Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พลังพูด เปลี่ยนชีวิต

พลังพูด เปลี่ยนชีวิต

Published by กฤษ ทัดระเบียบ, 2021-08-13 11:50:23

Description: พลังพูด เปลี่ยนชีวิต

Search

Read the Text Version

ถ้าเราพูด เรื่องตลก เราต้องรู้สึกขำ จึงจะทำให้ นำ้เสียงและการเล่าออกไปจะทำให้ผู้ฟัง หัวเราะ วิทยากรต้องพูดเรื่องราวออกมาจากความรู้สึกข้างในของเรา เพราะอารมณ์ความรู้สึก ของเรานี่แหละที่จะทำให้การพูดของเราเหมือนเพลงที่ไม่ไร้ทำนอง และจะเป็นทำนองที่น่าฟังถ้า เรามีInner เป็นพลังที่จะถ่ายทอดคำพูดเหล่านั้น จะเห็นได้ว่าอารมณ์ของผู้พูดส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพของการพูด ดังนั้นในการพูดทุก ครั้ง ผู้พูดต้องควบคุม อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นการพูดบนเวที การเสนอความเห็นในที่ประชุม หรือ แม้แต่การพูดคุยกับเพื่อน และคนในครอบครัว เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงการพูดที่ล้มเหลวของผมครั้งนึง เป็นการพูดที่ไร้อารมณ์เพราะไม่เห็น หน้าตาผู้ฟัง ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ ไม่ง่ายเลยสำหรับนักพูดที่พูดโดยไม่เห็นคนฟัง นี่คือสิ่งที่ทำให้ ผมรู้สึกว่าคนที่ทำรายการสดเช่น ดีเจ วีเจ นักจัดรายการทางวิทยุที่พูดแล้วมีผู้ฟังติดตาม ประสบ “การพูด ต้องออกมาจากข้างในของเรา ความรู้สึกของเรา ซึ่งจะทำให้ เป็นการพูดที่ เหมือนเพลง ซึ่งมีทำนองน่าฟัง ความสำเร็จในการพูดโดยไม่เห็นหน้าผู้ฟัง นี่เป็นนักพูดที่มีจินตนาการสูงมาก เก่งจริงๆ เพราะ การพูดที่ไม่เห็นหน้าตาอาการของผู้ฟังนี่เป็นเรื่องยากมากสำหรับผม เมื่อก่อนผมก็ไม่คิดว่าจะยาก ขนาดนั้น จนกระทั่ง วันนึง ทางกระทรวงศึกษาธิการเชิญให้ไปพูดในงานการศึกษา ซึ่งจัดที่ ปัตตานี ผู้จัดบอกว่า งานนี้ใหญ่มากครับ มีคุณครูสามจังหวัดพร้อมเด็กๆ เดินทางกันมา ที่ปัตตานี เราจัดดูแลอย่างดี นะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย ท่านคงพูดเพื่อให้ผมสบายใจเพราะช่วง นั้นข่าวทางสามจังหวัดรุนแรงมากครับ ตัวผมเองรับเชิญไปบรรยายมาแล้วแทบทุกจังหวัดขาดแค่ สามจังหวัดนี้แหละครับ ซึ่งทำให้ลังเลมาก ใจนึงก็อยากไป แต่คิดทบทวนไปมาสามตลบ ก็ ปฏิเสธครับ แหมไปมาทั้งประเทศแล้วจะเว้นไว้สักสามจังหวัดคงไม่เสียหายอะไร เอาไว้สบายๆ สถานการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยไปก็ได้ แต่ก็เกรงใจเพราะเขาอุตส่าห์ให้เกียรติเรา ผมเลยบอกไปว่าจะ 50

การพูดโดยไม่เห็น อัดคลิปให้เป็นการบรรยายเป็นพิเศษ สำหรับเด็กๆสามจังหวัด ตอน หน้าตาผู้ฟังเป็นเรื่องที่ นั้นตั้งใจว่าจะพูดให้คนฟัง รู้สึกสนุก ให้ได้ความรู้ และมีความหวัง 1 ไม่ง่ายเลย สำหรับนัก ชั่วโมงเต็ม พูด แล้วผมก็เริ่ม อัด บรรยายจบไปหนึ่งชั่วโมง ให้ทีมงานดูก่อนจะ ส่งให้กระทรวง ทีมงานผมบอกด้วยความไม่เกรงใจว่า “ห่วยมากค่ะ อาจารย์” มันไม่ได้อารมณ์ ไม่เหมือนที่อาจารย์เคยพูดในการบรรยาย ที่ผ่านมา ด้วยความเกรงใจ ผมก็อัดใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง อัดครั้งสอง เสร็จ ทีมงานดูแล้วบอกว่า “อาจารย์คะ อาจารย์ทำได้ดีกว่านี้” อืม มา คิดว่าเราจะเอาอย่างไรดี คือยังไงๆมันก็ยังไม่ดี กำลังนึกหาวิธี ทีมงาน ก็ไปเอารูปเด็กๆนักเรียนสามจังหวัดใส่ฮิญาบ นั่งฟังบรรยาย ตาใสๆ แล้วบอกผมว่า “อาจารย์ บรรยายให้เด็กพวกนี้ฟังนะคะ” นั่นแหละ ครับ รวดเดียวจบ ราบรื่น หลังจากส่งไป ฉายในงาน และเผยแพร่ไป ยังโรงเรียนต่างๆ ผมได้รับ จดหมายขอบคุณจากกระทรวง แต่ที่มีค่ามาก น่าจะมากที่สุด เป็นความภูมิใจ และมีความสุข มากกว่ารางวัลใดๆที่ผมเคยได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญทองกีฬา แห่งชาติ หรือ ชนะเลิศรายการแข่งขันกอล์ฟใดๆ รางวัลนี้ คือ จดหมายเขียนด้วยลายมือโย้เย้ ของเด็กๆ เป็นคำขอบคุณ จำนวน เยอะมากๆๆครับ สารภาพว่าผมอ่านแล้วนำ้ตาคลอ ความคิดที่ผุดขึ้น มาตอนนั้น คือ เฮ้ย เรามีค่าขนาดนั้นเลยหรือ ปีต่อมากระทรวง ขอให้ อัดคลิปส่งไปอีก ผมแจ้งกลับทันที ว่าผมขอไป ด้วยตัวเอง และตั้งแต่ นั้นมา ผมไปสามจังหวัดบ่อยมาก ได้รู้จักครู ผู้บริหาร นายกเทศบาล ผู้นำศาสนา และอธิการบดี จนวันนึงในงานสร้างเมืองใหม่ปัตตานี เป็นงานใหญ่มากๆครับ วิทยากร ทุกท่าน เป็นผู้นำมุสลิม มีโปสเตอร์ เป็นรูปวิทยากรทุกคนใส่ชุดมุสลิม ยกเว้นรูปใส่สูทเป็นแกะดำร่วม แทรกตัวอยู่คนเดียว หลังจากนั้นทุกครั้งที่ผมพูดโดยไม่เห็นหน้าผู้ฟัง ผมจะเอารูปคน ที่คาดว่าจะเป็นผู้ฟังมาวาง แล้วพูดกับภาพนั้นครับ มันได้ความรู้สึกที่ ดีจริงๆ 51

11 ภาษากาย คนฮ่องกงใช้ภาษากวางตุ้งในการพูดและส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากเพราะเป็น ภาษาราชการ แต่การพูดภาษาอังกฤษของชาวฮ่องกงส่วนมากจะมีปัญหาในเรื่องการออกเสียง ตัว L เช่นคำว่า Nathan Road เขาก็พูดว่า เหล่ตั๊น โต๊ว (โต๊ว เป็นภาษากวางตุ้ง แปลว่า ถนน ) คำว่า Name เขาก็ออกเสียง เป็น เลม ตอนผมไปฮ่องกงใหม่ๆไม่รู้ เรื่องนี้ 52

มีครั้งนึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน บอกผมว่า “ไซ ยัว เลม” ผมก็งง ยังไม่ทันพูดอะไร แต่หน้าตาผมคงบ่งบอกว่างง เจ้าหน้าที่คนเดิม ก็ใช้เสียงดังขึ้น บอกผมแบบเดิมว่า “ไซ ยัง เลม เขาคงคิดว่า ถ้าใช้เสียงดังขึ้นอาจทำให้ผมรู้เรื่อง แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าหน้าที่อีกท่านซึ่งยืนอยู่ ข้างๆดูท่าทางจะมีอาวุโสกว่า เลยต้องมาบอกผมด้วยคำพูดที่ช้าลง ว่า “ไซ ยัว เลม”ซึ่งก็พูด เหมือนเจ้าหน้าที่คนแรกแต่คราวนี้ผมรู้เรื่องครับ เพราะ ระหว่างที่พูด เขาเอาปากกามาทำท่าเขียน ไปด้วย ทำให้ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึง sign your name นี่แหละครับความสามารถในการ สื่อสารของผู้มีประสบการณ์ ภาษากาย ท่าทาง บอกความรู้สึก ใบหน้า บ่งบอกอารมณ์ ได้ชัดกว่า คำพูดนะครับ อย่างเราเห็น กันบ่อยๆ เวลานักข่าวไปถาม ท่านนายก “รู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้คะ” ท่านก็กัดฟัน ฝืนยิ้ม แล้ว บอกว่า “ผมเฉยๆนะ ไม่มีอะไร อยากพูดอะไรก็ให้เขาพูดไป” แบบนี้แหละครับ เราจะเชื่อที่ท่านพูด “ภาษากายของเรา สื่อสารเรื่องที่เราไม่อยากจะพูดได้เช่นกัน” หรือเชื่อที่เรา เห็น นักการเมืองเวลาที่เจอนักข่าวถาม “ท่านเตรียมพร้อมไหมคะเรื่องคดี” “โอ้ย เล็กน้อยครับไม่มีอะไร” แต่แววตา ออกไปทางกังวล มือไม้ ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน บางคน เหงื่อตก นี่แหละครับ ภาษากาย การใช้ภาษากาย มีประโยชน์มาก เพราะจะช่วยให้เราสื่อสารได้ดีขึ้น และมีพลังมากขึ้น แต่ภาษา กายของเรา นี่แหละครับที่สื่อสาร เรื่องที่เราไม่อยากจะพูดได้เช่นกัน ภาษากายเป็นองค์ประกอบสำคัญการพูดทุกรูปแบบ ลองนึกภาพนักร้อง ที่กำลังร้องเพลงชาติ ด้วยท่าทางแบบ แรป นั่นแหละครับ ทำไมลีลาจึงสำคัญ เพราะมันสามารถ เปลี่ยนความหมาย ของเนื้อร้องได้เลย ผู้พูด ที่ดี ใช้ลีลาภาษากาย เพื่อเสริมคุณภาพของการพูด ส่วนผู้พูดที่ พูดไปเรื่อย อาจเผลอใช้ ลีลา แบบไม่ตั้งใจ ไปลดคุณค่าของ การบรรยาย ก็ได้เช่นกัน การแสดงออก ทางหน้าตา ท่าทาง การยืน หรือนั่งและกริยาต่างๆของผู้พูดที่แสดงออกมา แบบ ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม นั่นแหละครับคือส่วนหนึ่งของคุณภาพในการพูด 53

ผมมักจะไปสถานที่ จัดงานบรรยายก่อน เวลาเสมอ เพื่อทดสอบระบบต่างๆและยังเป็นการ ใช้เวลาก่อนบรรยาย ทำความคุ้นเคย กับผู้ฟังที่มาก่อนเวลา ดังนั้น งานของวิทยากร เริ่มตั้งแต่ เดินเข้าไปในห้องประชุมแล้วเพราะ ผู้ฟังจะเห็นท่าทาง อาการ ของเรา ตลอดเวลา อย่าเผลอไปนั่ง แคะเล็บ แคะฟัน เพราะถึงจะดูเป็นกันเอง แต่มันก็ออกจะกันเองเกินไป ผมจะไม่รับโทรศัพท์ ในห้องประชุมแม้ในช่วงที่นั่งรอ ก่อนขึ้นบรรยาย เพราะเป็นการให้ เกียรติ ผู้ฟัง และคนที่มาต้อนรับ งานของวิทยากร จึงต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนพูดครับ เมื่อเราถึงห้องบรรยาย ควรใช้เวลากับผู้ฟัง ผู้มาต้อนรับให้มากที่สุด ใช้เวลาทักทายผู้ฟัง ด้วยสายตา มองและยิ้มเพื่อขอบคุณที่ให้เกียรติมาฟังเรา บางครั้งผมใช้เวลาก่อนขึ้นเวที เพื่อถ่าย รูปกับแฟนเพจที่เข้ามาฟัง “งานของวิทยากร เริ่มตั้งแต่เดินเข้าไปในห้องประชุม” ท่าทางของวิทยากรในช่วงการพูดบนเวที โดยทั่วไปเป็นท่าทางซึ่งเป็นธรรมชาติของแต่ละ คนและมักจะออกมาจากความรู้สึก ดังนั้นผู้พูดที่ใช้ความรู้สึกก็มักจะมีท่าทางภาษากายออกมา เองโดยไม่ต้องเตรียมอะไรเพราะเป็นไปตามธรรมชาติ การยืนพูดจะช่วยให้เราออกท่าทางได้ง่าย กว่าการนั่งบรรยาย ผู้พูดที่ใส่ใจกับคุณภาพการพูด จึงมักจะยืนมากกว่านั่ง แต่เคยเจอ บางคน ยืนพูด มีไมค์ลอยติดที่แก้ม ดูคล้ายๆนักร้อง แบบนี้ก็น่าสนใจครับ เพราะออกท่าทางได้เต็มที่ แต่ บางท่าน เดินไปเดินมา บนเวที จนคนฟังต้องกรอกตาตาม ถ้าเวทีกว้างมากก็ ถึงขนาดต้องหัน หน้าตาม ดูแล้วน่าเวียนหัว มากกว่าน่าติดตาม วิทยากรท่านนี้ คงดูคอนเสริตบ่อย เผลอคิดว่าตัว เองเป็น พี่ตูน บอดี้แสลม กำลังแสดงเลยต้องให้แฟนคลับใกล้ชิดทั่วถึง ก็น่าเหนื่อยแทนนะครับ ผมเคยไปฟังวิทยากรบรรยายเรื่อง เทคโนโลยี่สมัยใหม่ ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลก วิทยากรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านบรรยายเนื้อหาดีมากครับ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ท่าทาง ของท่าน มีปัญหา คือท่านคงติดมองเพดาน เวลาพูดในจังหวะที่ท่านคิด อาจจะยังนึกอะไรไม่ออกหรือ ติด อะไร ท่านก็เว้นจังหวะแล้วมองเพดาน เหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียว แรกๆผู้ฟังก็เผลอมอง 54

เพดานตามกันไป พอท่านทำบ่อยจนผู้ฟังรู้ทัน หลังๆก็ปล่อยท่านมองไปคนเดียว แบบนี้ต้อง ปรับปรุงครับ เรื่องของสมาธิของผู้พูด นี่สำคัญมาก บางทีมีคนเดินเข้าออก ถ้าเรามอง สายตาของเราจะทำให้ผู้ฟังเสียสมาธิและมองตามสายตาเราได้เช่นกัน ลองนึกดูนะ ถ้าเรากำลังคุยกับใคร แล้วคนคนนั้นมองโน่นมองนี่อยู่บ่อยๆ เราจะรู้สึก อย่างไร ผู้ฟังเขารู้สึกแบบนั้นแหละครับ ถ้าผู้พูดไม่ส่งสายตาไปที่เขา วิทยากรเมื่ออยู่บนเวที จะใช้สายตามองไปที่ผู้ฟัง เพราะนอกจากจะเป็นการสะกดผู้ฟังได้ แล้วการมองผู้ฟังยังเป็นเรื่องจำเป็นมากเพราะผู้พูดต้อง กำหนดจังหวะการพูดจาก สถานะการณ์ อย่าลืมว่าเรากำลังพูดกับผู้ฟัง ต้องใส่ใจผู้ฟัง สังเกตุว่าตอนไหนผู้ฟังมีอารมณ์อย่างไร รู้สึก อย่างไร เข้าใจไหม สงสัยไหม “สายตามองไปที่ผู้ฟัง เพราะนอกจากจะเป็นการสะกดผู้ฟังได้ แล้วยังใช้เพื่อกำหนดจังหวะการพูดได้อีกด้วย” เราดูได้จากแววตา การพยักหน้าและภาษากายของผู้ฟัง ทั้งหมดนี้แหละครับที่จะช่วยทำให้ เรามีจังหวะ เราจะพูดเมื่อมีคนฟังและเราต้องหยุดหรือเปลี่ยนจังหวะเมื่อมีลักษณะอาการที่บ่งบอก ว่าผู้ฟังเริ่มเบื่อ เรื่องจังหวะการพูดนี้ใช้ได้กับการพูดทุกประเภท ทุกสถาณการณ์ เช่นการพูดในที่ ชุมชน การประชุม การนำเสนองาน การเสนอขาย หรือแม้แต่การอยู่ในวงสนทนา มีหลายคน สงสัยว่าทำไมวิทยากร มืออาชีพชอบยืนพูด ในขณะที่วิทยากรทั่วไปชอบนั่ง บรรยาย ผมเองก็มักจะยืนพูดเพราะ 1 การยืนทำให้เราส่งสายตาไปได้ทั่วถึง ทำให้มองเห็นผู้ฟังง่ายกว่าการนั่งและนั่นจะทำให้ เรา กำหนดจังหวะการพูดได้ดี คือรู้ว่าตอนไหนควรลากยาว ตอนไหนควร สร้างความร่วมมือ ตอนไหนควรออกมุขที่เตรียมมา 2 การยืนทำให้เราแสดงภาษากายได้ชัด เป็นการสื่อ ความสนุก ความจริงจัง หรืออารมณ์ ใดๆ ได้ง่ายกว่าการนั่ง 3 การยืน ทำให้เราเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ใกล้กับผู้ฟังได้ง่าย ยิ่งใกล้ ก็ยิ่งง่ายต่อการสร้างความร่วมมือครับ 55

บางครั้ง เราใช้วิธียืนสลับนั่งได้ครับ ในการบรรยายสามชั่วโมง ผมมักใช้ คลิปเพื่อเปิด ขั้น จังหวะในบางช่วงเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ และเราสามารถใช้เวลาช่วงนี้ มานั่งชมไปพร้อมๆกับ ผู้ฟังได้ ซึ่งก็จะช่วยให้ ไม่ต้องยืนนานถึงสามชั่วโมง 56

12 ENGAGEMENT ทุกครั้งที่เราโพสต์อะไร ลงไปในสังคมออนไล์ เช่น Facebook เราก็อยากเห็น คนมาlike และถ้า เป็น love ก็จะยิ่งรู้สึกดี ถ้ามีการ share มากๆ เราก็จะปลื้ม ถ้าเป็นtwitter เราก็อยากให้คนรีทวิต ลงใน line ก็อยากให้มีคนมาอ่าน ลงในยูทูปก็อยากให้มียอดคนดู คนติดตามมากๆ 57

การ like love share รวมทั้ง comment นี่แหละครับ คือตัวที่บ่งบอกว่าชุมชนคนติดตามของเรา มีการร่วมมือ (Engagement)มากน้อยเพียงใด ในการสร้างชุมชนออนไลน์ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นกับจำนวนผู้ติดตาม แต่เพียงอย่างเดียว บางเพจ มีผู้ติดตามจำนวนมาก แต่ไม่ค่อยมีคน like ขาดคน share คือโพสต์อะไรลงไปแล้วเงียบหายไร้ร่องรอยคนสนใจ แบบนี้เขาเรียกว่า ไม่มี engagement ครับ คือมีผู้ติดตาม แต่ขาดคนร่วมกิจกรรม อาการแบบนี้จะเห็นได้บ่อยๆจากเพจที่ลงทุนเสียเงินหาผู้ ติดตาม ด้วยการซื้อโฆษณาบ้าง แจกของบ้าง ก็ได้ผู้ติดตามมา แต่เป็นผู้ติดตาม ที่ไม่ติดต่อ แบบ นี้แหละครับ การสร้างEngagement เป็นเรื่องจำเป็น เพราะมันคือตัววัดความสำเร็จของเรื่องราวที่เราสื่อสาร “Engagement คือตัววัดความสำเร็จของเรื่องราวที่เราสื่อสาร ออกไป” ออกไป และเป็นพื้นฐานของการสร้างชุมชนออนไลน์ของเรา ในการพูดก็เช่นกัน นักพูดที่ดีจะต้องมีวิธี สร้างEngagement เพื่อให้การพูดไม่น่าเบื่อ และ เป็นการวัดผล การตอบสนองจากผู้ฟังอีกด้วย การทำให้ผู้ฟังได้ ร่วมทำอะไรบางอย่าง เช่น ตอบคำถาม ยกมือ แสดงความเห็น นั่นคือ การ สร้างEngagement ที่ควรนำมาใช้อย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงการบรรยายที่ต้องการกระตุ้น ให้ผู้ ฟังตื่นตัว ผู้พูด ที่ดีจะสังเกตผู้ฟัง และใช้เทคนิค การสร้างความร่วมมือเพื่อกระตุ้น engagement เป็น ระยะๆ เช่น ถ้าเห็นอาการ ผู้ฟังเริ่มเบื่อ ผมชอบใช้การสร้างความร่วมมือที่หลากหลายในการ บรรยาย เช่นใช้คำถาม ควรใช้คำถามที่ผู้ฟังร่วมตอบได้ง่ายๆ อย่าใช้คำถามที่ ตอบยาก ลองนึก ภาพดูนะครับ เราอยู่บนเวที เล่าเรื่อง การพัฒนาประเทศสิงคโปร์ พอบรรยายไป เห็นผู้ฟังชักจะ ง่วง ก็เอาเทคนิคนี้มาใช้ โดยถามผ่านไมค์ ไปว่า “พวกเราคิดว่า เศรษฐกิจเขาเติบโตมาได้เพราะ อะไร”ถามแบบนี้ผู้ฟัง เงียบกริบครับ ถึงผู้ฟังบางคนจะตอบได้ ก็คงตอบในใจ คำถามที่ใช้ในการ สร้าง engagement ควรเป็นคำถามที่ทุกคนตะโกนตอบได้และอยากตอบ 58

ลองดูการเปลี่ยนตัวอย่างให้เป็น คำถามที่น่าตอบ และตอบง่ายๆ เช่น “พวกเราคิดว่า เศรษฐกิจ สิงคโปร์ เติบโตมาได้ เพราะ ทรัพยากร หรือเพราะคุณภาพของคน ครับ” แบบนี้อาจมีเสียงตอบ มาบ้าง แต่เราอาจสร้าง ความร่วมมือให้มากขึ้น คือให้ตอบง่ายไปอีก เราอาจใช้วิธีนี้ได้ เช่น “ไหนใครคิดว่า เพราะทรัพยากร ช่วย ยกมือหน่อยครับ. ...... เอ้า แล้วใครคิดว่า เพราะ คุณภาพของคน บ้างครับ” แบบนี้ก็จะเกิดการยกมือ ซึ่งง่ายกว่าการตอบมาก เราอาจสร้างความร่วมมือระหว่างผู้พูดและผู้ฟังโดยใช้ แอพพลิเคชัน ซึ่งปัจจุบันมี เทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ฟังร่วมตอบโต้ง่ายๆโดยใช้แอพพลิเคชันซึ่งทำให้โทรศัพท์มือถือของผู้ฟัง กลายเป็นเครื่องมือแสดงความคิดเห็น เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ยังไม่มีแอพพลิเคชันที่สร้างความร่วมมือแบบนี้ โครงการห้องเรียนแห่ง อนาคตที่ผมก่อตั้งขึ้น จึงได้สร้างเครื่องมือ ชื่อ CBL Tool เพื่อให้ ผู้ฟัง ซึ่งอาจเป็นนักเรียน นักศึกษาได้ร่วมโหวตหรือให้คะแนนในประเด็นต่างๆที่ผู้พูดจัดเตรียมไว้ เช่น เมื่อบรรยายถึง เรื่องของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในโลก ผู้พูดก็ ใช้CBL tool ตั้งหัวข้อและเปิดโหวต ให้ผู้ฟัง ใช้โทรศัพท์ โหวตว่า ชอบ ประเทศอะไรกันบ้าง ในขณะที่โหวต ภาพบนจอจะแสดงผลโหวต ทุก คนได้รับรู้ไปพร้อมๆกัน ทุกวันนี้ มีอาจารย์จำนวนมาก ใช้ CBL Tool เพื่อให้ผู้เรียนร่วมให้คะแนนผลงานของเพื่อน หลังจากที่ได้ฟังเพื่อนนำเสนอผลงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ผู้เรียนให้ความสนใจ คือตั้งใจฟัง เวลาที่เพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนอผลงาน เพราะต้องเป็นคนให้คะแนนหลังการฟังจบ ผู้สนใจ ไปโหลด มาใช้ได้ฟรี ที่ www.cbltool.com ปัจจุบันมี การพัฒนาแอพพลิเคชันลักษณะนี้มากขึ้นแต่ละแอพมีจุดประสงค์และวิธีใช้ต่างกัน ไป เช่น เราใช้ Mentimeter.com เพื่อสร้าง poll ทำโหวตให้คะแนนกันได้ ใช้ เว็บไซต์ quizizz.com ทำแบบทดสอบ อยู่ในรูปแบบของเกมส์ ที่มีการแข่งขันและแสดง ผลคะแนนแบบออนไลน์ นอกจากนั้นยังมี Kahoot Slido Poll Everywhere แอพพลิเคชันพวกนี้ จะช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วมในการฟังบรรยายได้สะดวกและสนุกได้ ง่ายๆและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ 59

13 พูด ชัด คนพูดไม่ชัดเป็นนักพูดที่ดี วิทยากรที่เก่งได้ไหม ... คำตอบคือได้ครับ คนสิงคโปร์ คนฮ่องกง พูด อังกฤษไม่ได้ชัดอะไร แต่เป็นนักพูด ที่มีคนฟัง และประสบความสำเร็จมากมาย เพื่อนผม เป็นคนฮ่องกง พูดอังกฤษสำเนียงกวางตุ้ง แต่เป็นวิทยาก ด้านการตลาดระดับโลก พูด เก่งมากครับ สำเนียงไม่ชัด ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเล่าเรื่องไม่ชัด นี่แหละครับ เป็นปัญหาแน่นอน นักพูด ต้องพูดแล้วคนฟังเห็นภาพชัด นั่นอาจเป็นเหตุให้วิทยากรส่วนใหญ่ต้องใช้ภาพช่วยในการ เล่าเรื่อง คือถ้าเล่าแล้วอาจเห็นภาพไม่ชัดก็เลยเอาภาพมาให้ดูชัดๆกันไปเลย 60

การพูดให้เห็นเป็นภาพ ช่วยให้ผู้ฟัง นึกตามไปได้ ตัวอย่างการบรรยายที่ช่วยทำภาพให้ใน ความคิดของผู้ฟังให้ ชัดขึ้น เช่น แทนที่เราจะพูดว่า “ประเทศสิงคโปร เป็นแค่เกาะเล็กๆ ขนาดประมาณ 640 ตารางกิโลเมตร” แบบนี้ ผู้ฟังอาจมึนครับเพราะนึกไม่ออกว่า 640 ตารางกิโลเมตร นี่มันประมาณไหน ถ้าจะช่วยให้ผู้ฟังเห็นภาพชัด เราน่าจะพูดโดยเปรียบเทียบกับเรื่องที่ผู้ฟังคุ้นเคย เช่น “ประเทศสิงคโปร์เป็นแค่เกาะเล็กๆพื้นที่ ก็ประมาณแค่จังหวัด นนทบุรี ” หรือเราอาจใช้เทียบกับ จังหวัด ที่เรากำลังบรรยายก็ยิ่งดี เพราะผู้ฟังคุ้นเคยกับเรื่องใกล้ตัวอยู่แล้ว เช่น ผมไปพูดที่ จังหวัด มุกดาหาร ก็เตรียมเนื้อหาเพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพชัด เช่น “ประเทศไอซ์แลนด์ เป็นเกาะขนาดใหญ่ พื้นที่ ประมาณเกือบเท่าภาคอิสานบ้านเรา นี่แหละครับ แต่มีคนอาศัยอยู่กันแค่สามแสนคน จำนวนคนที่นี่น้อยมากประมาณเท่าจำนวนคนมุกดาหารนี่แหละครับ ลองนึกดูนะครับ ว่าคนเขา น้อยแค่ไหน ขนาดของพื้นที่ประเทศเขาประมาณเท่าภาคอิสานทั้งภาค แต่มีคนแค่ จังหวัดเดียว เวลาเราขับรถท่องเที่ยวในบ้านเขา ขับไปตั้งนาน กว่าจะเจอคน ส่วนใหญ่เป็นที่โล่งๆครับ อาจ เพราะเขามีคนน้อย น้อยมากๆนี่แหละครับ เขาจึงต้องพัฒนาคน ......” อีกตัวอย่างของการพูดให้ชัดโดยใช้การพูดเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจเรื่อง ราวที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้นหรือเพื่อให้ผู้ฟังมองเห็นภาพรวม เช่น เทียบการศึกษากับอุตสาหกรรม “การศึกษา ไม่ใช่อุตสาหกรรม ที่จะผลิตคนเหมือนๆกัน แต่เป็นศิปกรรมในการสร้างสรรค์ คนที่แตกต่างกัน “ เทียบเด็กกับต้นไม้ เพื่อให้เห็นภาพการพัฒนาคน “เด็กๆ ก็เหมือน พืชพรรณ ที่เราปลูก บางชนิดโตเร็ว บางชนิดโตช้า เราจะไปเร่งให้โตพร้อม กัน มันไม่ได้ครับ” เทียบชีวิตจริงกับเกมส์ “ อุบัติเหต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เราป้องกันได้ครับ และเป็นความจำเป็น เพราะ ชีวิตไม่ใช่ เกมส์ เราเล่นเกมส์ ตาย ก็มีตัวใหม่ออกมา แต่ ชีวิตจริงไม่ มีตัวใหม่มาให้เราเล่นต่อนะครับ” การพูดให้ชัดอีกวิธีหนึ่งคือ ใช้ตัวอย่างเสริม เพื่อสร้างความเข้าใจ “เมื่อมีทางเลือกอยู่สองทาง คนที่มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ จะใช้ความคิด เลือกทางที่ดี กว่า แต่คนที่มีทักษะในการคิดสร้างสรรค์จะหาทางที่สาม สี่ ห้า “ การพูดให้ชัดโดยการเปรียบเทียบและยกตัวอย่างไปพร้อมๆกัน เช่น “เราใช้เงินซื้อหนังสือ ได้ แต่จะซื้อความรู้ ไม่ได้ เพราะเราต้องอ่าน จึงจะได้ความรู้ แต่ทุกวันนี้ เรายอมเหนื่อย ทน เพื่อหาเงิน 61

เพราะคิดว่า เงินจะซื้อ ความสุขได้ แต่ ที่จริง ความสุขมันไม่ได้ต้องใช้เงิน หรือ สติปัญญาอะไรมากมายหรอกครับ “ ลองมาดูอีกตัวอย่างของการพูดเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดและยังช่วยเน้นให้ผู้ฟังเกิด รู้สึกอีกด้วย “การขยายกิจการแบบเร็วเกินไป โดยพื้นฐานยังไม่มั่นคง อาจสร้างความเสียหายให้ ธุรกิจ ได้ เพราะ การเติบโตเร็วเกินไป จะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย และที่สำคัญ คือ เงินทองหมดยังกู้ ยืมธนาคารได้ แต่ชื่อเสียงหมดนี่ กู้ยืมจากไหนก็ยากนะครับ” เราควรเตรียมตัวเล่าเรื่องโดยใช้การเปรียบเทียบต่างๆ แบบนี้ เพราะจะทำให้การพูด น่าฟัง และน่าสนใจมากกว่า การเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ อีกวิธีที่จะช่วยทำให้เรื่องที่เราพูดมีความชัดมากขึ้น คือ เล่าให้ละเอียด ครับ ลองฟังการพูดเรื่อง คุณบิลเกต ซึ่งเป็นตัวอย่างการพูดให้เห็นภาพชัดโดยการเล่าเรื่องแบบ ละเอียด เป็นวิธีการเล่าเหมือนผู้พูดอยู่ในเหตการณ์พร้อมทั้งเพิ่มความชัดโดยใช้วิธีเปรียบเทียบ ให้เห็นภาพและในตัวอย่างนี้ใช้เทคนิคการสร้างความร่วมมือเพื่อสร้างความตื่นตัวให้ผู้ฟังด้วย “คุณบิลเกตนี่ รวยมากนะครับ ความรวยของแกก็ ถึงขนาดว่า ถ้า แกย้ายมาเป็นคนไทย ประเทศเราจะกลายเป็นประเทศรำ่รวย ได้เลยครับ ทรัพย์สินของคุณบิลเกต งอกเร็วมาก เอาเป็นว่าถ้าแกทำเงินตกสักหมื่นบาท แกไม่ต้องก้มลงไปเก็บเลยครับ เพราะระยะเวลาที่ก้มเก็บ แกทำเงินได้มากกว่าหมื่นบาทครับ แต่ที่ผมชื่นชมคุณบิลเกต ไม่ใช่เพราะรวยที่สุดในโลก แต่ เพราะเป็นคนรวยที่ใจดีสุดๆของโลก คุณบิลเกต บริจาคเงิน เพื่อการกุศล ช่วยเหลือคนทั้งโลก เป็นคนที่บริจาคมากที่สุดในโลกนะครับ แถมยังให้ภรรยา ลาออกจากงานมาทำมูลนิธิ เกต เมลินดา เพื่อช่วยเหลือคนในโลก พวกเราคิดว่า คนรวยที่สุดในโลกจะบริจาคเงินสักกี่บาทครับ คิดว่าเกิน100 ล้านบาท ไหมครับ(ถึงตรงนี้ ปล่อยจังหวะให้ผู้ฟัง ...) 62

มากกว่านั้น ไหนใครว่า มากกว่า พันล้าน .. มากกว่านั้นครับ มากกว่าหมื่นล้าน ครับ แกบริจาค มากกว่า แสนล้าน ครับ ทีนี้นึกตัวเลขกันไม่ออกเลย นะครับ แกบริจาค สิบแสนล้านบาทครับ ที่อเมริกา มีคนรวยมากๆอันดับต้นๆของโลก อายุมากแล้ว ชื่อคุณ วอเรน บัฟเฟต์ เป็นนักธุรกิจ ที่เก็บตัวไม่ชอบให้สัมภาษณ์ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร หนังสือพิมพ์ ชอบแซะว่า คุณบัฟเฟต์ เป็นคนขี้เหนียว “การเล่าเรื่อง ให้เห็นเป็นภาพชัดแบบนี้ จะทำให้ผู้ฟังไม่เบื่อ และคิดตามได้ง่าย ไม่ต้องใช้พลังสมองเยอะ ” วันนึง คุณบิลเกตไปขอพบ คุณบัฟเฟ่ต์ ปกติแกไม่ให้ใครพบง่ายๆ แต่ครั้งนี้ แกคงมั่นใจว่าคุณบิล เกต ไม่มายืมตัง แน่นอน คุณบัฟเฟต์ เลยยอมให้พบ 30 นาที เรื่องนี้นักข่าวตื่นเต้นมาก คาดว่า จะมีการตกลงธุรกิจครั้งใหญ่ของประเทศ เพราะนักธุรกิจระดับโลกมาคุยกัน นักข่าวตามไปเฝ้ารอ ทำข่าว ปรากฏว่า คุยกันถึงสองชั่วโมง พอ บิล เกตออกมา นักข่าวก็รุมสัมภาษณ์ คุณบิล เกตก็ไม่ตอบอะไร หลังจากวันนั้น คุณบัฟเฟต์ ก็บริจาคเงินให้การกุศล มาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ บริจาคไป มากกว่า สิบแสนล้านบาทแล้วครับ ......” 63

การเล่าเรื่อง ให้เห็นเป็นภาพชัดแบบนี้จะทำให้ผู้ฟังไม่เบื่อและใช้ความคิดติดตามการพูด ของเราได้ง่าย ไม่ต้องใช้พลังสมองเยอะครับ อีกเทคนิคหนึ่งของการเล่าเรื่องให้ชัด คือพูดด้วยภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายๆ การเป็น วิทยากรมืออาชีพคือการพูดเรื่องวิชาการหรือเรื่องยากๆให้คนทั่วไปฟังง่าย เข้าใจง่าย ผมเคยฟังวิทยากรบางท่านพูดเรื่องวิชาการใช้คำทางวิชาการที่ฟังยากมาก ถึงแม้ว่าจะเป็น คำที่ตรงความหมาย คือถูกต้องตามตำรา แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ช่วยให้ผู้ฟัง เข้าใจ สนใจ และติดตาม เคยได้ฟังคนแอบจิกวิทยากร หลังจากฟังบรรยาย ว่า “วิทยากร เหรอ โห พูดได้ดีมาก วิชาการแน่นแต่เสียดาย ผมไม่รู้เรื่องครับ” ในการพูดให้ นิสิตปริญญาเอกฟัง เราก็ควรใช้คำและการนำเสนอแบบนึง การพูดบนเวที ให้คนทั่วไปฟัง ก็ต้องใช้คำและการนำเสนอที่ต่างไป เมื่อไรที่เราจำเป็นต้องใช้คำพิเศษ ซึ่งใช้ “นักพูดจะพูดเรื่องวิชาการหรือเรื่องยากๆให้คนทั่วไปฟังง่าย เข้าใจง่าย ” เฉพาะสาขาอาชีพ (Jagon) เราควรอธิบายให้ผู้ฟังรู้ก่อนว่าคำนั้นหมายถึงอะไร หรือถ้าจำเป็น ต้องใช้คำในภาษาต่างประเทศที่คาดว่าผู้ฟังอาจไม่เข้าใจ เราควรพูดและแปลไปพร้อมๆกันใน ครั้งแรกที่พูดถึงคำนั้นๆ และหลังจากนั้นก็พูดซำ้ได้ตลอดการบรรยายโดยไม่ต้องแปลอีก แบบนี้ ผู้ฟังก็จะเข้าใจและยังได้คำศัพท์ใหม่ไปใช้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น เราอยากให้ผู้ฟังรู้จักคำศัพท์เฉพาะ (jagon) เพื่อจะได้พูดทับศัพท์ในการบรรยายของเรา ไปได้เรื่อยๆ ในที่นี้คือคำว่า convergent และdivergent เราอาจเริ่มต้นแบบนี้ “การคิดวิเคราะห์ นั้นเป็นเรื่องที่เราถนัดกันครับ มันคือการค้นหาคำตอบที่แม่นยำ และคำ ตอบที่ได้ มักจะใกล้เคียงกัน ถ้าเร่าใช้ทฤษฎีเดียวกัน หรือเรามีประสบการณ์แบบเดียวกัน เช่น4+5เท่ากับเท่าไร เราก็คิดแบบเดียวกัน คำตอบจึงเหมือนกัน ดังนั้นการออกข้อสอบ เพื่อวัด ความคิดแบบนี้ เราเลยทำข้อสอบแบบที่คุ้นเคยกันได้ คือ เป็นข้อสอบแบบตัวเลือก คือเป็น Choices ก ข ค ง ซึ่งมีเฉลยเป็นข้อที่ถูกที่สุดข้อเดียว ลักษณะแบบนี้ คือการคิดวิเคราะห์ มีลักษณะเป็น convergent คือเป็นแบบลู่เข้าหาคำตอบ ( ทำมือประกอบ) คือเป็นความคิดที่วิ่งไปหาความแม่นยำ แต่ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่แบบนี้ 64

ความคิดสร้างสรรค์นั้นตรงกันข้าม เพราะเป็นการกระจายออก ที่เขาเรียกว่า Divergent (ทำท่ากระจายออก) คือ มันจะฟุ้ง หลากหลาย เราใช้ความคิดสร้างสรรค์เพราะ มันเป็นการคิดเพื่อหาคำตอบที่หลากหลาย และเราจะมา วัดระดับความคิดสร้างสรรค์ของคนด้วยการสอบ แบบ Choices ก ข ค ง ไม่ได้ครับ เพราะมันเป็น Divergent..........” เริ่มแบบนี้ จากนั้นเราก็สามารถพูดทับศัพท์ สองคำนี้ได้ตลอดการบรรยาย การใช้ประโยคดีๆและคำคมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เรื่องที่เราพูดชัดและน่าสนใจมากขึ้น ดังนั้นนักพูดมืออาชีพจึงมักเป็นนักอ่านและนักสะสม คือสะสมประโยคดีๆ ข้อความสั้นๆ บทกลอน คำคม อะไรที่อ่านแล้วรู้สึกดี ฟังแล้วชอบ เราควรสะสมไว้ครับ เป็นเหมือนวัตถุดิบที่เราเอาไว้ใช้ ในตอนออกแบบการบรรยาย หรือการพูด เพื่อเน้นเรื่อง ขยายความหรือสร้างอารมณ์ นอกจากนั้น ยังนำ ข้อความคำคมดีๆเหล่านี้ไปใช้ประกอบภาพ ในการทำ Presentation การทำเป็น Quote คำในสเตตัส บนโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ ทุกครั้งที่มีการใช้คำคม ข้อความเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่คำหรือข้อความที่เราคิดขึ้นมาเอง ต้อง อ้างถึงเจ้าของนะครับเพราะเรื่องของลิขสิทธิ์นั้นถึงผู้สร้างผลงานจะไม่จดไม่แจ้ง แต่มันก็คือ ลิขสิทธิ์ เราควรให้เกียรติและอ้างที่มาทุกครั้งทั้งการพูดและการโพสต์ การคิดข้อความ คำคมเอาไว้ใช้งาน ตัวอย่างคำคมที่ผมแต่งมาเพื่อ ใช้ข้อความสั้นๆ อธิบายเรื่องราว เช่น “เด็กเราวันนี้ ทำข้อสอบได้ แต่ผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น” “ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ ว่ารู้น้อย ส่วนที่รู้นิด ไปคิดว่ารู้มาก” “เกรดเฉลี่ย ก็เหมือน เอาสามเมตร บวกกับสองนาที แล้วหาค่าเฉลี่ย มันไม่จริง จะเอา คณิตศาสตร์ มาเฉลี่ยกับ ภาษาไทย ไม่มีค่าอะไร เก่งใครเก่งมัน “ “ ความคิดสร้างสรรค์ คือ คิดแตกต่าง แต่ต้องแตกต่างแล้วมีคุณค่าเพิ่ม” “ความสุข มันไม่ต้องใช้ความสามารถในการคำนวน มันไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น” “ความรัก นั้นงดงาม และไม่ต้องการคำอธิบาย เพราะ มันไม่ต้องใช้เหตผล “ ผมชอบคุยกับผู้อาวุโส เพราะท่านเหล่านี้ มักจะมีประสบการณ์ และการพูดคุย ทำให้เราได้ แง่คิด มุมมองดีๆเสมอ ครั้งหนึ่งผมไปบรรยายที่สุราษฏร์ธานี ก่อนจะขึ้นเวที ได้คุยกับอาจารย์ ที่ เกษียณแล้วแต่ยังห่วงใยการศึกษา ท่านบอกว่า “เด็กเราความจริง เก่ง เขามีดีกันทุกคน แต่การศึกษาเราไม่สนับสนุน เด็กเราเหมือนมังกร แต่การศึกษาเหมือน โอ่ง ........” 65

โอ้โห ฟังแล้วเห็นภาพเลย ผมต้องขออนุญาต ท่าน บอกว่าขอนำไปใช้ และจดไว้เลย เสียดายว่าลืมจดชื่อท่าน แต่ทุกครั้งที่บรรยายก็จะ พูดว่า มาจากครู เกษียณ ที่สุราษฏร์ เราไม่ควร พูดแล้วทำให้ผู้ฟังเข้าผิด คิดว่าเราเป็นคนคิด ครับ Good Words ที่เราแปลมาจากภาษาอังกฤษ ก็ควรให้เครดิต ผู้เขียนหรือพูดไว้ เช่นที่โท ม้ส เอดิสัน บอกว่า “ ความสำเร็จ มาจากไหน 1% พรสวรรค์ 99% ความขยัน “ ถึงแม้ความจริง เอดิสัน ไม่ได้พูดคำนี้ เพราะคุณเอดิสันพูดไทยไม่ได้ แต่เราไปแปลมา ถึงจะ มาแต่งคำให้สวยๆด้วยตัวเราเอง ก็ควรจะอ้างถึงที่มา เพราะนอกจากจะเป็นการให้เกียรติ ผู้คิด แล้วยังช่วยให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย ส่วนข้อความ คำคม ที่ไม่มีข้อมูลว่ามาจากไหน แต่เราได้ฟังมา ก็ควรจะขึ้นต้น ว่า “ เคยได้ฟังมาว่า ...........” “มีคำพูดที่ว่า ..................” “อย่างที่ ภาษิตของจีน บอกไว้ว่า ..............” การคิดคำคมเอาไว้ใช้เองทำได้ไม่ยาก เราควรคิดคำคมและข้อความดีๆเอาไว้เพื่อใช้พูด และโพสต์ ซึ่งคำพวกนี้เป็นคุณค่าอย่างหนึ่งของการเป็นนักสื่อสารมืออาชีพ เพราะคำดีๆที่มีค่า จะ เผยแพร่ได้เร็ว คำคมที่คนชอบ จะมีคนนำไปใช้ต่อและอ้างถึงเราซึ่งเป็นต้นฉบับ จะส่งเสริมให้ วิทยากรทั่วไป กลายเป็นวิทยากรมืออาชีพได้ครับ ผมรวบรวมการคิดคำคมมาให้ 5 วิธีต่อไปนี้ 1 คิดจาก ข้อความที่เป็นคำคม ที่ มาจากประสบการณ์ และการ อุปมาอุปไมย ( metaphor) อุปมา คือ สิ่งหรือข้อความที่ยกมาเปรียบเทียบ อุปไมย คือ สิ่งหรือข้อความที่ถูกเปรียบเทียบ เช่น “การศึกษาคือเครื่อมือพัฒนา คน ไม่ใช่เครื่องมือแบ่งแยกคน” ผมนึกถึงโรงเรียนที่ ทำหน้าที่เหมือนโรงงาน แต่คนไม่ใช่วัสดุ หรือวัตถุดิบ ที่เมื่อผ่านเข้าโรงงานแล้วผลิตออกมาเป็น ผลิตภัณฑ์ ที่ดี ส่วน ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็คัดทิ้งไป คน นะครับ ไม่ใช่ สิ่งของ ผมนำการเปรียบเทียบนี้มาใช้ เพื่อสร้าง คำคมต่างๆ เช่น “การศึกษา คือการพัฒนาคน ไม่ใช่มาตรวัดความเก่ง” “มนุษย์ คือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด และการศึกษาที่ดี คือเครื่องมือที่จะพัฒนาทรัพยากรที่มีค่า นั้น” ตัวอย่างการใช้อุปมาอุปไมย ที่ทำให้ ขบขัน 66

“ผู้ชายก็เหมือนกาแฟ แรกๆก็ทำให้ใจสั่น หลังๆทำให้ตาสว่าง “ ท่านติซ นัท ฮัน พระที่เผยแพร่ธรรม ไปทั่วโลก สอนเด็กๆว่าท่าน ติดนัท ฮัน สอนเด็ก ว่า “โกรธเหมือนโคลน เขาขว้างโคลนใส่เรา เราไม่ควรขว้างปาโคลนกลับ มันเปรอะกันหมด โคลนใช้ปลูกต้นบัวได้ คนที่ทำไม่ดีกับเราแสดงว่าเขาเองกำลังทุกข์ เราควรเมตตาเขา เราหายใจเข้าออกอย่างสงบ เมื่อเราเมตตา เราก็ไม่โกรธตอบ” การสอนโดยใช้อุปมาอุปไมย ทำให้ผู้ฟังเห็นภาพ ชัดขึ้นมาก ลองฝึกคิด คำคม และ การเล่า เรื่อง โดยใช้ อุปมาอุปไมย กันนะครับ คุณ Chris Lewis เขียนไว้ในหนังสือ too fast to think ว่า คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะ นำเสนอเรื่องราวได้ดี เพราะนักคิดสร้างสรรค์โดยมากจะมีทักษะในการคิดแบบอุปมาอุปไมย การฝึกคิดแบบนี้จึงเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่ดี 2 คิดจากสิ่งที่ตรงข้ามกัน ความตรงข้ามทำให้ผู้อ่าน ผู้ฟัง เห็นภาพได้ชัดขึ้น ตัวอย่างคำที่ผมคิดและใช้ในการบรรยาย และเขียน ส่วนมากเกี่ยวกับการพัฒนาคน “ การเลี้ยงแบบตามใจลูก นั้นยาก เพราะต้องอดทน อดรอ พ่อแม่จึงมักเลี้ยงแบบตามใจ ตัวเอง” “การศึกษาไม่ใช่ อุตสาหกรรม ผลิตคน แต่การศึกษาเป็นศิลปกรรม เพื่อสร้างสรรค์ ความ เป็นคน” “คนฉลาด จะรับผิดและขอโทษ คือ ส่วนคนโง่จะแก้ตัวเพราะคิดว่าคนอื่นโง่ “ “การไม่ตัดสินใจ คือการตัดสินใจที่ห่วยที่สุดของผู้นำ” “เมื่อก่อน เราสอนให้เขา เชื่อ วันนี้ เราต้องสอนให้เขา คิด” 3คิดจากคำพัอง หรือเสียงพ้อง การใช้คำพ้อง เสียงพ้อง มาทำ เป็นคำคม วัยรุ่นยุคนี้ นิยมมากครับ ตัวอย่าง ต่อไปนี้ ไม่ ทราบว่าใครเป็นต้นฉบับ แต่ก็ใช้กันแพร่หลาย “ยืนงงเพราะหลงทาง แต่ที่ยืนข้างๆ เพราะหลงเธอ” ถ้าเป็นวัยรุ่น สายอ่อย ก็แนวนี้ 67

“รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด รักเราอย่าหยอด เดินเข้ามากอดได้เลย” อีกตัวอย่างของ คำพ้อง อันนี้ออกแนวตัดพ้อ “เธอเปลี่ยนไป หรือ ใครเปลี่ยนเธอ” 4 คิดจากปรัชญา เราสามารถ สร้างคำคมจากปรัชญาได้ด้วยตนเอง ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นข้อความที่ผมสร้าง มาจากปรัชญาด้าน ความคิด “ความคิด ไม่มีผิดหรือถูก เพราะมันก็แค่ความคิด อย่าไปบอกว่าเขาคิดผิด เพราะเขาแค่คิดต่างจากเรา” ““ความคิด ไม่มีผิดหรือถูก เพราะมันก็แค่ความคิด อย่าไปบอกว่าเขาคิดผิด เพราะเขาแค่คิดต่างจากเรา” “ ใครคิดเหมือนเรา ก็ไปนึกเอาว่า เขาคิดถูก ความจริงเขาแค่คิดเหมือนเรา อาจจะคิดผิดทั้งคู่ ก็ได้นะครับ” การอ่านบทความและหนังสือปรัชญาจะช่วยให้เราคิดคำคมดีๆได้มาก หนังสือปรัชญาจะช่วยขยายมุมมองด้านต่างๆเช่น หนังสือปรัชญาของ คาริล ยิบราน ทำให้เรามีมุมมองเรื่องความรัก ที่กว้างมาก หนังสือปรัชญาจีน เต๋าเต็กเกง ช่วยขยายมุมมอง เรื่องชีวิตและการเมือง หนังสือของท่านพุทธทาส ทำให้เราเข้าใจ ความทุกข์ และทางพ้นทุกข์ หนังสือปรัชญาของชนชาติต่างๆเช่น อินเดีย ญี่ปุ่น กรีก หรือ ยิว จะช่วยให้เรามีมุมมองต่อ โลกและชีวิต และด้วยมุมมองที่กว้างนี่แหละครับที่จะช่วยให้การคิดคำคม ทำได้ง่ายและเฉียบคม มาก 68

5 คิดจากการคำพังเพย สุภาษิต เก่า แล้วนำมาแปลง เช่น “เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” ถ้าเราพูดเรื่อง การเปลี่ยนแปลง โดยเนื้อหาเน้น ความเข้าใจผิดในอดีต ที่เชื่อกันมานาน จน กระทั่งมาค้นพบความจริงในภายหลัง ว่าความเชื่อเดิมนั้น ไม่จริง และสร้างความเสียหายมานาน เราอาจจบการพูดด้วย ประโยคแบบนี้ แต่....มาถึงยุคนี้ เดินตามผู้ใหญ่ หมาอาจกัดได้ “เมื่อก่อน เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด นะครับ” คำพังเพย สุภาษิต ของไทยเรามีเยอะ แต่มีบริบทในการใช้งานที่ต่างกัน บางทีก็ขัดแย้งกัน เช่น นำ้ขึ้นให้รีบตัก แต่ ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ตัวอย่างการนำภาษิตไทยไปใช้ในการพูด เช่นเมื่อเราพูดถึงคุณสมบัติของผู้นำโดยจะเน้น ว่า ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจ “การตัดสินใจ เป็นคุณสมบัติของผู้นำ ถ้าข้อมูลครบ แล้วเรายังไม่ตัดสินใจ นั่นไม่ได้หมาย ถึง เรายังไม่ตัดสินใจนะครับ แต่มันคือการตัดสินใจ ช้า และถ้าเป็นแบบนี้ ช้าๆ อาจไม่ได้พร้าสัก เล่มก็ได้นะครับ” 69

14 พูดเพื่อเปลี่ยนความคิด การพูดโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้ เป็นการพูดที่ง่ายที่สุด เพราะเป็นแค่เล่าเรื่องที่เรารู้ แต่การเป็นวิทยากรมืออาชีพต่างจากการเป็นนักบรรยายหรือคนสอนหนังสือ เป้าหมายของเราต้องมากกว่า แค่ การบอกเล่าความรู้ 70

ครู อาจารย์ ทั่วไป สอนหนังสือ แต่วิทยากรมืออาชีพ ต้องมีเป้าหมายมากกว่านั้น การพูดควรมีเป้าหมายครบสามเรื่อง คือ ให้ผู้ฟังได้ความรู้ ให้ผู้ฟังได้ความสุข และให้ผู้ฟังมีความหวัง สิ่งที่ วิทยากร ต้องเตรียมตัว เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งสามอย่างนี้ คือ หาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฟัง ผู้ฟังเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรกันบ้าง มีความเชื่ออะไร ยิ่งเรารู้จัก ผู้ฟังมากเท่าไร เราก็จะวางแผนและพูดได้ดีมากเท่านั้น เพื่อจะได้ใช้ในการวางโครงเรื่อง เตรียม มุข เตรียมสื่อ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมเพื่อพูดขั้นพื้นฐานของนักพูดมืออาชีพ “การพูดเควรมีเป้าหมาย ครบสามเรื่อง คือ ให้ความรู้ ให้ความสุข และสร้างความหวัง ” แต่ การพูดเพื่อให้ ผู้ฟังเปลี่ยนความคิด นี่เป็นเรื่องที่ยากกว่านั้นมาก การเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องยากทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมไทย ที่มีคำบอก คำเตือนกันมานานว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” 71

เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว ผมอยากนำเสนอความคิด ในเรื่องของการอบรมสั่งสอน วินัยให้เด็ก ซึ่ง ในสังคมไทยเราเชื่อและทำกันมานานว่า เราต้องฝึกวินัยด้วยวิธี ออกกฏ ระเบียบ สั่ง บังคับ และ ลงโทษ เด็กที่ฝ่าฝืน เพราะความเชื่อที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ซึ่งผมคิดว่า ถ้าแนวทางในการสร้างวินัยของเราถูก ทำไมคนในสังคมเราวันนี้ ส่วนมากขาด วินัย ผมเชื่อว่าเด็กเกิดมาก็เหมือนๆกัน แต่การศึกษาและสังคมที่ต่างกัน ทำให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ต่างกัน ผมเริ่มค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กหลายเรื่อง เช่นงานวิจัยเรื่องพัฒนาการ ทางจริยธรรมของ โคลเบิร์ก งานวิจัยพัฒนาทักษะสมอง Executive Functions EF และงานวิจัย อื่นๆที่เกี่ยวข้อง “ถ้าแนวทางในการสร้างวินัยของเราถูก ทำไมคนในสังคม เราวันนี้ ส่วนมากขาดวินัย ” เดินทางไปดูงาน และพูดคุยกับครูที่ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อเมริกา ได้มีโอกาสดูวิธีสอน การ อบรม และการลงโทษที่เขาใช้ในการสร้างวินัย หลายเรื่อง เขาทำตรงข้ามกับที่เราทำ ผมเห็นโรงเรียนที่ สร้างความสุข และความหวัง โรงเรียนที่พัฒนาเด็กอย่างสร้างสรรค์ ผลที่ได้จากการสอนแบบนี้คือ เมื่อเด็กๆเหล่านี้เติบโตขึ้นกลายเป็นประชาชนที่มีวินัยสูง เคารพ กฏจราจร เคารพกติกาของสังคม โรงเรียนเหล่านี้ ไม่ได้ใช้วิธีสั่งสอนและลงโทษแบบเราเลย ผมเริ่มวางแผน พูดเพื่อการ เปลี่ยนความคิด คุณครู และผู้ปกครอง ความยากก็คือ เรื่องปลูกฝังวินัยนี้ เป็นความคิดที่เราเชื่อกันมานานมาก น่าจะเชื่อกันมา ก่อนผมเกิดด้วยซำ้ไป การพูดเพื่อเปลี่ยนความคิดจึงต้องเตรียมเยอะมากครับ นอกจากการเตรียมตามปกติแล้ว เรายังต้องเตรียมให้ละเอียดถึง คำพูดที่ใช้ เพราะบางทีเราต้องพูดในเรื่อง ที่ผู้ฟังไม่อยากได้ยิน ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับกับความคิดต่าง รวมถึงการโต้แย้ง เรื่องนี้ ยากมาก เพราะผมเริ่มโครงการนี้ เมื่อสิบปีที่แล้ว 72

ซึ่งตอนนั้น ยังไม่ใครออกมาสั่นคลอนความเชื่อเรื่อง การสร้างวินัยที่ทำกันมานาน ยังไม่มี ใครออกมาพูด หรือนำเสนอแนวทางพัฒนาวินัยรูปแบบใหม่ในสื่อใดๆ การพูดเพื่อเปลี่ยนคนบางคนอาจไม่ยาก แต่จะเปลี่ยนความคิดคนจำนวนมาก ทั้งประเทศ มันไม่ น่าง่ายนะครับ มีคนบอกว่า คำพูดมีพลังเปลี่ยนโลก ผมก็ได้กำลังใจจากความเชื่อนี้แหละครับ ก็ผมแค่จะเปลี่ยนความคิดของคนในประเทศไทย ซึ่งเล็กกว่าโลกตั้งเยอะ น่าจะทำได้ หรืออย่างน้อยก็ได้ทำ ถ้า ไม่ได้ลงมือ ความสำเร็จคือ 0 แต่ถ้าลงมือความสำเร็จก็อาจเป็น0 หรือมากกว่า0 คิดทบทวนแล้ว ผมก็เตรียมตัว พูดเรื่องที่ท้าทายนี้ โดยนำเทคนิคต่างๆทุกอย่างนำมา รวบรวม ร้อยเรียง ตั้งเป้าหมายว่าเนื้อหาต้องสนุก ต้องทำให้ผู้ฟังมีความสุข ต้องมีเสียงหัวเราะ เพราะเวลาผู้ฟังมีความสุข เราจะขายความคิดของเราง่าย ต้องให้ผู้ฟังรู้ว่าเราคือพวกเดียวกัน มีความคิดเหมือนกัน เพราะพวกเดียวกัน จะยอมรับความคิดกันได้ง่าย “เวลาผู้ฟังมีความสุข เราจะขายความคิดของเราง่าย” ลองมาฟังบางตอนของเนื้อหา การบรรยาย กันครับ “....... อาจารย์ครับ เวลาเราเห็น คนญี่ปุ่น เขามีวินัย เราก็อยากให้เด็กเราเป็นอย่างเขาใช่ ไหมครับ (ดูผู้ฟัง พยักหน้าตอบรับ... แล้วขยายต่อ ) อย่างที่ พวกเราแชร์ ภาพคนญี่ปุน ต่อแถว เข้าคิว เป็นระเบียบ ทั้งๆที่ เจอภัยพิบัติรุนแรง เขาก็ ยังมีวินัยไม่มีการโกลาหล คนไทยก็เข้าไปเมนท์ ชื่นชมกัน ใช่ไหมครับ เราเห็น บ้านเมืองในยุโรป เขามีระเบียบ ไม่มีขยะ 73




















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook