แรป่ ระกอบหิน (rock forming mineral) คอื แร่ตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ สว่ นประกอบส�ำคญั ของหนิ และใช้เป็น 51 หลักในการจำ� แนกชนิดหิน เช่น กลุ่มแรค่ วอตซ์ กลุ่มแรไ่ ฟรอกซนี 1. หินอัคนี สี ลักษณะสำ� คัญ 1.1 หนิ อคั นแี ทรกซอน 1. หินแกรนิต เทา ชมพู มว่ ง เนอ้ื หยาบ ผลกึ ขนาดใหญ่ มีความแวววาว 2. หินแกบโบร เขียวเขม้ ด�ำ เนอ้ื ผลกึ หยาบ 3. หนิ ไดออไรต์ คล้�ำ ด�ำ เนอ้ื หยาบถงึ ละเอียด ละเอียดกวา่ หนิ แกรนิต 1.2 หนิ อคั นพี ุ (หนิ ภเู ขาไฟ) 1. หินพัมมิซ ขาว เทา เนอ้ื แขง็ สาก มีรพู รนุ มากคล้ายฟองน�ำ้ น้�ำหนักเบา 2. หินออบซิเดียน ดำ� เนอ้ื หินมลี กั ษณะเหมือนแกว้ มีสดี �ำ ผิวเรียบ มนั วาว 3. หนิ ไรโอไลต์ ชมพู เหลือ เนื้อละเอยี ดมาก 4. หนิ บะซอลต์ เข้ม ด�ำ เน้อื ละเอยี ด บางสว่ นเป็นรพู รุน 2. หินช้ันหรอื หนิ ตะกอน สี ลักษณะส�ำคญั 1. หินทราย หลายสี เนอ้ื หยาบ แข็ง ประกอบด้วยเม็ดทรายเล็ก ๆ 2. หินปนู เทาจาง – เขม้ ด�ำ เน้ือแนน่ ละเอียด บางกอ้ นมซี ากสตั ว์ในเนอ้ื หิน 3. หนิ กรวดมน หลายสี เนอ้ื หยาบประกอบดว้ ยก้อนกรวดและเมด็ ทราย 4. หนิ ดนิ ดาน หลายสี เนอ้ื ละเอยี ดเปน็ ชัน้ บาง ๆ เหนยี วและนม่ิ 3. หนิ แปร สี แปรมาจาก ลักษณะสำ� คัญ 1. หนิ ชนวน เทา – ด�ำ หินดินดาน เนื้อละเอียดแน่น มแี นวแตก 2. หินออ่ น หลายสี หนิ ปนู เน้ือละเอียด – หยาบ 3. หินไนส์ เทา – เทาเข้ม หินแกรนติ มที งั้ เนอื้ หยาบและละเอยี ด แขง็ ทนทาน เปน็ รว้ิ ขนาน 4. หนิ ควอร์ตไซด์ จาง หินทราย เนื้อแนน่ ละเอยี ด ไมเ่ ป็นรว้ิ ขนาน 2. วฏั จกั รหิน เปน็ กระบวนการเปลยี่ นเเปลงระหวา่ งหินอัคนี หนิ ตะกอนเเละหนิ เเปร โดยมีการเปลี่ยนจากหนิ ประเภท หนง่ึ เเละเปลีย่ นกลบั ไปเปน็ ประเภทเดิมได้ โดยมีกระบวนการเปล่ียนเเปลงคงทเี่ ป็นรูปเเละต่อเน่อื ง กระบวนการทางธรณีวิทยาตา่ งๆ ทที่ ำ� ใหเ้ กิดวัฏจักรหิน ไดเ้ เก่ การเย็นตัวลงเเละตกผลึกของเเมกมาใตผ้ วิ โลกเกดิ เปน็ หินอัคนเี เทรกซอน การเยน็ ตัวเเละตกผลึกหรือการเยน็ ตวั เเละเเข็งตวั อย่างรวดเรว็ ของลาวาบนผวิ โลก
เกดิ เปน็ หินอัคนพี ุ การผุผังของหินทุกประเภทเกดิ เป็นตะกอนขนาดตา่ ง ๆ การเคลอ่ื นทข่ี องตะกอนไปจากต�ำเเหน5ง่ 2 เดิมโดยนำ้� ลม หรอื ธารน้ำ� เเขง็ การสะสมตวั ของตะกอนเเละการเช่ือมประสานตะกอนเกิดเป็นหินตะกอนทีม่ ีเนอ้ื เป็นเมด็ ตะกอน หรอื การตกผลกึ หรอื ตกตะกอนของสารบางชนิดเปน็ หินตะกอนทม่ี ีเน้อื ผลึก การเเปรสภาพของหนิ ทกุ ประเภทเกดิ เป็นหินเเปร เเละการท่ีหนิ ทกุ ประเภททีอ่ ย่ใู นระดบั ลึกใตผ้ ิวโลกหลอมเหลวเปน็ เเมกมา 1 การหลอมเหลว 4 กตกกปาาาะรรรรกะเสผสอเะพุปานสนรงัขมสตเอเตภะลงกวัะาสอพขกานาอรรบงเตเาคเงะลลชกะอ่ื นอกนดนิาทรเเข่ีตลอกะงผกตลาะรกึ กเหชอรอ่ืนอื มตก 2 การเยน็ ตวั เเละตกผลกึ ของเเมกมา 5 กกาารรเเยยนน็็ ตตววัั เเเเลละะตเเขกผง็ ขลอกึ งขลอางวลาาวา 6 3 3. ประโยชน์ของหินและแร่ หินและแร่ประกอบหนิ แต่ละชนดิ มีลกั ษณะและสมบตั แิ ตกต่างกัน มนุษย์จงึ สามารถน�ำหนิ และแรป่ ระกอบ หนิ มาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจ�ำวันในลกั ษณะที่แตกตา่ งกันไป เช่น 1. น�ำหินทรายมาท�ำหนิ ลบั มดี เพราะประกอบด้วยแรค่ วอตซ์ทีม่ ีความแขง็ 2. น�ำหินแกรนิตที่มีสสี ันสวยงามและมคี วามแข็งมาเป็นวัสดกุ อ่ สร้าง ท�ำหนิ ประดบั ครกหนิ โมห่ ิน
3. น�ำหินอ่อนที่แปรสภาพจากหนิ ปูน ซง่ึ มีเน้อื หนิ แนน่ มากมาใช้สร้างอาคารและปฎิมากรรมตา่ ง ๆ 53 4. นำ� แรท่ ัลก์ซงึ่ เป็นแร่ประกอบของหินชสี ตม์ าทำ� แปง้ ฝ่นุ 5. น�ำแร่ควอตซจ์ ากหนิ ทรายท่มี คี วามแข็งมากมาทำ� เป็นกระจก 6. นำ� แรท่ องคำ� ทเี่ ปน็ แร่ประกอบหนิ ของหนิ อัคนี หนิ ตะกอน หนิ แปร มาท�ำเป็นเครื่องประดบั หรอื ใช ้ ประโยชนท์ างการแพทย์ 7. นำ� แรฟ่ ลูออไรด์ทเี่ ป็นแร่ประกอบของหนิ อคั นมี าเปน็ ส่วนผสมในยาสีฟนั
ใบความรู้ วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 54 หน่วยการเรยี นรู้ หินและซากดึกดำ� บรรพ์ บทเรอื่ ง ซากดกึ ด�ำบรรพ์ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ คอื ซากพชื ซากสัตว์ หรือร่องรอยของสง่ิ มีชีวิตต่าง ๆ ในยุคโบราณที่ถูกแปรสภาพด้วย กระบวนการทางธรณีวิทยา และถูกเกบ็ รกั ษาไว้ในหินหรอื ช้ันหนิ จากการสะสมและทบั ถมของตะกอน ซากดกึ ดำ� บรรพ์จะมีอายยุ าวนานและมีหลายประเภท ซง่ึ มนุษยส์ ามารถใชซ้ ากดึกด�ำบรรพเ์ ป็นหลกั ฐานหน่งึ เพ่ือ ช่วยอธบิ ายสภาพแวดลอ้ มในอดีตของพืน้ ทท่ี พี่ บซากดกึ ด�ำบรรพ์ได้ 1. การเกิดซากดกึ ด�ำบรรพ์ ซากดกึ ดำ� บรรพห์ รอื ฟอสซลิ (fossil) เกดิ จากการทบั ถมหรอื ประทบั รอยของสงิ่ มชี วี ติ ในอดตี แลว้ ผา่ น กระบวนการเปลยี่ นแปลงทางธรรมชาตติ า่ ง ๆ จนทำ� ใหก้ ลายเปน็ โครงสรา้ งของซากหรอื รอ่ งรอยของสง่ิ มชี วี ติ โดย ทว่ั ไปซากดกึ ดำ� บรรพท์ ม่ี อี ายมุ ากมกั อยใู่ นชน้ั หนิ ดา้ นลา่ ง สว่ นซากดกึ ดำ� บรรพท์ มี่ อี ายนุ อ้ ยจะอยใู่ นชน้ั หนิ ดา้ นบน 1. ประเภทของซากดกึ ดำ� บรรพ์ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. ซากดกึ ด�ำบรรพส์ ตั ว์ เช่น ไดโนเสาร์ หายกาบคู่ ปลา เป็นตน้ 2. ซากดึกดำ� บรรพพ์ ืช เช่น ไมก้ ลายเปน็ หนิ ใบไม้ เป็นตน้ 3. ซากดกึ ดำ� บรรพ์รอ่ งรอย เชน่ รอยเท้าไดโนเสาร์ เปน็ ตน้
2. ปจั จยั ท่ีทำ� ให้เกดิ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ จะต้องอาศัยปัจจยั ท่ีสำ� คญั ดงั น้ี 55 1. องคป์ ระกอบของสิง่ มีชีวติ เม่อื สงิ่ มชี วี ติ ตาย โครงรา่ งท่เี ป็นของแข็งจะใชเ้ วลาในการยอ่ ยสลายนาน หากในขณะน้ันมตี ะกอนมาปดิ ทับซากรวดเรว็ จะท�ำใหก้ ลายเป็นซากดึกด�ำบรรพ์ไดง้ ่าย เช่น กระดูก ฟัน กระดอง 2. อณุ หภูมิ เม่ือบริเวณใดมีอุณหภมู ิเย็นจัดหรอื แห้งแลง้ จัด จนเชือ้ จุลินทรียไ์ ม่สามารถเจริญเตบิ โตได้ ซากสิ่งมชี ีวิต บางชนิดจึงรอดพ้นจากการยอ่ ยสลายของจุลินทรียต์ ่าง ๆ 3. ระยะเวลาการทับถม ระยะเวลาท่ีตะกอนทับถมลงบนซากของสิง่ มีชีวติ จะต้องเกิดขึ้นอยา่ งรวดเร็วจนท�ำให้เช้ือจลุ นิ ทรยี ต์ ่าง ๆ ไมส่ ามารถย่อยสลายซากของสิ่งมชี วี ติ ได้ทัน 3. การเกดิ ซากดึกด�ำบรรพ์ประเภทต่าง ๆ มีกระบวนการเกิดหลายประเภท เช่น 1. การเกดิ ซากดึกด�ำบรรพ์แบบซากกลายเปน็ หิน เปน็ กระบวนการเกดิ ท่ีพบได้นอ้ ย แต่ซากดกึ ดำ� บรรพท์ ่ี เกดิ ขึ้นจะมีสภาพสมบรู ณ์ เช่น ซากดกึ ดำ� บรรพไ์ ดโนเสาร์ ซง่ึ กระบวนการเกดิ ซากดกึ ดำ� บรรพป์ ระเภทนี้มดี ังนี้ - สิง่ มีชีวิตท่ีตายแลว้ ถกู พดั พาลงไปใต้นำ้� ทำ� ใหถ้ กู ฝงั อยใู่ ต้ชน้ั ตะกอนดนิ - ส่วนท่ีอ่อนจะเรม่ิ เนา่ เปื่อยแลว้ สลายไปเหลอื เพยี งโครงร่างของสตั ว์ ซ่งึ เปน็ สว่ นทม่ี ีความแข็ง เช่น กระดูก ฟนั เมือ่ เวลาผา่ นไปแรธ่ าตจุ ะแทรกซมึ เข้าไปสะสมในช่องว่างของโครงรา่ งของสัตว์ - เมอื่ เวลาผ่านไปหลายล้านปี ตะกอนดนิ และโครงร่างของสัตวจ์ ะแปรสภาพแลว้ กลายเปน็ หิน
56 2. การเกิดซากดกึ ดำ� บรรพ์แบบรอยพมิ พแ์ ละแบบรปู หล่อ เช่น ซากดกึ ด�ำบรรพร์ อยเปลอื กหอย ซ่งึ กระบวนการเกิดซากดึกดำ� บรรพป์ ระเภทนมี้ ดี งั นี้ - สิง่ มีชวี ติ ตายลง ส่วนทแ่ี ข็งของส่งิ มีชวี ติ ถกู ฝังไวใ้ ต้ตะกอน เชน่ โคลน ทราย - เวลาผา่ นไปสว่ นทแี่ ขง็ ยอ่ ยสลายไปหมดและจะเหลอื รอยของสง่ิ มชี วี ติ นน้ั เปน็ ซากดกึ ดำ� บรรพแ์ บบรอยพมิ พ์ - เมอ่ื แรต่ ่าง ๆ เช้าไปตกผลึกในรอยพิมพจ์ ะกลายเป็นซากดกึ ดำ� บรรพร์ ปู แบบหล่อ 3. การเกิดซากดกึ ดำ� บรรพแ์ บบรอ่ งรอยกลายเปน็ หิน เช่น รอยเทา้ ไดโนเสาร์ ซ่ึงกระบวนการเกดิ ซากดกึ ด�ำบรรพป์ ระเภทน้ี มีดงั นี้ - ส่ิงมชี ีวิตทง้ิ รอ่ งรอยการเดิน เล้ือย ฯลฯ - เมือ่ เวลาผา่ นไปรอ่ งรอยจะถูกฝงั ไว้ใต้ชน้ั ตะกอน และจะกลายสภาพเปน็ หนิ ท�ำใหเ้ กดิ เปน็ ซากดึกด�ำบรรพข์ ้ึน 4. แบบคารบ์ อนฟิล์ม เชน่ สัตวข์ นาดเล็กทมี่ ผี ิวหนังออ่ น ใบไมถ้ กู ฝังไวใ้ ต้ตะกอนเน้ือละเอยี ด ซ่งึ กระบวนการเกดิ ซากดึกด�ำบรรพป์ ระเภทน้ี มีดงั น้ี - ความดนั ทำ� ให้ของเหลวและแกส๊ ทอ่ี ยู่ในใบไม้และผวิ หนังของสตั ว์ ถูกขบั ออกจนหมด เหลือสารจ�ำพวก คาร์บอน เห็นเป็นแผน่ ฟิล์มบาง ๆ 5. การเกิดซากดึกดำ� บรรพแ์ บบการคงสภาพ เกิดมาจากการถูกคงสภาพจากตัว กลางทแ่ี ตกตา่ งกนั เชน่ ช้างแมมมอธ ถกู คงสภาพด้วยนำ�้ แข็งและสภาพอากาศหนาวเย็น แมลงถูกคงสภาพดว้ ยยางไม้หรอื อ�ำพนั การเกิดซากดึกดำ� บรรพ์แบบการคงสภาพจะท�ำให้ ได้ซากดึกดำ� บรรพท์ ี่มสี ภาพใกล้เคยี งกับสภาพเดิมของสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ นั้นมากทส่ี ุด
2. ประโยชน์ของซากดึกดำ� บรรพ์ 57 ซากดึกดำ� บรรพม์ ีประโยชนใ์ นหลายดา้ น เช่น 1. เป็นขอ้ มลู ที่ใช้ในการสนั นิษฐานถนิ่ ก�ำเนดิ และวิวฒั นาการของส่ิงมชี ีวติ 2. ใชซ้ ากดึกด�ำบรรพ์ระบอุ ายุของหินในบริเวณที่พบซากดกึ ดำ� บรรพ์นน้ั ๆ 3. เปน็ ตวั ช่วยเพือ่ คาดคะเนวา่ บริเวณนั้นอาจจะมแี หลง่ แร่ แหลง่ ถา่ นหนิ หรือแหล่งน�้ำมัน 4. เป็นหลักฐานหนึ่งเพือ่ ช่วยบอกถึงสภาพแวดลอ้ มและสภาพภูมิอากาศในอดตี ขณะเกิดส่งิ มชี ีวิตชนิด ๆ นั้น เชน่ หากพบซากดกึ ด�ำบรรพ์ของหอยน�ำ้ จืด สภาพแวดล้อมบริเวณนัน้ อาจเคยเปน็ แหลง่ น้�ำจืด หากพบ ซากดกึ ดำ� บรรพข์ องพืช สภาพแวดล้อมบรเิ วณนั้นอาจเคยเป็นป่า ในการใช้ขอ้ มลู ของซากดกึ ด�ำบรรพ์เพอ่ื ระบุอายแุ ละสภาพแวดลอ้ มในอดีตเพยี งขอ้ มลู เดยี ว อาจเกิดความ ผดิ พลาดได้ เชน่ หากส่งิ มชี วี ติ ทีอ่ าศยั อยู่ในน้ำ� จดื เมื่อตายแล้วเกดิ ถูกพัดพาไปทับถมอยใู่ นทะเล ซงึ่ อาจจะทำ� ให้ เขา้ ใจผิดได้ว่า บรเิ วณทพ่ี บซากดึกด�ำบรรพด์ ังกลา่ วเคยเปน็ แหล่งน้�ำจดื 3. ซากดึกดำ� บรรพ์ทีค่ น้ พบในประเทศไทย ในประเทศไทยมรี ายงานการคน้ พบซากดึกดำ� บรรพ์อย่แู ทบทุกภูมิภาค และซากดึกดำ� บรรพ์ทม่ี กี ารคน้ พบ ในประเทศไทยน้ันมที ้ังซากดึกด�ำบรรพส์ ัตว์ ซากดึกด�ำบรรพ์พืช และซากดึกด�ำบรรพ์รอ่ งรอย เช่น 1. ซากดกึ ดำ� บรรพ์ไดโนเสาร์ มกี ารค้นพบทแ่ี รกทอ่ี �ำเภอภูเวียง จังหวดั ขอนแก่น มชี อ่ื วา่ ภูเวียงโกซอรสั สิรนิ ธรเน (Phuwiangosaurus sirindhornae) เป็นไดโนเสารก์ นิ พชื เดิน 4 เท้า มีคอและหางยาว และยังคน้ พบ ซากดึกด�ำบรรพ์ของภูเวยี งโกซอรัส สริ ินธรเน ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือเพมิ่ เช่น ท่ภี กู ุ้มขา้ ว อำ� เภอสหสั ขนั ธ์ จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ปัจจุบนั ตอ้ งเปน็ ศูนย์ศึกษาวิจยั และพพิ ิธภณั ฑ์ไดโนเสารภ์ ูก้มุ ข้าว หรอื พพิ ิธภัณฑส์ ิรินธร
2. ซากดกึ ดำ� บรรพ์หอยขม ค้นพบท่ีอ�ำเภอแม่เมาะ จงั หวัดลำ� ปาง โดยพบซากซากดกึ ดำ� บรรพห์ อยขมน5ำ�้ 8 จดื แทรกอยู่ระหวา่ งช้นั ถ่านหิน หอยขมชนิดนอี้ าศัยอยบู่ รเิ วณดินโคลน และ จะกินสาหรา่ ย ตะไคร่น�ำ้ จอกแหน แพลงก์ตอน หรอื สัตวน์ �้ำท่มี ีขนาดเล็กเป็นอาหาร 3. ไม้กลายเป็นหนิ คน้ พบได้มากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนอื ของประเทศ ส่วนภาคอื่นพบ บา้ งเลก็ น้อย ไมก้ ลายเป็นหินท่ีคาดวา่ มีความยาวทส่ี ดุ ในโลกค้นพบท่ีตำ� บลตากออก อำ� เภอบ้านตาก จงั หวดั ตาก 4. ซากดึกด�ำบรรพ์ฟนั กรามของชา้ งสเตโกดอน คน้ พบในถ้ำ� วงั กลว้ ยท่ีบา้ นครี วี ง หมูท่ ่ี 7 ตำ� บลทงุ่ หวา้ อำ� เภอทุ่งหว้า จงั หวดั สตูล จากการตรวจสอบพบวา่ เปน็ ซากกระดกู ขากรรไกรและฟันกรามซ่ที ่ี 2 และ 3 ด้าน ล่างขวาของช้างดกึ ด�ำบรรพส์ กุลสเตโกดอน มีลักษณะเป็นสีนำ�้ ตาลไหม้ ในปัจจบุ ันซากดกึ ด�ำบรรพ์ฟนั กราม ของ ชา้ งสเตโกดอนมีการถูกน�ำมาจดั แสดงไว้ในศนู ยว์ ัฒนธรรมเฉลมิ ราช พิพธิ ภัณฑช์ า้ งดึกดำ� บรรพท์ ุ่งหวา้ ซ่ึง การค้นพบซากดกึ ดำ� บรรพฟ์ นั กรามของชา้ งสเตโกดอนนั้นเปน็ จดุ ก�ำเนดิ อุทยานธรณสี ตูล
5. สสุ านหอยแหลมโพธ์ิ ถกู ค้นพบบริเวณชายฝง่ั ทะเลบา้ นแหลมโพธ์ิ ต�ำบล ไสไทย อ�ำเภอเมอื งกระบ่ี 59 จังหวดั กระบี่ สสุ านหอยมลี ักษณะเป็นแผ่นหินปูนหนามีเปลือกของหอยขมน�ำ้ จดื วางทับกนั โดยมนี ้�ำปูนเปน็ ตัว ประสานใหต้ ดิ กันเป็นแผน่ 6. รอยเท้าไดโนเสาร์กนิ เนื้อขนาดใหญ่ คน้ พบท่ีบรเิ วณเขตวนอทุ ยานภแู ฝก ต�ำบลภแู ลน่ ชา้ ง อ�ำเภอนาคู จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ สว่ นรอยเท้าของไดโนเสาร์ทเี่ ดนิ 2 ขา คน้ พบที่เขตรกั ษาพนั ธ์สุ ตั ว์ป่าภหู ลวง อ�ำเภอภูหลวง จังหวดั เลย
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 60 หนว่ ยการเรยี นรู้ ปรากฏการณท์ างธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ัตภิ ัย บทเร่อื ง ลมบก ลมทะเล และลมมรสมุ 1. การเกิดลมบก ลมทะเล และลมมรสมุ ลม คือ การเคล่ือนทขี่ องอากาศในแนวราบ ซง่ึ ขนานไปกับพ้นื โลกด้วยความเร็วแตกต่างกนั เนอื่ งจากพนื้ ผวิ โลกในแตล่ ะพ้นื ทไ่ี ดร้ บั พลงั งานจากดวงอาทิตยไ์ มเ่ ท่ากนั พืน้ ที่ทไี่ ดร้ ับพลังงานสงู จะคายความรอ้ นให้แกอ่ ากาศ ที่ปกคลมุ บรเิ วณนน้ั อากาศจะรอ้ นและมีความกดอากาศต่�ำ มวลอากาศจงึ ขยายตัวและลอยตัวสูงข้ึน สว่ นบริเวณ ที่ไดร้ ับพลังงานจากดวงอาทิตย์น้อย อากาศจะเยน็ และมคี วามกดอากาศสูง มวลอากาศจึงเคลอ่ื นที่เขา้ มาแทนที่ อากาศรอ้ นทีล่ อยตัวข้ึน เรยี กการเคล่อื นที่ชนดิ นี้ว่า การเกดิ ลม โดยปัจจัยท่ที �ำใหเ้ กดิ ลม คอื อณุ หภูมขิ องอากาศ และความกดอากาศ ลมมีหลายชนดิ ขนึ้ อยกู่ ับลกั ษณะการเกดิ และชว่ งเวลาทเ่ี กดิ ซ่งึ ลมบก ลมทะเล ลมมรสุม เปน็ ลมที่เกดิ จากอุณหภูมิอากาศเหนอื พน้ื ดินและพ้นื น�้ำมคี วามแตกต่างกัน อากาศเยน็ จงึ เคลื่อนท่ีจากบริเวณทีม่ อี ณุ หภมู ิต่�ำไป บรเิ วณที่มีอุณหภูมิสงู ลมเกดิ ขึ้นเม่ือพนื้ ที่ 2 บรเิ วณมอี ุณหภมู ิของอากาศต่างกนั ถา้ ทั้ง 2 บริเวณมีอณุ หภมู ิต่างกนั มากอากาศก็ ยงิ่ เคล่ือนท่เี ร็วขนึ้ จึงเกิดเป็นลมทพี่ ดั แรงขน้ึ เรยี กวา่ พายุ 1. ลมบกและลมทะเล เปน็ ลมประจ�ำเวลาท่ีพบในทอ้ งถ่นิ บรเิ วณชายฝัง่ จะเกิดสลบั กันไปในแตล่ ะวัน ลมบกและลมทะเลเกิดจาก ความแตกตา่ งของอณุ หภูมริ ะหวา่ งพ้นื น�้ำหรือทะเลกับพื้นดินตามชายฝัง่ โดยได้รับและถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ น จากดวงอาทิตยใ์ หก้ บั อากาศได้แตกตา่ งกนั ส่งผลใหอ้ ุณหภมู พิ ้นื ผวิ แตกตา่ งกนั จึงเกิดเปน็ ลมบกและลมทะเล ดังนี้ 1) ลมบก (land breeze) เกดิ ในเวลากลางคืน ท�ำให้มลี มพดั จากชายฝ่ังไปสทู่ ะเล เน่อื งจากพ้นื ดนิ หรือ พ้ืนทรายคายความร้อนไดเ้ ร็วกว่าพ้ืนนำ้� และในเวลากลางคืนพน้ื นำ้� ยงั คายความรอ้ นไมห่ มด จงึ มอี ณุ หภมู สิ ูงกว่า ขณะท่ีพืน้ ดินและพน้ื ทรายสามารถคายความรอ้ นไดม้ ากกว่า จึงทำ� ให้อณุ หภูมิต่�ำกวา่ อากาศเหนอื พื้นน้�ำทีม่ อี ุณหภูมิ สูงกวา่ จึงลอยตัวขน้ึ สงู ท�ำให้อากาศทอี่ ยูบ่ ริเวณเหนอื พนื้ ดินหรอื พ้ืนทรายทีม่ อี ุณหภมู ิต�ำ่ กวา่ เคลื่อนท่ีเข้ามาแทนที่ จึงท�ำให้เกดิ ลมพดั จากชายฝ่ังไปสทู่ ะเล ชาวประมงจึงใช้ประโยชน์จากลมบกในการออกเรอื
2) ลมทะเล (sea breeze) เกดิ ในเวลากลางวัน ทำ� ให้มลี มพัดจากทะเลเขา้ สู่ชายฝง่ั เน่อื งจากเวลากลาง61 วนั พ้ืนดินหรือพื้นทรายรบั ความร้อนจากดวงอาทิตยไ์ ด้ดกี ว่าพืน้ น�้ำ ท�ำใหอ้ ากาศเหนอื พนื้ ดนิ มอี ุณหภมู ิสงู กว่าที่อยู่ บริเวณเหนอื พ้นื น้�ำ มวลอากาศขยายตวั และลอยตวั สูงข้ึน อากาศบริเวณเหนือพื้นน้�ำท่ีมีอุณหภมู ติ ่�ำกวา่ จงึ เคลอ่ื นที่ เขา้ มาแทนท่ี จงึ ทำ� ให้เกดิ ลมพัดจากทะเลเขา้ สู่ฝ่งั ชาวประมงจงึ ใช้ประโยชน์จากลมทะเลในการน�ำเรอื กลบั เขา้ หา ฝ่งั 2. ลมมรสมุ เป็นลมประจำ� ฤดูทเี่ กดิ ขึ้นบริเวณเขตร้อนของโลก ซ่งึ เปน็ บรเิ วณกว้างระดบั ภูมภิ าค โดยมหี ลกั การเกดิ เชน่ เดยี วกบั การเกิดลมบกและลมทะเล คอื เกิดจากอุณหภมู ิของอากาศเหนอื พน้ื ทวปี และพ้ืนมหาสมุทรมีความแตก ตา่ งกันทำ� ใหล้ มมรสุมปกคลุมพื้นทเ่ี ป็นบริเวณกวา้ ง ในประเทศไทยมลี มมรสุมพัดผ่าน 2 ชนิด ได้แก่ ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซงึ่ ลมมรสุมท้ัง 2 ชนดิ นี้ จะมีผลตอ่ การเกดิ ฤดูกาลของ ประเทศไทย ดังน้ี 1) ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (southwest monsoon) มีแหล่งกำ� เนิดจากบรเิ วณความกดอากาศสูงในซกี โลกใตบ้ รเิ วณมหาสมทุ รอินเดยี ซึ่งพัดออกจากศูนย์กลางเปน็ ลมตะวันออกเฉยี งใตแ้ ละเปล่ยี นเป็นลมตะวันออก เฉยี งใตเ้ มื่อพัดข้ามเสน้ ศนู ย์สตู ร ในขณะท่ลี มมรสุมนี้พดั ผา่ นมหาสมุทรอินเดียจะน�ำไอน้�ำหรือความช้ืนในอากาศ จากบรเิ วณมหาสมุทรมาสพู่ นื้ ทวปี ลมมรสมุ ชนดิ นี้จะพดั ผา่ นบริเวณประเทศไทยในช่วงประมาณกลางเดอื นพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม ท�ำให้เกิดฤดฝู น ซ่งึ จะมเี มฆมากและมีฝนตกชกุ ท่วั ไป 2) ลมมรสมุ ตะวันออกเฉยี งเหนอื (northeast monsoon) มีแหลง่ ก�ำเนิดมาจากบริเวณความกดอากาศสงู บนซกี โลกเหนอื แถบประเทศมองโกเลียและจนี จึงพดั พาอากาศหนาวเย็นและแหง้ จากแหล่งก�ำเนดิ เขา้ มาปก คลมุ ประเทศไทยดว้ ย
ลมมรสมุ ชนดิ น้ีจะพัดปกคลุมประเทศไทยในช่วงประมาณกลางเดอื นตุลาคมจนถงึ เดอื นกมุ ภาพันธ์ ทำ� ให้62 เกดิ ฤดหู นาว โดยทางภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยท้องฟ้าจะโปรง่ มีอากาศหนาวเย็น และแห้ง ส่วนภาคใตจ้ ะมีฝนตกชกุ โดยเฉพาะภาคใตฝ้ ่งั ตะวันออก นอกจากนี้ ในช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพนั ธ์ถงึ กลางเดือนพฤษภาคมจะเป็นช่วงเปลยี่ นมรสมุ ซึ่ง ประเทศไทยอยใู่ กล้เสน้ ศูนย์สตู ร ท�ำให้ในเวลาเที่ยงแสงอาทติ ย์เกือบตงั้ ตรงและตง้ั ตรงกบั ประเทศไทย สง่ ผลให้ ประเทศไทยได้รับความร้อนจากดวงอาทิตยเ์ ตม็ ที่ อากาศจึงรอ้ นอบอา้ วและเกิดเปน็ ฤดรู อ้ น 2. ผลของลมบก ลมทะเล และลมมรสุมทมี่ ีต่อสิ่งมีชวี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม ลมบก ลมทะเล (ลมประจ�ำเวลา) ท�ำใหผ้ ู้คนที่อาศัยอยู่ในบรเิ วณชายฝงั่ รู้สกึ เย็นสบาย และในอดีตชาวประมงใช้ประโยชนข์ องลมชว่ ยในการแลน่ เรือ เขา้ ออกจากฝั่งในการทำ� อาชพี ประมง ลมมรสุม (ลมประจำ� ฤด)ู มีอิทธิพลตอ่ การเปลย่ี นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศในแต่ละทอ้ งถน่ิ หรือพน้ื ท่ีแตกต่างกันไป เช่น - อาจสง่ ผลทำ� ใหบ้ างพน้ื ท่ีของประเทศไทย เช่น ภาคเหนือมีอากาศหนาวเย็นและแหง้ หากมอี ากาศ หนาวเย็นมากเกนิ ไปจะสง่ ผลตอ่ การด�ำรงชวี ิตของสงิ่ มีชวี ิตได้ - อาจสง่ ผลท�ำให้ในบางพน้ื ทมี่ ีปริมาณฝนตกเพม่ิ ขึน้ หรอื ลดลงโดยจะท�ำใหบ้ างพ้ืนที่ท่ีแหง้ แลง้ กลับกลาย เป็นบรเิ วณทมี่ ีความเจริญงอกงามของพนั ธพุ์ ืช ในขณะที่บางพ้นื ท่ีอาจมีฝนตกหนกั จนเกดิ นำ้� ทว่ ม และมนี ำ�้ ปา่ ไหล หลาก สง่ ผลให้ผคู้ นอาจบาดเจ็บ และลม้ ตาย รวมทงั้ ทรพั ยส์ ินเสียหาย
ใบความรู้ วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 63 หน่วยการเรยี นรู้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและธรณพี บิ ัติภยั บทเรือ่ ง ภยั ธรรมชาติและปรากฏการณ์เรือนกระจก 1. ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ัตภิ ัย ภยั พบิ ตั ทิ างธรรมชาตเิ ป็นเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ สามารถเกิดไดท้ ุกพน้ื ทแ่ี ละทุกช่วงเวลา ซงึ่ จะ ทำ� ให้เกดิ อันตรายตอ่ สิ่งมชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ มโดยอาจเปน็ ภยั ทเี่ กดิ จากกระบวนการภายในโลก เชน่ แผน่ ดนิ ไหว และเกดิ จากกระบวนการบนผวิ โลก เช่น ดินถล่มหรืออาจเกิดจากท้ังกระบวนการภายในและบนผวิ โลก เช่น สึ นามิ ภัยธรรมชาติ (natural disaster) คอื ภัยอนั ตรายตา่ ง ๆ ท่ีเกดิ ข้ึนตามธรรมชาติ และมผี ลกระทบตอ่ การ ด�ำรงชีวติ ของสง่ิ มีชวี ติ ต่าง ๆ ภัยธรรมชาติมหี ลายประเภท เช่น อทุ กภัย วาตภยั ธรณพี ิบตั ิภัย ซึ่งภยั แต่ละ ประเภทจะสง่ ผลต่อสงิ่ มีชวี ิตและสง่ิ แวดลอ้ มตา่ งกัน โดยภยั ทเ่ี กิดจากกระบวนการทางธรณวี ิทยาทเ่ี กดิ ข้ึนโดยฉบั พลนั และรุนแรง จนกอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หายแกบ่ า้ นเรอื น ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทอ่ี าศยั อยู่ในบริเวณน้นั เราเรียกว่า ธรณีพิบตั ภิ ยั (geohazards) เช่น แผ่นดนิ ไหว สนึ ามิ ดนิ ถลม่ ภยั ธรรมชาติและธรณพี ิบัติภยั เปน็ ปรากฏการณท์ กี่ อ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายตอ่ ชีวติ และทรพั ย์สิน ซง่ึ มีทัง้ ทเ่ี กดิ แบบ ฉบั พลนั เชน่ ดนิ ถล่ม นำ้� ปา่ ไหลหลาก และทเ่ี กดิ ช้า ๆ เชน่ การกดั เซาะชายฝงั่ โดยในแต่ละท้องถ่ินมีโอกาสเกิด ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี บิ ตั ิภยั ท่แี ตกต่างกันไป ขน้ึ อยกู่ ับสภาพแวดลอ้ มในแต่ละพ้ืนท่ี ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบตั ภิ ยั ท่ีอาจเกิดขึ้นในทอ้ งถนิ่ ทนี่ กั เรยี นควรเรยี นรู้เพือ่ เฝา้ ระวงั และปฏิบตั ติ นใหม้ ี ความปลอดภัย มีดังนี้ 1. น�ำ้ ท่วม (flood) น้ำ� ท่วมหรืออทุ กภยั คือ ปรากฏการณ์ทนี่ �้ำไหลท่วมพนื้ ดินหรือพืน้ ท่ีแห้ง การเกดิ น้�ำทว่ มแบง่ ออกเป็น อทุ กภยั จากน�ำ้ ป่าไหลหลากและน้ำ� ท่วมฉับพลันกับอทุ กภัยจากน้ำ� ทว่ มขงั และเออ่ ลน้ สาเหตุการเกดิ เกิดจากฝนตกหนักและต่อเนอ่ื งกันเปน็ เวลานาน ทำ� ใหด้ นิ ไม่สามารถดดู ซบั นำ้� ไวไ้ ดท้ งั้ หมด หรือไม่สามารถระบายนำ�้ ออกไดท้ นั ที จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ น้�ำขงั ในบรเิ วณทีร่ าบลมุ่ ซึ่งอาจเปน็ ผลมาจากการตัดไมท้ ำ� ลายปา่ หรือมถี นนกดี ขวางทางเดินน�ำ้ นอกจากนี้น้�ำท่วมยังอาจมาจากเขอื่ นพัง การเกดิ นำ�้ ปา่ ไหลหลากลงมาจากภูเขา นำ�้ ทะเลหนนุ สงู พายหุ มนุ เขตรอ้ น หรือลมมรสมุ
64 ผลกระทบ สง่ ผลให้พ้นื ท่ีทางการเกษตรและการปศสุ ตั ว์ แหล่งน�้ำ สงิ่ ปลูกสรา้ งต่าง ๆ เกิดความเสยี หาย หน้าดนิ ถกู ชะล้าง สัตวป์ า่ ไม่มที อ่ี ยู่อาศยั และหากกมนี ำ้� ทว่ มขงั เป็นเวลานานอาจก่อใหเ้ กดิ โรคต่าง ๆ เช่น โรค ตาแดง โรคนำ�้ กัดเทา่ โรคฉี่หนู โรคไขเ้ ลอื ดออก วธิ ปี อ้ งกนั ภยั เชน่ 1) การปลูกพชื คลมุ ดิน เพอ่ื ชว่ ยในการดูดซับน�ำ้ 2) การกำ� จัดสง่ิ ท่กี ีดขวางทางน�้ำ เชน่ วชั พืช ขยะ 3) การขดุ ลอกคลอง เพื่อเกบ็ น�้ำก่อนระบายน�ำ้ สู่ทะเล 4) การอนรุ ักษ์ป่าไม้และการปลูกปา่ ทดแทนพื้นท่ปี ่าที่สญู เสียไป 5) การสร้างเขื่อนเพ่อื กักเก็บน�ำ้ หรอื สร้างฝายชะลอการไหลของนำ้� แนวทางในการเฝ้าระวังและปฏบิ ัติตนให้ปลอดภยั 1) ตดิ ตามขา่ วสารอย่างสมำ�่ เสมอหากมกี ารเตอื นภยั ใหร้ ะวังน้�ำทว่ มควรเตรียมอาหารแห้ง ยารักษาโรค และของใช้ท่จี ำ� เป็นไว้ 2) เม่อื เกดิ นำ้� ทว่ มควรปิดเครอื่ งใช้ไฟฟ้า ถอดปล๊กั และปิดแกส๊ หุงตม้ 3) ควรระวงั สัตวม์ พี ิษตา่ ง ๆ ท่ีอาจอยู่ในบริเวณท่มี นี �ำ้ ทว่ มขงั 4) น้ำ� ทที่ ่วมขงั ไม่สะอาด เราจึงไมค่ วรลงไม่เล่นน�ำ้ ท่ที ่วมขัง 5) หลังนำ้� ลดให้ตรวจสอบอาการเจบ็ ปวดและความเสียหายตา่ ง ๆ
2. ดินถล่ม (landslide) 65 ดนิ ถลม่ คอื การเคลือ่ นท่ีของมวลดนิ หนิ โคลน และเศษต้นไม้ทไ่ี หลลงมาตามแนวลาดเอียงตามแรงโน้ม ถ่วงของโลก สาเหตกุ ารเกดิ เปน็ ผลท่ีเกิดตามมาหลงั จากเกิดน�ำ้ ปา่ ไหลหลาก สึนามิ แผ่นดนิ ไหว ภูเขาไฟระเบดิ การ ตดั ไมท้ �ำลายปา่ การก่อสรา้ งหรือท�ำการเกษตรบริเวณเชิงเขาทม่ี ีความลาดชนั บริเวณท่ีมีความเสย่ี งตอ่ การเกดิ ดนิ ถล่มส่วนใหญ่เปน็ บริเวณทีล่ าดเชิงเขาหรอื บรเิ วณทรี่ าบล่มุ ตดิ ภูเขา ซง่ึ บางพ้นื ท่อี าจเปน็ ภูเขาที่มีการพังทลายของ ดนิ และหินสูงหรือภเู ขาท่ีมีความลาดชนั สูง ผลกระทบ ส่งผลใหพ้ ืชผลทางการเกษตร สิง่ ปลูกสร้างตา่ ง ๆ เช่น โรงเรยี น บ้าน เกดิ ความเสยี หาย หนา้ ดนิ พงั ทลายจงึ ท�ำให้ดินเส่อื มสภาพ สัตวป์ า่ ไม่มีท่อี ยู่อาศยั รวมทง้ั ปดิ กันเสน้ ทางการคมนาคมและทางเดนิ ของ แหล่งน�ำ้ วธิ ปี ้องกนั ภัย เชน่ 1) ช่วยกันปลกู ป่า 2) ไม่ท�ำไร่เลอื่ นลอย ไมต่ ดั ไม่ท�ำลายป่า 3) ไม่ปลกู สรา้ งบ้านหรอื ส่งิ ก่อสรา้ งขวางทางน�้ำหรอื ใกล้แหลง่ นำ�้
แนวทางในการเฝ้าระวงั และปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัย 66 1) ตดิ ตามขา่ วสารอยา่ งสมำ่� เสมอ พรอ้ มทงั้ สงั เกตสญั ญาณเตอื นจากธรรมชาติ เชน่ การเกดิ นำ้� ปา่ ไหลหลาก การเกดิ แผน่ ดนิ ไหว 2) หากอยูใ่ กลบ้ รเิ วณทีเ่ กดิ ดนิ ถล่มให้อพยพไปอยบู่ นท่ีสูงทมี่ ีความแขง็ แรงและหาทีก่ �ำบัง 3) หลกี เลย่ี งการเขา้ ใกล้บรเิ วณท่ีมีดินถลม่ 4) หลงั ดนิ ถลม่ ใหต้ รวจสอบอาการเจ็บปวดและความเสียหายตา่ ง ๆ 3. แผ่นดนิ ไหว (earthquake) แผน่ ดินไหว คอื การสน่ั สะเทือนของแผ่นดนิ ที่ร้สู ึกได้ ณ บริเวณใดบรเิ วณหนึง่ บนผวิ โลก สาเหตุการเกดิ มีสาเหตุหลกั มาจากการเคลอื่ นทีข่ องแผ่นเปลอื กโลกทอ่ี าจเกิดจากการคดโค้งโก่งตวั อย่าง ฉบั พลัน และเมอ่ื แผน่ เปลือกโลกขาดออกจากกนั จึงปลดปล่อยพลังงานออกมาในรปู แผ่นดนิ ไหว หรอื อาจเกดิ จาก การเคล่ือนตัวของลอยเล่ือน เม่อื รอยเลื่อนเกดิ การเคล่อื นตวั ถงึ จดุ หนง่ึ แผน่ เปลอื กโลกจะขาดออกจากกนั และเสีย รปู อยา่ งมาก จงึ ปลดปลอ่ ยพลงั งานออกมาในรูปคลนื่ แผ่นดินไหว หลงั จากนนั้ แผน่ เปลอื กโลกจะกลบั สรู่ ูปเดิม นอกจากน้ี แผ่นดนิ ไหวอาจเกิดขึน้ จากการกระท�ำของมนุษย์ เชน่ การระเบิดใกลบ้ ริเวณรอยเลอื่ น ผลกระทบ สง่ ผลให้พ้นื ดนิ แยกหรือเกิดการส่ันไหว ภเู ขาไฟระเบิด ดนิ ถลม่ สนึ ามิ เส้นทางการคมนาคม หรือสงิ่ ปลกู สร้างต่าง ๆ เชน่ บ้าน โรงเรยี น เกิดความเสียหาย รวมทั้งทำ� ให้มนุษยแ์ ละสัตวไ์ ด้รับบาดเจ็บหรอื เสียชวี ิต แนวทางในการเฝา้ ระวังและปฏิบัติตนใหป้ ลอดภยั 1) ควรเรียนรแู้ ละฝึกซอ้ มการรับมือกบั แผ่นดนิ ไหว 2) หากเกิดแผ่นดินไหวขณะก�ำลงั ขับรถ ใหห้ ยดุ รถและอยใู่ นรถรอจนไมม่ ีการสนั่ สะเทอื น 3) หากเกิดแผ่นดนิ ไหวขณะอยูน่ อกอาคาร ให้อยู่ในทโ่ี ล่งและอยูห่ า่ งจากสิ่งของท่แี ขวนอยู่ 4) หากเกดิ แผน่ ดนิ ไหวขณะอยใู่ นอาคาร ใหห้ มอบใตโ้ ตะ๊ เตียง และอยหู่ า่ งจากประตู หน้าตา่ ง กระจก และระเบียง 5) หากการสัน่ สะเทือนหยุดลงแลว้ ยงั อยู่ในอาคาร ใหอ้ อกจากอาคารทันที แตห่ า้ มใช้ลฟิ ต์โดยเดด็ ขาด 6) หลังเกิดแผน่ ดนิ ไหวให้ตรวจอาการบาดเจบ็ จากนน้ั คอยตดิ ตามประกาศจากเจ้าหนา้ ที่
4. สนึ ามิ (tsunami) 67 สนึ ามิ คือ คลื่นยักษ์ขนาดใหญท่ ี่เกิดในมหาสมุทรและเคลอ่ื นตัวเข้าสู่ชายฝัง่ โดยมจี ดุ ก�ำเนิดอย่ใู นเขตทะเล ลกึ เปน็ คลืน่ ท่มี คี วามยาวคลน่ื ประมาณ 80-200 กโิ ลเมตร ซงึ่ เคลอื่ นทใี่ นมหาสมุทรไดห้ ลายพนั กโิ ลเมตรดว้ ย ความเรว็ ประมาณ 600-1,000 กิโลเมตรตอ่ ช่ัวโมง สาเหตุการเกดิ สึนามเิ กดิ จากแผน่ ดินไหวทีม่ จี ดุ ศนู ยเ์ กิดแผ่นดนิ ไหวอย่ใู ต้ทะเลลกึ ทำ� ใหน้ �ำ้ ในทะเลและ มหาสมทุ รไดร้ ับแรงสน่ั สะเทือนอยา่ งรนุ แรงและเกดิ เป็นคลนื่ ขนาดใหญเ่ คลื่อนทเี่ ขา้ หาชายฝงั่ อย่างรวดเรว็ ผลกระทบ สง่ ผลให้ทง้ั สิง่ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อมทีอ่ ยู่ในทะเลและทอี่ ยู่ใกลช้ ายฝง่ั เช่น มนษุ ยแ์ ละสตั ว์บาด เจ็บหรือเสยี ชวี ติ ทรพั ยากรธรรมชาตติ า่ ง ๆ เชน่ ปา่ ชายเลน สตั ว์ทะเลปะการงั ใตท้ อ้ งทะเลไดร้ ับความเสียหาย ภยั สึนามเิ ป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถป้องกันได้ แตเ่ ราสามารถลดความรุนแรงของคล่นื ได้ โดยการ กอ่ สรา้ งแนวป้องกันสนึ ามิ และลดความเสยี หายไดจ้ ากการตดิ สัญญาณเตือนภัยสึนามี เพือ่ ใหเ้ ราอพยพไดท้ ันก่อน เกิดสนึ ามี แนวทางในการเฝ้าระวังและปฏิบตั ติ นใหป้ ลอดภยั 1) ติดตามขา่ วสารการประกาศเตือนภัยการเกิดสนึ ามิ 2) ถา้ พบว่าระดบั นำ้� ทะเลมกี ารเพ่มิ ขึ้นหรอื ลดลงอย่างรวดเรว็ ใหร้ ีบอพยพขนึ้ ที่สูงทนั ที 3) ถ้าเราอย่ใู นบรเิ วณท่จี ะเกิดสึนามิ ให้รีบอพยพขึ้นท่ีสูงทนั ทีหรอื ออกห่างจากชายฝงั่ ทะเลใหไ้ ดม้ ากที่สดุ 4) ถ้าอยู่ในรถทอี่ ย่ใู กลก้ ับชายฝง่ั ทะเล ต้องหยุดรถและออกจากรถทนั ที และขน้ึ ท่สี งู หรือออกหา่ งจาก ชายฝ่ังให้ได้มากท่สี ดุ 5) หลังจากการเกดิ สนึ ามใิ หร้ ออย่ใู นจุดท่ีปลอดภัย เชน่ ศูนยอ์ พยพ และตดิ ตามฟังประกาศจากเจา้ หน้าท่ี เนื่องจากอาจเกิดสนึ ามิอีกครงั้ 5. การกดั เซาะชายฝ่งั (coastal erosion) การกดั เซาะชายฝง่ั คอื การทช่ี ายฝง่ั ทะเลถกู กดั เซาะจากสาเหตตุ า่ ง ๆ ทำ� ใหช้ ายฝง่ั รน่ ถอยออกไปในพน้ื ดนิ สาเหตุการเกดิ อาจเกดิ จากการเปล่ยี นแปลงของธรรมชาติ เชน่ การกดั เซาะของคล่นื ลมมรสุมและพายุ การเกิดนำ้� ขนึ้ -น�ำ้ ลง หรอื อาจเกิดจากการกระท�ำของมนษุ ย์ เชน่ การสร้างถนนริมชายหาด การสร้างท่าเรอื หรือ สะพานทยี่ ่นื ออกจากชายฝ่ัง การบกุ รกุ และทำ� ลายป่าชายเลน
ผลกระทบ สง่ ผลใหช้ ายฝง่ั เกดิ การสกึ กรอ่ นและพงั ทลาย แนวชายฝง่ั จงึ แคบลงเรอื่ ย ๆ ทำ� ใหค้ ลนื่ สามาร6ถ8 เขา้ ถงึ ฝง่ั มากขนึ้ สง่ ผลเสยี ตอ่ สง่ิ กอ่ สรา้ งบรเิ วณใกลช้ ายฝง่ั พน้ื ทท่ี ำ� การเกษตรใกลช้ ายฝง่ั บรเิ วณปา่ ชายเลน แนวทางในการเฝา้ ระวังและปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัย 1) การปลกู ป่าชายเลน 2) การปกั ไม้ไผ่ในพื้นทีห่ าดโคลนเพ่ือชะลอความรนุ แรงของคล่ืน 3) การสร้างเขอ่ื นกนั คล่นื นอกชายฝั่ง 4) การถา่ ยเททรายไปบรเิ วณทม่ี ีการกัดเซาะ การปลูกป่าชายเลน การปักไม้ไผใ่ นพื้นทห่ี าดโคลนเพอื่ ชะลอคลนื่ การสรา้ งเขอ่ื นกนั คลน่ื นอกชายฝงั่ การถ่ายเททรายไปบรเิ วณทม่ี กี ารกดั เซาะ 2. ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก เปน็ ปรากฏการณท์ ี่ใช้เรียกกระบวนการของอากาศบนโลกท่มี ีลกั ษณะคล้าย กระจกหอ่ หมุ้ ไว้ ท�ำให้ภายในเรือนกระจกมีอุณหภมู ิสงู กว่าภายนอก ปรากฏการณ์เรอื นกระจกเกิดจากแกส๊ เรือน กระจกในชัน้ บรรยากาศของโลกกักเก็บรังสีความรอ้ น ทำ� ให้อุณหภูมิบนโลกนั้นอบอุ่นเหมาะสมต่อการดำ� รงชีวติ ของส่งิ มชี ีวิต ปัจจบุ ันกิจกรรมของมนษุ ย์บางอย่างจะก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจกเพ่ิมข้นึ ท�ำใหอ้ ณุ หภูมิอากาศของโลกสูง ขึ้นและไม่เหมาะสมต่อการด�ำรงชีวิตของส่งิ มชี วี ิต ดังนั้น มนษุ ยจ์ งึ ควรรว่ มมือกันลดกจิ กรรมทก่ี อ่ ให้เกิดแกส๊ เรือน กระจก 2.1 การเกดิ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ปรากฏการณ์เรอื นกระจก (greenhouse effect) คือ ปรากฏการณท์ แ่ี ก๊สเรอื นกระจกดูดซบั รงั สคี วามรอ้ น จากดวงอาทติ ยไ์ ว้บางสว่ นในเวลากลางวัน แลว้ คายรังสคี วามรอ้ นบางส่วนกลบั มาสู่ผิวโลกในเวลากลางคนื ท�ำให้
อณุ หภมู ใิ นบรรยากาศของโลกไมเ่ ปลี่ยนแปลงไปอยา่ งฉับพลัน หากโลกไมม่ แี กส๊ เรือนกระจกอยู่ในชน้ั บรรยากาศ69 จะท�ำให้อณุ หภูมขิ องโลกในตอนกลางวันรอ้ นจัดส่วนตอนกลางคืนหนาวจดั การเกดิ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก มขี น้ั ตอน ดังนี้ 1.รังสีจากดวงอาทติ ยผ์ า่ นชน้ั บรรยากาศเขา้ สู่โลก 2.ช้ันบรรยากาศและเปลอื กโลกสะท้อนรงั สีจากดวงอาทติ ย์บางส่วนออกไป 3.แก๊สเรือนกระจกดูดซับรงั สีความรอ้ นบางสว่ นไว้ ท�ำให้เปลือกโลกและช้นั บรรยากาศเหนอื โลกขน้ึ ไปมี อุณหภมู สิ ูงขึน้ 4.เม่ือเปลือกโลกไดร้ ับความรอ้ นมากจงึ เกดิ การปลอ่ ยรงั สคี วามร้อนออกมามาก เน่ืองจากรังสคี วามรอ้ นไม่ สามารถผ่านชั้นบรรยากาศที่มีแก๊สเรือนกระจกอยู่ได้ แหลง่ ก�ำเนดิ แก๊สเรือนกระจกทีเ่ กดิ ข้นึ ตามธรรมชาติ เชน่ การย่อยสลายของซากส่งิ มีชวี ิต มูลของสตั ว์ การ หายใจของพืชและสัตว์ การหลอมละลายของหนิ ปูนจากปลอ่ งภเู ขาไฟ แก๊สเรือนกระจก (greenhouse gases) คือ แก๊สในบรรยากาศทช่ี ่วยดดู ซับและคายรังสีความรอ้ นกลบั สู่ พนื้ โลก เชน่ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ไฮโดรฟลอู อโรคารบ์ อน (HFCs) ไอนำ้� (H2O) โอโซน (O3) แก๊สไนตรัสออกไซด์ (N2O) มีเทน (CH4) แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) โดยแก๊สที่มบี ทบาทส�ำคัญและมี ปรมิ าณมากท่สี ดุ ในอากาศ คอื แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกเป็นปรากฏการณท์ ่ีเกิดขึน้ เองตามธรรมชาตแิ ละเกดิ ขึน้ ปกติทุกวนั จะทำ� ใหส้ ภาพ ภูมิอากาศของโลกเหมาะสมต่อการด�ำรงชีวติ ของสิง่ มชี วี ิต โดยท�ำให้อณุ หภูมบิ นพื้นโลกในเวลากลางวนั และเวลา กลางคืนไมแ่ ตกต่างกันมาก รวมทั้งท�ำใหก้ ารหมนุ เวียนของวัฏจกั รต่าง ๆ บนโลกเกดิ ความสมดลุ แต่ในปัจจบุ ัน กจิ กรรมในชวี ติ ประจ�ำวนั มนษุ ยท์ �ำใหเ้ กดิ แก๊สเรือนกระจกในบรรยากาศและมีปรมิ าณเพ่ิมขึ้นจนเสยี สมดุล 1 กิจกรรมทีส่ ่งผลตอ่ การเกดิ แก๊ส ชนดิ ของแกส๊ ปริมาณแกส๊ การเผาปา่ ถ่านหนิ นำ้� มนั แกส๊ เช้อื เพลงิ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) 62% การปศุสตั ว์ การเผาไหม้เช้ือเพลงิ ชีวภาพ มเี ทน (CH4) 20% เครอื่ งทำ� ความเย็น โรงงานอุตสาหกรรม คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน (CFCs) 12% การใส่ปุย๋ ไนโตรเจน การเผาไหม้เชื้อเพลงิ ฟอสซิล แกส๊ ไนตรัสออกไซด์ (N2O) 4% เครื่องปรับอากาศ ตัวท�ำความเยน็ ไฮโดรฟลอู อโรคารบ์ อน (HFCs) 2%
หากในบรรยากาศของโลกมีปริมาณแก๊สเรือนกระจกมากเกดิ ไป จะทำ� ให้ปรากฏการณ์เรอื นกระจกมคี วาม70 รุนแรงมากขึ้น สง่ ผลท�ำใหอ้ ุณหภูมิของโลกสูงมากขึน้ กอ่ ใหเ้ กดิ ภาวะโลกรอ้ นและทำ� ให้สภาพภมู อิ ากาศมีการ เปลีย่ นแปลงโดยจะมีผลต่อการด�ำรงชีวติ ของสง่ิ มีชีวติ และสงิ่ แวดล้อม เช่น 1) สง่ ผลใหส้ ิ่งมีชีวติ บางชนดิ ไมม่ ีทอี่ ยอู่ าศัย เช่น หมีขว้ั โลก 2) ทำ� ใหผ้ ลผลติ ทางการเกษตรลดลง เพราะปรมิ าณฝนลดลง 3) สง่ ผลใหผ้ ลผลติ ภาคปศุสตั วน์ ้อยลงหรือสตั วอ์ าจลม้ ตาย 2.2 แนวทางการปฏบิ ตั ติ นเพ่อื ลดการก่อแก๊สเรือนกระจก กจิ กรรมของมนษุ ย์ก่อให้เกิดแกส๊ เรือนกระจกในปริมาณทีเ่ พ่มิ ข้ึนอยา่ งรวดเรว็ ดังนั้น ทกุ คนจึงควรร่วมมอื กนั ลดกจิ กรรมที่ทำ� ให้เกิดแกส๊ เรอื นกระจกในปรมิ าณทม่ี ากเกินไป เชน่ 1) เลือกใชย้ านพาหนะท่ไี ม่ตอ้ งใช้การเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ เชน่ การใช้รถจักรยาน เพือ่ ช่วยลดการปล่อย แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ 2) ไม่เผาป่า ไม่เผาหญา้ รมิ ถนน เพอื่ ลดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และเป็นการไม่ทำ� ลายแหลง่ กักเกบ็ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 3) ช่วยกันปลกู ต้นไม้ ไม่ตดั ไมท้ �ำลายป่า เพอ่ื ใหต้ ้นไมเ้ ปน็ แหลง่ ดดู ซบั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 4) ลดการใช้พลงั งานไฟฟ้า เชน่ ปดิ สวิตช์และถอดปลั๊กของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าหลงั การใช้งาน ปรับอณุ หภูมิ เคร่ืองปรบั อากาศใหม้ ีอุณหภูมปิ ระมาณ 25 องศาเซลเซยี ส เพ่ือลดแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 5) ช่วยกนั ลดการใชส้ ารเคมใี นการเกษตรต่าง ๆ เพือ่ ลดการปลอ่ ยแก๊สไนตรัสออกไซด์
ใบความรู้ วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 71 หน่วยการเรยี นรู้ ดาราศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอวกาศ บทเรอ่ื ง ปรากฏการณด์ าราศาสตร์ การเกิดอปุ ราคา โลกเปน็ ดาวเคราะห์ดวงหนึง่ ของระบบสุรยิ ะ ซง่ึ ระบบสุรยิ ะมดี วงอาทติ ย์เปน็ ศูนยก์ ลางของระบบ โลก โคจรรอบดวงอาทติ ย์และโลกหมุนรอบตัวเอง สว่ นดวงจันทรเ์ ป็นบรวิ ารของโลกและโคจรรอบโลก โดยปกตโิ ลก และดวงจนั ทรไ์ มม่ ีระนาบการโคจรเดยี วกนั แตเ่ ม่อื การโคจรของโลกและดวงจนั ทร์มาอย่ใู นแนวเสน้ ตรงเดยี วกนั กบั ดวงอาทิตยใ์ นระยะทางทีเ่ หมาะสม จะทำ� ใหเ้ กดิ ปรากฏการณท์ างดาราศาสตรท์ เี่ รยี กวา่ อปุ ราคา ซึง่ มดี ว้ ยกนั 2 แบบ ได้แก่ ปรากฏการณส์ รุ ิยุปราคาและปรากฏการณ์จนั ทรุปราคา 1. ปรากฏการณ์สุรยิ ุปราคาหรือสรุ ิยคราส สุริยุปราคาเกดิ จากโลกและดวงจันทร์โคจรมาอยใู่ นแนวเส้นตรงเดยี วกบั ดวงอาทติ ย์ โดยมดี วงจันทร์อยู่ ระหว่างดวงอาทติ ยก์ ับโลก ท�ำใหด้ วงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์จึงทอดยาวมาบนโลก คนบนโลกท่อี ยู่บริเวณที่เงาของดวงจันทร์ทอดมาจะมองเหน็ ดวงอาทติ ยม์ ืดท้งั ดวง หรอื มดื บางส่วนไปชัว่ ขณะหน่ึง สว่ นบริเวณที่ไม่เกิดเงาของดวงจันทรจ์ ะมองเหน็ ดวงอาทติ ยไ์ มม่ ีการเปลี่ยนแปลง คนบนโลกจะมองเหน็ ปรากฏการณส์ รุ ิยุปราคาไม่พร้อมกันทงั้ โลก โดยคนทีอ่ ยู่ในประเทศทีเ่ งาของดวงจันทร์ทอดมาเทา่ นั้นจึงจะมองเหน็ ได้ ซึง่ ปรากฏการณส์ ุริยุปราคาอาจเกดิ ได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. สุรยิ ปุ ราคาเต็มดวง (total solar eclipse) เกิดจากดวงจนั ทรอ์ ยใู่ กลโ้ ลกมาก เงาดวงจนั ทร์จงึ มขี นาด ใหญ่ คนบนโลกท่ีอยบู่ ริเวณเงามดื ของดวงจันทร์จะมองเหน็ ดวงจนั ทร์บงั ดวงอาทิตย์จนมดิ หรอื มองเห็นดวง อาทิตยม์ ืดท้งั ดวง
72 2. สรุ ยิ ุปราคาบางสว่ น (partial solar eclipse) เกิดจากคนบนโลกที่อยูใ่ นบรเิ วณเงามวั บนผวิ โลก จะ มองเหน็ ดวงจนั ทรบ์ งั ดวงอาทิตย์บางส่วน จึงท�ำใหม้ องเห็นดวงอาทิตยแ์ หว่งเปน็ เส้ยี ว 3. สุรยิ ปุ ราคาวงแหวน (annular solar eclipse) เกิดจากบางครงั้ ดวงจันทร์อยูห่ ่างจากโลกมาก ท�ำให้เงา ของดวงจันทรท์ อดไปไมถ่ ึงผิวโลก ดวงจนั ทรจ์ ึงมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทติ ย์ จึงบังดวงอาทิตย์ไมห่ มด ทำ� ใหม้ อง เห็นขอบของดวงอาทติ ยเ์ ปน็ รปู วงแหวน 2. ปรากฏการณจ์ ันทรปุ ราคาหรือจันทรคราส จันทรปุ ราคาเกิดจากดวงจนั ทรแ์ ละโลกโคจรมาอยู่ในแนวเสน้ ตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ โดยมีโลกอยู่ บริเวณตรงกลางระหว่างดวงอาทิตยก์ บั ดวงจันทร์ แล้วดวงจนั ทร์จะเคลอื่ นที่ผ่านเงาของโลก ทำ� ใหเ้ งาทอดไปบน ดวงจันทร์ คนบนโลกจึงมองเหน็ ดวงจนั ทร์มืด ปรากฏการณ์จนั ทรปุ ราคาจะเกดิ ข้นึ ในเวลากลางคนื ที่มีดวงจันทรเ์ ตม็ ดวง หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ� โดยคนท่ี อยบู่ นโลกในดา้ นเดยี วกบั ดวงจนั ทรจ์ ะมองเห็นดวงจันทรม์ ดื ชวั่ ขณะ เมื่อดวงจนั ทร์โคจรออกจากเงาของโลกและ จะมองเห็นดวงจนั ทรเ์ ตม็ ดวงปกติ ซ่งึ ปรากฏการณจ์ ันทรปุ ราคาอาจเกดิ ได้ 3 ลักษณะ ดงั น้ี
73 1. จันทรปุ ราคาเต็มดวง (total eclipse) เกดิ จากดวงจันทรท์ ้ังดวงโคจรเข้าไปในเงามืดของโลก คนที่อยู่ บนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์ เป็นสแี ดงอิฐ หรอื ทเ่ี ราเรยี กวา่ พระจันทรส์ ีเลอื ด 2. จนั ทรุปราคาบางสว่ น (partial eclipse) เกดิ จากดวงจันทรบ์ างสว่ นโคจรเขา้ ไปในเงามืดของโลก คนท่ี อย่บู นโลกจะมองเห็นดวงจนั ทร์บางสว่ นมืดลง บางส่วนมีสอี ฐิ 3. จนั ทรุปราคาเงามวั (penumbra eclipse) เกิดจากดวงจนั ทร์โคจรเข้าไปในเงามัวเทา่ นัน้ ท�ำใหม้ อง เหน็ ดวงจันทรเ์ ต็มดวง แตจ่ ะเหน็ ได้ไม่ชดั เจน เพราะความสวา่ งของดวงจนั ทร์จะลดนอ้ ยลง ความแตกตา่ งระหว่างสุรยิ ุปราคาและจนั ทรปุ ราคา สรุ ยิ ปุ ราคา เกดิ ในเวลากลางวันโดยดวงจนั ทร์โคจรเข้ามาอยูร่ ะหว่างดวงอาทติ ย์กับโลก จนั ทรุปราคา เกิดในเวลากลางคืนโดยโลกโคจรเขา้ มาอย่รู ะหวา่ งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คนบนโลกสามารถสงั เกตปรากฏการณ์จันทรปุ ราคาไดด้ ้วยตาเปลา่ เพราะเปน็ ปรากฏการณ์ที่เกดิ ข้นึ ใน เวลากลางคืนจงึ ไม่มแี สงของดวงอาทิตย์ที่เป็นอนั ตรายตอ่ ดวงตา สว่ นปรากฏการณส์ รุ ิยปุ ราคาเปน็ ปรากฏการณ์ท่ี เกิดขึน้ เวลากลางวนั จึงไมค่ วรสังเกตดว้ ยตาเปล่า เพราะแสงของดวงอาทิตย์อาจทำ� ใหด้ วงตาไดร้ บั อันตราย ดัง นน้ั ควรใช้อปุ กรณ์ในการสังเกต ซง่ึ มีหลายชนดิ เชน่ 1) แวน่ ตาดูดวงอาทติ ย์ 2) แผ่นกรองแสงอะลูมิเนียมไมลาร์ 3) กระจกแผ่นกรองแสงส�ำหรบั หนา้ กากเชือ่ มโลหะเบอร์ 14 ขน้ึ ไป 4) กล้องโทรทรรศนส์ ำ� หรับดูดวงอาทิตย์หรอื กล้องโทรทรรศน์ท่ตี ิดแผ่นกรองแสงแบบกระจกเคลือบโลหะ
ใบความรู้ วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 74 หนว่ ยการเรียนรู้ ดาราศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี วกาศ บทเรือ่ ง ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีอวกาศ มนษุ ย์เร่ิมสงั เกตปรากฏการณต์ า่ ง ๆ บนทอ้ งฟ้าด้วยตาเปล่า ต่อมาเรม่ิ ใช้กล้องโทรทรรศน์ และพัฒนาตอ่ เนือ่ งจนสามารถสรา้ งจรวดและยานขนส่งอวกาศเพื่อใช้ในการสำ� รวจอวกาศได้ และยังสามารถน�ำเทคโนโลยี อวกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจ�ำวนั ได้ เชน่ การใชด้ าวเทียมส่ือสารเพอื่ แพรส่ ัญญาณทางโทรทัศน์ วิทยุ การใช้ดาวเทยี มอตุ ุนิยมวทิ ยาเพอ่ื การพยากรณ์อากาศ 1. พฒั นาการของเทคโนโลยอี วกาศ มนษุ ย์มคี วามตอ้ งการส�ำรวจอวกาศเร่มิ ต้นจากการสำ� รวจวตั ถุบนท้องฟา้ โดยใชต้ าเปล่า ตอ่ มาเม่อื นัก วิทยาศาสตร์ชาวอติ าลี ชอ่ื กาลเิ ลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ประดิษฐ์กลอ้ งโทรทรรศนไ์ ดส้ �ำเรจ็ มนษุ ย์จึง สามารถอธบิ ายปรากฏการณ์ต่างๆ ไดช้ ดั เจนขึ้น ซงึ่ การศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกับอวกาศของมนุษย์ยังมีการพัฒนาไป อยา่ งต่อเนอื่ ง มนษุ ย์จึงคดิ วธิ ีการที่จะเดินทางออกไปส�ำรวจอวกาศ จนสามารถสรา้ งจรวดและยานอวกาศเพือ่ ใช้ ในการส�ำรวจอวกาศได้ เชน่ พุทธศกั ราช 2500 สหภาพโซเวียตส่ง สปตุ นิก 1 ดาวเทยี มดวงแรกของโลกขนึ้ ไปโคจรรอบโลก และไดท้ ำ� การทดลองเก่ยี ว กับการดำ� รงชีวติ ของสิ่งมชี ีวติ ในอวกาศ โดยการสง่ สุนัขชื่อ ไลกา ไปพร้อมกบั ยานสปตุ นกิ 2
พุทธศกั ราช 2504 75 สหภาพโซเวยี ตสง่ นกั บนิ อวกาศคนแรกของโลก (ยรู ิ กาการนิ ) ขน้ึ ไปโคจรรอบโลกพรอ้ มกบั ยานวอสตอ็ ก 1 พทุ ธศกั ราช 2506 สหภาพโซเวียตสง่ นักบินอวกาศหญิงคนแรกของโลก (วาเลนตนิ า เทเรซโควา นโิ คเลเยฟ) ขนึ้ ไปในยาน อวกาศพรอ้ มกบั ยานวอสต็อก 6 พุทธศกั ราช 2512 สหรฐั อเมรกิ าสง่ นกั บนิ อวกาศไปกบั ยานอะพอลโล 11 เพอื่ ลงสำ� รวจบนดวงจนั ทรพ์ รอ้ มกบั นกั บนิ อวกาศชอื่ นลี อารม์ สตรอง เอด็ วนิ อลั ดรนิ และ ไมเคลิ คอลลนิ ส์ เปน็ ครง้ั แรกทม่ี มี นษุ ยส์ ามารถกา้ วลงเหยยี บดวงจนั ทรไ์ ด้ พทุ ธศกั ราช 2520 – 2522 สหรฐั อเมรกิ าท�ำการสง่ ยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ขึ้นไปส�ำรวจวงแหวนดาวเสาร์และดวงจันทรด์ วงที่ เปน็ บริวารของดาวเสาร์ และขยายโครงการของ ยานวอยเอเจอร์ 2 ในการส�ำรวจดาวยเู รนสั และดาวเนปจนู
76 พทุ ธศักราช 2533 สหรัฐอเมรกิ า และองค์การอวกาศยุโรปรว่ มกันสง่ กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ขึน้ ไปโคจรรอบโลก พทุ ธศกั ราช 2539 – 2540 สหรัฐอเมริกาสง่ ยานมาร์สพาธไฟนเ์ ดอร์ เพือ่ ไปสำ� รวจดาวองั คาร โดยใช้ยานอวกาศหนุ่ ยนต์ 6 ล้อ ชอ่ื โซเจอร์เนอร์ ถา่ ยภาพดาวองั คารส่งกลบั มายังโลก พุทธศักราช 2548 องคก์ ารนาซาท�ำการส่ง ยานดีพอมิ แพค ไปส�ำรวจดาวหางเทมเปล 1 ซงึ่ เปน็ ดาวหวงทชี่ ่วยใหน้ ัก ดาราศาสตรส์ ามารถอธบิ ายการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะเมอื่ หลายปที ่ีแล้วได้ พทุ ธศักราช 2561 - องคก์ ารนาซาได้สง่ ดาวเทียมส�ำรวจธารนำ้� แข็ง ICEsat-2 เพ่อื ทำ� การส�ำรวจและเก็บขอ้ มลู ปริมาณการ ละลายของธารน�ำ้ แขง็ บนพน้ื โลก - องคก์ ารนาซาได้ท�ำการปล่อยยาน Parker Solar เพือ่ ส�ำรวจส่วนนอกสดุ ของชั้นบรรยากาศดวงอาทติ ย์
77 พทุ ธศกั ราช 2562 บริษทั เวอรจ์ นิ กาแลก็ ตกิ ใน สหรฐั อเมรกิ าสง่ ยานวีเอสเอส ยูนิตี เป็นยานอวกาศเพอ่ื การท่องเท่ยี ว มีผู้ โดยสาร คอื เบท โมเสส พ.ศ. เหตกุ ารณ์ 1. 2182 กาลเิ ลโอ กาลิเลอี ประดิษฐ์กลอ้ งโทรทรรศน์ และไดค้ น้ พบดวงจนั ทร์ 4 ดวง โคจรรอบ ดาวพฤหสั บดีซ่ึงการคน้ พบนี้ท�ำใหเ้ ปล่ียนความเชอ่ื ท่วี า่ โลกเปน็ ศนู ย์กลางของระบบสุริยะ ประเทศสหรฐั อเมรกิ าไดส้ รา้ งกลอ้ งโทรทรรศนท์ มี่ ขี นาดใหญข่ น้ึ พฒั นาใหม้ องเหน็ สง่ิ ตา่ ง 2. 2476 ๆ ในอวกาศไดช้ ดั เจนมากขนึ้ แตม่ ขี อ้ จำ� กดั ทบ่ี รรยากาศของโลกบดบงั การมองเหน็ และ ระยะการมองเหน็ ไมไ่ กลมากนกั ไดเ้ รม่ิ พฒั นากลอ้ งโทรทรรศนว์ ทิ ยเุ พอื่ ใชศ้ กึ ษาอวกาศ 3. 4 ตลุ าคม 2500 สหภาพโซเวียดสง่ ดาวเทียมสปุตนกิ 1 ดาวเทียมดวงแรกของโลกขึน้ ไปโคจรรอบโลก 4. 3 พฤศจกิ ายน 2500 สหภาพโซเวียดสง่ ดาวเทยี มสปตุ นิก 2 พรอ้ มสุนขั ตวั แรกชือ่ ไลกาไปอยู่ในอวกาศ ได้นาน 7 วนั 5. 31 มกราคม 2501 สหรฐั อเมรกิ าส่งดาวเทียมเอกซ์พลอเรอร์ 1 ข้นึ สวู่ งโคจรพรอ้ มกบั การทดลอง วิทยาศาสตรเ์ กยี่ วกับการคน้ พบแถวรังสีของโลก 6. 1 ตลุ าคม 2501 สหรัฐอเมรกิ ากอ่ ตัง้ องคก์ ารนาซาขน้ึ 7. 12 สงิ หาคม 2502 สหภาพโซเวียตส่งยานลูนาร์ 2 ไปสมั ผสั ผิวดวงจนั ทรไ์ ดเ้ ป็นล�ำแรก 8. 12 เมษายน 2504 สหภาพโซเวยี ตส่งนกั บินอวกาศคนแรกของโลกชอื่ ยรู ิ กาการิน ข้นึ ไปโคจรรอบโลก พรอ้ มกับยานวอสต็อก 1 9. 5 พฤษภาคม 2504 สหรัฐอเมริกาสง่ นักบินอวกาศคนแรกของอเมรกิ าชื่ออลัน เชพาร์ด ขึ้นไปโคจรรอบโลก พรอ้ มกับยานเมอรค์ วิ รี ฟรดี อม 7 10. 16 มิถนุ ายน 2506 สหรฐั อเมรกิ าสง่ นักบินอวกาศคนแรกของอเมรกิ าชือ่ วาเลนตนิ า เทเรซโควา นโิ ค เลเยฟ ขึ้นไปโคจรรอบโลกพรอ้ มกับยานวอสต๊อก 6 11. 16 พฤศจกิ ายน 2507 สหภาพโซเวยี ตสง่ ยานวนี ัส 3 เป็นยานลำ� แรกที่ไปสัมผสั พ้ืนผวิ ของดาวศุกร์ 12. 24 เมษายน 2510 ยานโซยุส 1 ของสหภาพโซเวียตกระแทกกบั พ้ืนโลกระหวา่ งเดนิ ทางกลับสโู่ ลก ทำ� ให้ นกั บนิ วลาติเมยี ร์ โคมารอฟ เสยี ชวี ติ ด้วยสาเหตรุ ะบบชชู ีพไมท่ ำ� งาน
78 พ.ศ. เหตกุ ารณ์ 13. 21 ธนั วาคม 2511 ยานอะพอลโล 8 นำ� นกั บินอวกาศ 3 คนแรกไปโคจรรอบดวงจันทร์ สหรฐั อเมรกิ าสง่ นกั บินอวกาศช่ือนลี อารม์ สตรอง เอ็ดวนิ อลั ดรนิ และ ไมเคิล คอลลินส์ 14. 20 กรกฎาคม 2512 ไปกบั ยานอะพอลโล 11เพอ่ื ลงสำ� รวจบนดวงจนั ทร์ และเป็นคร้งั แรกทมี่ ีมนุษย์ก้าวลง เหยยี บบนดวงจนั ทรไ์ ด้ 15. 2515 สหรัฐอเมรกิ าและนานาประเทศใชย้ านขนส่งอวกาศ ขนส่งนักบนิ อวกาศ และสมั ภาระไป ปฏิบัติหน้าที่ในอวกาศแบบไปและกลบั และใชม้ าจนถงึ ปจั จุบัน 16. 2518 สหรฐั อเมริกาโดยองค์การนาซา สง่ ยานไวก้ิง ลงจอดบนดาวอังคาร 17. 2520 – 2522 สหรัฐอเมรกิ าส่งยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ข้นึ ไปส�ำรวจวงแหวนดาวเสารแ์ ละดวงจันทร์ ท่เี ปน็ บรวิ ารของดาวเสาร์ และยานวอยเอเจอร์ 2 สำ� รวจดาวยเู รนสั และดาวเนปจูน 18. 2533 สหรัฐอเมรกิ า โดยองค์การนาซา สง่ กล้องโทรทรรศนอ์ วกาศฮบั เบลิ ขึ้นไปโคจรรอบโลก 19. 2539 – 2540 สหรฐั อเมริกา โดยองคก์ ารนาซา สง่ ยานมารส์ พาธไฟน์เดอร์ เพื่อไปสำ� รวจดาวองั คาร โดยใช้ยานอวกาศหุน่ ยนต์ 6 ลอ้ ชือ่ โซเจอร์เนอร์ ถ่ายภาพดาวองั คาร 20. 2541 นานาประเทศใช้สถานีอวกาศ จากความร่วมมอื ของหลายประเทศ เพอ่ื ทดลองรว่ มกนั 21. 2548 องคก์ ารนาซาส่งยานดพี อมิ แพค ไปส�ำรวจดางหาง ชือ่ เทมเปล 1 22. 2549 สหรฐั อเมริกา โดยองค์การนาซา ส่งยานสำ� รวจแบบบินผา่ น (flyby) ส�ำรวจดาวตา่ ง ๆ ในระบบสรุ ยิ ะ เชน่ ยานนวิ ฮอไรซันส์ ใช้ส�ำรวจดาวพลูโต 23. 2555 สหรัฐอเมรกิ า โดยองค์การนาซา สง่ ยานวอยเอเจอร์ เพ่ือสำ� รวจนอกระบบสุรยิ ะ 24. 2561 สหรัฐอเมรกิ า โดยองคก์ ารนาซา ส่งดาวเทยี มสำ� รวจธารน�้ำแขง็ ICEsat-2 เพอ่ื ส�ำรวจ และเกบ็ ข้อมูลปรมิ าณการละลายของธารน้ำ� แข็งบนผวิ โลก 25. 2561 สหรฐั อเมรกิ า โดยองค์การนาซา สง่ ยานParker Solar (ปาร์คเกอร์ โซลาร์) ซ่งึ เป็นยานท่ี เคลอ่ื นทเ่ี รว็ ทีส่ ดุ เพื่อส�ำรวจส่วนนอกสดุ ของชัน้ บรรยากาศดวงอาทิตย์ 25. 2562 บริษทั เวอร์จินกาแล็กติก ในสหรฐั อเมรกิ า สง่ ยานวเี อสเอสยนู ิตี เป็นยานอวกาศเพอื่ การ ทอ่ งเท่ยี ว มผี ู้โดยสาร คือเบท โมเสส 2. เทคโนโลยที ่ใี ชใ้ นการสำ� รวจอวกาศ ปจั จบุ ันในการส�ำรวจอวกาศของมนุษย์จ�ำเป็นต้องอาศยั เทคโนโลยีตา่ ง ๆ เพอ่ื ประดษิ ฐอ์ ปุ กรณ์ เคร่ืองมอื เครื่องใช้ตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการสำ� รวจอวกาศซึง่ อุปกรณห์ รือเครื่องใช้ในการส�ำรวจอวกาศท่สี ำ� คญั มดี ังน้ี
79 กลอ้ งโทรทรรศน์ (telescope) เป็นส่ิงประดิษฐ์ท่ีสรา้ งขึ้นเพื่อใชส้ ังเกตวตั ถุบนท้องฟา้ ซ่ึงสามารถสอ่ งวตั ถุท่ีอยู่ ไกล ๆ โดยขยายภาพของวัตถใุ หม้ ขี นาดใหญ่ข้ึน และชว่ ยท�ำให้เรามองเหน็ รายละเอียด เพ่มิ ขึ้น ดาวเทียม (satellite) เปน็ สิง่ ประดิษฐท์ สี่ รา้ งขน้ึ มาเพอ่ื ส่งขนึ้ ไปโคจรรอบโลก คลา้ ยกับการโคจร รอบโลกของดวงจันทรเ์ พอื่ ใช้งานในวตั ถุประสงคท์ ีแ่ ตกต่างกนั เช่น ใชใ้ นการ สำ� รวจทรัพยากรธรรมชาติ การติดตอ่ สอ่ื สาร การพยากรณอ์ ากาศ จรวด (rocket) เป็นยานพาหนะทใ่ี ชใ้ นการสง่ ยานอวกาศเพอ่ื ให้หลดุ พ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลก ท�ำงานโดยจะมสี ่วนปลายบรรจเุ ชอื้ เพลงิ เพื่อใหจ้ รวดมแี รงขับดันซึง่ การเคล่ือนทีข่ องจรวด จะมีทศิ ทางตรงกนั ข้ามกบั แรงขบั ดนั จากเช้ือเพลงิ ของจรวด ทำ� ให้จรวดพุ่งขน้ึ ส่ดู ้านบน ยานอวกาศ (space craft) เปน็ สิ่งประดษิ ฐ์ท่ใี ชใ้ นการเดนิ ทางเพ่ือส�ำรวจอวกาศของมนุษย์ การส่งยาน อวกาศ ขึ้นไปส�ำรวจอวกาศ จะตอ้ งอาศัยแรงขับดนั ของจรวด ยานอวกาศเมือ่ ถูกท�ำไปใชใ้ นการสำ� รวจอวกาศและเสร็จสิน้ ภารกจิ แล้ว จะ ถูกน�ำกลับมาสู่พ้นื โลกส่วนจรวดและดาวเทยี มเมอ่ื หมดอายกุ ารใช้งานจะกลายเป็น ขยะอวกาศ นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยอี วกาศยังทำ� ใหม้ กี ารสรา้ งสถานอี วกาศขน้ึ ด้วย ซ่งึ สถานีอวกาศ คอื ยานอวกาศขนาดใหญท่ ่มี นษุ ย์สามารถอาศัยอยไู่ ดแ้ ละปฏบิ ัติภารกจิ ในนั้นไดเ้ ปน็ เวลานานหลายเดือน 3. ประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ มนุษย์สามารถพัฒนาเทคโนโลยอี วกาศจนสามารถน�ำเทคโนโลยอี วกาศบางประเภทมาประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจ�ำวัน เช่น การใชด้ าวเทียมเพ่ือการส่อื สาร การพยากรณอ์ ากาศ การสำ� รวจทรพั ยากรธรรมชาติ มีราย ละเอียด ดงั นี้
1. ดาวเทยี มอตุ นุ ิยมวทิ ยา 80 ใช้ส�ำหรับการพยากรณ์อากาศ เชน่ การกอ่ ตวั ของพายุ ความแปรปรวนของอากาศ ตวั อย่างดาวเทยี ม อตุ ุนยิ มวทิ ยา เช่น ดาวเทยี ม GMS-3 ของญีป่ ุน่ ดาวเทยี ม NOAA-8 และ NOAA-9 ของสหรัฐอเมรกิ า 2. ดาวเทยี มสื่อสาร ใชส้ ำ� หรับการส่ือสารทง้ั ภายในประเทศหรอื ระหว่างประเทศ แมก้ ระทั่งการแพรส่ ญั ญาณทางโทรทศั น์ วิทยุ ซึง่ ดาวเทยี มสอื่ สารทำ� งานโดยรบั สญั ญาณจากสถานภี าคพน้ื ดนิ โดยมจี านรับบนตวั ดาวเทียม สญั ญาณอาจะเป็น ข้อมูลภาพหรอื เสยี ง แลว้ แปรงสัญญาณและขยายสญั ญาณใหส้ ามารถสง่ กลบั สูส่ ถานีภาคพนื้ ดนิ ได้ ดาวเทยี มสือ่ สารดวงแรกของโลกมีช่ือวา่ สกอร์ (SCORE) เปน็ ดาวเทยี มของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยถูก ส่งขน้ึ ไปโคจรรอบโลกในวนั ท่ี 18 ธนั วาคม พ.ศ. 2501 สว่ นดาวเทียมส่อื สารดวงแรกของไทยมีชือ่ วา่ ไทยคม ซง่ึ ถูกสง่ ขน้ึ ไปโคจรรอบโลกในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 3. ดาวเทยี มส�ำรวจทรพั ยากร ใชห้ าแหลง่ ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ปา่ ไม้ แหลง่ น้ำ� แหล่งน้ำ� มนั สำ� รวจทรพั ยากร เช่น ดาวเทยี มสปอต (SPOT) ของฝรัง่ เศส ดาวเทยี มแลนด์แซต (LANDSAT) ของสหรัฐอเมรกิ า 4. ดาวเทยี มนำ� ร่องหรอื GPS ใชเ้ พ่ือบอกตำ� แหน่งของเครื่องรบั สญั ญาณบนพืน้ โลกได้ทกุ แห่งและทุกเวลา โดยใช้คล่นื วทิ ยแุ ละรหัสจาก
ดาวเทยี มที่ทำ� งานรว่ มกนั ดาวเทยี มน�ำร่องนำ� มาใชป้ ระโยชน์ เชน่ ตดิ เครือ่ ง GPS ในโทรศพั ทม์ ือถอื รถยนต์ 81 เครื่องบิน เรอื 5. ดาวเทียมดาราศาสตร์ ใช้ในการสำ� รวจดาวและวตั ถุต่าง ๆ ท่ีอย่หู า่ งไกลจากโลก เช่น ดาวเทยี มเทสส์ (TESS) ใช้ส�ำรวจดาว เคราะห์นอกระบบ โดยเฉพาะดาวเคราะห์ที่มีลกั ษณะคลา้ ยโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยอี วกาศยงั สง่ ผลใหเ้ กดิ สงิ่ ประดษิ ฐ์มากมายเพอื่ ใช้ประโยชนบ์ นโลก เช่น หมวกกนั นอ็ กท่นี ักปัน่ จกั รยานสวนเพอ่ื ปกป้องศรี ษะ เครอ่ื งวัดอตั ราการเตน้ ของหัวใจในเครอ่ื งออกก�ำลังกาย รองเท้า นักกีฬาที่มวี สั ดกุ ันกระแทก และในปัจจบุ นั เทคโนโลยีอวกาศได้พัฒนาจนสามารถนำ� มนษุ ย์ไปทอ่ งเที่ยวในอวกาศได้
Search