Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 006_น้ำ กับปรัชญาทางพระพุทธศาสนา

006_น้ำ กับปรัชญาทางพระพุทธศาสนา

Description: น้ำ กับปรัชญาทางพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

ทานง้ำ� พ: กรับะพปรุ ทัชญธศาธารสรมนา  กอศจ.ยศ.ทบ.*ห้วงเดือนกรกฎาคม นี้เป็นห้วงเวลาที่พระสงฆ์ เกษตรกรซ่ึงถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติองคเจ้าเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการศึกษาปฏิบัติธรรมใน ก็ต้องอาศัยห้วงเวลาน้ีในการปลูกข้าว และพืชพรรณอาวาสวหิ าร โดยไมอ่ อกไปคา้ งแรมทอ่ี นื่ ทชี่ าวพทุ ธรกู้ นั ดี ธัญญาหารเพื่อหล่อเล้ียงคนทั้งชาติ จึงทุ่มเทก�ำลังกายคือเทศกาลเข้าพรรษา ชาวนาเองก็เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล และแรงใจไปสู่การปักด�ำ การทักทายถามไถ่กันของแห่งการไถหว่านปักด�ำ ทั้งสองอาชีพนี้ปรารภเหตุ เกษตรกรในช่วงน้ีคือ ฟ้าฝนอุดมสมบูรณ์ดีหรือไม่เดยี วกนั คอื ฤดฝู น หรอื นำ้� เพราะมีนำ้� มาก ถนนหนทาง ถ้าทไ่ี หนแห้งแล้ง ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล จติ ใจของชุ่มชื้นไปด้วยน�้ำ ข้าวกล้าของเกษตรกรก�ำลังงอกงาม ชาวนาก็ห่อเหี่ยว เหลียวไปทางไหนก็ไร้ซ่ึงก�ำลังแรงใจการจะธุดงค์จาริกในยังสถานที่ต่าง ๆ ของพระสงฆ์ แต่ถ้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ดูประกายในดวงตาจึงล�ำบาก ซ้�ำยังอาจสร้างความล�ำบากให้เกิดแก่เจ้าของ ของชาวนาก็มีความหวัง และดูจะมีก�ำลังแรงใจมากกว่าข้าวกล้าในนาด้วย จึงต้องอยู่จ�ำพรรษาในอาวาสวิหาร ไม่วา่ เหตบุ ้านการณ์เมอื ง หรือข่าวคราวในดงขม้นิ จะเปน็เพ่ือศกึ ษาทบทวนหลกั ธรรม อยา่ งไร จิตใจของพวกเขาก็จดจ่ออยู่ทน่ี ้�ำน่ันเอง* พ.ต.เกรียงไกร จนั ทะแจ่ม อศจ.ยศ.ทบ. ปีท่ี ๑๒๒ ฉบบั ที่ ๑ ประจำ�เดอื นตุลาคม - ธนั วาคม ๒๕๕๖ 37

ขาดสติปัญญาในสิ่งท่ีชอบและมีเหตุผลในเมื่อได้ครอบ ครองสง่ิ ทตี่ นเองตอ้ งการ การแกไ้ ขวกิ ฤตนำ้� มนษุ ยต์ อ้ งใชห้ ลกั ธรรมดงั กลา่ ว มาแก้ไขโดยปรับเปล่ียนพฤติกรรมตนเองและใช้รูปแบบ ทางสังคมมาผสมผสานกัน กล่าวคือ แก้ไขรูปแบบ วัฒนธรรมประเพณี กฎระเบียบทางสังคม ท่าทีของจิต ที่มีต่อธรรมชาติและความมีสติปัญญาที่มองเห็นว่า สรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ พืช และธรรมชาติทั้งหลาย ล้วนมีความเก่ียวสัมพันธ์ เกื้อกูลกันและกัน เพื่อประโยชน์สุขแห่งการอยู่ร่วมกัน ไปอีกชั่วกาลนาน “น�้ำ” เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ส�ำคัญย่ิงในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ จึงกล่าวได้ว่าสรรพชีวิต ความหมายของน้�ำและสรรพสิ่งในโลกต้องมีน�้ำเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงและ น�้ำเป็นธาตุจ�ำเป็นส�ำหรับสรรพชีวิตในโลกนี้ใหด้ ำ� รงอยไู่ ด้ เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษา ขอเสนอความหมายของน้�ำปัจจุบันมนุษยชาติก�ำลังให้ความส�ำคัญกับปัญหา ดังน้ีภาวะโลกร้อน เพราะภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาท้ัง ๑. ความหมายโดยท่ัวไป๒ น้�ำ เป็นค�ำนามน้�ำท่วมและขาดแคลนน้�ำ ในบางพื้นที่ วิกฤตน�้ำท่ีว่านี้ มีสารประกอบซ่ึงมีองค์ประกอบเป็นธาตุไฮโดรเจนเกิดจากหลายสาเหตุซึ่งภาวะโลกร้อนก็เป็นเพียงสาเหตุ และออกซเิ จนในอตั ราสว่ น ๑ : ๘ โดยนำ�้ หนกั เมอื่ บรสิ ทุ ธิ์หนึ่งท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงภาวธาตุของโลกท่ีเป็นไป มลี กั ษณะเป็นของเหลว ใส ไมม่ กี ล่ิน รส มปี ระโยชน์มากตามกฎไตรลักษณ์ในทางพระพุทธศาสนา ปัจจัยส�ำคัญ เชน่ ดม่ื ได้ ชำ� ระสง่ิ สกปรก โบราณถอื เปน็ ธาตุ ๑ ในธาตุ ๔ท่ีมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติโดยเฉพาะ คือ ดิน น�้ำ ลม ไฟ ใช้เรียกส่ิงอื่นท่ีลักษณะเป็นน้�ำหรือทรพั ยากรน้ำ� คือ มนษุ ย์ เหลวเหมือนน้�ำ เช่น น�้ำตา น้�ำปลา น้�ำพริก น้�ำส้มในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องกระท�ำโดยมนุษย์ โดยปริยาย หมายถึง คุณสมบัติท่ีถือว่าเป็นสาระของและการแก้ไขปัญหาของมนุษย์จะต้องแก้ไขโดยการ สิง่ ทีก่ ล่าวถึง เช่น น�้ำคำ� น�ำ้ ใจ นำ้� พกั น้�ำแรง นำ้� มือพัฒนาจิตใจตนเองให้หลุดพ้นจากต้นเหตุความขัดแย้ง ๒. ความหมายตามรูปศัพท๓์ น�้ำ มีความหมายคือ อกุศลมูล ๓ ประการ๑ คือ โลภะ ความอยากได้ ในทางบาลีไวยากรณ์ มีหลายศัพท์ จะขอน�ำเสนอเพียงสิ่งที่ตนเองต้องการ โทสะ ความขัดเคืองใจเมื่อไม่ได้ ๔ ศัพท์ เพอื่ ประกอบการศึกษา ดังน้ีในส่ิงที่ตนเองต้องการ และโมหะ ความหลงมัวเมา๑ ขุ.อติ .ิ (บาล)ี ๒๕/๕๐/๒๗๒, ขุ.อติ ิ (ไทย) ๒๕/๕๐/๔๐๓, ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๓๐๕/๑๙๓, ทปี า, (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๕๙พระพรห๒ม คพุณจานภารนณุก์ (รปม.อฉ. บปับยโุรตา)ชพบจัณนฑานิตุกสรถมาพนุทพธศ.ศาส. ต๒ร๕์ ฉ๔บ๒บั ปพริมะพม์ควลร้ังธทรร่ี ม๑ พิมพ์ครั้งท่ี ๑๖ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ (๖๘) หน้า ๗๑. พุทธศักราช ๒๕๔๖, (กรุงเทพมหานคร : ศิริวัฒนาอินเตอรพ์๓ร ิ้นคทมั ์ภ๒รี ๕อ์ ๔ภ๖ธิ า) นหวนร้ารณ๕๗น๙า.พมิ พเ์ ผยแพรค่ รง้ั ที่ ๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ พระมหาสมปอง มทุ โิ ต แปล เรยี บเรยี ง (กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพธ์ รรมสภา, ๒๕๔๒), ขอ้ (๖๖๑) หน้า ๗๙๕ - ๗๙๖. 38 ปที ี่ ๑๒๒ ฉบบั ที่ ๑ ประจ�ำ เดอื นตลุ าคม - ธันวาคม ๒๕๕๖

๒.๑ อาป (อาป พฺยาปเน + อ) น�้ำ ๒.๓ อทุ ก (อุทิ ปสวนเกลทเนสุ + ณว)ฺ น้ำ�สพฺพฎฐาเนสุ อาโป น้�ำที่ซึมซาบไปในทุกที่ ชื่อ อาปะ อุนฺทตติ อุทกํ น้�ำท่ีไหลไป ชื่อ อุทกะ (อาเทศณวฺ เป็นอาปิยเตติ น�้ำทเ่ี ข้าถงึ ชอื่ วา่ อาปะ (อาป ปาปณุ เฺ ณ + อ) อก) อทุ กํ นาม ชนคตํ วา โหติ โปกขฺ รณิยํ วา ตฬาเก วาตํ ตํ ฐานํ อปปเฺ ปติ วิสรตตี ิ อาโป น้�ำทไ่ี หลไปสทู่ ่นี ้นั ๆ ชื่อว่า น�้ำ ได้แก่ น�้ำอยู่ในภาชนะ ในสระที่สุดธาตุ)ชื่อว่า อาปะ (อป ปาปุณฺเณ + อ, วุทฺธิ อ เป็น อา) กนตฺ ิ หิ อทุ กํ บทวา่ กํ คือ นำ้�อาปิยติ สมูหิยตีติ อาโป น้�ำท่ีเกาะรวมกัน ชื่อ อาปะ สรปุ วา่ ในความหมายทางบาลไี วยากรณ์ มศี พั ทท์ ี่(อาป สมุเห + อ) สหชาตรูปานิ อปฺเปติ ปคิฆราเปตีติ มใี ช้เกีย่ วกบั นำ�้ ทน่ี ำ� เสนอในทนี่ ้ี ๔ ศัพท์ คือ อาป (อ่านวา่อาโป น�้ำที่ให้รูปเกิดขึ้นรวมกันไหลไปช่ือว่า อาปะ อาปะ) ชล (อ่านว่า ชะละ) อุทก (อา่ นว่า อุทะกะ) และ(อป ปคฆฺ รเณ + ณ ลบ ณ วทุ ธฺ ิ อ เป็น อา) สหชาติรปู านิ ก (อ่านวา่ กะ)อาปยติ พรูเหตีติ อาโป น้�ำที่ให้รูปอันเกิดมามีธาตุอยา่ งเดยี วกันเจรญิ ขนึ้ ช่ือวา่ อาปะ (อาป วฑฺฒเน + อ) ความสำ� คญั ของน้�ำอาโป ตติถปี สนฺทติ น�้ำย่อมไหลไปแม้ในที่นั้น ขนุธา ทุกยุคสมัย ชีวิตมนุษย์มีความผูกพันกับน�้ำอาโปธาตุ ปฏิจฺจ ขนั ธท์ ้งั หลายอาศัยอาโปธาตุ มาตลอดเวลาอนั ยาวนานและตอ้ งมคี วามผกู พนั ตอ่ กนั ไป ๒.๒ ชล (ชล ปคฺฆรเณ + อ) น�้ำ ชลติ อีกช่ัวกาลนาน เพราะน้�ำเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ปคฺฆรตีตลิ ชชลํ น�ำ้ ท่ีไหลไป ช่อื ชละ ชลติ สนุทตตี ิ ชลํ ใหม้ คี วามเป็นอยตู่ ลอดไปเช่นเดียวกบั ธาตุอืน่ ๆ เช่น ดินนำ้� ที่ไหลไป ชื่อ ชละ (ชล สนุทเน + อ) ชลติ ทิพฺพตตี ิ ชลํ ลม และไฟ เมอื่ กลา่ วโดยสาระสำ� คญั แลว้ นำ�้ มคี วามสำ� คญันำ�้ ทก่ี ระเพอ่ื ม ชอ่ื วา่ ชละ (ชล ทพิ พฺ เน + อ) ชลํ วจุ จฺ ติ อทุ กํ ต่อมนุษย์ ๗ ประการ คอื ๔นำ�้ ท่นเรียกว่า ชละ ๔ พระมหาขนุ ทอง เขมสริ ิ (แก้วสมุทร์) “วกิ ฤตินำ�้ : ปัญหาและทางออกตามแนวพุทธจรยิ ศาสตร์” สารนพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรดุษฎบี ัณฑติ (บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๔), หนา้ ๑๒ - ๑๔. ปีท่ี ๑๒๒ ฉบับท่ี ๑ ประจำ�เดอื นตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๖ 39

ยังเปน็ การรกั ษาโลกมใิ ห้เกิดภาวะโลกรอ้ นอีกตอ่ ไป น้�ำกบั ผลกระทบตอ่ มนษุ ยชาติ น้�ำกับมนุษย์ ถ้าเป็นในภาวะสมดุลย่อมพัฒนา เกอ้ื หนนุ ไปดว้ ยดี แตน่ ำ้� เปน็ ภาวะทางธรรมชาตทิ อ่ี ยเู่ หนอื การควบคุมของมนุษย์ จึงเป็นไปได้ท่ีน�้ำน้ันย่อมส่งผล กระทบโดยตรงต่อมนุษยใ์ น ๒ ลักษณะ คือ๕ ๑. ด้านปริมาณ หมายถึง ปริมาณน�้ำไม่ว่า จะมากหรือน้อยมีผลกระทบท้ังสิ้น กล่าวคือ ถ้ามีน้อย๑. ความส�ำคัญต่อการเกษตรกรรม : อาชีพ ก็จะมีผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตทางการเกษตรเกษตรกรรมตอ้ งอาศัยน้�ำเป็นปัจจัยหลักไม่อาจขาดน�้ำได้ การอุตสาหกรรม การประมง หากน้�ำมากเกินไปกจ็ ะเกิด๒. ความส�ำคัญต่ออุตสาหกรรม : ภาค น�้ำท่วม สร้างความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตรอุตสาหกรรมต้องมีน�้ำเพ่ือผลิต ถ้าขาดน�้ำก็ไม่อาจ เปน็ ต้น รวมถึงความสูญเสยี ท่เี กิดกบั สตั ว์ปา่ด�ำเนินกิจการได้ ๒. ด้านคุณภาพ หมายถึง มนุษย์เป็นต้นเหตุ๓. ความส�ำคัญต่อการคมนาคมขนส่ง : ใหเ้ กดิ ปญั หามลพษิ ทางนำ�้ เชน่ การทโ่ี รงงานอตุ สาหกรรมการขนส่งทางน�้ำเป็นมิติหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจท่ีใช้ ปล่อยน้�ำเสีย ของเสียและสารเคมีต่าง ๆ ลงในแม่น�้ำต้นทนุ ต�ำ่ และค่าตอบแทนสงู ล�ำคลอง แหล่งน้�ำธรรมชาติต่าง ๆ ก่อให้เกิดผลเสียต่อ๔. ความส�ำคัญต่อการประมง : เป็นการ วถิ ีชีวติ มนษุ ย์ พชื สัตว์ และทรัพยากรธรรมชาตอิ นื่ ทตี่ ้องประกอบอาชพี ของผ้มู ที ีอ่ ยอู่ าศยั ใกลแ้ หล่งน้ำ� อาศัยนำ้� ในการด�ำรงชวี ิตและเปน็ อยรู่ ว่ มกนั ๕. ความส�ำคัญต่อการอุปโภคบริโภค : น�้ำกับมนุษย์ต้องพึ่งพากันตลอด รวมทั้งต้องพัฒนาและ คณุ ภาพน้�ำสะทอ้ นคุณภาพคนบริหารการจัดน้�ำใหด้ ี เพือ่ จะไดม้ นี ำ้� ใชต้ ลอดไป คุณภาพ คือ ภาวะทีม่ ีศกั ยภาพในการนำ� พาหรือ๖. ความส�ำคัญต่อการผลิตกระแสไฟฟ้า : น�ำไปสู่ภาวะท่ีดีกว่า ก่อให้เกิดสันติสุขและสันติภาพต่อพลงั งานไฟฟา้ สว่ นใหญข่ องประเทศไดจ้ ากการผลติ กระแส มนษุ ยชาตทิ ง้ั หลายและสรรพสงิ่ ในโลก ดงั นนั้ คณุ ภาพคนไฟฟา้ พลังน�ำ้ จึงหมายถึง คนท่ีมีคุณธรรมในการพัฒนาตนและสังคม๗. ความส�ำคัญต่อการพักผ่อนหย่อนใจ : ให้อยู่ดีมีสุขตามหลักไตรสิกขา คือ ข้อปฏิบัติท่ีเป็นหลักการท่องเที่ยวถือเป็นปัจจัยส�ำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ส�ำหรับศึกษาเพ่ือพัฒนากาย วาจา จิตใจ และปัญญาการพัฒนาแหล่งน้�ำไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้�ำทางทะเลหรือ ใหส้ งู ยง่ิ ขน้ึ เพอ่ื การอยอู่ ยา่ งมคี วามสขุ ในระดบั โลกยิ ะและแหล่งน้�ำจืดถือเป็นการรักษาแหล่งน�้ำให้ดีมีผลต่อ สงู ไปกว่าน้ันจนบรรลุจุดหมายสงู สุด คอื นิพพาน ซง่ึ เปน็การท่องเท่ียวเชิงนิเวศวิทยาเท่ากับเป็นการพัฒนาแหล่ง ความสุขระดับโลกุตตระ ๓ อย่าง คือ๖ อธิสีลสิกขาพกั ผอ่ นหยอ่ นใจของตนสงั คมและประเทศชาติ นอกจากนน้ั ขอ้ ปฏบิ ตั สิ ำ� หรบั ฝกึ อบรมความประพฤตอิ ยา่ งสงู อธจิ ติ ต ๕ มานพ นักการเรยี น, พระพทุ ธศาสนากบั สิง่ แวดลอ้ มศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๖)หนา้ ๓๘๖. ท.ี ปา. (บาล)ี ๑๑/๓๐๕/๒๗๒, ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๓๐๕/๑๙๖., อง.ตกิ . (บาลี) ๒๐/๘๗/๒๒๕., ๘๘/๒๒๖., ๘๙/๒๒๘.,๙๐/๒๒๙., อง.ติก (ไทย) ๒๐/๘๗/๓๑๒., ๘๘/๓๑๕., ๘๙/๓๑๗., ๙๐/๓๑๘. 40 ปที ี่ ๑๒๒ ฉบบั ท่ี ๑ ประจำ�เดือนตุลาคม - ธนั วาคม ๒๕๕๖

สิกขา ข้อปฏิบัติส�ำหรับฝึกอบรมจิตให้เกิดสมาธิอย่างสูง ๒. แรงสามคั คี หมายถงึ นำ�้ เมอื่ รวมตวั เปน็ หนงึ่และอธิปัญญาสิกขา ข้อปฏิบัติส�ำหรับฝึกอบรมปัญญา แล้วมีพละก�ำลังสามารถท�ำลายส่ิงกีดขวางได้อย่างให้เกิดความรูแ้ จง้ อยา่ งสูง เรียกง่าย ๆ วา่ ศีล สมาธิ และ ง่ายดาย เปรียบได้กับหลักธรรม “อิทธิบาท ๔”๙ปญั ญา คณุ เครอื่ งใหถ้ งึ ความสำ� เรจ็ , คณุ ธรรมทนี่ ำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ แหง่ ผลท่ีมุ่งหมาย ประกอบด้วยคณุ สมบตั ิน้ำ� สะทอ้ นคณุ ธรรมคน ๒.๑ ฉันทะ : ความพอใจในส่ิงนั้น คือ พระพทุ ธศาสนาสอนหลกั ธรรมทเ่ี ปน็ กฎของความ ต้องการที่จะท�ำ ใฝ่ใจ รักจะท�ำส่ิงนั้นอยู่เสมอ และจริงและมอี ยู่ตามธรรมชาติ เปน็ กฎไตรลักษณ์ อรยิ สัจ ๔ ปรารถนาจะท�ำใหไ้ ดผ้ ลดียง่ิ ๆ ข้ึนไปและปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น เม่ือเราพัฒนาตนเองตาม ๒.๒ วริ ยิ ะ : ความเพยี รทำ� ในสงิ่ นนั้ คอื ขยนัแนวไตรสกิ ขาอยา่ งดแี ลว้ กจ็ ะเขา้ ใจสงิ่ ทง้ั หลาย ตามความ หม่ันประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทนเปน็ จรงิ หมายความว่า เราจะศกึ ษาธรรมะจากธรรมชาติ เอาธรุ ะไมท่ อ้ ถอยเท่ากับว่าธรรมชาติเปน็ ครสู อนธรรมะใหค้ นเรา โดยที่เรา ๒.๓ จติ ตะ : ความมจี ติ ใจมงุ่ ไปสคู่ วามสำ� เรจ็อาจศกึ ษาคุณสมบตั นิ �้ำ ทจี่ ะกล่าวต่อไปน้ี เพื่อการศึกษา คือ ตั้งจิต รับรู้ในสิ่งท่ีท�ำและท�ำส่ิงนั้นด้วยความคิดและปฏิบตั ิตามดังน้ี เอาจติ ฝกั ใฝไ่ มป่ ลอ่ ยใหฟ้ งุ้ ซา่ นเลอื่ นลอยไป อทุ ศิ ตวั อทุ ศิ ใจใหแ้ กส่ ่งิ ที่ท�ำคุณสมบัตนิ ้ำ� ๖ อย่าง๗ ๒.๔ วิมังสา : ความไตรต่ รอง ทดลอง คอื นำ�้ มคี ณุ ลกั ษณะทพี่ เิ ศษเฉพาะตนทค่ี วรถอื ปฏบิ ตั ิ หมนั่ ใชป้ ญั ญาพจิ ารณา ใครค่ รวญตรวจตราหาเหตผุ ล และเปน็ แบบอยา่ ง โดยนำ� มาเปรยี บกบั หลกั พทุ ธธรรมในสาระ ตรวจสอบขอ้ ย่ิงหยอ่ นในสิง่ ที่ท�ำนน้ั มกี ารวางแผนวดั ผลส�ำคัญ ดงั นี้ คิดคน้ วิธีแกไ้ ขปรับปรุงเป็นต้น ๑. ละลายของแข็ง หมายถึง น้�ำสามารถท�ำ ๓. มีความชุ่มเย็น หมายถึง น้�ำมีความเย็นของแขง็ ใหเ้ หลว ดนิ ทแี่ ตกระแหงเมอื่ โดนนำ�้ ดนิ กอ็ อ่ นนมุ่ ดบั กระหาย คลายรอ้ น เปน็ ทป่ี รารถนาขอสรรพชวี ติ นอ้ ยเหมาะแก่การเพราะปลกู เปรียบได้กบั หลกั ธรรม “ธรรม ใหญ่ ท่ีไหนมีนำ้� ที่นน่ั มสี รรพชีวิต เปรยี บได้กับหลักธรรมอันทำ� ให้งาม ๒ อย่าง” คือ๘ “พรหมวหิ าร ๔”๑๐ ธรรมเครื่องอยูอ่ ยา่ งประเสรฐิ , ธรรม ๑.๑ ขันติ : ความอดทน, สามารถอดทนได้ ประจ�ำใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐเพื่อบรรลุความดงี ามและความมุง่ หมายอันชอบธรรม บริสทุ ธ,์ิ ธรรมทต่ี ้องมีไว้เปน็ หลกั ใจกำ� กับความประพฤติ ๑.๒ โสรจั จะ : ความเสงยี่ ม, อธั ยาศยั อนั งาม จึงจะช่ือว่าด�ำเนินชีวิตหมดจดและปฏิบัติตนต่อมนุษย์รักความหมดจดเรียบรอ้ ยดงี าม ทัง้ หลายโดยชอบ ประกอบด้วย ๗ เสนาะ ผดงุ ฉัตร, ดร., “น�้ำ : มุมมองทางพระพทุ ธศาสนา”, สารนิพนธพ์ ุทธศาสตรบัณฑติ ประจ�ำปี ๒๕๕๖ มหาวทิ ยาลยัมหาจฬุ า๘ลงอกงร.ทณกุ ร.า(ชบวาทิลย)ี า๒ล๐ยั /,๑(๖กร๖ุง/เ๙ท๐พ.ม, หองา.นทคกุ ร.(ไ:ทบยร)ิษ๒ัท๐/ร๑พ๖ปี ๖ก/ร๑ณ๒์ จ๖ำ� .,กพัดร, ะ๒พ๕ร๕ห๖ม)คหณุ นาา้ ภ๑รณ๙๑์ (ป-อ๑.ป๙ย๔ตุ โต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประ๙มวทลี.ปธราร.(มบ.าอล้าี) ง๑แ๑ล้ว/๓ข๐อ้ ๖(/๒๑๔๙),๘ห.,นทา้ ี.(ป๒า๖.()ไทย) ๑๑/๓๐๖/๒๗., อภิวิ.(บาลี) ๓๕/๔๓๑/๒๖๐., ๔๔๔/๒๖๕., ๔๕๗/๒๖๙.,๔๖๒/๒๗๑., อภิ.วิ(ไทย) ๓๕/๔๓๑/๓๔๒., ๔๔/๔๓๘., ๔๕๗/๓๕๒., ๔๖๒/๓๕๔., พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม.อ้างแลว้ ๑ข๐อ้ (๒๑๓), หนา้ (๒๑๓) อง.ปญจฺ ก. (บาลี) ๒๑/๒๗๖/๓๙๑., อง.ปญจก.ล (ไทย) ๒๑/๓๗๖/๒๘๖., อภิ.ส.ํ (บาล)ี ๓๔/๒๕๑/๗๖ - ๗๘., อภิ.ส.ํ (ไทย)๓๔/๒๕๑/๘๑-๘๓., วสิ ทุ ธิ ๒/๑๒๔., พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. อา้ งแลว้ ข้อ (๑๖๑) หน้า (๑๖๑) ปีที่ ๑๒๒ ฉบบั ท่ี ๑ ประจ�ำ เดอื นตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๖ 41

๓.๑ เมตตา : ความรัก ปรารถนาดีอยาก เขาควรได้รับผลอนั สมควรรับผิดชอบของตนให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดท�ำประโยชน์ ๔. เน้นยุติธรรม หมายถึง น้�ำมีความเท่ียงตรงแก่มนษุ ยส์ ตั วท์ ัว่ หนา้ ในเชิงช่างจึงใช้ระดับน้�ำเป็นเครื่องวัดความเท่ียงตรง ๓.๒ กรณุ า : ความสงสาร คดิ ชว่ ยใหพ้ น้ ทกุ ข์ อกี ประการหนงึ่ นำ้� ใหค้ วามเสมอภาคกบั ทกุ สรรพชวี ติ คอืใฝ่ใจในอันจะปลดเปล้ืองบ�ำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อน ใหค้ วามชมุ่ เยน็ กบั ทกุ คนไมว่ า่ ผนู้ นั้ จะเปน็ ราชา มหาเศรษฐีของปวงสัตว์ ผู้ดี เม่ือได้อาบน้�ำแล้วก็ได้รับความสะอาด ความชุ่มเย็น ๓.๓ มุทติ า : ความยินดไี ด้ในเมือ่ ผู้อ่นื อย่ดู ี เสมอเหมือนกัน เปรียบได้กับหลักธรรม “อคติ ๔”๑๑มสี ขุ มจี ติ ผอ่ งใสบนั เทงิ กอปรดว้ ยอาการแชม่ ชน่ื เบกิ บาน ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติท่ีผิด, ความไม่อยเู่ สมอ ตอ่ สตั วท์ ง้ั หลาย ผดู้ ำ� รงอยใู่ นปกตสิ ขุ พลอยยนิ ดี เท่ียงธรรม, ความลำ� เอียง ประกอบดว้ ยดว้ ยเมอื่ เขาได้ดมี สี ขุ เจริญงอกงามยิ่งข้ึนไป ๔.๑ ฉันทาคติ : ความล�ำเอียงเพราะชอบ ๓.๔ อเุ บกขา : ความวางใจเปน็ กลาง อนั จะ เพราะผู้นนั้ อยู่ฝา่ ยเดยี วกบั ตนให้ด�ำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือ ๔.๒ โทสาคติ : ความล�ำเอียงเพราะชังมีจิตเรียบตรงเท่ียงธรรมดุจตราช่ัง ไม่เอนเอียงด้วยรัก เพราะผู้น้นั เป็นฝา่ ยตรงขา้ มกบั ตนและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระท�ำแล้ว ๔.๓ โมหาคติ : ความล�ำเอียงเพราะขาดอันควรได้รับผลดีหรือช่ัว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ การพจิ ารณาไตรต่ รองดว้ ยเหตุผลทีเ่ ที่ยงธรรมพร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จัก ๔.๔ ภยาคติ : ความลำ� เอยี งเพราะเกรงภัยวางเฉยสงบใจ มองดูในเม่ือไม่มีกิจที่ควรท�ำ เพราะเขา จะมาถึงตน จึงทนเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเพ่ือไม่ให้ภัยรับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเองหรือ มาถงึ ตน ๑๑ ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๑๘๖/๑๑ค., ๒๔๖/๑๕๗., ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๘๖/๑๔๔ - ๑๔๕., ๒๔๖/๒๐๑., พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. อ้างแลว้ ข้อ (๑๙๖) หนา้ (๑๙๘) 42 ปที ่ี ๑๒๒ ฉบบั ที่ ๑ ประจำ�เดือนตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๖

๕. น�ำประสาน หมายถึง ไม่ว่าจะมีต้นก�ำเนิด ๖. พฒั นาการตน หมายถงึ นำ�้ จะไหลไมห่ ยดุ นง่ิมาจากท่ีใด ภาคใด แต่เม่ือรวมในภาชนะเดียวกันแล้วก็ แม้จะเป็นแหล่งน�้ำนิ่งแต่ใต้น�้ำก็ไม่นิ่งอยู่กับที่ ในขณะจะเป็นเน้ือเดียวกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้ตามแหล่ง เดียวกันก็จะคัดแยกสิ่งแปลกปลอมด้วยการซัดข้ึนสู่ฝั่งท่ีมา ซ่ึงแสดงออกถึงความสามัคคีกลมเกลียว เปรียบได้ ดังคลื่นทะเลซัดสาดเศษซากของสิ่งต่าง ๆ ข้ึนสู่ฝั่งกับหลักธรรม “สาราณียธรรม ๖”๑๒ ธรรมเปน็ ทีต่ ้งั แห่ง เปรยี บไดก้ บั หลกั ธรรม “ภาวนา ๔”๑๓ การเจรญิ , การทำ� ให้ความใหร้ ะลกึ ถงึ กนั , ธรรมเปน็ เหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ กนั , ธรรมที่ มขี นึ้ , การฝึกอบรม, การพัฒนา ประกอบด้วยทำ� ใหเ้ กดิ ความสามคั คี, หลกั การอยรู่ ว่ มกนั ประกอบดว้ ย ๖.๑ กายภาวนา : การเจริญกาย, พัฒนา ๕.๑ เมตตากายธรรม : ตัง้ เมตตากายกรรม กาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้ติดต่อเก่ียวข้องกับสิ่งในเพื่อนมนุษย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วยเหลือกิจ ท้ังหลายภายนอกทางอินทรีย์ท้ัง ๕ ด้วยดี และปฏิบัติธรุ ะของผรู้ ว่ มหมคู่ ณะดว้ ยความเตม็ ใจ แสดงกริ ยิ าอาการ ตอ่ สง่ิ เหลา่ นน้ั ในทางทเี่ ปน็ คณุ ไมใ่ หเ้ กดิ โทษ ใหก้ ศุ ลธรรมสุภาพ เคารพนบั ถอื กนั ทัง้ ตอ่ หน้าและลบั หลงั งอกงามให้อกุศลธรรมเสื่อม, การพัฒนาความสัมพันธ์ ๕.๒ เมตตาวจกี รรม : ตงั้ เมตตาวจีกรรมใน กบั สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพเพื่อนมนุษย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือช่วยบอกแจ้งส่ิง ๖.๒ สีลภาวนา : การเจริญศีล, พัฒนาที่เป็นประโยชน์ สั่งสอนแนะน�ำตักเตือนด้วยความหวังดี ความประพฤต,ิ การฝกึ อบรมศลี ให้ตั้งอยูใ่ นระเบยี บวินัยกล่าววาจาสุภาพแสดงความเคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้า ไม่เบยี ดเบียนหรือกอ่ ความเดือดรอ้ นเสียหาย อยู่รวมกับและลับหลงั ผูอ้ ืน่ ไดด้ ้วยดี เก้ือกูลแก่กนั ๕.๓ เมตตามโนกรรม : ต้ังเมตตาจิตใน ๖.๓ จติ ตภาวนา : การเจรญิ ปญั ญา, พฒั นาเพอื่ นมนษุ ยท์ ง้ั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั คอื ตงั้ ความปรารถนาดี จิต, กาฝึกอบรมจิตให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคิดท�ำส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อกัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตา คุณธรรมทง้ั หลาย เชน่ มีเมตตากรุณา มีฉันทะ ขยันหมน่ัยม้ิ แย้มแจ่มใสต่อกัน เพยี ร อดทน มีสมาธิและสดชืน่ เบิกบาน เป็นสขุ ผ่องใส ๕.๔ สาธารณโภคติ า:ใชข้ องสว่ นรวมดว้ ยกนั เป็นตน้ไม่หวงไว้ใช้เพียงคนเดียวหรือฝ่ายเดียว ขณะเดียวกัน ๖.๔ ปัญญาภาวนา : การเจริญปัญญา,กร็ กั ษาของสว่ นรวมรว่ มกนั ไมท่ ำ� ลายหรอื ละเลยเพกิ เฉย พัฒนาปัญญา การฝกึ อบรมปญั ญา ให้รเู้ ขา้ ใจสิง่ ท้ังหลายเสยี ตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ ๕.๕ สีลสามัญญตา : มีหลักปฏบิ ตั เิ สมอกนั สามารถท�ำจิตใจให้เป็นอิสระท�ำตนให้บริสุทธ์ิจากกิเลสทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ มีความประพฤติสุจริตดีงาม และปลอดพน้ จากความทกุ ข์ แกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ไดด้ ว้ ยถกู ตอ้ งตามระเบยี บวนิ ยั ไมท่ �ำตนใหเ้ ปน็ ทน่ี า่ รงั เกยี จของ ปัญญาส่วนรวม กล่าวโดยสรุป ผ้ปู ฏบิ ัตติ ามโดยน้อมนำ� คณุ สมบัติ ๕.๖ ทฏิ ฐสิ ามญั ญตา : มอี ุดมการณ์เสมอกัน ของน�้ำทั้ง ๖ ประการดังกล่าวแล้ว มาเป็นเคร่ืองเตือนทง้ั ต่อหนา้ และลับหลัง คอื มคี วามเห็นชอบร่วมกนั ในขอ้ สติให้ตนเองคิดและน�ำไปเปรียบเทียบกับหลักพุทธธรรมทเ่ี ปน็ หลักการส�ำคัญอนั จะน�ำไปสู่ความหลุดพน้ สน้ิ ทุกข์ มาปฏิบัติ เป็นการพัฒนาตนให้มีศักยภาพท่ีจะมีชีวิตหรอื ขจดั ปญั หา อยู่อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ เมื่อปฏิบัติแล้วจะท�ำให้เป็น(ไทย) ๑๒ ท.ี ปา. (บาล)ี ๑๑/๒๓๔/๒๑๖., ท.ี /๓๒๑ - ๓๒๒., อง.ฉกก. (บาลี) ๒๒/๑๑/๒๗๙ - ๒๘๐., ๑๒/๒๘๐ - ๒๘๑., อง.ฉกก. ๒๒๑/๓๑๑พ/จ๔น๒า๖นกุ- ร๔ม๒พ๗ุท.,ธ๑ศ๒าส/๔ต๒ร์๗ฉ/บ๔บั ๒ป๘ร.,ะพมจวนลาธนรรกุ มร.มอพา้ทุ งธแศลาว้ สขต้อร์ ฉบบั ประมวลธรรม. อา้ งแล้ว ข้อ (๒๗๓), หนา้ (๓๗๑) (๒๗๓) (๓๗), หน้า (๓๖) ปที ่ี ๑๒๒ ฉบบั ท่ี ๑ ประจำ�เดอื นตลุ าคม - ธนั วาคม ๒๕๕๖ 43

คนมคี วามออ่ นนอกเขม้ แขง็ ภายใน มีความเปน็ หนึง่ เดียว ไปด้วย เพ่ือความอยู่ดีมีสุขของตนเองและสังคมสืบไปท้ังกายและใจ ในการพัฒนาตนและช่วยเหลือส่วนรวม ดังค�ำกล่าวที่ว่า “น�้ำไม่ให้ช้�ำ ธรรมไม่ให้เสีย” ดังน้ันมีใจสงบชุ่มเย็น มีความยุติธรรมมั่นคงในความถูกต้อง เราทั้งหลายจึงควรใช้น้�ำเป็นแผนท่ีในการพัฒนาชีวิตพัฒนาให้เจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ให้สูงยิ่งข้ึนไป เพื่อให้ชีวิตเป็นชีวิตที่ชุ่มเย็นเสมือนน้�ำ โดยมีธรรมเป็นจึงกล่าวได้ว่า ผู้ปฏิบัติตนโดยน�ำคุณลักษณะของน้�ำ หลกั ใจ ในการนำ� พาชวี ติ พฒั นาชาตใิ หม้ คี วามสงบสขุ และมาเทียบเคียงแล้วปฏิบัติตามหลักธรรมนับว่าเป็นผู้รักษา ชมุ่ เย็นตลอดไป ทรพั ยากรน�้ำให้คงอย่ตู ลอดไป และปฏิบัตธิ รรมควบคู่กัน เอกสารอ้างอิง พระมหาขนุ ทอง เขมสริ ิ (แกว้ สมทุ ร)์ “วกิ ฤตนำ�้ ” : ปญั หาและทางออกตามแนวพทุ ธจรยิ ศาสตร”์ สารนพิ นธ์พุทธศาสตรดุษฎบี ณั ฑิต. บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔ พระมหาสมปองมทุ โิ ตแปลและเรยี บเรยี งคมั ภรี อ์ ภธิ านวรรณนา.กรงุ เทพมหานคร:โรงพมิ พธ์ รรมสภา,๒๕๔๒พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism.พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑๖ พ.ศ. ๒๕๕๑ กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั เอส อา พริ้นต้ิง แมส โปรดกั ส์ จ�ำกัด, ๒๕๕๑ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั .พระไตรปฎิ กภาษาบาลีฉบบั มหาจฬุ าเตปฎิ ก๒๕๐๐เลม่ ที่๕,๑๑,๒๑,๒๒,๒๕,๓๔, ๓๕, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๔ พระไตรปิฎกภาษาไทย. เล่มที่ ๕, ๑๑, ๒๑, ๒๒, ๒๕, ๓๔, ๓๕ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙ ปกรณว์ เิ สสภาษาบาล.ี ฉบบั มหาจฬุ าปกรณวเิ สโส ๒๕๓๙ - ๒๕๔๓ กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ญิ ญาณ,๒๕๓๙ - ๒๕๔๓ มานพนกั การเรยี นพระพทุ ธศาสนากบั สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา.กรงุ เทพมหานคร:โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๖ เสนาะ ผดงุ ฉตั ร, ดร. “นำ้� : มมุ มองทางพระพุทธศาสนา” สารนพิ นธ์พุทธศาสตรบัณฑิต ประจ�ำปี ๒๕๕๖มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั กรุงเทพมหานคร บริษัท รพี ปกรณ์ จำ� กดั , ๒๕๕๖ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖กรงุ เทพมหานคร : ศิรวิ ฒั นาอินเตอรพ์ ริ้นท์ ๒๕๔๖ 44 ปีที่ ๑๒๒ ฉบับท่ี ๑ ประจ�ำ เดอื นตลุ าคม - ธันวาคม ๒๕๕๖