Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Sheet 2

Sheet 2

Published by Wittawat Swatpunyachote, 2020-07-11 09:36:09

Description: Sheet 2

Search

Read the Text Version

เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร เ รี ย น เ พื อ เ พิ ม ผ ล สั ม ฤ ท ธิ O - N E T 1 . อั ต ร า ส่ ว น ต รี โ ก ณ มิ ติ 2 . ค ว า ม สั ม พั น ธ์ แ ล ะ ฟ ง ก์ ชั น 3 . ลํา ดั บ แ ล ะ อ นุ ก ร ม 4 . ส ถิ ติ ชื อ - ส กุ ล . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ม . 6 / . . . . . . เ ล ข ที . . . . . . . ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ โ ร ง เ รี ย น ส า ย นาํ ผึ ง ใ น พ ร ะ อุ ป ถั ม ภ์ ฯ

굄 ÃÒÊÇ‹ ¹µÃâÕ ¡³ÁµÔ Ô 1. 굄 ÃÒÊÇ‹ ¹µÃâÕ ¡³ÁµÔ Ô ถาให ABC เปน รูปสามเหล่ียมมมุ ฉากท่มี ีมมุ C เปน มมุ ฉาก และ B���C� เปนดานตรงขามมุม A ยาว a หนวย A���C� เปนดา นประชดิ มุม A ยาว b หนวย A���B� เปนดา นตรงขามมมุ ฉาก ยาว c หนวย จะได sin A = ความยาวของดา นตรงขา มมุม A เรยี กส้ันๆวา ขาม = a ความยาวของดานตรงขามมมุ ฉาก ฉาก c cos A = ความยาวของดา นประชดิ มุม A เรียกส้ันๆวา ชิด = b ความยาวของดานตรงขา มมุมฉาก ฉาก c ความยาวของดาตรงขามมมุ A เรยี กส้ันๆวา ขาม = a = sin A tan A = ความยาวของดา นประชดิ มุม A ชดิ b cos A 1b cot A = tan A = a 1c sec A = cos A = b 1c csc A = sin A = a 2. ¡ÒûÃÐÂØ¡µ¢Í§ÍѵÃÒʋǹµÃÕ⡳ÁÔµÔ การประยกุ ตของอตั ราสวนตรีโกณมิติ จะใชในการแกปญหาเกี่ยวกับการหาระยะทางและความสูงที่ ไมสามารถหาไดดวยการวัดโดยตรง เชน ความสูงของหนาผา ความสูงของตนไม ความกวางของแมน้ํา เปน ตน ในการหาความสูงดังกลา ว จะมมี ุมกมหรอื มุมกดลง และมุมเงยหรือมมุ ยกขนึ้ เขา มาเกี่ยวของเสมอ มมุ กมหรือมุมกดลง คือ มมุ ที่วัดจากระดับสายตาลงมา มมุ เงยหรือมุมยกขึ้น คือ มุมทีว่ ดั จากแนว ระดบั สายตาข้ึนไป เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 1

¢ÍŒ Êͺ O-NET àÃÍ×่ § 굄 ÃÒÊÇ‹ ¹µÃâÕ ¡³ÁµÔ Ô 12 1. กาํ หนดให ABC เปน รูปสามเหลี่ยมที่มีมุม B เปนมุมฉาก ถา cot A = 5 แลว 10 csc A + 12 sec A มคี าเทาใด 2. csc 30° �csoins 31° csions3559°°� tan 55° มีคา เทา กบั เทา ใด 35° 3. ถา ABC เปนรูปสามเหลี่ยมท่ีมมุ B เปนมมุ ฉาก และ cos A = 3 แลว cos(B − A) มีคา เทากับเทาใด 5 4. กําหนดให ABC เปน รปู สามเหลี่ยม ซึ่งมีมมุ A เปน มมุ ฉาก และมีมุม B = 30° ถา D และ E เปนจุดบน ดาน AB และ BC ตามลําดับ ซ่ึงทําให DE ขนานกับ AC โดยท่ี DE ยาว 5 หนวย และ EC ยาว 6 หนวย แลว AC ยาวเทากบั ขอ ใดตอไปน้ี 1. 7.5 หนวย 2. 8 หนว ย 3. 8.5 หนว ย 4. 9 หนวย เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 2

5. กําหนดให ABC เปน รปู สามเหลย่ี มทมี่ ีมมุ C เปนมุมฉากและดา น BC ยาว 6 น้ิว ถา D เปน จดุ บนดาน AC โดยที่ BD�C = 70° และ AB�D = 10° แลว ดาน AB ยาวเทากบั ขอใดตอไปน้ี 1. 4√3 2. 5√3 3. 8 นว้ิ 4. 10 นว้ิ 6. กําหนดให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีมุม C เปนมุมฉาก มีดาน BC ยาว 10√3 หนวย และดาน AB ยาวเทากับ 20 หนวย ถาลากเสนตรงจากจุด C ไปต้ังฉาก AB ท่ีจุด D แลว จะไดวา CD ยาวเทากับ เทาใดตอไปน้ี 1. 5√2 หนว ย 2. 5√3 หนวย 3. 10√2 หนวย 4. 10√3 หนวย 7. กําหนดให ABC เปนสามเหลี่ยมมุมฉากท่ีมีมุม B เปนมุมฉาก มีมุม A เทากับ 30° และมีพ้ืนท่ีเทากับ 24√3 ตารางหนว ย ความยาวดาน AB เทากบั ขอ ใดตอไปน้ี 1. 12 หนวย 2. 14 หนว ย 3. 16 หนวย 4. 18 หนว ย 8. กาํ หนดให ABC เปน รูปสามเหลี่ยมทมี่ พี ้ืนที่เทากับ 15 ตารางหนวยและมีมุม C มมุ ฉาก ถา sin B = 3 sin A แลวดา น AB ยาวเทา กบั ขอ ใดตอ ไปนี้ 1. 5 หนวย 2. 5√3 หนวย 3. 5√2 หนว ย 4. 10 หนว ย เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 3

9. วงกลมวงหน่ึงมีรัศมี 6 หนวย และ A, B, C เปนจุดบนเสนรอบวงของวงกลม ถา AB เปนเสนผาน ศนู ยกลางของวงกลม และ CA�B = 60° แลวพน้ื ท่ขี องรปู สามเหลี่ยม ABC เทา กบั ขอ ใดตอไปนี้ 1. 12√3 ตารางหนวย 2. 17√3 ตารางหนวย 3. 16√3 ตารางหนวย 4. 18√3 ตารางหนวย 10. ถารูปสามเหล่ียมดานเทารูปหน่ึงมีความสูง 1 หนวย แลวดานของรูปสามเหล่ียมรูปนี้ยาวเทากับขอใด ตอ ไปนี้ 1. √3 หนว ย 2. 2 √3 หนวย 3. 4 หนวย 4. 3 หนวย 2 3 3 2 11. กําหนดให ABC เปนรูปสามเหล่ียมท่ีมีมุม C เปนมุมฉาก และ cos B = 2 ถาดาน BC ยาว 1 หนวย 3 แลว พ้นื ทีข่ องรปู สามเหลยี่ ม ABC เทากบั ขอ ใดตอ ไปนี้ 1. √5 2. √5 3. √5 4. √5 5 4 3 2 12. กาํ หนดให ABCD เปนรูปส่เี หลี่ยมผืนผาซ่ึงมีพ้ืนท่ีเทากับ 12 ตารางหนวย และ tan AB�D = 1 ถา AE 3 ตง้ั ฉากกับ BD ทจี่ ดุ E แลว AE ยาวเทากบั ขอ ใดตอไปนี้ 1. √10 หนว ย 2. 2√10 หนวย 3. √10 หนวย 4. 3√10 หนวย 3 5 2 5 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 4

13. พจิ ารณารูปสามเหล่ียมตอ ไปน้ี โดยทมี่ ุม CF�E, CA�B, AE�B และ ED�B ตางเปนมมุ ฉาก ขอใดตอ ไปน้ผี ดิ 1. sin�1�� = sin�5�� 2. cos�3�� = cos�5�� 3. sin�2�� = cos�4�� 4. cos�2�� = sin�3�� 14. จากรูป ขอ ใดตอไปนี้ถกู ตอง 1. sin 21° = cos 69° 2. sin 21° = cos 21° 15. ขอ ใดตอ ไปนี้ถูกตอ ง 3. cos 21° = tan 21° 1. sin 30° < sin 45° 4. tan 21° = cos 69° 3. tan 45° < cot 45° 2. cos 30° < cos 45° 4. tan 60° < cot 60° 16. โดยการใชต ารางหาอัตราสวนตรโี กณมติ ิของมมุ ขนาดตางๆ ท่กี าํ หนดใหต อไปนี้ θ sin θ cos θ มุมภายในท่ีมีขนาดเล็กท่ีสุดของรูปสามเหล่ียมที่มีดาน 72◦ 0.951 0.309 ท้ังสามยาว 7, 24 และ 25 หนวย มีขนาดใกลเคียงกับ 73◦ 0.956 0.292 ขอใดมากท่ีสดุ 1. 15◦ 2. 16◦ 74◦ 0.961 0.276 3.17◦ 4. 18◦ 75◦ 0.966 0.259 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 5

17. กําหนดใหต าราง A ตาราง B และตาราง C เปน ตารางหาอัตราสวนตรโี กณมติ ขิ องมมุ ขนาดตางๆ ดงั น้ี ตาราง A ตาราง B ตาราง C θ sin θ θ cos θ θ tan θ 40° 0.643 40° 0.766 40° 0.839 41° 0.656 41° 0.755 41° 0.869 42° 0.669 42° 0.743 42° 0.900 ถา รปู สามเหล่ยี ม ABC มมี ุม B เปนมมุ ฉาก มุม C มีขนาด 41° และสวนสูง BX ยาว 1 หนวย แลวความ ยาวของสว นของเสนตรง AX เปน ดังขอใดตอไปนี้ B 1. ปรากฏอยูใ นตาราง A 2. ปรากฏอยูในตาราง B 3. ปรากฏอยใู นตาราง C Ax C 4. ไมป รากฏอยูในตาราง A, B และ C 18. มุมมุมหน่ึงของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากมีขนาดเทากับ 60 องศา ถาเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมนี้ยาว 3 − √3 ฟตุ แลว ดานที่ยาวเปน อันดบั สองมคี วามยาวเทา กับขอ ใด 1. 2 − √3 ฟตุ 2. 2 + √3ฟุต 3. 2√3 − 3ฟุต 4. 2√3 + 3ฟุต 19. กลองวงจรปดซึ่งถูกติดตั้งอยูสูงจากพ้ืนถนน 2 เมตร สามารถจับภาพไดตํ่าท่ีสุดท่ีมุมกม 45◦ และสูง ที่สดุ ทมี่ ุมกม 30◦ ระยะทางบนพ้นื ถนนในแนวกลอง ที่กลองนี้สามารถจบั ภาพไดค อื เทา ใด 1. 1.00 เมตร 2. 1.46 เมตร 3. 2.00 เมตร 4. 3.46 เมตร เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 6

20. กาํ หนดใหส ามเหล่ยี ม ABC มี B� = A� + C� ให D เปนจดุ ก่ึงกลางดาน AC ถา A = 20° แลว AD�B มี ขนาดเทา กับกี่องศา 1. 80° 2. 100° 3. 120° 4. 140° 21. กําหนดใหสามเหลี่ยมมุมฉาก AB�C มี C� = 90° ให D เปนจุดบนดาน AB ซ่ึงทําให CD ตั้งฉากกับ AB ถา AB ยาว 20 หนวย และ CD ยาว 8 หนว ย แลว AD มีความยาวมากท่ีสดุ กี่หนว ย 1. 10 2. 12 3. 14 4. 16 22. นาย ก และ นาย ข ยืนอยูบนพ้ืนราบซ่ึงหางจากกําแพงเปนระยะ 10 เมตร และ 40 เมตร ตามลําดับ ถานาย ก มองหลอดไฟบนกําแพงดวยมุมเงย α องศาในขณะท่ีนาย ข มองหลอดไฟดวงเดียวกันดวย มุม 90 - α องศา ถาไมค ดิ ความสูงของนาย ก และ นาย ข แลวหลอดไฟอยูส ูงจากพน้ื ราบกี่เมตร 1. 10 2. 10√2 3. 10√3 4. 20 23. ถา 2cos2θ + cos θ = 1 โดยท่ี 0 ≤ θ ≤ 90° แลว θ เปนมุมก่ีองศา เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 7

24. กาํ หนดใหส ามเหลี่ยม ABC มี AD เปน เสนความสงู โดยที่ D อยบู นดา น BC ถา ดาน AB ยาว 5 หนวย ดา น AD ยาว 3 หนว ย และ BA�D = AC�D แลวดาน BC ยาวกห่ี นวย 25. ให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมท่ีมีมุม C เทากับ 45 องศา และ D เปนจุดบนดาน BC ท่ีทําให AD เปน เสนความสูงของสามเหล่ียม ถาดาน BD ยาว a หนวย และ ดาน AB ยาว 3a หนวยแลว ดาน AC มี ความยาวเทา กับกี่หนว ย 1. 2a 2. √6a 3. 4a 4. 5a 5. 6a 26. ให ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาซ่ึงมี E เปนจุดก่ึงกลางของดาน CD ถามุม AE�B = 90° แลว sin BA� C มีคาเทากับขอ ใด 1. 1 2. 2 3. √3 4. √5 5. √5 √5 √5 5 3 4 27. ให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีมุม C เปนมุมฉาก ดาน BC ยาว a หนวย และดาน AC ยาว a + 8 หนวย ถา cot(90° − B) = 3 แลว a มีคา เทา กับขอ ใด 1. 2 2. 3 3. 4 4. 5 5. 6 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 8

28. อิทธิยืนอยูบนยอดประภาคารสูง 30 เมตร เห็นเรือสองลําจอดอยูในทะเลทางทิศตะวันออกในแนว เสน ตรงเดียวกัน โดยทสี่ ายตาของเขาทาํ มุมกม α องศา เม่ือมองเรือลําทหี่ นึง่ และทํามุมกม β องศาเม่ือ มองเรือลําท่ีสอง ถาเรือสองลําอยูหางกัน 80 เมตร และ α + β = 90 องศา แลว เรือลําท่ีอยูไกลจาก ฝง ที่สดุ อยูหา งจากจดุ ทต่ี ้ังประภาคารกเี่ มตร 1. 90 2. 100 3. 120 4. 150 5. 170 »‚ 2558 1. กําหนดให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมแนบในวงกลม มีดาน AC เปนเสนผานศูนยกลาง ถา BA�C = 60° และดาน BC ยาว 10√3 หนวย แลว รัศมขี องวงกลมยาวเทา ใด 1. 5√3 หนว ย 2. 10 หนวย 3. 15 หนวย 4. 10√3 หนวย 5. 20 หนว ย 2. กาํ หนดใหวงกลมวงเลก็ และวงใหญม ีรัศมี a หนวย และ b หนว ย ตามลําดบั ถาเสนสัมผัสวงกลมท้ังสอง เสน ทํามุม 60° ดังรปู แลว อตั ราสว น a : b เทา กับเทาใด 1. 1 : 2 2. 1 : 3 3. 2 : 3 4. 3 : 5 5. 4 : 9 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 9

3. น้ําฝนปลูกไมดอก 2 ชนิด ภายในที่ดินรูปสามเหลี่ยม ABC ดังรูป โดยปลูกกุหลาบในบริเวณภายในรูป สามเหลย่ี ม ABD และปลูกทานตะวันในบริเวณรูปสามเหล่ียม BCD ถาดาน AB และ BC ยาว 12 เมตร และ 10 เมตร ตามลําดบั แลว พน้ื ท่ที ปี่ ลกู ทานตะวันเทา กบั ก่ตี ารางเมตร 1. 6√3 2. 16 3. 10√3 4. 21 5. 24 4. ถาเงาของเสาธงท่ีทอดไปตามพื้นวัดไดยาว 14 เมตร และมุมเงยจากจุดปลายของเงาไปยังยอดเสาธงมี ขนาด A องศา แลว เสาธงสงู กเ่ี มตร (กาํ หนดให sin A = 0.6 และ cos A = 0.8) »‚ 2559 1. ความยาวของเสนรอบรปู ส่ีเหลี่ยมคางหมู ABCD ดงั แสดงในรูป ยาวก่หี นว ย 1. 18 + 10√3 หนว ย 2. 18 + 10�√2 + √3� หนวย 3. 26 + 10√3 หนวย 4. 26 + 10√2 หนวย 5. 26 + 10�√2 + √3� หนว ย เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 10

2. เสอื ดาวตัวหนง่ึ หมอบอยูบนพืน้ ดนิ หางโคนตน ไม (ในระดับเดียวกัน) 32 ฟุต ถาเสือดาวมองดูนกท่ีเกาะ อยูบนยอดไมเ ปนมมุ เงย A° แลว ตนไมส ูงกฟ่ี ุต (กําหนดให sin A = 0.6 และ cos A = 0.8) 1. 8 ฟตุ 2. 16 ฟุต 3. 18 ฟุต 4. 21 ฟตุ 5. 24 ฟตุ 3. สุทัศนย ืนมองจากหนาตางหองพักในตึก A ไปยังตึก B เขามองยอดตึก B เปนมุมเงย 45° และมองฐาน ตึก B เปนมมุ กม 30° ถา หนาตา งหอ งพกั อยสู ูงจากพ้นื ดนิ 20 เมตร แลวตกึ B สูงก่เี มตร 2. 20(1 + √13) เมตร 1. 20√3 เมตร 4. 20�1 + √3� เมตร 3. 20�1 + √2� เมตร 5. 60 เมตร 4. ถาความยาวของดานของรูปสามเหล่ียมมุมฉาก เปน x , x + 2 และ x + 3 หนวย ดังรูป แลวความ ยาวของเสน รอบรูปสามเหล่ยี ม เปนเทา ใด 1. 8 + 3√6 เมตร 2. 8 − 3√6 เมตร 3. 1 + √6 เมตร 4. 1 − √6 เมตร 5. 11 + 6√6 เมตร 5. กําหนดส่ีเหล่ยี ม ABCD แสดงดังรปู โดยมีดา น AD ยาว 15√2 หนว ย แลวดา น AB ยาวก่ีหนวย เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 11

»‚ 2560 1. กําหนดให ABC เปนรูปสามเหล่ียมมุมฉาก ที่มีมุม C เปนมุมฉาก มี a และ b เปนความยาวของดาน ตรงขา มมมุ A และ B ตามลาํ ดับ ถา A� = 2B� แลวขอใดถูกตอง 1. b 2. a = √3b 3. a = √3b 4. a = √3b 5. a = 2b a=2 3 2 2. ปา ยโฆษณารูปส่ีเหล่ียมผืนผาอันหน่ึงติดอยูดานขางตึกสูง โดยท่ีขอบลางของปายขนานกับพื้น นักเรียน คนหนงึ่ ยืนอยูหา งจากตกึ เปนระยะทาง 60 เมตร ถา มมุ เงยของสายตาของนักเรียนท่ีมองจุดกึ่งกลางของ เสน ขอบบนของปาย มขี นาด 45 องศา แลวระยะหางจากจุดกึ่งกลางของเสนขอบบนถึงจุดก่ึงกลางของ เสน ขอบลางของปา ยโฆษณาเทา กบั ขอ ใด 1. 20 เมตร 2. 30 เมตร 3. 10√3 เมตร 4. 20√3 เมตร 5. 20�3 − √3� เมตร 3. เมอื่ วนิ ยั ยนื อยทู ี่โคนเสา A เขามองขน้ึ ไปบนยอดเสา B เปนมุมเงยขนาด 30 องศา และเมื่อวินัยยืนอยูท่ี โคนเสา B เขามองข้ึนไปบนยอดเสา A เปนมุมเงยขนาด 60 องศา ถาเสา A สูง 45 เมตร แลวเสา B สูง กเี่ มตร (กําหนดใหโ คนเสา A และ B อยบู นระนาบเดียวกัน และไมค ดิ ความสงู ของวนิ ัย) เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 12

»‚ 2561 1. กองยืนอยูบนตึกเหนือจุด A ท่ีอยูบนพื้นดิน และตาของกองอยูสูงจากจุด A 90 ฟุต เขามองลงไปยัง รถยนตที่จอดอยู ณ จุด B บนพ้ืนดิน โดยมุมท่ีแนวสายตาทํากับแนวเสนระดับเปนมุมกม มีขนาด 30° ดังรปู รถยนตคันนี้จอดอยหู า งจากจุด A กี่ฟุต 1. 90 ฟุต 2. 180 ฟตุ 3. 30√3 ฟุต 4. 60√3 ฟุต 5. 90√3 ฟตุ 2. ถนนสันติภาพและถนนเสรีภาพตัดกันเปนมุมฉากท่ีจุด C โรงเรียนตั้งอยูที่จุด A และรานคาตั้งอยูที่จุด B โดยมีซอยมิตรภาพเชื่อมระหวางจุด A และจุด B ดังรูป ถาการเดินทางจากโรงเรียนไปยังรานคา โดยใช เสนทางในซอยมิตรภาพเปนระยะทาง 800 เมตร แลวการเดินทางจากโรงเรียนไปยังรานคา โดยใช เสนทางตามถนนสันติภาพและถนนเสรีภาพ เปน ระยะทางกเ่ี มตร 1. 1,200 เมตร 2. 400 + 400√2 เมตร 3. 600√3 เมตร 4. 400 + 400√3 เมตร 5. 800√3 เมตร 3. สนามรูปสามเหลยี่ มมมุ ฉาก ABC ดังรูป โดย sin A = 3 5 4 และ cos A = 5 ถา สนามมีพ้ืนท่ี 54 ตารางเมตร แลว ความยาวรอบสนามนเี้ ทากบั กีเ่ มตร เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 13

¤ÇÒÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸á Åп§˜ ¡ª ¹Ñ 1. ¤ÍÙ‹ ¹Ñ ´ºÑ คอู ันดบั ใดๆจะเทา กันกต็ อเม่ือสมาชิกตวั หนาและสมาชิกตัวหลังเทากัน กลาวคอื (a, b) = (c, d) ก็ตอ เมื่อ a = c และ b = d ขอ สังเกต 1. (a, b) ≠ (b, a) ยกเวน a = b 2. (a, b) ≠ (c, d) ก็ตอเม่ือ a ≠ c หรือ b ≠ d 2. ¼Å¤³Ù ¤Ò÷ àÕ «Õ¹ ผลคูณคารทีเซยี น A และ B เขียนแทนดวย A × B (อา นวา เอคณู บี) ผลคณู คารท เี ซียน A และ B หมายถงึ เซตของคูอนั ดบั (x , y) ท้งั หมด โดยท่ี x เปนสมาชกิ ของ A และ y เปน สมาชิกของ B กลาวคอื A × B = {(x, y)|x ∈ A และ y ∈ B} ขอ สังเกต 1. โดยท่ัวไป A × B ≠ B × A ยกเวน A = B หรอื A = ∅ หรอื B = ∅ 2. n(A × B ) = n(A) × n(B) 3. A × B = ∅ ก็ตอเมื่อ A = ∅ หรอื B = ∅ 4. ถา A เปน เซตจํากดั ทไี่ มใชเซตวา ง และ B เปนเซตอนันต A × B และ B × A เปน เซตอนนั ต สมบัติของผลคณู คารทีเซียน 1. ถา A ⊂ B แลว A × C ⊂ B × C 2. ถา A ⊂ B และ C ⊂ D แลว A × C ⊂ B × D 3. ถา A ≠ ∅ และ A × B ⊂ A × C แลว B ⊂ C 4. A × (B ∪ C) = (A × B) ∪ (A × C) 5. A × (B ∩ C) = (A × B) ∩ (A × C) 6. A × (B − C) = (A × B) − (A × C) 7. (A − B) × C = (A × C) − (B × C) 8. (A × B) ∩ (B × A) = (A ∩ B) × (A ∩ B) ขอ ควรระวงั เม่ือ A, B, C เปนเซตจาํ กัดทไ่ี มเปน เซตวาง หนา้ 14 1. A ∩ (B × C) ≠ (A ∩ B) × (A ∩ C) 2. A ∪ (B × C) ≠ (A ∪ B) × (A ∪ C) 3. (A × B) − C ≠ (A − C) × (B − C) เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2

3. ¤ÇÒÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸ ความสัมพันธเปนสบั เซตของผลคูณคารท เี ซียนระหวางเซตสองเซต นยิ ามแทนความสัมพันธด วย r r ⸦ A × B แสดงวา r เปนความสัมพันธจ าก A ไป B r ⸦ A × A แสดงวา r เปนความสมั พันธใน A ความสัมพันธเปนเซตที่มีสมาชกิ เปน คูอนั ดับ การเขียนแทนความสัมพันธจ ะเขยี นเปน เซตแบบแจกแจงสมาชกิ หรอื แบบบอกเงือ่ นไขก็ได 4. ¡ÃÒ¿¢Í§¤ÇÒÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸ กราฟของความสัมพันธ r หมายถึง เซตของจดุ ในระนาบซงึ่ แตล ะจุดแทนสมาชกิ ของความสมั พันธ 5. â´àÁ¹áÅÐàù¨¢Í§¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ เนื่องจากความสมั พนั ธ r เปน เซตทม่ี สี มาชิกเปนคูอันดับ เรียกเซตของสมาชิกตัวหนาในคูอันดับของ ความสัมพันธ R วาโดเมนของ r นิยมเขียนแทนดวย Dr ดังน้ัน Dr = {x|(x, y) ∈ r} เรียกเซตของสมาชิก ตัวหลงั ในคอู ันดบั ของความสมั พันธ r วาเรนจข อง r นิยมเขียนแทนดวย Rr ดังนน้ั Rr = {y|(x, y) ∈ r} 6.¿˜§¡ª ¹Ñ ฟงกชัน คือ ความสัมพันธที่สมาชิกตัวหนาในคูอันดับของความสัมพันธแตละตัวจับคูกับสมาชิกตัว หลงั ของความสัมพันธเพียงตัวเดียวเทา นั้น เชน AB AB แดง 5 −5 1 ดาํ 6 0− ขาว 8 50 จากภาพทั้งสองแสดงวา ความสมั พนั ธ r1 และ r2 ดังกลา วเปน ฟงกชนั AB ยางลบ สเี ขยี ว ปากกา สีสม จากภาพความสัมพันธ r3 ดงั กลา วไมเปนฟงกช ัน วิธีท่ีจะพิจารณาวา ความสมั พันธใ ดเปนหรอื ไมเ ปนฟงกช ันแยกเปนกรณีตางๆ ดงั น้ี ถามีคูอันดับอยา งนอย 2 คู ที่สมาชิกตัวหนา เหมอื นกนั แตส มาชิกตวั หลงั ไมเหมือนกันความสมั พันธ นั้นจะไมเ ปน ฟง กช นั หรอื วธิ ที ่จี ะพจิ ารณาวา ความสัมพันธใ ดเปน หรือไมเ ปนฟงกช ันแยกเปนกรณตี า งๆ ดังนี้ เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 15

1. ถา ความสมั พนั ธท่ีกาํ หนดใหเขียนแบบแจกแจงสมาชกิ หลกั การพจิ ารณา : ถาสมาชิกตัวหนาของแตละคูอันดับไมเหมือนกันเลย สรุปไดวาความสัมพันธนั้นเปน ฟงกชัน และถาสมาชิกตัวหนาเทากัน แตสมาชิกตัวหลังไมเทากัน สรุปไดวา ความสมั พันธน ไ้ี มเ ปนฟงกช ัน 2. ถา ความสัมพนั ธท่กี าํ หนดใหเขยี นแบบบอกเงื่อนไข หลักการพจิ ารณา อาจทาํ ไดด ังนี้ วิธีที่1 ถา r เปนความสมั พันธท ่ี (x, y) ∈ r เขียนในรูป y ในรูปของ x แลวพิจารณาคา y ถาแตละคาของ x หาคา y ไดเพียงคาเดียว สรุปไดวา r เปนฟงกชัน ถามีบางคาของ x ที่ทําใหหาคาของ y ไดมากกวา 1 คา สรปุ ไดว า r ไมเปน ฟงกช นั วิธีที่2 ถา r เปนความสัมพันธท่ี (x, ������1) ∈ r และ (x, ������2) ∈ r เขียน ������1 และ ������2 ในรูปของ x ถาสามารถ แสดงไดวา ������1 = y2 แสดงวา r เปนฟงกชัน ถา เปนกรณี ������1 ≠ y2 แสดงวา r ไมเ ปนฟง กชนั วธิ ีท่3ี โดยใชกราฟของความสมั พนั ธ ถา สามารถลากเสน ตรงทีข่ นานกบั แกน Y อยา งนอยเสนหน่ึงใหตัดกราฟ ของความสัมพันธมากกวา 1 จุด สรุปไดวาความสัมพันธนั้น ไมเปนฟงกชัน แตถาเสนตรงแตละเสนท่ีขนาน กบั แกน Y ตดั กราฟไดเ พยี งจดุ เดยี วเทานน้ั สรปุ ไดวาความสัมพนั ธน้นั เปน ฟงกชัน ขอตกลงเกีย่ วกบั สัญลักษณ ถา f เปนความสัมพันธท่ีเปนฟงกชันและ (x, y) ∈ f แลว จะเขียนแทน (x, y) ∈ f ดวย y = f(x) และอานวา วายเทากับเอฟที่เอกซ หรือ วายเทากับเอฟเอกซ เชน f = {(2,5), (3,8)(4,16)} เปนฟงกชัน และ (2,5) ∈ f เขยี นแทนดวย 5 = f(2) ดังน้ันจากขอตกลงเก่ียวกับสัญลักษณดังกลาว การเขียนฟงกชันในรูปเซตแบบแจกแจงของคูอันดับ อาจจะเขียนใหมในรูปเงือ่ นไข y = f(x) ไดด งั น้ี เชน f = {(x, y) ∈ R × R|y − 3x + 1 = 0} เขียนแทนไดเปน f(x) = 3x − 1 จาก f(x) = 3x − 1 จะไดวา f(1) = 3(1) − 1 = 2 หรือ f(−5) = 3(−5) − 1 = −16 เปน ตน สําหรับการหาโดเมนและเรนจข องฟง กช ันทําไดเ ชน เดียวกับการหาโดเมนและเรนจของความสัมพันธ เชน ฟง กชนั f = {(1, −1), (0,0), (−2,2)} จะไดโ ดเมนของ f คอื {1,0, −2} ตัวอยาง 1. กาํ หนดให A = {a, b, c} และ B = {0,1} ฟงกช ันในขอใดตอไปนี้ เปนฟงกช ันจาก B ไป A 1. {(a, 1), (b, 0), (c, 1)} 3. {(b, 1), (c, 0)} 2. {(0, b), (1, a), (1, c)} 4. {(0, c), (1, b)} 2. ความสัมพันธใ นขอ ใดเปน ฟงกชนั 3. {(1,3), (1,2), (1,1), (1,4)} 1. {(1,3), (2,3), (3,2), (2,4)} 4. {(1,3), (2,1), (3,3), (4,1)} 2. {(1,2), (2,3), (3,1), (3,3)} หนา้ 16 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2

3. ความสัมพนั ธในขอใดเปนฟงกชัน 2. {(0,2), (1,1), (2,2), (3,0)} 1. {(0,1), (0,2), (2,1), (1,3)} 4. {(1,2), (0,3), (1,3), (2,2)} 3. {(1,1), (2,0), (2,3), (3,1)} 4. ถา f = {(1,0), (2,1), (3,5)(4,3)(5,2)} แลว f(2) + f(3) มคี าเทาใด 5. กําหนดให n(A) แทนจํานวนสมาชิกของเซต A ถา r1 = {(−1, −2), (0, −1), (1,2), (2, −3), (3,4)} และ r2 = {(x, y)||y + 1| = x} แลว n(r1 ∩ r2) เทา กับเทา ใด 6. แผนภาพของความสัมพันธในขอใดเปนฟงกชันที่มี {1, 2, 3, 4, 5} เปนโดเมน และ {1, 2, 3, 4} เปน เรนจ 7. ถา A = {1,2,3,4} และ r = {(������, ������) ∈ ������ ������ ������|������ ≤ ������} แลวจํานวนสมาชิกในความสัมพันธ r เทากบั ขอ ใดตอ ไปนี้ 1. 8 2. 10 3. 12 4. 16 8. กําหนดให A = {1,2} และ B = {a, b} คูอันดับในขอใดตอไปน้ีเปนสมาชิกของผลคูณคารทีเซียน A×B 2. (b, a) 3. (a, 1) 4. (1,2) 1. (2, b) เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 17

9. กําหนดให r = {(a, b)|a ∈ A, b ∈ B และ b หารดวย a ลงตวั }ถา A = {2,3,5} ความสัมพันธ r จะเปนฟง กช นั เม่ือ B เทา กบั เซตใดตอ ไปนี้ 1. {3 , 4 , 10} 2. {2 , 3 , 15} 3. {0 , 3 , 10} 4. {4 , 5 , 9} 10. กําหนดให A = {1,2,3,4,5,6}, B = {1,2,3, … ,11,12}และ S = �(a, b) ∈ A × B�b = 2a + 2a� จํานวนสมาชิกของ S เทากับขอใดตอไปน้ี 1. 1 2. 2 3. 3 4. 4 11. ให A = {1 , 99} ความสมั พันธใ น A ในขอใดไมเ ปน ฟงกช ัน 1. เทา กับ 2. ไมเ ทา กนั 3. หารลงตวั 4. หารไมล งตัว 12. จากความสมั พนั ธ r ทแ่ี สดงดว ยกราฟดงั รูป ขอ ใดตอไปนีถ้ กู ตอง 1. r เปน ฟง กชนั เพราะ (1,1) , (2,2) และ (3,3) อยใู นแนวเสน ตรงเดยี วกัน 2. r เปน ฟง กช นั เพราะ มีจํานวนจุดเปน จาํ นวนจาํ กดั 3. r ไมเปน ฟงกชัน เพราะ มจี ดุ (3,3) และ (3,-1) อยูบนกราฟ 4. r ไมเ ปน ฟงกชนั เพราะ มีจุด (1,1) และ (-1,1) อยูบนกราฟ 13. จาํ นวนในขอใดตอ ไปนีเ้ ปนสมาชกิ ของโดเมนของฟงกช ัน y = x2 x + 2x−1 +3x+2 x2 − 1 1. -2 2. -1 3. 0 4. 1 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 18

14. กาํ หนดใหกราฟของฟง กช นั f เปน ดังน้ี คาของ 11f(-11) – 3f(-3) f(3) คอื ขอ ใด 1. 57 2. 68 3. 75 4. 86 15. บริเวณท่ีแรเงาในขอ ใดเปน กราฟของความสมั พนั ธ {(x, y)|x ≤ y2, 0 ≤ y ≤ 1} 16. ถา f(x) = √3 − x และ g(x) = −2 + |x − 4| แลว Df ∪ Rg คือขอใด 1. (∞, 3] 2. [−2, ∞) 3. [−2, 3] 4. (−∞, ∞) เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 19

¿§˜ ¡ª¹Ñ àª§Ô àʹŒ ฟง กชันเชงิ เสน หมายถงึ ฟง กชันท่ีเขียนอยใู นรูปสมการ y = ax + b เมอ่ื a, b เปน จาํ นวนจรงิ ที่ a ≠ 0 กราฟของฟงกชันเชิงเสน y = ax + b จะเปนเสนตรงท่ีมีความชันเทากับ a จุดตัดแกน Y คือ (0, b) และ จุดตดั แกน X คอื �−ab , 0� ขอ สังเกต (1) ถา a > 0 กราฟจะเปน เสนตรงท่ีทาํ มุมแหลมกับแกน X เมอื่ วัดทวนเขม็ นาฬิกา (2) ถา a < 0 กราฟจะเปน เสนตรงท่ีทํามุมปานกับแกน X เม่ือวัดทวนเขม็ นาฬิกา (3) ถา b = 0 กราฟจะเปน เสนตรงที่มจี ุดตัดแกน X และจดุ ตัดแกน Y เปน จดุ เดียวกันคือ (0, 0) (4) กราฟเสนตรงทีข่ นานกันจะมีความชันเทา กัน (5) กราฟเสนตรงที่ต้ังฉากกนั จะมีผลคณู ของความชันเทากับ -1 ¿§˜ ¡ª¹Ñ ¡Òํ Å§Ñ Êͧ ฟงกชันกําลังสอง หมายถึง ฟงกชันที่เขียนอยูในรูป y = ax2 + bx + c เม่ือ a, b และ c เปน จํานวนจรงิ ใดๆ ที่ a ≠ 0 1. กราฟของฟงกชนั กาํ ลังสอง กราฟของฟงกชนั กําลังสอง เรียกวา พาราโบลา ลกั ษณะของกราฟของฟง กช นั กําลังสองขน้ึ อยูกบั คา ของ a, b และ c ถา a > 0 จะเปน กราฟหงายข้นึ ดังรปู ถา a < 0 จะเปนกราฟควํ่าลง ดงั รูป ฟงกชนั กําลงั สอง นอกจากเขียนอยใู นรปู y = ax2 + bx + c , a ≠ 0 แลว ยังเขยี นใหอยูในรปู ของ y = a(x − h)2 + k , a ≠ 0 4ac4−ab2� ถา เขยี นอยูในรปู y = ax2 + bx + c , a ≠ 0 จะไดจดุ วกกลับ คือ �− b , 2a b �−2ab�� ถา เขียนอยใู นรปู y = a(x − h)2 + k จะไดจ ดุ วกกลับ คือ�− 2a , f สําหรับกราฟหงายขึ้น จะเรียกจดุ วกกลบั วา จุดต่ําสดุ และคาตํ่าที่สดุ ค4aอื c4−abc42−ab2 สาํ หรับกราฟควํ่าลง จะเรยี กจุดวกกลบั วาจุดสูงสุด และคา สูงสดุ คือ 4a เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 20

ขอ สังเกต (1) ถา b = 0 และ c = 0 สมการจะเปน y = ax2 จะมจี ดุ วกกลบั คือ จุด (0, 0) (2) ถา b = 0 สมการจะเปน y = ax2 + c จะมจี ุดวกกลบั คือ (0, c) (3) สําหรบั สมการท่ีเขียนอยใู นรปู y = a(x − h)2 + k , a ≠ 0 ถา k = 0 สมการจะเปน y = a(x − h)2 จะมจี ดุ วกกลับคือ จดุ (h, 0) ถา k ≠ 0 สมการจะเปน y = a(x − h)2 + k จะมีจดุ วกกลับคือ จดุ (h, k) หมายเหตุ 1. กราฟพาราโบลาในขอ 1 และ ขอ 2 จะมแี กน Y เปนแกนสมมาตร หรือแกน Y เปนแกนของพาลาโบลา 2. กราฟพาราโบลาในขอ 3 จะมีเสนตรง x = h เปนแกนสมมาตร หรอื x = h เปน แกนของพาราโบลา 2. การนาํ กราฟไปใชใ นการไปแกสมการกําลังสอง 2.1 การนาํ กราฟไปใชในการแกอสมการ ในการแกสมการกาํ ลังสอง ax2 + bx + c = 0 โดยใชกราฟ สามารถทําไดโดยพิจารณาจากจดุ ตดั แกน X ของกราฟของสมการ y = ax2 + bx + c เมือ่ a ≠ 0 ดังนี้ 1) ถา กราฟไมต ัดแกน X แสดงวา สมการนัน้ ไมม คี ําตอบทเ่ี ปนจํานวนจริง 2) ถา กราฟตัดแกน X เพียง 1 จดุ แสดงวา สมการมคี ําตอบเปนจาํ นวนจริง 2 คาํ ตอบทเี่ ทากัน 3) ถากราฟตัดแกน X 2 จุด แสดงวา สมการมีคําตอบท่ีเปน จํานวนจรงิ 2 คําตอบ ไมเทากัน 2.2 การนาํ กราฟไปใชในการแกอสมการ ในการแกสมการกาํ ลงั สอง ax2 + bx + c ≤ 0 หรือ ax2 + bx + c ≥ 0 หรือ ax2 + bx + c < 0 หรือ ax2 + bx + c > 0 สามารถหาไดโ ดยใชกราฟดวยการพิจารณาจากกราฟตรงตําแหนงของ x ทีท่ าํ ให y ≥ 0 หรือ y ≤ 0 หรือ y < 0 หรอื y > 0 3. การแกป ญหาโดยใชความรูเรอ่ื งฟงกชนั กาํ ลงั สองและกราฟ สามารถนําความรูเ รือ่ งฟง กชันกําลงั สองและกราฟท่เี ขียนในรูปสมการ f(x) = ax2 + bx + c เมอื่ a ≠ 0 ไปใชในการแกป ญหาท่ีตองการหาคาสูงสุดหรือคาตํา่ สุดได การแกสมการและอสมการโดยใชกราฟ การแกสมการโดยพิจารณาจากกราฟ ทาํ ไดดังนี้ 1. ถากราฟไมต ดั แกน X จะไมม ีคําตอบท่ีเปนจาํ นวนจริง 2. ถากราฟตัดแกน X เพียงจุดใดจุดหน่ึงเพียง 1 จุด แสดงวามีคําตอบของสมการมีคําตอบเปนจํานวน จริง 2 คาํ ตอบท่ีเทากัน 3. ถากราฟตัดแกน X 2 จดุ แสดงวา สมการมคี ําตอบที่เปนจํานวนจริง 2 คาํ ตอบ ไมเทากนั เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 21

สําหรบั การแกอสมการโดยพิจารณาจากกราฟ ทําไดดังน้ี 1. ถาอสมการอยูในรูป f(x) < 0 หรือ f(x) ≤ 0 คําตอบของอสมการ คือ คา x ท่ีทําใหกราฟอยูใตแกน x หรอื คาํ ตอบของอสมการ คือ คา x ท่ที าํ ใหก ราฟอยใู ตแกน x และคา x ท่ีเปน จดุ ตัดแกน x 2. ถาอสมการอยูในรูป f(x) > 0หรอื f(x) ≥ 0คาํ ตอบของอสมการ คอื คา x ที่ทําใหกราฟอยูเหนือแกน x หรอื คําตอบของอสมการ คือ คา x ท่ีทาํ ใหก ราฟอยูเหนือแกน x และคา x ทีเ่ ปนจดุ ตัดแกน x ¿§˜ ¡ª ¹Ñ ÊÁ¡ÒÃàÍ¡«â ¾à¹¹àªÂÕ Å ฟงกช นั เอกซโ พเนนเชียลเขียนอยใู นรปู y = ax เมอื่ a > 0 และ a ≠ 1 กราฟจะมีลกั ษณะดังน้ี (1) ถา a > 1 Y จะพบวา เม่ือ x มีคาเพ่มิ ขน้ึ y จะมีคาเพิ่มขนึ้ (0,1) X (2) ถา 0 < a < 1 จะพบวา เม่ือ x มคี า เพิม่ ขนึ้ y จะมคี าลดลง Y (0,1) X (3) กราฟของ y = ax เม่ือ a > 0 และ a ≠ 1 จะผานจุด (0,1) เสมอ (4) โดเมนของฟงกชัน คือ เซตของจาํ นวนจริง เรนจของฟง กช นั คือ เซตของจาํ นวนจรงิ บวก (5) ax = ay กต็ อ เม่ือ x = y เมอ่ื a > 0 และ a ≠ 1 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลดังกลาว สามารถนํามาใชในการแกปญหาเก่ียวกับการเพิ่มของประชากร ผลตอบแทนจากการฝากเงนิ ท่ีมีดอกเบี้ยคงตัวได เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 22

¿§˜ ¡ª ¹Ñ ¤Ò‹ ÊÁÑ ºÃÙ ³ ฟงกช ันคา สัมบรู ณท ่ีกลาวถงึ จะเขยี นอยูในรูป y = | x − a| + b เมือ่ a และ b เปนจํานวนจริง ฟงกช นั คา สัมบูรณ y = | x − a| + b จะมี Dr = {x|x ∈ R} และ Rr = {y|y ∈ R และ y ≥ b} กราฟของฟงกชันคา สมบรู ณ สามารถนาํ ไปใชในการแกส มการที่อยูในรปู คา สมบรู ณไ ด เชน ตองการหาคา x จาก | x| = 2 ทาํ ไดดว ยการเขียนกราฟของ y1 = | x| และ y1 = 2 ดังนี้ y1 = |x| -2 2 X จากกราฟจะเหน็ ไดว า y1 = ������2 เมือ่ x = −2 หรือ x = 2 ดังน้นั | x| = 2 เม่ือ x = −2 หรือ 2 ¿§˜ ¡ª¹Ñ ¢¹้Ñ ºÑ¹ä´ ฟงกชันขั้นบันได เปนฟงกชันท่ีมีโดเมนเปนสับเซตของจํานวนจริง และคาของฟงกชันเปนคาคงตัว เปน ชว งๆ มากกวาสองชวง กราฟของฟง กชนั ขนั้ บนั ได จะมีลกั ษณะคลายๆขัน้ บนั ได ตัวอยางของกราฟของฟงกชันขั้นบันได ไดแก อัตราคาบริการรถประจําทาง อัตราคาบริการ ไปรษณยี ภณั ฑ อัตราคาบรกิ ารกระแสไฟฟา เปน ตน เชน จงวาดกราฟของฟงกชัน 1;0 ≤ x < 2 y = �3 ; 2 ≤ x < 4 5;4 ≤ x < 6 จากฟง กชนั ท่ีกําหนดให จะพบวา คา y จะมี 3 คา ตามชวงของ x ซง่ึ วาดกราฟไดดงั รปู เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 23

¢ÍŒ Êͺ O-NET àÃÍ×่ § ¤ÇÒÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸á Åп§˜ ¡ª ¹Ñ 4. f ��29� < −6 »‚ 2549 1. กําหนดให f(x) = −x2 + 4x − 10 ขอ ความใดตอ ไปนีถ้ กู ตอง 1. f มีคา ต่ําสุดเทา กับ -6 2. f มีคา สูงสุดเทากับ 6 3. f ไมม คี าสงู สุด 2. ถา P เปนจุดวกกลับของพาลาโบลา y = −x2 + 12x − 38 และ O เปนจุดกําเนิด แลวระยะทาง ระหวางจุด P และจดุ O เทา กบั ขอใดตอไปน้ี 1. √10 หนวย 2. 2√10 หนว ย 3. √13 หนว ย 4. 2√13 หนวย 3. ฟง กชนั y = f(x) ในขอใดในกราฟดงั รูปตอไปน้ี Y y = f(x) 1. f(x) = 1 − |x| X 2. f(x) = |1 − x| (0,1) 3. f(x) = 1 + |x| 4. f(x) = |1 + x| »‚ 2550 1. พาราโบลารูปหนึ่งมีเสนสมมาตรขนานกับแกน Y และมีจุดสูงสุดอยูท่ีจุด (a, b) ถาพาราโบลารูปน้ีตัด แกน X ทจ่ี ุด (−1, 0) และ (5, 0) แลว a มคี าเทาใด 1. 0 2. 1 3. 2 4. 3 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 24

2. ถากราฟของ y = x2 − 2x − 8 ตัดแกน X ที่จุด A, B และมี C เปนจุดวกกลับแลวรูปสามเหลี่ยม ABC มีพน้ื ที่เทา กับขอ ใดตอไปนี้ 1. 21 ตารางหนวย 2. 27 ตารางหนวย 3. 24 ตารางหนว ย 4. 30 ตารางหนวย 3. กราฟของฟง กช ันในขอใดตอไปน้ี ตดั แกน X มากกวา 1 จดุ 4. y = �21�x 1. y = 1 + x2 2. y = |x| − 2 3. y = |x − 1| »‚ 2551 1. ทกุ x ในชวงใดตอไปน้ีที่กราฟของสมการ y = −4x2 − 5x + 6 อยเู หนอื แกน X 1. �− 2 , − 13� 2. �− 5 , − 23� 3. �14 , 76� 4. �12 , 32� 3 2 2. กําหนดให a และ b เปนจํานวนจริงบวก ถากราฟของฟงกชัน y1 = 1 + ax และ y2 = 1 + bx มลี กั ษณะดงั ทีแ่ สดงในภาพดังตอไปน้ี ขอใดตอ ไปนี้เปน จรงิ Y y2 = 1 + bx y1 = 1 + ax 1. 1 < a < b 2. a < 1 < b 2 3. b < 1 < a 1 4. b < a < 1 0X เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 25

3. ถาเสนตรง x = 3 เปนเสนสมมาตรของกราฟของฟง กช ัน f(x) = −x2 + (k + 5)x + (k2 − 10) เม่ือ k เปน จํานวนจรงิ แลว f มคี าสงู สุดเทากับขอใดตอ ไปน้ี 1. -4 2. 0 3. 6 4. 14 4. กาํ หนดให f(x) = x2 − 2x − 15 ขอใดตอไปนี้ผิด 1. f(x) ≥ −17 ทกุ จํานวนจรงิ x 2. f�1 + √3 + √5� = f�1 − √3 − √5� 3. f�−3 − √2 − √3� > 0 4. f�−1 + √3 + √5� = f�−1 − √3 − √5� »‚ 2552 1. คา ของ a ทที่ าํ ใหกราฟของฟงกช นั y = a(2x) ผานจุด (3, 16) คือ ขอ ใดตอ ไปนี้ 1. 2 2. 3 3. 4 4. 5 2. ตองการลอมรว้ั รอบทด่ี ินรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผาซ่ึงมพี ืน้ ที่ 65 ตารางวา โดยดานยาวของที่ดินยาวกวาสองเทา ของดานกวา งอยู 3 วา จะตองใชร ้ัวทมี่ คี วามยาวเทากบั ขอใดตอไปน้ี 1. 30 วา 2. 36 วา 3. 42 วา 4. 48 วา เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 26

3. เม่อื เขียนกราฟของ y = ax2 + bx + c โดยท่ี a ≠ 0 เพือ่ หาคาํ ตอบของสมการ ax2 + bx + c = 0 กราฟในขอ ใดตอไปนแี้ สดงวา สมการไมมีคําตอบเปนจํานวนจริง 1. 2. 3. 4. »‚ 2553 1. ถา f(x) = −x2 + x + 2 แลวขอสรปุ ใดถูกตอง 1. f(x) ≥ 0 เม่ือ −1 ≤ x ≤ 2 2. จดุ วกกลบั ของกราฟของฟงกชัน f อยูใ นจตุภาคที่สอง 3. ฟงกช นั f มีคาสงู สดุ เทา กับ 2 4. ฟง กช นั f มคี า ตํา่ สุดเทา กับ 2 2. รูปสามเหล่ียมมุมฉากรูปหน่ึง มีพ้ืนท่ี 600 ตารางเซนติเมตร ถาดานประกอบมุมฉากดานหนึ่งยาวเปน 75% ของดานประกอบมุมฉากอีกดานหน่ึงแลว เสน รอบรปู สามเหลี่ยมมมุ ฉากรูปนย้ี าวกเ่ี ซนตเิ มตร 1. 120 2. 40 3. 60√2 4. 20√2 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 27

3. ขบวนพาเหรดรูปสี่เหลี่ยมผืนผาขบวนหน่ึง ประกอบดวยผูเดินเปนแถว แถวละเทาๆกัน (มากกวา 1 แถว และแถวละมากกวา 1 คน)โดยมีเฉพาะผูอยูริมดานนอกทั้งส่ีดานของขบวนเทาน้ัน ที่สวมชุดสีแดง ซึ่งมีทั้งหมด 50 คน ถา x คือจํานวนแถวของขบวนพาเหรด และ N คือจํานวนคนที่อยูในขบวน พาเหรดแลว ขอใดถูกตอ ง 1. 31x − x2 = N 2. 27x − x2 = N 3. 29x − x2 = N 4. 25x − x2 = N 4. รูปสี่เหลี่ยมผืนผาสองรูป มีขนาดเทากันโดยมีเสนทแยงมุมยาวเปนสองเทาของดานกวาง ถานํารูป สเี่ หล่ยี มผืนผา ทง้ั สองมาวางตอ กนั ดงั รูปจุด A และจดุ B อยูหางกันเปนระยะกี่เทาของดา นกวาง A 1. 1.5 2. 3 B 3. √2 4. 2√2 CC C »‚ 2554 1. ขอใดตอ ไปนี้เปน ความสันพนั ธทีม่ ีกราฟเปนบรเิ วณท่ีแรเงา 1. {(x, y)||y| ≥ x} 2. {(x, y)||y| ≤ x} 3. {(x, y)|y ≥ |x|} 4. {(x, y)|y ≤ |x|} เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 28

2. ถา f(x) = 3 − √4 − x2 แลว ขอ ใดตอไปนี้ถกู ตอง 1. Df = [−2,2] และ Rf = [0,3] 2. Df = [−2,2] และ Rf = [1,3] 3. Df = [0,2] และ Rf = [0,3] 4. Df = [0,2] และ Rf = [1,3] 3. ถา f(x − 2) = 2x − 1 แลว f(x2) มีคาเทากับขอ ใดตอไปน้ี 1. 2x2 − 1 2. 2x2 + 1 3. 2x2 + 3 4. 2x2 + 9 4. พาราโบลารูปหนึ่งเปน กราฟของฟงชันก f(x) = 2x2 − 4x − 6 พจิ ารณาขอความตอ ไปนี้ ก. พาราโบลารูปน้มี แี กนสมมาตรคอื เสน ตรง x = −1 ข. พาราโบลารูปนี้มีจดุ วกกลับอยทู ี่จตุภาคที่ส่ี ขอใดตอไปนถ้ี กู ตอง 1. ก. ถกู และ ข. ถูก 2. ก. ถกู และ ข. ผิด 3. ก. ผดิ และ ข. ถกู 4. ก. ผดิ และ ข. ผิด »‚ 2556 1. กัลยามีธุรกิจใหเชาหนังสือ เธอพบวา ถาคิดคาเชาหนังสือเลมละ 10 บาท จะมีหนังสือถูกเชาไป 100 เลม ตอ วนั แตถาเพมิ่ คาเชา เปน 11 บาท จํานวนหนังสอื ท่ีถกู เชา จะเปน 98 เลมตอวัน และถาเพิ่มคาเชา เปน 12 บาท จํานวนหนังสือที่ถูกเชาจะเปน 96 เลมตอวัน กลาวคือ จํานวนหนังสือที่ถูกเชาตอวันจะ ลดลง 2 เลม ทุกๆ 1 บาทของคาเชาท่ีเพมิ่ ขึ้น ถา x คอื จาํ นวนเงินสว นที่เพิม่ ข้ึนของคา เชา ตอ เลม และ y คือรายไดจากคา เชา หนังสอื ตอ วัน (หนว ย : บาท) แลว ขอ ใดคอื สมการแสดงรายไดตอ วนั จากธรุ กจิ นีข้ องกลั ยา 1. y = 1000 + 80x − 2x2 2. y = 1000 − 80x − 2x2 3. y = 1000 + 80x − x2 4. y = 500 − 40x − x2 5. y = 500 + 40x − x2 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 29

2. ถา f(x) = 1 แลว เรนจของ f คือเซตในขอใด |x|−1 1. {y|−1 < y ≤ 0} 2. {y|−1 ≤ y < 0} 3. {������|������ < −1 หรือ y > 0} 4. {������|������ < −1 หรอื y ≥ 0} 5. {������|������ ≤ −1 หรอื y > 0} 3. ถา y2 − x = 1 แลว xy2 มคี า นอ ยทีส่ ุดเทากบั ขอ ใด 1 1 1 1 1 4 2 1. − 2 2. − 4 3. − 8 4. 5. 4. โรงพิมพแหงหนึ่งคิดคาจางในการพิมพแผนพับแยกเปน 2 สวน คือ สวนท่ีหน่ึงเปนคาเรียงพิมพ ซึ่งไม ขึ้นกับจาํ นวนแผนพับทพี่ มิ พ กบั สวนที่สองเปนคาพิมพ ซึ่งข้ึนอยูกับจํานวนแผนพับท่ีพิมพ โดยโรงพิมพ เสนอราคาดังนี้ ถา สง่ั พิมพ 100 ใบ จะคิดคา จางรวมทั้งหมดเปนเงิน 800 บาท ถาสง่ั พมิ พ 200 ใบ จะคดิ คาจางรวมท้ังหมดเปนเงิน 1,100 บาท โรงพิมพค ิดคา เรียงพิมพก ี่บาท »‚ 2558 2. กราฟของ f ตัดแกน x แตไมตัดแกน y 1. ถา f(x) = x + |x| แลว ขอ ใดถูกตอง 4. กราฟของ f ตดั แกน x มากกวา 1 จุด 1. กราฟของ f อยูเหนือแกน x 3. กราฟของ f ตดั แกน y แตไ มตดั แกน x 5. กราฟของ f เปน เสนตรงท่ีผานจดุ (0, 0) เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 30

2. ถา f(x) = a√x + b โดยท่ี a และ b เปนจํานวนจรงิ บวก กราฟของ y = f(x) เปนดงั รูป ขอ ใดถูก 1. a + b = 4 2. f(x) = 4√x + 2 3. f(−x) = 3√4 − x 4. f(x2) = 2(x + 2) 5. [f(x)]2 = 4(x + 4) 3. ถา x + y = 1 แลว คา ต่ําสดุ ของ x2 + 2y2 = 1 เทา กบั เทาใด 2 10 14 1. 3 2. 1 3. 7 4. 9 5. 2 4. โยนกอ นหินขึ้นไปในแนวดงิ่ ดวยอัตราเร็ว 96 ฟุต/วินาที เม่ือเวลาผานไป t วินาที กอนหินอยูที่ความสูง h ฟุตจากพ้นื ดิน ถา ความสัมพันธระหวาง h และ t คือ h = 96t − 16t2 แลวชวงเวลาในขอใดที่กอน หนิ อยสู งู จากพื้นอยา งนอย 80 ฟตุ 1. 1 ≤ t ≤ 2 2. 1 ≤ t ≤ 5 3. 2 ≤ t ≤ 3 4. 2 ≤ t ≤ 4 5. 3 ≤ t ≤ 6 5. จากผลการวิเคราะหของโรงงานแหงหนึ่งพบวา เม่ือผลิตสินคา x (หนวย : รอยช้ิน) โรงงานจะไดกําไร P(x) โดยท่ี P(x) = ax2 + bx + c (หนวย : พันบาท) ถาไมผลิตเลย จะขาดทุน 5,000 บาท ถาผลิต 100 ช้ิน จะเทาทุน และถาผลิต 200 ชิ้น จะไดกําไร 3,000 บาท เพื่อใหไดกําไรสูงสุด โรงงานตองผลิต สนิ คาก่ชี ้นิ 1. 300 2. 320 3. 350 4. 360 5. 400 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 31

6. พรเทพขับรถออกจากเมือง A เม่อื เวลา 13:00 น. ดวยอัตราเร็ว 40 กิโลเมตรตอช่ัวโมง หลังจากนั้น 30 นาที สุธีขับรถออกจากเมือง A โดยมีจุดเร่ิมตนและใชเสนทางเดียวกับพรเทพ ดวยอัตราเร็ว 55 กโิ ลเมตรตอ ช่ัวโมง สธุ จี ะขับรถไปทันพรเทพเม่อื เวลาใด 1. 14:10 น. 2. 14:50 น. 3. 15:15 น. 4. 15:20 น. 5. 15:30 น. 7. เกษตรกรคนหนึ่งซื้อรถกระบะโดยผอนชําระเปนเวลา 4 ป ทางผูขายกําหนดใหผอนชําระเดือนแรก 5,500 บาท และเดือนถัดๆไป ใหผอนชําระเพิ่มข้นึ ทกุ เดอื น เดือนละ 400 บาท จนครบกาํ หนด ถา x คือจํานวนเงินท่เี ขาตองชําระในเดือนสดุ ทา ย และ y คอื จํานวนเงนิ ท่เี ขาชาํ ระไปใน 2 ปแรก (หนว ย : บาท) แลวขอ ใดถกู ตอ ง 1. x = 24,300 และ y = 242,300 2. x = 24,400 และ y = 242,400 3. x = 24,400 และ y = 242,000 4. x = 24,400 และ y = 243,900 5. x = 24,900 และ y = 243,900 »‚ 2559 1. มูลนธิ หิ น่ึงจัดสรรเงินจํานวนไมเกิน 100,000 บาท เปนทนุ การศกึ ษาสาํ หรบั นักเรียน ดงั น้ี ทุนสําหรบั นกั เรยี นมธั ยมตน ทนุ ละ 4,000 บาท ทุนสําหรับนกั เรยี นมธั ยมปลาย ทุนละ 6,000 บาท ถามูลนิธกิ ําหนดใหจาํ นวนทนุ สาํ หรบั นกั เรียนมัธยมตน เปนสองเทา ของจํานวนทนุ สําหรบั นักเรียนมธั ยม ปลาย แลวจาํ นวนทนุ รวมทงั้ หมดมีไดมากท่ีสุดก่ที นุ 1. 15 ทุน 2. 18 ทนุ 3. 21 ทนุ 4. 24 ทนุ 5. 27 ทนุ 2. กาํ หนดให f(x) = 4 − x2 และ g(x) = |x + 2| ขอใดถูก 1. Df = Dg และ Rf ⸦ ������������ 2. Df ∩ Dg = (−∞, ∞) และ Rf ∩ Rg = [0,4] 3. กราฟของ g ไมต ดั แกน X 4. กราฟของ f ตัดแกน X เพียงจุดเดียว 5. กราฟของ f ตัดกบั กราฟของ g เพยี งจุดเดยี ว เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 32

3. บริเวณทแี่ รเงา (ในรูป) เปนกราฟของความสัมพนั ธใ นขอ ใด 1. {(x, y)|1 ≤ x ≤ 3, x − 1 < y < 1 − x} 2. {(x, y)|1 ≤ x ≤ 3, x − 1 ≤ y ≤ 1 − x} 3. {(x, y)|1 < x ≤ 3,1 − x < y ≤ x − 1} 4. {(x, y)|1 < x ≤ 3,1 − x ≤ y < x − 1} 5. {(x, y)|1 < x ≤ 3,1 − x ≤ y ≤ x − 1} 4. นาํ ลวดยาว 32 เซนตเิ มตร มาดัดทําเปนโครงกลอง รูปทรงสี่เหล่ียมมุมฉากไดพอดี โดยมีดานขางทั้งสอง ดานเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวดานละ x เซนติเมตร และโครงกลองยาว y เซนติเมตร ดังรูป ถา V เปน ปริมาตรกลอ ง (ลกู บาศกเซนตเิ มตร) แลว ขอใดถกู ตอ ง 1. V = 2x2(2 − x) 2. V = 2x2(3 − x) 3. V = 2x2(4 − x) 4. V = 4x2(2 − x) 5. V = 4x2(3 − x) 5. จากกราฟขางตน ขอใดผิด 1. 2x2 + 4x + 3 > 0 ทกุ จาํ นวนจรงิ x 2. y1 = y2 กต็ อเม่อื x = 0 หรือ x = 2 3. y1 < y2 กต็ อเมื่อ 0 < x < 2 4. จุดวกกลับของกราฟ y1 = 2(x − 1)2 + 1 อยูต ํ่ากวากราฟ ในแนวดงิ่ 2 หนวย 5. 2x2 − 4x + 3 = 0 มคี าํ ตอบเปนจาํ นวนจริง เพียงคาํ ตอบเดยี ว เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 33

6. จากกราฟ เซตคาํ ตอบของอสมการ x ≤ x(4 − x) คือชวงในขอ ใด 2 1. [0 , 2] 2. [0 , 2.5] 3. [0 , 3] 4. [0 , 3.5] 5. [0 , 4] 7. รา นคา แหง หนงึ่ ขายเสอ้ื สามแบบ คอื เสือ้ ยืด ราคาตัวละ 150 บาท เสื้อโปโล ราคาตัวละ 200 บาท และ เส้ือเชิ้ต ราคาตัวละ 300 บาท ถาจํานวนเส้ือยืดที่ขายไดเปน 4 เทาของเส้ือเช้ิต และจํานวนเสื้อโปโลท่ี ขายไดเปน 2 เทาของเสื้อเช้ิต ทําใหทางรานขายไดเงินท้ังหมด 26,000 บาท แลวเส้ือที่ขายไดมีจํานวน ท้งั หมดก่ตี วั »‚ 2560 1. รานขายเส้ือแหงหน่ึง ขายเส้ือราคาตัวละ 200 บาท หากซ้ือเสื้อตั้งแต 30 ตัวขึ้นไป จะไดสวนลด 20% ทุกตัว ถาเอมซ้ือเส้ือ 25 ตัว เปนเงินท้ังหมด a บาท และบีซ้ือเสื้อ 30 ตัว เปนเงินท้ังหมด b บาท แลว ขอใดถกู ตอ ง 1. a = b − 200 2. a = b + 200 3. a = b 4. a = b − 1000 5. a = b + 1000 2. กําหนดกราฟ 1. y = 3−x + 1 2. y = 3−x − 1 3. y = 3x 4. y = 3x + 1 5. y = 3x − 1 สมการในขอใดที่เปน ไปไดท ่ีจะมีกราฟดังรปู หนา้ 34 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2

3. กําหนดให f(x) = |x − 5| − 5 ขอ ใดไมถ กู ตอง 1. f(−6) = 6 2. f(−5) = 5 3. f(0) = 0 4. f(5) = −5 5. f(6) = −6 4. กําหนดให r = {(2a, a2)|a เปน จํานวนจรงิ } แลว คอู ันดบั ในขอ ใด เปน สมาชกิ ของ r 1. (−2 , −1) 2. (−1 , 1) 3. (1 , 1) 4. (2 , 2) 5. (4 , 4) 5. ถากราฟของ y1 = f(x) ตัดกราฟของ y2 = g(x) ทีจ่ ดุ (1 , 3) และ (4 , 5) ดงั รูป แลว เซตคําตอบของอสมการ f(x) < g(x) คือเซตในขอใด 1. (1 , 4) 2. (3 , 5) 3. (−∞ , 4) 4. (−∞ , 1) ∪ (4 , ∞) 5. (−∞ , 3) ∪ (5 , ∞) 6. สระวายนา้ํ “รกั สุขภาพ” คดิ คา บรกิ าร 2 แบบ คอื แบบท่ี 1 บุคคลทีไ่ มเ ปน สมาชกิ คดิ คา ใชสระวา ยน้ํา 40 บาท ตอ คร้ัง แบบท่ี 2 บุคคลท่ีเปนสมาชกิ คดิ คา สมาชิกรายป 2,000 บาท และคาใชสระวายนํ้า 15 บาท ตอคร้ัง ภายใน 1 ป จาํ นวนคร้งั ทน่ี อ ยที่สุดในการใชสระวายนํ้าใน 1 ป ที่ทําใหจํานวนเงินที่ตองจายทั้งหมดของบุคคลที่เปน สมาชกิ นอยกวา ของบุคคลที่ไมเ ปนสมาชกิ เทา กบั ขอใด 1. 79 คร้งั 2. 81 คร้ัง 3. 101 ครง้ั 4. 133 ครง้ั 5. 134 ครงั้ เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 35

7. ถากราฟของ f(x) = ax2 + bx + c ตัดแกน Y ที่จดุ (0 , 1) มีจุดวกกลบั ที่ (3 , 0) ดงั รปู แลว f(−6) เทา กับเทาใด »‚ 2561 1. ถา f เปน ฟง กชนั โดยที่ f(x) = −x2 + 4x − 6 แลว ขอใดถกู ตอง 1. คาสงู สดุ ของฟงกช ัน f คือ -6 2. คา สูงสุดของฟงกช ัน f คอื -2 3. คา สูงสุดของฟง กชัน f คอื 2 4. คา สงู สุดของฟงกช นั f คอื -2 5. คา สงู สุดของฟงกชัน f คือ 2 3. ถงั ใบหนึง่ มนี ้าํ อยู 100 ลิตร ตองการตักน้าํ ออกจากถงั โดย ครงั้ ทีห่ นึ่ง ตักนํ้าออก 10% ของปริมาตรนํ้าท่ีมีอยู ครง้ั ทีส่ อง ตักนํ้าออก 10% ของปริมาตรนํา้ ที่เหลืออยใู นถงั หลังจากการตกั นํ้าออกครัง้ ท่ีหน่งึ ครง้ั ท่ีสาม ตักนาํ้ ออก 10% ของปรมิ าตรนํ้าท่เี หลอื อยใู นถงั หลงั จากการตกั นํ้าออกคร้งั ท่ีสอง และ ตกั นา้ํ ออกในทํานองนี้ไปเรอื่ ยๆ ถา ให f(t) แทน ปรมิ าตรของนาํ้ ทีเ่ หลอื อยูในถังเมือ่ ตกั น้าํ ออกไป t คร้ัง แลวขอใดถูกตอง 1. f(t) = 100(0.10)t 2. f(t) = 100(0.30)t 3. f(t) = 100(0.70)t 4. f(t) = 100(0.90)t 5. f(t) = 100(1.10)t เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 36

4. กราฟของ y1 = f(x) และกราฟของ y2 = g(x) ตดั กันทจ่ี ุด (2 , −2) และจุด (4 , −2) ดงั รปู เซตคาํ ตอบของสมการ f(x) = |g(x)| คือเซตในขอ ใด 1. {−2 , 8} 2. {−2 , 2} 3. {0 , 6} 4. {2 , 4} 5. {2 , 8} 5. กาํ หนดให f(−11) + f(20) เทากับเทาใด เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 37

ÅÒํ ´ÑºáÅÐ͹¡Ø ÃÁ ÅÒํ ´ºÑ ลาํ ดบั คือ ฟงกชนั ท่ีมีโดเมนเปนเซตของจํานวนเต็มบวก n ตวั แรก หรอื โดเมนเปน เซตของจาํ นวนเตม็ บวก ลําดับท่ีมโี ดเมนเปนเซตของจาํ นวนเตม็ บวก n ตวั แรก เรียกวา ลาํ ดบั จาํ กัด ลําดบั ท่มี โี ดเมนเปน เซตของจาํ นวนเตม็ บวก เรยี กวา ลําดับอนนั ต ให f เปน ฟง กชนั ที่มโี ดเมนเปน เซตของจํานวนเตม็ บวก จะได f = ��1 , f(1)�, �2 , f(2)�, �3 , f(3)�, ⋯ , �n , f(n)�, ⋯ � เขียนแทนลาํ ดบั ไดด ังน้ี f(1) , f(2) , f(3) , ⋯ , f(n) , ⋯ หรอื เขียนแทนดว ย a1 , a2 , a3 , ⋯ , an โดยที่ f(1) = a1 แทนพจนท่ี 1 ของลําดบั f(2) = a2 แทนพจนท ่ี 2 ของลาํ ดบั f(3) = a3 แทนพจนท ่ี 3 ของลําดับ ⋮ f(n) = an แทนพจนที่ n ของลาํ ดบั เรยี ก an วา พจนท ี่ n หรอื พจนทว่ั ไปของลาํ ดบั ดังนนั้ ลาํ ดบั a1 , a2 , a3 , ⋯ , an มโี ดเมน เปน {1 , 2 , 3 , ⋯ , n} เรยี กลาํ ดับ a1 , a2 , a3 , ⋯ , an วา ลําดบั จํากัด และลาํ ดับ a1 , a2 , a3 , ⋯ , an , ⋯ มโี ดเมน เปน {1 , 2 , 3 , ⋯ , n , ⋯ } เรียกลาํ ดบั a1 , a2 , a3 , ⋯ , an , ⋯ วา ลาํ ดบั อนันต ลําดับตอไปนี้เปน ตัวอยา งของลาํ ดับจํากัด 1) 2 , 4 , 6 , ⋯ , 20 2) 5 , 10 , 15 , ⋯ , 50 3) an = 10n เมอ่ื n ∈ {1 , 2 , 3 , ⋯ , 10} ลาํ ดับตอไปน้ีเปนตัวอยางของลาํ ดบั อนันต 1) 2 , 4 , 6 , ⋯ , 2n , ⋯ 2) 1 , 2 , 3 , ⋯ , n , ⋯ 3) an = 10n เมื่อ n ∈ {1 , 2 , 3 , ⋯ } เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 38

µÇÑ Í‹ҧ 1. ถาผลบวกของ n พจนแ รกของอนุกรมหนงึ่ คอื Sn = 3n2 + 2 แลว พจนท ่ี 10 ของอนุกรมนี้มีคา เทา กับขอใดตอ ไปน้ี 1. 57 2. 82 3. 117 4. 302 2. มคี า เทา กบั ขอใดตอไปน้ี 3. 1400 4. 1450 1. 1300 2. 1350 3. ใน 40 พจนแ รกของลาํ ดับ an = 3 + (−1)n มีกี่พจน ทม่ี ีคาเทากับพจนที่ 40 1. 10 2. 20 3. 30 4. 40 4. ถา a เปน จํานวนจริงลบ และ a20 + 2a − 3 = 0 แลว 1 + a + a2 + ⋯ + a19 มคี าเทา กับขอ ใด ตอ ไปนี้ 1. -2 2. -3 3. -4 4. -5 5. ผลบวก 3 พจนแรกของลาํ ดบั an = (−1)n+1n เทากบั ขอ ใด n+1 7 5 7 11 13 1. − 12 2. − 12 3. 12 4. 12 5. 12 6. ถา a1 = 2, a2 = 1และ an+2 = an+1 + an เม่อื n = 1, 2, 3, ⋯ แลว a11 เทากับขอ ใด 1. 76 2. 113 3. 123 4. 199 5. 384 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 39

1. ÅÒํ ´ºÑ àÅ¢¤³µÔ áÅÐÅÒํ ´ºÑ àâҤ³µÔ 1.1 ÅÒํ ´ºÑ àÅ¢¤³µÔ บทนิยาม ลําดับเลขคณิต คือ ลําดับท่ีพจนท่ี n + 1 ลบดวยพจนท่ี n เปนคาคงตัวคาเดียวกัน สําหรับทุกๆ n = 1, 2, 3, ⋯ เรียกคาคงตัวนี้วา ผลตางรวมของลําดับเลขคณิต เขียนแทนดวย ดังนั้น ลาํ ดบั a1 , a2 , a3 , ⋯ , an , ⋯ เปน ลําดับเลขคณิตก็ตอเม่ือมคี าคงตัว d ท่ีทาํ ให an+1 − an = d และ n = 1, 2, 3, ⋯ จาก an+1 − an = d จัดใหมจะได an+1 = an + d ถา ลาํ ดบั เลขคณติ มีพจนแ รก เทา กบั a1 และมผี ลตางรว ม เทา กับ d จาก an+1 = an + d จะได a2 = a1 + d a3 = a2 + d = a1 + 2d a4 = a3 + d = a1 + 3d ดงั น้ัน an = a1 + (n − 1)d จะไดร ปู ทว่ั ไปของลําดบั เลขคณติ จาํ กัดเปน a1, a1 + d, a1 + 2d, ⋯ , a1 + (n − 1)d และรูปทว่ั ไปของลําดับเลขคณติ อนนั ตเ ปน a1, a1 + d, a1 + 2d, ⋯ , a1 + (n − 1)d, ⋯ สรปุ ไดดงั น้ี พจนท ่ัวไปหรือพจนที่ n ของลาํ ดบั เลขคณิต คอื an = a1 + (n − 1)d เมอ่ื a1 เปน พจนแ รกของลาํ ดับ d เปน ผลตางรว ม และ n = 1, 2, 3, ⋯ µÑÇÍ‹ҧ 1. ถา ผลบวกและผลคณู ของสามพจนแรกของลาํ ดับเลขคณติ ท่ีมี d เปน ผลตา งรวมเทา กับ15 และ 80 ตามลาํ ดบั แลว d2 มีคา เทากบั ขอใดตอไปนี้ 1. 1 2. 4 3. 9 4. 16 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 40

2. ปาจเุ รมิ่ ขายขนมครกในวันที่ 3 มกราคม ในวนั แรกขายไดกาํ ไร 100 บาท และในวนั ตอ ๆ ไปจะขาย ไดกําไรเพิ่มขน้ึ จากวันกอนหนาวันละ 10 บาท ทุกวนั ขอใดตอไปนี้เปน วันทข่ี องเดือนมกราคมที่ปา จุ ขายไดเ ฉพาะกาํ ไรในวนั น้นั 340 บาท 1. วันท่ี 24 2. วนั ที่ 25 3. วันที่ 26 4. วนั ท่ี 27 3. ถา a1, a2, a3, ⋯ เปนลาํ ดบั เลขคณติ ซง่ึ a30 − a10 = 30 แลวผลตา งรวมของลําดบั เลขคณิตน้ี มีคา เทา กบั ขอใดตอไปน้ี 1. 1.25 2. 1.5 3. 1.75 4. 2.0 4. พจนท ี่ 31 ของลําดบั เลขคณิต − 1 , − 1 , − 1 , ⋯ เทากบั ขอใดของขอ ตอ ไปนี้ 20 30 60 5 13 9 7 1. 12 2. 30 3. 20 4. 15 5. ลาํ ดบั เลขคณิตในขอใดตอไปนม้ี บี างพจนเ ทากับ 40 1. an = 1 − 2n 2. an = 1 + 2n 3. an = 2 − 2n 4. an = 2 + 2n 6. กําหนดให 23, 1, 1 , ⋯ เปนลาํ ดับเลขคณติ ผลบวกของพจนท่ี 40 และ พจนที่ 42 เทา กับขอ ใด 2 1. -18 2. -19 3. -37 4. -38 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 41

7. ถา พจนท ี่ 5 และพจนท่ี 10 ของลําดับเลขคณิตเปน 14 และ 29 ตามลําดับแลว พจนท่ี 99 เทากับขอใด 1. 276 2. 287 3. 296 4. 297 5. 299 8. ลาํ ดับ −24, −15, −6, 3, 12, 21, ⋯ , 1776 มกี ่ีพจน 4. 202 5. 203 1. 199 2. 200 3. 201 9. ลาํ ดับเลขคณิต −43, −34, −25, ⋯ มพี จนท ่ีมคี านอ ยกวา 300 อยูก่ีพจน 1.2 ÅÒํ ´ºÑ àâҤ³µÔ บทนยิ าม ลาํ ดบั เรขาคณิต คือ ลําดับท่อี ัตราสว นระหวางพจนท ี่ n + 1 และพจนท ี่ n มคี าคงตัว คาเดยี วกนั สําหรับทุกๆ n = 1, 2, 3, ⋯ เรยี กคาคงตัวนว้ี า อตั ราสวนรวมของลําดบั เรขาคณิตเขยี นแทนดว ย r (r ≠ 0) ดงั นน้ั ลําดับ a1 , a2 , a3 , ⋯ , an , ⋯ เมื่อ a1 ≠ 0 เปนลําดับเรขาคณิตก็ตอเม่ือมีคา คงตวั r ที่ทาํ ให an+1 ÷ an = r , r ≠ 0 และ n = 1, 2, 3, ⋯ จาก an+1 ÷ an = r จดั ใหมจ ะได an+1 = a1r เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 42

ถา ลําดับเรขาคณติ มีพจนแ รก เทากบั a1 และมีอตั ราสว นรวม เทา กับ r จาก an+1 = a1r จะได a2 = a1r a3 = a2r = a1r2 a4 = a3r = a1r3 ดงั นน้ั an = a1rn−1 จะไดร ูปทว่ั ไปของลําดบั เรขาคณิตจาํ กัดเปน a1, a1r, a1r2, ⋯ , a1rn−1 และรูปทว่ั ไปของลาํ ดับเรขาคณติ อนันตเ ปน a1, a1r, a1r2, ⋯ , a1rn−1, ⋯ สรุปไดด งั นี้ พจนทั่วไปหรือพจนท่ี n ของลําดับเรขาคณิต คือ an = a1rn−1 , a1 ≠ 0 และ r ≠ 0 เม่ือ a1 เปน พจนแ รกของลําดับ r เปน อัตราสวนรว ม และ n = 1, 2, 3, ⋯ µÑÇÍ‹ҧ 1. ลําดบั เรขาคณิตในขอใดตอไปน้ี มอี ัตราสว นรวมอยใู นชวง (0.3, 0.5) 5 25 4 8 9 16 1. 3, 4 , 48 , ⋯ 2. 2, 3 , 9 , ⋯ 3. 4, 3, 4 , ⋯ 4. 5, 4, 5 , ⋯ 2. ลาํ ดับในขอใดตอไปนี้ เปน ลําดับเรขาคณิต 2. an = 3n2 1. an = 2n ∙ 32n 3. an = 2n + 4n 4. ������������ = (2������)������ 3. พจนที่ 16 ของลาํ ดบั เรขาคณิต 1 , 1 , 1 ,⋯ เทา กบั ขอใดตอไปน้ี 625 125√5 125 1. 25√5 2. 25 3. 125√5 4. 625 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 43

4. กําหนดให a1 , a2 , a3 , ⋯ เปนลาํ ดบั เรขาคณติ พิจารณาลําดบั สามลําดับตอ ไปนี้ (ก) a1 + a3 , a2 + a4 , a3 + a5 , ⋯ (ข) a1a2 , a2a3 , a3a4 , ⋯ (ค) 1 , 1 , 1 , … a1 a2 a3 ขอ ใดตอ ไปน้ีถูก 1. ทัง้ สามลาํ ดบั เปนลําดบั เรขาคณิต 2. มลี ําดบั หน่งึ ไมเปนลาํ ดับเรขาคณติ 4. ทัง้ สามลาํ ดับไมเปน ลาํ ดบั เรขาคณติ 3. มสี องลาํ ดบั ไมเปนลาํ ดับเรขาคณิต 5. กาํ หนดให a1 , a2 , a3 เปน ลาํ ดับเรขาคณิต โดยท่ี a1 = 2 และ a3 = 200 ถา a2 คือคา ในขอใดขอ หน่ึงตอ ไปน้ีแลวขอดังกลาวคือขอใด 1. 20 2. -50 3. 60 4. 100 6. ลาํ ดับเรขาคณิตลาํ ดับหน่งึ มีผลบวกและผลคูณของ 3 พจนแรกเปน 13 และ 27 ตามลาํ ดับ ถา r เปน 1 อัตราสว นรวมของลาํ ดับนแ้ี ลว r + r มคี าเทากบั ขอใดตอ ไปน้ี 7 1. 10 2. 3 3. 4 4. 1 3 3 3 2. ͹¡Ø ÃÁàÅ¢¤³µÔ áÅР͹¡Ø ÃÁàâҤ³µÔ หนา้ 44 2.1 ͹ءÃÁàÅ¢¤³Ôµ บทนยิ าม ถา a1 , a2 , a3 , ⋯ , an เปนลําดับจํากัดแลว เราเรียกวา a1 + a2 + a3 + ⋯ + an วาเปน อนกุ รมจาํ กัด เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2

ผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเขียนแทนดว ย S มคี วามหมายดงั น้ี S1 = a1 S2 = a1 + a2 S3 = a1 + a2 + a3 ⋮ Sn = a1 + a2 + a3 + ⋯ + an อนกุ รมทไี่ ดจากลาํ ดบั เลขคณิต เรยี กวา อนุกรมเลขคณิต และผลตา งรว มของลาํ ดบั เลขคณิต จะเปน ผลตา งรว มของอนุกรมเลขคณติ ดว ยเชน กนั ถา a1, a1 + d, a1 + 2d, ⋯ , a1 + (n − 1)d เปน ลาํ ดบั เลขคณติ แลว a1, (a1 + d), (a1 + 2d), ⋯ , [a1 + (n − 1)d] จะเปน อนกุ รมเลขคณิต สามารถหาผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิต ไดดังนี้ Sn = a1 + (a1 + d) + (a1 + 2d) + ⋯ + [a1 + (n − 1)d] ผลของ n พจนแ รกของอนุกรมเลขคณิต n Sn = 2 (a1 + an) n หรือ Sn = 2 {2a1 + (n − 1)d} µÑÇÍ‹ҧ 1. กําหนดให S = {101, 102, 103, ⋯ , 999} ถา a เทา กบั ผลบวกของจํานวนคีท่ ัง้ หมดใน S และ b เทา กับผลบวกของจาํ นวนคูทงั้ หมดใน S แลว b − a มีคา เทากบั ขอ ใดตอ ไปน้ี 1. -550 2. -500 3. -450 4. 450 2. ถา a1 , a2 , a3 , ⋯ เปน ลําดบั เลขคณิตซึง่ a2 + a3 + ⋯ + a9 = 100 แลว S10 = a1 + a2 + a3 + ⋯ + a10 มคี า เทากบั ขอ ใดตอ ไปนี้ 1. 120 2. 125 3. 130 4. 135 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 45

3. คาของ 1 + 6 + 11 + 16 + ⋯ + 101 เทา กับขอ ใดตอไปน้ี 1. 970 2. 1020 3. 1050 4. 1071 4. ในสวนปาแหงหนึ่ง เจา ของปลกู ตน ยูคาลิปตัสเปน แถวดังนี้ แถวแรก 12 ตน แถวที่สอง 14 ตน แถวท่ีสาม 16 ตน โดยปลูกเพ่ิมเชนน้ี ตามลําดบั เลขคณติ ถาเจาของปลกู ตนยูคาลปิ ตัสไวท้ังหมด 15 แถว จะมตี น ยูคาลปิ ตสั ในสวนปานี้ทั้งหมดกต่ี น 5. กําหนดให Sn เปนผลบวก n พจนแรกของลําดับเลขคณิต a1 , a2 , a3 , ⋯ ถา S5 = 90 และ S10 = 5 แลว a11 มีคาเทากับขอ ใดตอไปนี้ 1. – 39 2. – 38 3. – 37 4. – 36 2.2 ͹¡Ø ÃÁàâҤ³µÔ อนกุ รมทีไ่ ดจากลาํ ดบั เรขาคณติ เรยี กวา อนกุ รมเรขาคณิต และอตั ราสวนรวมของลาํ ดับเรขาคณิตจะ เปน อตั ราสวนรวมของอนุกรมเรขาคณติ ดว ยเชน กัน ถา a1 , a1r , a1r2 , ⋯ , a1rn−1 เปนลาํ ดับเรขาคณติ แลว a1 + a1r + a1r2 + ⋯ + a1rn−1 จะเปนอนุกรมเรขาคณิต สามารถหาผลบวก n พจนแรกของอนกุ รมเรขาคณติ ไดดงั น้ี Sn = a1 + a1r + a1r2 + ⋯ + a1rn−1 ผลบวก n พจนแ รกของอนุกรมเรขาคณติ Sn = a1(1−rn) = a1(rn−1) เม่ือ r ≠ 1 1−r r−1 หรอื Sn = a1−ran = ran−a1 เม่ือ r ≠ 1 1−r r−1 และ Sn = na1 เมื่อ r = 1 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 46

µÇÑ ÍÂÒ‹ § 1. ผลบวกของอนุกรมเรขาคณติ 1 − 2 + 4 − 8 + ⋯ + 256 เทากบั ขอ ใดของขอตอไปน้ี 1. -171 2. -85 3. 85 4. 171 2. กําหนดให Sn เปนผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตซ่ึงมีอัตราสวนรวมเทากับ 2 ถา S10 − S8 = 32 แลว พจนที่ 9 ของอนกุ รมน้ีเทา กบั ขอใดตอไปน้ี 1. 16 2. 20 3. 26 4. 32 3 3 3 3 3. ขอใดตอไปนี้เปน อนกุ รมเรขาคณิตที่มี 100 พจน 1. 1 + 3 + 5 + ⋯ + (2n − 1) + ⋯ + 199 2. 1 + 1 + 1 + ⋯ + 1 3 5 (2������−1) 199 3. 1 + 2 + 4 + ⋯ + (2n−1) + ⋯ + 2199 4. 1 + 1 + 1 + 1 + ⋯ + 1 5 125 3125 52������−1 5199 4. กําหนดให a1 , a2 , a3 , ⋯ เปนลําดับเรขาคณิต ถา a1 = 8 และ a5 = −64 แลวผลบวกของ 10 พจนแรกของลาํ ดับนีเ้ ทา กับขอใด 1. 2,048 2. 1,512 3. 1,364 4. 1,024 เอกสารประกอบการเรยี นเพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 47

5. ผลบวกของอนกุ รมเรขาคณติ 1 + (−2) + 4 + (−8) + ⋯ + 256 เทากับเทาใด 6. ถาอนุกรมเรขาคณิตมีผลบวก 10 พจนแรกเปน 3069 และมีอัตราสวนรวมเปน 2 แลว พจนท่ี 3 ของ อนกุ รมนี้เทา กบั ขอใด 1. 2 2. 6 3. 8 4. 12 5. 24 ¢ÍŒ Êͺ ONET àÃÍ×่ §ÅÒํ ´ºÑ áÅÐ͹¡Ø ÃÁ »‚ 2558 4 8 16 32 64 5 9 13 17 21 1. พจนที่ 8 ของลําดับ , , , , ,⋯ เทากับเทาใด 1. 128 2. 134 3. 234 4. 416 5. 512 29 31 31 33 33 2. ให a1 , a2 , a3 , ⋯ เปนลาํ ดบั เลขคณติ ถา a4 = 5a1 และ a10 = 39 แลว a1 เทากับเทาใด 1. 1 2. 2 3. 3 4. 4 5. 5 3. กําหนดให a, ar, ar2, ⋯ , arn−1 เปนลําดับเรขาคณิตที่มี n พจน ซ่ึงผลรวมของ 3 พจนสุดทายเปน 4 เทาของผลรวมของ 3 พจนแรก ถาพจนท ่ี 3 คือ 22 แลว พจนส ุดทายมคี า เทาใด 1. 56 2. 72 3. 88 4. 96 5. 102 เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดท่ี 2 หนา้ 48

4. บริษัทแหงหนึ่งซื้อเครื่องจักรมาในราคา A บาท คิดคาเส่ือมราคาคงที่ 15% ตอป กลาวคือ ราคา เครื่องจักรจะลดลง 15% ของมูลคาคงเหลือในแตละปทุกป ถาใชเครื่องจักรผานไป t ป แลว มูลคา คงเหลอื ของเครื่องจักรน้ีเทา กบั เทา ใด 1. (0.15)t−1A บาท 2. (0.15)tA บาท 3. (0.85)t−1A บาท 4. (0.85)tA บาท 5. (0.85)t+1A บาท 5. สําหรับ n = 2 , 3 , 4 ⋯ กําหนดให an = (2)n−2 1n ถา An = a2 + a3 + ⋯+ an แลว 729A6 3 เทา กบั เทา ใด 1. 190 2. 195 3. 200 4. 211 5. 243 6. กมลศักด์ิขยายพันธุตนกุหลาบโดยการตอนก่ิงเพื่อจําหนาย ในวันแรกเขาตอนก่ิงได 20 ก่ิง ในวันถัดๆไป เขาทําไดเร็วข้ึน โดยเขาสามารถตอนก่ิงไดมากกวาวันกอนหนานั้น 5 ก่ิง เมื่อครบ 7 วัน แลวเขาตอนก่ิง กหุ ลาบไดท ้งั หมดกกี่ ง่ิ 1. 235 2. 240 3. 245 4. 250 5. 255 7. กําหนดให an เปนพจนที่ n ของลําดับ ซ่ึงมี an+1 = an + n เมื่อ n = 1 , 2 , 3 ⋯ ถา a4 = 26 แลว a1 + a2 + a3 เทา กับเทาใด เอกสารประกอบการเรยี นเพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิ O-NET ชุดที่ 2 หนา้ 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook