด้วย” แบบนี้ เป็นหัวหน้าสายโหด ลูกน้องคงอยู่ด้วยแบบ ทนอยู่ ถ้ามีทางก็ไปแน่ เพราะ หัวหน้าขาด Growth mindset ถ้า หัวหน้ามี growth mindset คือ เชื่อว่า ลูกน้องรักดี อยากสำเร็จ แต่อาจขาดประสบการณ์ หรือ ตัวหัวหน้าเองอาจบกพร่องอะไร คำพูดและท่าทาง อาการ จะออกมาเป็นบวก “งานนี้พลาดมากเลย เราต้องรีบแก้ไข ไม่เป็นไรนะ ช่วยกัน ไม่มีใครอย่างเรื่องแย่ๆอย่างนี้เกิดกับพวกเรา อาจเป็นเพราะผม ไม่กำชับ ขอแก้ไขด่วนเลยนะ ติดขัดอะไรแจ้งผมได้ ” ถ้าครู มี Growth mindset คือคิดเชิงบวก เชื่อ ว่า เด็กนักเรียนรักดี อยากก้าวหน้า อยากเป็นคนดี คำพูดของครู ในสถานการณ์ต่างๆก็จะเป็นไปในทางสร้างสรรค์ เช่น เมื่อ เด็กทะเลาะกัน ตีกันใช้ความรุนแรง ครูที่ขาด Growth mindset ก็อาจจะหาสาเหตุ ว่าใครเริ่มก่อน และอาจลงโทษ ผู้เริ่มต้น ก่อความรุนแรง แต่ด้วยความเชื่อของครูว่า เด็กทุกคน ดี คำพูดของครู ก็จะเปลี่ยนไป 131
“ ครูรู้นะว่าเธอเป็นเด็ก เพราะ ความคิดของครู เป็นบวก ฉลาด “ ตอนเรียนชั้นประถม ผม เคยเป็นเด็กเกเร และโดนตี บ่อยๆ แค่ขึ้นต้นด้วยคำนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ คิดจะเลิกเกเร เท่านั้นแหละครับ การตี ไม่ทำให้ผม เป็นเด็กเรียบร้อย ตอนนั้น ผมยังไม่รู้ว่า เพราะอะไร มันเป็นIntro ที่สร้าง ผมจึงไม่ชอบทำอะไรเหมือนที่คนอื่นทำ เร้าใจ มันคือเทคนิค ตอนนั้นคิดว่ามันน่าเบื่อ ของTalk like a pro และเราน่าจะได้ทำสิ่งที่เราคิด ถ้ามันไม่ไปเดือดร้อนใคร เป๊ะๆ แต่ โรงเรียน จะตัดสิน ว่า การแต่งชุดไม่ถูกระเบียบ เป็นความเกเร การไม่ใส่ชุดลูกเสือ ให้ตรงระเบียบ เป็นเรื่องต้องลงโทษ โดยการตี แหม ก็ผมชอบความแตกต่าง เลยผิดระเบียบบ้าง อีกอย่างนึง คือไม่คิดจะโตไปเป็นทหารนี่ครับ วันนึง ตอนที่ผมจะโดนตี เพราะ ชุดลูกเสือไม่ตรงตาม ความ ต้องการของโรงเรียน แต่มันตรงความชอบของผม ยอมโดนตีครับ วันนั้นโชคดี คุณครูประจำชั้น ซึ่งเห็นผมโดนตี เพราะเรื่องเดิมๆ เป็นประจำ ท่านคงเห็นใจ เลยเข้ามาคุยกับครูสายโหด ว่า ท่านขอจัดการ ผมเอง อาจเป็นเพราะ ครูคงเห็นแล้วว่า การตีไม่ได้ช่วยให้ผมกลัว แต่กลับทำให้ผมกร้าน “ ครูรู้นะว่าเธอเป็นเด็ก ฉลาด “ แค่ขึ้นต้นด้วยคำนี้เท่านั้นแหละครับ มันเป็นIntro ที่สร้างเร้าใจ มันคือเทคนิคของTalk like a pro เป๊ะๆ 132
ประโยคเดียว ทำให้ผมสนใจ ว่าครูจะพูดอะไร หูผมเปิดฟังแล้ว ครูที่มีGrowth mindset จะมีสมมุติฐานแบบนี้แหละครับ และจากความคิดและคำพูดของครู ในวันนั้น ต่อมาผมก็กลายเป็นนักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน และไปสอบแข่งขันเข้าโรงเรียน มัธยม ที่สอบเข้ายากที่สุดในประเทศ ได้สำเร็จ กราบขอบพระคุณ คุณครู คำพูดดีๆ ด้วยGrowth mindset เปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ 2 จะพูดเก่ง ต้องอ่าน และฟัง ให้มาก ในแวดวง นักพูด นักเขียน ผมยังไม่เจอ นักพูด นักเขียน ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาเลี่ยน ที่กลายมาเป็น บิดาของศิลปะร่วมสมัย ของไทย ในยุคบุกเบิก มหาวิทยาลัย ศิลปากร บอกว่า “นายไม่อ่านหนังสือ นายจะรู้อะไร” การอ่านเป็นการสะสม พลังของนักพูด คนที่ตั้งใจจะเป็นวิทยากร จริงจัง ใช้หลักการ ในการอ่าน ต่อไปนี้ 1 อ่าน เป็นประจำ ทำให้เป็นนิสัย เช่น สัปดาห์ละเล่ม หรือ เดือนละ 3 เล่ม ต้องกำหนดไว้ ครับ เพราะการมีความตั้งใจ โดยไม่กำหนดเป้าหมายนั้น มักจะตามมาด้วยความล้มเหลว ยิ่งอ่าน มากก็ยิ่งมีพลังสะสมมาก 2 อ่าน เข้าฟังการบรรยาย หรือรายการทาง podcast youtube ที่หลากหลาย เราจะได้สะสม ข้อมูล ความรู้ ที่หลากหลาย และได้ฟังเทคนิคการเล่าเรื่อง ที่สามารถนำมาปรับใช้ในการบรรยาย ความรู้ ข้อมูลที่หลากหลายจะช่วยให้เราปรับการบรรยาย บนเวที ให้ลื่นไหล ในกลุ่มผู้ฟังที่ต่างกัน ได้ดี 3 เก็บข้อความดีๆ เนื้อหาที่นำไปเล่าต่อได้ รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ จะช่วยประหยัดเวลา เมื่อเราต้องสร้างเนื้อหาในการบรรยายของเราเอง 4 ความหลากหลาย จากการฟัง และการอ่าน จะช่วยให้การสัมภาษณ์ การถามตอบ เสวนา น่าสนใจ ทั้ง ในฐานะของ ผู้ร่วมรายการ และผู้ดำเนินรายการ 5 หลังจากการอ่านหรือฟัง 133
เราควรสรุปและแบ่งปัน ทางสื่อต่างๆ เช่น ทางโซเชี่ยลมีเดีย ทางFB Live ควรทำ ให้เร็ว หลังอ่านจบจะยิ่งดี เพราะเราจะจำเรื่องเหล่านี้ได้ จากการนำมาเผยแพร่ การอ่าน และเอาปากกามาเน้นข้อความสำคัญ จะทำให้เราจำได้ระยะสั้น แต่การได้นำไปเล่า จะทำให้เรา จำได้นานกว่ามาก (retain of Knowledge) 3 การพูดเป็นทักษะ ต้องฝึกฝน ทักษะต่างจากความรู้ ความรู้ สามารถสอนกันได้ อย่างที่เราอ่านเรื่องการพูดอย่างมืออาชีพ เรารู้จักวิธีการพูดแบบต่างๆ เรารู้วิธีคิดเรื่อง และรู้จักการใช้จังหวะในการพูด แต่เราอาจพูดไม่ได้ตามนั้น เพราะการพูด เป็นทักษะ ทักษะเกิดจากการฝึกฝน ดังนั้น ต่อให้อ่านจนเข้าใจ จำได้ทุกเทคนิค ก็ยากที่จะพูดได้ดี จะพูดให้ได้ดี ต้องฝึกครับ จะพูดให้เก่ง ต้องฝึกพูดให้มาก ความรู้อาจใช้เวลาไม่มากในการเรียน แต่ทักษะใช้เวลามากในการฝึกฝน เราไม่สามารถ เล่นเปียโนได้เก่ง จากการอ่านโนต และเรื่องราวความรู้ของดนตรี เราต้องเอาเปียโนมาเล่น ครับ เช่นเดียวกับเรื่องของ ความคิด เราไม่สามารถจะคิดเก่งได้ 134
จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับความคิด อ่านร้อยเล่มพันเล่มก็ไม่ได้ทำให้เราคิดเก่ง จะคิดเก่ง ต้องฝึกคิด การพูดใช้ทั้งทักษะในการ ออกเสียง เรียงคำ คิด และนำเสนอ “ตอนที่เราแพ้ ไม่มีใครจำเราได้หรอกครับ คนจะมารู้จักเรา ก็ตอนที่เราเป็นแชมป์ ซึ่งต้องลงมือทำ เวลาที่เราเห็นคนพูดเก่ง บางทีเราอาจคิดว่า เขาโชคดีนะที่มีพรสวรรค์ทางการพูด ผมไม่คิดแบบนั้น ทุกครั้งที่ผมเห็นนักกีฬา ขึ้นรับเหรียญทอง ผมจะนึกถึงการฝึกซ้อมอย่างหนักเบื้องหลังความสำเร็จนั้น ที่แน่ๆ คือผมมั่นใจว่า เขาแพ้มามาก กว่าจะเป็นแชมป์ แต่ตอนที่เราแพ้ ไม่มีใครจำเราได้หรอกครับ คนจะมารู้จักเรา ก็ตอนที่เราเป็นแชมป์ อยากเป็นคนพูดเก่ง ต้องฝึกพูด มันไม่มีทางลัดไปสู่นักพูดยอดเยี่ยมหรือวิทยากรแนวหน้าของประเทศ สิ่งที่เราต้องทำคือ ลงมือทำและไม่หยุดจนกว่าจะถึงจุดหมาย ก่อนขึ้นเวที ผู้ดำเนินรายการ มักจะ เชิญผมด้วยคำว่า “วิทยากรแนวหน้าระดับประเทศ” เรื่องนี้ไม่ได้เป็นโชค แต่เป็นเพราะ การฝึกฝน ถ้าเขารู้ เขาอาจจะเปลี่ยนคำเชิญเป็น 135
เพราะดึงคนที่เดินผ่าน “วิทยากรที่ฝึกฝนมากระดับประเทศ” ไปผ่านมา เพราะผมฝึกมากจริงๆ ผมไม่ได้จบPHD ด้านการพูด ให้หยุด มายืนฟัง ได้ แต่ในรอบสิบปีมานี้ นานๆ ผมน่าจะเป็นวิทยากรการศึกษาที่พูดบนเวทีและสื่อต่างๆต่างๆ มากที่สุดในประเทศ และจบท้ายยังขายของ ไม่ใช่เพราะผมเรียนมาเยอะ ที่ ไม่น่าจะมีคนซื้อ แต่เพราะผมเริ่มต้นมานาน และฝึกอย่างต่อเนื่อง ชอบฟังคนพูดในที่สาธารณะตั้งแต่เด็ก เป็นนักเรียน ก็ชอบไปฟัง นักการเมืองหาเสียง เห็น คนเล่นปาหี่ งูกับพังพอน ต้องหยุดดู ทุกที ไม่ได้สนใจ งู หรือพังพอน แต่ชอบฟังจังหวะลีลาในการพูดของเขา แต่ละคนมีการพูดที่เรารู้สึกว่า เขา เก่ง จริงๆ เพราะดึงคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ให้หยุด มายืนฟัง ได้นานๆ และจบท้ายยังขายของ ที่ ไม่น่าจะมีคนซื้อ เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งจริงๆครับ โดยทั่วไปคนที่เรียน สายวิทยาศาสตร์ มักจะใช้เวลา ติว ฟิสิกส์ ฝึกทำโจทย์คณิตศาสตร์ แต่คนเรียนสายวิทย์แบบผมอยู่ชมรมภาษาไทย อ่านนิยาย เรื่องสั้น และพูดบนเวที ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ก็หาโอกาสขึ้นเวทีบรรยาย และ โต้วาที บ่อยๆ 136
ตอน นักศึกษาวิศวะ มีโอกาสเข้าอบรมฝึกการพูด กับ สมาคมส่งเสริมมนุษยสัมพันธ์และ ศิลปะการพูดแห่งประเทศไทย เข้าไปครั้งแรก แปลกใจมากเพราะคนที่มาฝึกพูด ทั้งหมดเป็นผู้ใหญ่ มีทั้ง ผู้จัดการธนาคาร นายพัน นายพล และคนที่ทำงานกันมาหลายปี ทั้งนั้น ไม่มีเยาวชนเลย ยังแปลกใจว่าทำไม ผู้ที่ทำงานมานาน จึงเพิ่งสนใจ และเข้ามาฝึกพูดกัน หลังจากฝึกอบรมไป ก็เข้าใจ เพราะการพูดมีหลายแบบ มีทั้งการพูดแบบพิธีการ การพูดแบบพิธีกร การพูดแบบทอล์กโชว์และสารพัดรูปแบบการ พูด แม้กระทั่ง การพูดคุยกับทีมงาน หรือสามีภรรยา ก็ควรฝึกการพูด ““เราไม่สามารถ เล่นเปียโนได้เก่ง จากการอ่านโนต และเรื่องราวความรู้ของดนตรี เพราะพูดได้ ไม่ใช่ แปลว่า พูดดี คนที่เข้ามาฝึก จริงจังกันมากครับ หลังจากผมได้ความรู้จากการอบรม ครั้งนั้น ทำให้ผมมั่นใจว่า พลังของการพูด สำคัญมาก และการจะพูดได้ดี ต้องฝึกและหาเวที นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ ทำให้ผม ไปเป็นประธานชมรม ปาฐกถาและโต้วาที ซึ่งได้ช่วยผึกเพื่อนๆ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ยิ่งสอนมาก เราก็ยิ่งได้มาก ฝึกฝนกันนะครับ 137
23 ความสำเร็จ ทุกเรื่องที่เราต้องการประสบความสำเร็จ มาจาก สูตรง่ายๆ 1-2-3 1 ตั้งเป้าหมาย 2 ลงมือทำ 138
กำหนด ผลลัพธ์สุดท้าย 3 ไม่เลิกรา จนกว่าจะสำเร็จ แค่นั้นแหละครับ เพื่อเราจะได้เอาไว้เป็น เป้า แต่ในความจริงมันไม่ง่าย แบบนั้นใช่ไหมครับ เพราะถ้ามันง่ายขนาดนั้น คงมีแต่คนประสบความสำเร็จกันทุก ถึงแม้จะไม่ถึงเป้า แต่ก็ คน ผมรวบรวมแนวคิด เรื่องของ การเดินทางสู่ความสำเร็จที่น่าสนใจ ยังดี เพราะจะช่วยให้ไม่ มาฝาก หลงทาง เรื่องราวเหล่านี้นำมาจากหนังสือด้านจิตวิทย และการพัฒนา ตนเอง จากนักเขียน และงานวิจัยหลายเรื่อง ซึ่งคิดว่า จะช่วยให้1-2-3ของเรา มีความเป็นไปได้มากขึ้น การตั้งเป้าหมาย ต้องมี Goal บางคนอยากเป็นนักเขียน แบบนี้ไม่ใช่Goal นะครับ เป็นแค่ ความตั้งใจ ความอยาก หรือจุดประสงค์ (Intention) เป้าหมาย ต้องกำหนด ชัดเจน เช่น ถ้าเราอยากลดนำ้หนัก กำหนดชัดลงไปว่า เราจะลดนำ้หนักให้ได้ 5กิโล ภายใน สองเดือน ถ้าเราอยากเป็นนักเขียน เป้าหมายของเรา อาจจะเป็น บทความของเราต้อง ได้ตีพิมพ์ ภายในปีนี้ ถ้าจะเป็นวิทยากร ชั้นนำก็ต้องมีเป้าหมาย เช่นจะได้รับเชิญไปพูด ในงานต่างๆ 10 รายการ ภายในเดือนธันวาคม ต้องมีตัวเลขชัดๆ มีเวลากำหนดไว้ นั่นคือการกำหนด ผลลัพธ์สุดท้าย เพื่อเราจะได้เอาไว้เป็นเป้า ถึงแม้จะไม่ถึงเป้า แต่ก็ยังดี เพราะจะช่วยให้ไม่หลงทาง และ เพื่อให้เรามีแรง เรา ต้องเห็นภาพความสำเร็จ นั้นชัดเจน จากนั้น ก็มา กำหนด กระบวนการ ที่จะทำให้เราไปสู่ ผลลัพธ์สุดท้ายนั้น ทำเป็น Goal ย่อยๆ เช่น ออกไปวิ่งทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ วันละ5 กิโล 139
ความตั้งใจ หรือแม้แต่ หรือ เขียนบทความทุกวัน วันละ เรื่อง ปณิธาน แล้วแต่ว่าจุดประสงค์ของเราคืออะไร อันแรงกล้าของเรา ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้ หลายคนเคยคิดและทำแบบนี้ ส่วนมากมักจะล้มเหลว แต่ก็ไม่สำเร็จ เอาตัวอย่างเรื่องการลดนำ้หนัก ละกันครับ เพราะแค่ ปณิธานอัน บางคน ตอนมีเป้าหมายใหม่ๆ ก็ฟิต แรงกล้านั้นไม่พอ ทำไปสักพักก็ ท้อ แล้วก็แอบบอกกับตัวเองว่า ไม่มีเวลา บ้าง ติดงานบ้าง ช่วงนี้งานหนักบ้าง เอาไว้วิ่งชดเชยวันหลังบ้าง บางคนล้มเลิก ความตั้งใจ แล้วก็ให้กำลังใจตัวเองว่า เอาไว้ไปเริ่มใหม่ปีหน้าละกัน ในหนังสือชื่อ will power doesn’t work ของBenjamin Hardy อธิบายเรื่องแบบนี้ไว้ น่าสนใจ เขาบอกว่าทำไม ความตั้งใจ หรือแม้แต่ปณิธาน อันแรงกล้าของเรา ส่วนมากมักจะล้มเหลว เพราะแค่ ปณิธานอันแรงกล้านั้นไม่พอ วิธีที่ คุณHardy ผู้เขียน หนังสือเล่มนี้ แนะนำ คือ ถึงจะมีเป้าหมาย Goal ชัดเจน กำหนดเวลาชัดเจน แต่การจะประสบความสำเร็จ เราต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ทำได้โดย กำจัดอุสรรค ทุกอย่างที่ ทำให้เรา ล้มเลิก ในกรณีนี้ เช่น เอาอาหารออกไปไกลๆ เวลาหิวก็ให้มีความลำบากที่จะไปหา ไปหยิบมาใส่ปาก เพราะถ้าเราวางไว้ง่ายๆ มักจะอดไม่ได้ 140
การประกาศเจตนา กับ การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม โดยให้ เราทำตามเป้าหมายง่ายขึ้น คนใกล้ชิด หรือ ในสื่อ เช่น ออนไลน์ เอารองเท้าวิ่ง ชุดวิ่ง นาฬิกา ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์ต่างๆ มาวางให้ใกล้ตัว หยิบง่าย เป็นการสร้างสภาพ แวดล้อมที่ช่วยได้ การประกาศเจตนา กับคนใกล้ชิด หรือ ในสื่อออนไลน์ เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยได้ เพราะ เวลาที่เรา จะเบี้ยว เราจะ กลัวเสียหน้า นัดคนร่วมออกกำลังกาย เข้าสโมสร คนชอบวิ่ง นี่แหละครับ จะช่วยให้เราล้มเลิกความตั้งใจยากกว่าเดิม มีแนวคิดเรื่องมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ อีกแบบคือ ถ้าเราคิดถึงแต่ผลลัพธ์ เช่นเราจะเป็นนักพูด กำหนดแผน มีเป้าหมาย แต่ก็ไม่สำเร็จ บางทีก็ท้อ เราลองทำเป้าหมายย่อยๆเล็กๆ เช่น พูด ลงยูทุป สัปดาห์ละครั้ง แล้ววัดผลคนมา like วัดผลคนติดตาม นำมาบันทึกเป็นความก้าวหน้า ถ้าทำแบบนี้ ถึงไม่บรรลุผล สุดท้าย แต่ก็ยังเห็นความก้าวหน้า แต่ที่ดีที่สุดคือ เราต้องคิด ว่าเราคือนักพูด ให้ฝังในหัวเราเลยครับ ว่าเราคือนักพูด นี่แหละครับ Growth Mindset แล้วเราจะไม่ท้อ 141
วันที่คนติดตามน้อย สมองเราก็จะบอกว่า เราเป็นนักพูดที่กำลังเติบโต วันที่มีคนติดตามเพิ่ม สมองเราก็จะบอกว่า นี่คือความก้าวหน้าของนักพูดอย่างเรา เพราะเราคือนักพูด อย่าลืมว่า ความล้มเหลว คือทางสู่ความสำเร็จ อย่าไปกลัว ความล้มเหลว........... ทุกครั้งที่รู้สึกว่า การพูดของเรายังไม่ดีพอ ในความคิดของเรา คือ เราเป็นนักพูด “ “ตระกร้า สร้างนักเขียนมาทุกยุคทุกสมัย” ที่กำลังจะเติบโต คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนชื่อดัง ผู้ใฝ่ฝันจะเป็น นักเขียน แต่ทางบ้านอยากให้เรียน วิศวะ คุณอาจินต์เข้าไปเรียนที่ วิศวะ จุฬาฯ แต่ก็ เรียนได้แค่ปีเดียว พอดีมีสงครามโลก ท่านเลยไปทำงานในเหมืองแร่ หลังจากนั้น ต่อมา วงการหนังสือบ้านเรา ก็มีผลงานเขียน เรื่อง “เหมืองแร่” นิตยสาร ฟ้าเมืองไทย และ ฟ้าเมืองทอง ที่ช่วยสร้างนักเขียนหน้าใหม่ออกมาสู่โลก วรรณกรรม คำที่ คุณอาจินต์ บอกกับคนที่คิดจะเป็นนักเขียนทุกคน ซึ่งผมจำจนทุกวันนี้ คือ “ตระกร้า สร้างนักเขียนมาทุกยุคทุกสมัย” 142
เพราะทุกๆวันจะมีคนส่งเรื่องสั้นให้พิจารณา ด้วยหวังว่าจะได้ตีพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่ ลงไปอยู่ในตระกร้าทิ้งขยะ คุณธนินทร์ เจียวรานนท์ เจ้าของCP และกิจการต่างๆมากมาย ซึ่งไม่ค่อยยอมออกสื่อ ท่าน ให้สัมภาษณ์ในวัย80 บอกว่า ทุกธุรกิจ มีความเสี่ยง แต่ต้องทำ ล้มเหลว เป็นเรื่องธรรดา ขออย่างเดียว อย่าให้ล้มตาย ก็เอาควาามล้มเหลวนั้นเป็นบทเรียน “ล้มเหลว เป็นเรื่องธรรดา ขออย่างเดียว อย่าให้ล้มตาย เราไปเรียนหนังสือ ยังต้องจ่ายค่าเรียน แต่ประสบการณ์ มีค่ายิ่งกว่าเรียนหนังสือ เราก็ต้องจ่าย ยังมีชีวิต ก็ต้องสำเร็จ เข้าสักวัน 143
24 คำตาม ทักษะในการสื่อสาร วันนี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก และสำคัญมากขึ้นทุกวัน ในขณะที่ อาชีพต่างๆที่เคยมั่นคง โดนแทรกแซง และทำลาย ด้วยสภาพแวดล้อมใหม่ของโลก ซึ่งเป็นโลกสองใบ 144
คือโลกจริงและโลกออนไลน์ ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว มีการปิดสาขาของธนาคาร ทั่วโลก ทุกวัน ในโลกจริง พนักงานธนาคาร ถูกเลิกจ้าง แต่ นวัตกรรม ทางการเงิน บนโลกออนไลน์( Fintech) เติบโตอย่างก้าวกระโดด สื่อสารมวลชน รูปแบบเดิม เช่น ทีวี สำนักข่าว หนังสือพิมพ์ ในโลกจริง ทยอยเลิกกิจการ ถ้าปรับตัวไม่ได้ แต่ มวลชนสื่อสารในโลกออนไลน์ เติบโตหลายรูปแบบ เด็กวัยรุ่น สร้างตัวได้ โดย การสื่อสารออนไลน์ เขาไม่ต้องลงทุนมากมายก็สามารถ เป็นเจ้าของสถานี วิทยุ ทำpodcast สร้างรายได้ มากกว่าคนที่ทำงานมาสิบปี น้องพนักงานที่โดนเลิกจ้าง กลับไปรวมตัวกับเพื่อน ทำธุรกิจ ออนไลน์ สร้างรายได้ จากยูทุป บอกว่า รู้อย่างนี้ลาออกมานานแล้ว ห้างสรรพสินค้า ร้านขายหนังสือ ร้านขายเสื้อผ้าในโลกจริง พากันลดขนาดพื้นที่ ห้าง บางแห่งต้องปิดกิจการ ทั้งที่เคยรุ่งเรืองสุดๆ ห้างสรรพสินค้า เซียร์ส (Sears) เปิดทำการมา 130 ปี เคยมีสาขามากกว่า 4,000 แห่ง ตอนนี้ประกาศล้มละลายแล้ว บริษัท Gap Inc. ประกาศว่าจะปิดร้าน 200 แห่ง ใน 3 ปี Barnes & Noble ร้านหนังสือยักษ์ ของอเมริกา ประกาศปิด 1ใน3 ของสาขาที่มีอยู่ เหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นทั่วโลก และในบ้านเราก็เช่นกัน 145
ความมั่นคงแบบเดิมไม่มีอีกแล้ว คำถามคือ ผู้บริหารและพนักงานจำนวนมหาศาล จะไปไหน ระบบ การศึกษาแบบดั้งเดิม โดน ทำลาย disrupts จาก massive open courseware (MOOC ) คือการเปิดสอน หลักสูตรใหม่ๆ จากมหาวิทยาลัยดังๆทั่วโลก วิชาต่างๆมากมาย จากผู้เชี่ยวชาญ ทั่วโลก เปิดสอนบนแพลตฟอร์ม online เช่น Coursera EdEx Teachable และอีกมากมาย คนทั่วโลกสามารถได้ certificate จาก Harvard Stanford MIT Melbourne University Hong Kong University ฯลฯ โดยนั่งเรียนจากบ้าน และจ่ายค่าเรียน เพียงสองสามพันบาท การสอน วิชาต่างๆ โดยผู้เชี่ยวชาญ เปิดให้เรียนฟรี ที่ Khan Academy เด็กทั่วโลกเข้าไปเรียน ครูอาจารย์ทั่วโลก เข้าไปใช้ ในโลกออนไลน์ ความรู้เป็นเรื่องหาง่าย แค่google แล้วคนสอนหนังสือในโลกจริง จะทำอย่างไร เมื่อ7 ปีที่แล้ว ผมเขียนหนังสือ ชื่อ สาขาอาชีพอนาคต ออกมาเป็นพอกเก็ตบุค ถึงสามเวอร์ชัน เล่มล่าสุดคือ สาขาอาชีพอนาคต3 เป็น หนังสือขายดีของ สำนักพิมพ์ ซีเอ็ด 146
เรื่องราวในเล่ม คือการเตือนภัย และบอกถึงโอกาส คนที่อาขีพเดิมๆ จะถูกบังคับให้ปรับตัว ในขณะที่อาชีพใหม่ๆ จะค่อยๆปรากฏขึ้น แฟนเพจ ที่ได้อ่านและเกาะกระแสอาชีพอนาคต ตอนนี้ หลายคนเป็นผู้ประกอบการอายุน้อยๆกันแล้ว สถาพแวดล้อมของโลกออนไลน์ ทำให้เกิดอาชีพใหม่ อาชีพใหม่ๆนี้ มีทั้งในโลกจริง และโลกออนไลน์ เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เราคงนึกไม่ถึงว่า แค่รวมตัวกัน มีมอเตอร์ไซด์ รับส่งอาหาร จากร้านตึกแถวที่คนนิยม แค่นี้ ก็รายได้เดือนละหลายหมื่นบามต่อคน เมื่อก่อน ถ้า เราไม่อยากไปเดินห้าง เวลาหิว ก็สั่งอาหารได้แต่พวก ที่มีให้บริการ ส่งถึงบ้าน เช่น KFC Pizza สั่งมาหลายปี เราก็เบื่อ อยากกินบะหมี่ร้านอร่อย ข้าวมันไก่ร้านโปรด ก็ต้องออกไปซื้อ แต่ตอนนี้ อยากทานร้านไหนก็ได้ ในกทม มี ทั้ง Line Gab Panda และอีกมาก ที่ รับส่งอาหาร ถ้าเปรียบอินเตอร์เนต คือโลก Facebook Youtube Line Google และแพลตฟอร์มต่างๆ คือประเทศ ในแต่ละประเทศจะมีคนทำมาหากิน ในนั้น บางคน รวยเพราะ line ทั่วโลก สร้างรายได้จากการทำมาหากิน ในประเทศFacebook google แต่จากนี้ ไปอีกไม่นาน จะมีโลกใหม่ คือ blockchain 147
และกำลังมีคนสร้างประเทศใหม่ๆ ใน blockchain ในทุกการเปลี่ยนแปลง จะมีผู้รับผลกระทบ ล้มหายไป และมีผู้เกิดใหม่เสมอ หนึ่งใน ธุรกิจ ที่เกิดใหม่ และกำลังเติบโต มาก คือ Knowledge businesses เป็นธุรกิจ ที่นำความรู้ เพื่อช่วยให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยให้สังคมดีขึ้น อาชีพใหม่ๆที่ทำงานด้านนี้ คือ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้รวบรวมความรู้ ผู้จัดการความรู้ ผู้จัดการชุมชน นักวิจัยข้อมูล big data นักออกแบบสื่อสารความรู้ ทั้งหมดนี้ ทำบน platform ที่ ต่างกัน เช่น social networks Online community Online Event รวมทั้ง event ในโลกจริง อาชีพเหล่านี้ ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีอุปสรรคเรื่องความรู้ เงินทุน และประสบการณ์ ทรัพยากร Resources ที่จำเป็นที่สุด ในการทำ งานเหล่านี้ คือ เวลา และ พลังของความมุ่งมั่น เราเห็น นักดนตรี นักร้อง นักเขียน นักกีฬา แม่บ้าน นักวิชาการ แม้แต่ ผู้สูงอายุ เริ่มเข้าสู่ธุรกิจนี้แล้ว และนี่ คือหนึ่งในเหตผลที่ ผมเขียน Talk like a Pro เพราะทุกอาชีพใหม่ ใน Knowledge business ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ต้องอาศัย ทักษะของการสื่อสาร ทุกพูด และทุกโพสต์ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสาขาอาชีพอนาคตได้ครับ 148
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156