Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ๒.เล่มหนังสือ ๑๐๐ ปี ภาค ๑_หลักนิยมว่าด้วย อศจ.ทบ2.

๒.เล่มหนังสือ ๑๐๐ ปี ภาค ๑_หลักนิยมว่าด้วย อศจ.ทบ2.

Description: ๒.เล่มหนังสือ ๑๐๐ ปี ภาค ๑_หลักนิยมว่าด้วย อศจ.ทบ2.

Search

Read the Text Version

๑๐๑ ๓.๑๐.๒ ตราสัง (กาฟ่ัน) ห่อศพด้วยด้วยผ้าขาว ๓ ช้ัน ให้ใช้ผ้าราคาถูก มีเส้ือผ้าหนึ่งชุด ให้ศพนอน หงาย ๓.๑๐.๓ การสวดศพ มกี ารสวดนมสั การโดยญาติของผ้ตู าย หรอื อิหมา่ ม แล้วแตก่ รณี ๓.๑๐.๔ การฝังศพ หลุมฝังศพต้องให้ลึก ป้องกันกล่ินและสัตว์คุ้ยเขี่ยได้ ให้ศพนอนตะแคงขวา หันหน้า ไปทางมักกะห์ แก้เชอื กทีผ่ กู ศพออกกาฟน่ั ออก ผู้ยกศพลงหลุมควรเปน็ ญาตผิ ตู้ าย ถา้ ศพเป็นหญิงมสี ามใี หส้ ามเี ปน็ ผูย้ กศพ ๔. การปฏบิ ัติของอนศุ าสนาจารย์ในการสนับสนุนกิจกรรมของศาสนาอ่นื ๔.๑ อาํ นวยการใหท้ หารท่ีนบั ถอื ศาสนาอน่ื ได้ปฏิบัติศาสนกจิ ตามหลักศาสนาของตน ๔.๒ จัดทําบัญชีทหารแยกตามศาสนา เพ่ือสะดวกในการให้คําแนะนํา การนําประกอบศาสนกิจ และการทํา พธิ ีกรรมทางศาสนา ๔.๓ จัดทําบัญชีทหาร ระบุยศ ช่ือ นามสกุล ภูมิลําเนา ของทหารท่ีถือศาสนาส่วนน้อยและแยกตามนิกาย ท้ังน้ี เพอ่ื ให้บริการทางศาสนาได้สะดวกในชีวติ ประจําวนั และแม้ในยามท่มี กี ารสญู เสยี กาํ ลงั พล ๔.๔ จดั ทําบญั ชี วัด สุเหร่า โรงสวด สสุ าน โบสถ์ ศาสนสถาน และบุคลากรสําคัญของแต่ละศาสนาในพ้ืนที่ใกล้ บริเวณที่ต้งั หน่วย เพอื่ ประสานในการกระทําพิธกี รรมทางศาสนาวฒั นธรรมประเพณี ๔.๕ เสนอความเห็นแก่ผู้บังคับหน่วย ผู้บังคับบัญชา ในเร่ืองการอบรมจริยธรรม การอบรมจิตใจทหาร ขวัญ กําลังใจ วัฒนธรรมประเพณี แก่ทหารที่นับถือศาสนาอื่น ตลอดจนให้ทหารได้มีโอกาสปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาของ ตนและได้รับการบาํ รงุ รกั ษาขวญั ตามสมควร ๔.๖ หาโอกาสพบปะเย่ียมทหารทุกศาสนาท่ีออกปฏิบัติงานนอกท่ีตั้ง ปลุกปลอบบํารุงขวัญและเสริมสร้าง กาํ ลงั ใจทหารปว่ ยเจบ็ หรอื ทหารทไี่ ด้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเน่ืองจากการครํ่าเคร่งในการปฏิบัติหน้าที่ ให้กลับ มีจติ ใจรุกรบ อาจหาญ มพี ลังใจพร้อม ๔.๗ ศึกษาคําสอน พิธีกรรม ของศาสนาต่างๆ ให้เข้าใจเพื่อสะดวกในการให้คําแนะนําการนําปฏิบัติพิธีกรรม ทางศาสนาและประเพณี ๔.๘ ประสานกับผนู้ ําศาสนาและผู้บงั คับบญั ชาในกรณที หารเสียชีวิต ๔.๙ เปน็ พิธีกรกาํ กบั พิธกี ารให้ดําเนินไปดว้ ยความเรียบร้อย เช่น เปน็ ผ้อู า่ นหมายรบั สั่ง, อา่ นสาํ นึกในพระมหากรณุ าธคิ ณุ , อ่านประวัติและคาํ ไวอ้ าลยั ทหารท่ีเสียชวี ิต ฯลฯ ๔.๑๐ กรณีประกอบพิธีศพผู้เสียชีวิตในสนาม ณ วัดหรือศาสนสถานของศาสนาอ่ืนในพื้นท่ีการดําเนินการพิธี ศพ ในการกลา่ วสดุดวี ีรกรรมขอให้เพิ่มการกลา่ วธรรมสงั เวชทีเ่ ขียนโดยอนุศาสนาจารยเ์ ข้าไปด้วย ๔.๑๑ ประสานกับบุคคลและองค์กรของศาสนาต่างๆ ในท้องถิ่น เพ่ือสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือใน การดําเนินการกิจกรรมทางศาสนาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้อง และถือเป็นการสร้างความสามัคคีของบุคคลในชาติ อกี ด้วย

๑๐๒ บทที่ ๗ สํานกึ แห่งอนุศาสนาจารย์ ๑. สาํ นึกในการครองตน ครองคน ครองงาน อนุศาสนาจารย์ มีงานและภารกิจหลายอย่างท่ีจะต้องครุ่นคิดและดํารงความสํานึกในใจ เฉพาะที่สําคัญๆ มี ดังต่อไปน้ี ๑.๑ ปัจจัยเวลา มีความสาํ คญั สําหรับการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ หนา้ ท่ขี องอนุศาสนาจารย์ ๑.๒ ต้องสามารถปฏิบัติภารกิจหน้าที่ในเวลาราชการ นอกเวลาราชการ ในวันราชการและวันหยุดราชการ งานทเี่ หมาะสมท่ีจะปฏบิ ตั นิ อกเวลาราชการได้ เชน่ ๑.๒.๑ การสอนอบรมพลทหาร ๑.๒.๒ การฝกึ ซอ้ มและการไหวพ้ ระสวดมนต์ร่วมกบั ทหาร ๑.๒.๓ การเย่ยี มพบปะครอบครวั ๑.๒.๔ การตดิ ตอ่ นิมนต์พระสงฆ์ ๑.๒.๕ การปฏบิ ตั ิพธิ ขี องหนว่ ยและของกําลงั พลเป็นครงั้ คราว ๑.๒.๖ การบันทึกรายการวิทยุ (กรณบี นั ทกึ ดว้ ยเครื่องบันทึกของตนเอง) ๑.๒.๗ การคน้ คว้าเตรยี มการ ศึกษาฝกึ ฝนตนอยเู่ สมอ ๑.๒.๘ การวางแผนเพื่อจะไปพบปะปรึกษาหารือกับผู้บังคับหน่วยของกําลังพลที่มีปัญหา (ถ้าจําเป็น ) เพ่ือดําเนนิ การแก้ปัญหาร่วมกนั ๑.๒.๙ การวางแผนพิจารณาหาเหตุผลประกอบอ่ืนๆ ในการที่จะแก้ปัญหากําลังพลที่มีปัญหา ว่าควรจะ ดาํ เนินการอยา่ งไร เมอื่ ใด ๑.๓ อนุศาสนาจารย์พึงตระหนักว่า ตนเป็นมิตรกับกําลังพลท่ีมีปัญหาได้ทุกประเภท คือ เป็นมิตรผู้แนะ ประโยชน์ โดยไม่แสดงอาการรังเกียจดว้ ยประการใดๆ ๑.๔ กาํ ลังพลบางนายคบกบั คนอน่ื เขา้ กบั ผูอ้ ่นื ไม่ได้ มีแต่ผู้รังเกียจและตําหนิ แม้ผู้เช่นน้ี อนุศาสนาจารย์ต้อง มจี ติ เมตตา และมกี รุณาจติ ตามหลกั พรหมวิหาร ด้วยวิธีหาโอกาสพบปะเย่ียมเยียนเป็นการส่วนตัวท้ังท่ีบ้าน หรือสถานท่ีตาม ความเหมาะสม ด้วยวธิ ีการเชน่ น้ี มคี วามเป็นไปไดท้ จี่ ะเปล่ียนแปลงพฤติกรรมกําลงั พลผนู้ น้ั ในทางบวก ๑.๕ ต้องถือเป็นเร่ืองสําคัญท่ีจะรักษาความลับของกําลังพลและครอบครัวซ่ึงมีปัญหา โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน ประเดน็ ท่ไี มค่ วรเปดิ เผย ซึง่ ลอ่ แหลมที่จะกอ่ ให้เกดิ ความเสอื่ มเสยี ๑.๖ อนุศาสนาจารย์ตอ้ งฝกึ ฝนบําเพญ็ จติ ภาวนาเป็นการส่วนตัวทกุ วนั เพื่อดํารงเสถียรภาพ ความเป็นอนุศาสนาจารยแ์ ละรักษาพลังใจในตนให้มีความมน่ั คงหนักแนน่ ๑.๗ ต้องมีวินัยเป็นแบบอย่างของทหาร และมีความเคารพเช่ือฟังอนุศาสนาจารย์ท่ีอาวุโสกว่า ตามสายการบังคับ บัญชา และคณะกรรมการอนุศาสนาจารย์อย่างเครง่ ครัด ๑.๘ ในกรณไี ม่สามารถดํารงอยใู่ นภาวะของอนุศาสนาจารย์ได้ ตอ้ งมคี วามตระหนกั ในระบบ เกียรติยศด้วยตนเอง โดยการปฏิบัติต่อคําสัตย์ปฏิญาณท่ีให้ไว้ต่อคณะอนุศาสนาจารย์เป็นลายลักษณ์- อักษร ถ้าให้ คณะกรรมการอนุศาสนาจารยเ์ ป็นผ้ดู ําเนนิ การใหอ้ าจเกดิ ความเสียหายแก่อนุศาสนาจารย์ผู้นน้ั ๑.๙ ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า กําลังพลและครอบครัวภายในหน่วย มีทรรศนะต่ออนุศาสนาจารย์ว่าเป็นผู้เป็น แบบอย่างทางศีลธรรมจรรยา หากอนุศาสนาจารย์ประพฤติบกพร่องในส่วนน้ี จะมีผลกระทบต่อการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรม

๑๐๓ การปฏิบัติพิธี การให้คําแนะนําเป็นอย่างมาก คือมากกว่ากําลังพลอ่ืนๆ ที่ปฏิบัติบกพร่องในเรื่องเดียวกัน และจะนําไปสู่การ คลายศรทั ธา ๑.๑๐ ต้องมีอัธยาศัยขยัน แสดงความกระตือรือร้นท่ีจะทํางานและมีความเอื้อเฟื้อต่องานอยู่เสมอ เพราะการ เกียจคร้านทาํ การงานเปน็ อบายมขุ ขอ้ หน่ึงในจํานวนหลาย ๆ ขอ้ ๒. วนิ ัยหรือจรรยาบรรณของอนุศาสนาจารย์ อนุศาสนาจารย์ใหม่ทุกนาย เมื่อบรรจุเข้ารับราชการในตําแหน่งอนุศาสนาจารย์แล้ว จะต้องเข้าสู่พิธีรับเข้าหมู่ คณะของอนุศาสนาจารย์ทหารบก ในคราวอบรมเพ่ิมเติมความรูป้ ระจําปี สายวทิ ยาการ อศจ.ทบ. โดยมีพธิ ีการดงั น้ี เวลา ................ - ผู้ร่วมพิธีพร้อม - อศจ.ใหม่ เข้าประจําจดุ สําหรบั ประกอบพธิ ี ................ - ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.เดนิ ทางถึงหอ้ งประชุมพระพทุ ธสงิ ห์ชยั มงคล - หน.กาํ ลงั พลฯ บอกแสดงความเคารพ - ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.จุดธปู เทียนบชู าพระรัตนตรยั , กราบพระ, เคารพธงชาตแิ ละ พระบรมฉายาลักษณ์ นงั่ ณ ทร่ี ับรอง - หน.กําลงั พลฯ กล่าวรายงานเบิกตวั อศจ.ใหม่กระทาํ พิธรี บั เข้าหมู่คณะ และเรียนเชญิ ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.ประกอบพิธีฯ - อศจ.ใหมเ่ ดินขนึ้ เวทที ีละนาย (หันหนา้ ไปทาง ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.) จนครบ - คนหลงั สุดสัง่ ซา้ ยหัน , สง่ั คกุ เข่า กราบ ๓ คร้ัง - ผู้นํา กลา่ วคาํ บชู าพระรัตนตรัย ( อรหงั สัมมา สมั พทุ โธ ภควาฯ ) ทเ่ี หลือวา่ ตาม - อาราธนาศีล/กลา่ วบท นะโม /สมาทานศลี (กลา่ วพร้อมกัน) - กล่าวคําสัตย์ปฏิญาณ และวนิ ยั อศจ. เป็นวรรค ๆ เบื้องหน้าพระพทุ ธสิงหช์ ัยงคล (จบแล้วกราบ ๓ ครัง้ ) - คนสุดทา้ ยส่งั (ลกุ .....ขวา.. หนั ) - เดนิ มามอบคําสตั ย์ปฏญิ าณและวนิ ยั อศจ. ให้ ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ. (โคง้ .../..ยืน../..ก่ึงขวาหัน.../..ย่นื แขนซา้ ยรับปลอกแขน../ ยนื ตรง /..รับน้าํ มนต์มาดืม่ ../คืนแก้ว../สัมผสั มอื /..โคง้ .) - เดนิ กลบั ไปกราบพระ เคารพธงชาติ พระบรมฉายาลักษณ์ (จนครบทกุ คนแลว้ ) - ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.ให้โอวาท จบแลว้ (หน.กาํ ลังพลสง่ั “ตรง”) - เดินลงมายนื ด้านหน้าเวทีรับการแสดงความยินดีจาก คณะ อศจ. - เสรจ็ พิธี

๑๐๔ ๒.๑ คําสตั ย์ปฏิญาณตนของอนศุ าสนาจารย์ คาํ สัตยป์ ฏิญาณ อศจ.ทบ. .................................. โดยหนังสือฉบบั น้ี ข้าพเจ้า..................................................... ขอให้คาํ สัตย์ปฏญิ าณ/ ไว้ต่อหนา้ พระพทุ ธสงิ ห์ชยั มงคล/ และคณะอนศุ าสนาจารย์กองทพั บก/ ดงั ต่อไปน้ี ขอ้ ๑ / ขา้ พเจ้า/ จักปฏบิ ัตติ ามคําสั่ง/ และโอวาท/ ของหัวหน้าอนุศาสนาจารย/์ ทุกประการโดยเคร่งครดั / ข้อ ๒ / ข้าพเจ้า/ จักปฏิบัติตาม/ กฎ/ ข้อบังคับ / คําสั่ง / ระเบียบ /และแบบธรรมเนียมของทางราชการ/ ทุกประการโดยเครง่ ครัด/ ข้อ ๓ / ข้าพเจ้า/ จักปฏิบัติหน้าที่ราชการ/ จนสุดความสามารถ/ ด้วยความเต็มใจ/ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อย ยากลาํ บาก/ แต่ประการใด ข้อ ๔ / ข้าพเจ้า/ จักไม่ประพฤติตน/ ให้เป็นที่รังเกียจของคณะ/ ด้วยประการใด ประการหน่ึง/ จักประพฤติตน/ให้ เหมาะสมกับฐานะ/ ท่เี ปน็ อนุศาสนาจารย์ทกุ ประการ / ข้อ ๕ / ถ้าข้าพเจ้า/ ไม่กระทําตามคําสัตย์ปฏิญาณ / ที่ให้ไว้น้ี / หรือทําตนให้เป็นที่รังเกียจของคณะ/ ด้วยประการใด ประการหนึ่งกต็ าม / ข้าพเจา้ จักไมเ่ ห็นแกต่ วั / จนทางราชการสั่งให้ออก / จักขอลาออกโดยดี / ดว้ ยตนเอง / ทีเดียว / คาํ สตั ยป์ ฏิญาณนี้ / ให้ไว้ / ณ วันที่ ...........เดือน.................พ.ศ........... ลงช่ือ ......................................................... (..................................................) ผ้ใู ห้คาํ สตั ย์ปฏิญาณ ๒.๒ คําปฏิญญาจรรยาบรรณอนศุ าสนาจารย์ทหารบก คาํ ปฏิญญาจรรยาบรรณอนศุ าสนาจารย์ทหารบก ....................................... ข้าพเจา้ (ยศ,ชื่อ-สกุล) ขอให้คําปฏิญญา/ ไว้ต่อหน้าพระพุทธสิงห์ชัยมงคล/ และพระบรมรูป/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว/ องคพ์ ระราชทาน/ กําเนิดกิจการอนศุ าสนาจารยก์ องทัพไทย/ ดว้ ยการปฏิบตั ติ ามจรรยาบรรณ ๑๓ ข้อ/ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ /อนุศาสนาจารย/์ ต้องรกั ษาศลี ๕ เป็นนติ ย์ ข้อ ๒ /อนุศาสนาจารย์/ ต้องตัง้ อยใู่ นธรรมของสตั บุรษุ / และกุศลกรรมบถ ๑๐ ขอ้ ๓ /อนศุ าสนาจารย/์ ต้องมีภรรยาเพยี งคนเดียว/ และตอ้ งเลีย้ งดคู รอบครวั โดยชอบธรรม ข้อ ๔ / อนุศาสนาจารย์/ ต้องไม่เขา้ ไปม่วั สุมในสาํ นักหญงิ แพศยา/ บอ่ นการพนนั / และสถานทีม่ กี ารเสพส่งิ เสพติด ขอ้ ๕ /อนศุ าสนาจารย์/ ตอ้ งงดเวน้ การประกอบมิจฉาชีพ/ และรับประกอบกิจ/ อันวิญญูชนพิจารณาแล้วตําหนิติเตียน ได้

๑๐๕ ข้อ ๖ /อนุศาสนาจารย์/ เม่ือประสงค์จะร้องเรียน/ขอความเป็นธรรมจากผู้ใหญ่/ต้องไม่ใช้บัตรสนเท่ห์/หรือเขียนคํา ขอร้อง/ตลอดจนขอ้ ความโจมตีผู้อ่ืนทางสือ่ ทกุ ชนดิ ข้อ ๗/ อนุศาสนาจารย์จะต้องไม่วิ่งเต้น/หรือร้องให้บุคคลภายนอกวงการอนุศาสนาจารย์/จําต้องโยกย้ายตน/ หรือ ยับยง้ั การโยกยา้ ยตน /ในเม่ือการกระทาํ นัน้ ขัดกับแผนการโยกยา้ ย/ ของสายวทิ ยาการอนศุ าสนาจารย์ ข้อ ๘ /อนศุ าสนาจารยจ์ ะต้องงดเว้นเด็ดขาด/ จาการแสดงตัวว่าเป็นคนมักได้/ รํ่าร้องขอบําเหน็จความชอบ/จากผู้ใหญ่ เพื่อตนเอง ขอ้ ๙/ อนศุ าสนาจารย/์ ไมพ่ งึ พกอาวุธ ขอ้ ๑๐/ อนุศาสนาจารย/์ ไมพ่ งึ เขา้ เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ข้อ ๑๑/ อนศุ าสนาจารย/์ ไม่พึงราํ วง/ เตน้ รํา ร้องเพลงโชว์/ ต่อยมวย/ แต่งแฟนซี /และออกปรากฏตัวในฐานะผู้แสดง ลิเก ละคร ขอ้ ๑๒ / อนศุ าสนาจารย/์ พงึ ตระหนักในการแตง่ กายให้สุภาพ/ และ ๑๒.๑ ในเวลาปฏิบัตริ าชการ/ แต่งเครือ่ งแบบใหค้ รบถว้ น ๑๒.๒ ไมไ่ วผ้ มยาวหรือตดั ผมแบบคาวบอย ๑๒.๓ เมอื่ สวมเส้ือแขนยาว ต้องไม่พบั แขน ๑๒.๔ เครอื่ งแต่งกายทุกสว่ น ตอ้ งไม่ใชส้ แี ละลวดลายทีฉ่ ูดฉาด ข้อ ๑๓/ อนุศาสนาจารย์จะต้องไม่ประพฤติตน/ เป็นปฏิปักษ์ต่อคณะสงฆ์นิกายใดนิกายหน่ึง/และเคารพเชิดชูโดย สมา่ํ เสมอกัน ดว้ ยอาํ นาจแห่งคาํ ปฏญิ ญาน้ี ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย/โปรดอํานวยพรให้ข้าพเจ้า/ เจริญรุ่งเรืองในวิชาชีพ อนศุ าสนาจารย/์ การรับราชการและมคี วามสขุ สวสั ด/ี ตลอดกาลนานเทอญ ฯ ๓. ลกั ษณะการปฏิบตั งิ านของอนศุ าสนาจารย์ ๓.๑ ปฏิบัตติ ามแผนงานทที่ ราบล่วงหนา้ ทัง้ ในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ๓.๒ ปฏิบัติงานตามกรณีและสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นโดยไม่มีแผนงานและไม่ทราบล่วงหน้าทั้งในวันเวลาราชการ และนอกวันเวลาราชการ ๓.๓ ปฏบิ ตั ิงานภายนอกหนว่ ย เชน่ การสอนอบรมและการปฏบิ ตั ิพธิ แี กห่ น่วยท่ไี มม่ ีอนุศาสนาจารย์ ๓.๔ ต้องปฏิบัติงานพิธีให้แก่ผู้บังคับบัญชาในส่วนบังคับบัญชาของกองทัพบก ตามที่สํานักงานเลขานุการ กองทัพบกประสานโดยตรง ๓.๕ ต้องปฏิบัติพิธีของอดีตผู้บังคับบัญชา และข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ของกองทัพบกท่ีเกษียณอายุราชการแล้ว เป็นครั้งคราวตามทไ่ี ด้รับการประสานโดยตรง ๓.๖ ต้องปฏิบัติงานให้ความร่วมมือแก่สถานศึกษา วัด องค์กรทางศาสนา และส่วนราชการ นอกกองทัพบกเป็น ครั้งคราวตามที่ได้รับการประสาน เช่น การร่วมอภิปรายธรรมะ การบรรยายธรรมะการปฏิบัติพิธี การเป็นกรรมการตัดสิน กจิ กรรมทางศาสนาวัฒนธรรมประเพณี ๓.๗ ต้องปฏิบัติงานทางธุรการที่เกี่ยวข้องกับงานเอกสาร วารสาร จุลสารทางจริยธรรมและการบันทึกเทป รายการทางสถานวี ทิ ยุและโทรทัศน์ ท่ีเก่ยี วข้อง ๓.๘ ต้องปฏิบัติงานให้คําแนะนําด้านขวัญกําลังใจและจริยธรรม การเยี่ยมพบปะครอบครัวทหาร ทหาร เจ็บปว่ ย การไหว้พระสวดมนตข์ องทหารในเวลา ๒๐๓๐

๑๐๖ ๓.๙ ต้องปฏิบัติงานในการกํากับหลักสูตรของกองทัพบกที่เกี่ยวกับจริยธรรม ซึ่งเปิดทําการศึกษาใน กรงุ เทพมหานคร และต่างจังหวัด ต้องกาํ กับดแู ลนอกวนั ราชการและนอกเวลาราชการ ๓.๑๐ ต้องสง่ อนุศาสนาจารย์ไปบรรยายอบรมทางศลี ธรรมวัฒนธรรมและปฏิบัติพธิ ี แกห่ น่วยที่ไมม่ อี นุศาสนาจารย์ ๓.๑๑ ต้องสอนในโรงเรียนเหล่าสายวิทยาการในวิชาการศาสนาและศีลธรรม ตามท่ีได้รับการประสาน รวมทั้ง การสอนในหลักสตู รทีก่ องอนศุ าสนาจารย์รบั ผดิ ชอบโดยตรง ๓.๑๒ ต้องบรรยายอบรมทางศีลธรรมแก่นักโทษในเรือนจําของฝ่ายพลเรือนที่พุทธสมาคม แห่งประเทศไทยใน พระบรมราชปู ถมั ภข์ อความชว่ ยเหลือ ๓.๑๓ ต้องสอนโรงเรยี นพทุ ธศาสนาวนั อาทิตย์ตลอดห้วงเวลาของหลกั สูตรในวันอาทติ ย์ ๓.๑๔ ตอ้ งบรรยายอบรมแก่พระนวกะ ตามท่ที างคณะสงฆ์ ขอความรว่ มมอื ในห้วงเวลาเข้าพรรษา ๓.๑๕ อนศุ าสนาจารย์ผูใ้ หญแ่ ละผูต้ ดิ ตาม ต้องออกตรวจกจิ การอนศุ าสนาจารย์ประจําปีตามห้วงเวลาตลอดทั้ง สีก่ องทพั ภาค ๔. การปฏบิ ตั ภิ ารกิจนอกเหนือจากภารกจิ หลกั ของอนศุ าสนาจารย์ ด้วยเหตุผลและความจําเป็นในการปฏิบัติภารกิจของอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษา-ทหารบก จึงได้มีหนังสือ ขอความร่วมมือไปยังหน่วยต่างๆ ไม่ให้มอบหมายภารกิจท่ีนอกเหนือจากภารกิจหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ ให้ อนุศาสนาจารยป์ ฏิบตั ิ (หนังสือ ยศ.ทบ. ท่ี ๒๕๐๓/๐๓ ลง ๒๙ ก.พ.๐๓) ซงึ่ นอกจากภารกิจบางอยา่ งไมเ่ หมาะสมกบั ภาวะ อนุศาสนาจารย์แล้ว ยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้อนุศาสนาจารย์ไม่มีเวลาเพียงพอท่ีจะปฏิบัติภารกิจหลักของตน เช่นการสอน บรรยายการพบปะเสนอแนะทางจริยธรรม การริเริ่มงานทางสายวิทยาการ การแก้ปัญหารายบุคคลของกําลังพลที่มีปัญหา การวางแผนป้องกันกําลังพลที่ไม่มีปัญหาไม่ให้มีปัญหา เป็นต้น ให้เรียบร้อยได้ทันเวลา ทั้งไม่มีเวลาท่ีจะค้นคว้าเตรียมการ สําหรับการสอน การบรรยายของตนด้วย ภารกิจที่กรมยุทธศึกษาทหารบก ขอความร่วมมือไปยังหน่วยต่าง ๆ ไม่ให้มอบให้ อนศุ าสนาจารยป์ ฏิบตั ิ คอื ๔.๑ การเปน็ ผจู้ ัดการโรงเรียนบตุ ร ทบ. ๔.๒ การเปน็ ผู้ควบคมุ รถนกั เรยี นและผโู้ ดยสาร ๔.๓ การเปน็ กรรมการจดั ซ้ือจัดขายส่ิงของ ๔.๔ การเปน็ กรรมการประกวดราคา ๔.๕ การเปน็ กรรมการตรวจรับสงิ่ ของประจําเดือน ๔.๖ การเป็นกรรมการสอบสวนลงโทษผู้กระทาํ ผิด ๔.๗ การเปน็ เจ้าหน้าท่เี หรัญญกิ หรอื ผเู้ ก็บรกั ษาเงิน อนึง่ นอกจากภารกิจท่ีกรมยุทธศึกษาทหารบกไดข้ อความรว่ มมอื ดงั กล่าวนั้นแล้ว ยังมีภารกิจอ่ืน ๆ ท่ีหน่วยไม่ ควรมอบหมายให้อนุศาสนาจารยป์ ฏบิ ัติ เช่น ๑) การเข้าเวรยาม ( ถ้ากรณีมีพิธศี พของขา้ ราชการ อศจ. จะละท้งิ เวรยามไม่ได้) ๒) การเข้าร่วมเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันท่ีมีการปฏิบัติต่อเน่ือง เช่น การเป็นกรรมการตัดสิน การแขง่ ขนั กฬี า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการปฏบิ ัตภิ ารกิจโดยตรงของอนุศาสนาจารย์

๑๐๗ ตอนท่ี ๒ อนุศาสนาจารยเ์ หลา่ ทัพ

๑๐๘ บทท่ี ๘ ตํานานอนศุ าสนาจารยท์ หารอากาศ เร่มิ แรกอบุ ัตขิ องอนุศาสนาจารย์ทหารอากาศ เมือ่ กองทพั อากาศยงั มฐี านะเป็นกรมอากาศยาน ยังมิได้มีอนุศาสนาจารย์บรรจุเข้ารับราชการประจําตําแหน่ง ได้ขอ ไปยังแผนกอนุศาสนาจารย์ กรมตําราทหารบก ให้ย้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาปฏิบัติหน้าท่ีอนุศาสนาจารย์ท่ีกรมอากาศ ยานคราวละ ๑ นายบ้าง ๒ นายบา้ ง เมือ่ อยไู่ ดป้ ระจาํ ครบ ๑ ปบี ้าง ๒ ปบี า้ ง ก็มกี ารสับเปลย่ี นกันครง้ั หนึ่ง เปน็ เชน่ นี้เรอื่ ยมา อนศุ าสนาจารยก์ รมอากาศยาน ๑. อนุศาสนาจารย์ ทบ. คนแรกท่ีย้ายมาอยู่ประจําท่ีกรมอากาศยาน คือ รองอํามาตย์ตรี กถิน อัตถโยธิน ย้ายตาม คําส่ัง ทบ.ที่ ๗๖/๗๕๒๑ ลงวันท่ี ๒๗ มิ.ย. ๒๔๖๖ ท่านรับราชการอยู่ท่ีกรมอากาศยานครบ ๒ ปี แล้วย้ายกลับไปอยู่แผนก อนศุ าสนาจารย์ กรมตําราทหารบก ตามคาํ สัง่ ทบ.ท่ี ๑๓๖/๑๗๘๗๕ ลงวนั ท่ี ๒๑ พ.ย. ๒๔๖๘ ขณะที่ท่านย้ายกลับนี้ ท่านได้ เล่อื นยศเปน็ รองอาํ มาตย์โท แลว้ ๒. อนุศาสนาจารย์ที่ย้ายมาประจํากรมอากาศยานคนต่อไปคือ รองอํามาตย์ตรี ดรุน สุทธาชีพ ย้ายตามคําส่ัง ทบ. ที่ ๑๓๖/๑๗๘๗๕ ลงวันที่ ๒๑ พ.ย. ๒๔๖๘ ๓. และในปลายปี ๖๘ น้ัน ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์ตรี กมล มโนชญากร ให้มารับราชการประจํากรมอากาศยาน ตามคาํ สั่ง ทบ.ท่ี ๒๑๑/๒๖๘๕๐ ลงวนั ที่ ๒๓ มี.ค. ๒๔๖๘ (ในปีน้ีกรมอากาศยานมี อศจ. ๒ นาย) ๔. ต้นปี ๖๙ ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์ตรี ดรุณ สุทธาชีพ จากกรมอากาศยาน ให้ไปเป็นอนุศาสนาจารย์ ประจํา กองบินใหญ่ที่ ๑ โคกกระเทียม ตามคําส่ังของกรมอากาศยาน (คอ.) ท่ี ๑๓/๔๕๘ ลงวันที่ ๒๙ เม.ย. ๖๙ (ปี ๖๙ น้ีแผนก อนุศาสนาจารย์ทหารบก ยา้ ยสังกดั จากกรมตาํ ราทหารบก ไปข้ึนกรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก มีชอื่ ยอ่ เรยี กว่า ยศ. ๔) ๕. ต้นปี ๗๐ ไดม้ คี าํ สง่ั ย้าย รองอาํ มาตยต์ รี กมล มโนชญากร ไปรับราชการที่มณฑลพายัพ ตามคําสั่ง ทบ.ที่ ๑๐๔/ ๘๔๕๖ ลงวันท่ี ๓๐ ก.ค. ๗๐ จึงย้าย รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสด์ิ มารับราชการในกรมอากาศยานแทน ตามคําส่ัง ทบ. ที่ ๑๑๔/๑๐๑๖๑ ลงวนั ท่ี ๒๓ ส.ค. ๗๐ ๖. ต้นปี ๗๑ ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม จากกรมยุทธศึกษาทหารบกมาเป็นอนุศาสนาจารย์กรม อากาศยาน และในคําสั่งอันเดียวกันน้ีให้ย้าย รองอํามาตย์โท ดรุณ สุทธาชีพ จากกองบินใหญ่ท่ี ๑ โคกกระเทียม กลับไปอยู่ แผนกอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ตามคําส่ัง ทบ. ท่ี ๔๗/๒๒๕๔ ลงวันท่ี ๙ พ.ค. ๗๑ เม่ือ รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม ได้ศึกษางานกับ รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสด์ิ ท่ีกรมอากาศยานดีแล้ว จึงมีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสดิ์ จากกรมอากาศยาน ให้ไปอยู่ประจาํ กองบินใหญ่ท่ี ๑ โคกกระเทยี ม แทน รองอํามาตยโ์ ท ดรณุ สุทธาชีพ ตามคําสั่ง กรมอากาศยาน (คอ.) ท่ี ๔๕/๑๔๔๗ ลงวนั ท่ี ๒๒ มิ.ย. ๗๑ ๗. ปลายปี ๗๒ ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์โท กถิน อัตถโยธิน จากกรมยุทธศึกษาทหารบก มารับราชการในกรม อากาศยาน ตามคําส่ัง ทบ. ที่ ๑๐๘/๗๘๙๔ ลงวันท่ี ๒๕ พ.ย. ๗๒ และในคําส่ังเดียวกันนี้ ให้ย้าย รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสด์ิ จากกองบิน ๑ กลับไปกรมยุทธศึกษาทหารบก และในปลายเดือนนั้นเอง กรมอากาศยานก็ได้ออกคําสั่งย้าย รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม จากกรมอากาศยานให้ไปประจําอยู่กองบินใหญ่ที่ ๑ โคกกระเทียม แทนรองอํามาตย์โท เวียร พลู สวัสดิ์ ๘. ต้นปี ๗๓ ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์โท จรูญ สุวรรณเนตร จากกรมยุทธศึกษาทหารบก มารับราชการในกรม อากาศยาน ตามคําส่ัง ทบ.ที่ ๔๑/๒๒๓๐ ลงวันที่ ๒๖ พ.ค. ๗๓ และในคําสั่งเดียวกันนี้ ให้ย้าย รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม

๑๐๙ จากกองบินใหญ่ท่ี ๑ กลับไปกรมยุทธศึกษาทหารบก ย้ายรองอํามาตย์เอก กถิน อัตถโยธิน จากกรมอากาศยาน ไปประจํา อยกู่ องบินใหญ่ที่ ๑ แทนรองอาํ มาตย์โท โปรง่ พีรคัม ๙. รองอํามาตย์โท จรูญ สุวรรณเนตร รับราชการอยู่ในกรมอากาศยานจนถึงปี ๒๔๗๕ จึงย้ายกลับไปกรมยุทธ ศึกษาทหารบก แล้วมีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์โท เมฆ อําไพจริต มารับราชการในกรมอากาศยานตามรคําส่ัง ทบ.ท่ี ..........ลง วันที่ ๓๐ ส.ค. ๗๕ ช่วงระยะเวลาตอนนี้ ได้มีเหตุการณ์สําคัญๆ เกิดขึ้น คือมีการปฏิวัติโดยคณะราษฎร์ ติดตามมาโดยการ ปราบกบฏ สงครามอินโดจนี และสงครามมหาเอเชยี บูรพา หน้าทข่ี อง อศจ. กรมอากาศยาน หน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ เมื่อมาประจําอยู่กรมอากาศยาน มีปรากฏอยู่ในหนังสือประมวลข้อบังคับสําหรับกม อากาศยานภาค ๒ หน้า ๑๐ ดงั นี้ มาตรา ๔ หน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ อนศุ าสนาจารย์สาํ หรับกรมอากาศยาน มีหนา้ ท่ีโดยละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้คอื ข้อ ๑ อบรมส่งเสริมให้บุคคลผู้ที่อยู่ในความคุ้มครองของกรมอากาศยานเป็นพลเมืองดี ทั้งให้ตั้งมั่นอยู่ในความ ประพฤติดี มีจรรยาและมารยาทอันงาม กับให้ผู้ซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนาตามบรรพบุรุษของตนนั้น มีความศรัทธาเชื่อม่ัน ย่ิงขึ้นในธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีหน้าที่ชักจูงให้ผู้ที่นับถือลัทธิความเช่ืออย่างอ่ืนกลับมาถือ พระพุทธศาสนา เพราะราชการมไิ ดป้ ระสงค์จะบงั คับนา้ํ ใจผู้ใดในทางลทั ธคิ วามเชือ่ ข้อ ๒ ฟังคําปรับทุกข์ของบุคคลผู้มีความทุกข์ร้อนอย่างใดอย่างหน่ึงและมีความประสงค์จะปรับทุกข์ เม่ือได้ทราบ ความทุกข์ร้อนของผู้ใดแล้ว พยายามปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนของผู้น้ันด้วยโอวาทของตนน่าจะปลดเปล้ือง ก็ให้บอกเล่า ชีแ้ จงแกผ่ ใู้ หญ่ผมู้ ีหนา้ ท่บี ังคับบญั ชาน้นั ๆ ตอ่ ไป ข้อ ๓ ไปเย่ียมเยือนตามเรือนแถวต่างๆ ตามโอกาส เพ่ือสนทนาปราศรัยไต่ถามความสุข ทุกข์ อันเป็นทางนําให้เกิด ความชอบพอสนิทสนมแล้ว และถือโอกาสน้ีแนะนําในข้อที่ควรแนะ ตักเตือนในข้อที่ควรตักเตือน ตลอดถึงการช้ีแจงในเร่ือง สขุ าภบิ าลดว้ ย ขอ้ ๔ อบรมเดก็ นักเรียนในโรงเรยี นวัดดอนเมอื งดว้ ยจรรยาอันดี เพ่อื ใหเ้ ปน็ พลเมืองดตี อ่ ไปในภายหน้า ในการนี้ควร หาโอกาสทําใหไ้ ด้ในสปั ดาหห์ น่งึ คร้ังหรอื สองคร้งั เป็นอย่างน้อย ข้อ ๕ ในเดือนหนึ่ง ควรนํากองทหารต่างๆ ไหว้พระสวดมนต์ในเวลาสักครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย นอกจากน้ี ก่อนแต่ จะทําการไหว้พระสวดมนต์ก็ดี ภายหลังจากทําการไหว้พระสวดมนต์แล้วก็ดี ควรถือเอาโอกาสนั้นเพียงเล็กน้อยสั่งสอน ให้ บงั เกดิ ศรัทธาเล่ือมใสในพระรตั นตรยั ย่งิ ขน้ึ ขอ้ ๖ เมื่อมีโอกาสไปเยีย่ มตามกองบนิ ตา่ งๆ ที่ตั้งอยตู่ ่างตําบล เมอื่ กลับจากการไปเย่ียมครั้งหน่ึงแล้ว ต้องทํารายงาน เสนอผบู้ งั คบั บญั ชาว่า ได้ทําการอยา่ งไรบ้าง ข้อ ๗ นอกจากหน้าท่ีอันเน่ืองด้วยการอบรมดังแสดงมานี้แล้ว ยังมีกิจอย่างอ่ืนอีกอันเก่ียวกับเอกสารท่ีสําคัญๆ ซ่ึง แลว้ แต่ผู้บังคับบัญชาจะกําหนดให้ อนศุ าสนาจารย์ทหารอากาศในยคุ (สธ.ทอ. ๓) ๑๐ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีการยกฐานะกรมอากาศยานขึ้นเป็นกองทัพอากาศในปีนั้น ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์โท ขุนเวยี รวรี ธรรม (เวยี ร พูลสวัสด)์ิ จาก ยศ. ๔ คือจากแผนกอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ซ่ึงเรียกช่ือย่อว่า ยศ. ๔ ให้มารับราชการในกองทัพอากาศ ขึ้นสังกัด สธ.ทอ. ๓ ตามคําส่ังทหารที่ ๙๘/๕๘๑๐ ลงวันท่ี ๖ ก.ค. ๘๑ จึงถือว่า อนุศาสนาจารย์ของกองทัพอากาศคนแรกคือ รองอํามาตย์โท ขุนเวียรวีรธรรม และเป็นที่น่าสังเกตว่าการจัดส่วนราชการ

๑๑๐ ของอนุศาสนาจารย์คร้ังแรกนั้น ตรงกับการจัดส่วนราชการอนุศาสนาจารย์ของกองทัพอากาศอเมริกัน คือ จัดให้ อนศุ าสนาจารยข์ ึ้นกบั ส่วนบญั ชาการ ๑๑. ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์โท ขุนสุทธธรรมประภาษ (ดรุณ สุทธาชีพ) จาก ยศ.๔ มาเป็น อนุศาสนาจารย์ประจํา สธ.ทอ. ๓ ตามคําส่ังทหารที่ ๔/๑๖๗ ลงวันท่ี ๔ ม.ค. ๘๔ (ยศครั้งสุดท้ายเม่ือครบเกษียณอายุ ราชการ เปน็ นาวาอากาศเอก) ๑๒. นบั แต่ปี ๘๒ เปน็ ต้นมา ได้มีคําสง่ั ทหารให้เรยี กคาํ นาํ หนา้ ชือ่ วา่ “มหา” ยกเวน้ ผทู้ ไ่ี ด้รับยศหรอื บรรดาศักดิ์ เชน่ รองอาํ มาตย์โท ขนุ ..................ไม่ต้องเรียกคําหน้าช่ือวา่ มหา ดังน้นั ชื่ออนุศาสนาจารย์ ตอ่ ไปน้จี งึ มคี าํ นาํ หน้าชอ่ื ว่า มหา และกองทัพอากาศไดท้ ําการสอบคัดเลือกอนุศาสนาจารยแ์ ล้วบรรจุเอง ไมข่ อจากกรมยทุ ธศึกษาทหารบกอยา่ งแตก่ ่อน เริม่ ตน้ จากมหาสุจรสั กวีวฒั นา (ตอ่ มามียศเป็นนาวาอากาศเอก) ยา้ ยมาจากกรมชา่ งอากาศมารับราชการใน สธ.ทอ. ๓ บรรจุเลื่อนช้นั เปน็ อนศุ าสนาจารย์ ตามคําสงั่ ทหารท่ี ๓๓๖/๒๔๐๐ ลงวนั ท่ี ๓๐ ก.ย. ๘๖ ครนั้ พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านไดย้ ้ายจาก อนศุ าสนาจารย์ไปประจําแผนกทะเบยี นพลกองทัพอากาศ ตามคําส่งั ทอ.ท่ี ๖๕/๒๖๑๐ ลงวันที่ ๑๕ ม.ี ค. ๘๙ ๑๓. มหาสม ประพันธโรจน์ ย้ายจากแผนกโยธาพาหนะ (ยพ.ทอ.) มารบั ราชการใน สธ.ทอ. ๓ ตามคําสงั่ ทอ.ท่ี ๔๒/ ๑๒๑ ลงวนั ท่ี ๑๖ ก.พ.๘๘ และเลอ่ื นช้ันเป็นข้าราชการสญั ญาบตั รตามคําส่งั ทหารที่ ๑๗๔/๘๔๓๐ ลงวันที่ ๒๑ ก.ค. ๘๘ (ถงึ แก่กรรมเมื่อ ๓๐ ส.ค. ๐๗ ขณะถึงแก่กรรมมียศเป็นนาวาอากาศโท) ๑๔. มหาสละ มีลักษณะ (ยศคร้ังสุดท้ายเมื่อครบเกษียณอายุราชการ นาวาอากาศเอก) บรรจุเป็นข้าราชการใน สธ. ทอ. ๓ ตามคําส่ัง ทอ.ที่ ๔๒/๑๒๑๑ แล้วเลื่อนเป็นข้าราชการสัญญาบัตร ตามคําสั่งทหารที่ ๑๗๔/๘๔๓ ลงวันที่ ๒๑ ก.ค. ๘๘ ๑๕. มหาแยม้ ประพัฒน์ทอง (ยศคร้ังสุดทา้ ยเมอ่ื ครบเกษียณอายรุ าชการ นาวาอากาศเอก) ย้ายจากอนศุ าสนาจารย์ กองทัพบก มารับราชการใน สธ.ทอ. ๓ ตามคาํ สง่ั ทหารที่ ๙๒/๕๙๑๑ ลงวนั ท่ี ๒๐ เม.ย. ๘๙ ๑๖. รองอาํ มาตย์โท เมฆ อําไพจริต (ยศครั้งสุดทา้ ยเม่อื ครบเกษยี ณอายรุ าชการ นาวาอากาศเอก) กลับเข้ารับ ราชการเปน็ อนศุ าสนาจารย์ สธ.ทอ. ๓ ตามคําส่ังทหารที่ ๒๑๖/๑๕๒๑๐ ลงวันท่ี ๑๑ ต.ค. ๘๙ ยุคกรมยุทธศกึ ษาทหารอากาศ ตามอัตรา ทอ. ๙๑ กองทัพอากาศได้ย้ายอัตราอนุศาสนาจารย์ซึ่งเคยข้ึนกับ สธ.ทอ. ๓ อันเป็นส่วนบัญชาการ มา ข้ึนกับกรมยุทธศึกษาทหารอากาศอันเป็นส่วนการศึกษา โดยเป็นแผนกอนุศาสนาจารย์ ต่อมาอัตรา ทอ. ๙๕ ได้ยกฐานะขึ้น เป็นกองอนุศาสนาจารยม์ าจนถึงปจั จบุ ันนี้ อนุศาสนาจารย์ไดร้ ับยศทหาร กระทรวงกลาโหม ไดอ้ อกกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๔๙๖ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ยิ ศทหาร พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้มีบท เฉพาะกาลแต่งต้ังยศทหารให้แก่ข้าราชการกลาโหมพลเรือน ซ่ึงเป็นข้าราชการมาก่อนวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๙๖ ทั้งหมด ในการน้ี อนศุ าสนาจารยก์ องทพั อากาศซง่ึ เป็นขา้ ราชการกลาโหมพลเรือนมาแต่เดิม จึงได้รับคําสั่งให้เข้าโรงเรียนกลาโหมพล เรือนสัญญาบัตรร่วมกับข้าราชการกลาโหมพลเรือนเหล่าอ่ืนๆ รับการฝึกอบรมวิชาทหารและวิชาอื่นๆ ประมาณ ๒ เดือน แล้วจึงให้รับการแต่งตั้งยศทหาร ตามคําสั่งกลาโหมที่ ๔๘/๖๐๕๕ ลงวันที่ ๑๙ มี.ค. ๙๘ เร่ือง การแต่งต้ังยศข้าราชการ กลาโหมพลเรือนเป็นนายทหารสัญญาบตั ร มผี ไู้ ดร้ บั พระราชทานแตง่ ตง้ั ยศทหารในคร้งั นัน้ คอื ๑. รองอาํ มาตยโ์ ท ขุนสทุ ธรรมประภาษ เป็น วา่ ทน่ี าวาอากาศเอก ๒. มหาแย้ม ประพฒั นท์ อง เป็น ว่าทน่ี าวาอากาศโท ๓. รองอาํ มาตย์โท เมฆ อาํ ไพจรติ เป็น ว่าทนี่ าวาอากาศตรี

๑๑๑ ๔. มหาสละ มีลักษณะ เปน็ วา่ ทน่ี าวาอากาศตรี ๕. มหาบุญมี จรุงคนธ์ เป็น วา่ ทเี่ รืออากาศโท ๖. มหาภักดี พยุงผล เปน็ ว่าทีเ่ รอื อากาศโท ๗. มหากติ ติศักด์ิ ฉิมบันเทงิ เปน็ วา่ ทีเ่ รอื อากาศตรี ๘. มหาสมยั สงิ หศ์ ริ ิ เปน็ ว่าที่เรืออากาศตรี สถานทตี่ ง้ั หนว่ ยอนุศาสนาจารย์ ปี ๘๑ ในยุคท่ีอนุศาสนาจารย์ทหารอากาศข้ึนอยู่กับ สธ.ทอ. ๓ น้ัน สถานท่ีทํางานอยู่ตึก บก.ทอ.(หลังเก่ารื้อแล้ว) เม่ือ ๘ ธ.ค. ๘๔ เกิดสงครามอินโดจีนต่อด้วยสงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อมาในปี ๘๗ อนุศาสนาจารย์ได้รับคําสั่งให้อพยพ หลบภัยสงคราม ย้ายสถานที่ไปอยู่บนป่าสะแก ตําบลหลักส่ี จนถึง ๑๗ ส.ค. ๘๘ ญ่ีปุ่นยอมแพ้ สงครามยุติลง อนุศาสนาจารย์ได้รับคําส่ังให้กลับเข้าสู่ท่ีต้ังกับ สธ.ทอ. ๓ อยู่ตึกอาคารเหลือง (ต่อมาเป็นโรงเรียนนายเรืออากาศ และ ปัจจุบันเป็นกรมสวัสดิการทหารอากาศ) อัตรา ทอ. ๙๑ กองทัพอากาศได้แก้อัตราอนุศาสนาจารย์ให้มาขึ้นกรมยุทธศึกษา ทหารอากาศ จึงย้ายจากอาคารตึกเหลืองมาอยู่ท่ีอาคาร รร.ผบ.หมวด ปี ๙๖ ย้ายไปอยู่อาคาร พธ.ยศ.ทอ. (หลังเก่าที่ร้ือไป แล้ว) ปี ๙๗ ย้ายไปอยู่อาคาร วทอ. (หลังเก่ารื้อไปแล้ว อยู่คนละซึกกับฝ่ายกรเงิน) ปี ๐๙ ย้ายไปอยู่อาคารกองการศึกษา และปี ๑๓ ย้ายมาอยอู่ าคาร ยศ.ทอ. สรา้ งใหม่ในปัจจุบนั น้ี

๑๑๒ ทาํ เนยี บ ผอ.กอศ.ยศ.ทอ. 1. รองอํามาตยโ์ ท ขนุ เวียรวีรธรรม (พ.ศ.2481 - 2488) 2. น.อ. ขุนสทุ ธธรรมประภาษ 3. น.อ. เมฆ อําไพจรติ 4. น.อ. แย้ม ประพฒั นท์ อง (พ.ศ.2488 - 2499) (พ.ศ.2499 - 2505) (พ.ศ.2505 - 2513) 5. น.อ. สละ มีลกั ษณะ 6. น.อ. ภกั ดี พยงุ ผล 7. น.อ. กติ ตศิ กั ดิ์ ฉมิ บรรเทงิ (พ.ศ.2513 - 2516) (พ.ศ.2516 - 2522) (พ.ศ.2522 - 2525)

๑๑๓ 8. น.อ. สมัย สงิ หศ์ ิริ 9. น.อ. ธาํ รง อัครพฒั น์ 10. น.อ. สนทิ รอดเงนิ (พ.ศ.2525 - 2526) (พ.ศ.2526 - 2527) (พ.ศ.2527 - 2531) 11. น.อ. ทองสขุ จทัชบตุ ร 12. น.อ. ถวิล อม่ิ ใจพงษ์ 13. น.อ. ปนาถ ประสาทอดศิ กั ด์ิ (พ.ศ.2531 - 2533) (พ.ศ.2533 - 2536) (พ.ศ.2536 - 2537) 14. น.อ. โกวทิ ทวชิ าตวรบตุ ร 15. น.อ. สงบ จารนยั 16. น.อ. ประทปี สาวาโย (พ.ศ.2537 - 2539) (พ.ศ.2539 - 2540) (พ.ศ.2540 - 2542) 17. น.อ. เฉลา บญุ ประเสรฐิ 18. น.อ. เฉลยี ว สงั ฆมณี 19. น.อ.พลู ชยั บญุ ปก (พ.ศ.2542 - 2544) (พ.ศ.2544 - 2546) (พ.ศ.2546 - 2547)

๑๑๔ 20. น.อ. เกษม แกว้ วเิ ศษ 21. น.อ. สรุ นิ ทร์ คุม้ จนั่ 22. น.อ. จวน ทรงภูมิ (พ.ศ.2547 - 2549) (พ.ศ.2549 - 2554) (พ.ศ.2554 - 2555) 23. น.อ. วันชัย บญุ ภกั ดี 2๔. น.อ. ปรชี า วรวชั รญาณ (พ.ศ.2555 – 2560) (พ.ศ.25๖๐ – ปจั จบุ นั )

๑๑๕ บทที่ ๙ ตาํ นานอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ .......................... อนุศาสนาจารย์ทหารเรือเริ่มก่อกําเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๖๗ ในสมัย พล.ร.อ.สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงนครราชสมี า ทรงเปน็ ผู้สําเรจ็ ราชการกระทรวงทหารเรือ มปี ระวัตคิ วามเปน็ มาดังน้ี จดุ เริ่มความคิดทจ่ี ะมีอนุศาสนาจารยท์ หารเรอื เม่อื พ.ศ. ๒๔๖๖ พล.ร.อ. สมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา (ชาวทหารเรือเรียกพระนามเป็น การภายในว่า “ทูลกระหม่อม อัษฎางค์”) ขณะทรงดํารงตําแหน่งผู้สําเร็จราชการกระทรวงทหารเรือ ได้เสด็จเมืองสิงคโปร์ และปีนังเป็นทางราชการ โดยเรือหลวงพระท่ีน่ังจักรี ในขบวนเสด็จมีทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนและข้าราช บรพิ ารในพระองค์ ในจํานวนข้าราชบริพารที่ตามเสดจ็ นน้ั มี นายวงศ์ เชาวนะกวี ด้วยผหู้ นึง่ ทพ่ี ระองคท์ รงรับสัง่ ใหต้ ามเสด็จอย่างใกลช้ ดิ นายวงศ์ เชาวนะกวี ผนู้ ีเ้ คยบวชเป็นเปรียญ มี ความรอบรู้ทางศาสนากวา้ งขวางและสามารถพดู ภาษามลายใู ชก้ ารได้ ในระหว่างเดินทางค้างแรมอยู่ในเรือพระท่ีนั่งนั้น ทูลกระหม่อมฯ จะทรงหาโอกาสช่วงเวลาท่ีว่างจากราชการและ ภารกจิ อืน่ รับสงั่ ให้นายวงศ์ เชาวนะกวี แสดงธรรมใหบ้ รรดาผทู้ ่ีอยใู่ นเรอื ทงั้ ทหารและพลเรือนฟังเป็นประจาํ และพระองค์ก็ จะประทับฟังอยู่ด้วย ทั้งทรงพระเมตตาให้จัดของสมนาคุณซึ่งเปรียบเสมือนกัณฑ์เทศน์ประทานทุกคร้ังท่ีมีการแสดงธรรม นายวงศ์ เชาวนะกวี กท็ ําหน้าที่ดว้ ยความสามารถแสดงธรรมเป็นท่ีนิยมชมชอบของที่ประชุมทุกคราว สําหรับทูลกระหม่อมฯ กท็ รงเบกิ บานและพอพระทัยในลลี าการแสดงธรรมมาก จึงทรงโปรดปราน นายวงศ์ เชาวนะกวี เปน็ พิเศษ จากความเบิกบานพระทัยในพระธรรมทท่ี รงได้รับในระหว่างประทับค้างแรมอยู่ในเรือพระท่ีนั่งในน่านทะเลนี่เอง ทํา ให้ทรงคิดถึงทหารเรือขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทะเลหลวงว่า ในยามท่ีว่างจากภารกิจประจําวัน หากไม่มีอะไรเป็นท่ี เพลิดเพลินหรือเป็นที่ยึดเหน่ียวทางใจแล้ว คงจะเหงาหงอยไม่น้อย เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ํากับฟ้า ในยาม เช่นน้ัน หากจะได้มีผู้รู้ทางศาสนามาพูดคุยอะไรให้ฟังเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาหรือเป็นข้อคิดสะกิดใจก็คงจะคลาย ความเหงาหงอยลงได้ และคงจะแกป้ ัญหาอ่ืนๆ ได้อกี มาก ครั้นแลว้ กท็ รงเกบ็ ความนึกคดิ เชน่ น้ันไว้ในพระทยั ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๔๖๗ ในการประชมุ ปรึกษาข้อราชการของกระทรวงทหารเรอื คราวหนึ่งซึ่งทูลกระหม่อมฯ ทรงเป็น ประธานทป่ี ระชุม หลงั จากได้ปรกึ ษาขอ้ ราชการอนื่ ๆ กันแล้ว ในตอนสุดท้ายทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงยกเร่ืองอนุศาสนาจารย์ ขึ้นหารือในที่ประชุมว่า ทหารบกได้จัดให้มีอนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพเพ่ืออบรมจิตใจและบํารุงขวัญทหารมาหลายปี แล้ว แต่ทหารเรือยังไม่มี ควรจะได้จัดให้มีขึ้นบ้าง เพื่อจะได้ทําหน้าท่ีอบรมสั่งสอนทหารให้ยึดม่ันอยู่ในศีลธรรมจรรยา เพ่ิมพูนขวัญและกําลังใจให้มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ยังจะได้ช่วยปฏิบัติพิธีต่าง ๆ ทางศาสนาด้วย หากจะจัดให้มีอนุศาสนาจารย์ข้ึนได้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่กองทัพมิใช่น้อย ท่ีประชุมกระทรวงทหารเรือในคราวนั้นล้วน ประกอบดว้ ยนายทหารผู้ใหญ่ อาทิ พล.ร.ต. พระยาปรชี าชลยุทธ ผูบ้ ัญชาการทหารเรือ พล.ร.ต. พระยาราชวงั สัน เสนาธกิ ารทหารเรอื พล.ร.ต. พระยาศรยทุ ธเสนี เจา้ กรมสรรพาวธุ ทหารเรือ พล.ร.ต. พระยาฤทธิรุทธคาํ รณ เจา้ กรมอู่ทหารเรือ พล.ร.ต. พระยาหาญหลวงสมุทร เจา้ กรมชมุ พลทหารเรือ

๑๑๖ นอกจากนี้ยังมีนายทหารผู้ใหญ่อื่นอีกหลายท่านได้ปรึกษาหารือกัน แล้วในท่ีสุดตกลงว่า กองทัพเรือควรมีอนุศาสนาจารย์ได้ ครั้นแล้วประธานที่ประชุมคือทูลกระหม่อมฯ จึงทรงหารือต่อไปว่า เมื่อที่ประชุมตกลงรับหลักการในเร่ืองนี้แล้ว ก็ควรจะ พิจารณาเลือกเฟ้นหาผู้สามารถท่ีจะมาเป็นอนุศาสนาจารย์ต่อไป พล.ร.ต.พระยาราชวังสัน เสนาธิการทหารเรือ ได้เสนอช่ือ นายวงศ์ เชาวนะกวี ต่อทปี่ ระชมุ ทนั ที ท่ปี ระชุมเห็นชอบตามช่ือทเี่ สนาธิการทหารเรือเสนอเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีผู้ใดอภิปราย เพราะทุกท่านในทีป่ ระชุมนัน้ ทราบกติ ติศัพทค์ วามสามารถของ นายวงศ์ เชาวนะกวี ดีอยแู่ ลว้ เมื่อเลิกประชุมทูลกระหม่อมฯ ก็เสด็จกลับพระตําหนักวังสวนกุหลาบ หลังเสด็จกลับได้ไม่นานก็ได้มีรับส่ังให้หาตัว นายวงศ์ เชาวนะกวี เข้าเฝ้า คร้ันนายวงศ์ฯ เข้าเฝ้าแล้วทรงรับสั่งว่า “น่ี นายวงศ์ฯ เขาจะเอาแกเป็นอนุศาสนาจารย์ละนะ แกจะเอาไหม แกจะเป็นไดไ้ หม” นายวงศฯ์ พอไดฟ้ ังรับส่ังเช่นนั้น ก็ได้ทลู ตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า เร่ืองน้ีข้าพระพุทธเจ้า ขอนําไปคิดดูก่อนว่า จะมีความสามารถเป็นอนุศาสนาจารย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุว่างานอนุศาสนาจารย์เป็นงานละเอียดอ่อน ตอ้ งใชส้ ตปิ ญั ญามาก ท้งั ความรู้ความสามารถของข้าพเจ้าก็ยังมีน้อย เกรงว่าจะรับสนองงานน้ีได้ไม่สมความมุ่งหมายของทาง ราชการ ครนั้ แลว้ ทลู กระหม่อมฯ ได้ทรงรับสั่งว่า “เอ้า ถ้าอยา่ งนนั้ แกลองนาํ เรื่องนี้ไปคดิ ดูกอ่ น” ชั่วเวลาไมน่ าน นายวงศ์ เชาวนะกวี ก็ตกลงใจว่าจะลองใชค้ วามสามารถดู จงึ ได้เขา้ เฝ้ากราบทลู ใหท้ รงทราบถึงความ ตกลงใจที่จะรับเป็นอนุศาสนาจารย์ได้ เมื่อทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงทราบความตกลงใจเช่นน้ัน ก็ทรงพอพระทัยและรับสั่งว่า “ถ้าอย่างน้ัน แกกลับไปร่างโครงการเอามาให้ดูอีกทีว่าควรจะดําเนินการอย่างไรต่อไป” หลังจากนั้น นายวงศ์ฯ ก็ได้ร่าง โครงการอนุศาสนาจารย์พร้อมท้ังแผนปฏิบัติงาน ทูลเสนอเพ่ือทรงพิจารณา เมื่อได้ทอดพระเนตรร่างนั้นแล้วก็ทรงเห็นชอบ ไดท้ รงบันทกึ ไวเ้ ปน็ หลักฐานวา่ “ใหใ้ ชต้ ามน”ี้ และลงพระนามวา่ “อษั ฎางค์” เริม่ กจิ การอนุศาสนาจารย์ทหารเรอื ครง้ั แรก เม่ือกระทรวงทหารเรือ เห็นชอบในร่างโครงการอนุศาสนาจารย์ตามท่ีนายวงศ์ เชาวนะกวี เสนอนั้นแล้วก็ได้มีคําสั่ง ให้นายวงศ์ เชาวนะกวี เข้าทดลองปฏิบัติราชการอยู่ก่อน ๑๕ วัน โดยให้น่ังทํางานอยู่ท่ีกระทรวงทหารเรือเป็นครั้งแรก กระทรวงทหารเรือในครั้งน้ัน ตั้งอยู่ระหว่างกรมอู่ทหารเรือและราชนาวิกสภาในปัจจุบัน ระหว่าง ๑๕ วันที่ทดลองปฏิบัติ ราชการอยู่นั้น พล.ร.ต.พระยาปรีชาชลยุทธ ผู้บัญชาการทหารเรือให้อ่าน ข.ทร.(ข้อบังคับทหารเรือ) เมื่อนายวงศ์ เชาวนะกวี ทดลองปฏิบัติราชการครบ ๑๕ วันแล้ว จึงมีคําสั่งบรรจุเป็นอนุศาสนาจารย์ เมื่อวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยให้ได้รับ เงินเดือนๆ ละ ๕๐ บาท จึงเป็นอันถือได้ว่าอนุศาสนาจารย์ทหารเรือได้ก่อกําเนิดข้ึนเมื่อวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ อัน เป็นวันท่กี ระทรวงทหารเรอื มีคําสงั่ บรรจุ นายวงศ์ เชาวนะกวี เป็นอนศุ าสนาจารย์ นน่ั เอง การเรียกขานช่ืออนุศาสนาจารย์ในสมัยน้ัน ทางราชการกําหนดให้เรียก “มหา” นําหน้าช่ือตามภูมิความรู้ท่ีเปรียญ ไม่ใช้ “นาย” นําหน้าช่ือเหมือนข้าราชการพลเรือนอื่น แม้ในการลงนามในหนังสือราชการอนุศาสนาจารย์ก็ต้องใช้ “มหา” นําหน้าช่ือเช่นเดียวกัน การใช้ “มหา” นําหน้าช่ืออนุศาสนาจารย์เพิ่งมาเลิกใช้เม่ือตอนท่ีอนุศาสนาจารย์เปลี่ยนสภาพจาก ขา้ ราชการพลเรอื นมาเป็นข้าราชการทหาร โดยใช้ ยศ นําหนา้ ช่อื แทนเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๗ นี่เอง แต่กระน้ันผู้ที่เคยเรียก “มหา” นําหน้าชื่ออนศุ าสนาจารยจ์ นเคยชนิ แล้ว ก็คงเรียกอนุศาสนาจารย์วา่ “มหา” ตดิ ปากอย่นู ่นั เอง ฐานะอนศุ าสนาจารยใ์ นระยะเร่มิ ตน้ กิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือในระยะเร่ิมต้น มีฐานะเป็นเพียง “อนุศาสนาจารย์” สังกัดอยู่ในกรมเสนาธิการ ทหารเรือ ยังไม่ได้ยกฐานะข้ึนเป็นแผนกหรือเป็นกองอย่างในปัจจุบัน และมีอนุศาสนาจารย์เพียงคนเดียวคือ มหาวงศ์ เชาว นะกวี ด้วยปรีชาสามารถในการปฏิบัติหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือคนแรก ความนิยมเล่ือมใสในกิจการ อนุศาสนาจารย์ได้แพร่หลายไปในหมู่ทหารเรืออย่างรวดเร็ว มีหน่วยต่างๆ ร้องขอรับบริการจากอนุศาสนาจารย์มากข้ึน

๑๑๗ อนุศาสนาจารย์คนเดียวจึงมีงานล้นมือ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๙-๒๔๗๙ กองทัพเรือได้บรรจุอนุศาสนาจารย์เพิ่มให้อีก ๒ นาย จึงรวมเป็นมอี นุศาสนาจารย์ในช่วงน้ัน ๓ นาย โดยมี รองอํามาตย์ตรี มหาวงศ์ เชาวนะกวี เปน็ หัวหน้าอนศุ าสนาจารย์ ยกฐานะอนศุ าสนาจารยข์ นึ้ เปน็ แผนกอนศุ าสนาจารย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงจัดส่วนราชการในกองทัพขึ้นใหม่ โดยเฉพาะกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งไดเ้ คยตงั้ ขนึ้ และได้มคี ําสง่ั ยุบเลิกไปเม่อื พ.ศ. ๒๔๖๙ เน่ืองจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศทรุดโทรมหนัก รัฐบาลได้ตัด งบประมาณลง ได้กลับร้ือฟื้นต้ังขึ้นมาใหม่และได้โอนกิจการส่วนอนุศาสนาจารย์ ซ่ึงสังกัดอยู่ในกรมเสนาธิการทหารเรือ ไป ข้นึ สงั กดั อยูใ่ นกรมยุทธศึกษาทหารเรือ กบั ได้ยกฐานะขนึ้ เป็นแผนกเรียกว่า “แผนกอนุศาสนาจารย์” และได้มีคําสั่งแต่งต้ังให้ รองอาํ มาตยโ์ ท มหาวงศ์ เชาวนะกวี เปน็ หวั หน้าแผนก เมื่ออนุศาสนาจารย์ได้รับการยกฐานะข้ึนเป็นแผนกและได้ย้ายสังกัดจากกรมเสนาธิการทหารเรือไปข้ึนอยู่ในกรม ยุทธศึกษาทหารเรือแล้ว ก็ได้ย้ายที่ทํางานไปอยู่ที่ตึกบวรวิไชยชาญ อันเป็นท่ีต้ังของกรมยุทธศึกษาทหารเรือในสมัยนั้น ตึก บวรวไิ ชยชาญ ต้ังอยูใ่ นพระราชวังเดิม เนอื่ งจากเป็นตึกเก่าแก่ครั้งกรุงธนบุรีและชํารุดทรุดโทรมมาก ไม่สามารถจะซ่อมบํารุง ได้ ทางราชการจึงได้รอื้ แล้วสรา้ งตึกกรมยทุ ธศึกษาทหารเรอื ข้นึ แทน กิจการอนุศาสนาจารยใ์ นยุคเป็นแผนกช่วงแรกนี้ เจริญกา้ วหนา้ ข้นึ มกี ารขยายงานกว้างขึน้ ตามหน่วยท่ีขยายออกไป ในช่วงระยะนี้มีเร่ืองเกี่ยวข้องกับอนุศาสนาจารย์ท่ีควรจะบันทึกไว้ในประวัติด้วยก็คือ ทางสํานักงานเลขานุการในพระองค์ได้ ขอโอนตัว รองอํามาตย์โท มหาวงศ์ เชาวนะกวี หัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์ไปรับราชการ ณ สํานักราชเลขานุการใน พระองค์ ขาดจากตําแหน่งและอัตราเงินเดือนทางกองทัพเรือ ตั้งแต่วันท่ี ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ เม่ือหัวหน้าแผนก อนุศาสนาจารย์โอนไปแล้ว กองทัพเรือไดแ้ ต่งตง้ั ให้ รองอาํ มาตยต์ รี มหาเสง่ียม สุทธิสานนท์ เป็นหัวหน้าแผนกสืบต่อไป และ ไดบ้ รรจอุ นศุ าสนาจารย์ใหม่แทนให้ ๑ นาย จาํ นวนอนศุ าสนาจารยใ์ นยุคเปน็ แผนกช่วงแรกก็คงมี ๓ นายตามเดิม ต่อมากิจการอนุศาสนาจารย์ในยุคเป็นแผนกช่วงหลังได้ขยายมากขึ้น ตามความเจริญของกองทัพท่ีพัฒนาออกไป เม่ือหน่วยขยายออกไป ภารกิจของอนุศาสนาจารย์ก็ต้องขยายตาม อนุศาสนาจารย์นอกจากจะปฏิบัติงานในหน้าที่อันเป็น ภารกิจโดยตรงแล้ว ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูสอนวิชาศีลธรรมและวิชาภาษาไทยในโรงเรียนต่างๆ ของกองทัพเรือด้วย เช่น โรงเรยี นเตรยี มนายเรอื โรงเรยี นนายเรือง โรงเรยี นพันจา่ โรงเรียนจา่ พยาบาลเปน็ ตน้ เม่อื งานมีมากแต่อนุศาสนาจารย์มีน้อย งานจึงล้นมือ ทางราชการเห็นความจําเป็นที่จะต้องมีอนุศาสนาเพิ่มข้ึน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๒ กองทัพเรือจึงได้บรรจุ อนุศาสนาจารย์เพมิ่ ให้อกี ๔ นาย จึงรวมเป็นมีอนุศาสนาจารย์ในยคุ เปน็ แผนกช่วงหลัง ๗ นาย ยกฐานะแผนกอนุศาสนาจารยเ์ ป็นกองอนุศาสนาจารย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงส่วนราชการในกรมยุทธศึกษาทหารเรือใหม่ โดยยกฐานะหน่วยบาง หน่วยให้สูงข้ึนตามลักษณะของปริมาณงานท่ีเพิ่มข้ึน แผนกอนุศาสนาจารย์ เป็นหน่วยหน่ึงที่ได้รับการยกฐานะจากแผนกข้ึน เป็นกองเรียกว่า “กองอนุศาสนาจารย์” (คําสั่งกองทัพเรือที่ ๖๑/๒๔๙๖) และในขณะเดียวกันได้แต่งตั้งให้ รองอํามาตย์ตรี มหาเสงยี่ ม สทุ ธสิ านนท์ เปน็ หัวหน้ากอง กองอนุศาสนาจารย์ ซ่ึงได้รับการยกฐานะจากแผนกข้ึนเป็นกองนั้น มีหน้าท่ีและความรับผิดชอบตามท่ีระบุไว้ใน ระเบียบกรมยุทธศึกษาทหารเรอื ที่ ๕๑ วา่ ด้วยหนา้ ทก่ี องบงั คบั การกรมยทุ ธศกึ ษาทหารเรอื ขอ้ ๑๓ ดงั นี้ ข้อ ๑๓ กองอนุศาสนาจารย์ มีหัวหน้ากองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เก่ียวกับกิจการศาสนาและอบรมธรรม แบ่ง งานออกเปน็ ๓ แผนก คือ ๑๓.๑ แผนกวจิ ยั ๑๓.๒ แผนกอบรมธรรม

๑๑๘ ๑๓.๓ แผนกพิธี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงหน่วยงานภายในกองทัพเรือใหม่อีกคร้ัง โดยกําหนดหน้าที่และ ความรับผิดขอบของหน่วยต่าง ๆ เป็น “อัตราเฉพาะกิจ” (คําสั่งกองทัพเรือท่ี ๗๕/๒๕๑๗) ในอัตราเฉพาะกิจของกรมยุทธ ศกึ ษาทหารเรอื ไดร้ ะบุหนา้ ทแี่ ละความรบั ผดิ ชอบของกองอนศุ าสนาจารยไ์ วใ้ นข้อ ๔.๕ ดงั นี้ ๔.๕ กองอนุศาสนาจารย์ มีหน้าที่ดําเนินการเก่ียวกับกิจการอนุศาสนาจารย์ของกองทัพเรืออบรมและสอนศีลธรรม วฒั นธรรม แก่ทหารและบุคคลในกองทพั เรอื รวมท้ังการดําเนนิ การพธิ ีศาสนา ในปจั จบุ ันไดแ้ บง่ งานออกเป็น๔ แผนกคือ ๔.๕.๑ แผนกวชิ าการ ๔.๕.๒ แผนกอบรมศลี ธรรม ๔.๕.๓ แผนกศาสนพธิ ี ๔.๕.๔ แผนกจิตนเิ ทศ ในการปรับปรุงกําหนดอัตราเฉพาะกิจครั้งน้ี ได้กําหนดหน้าท่ีกองอนุศาสนาจารย์กว้างข้ึน และเปลี่ยนชื่อแผนกวิจัย เป็นแผนกวิชาการ แผนกอบรมธรรมเป็นแผนกอบรมศีลธรรม แผนกพิธีเป็นแผนกศาสนพิธี อัตราเฉพาะกิจดังกล่าวนี้ให้เป็น หลกั ดําเนินกจิ การอนศุ าสนาจารย์ กองอนุศาสนาจารย์ในระยะหลังน้ี มีงานกว้างข้ึนกว่าแต่ก่อนมาก กว้างข้ึนท้ังงานอันเป็นหน้าท่ีโดยตรงภายใน กองทัพ และงานสนับสนุนหน่วยนอกกองทัพ งานในกองทัพนั้น มีหน่วยที่จะต้องให้การอบรมขยายเพิ่มข้ึน ท้ังหน่วยใน ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค งานสนับสนุนหน่วยนอกกองทัพนั้น ได้มีหน่วยราชการ สถานศึกษา สมาคม และวัดวาอาราม ได้ ขอความสนับสนนุ จากกองทัพเรือ โดยขออนุศาสนาจารย์ไปเปน็ วทิ ยากรบรรยายให้ความรู้ทางศาสนาแก่ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้ต้องขังในเรือนจําและทัณฑสถานต่าง ๆ มากขึ้น กองอนุศาสนาจารย์ก็ให้ความสนับสนุนบําเพ็ญ ประโยชน์แก่สังคมในด้านนี้ตลอดมา ด้วยเหตุที่กองอนุศาสนาจารย์มีภารกิจและปริมาณงานมากขึ้น กองทัพเรือจึงได้บรรจุ อนุศาสนาจารย์เพิ่มให้ตามความจําเป็นเรื่อยมา ในปัจจุบันกองอนุศาสนาจารย์มีกําลังพลอนุศาสนาจารย์ปฏิบัติงานอยู่ใน ส่วนกลางจาํ นวน ๘ นาย ในส่วนภูมภิ าคจาํ นวน ๑๘ นาย รวมเป็น ๒๖ นาย การส่งอนุศาสนาจารยไ์ ปประจาํ หนว่ ยภูมิภาค หน่วยราชการของกองทัพเรือได้ขยายออกไปตั้งประจําอยู่ในภูมิภาคหลายหน่วย หน้าที่และอุดมการณ์ของ อนุศาสนาจารย์คือ ทหารไปอยู่ถึงไหน อนุศาสนาจารย์ต้องไปถึงน่ัน ดังน้ันหากหน่วยใดไปต้ังประจําอยู่ในภูมิภาคเป็นการ ถาวรแล้ว และหน่วยนั้นมีกําลังพลมากพอสมควร กองอนุศาสนาจารย์ก็จะประสานงานกับหน่วย ดําเนินการตั้งอัตรา อนศุ าสนาจารยป์ ระจาํ หนว่ ยขึน้ แลว้ สง่ อนศุ าสนาจารยไ์ ปอยปู่ ระจาํ เพื่อจะได้มีโอกาสอยกู่ บั ทหารอย่างใกลช้ ดิ การสง่ อนุศาสนาจารยไ์ ปปฏบิ ัติราชการสนาม ในปัจจุบันหน่วยของกองทัพเรือ มีทั้งหน่วยเฉพาะกิจและหน่วยประจํา ได้ออกไปต้ังปฏิบัติงานเพื่อความม่ันคงของ ชาติอยใู่ นภมู ภิ าคในหลายพ้นื ท่ี โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือและภาคใต้ ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือมีหน่วยปฏิบัติ ตามลํานํ้าโขง (นปข.) ต้ังอยู่ในเขตจังหวัดเลย หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี ในภาคใต้มีท้ังหน่วยเฉพาะกิจและหน่วย ประจํา ต้งั อยู่ในเขตจงั หวัดนครศรีธรรมราช สงขลา พังงา นราธิวาส หน่วยต่างๆ เหล่าน้ี บางหน่วยปฏิบัติงานอยู่ในเขตพ้ืนท่ี ทุรกันดารและเส่ียงภัย ทหารที่อยู่ประจําหน่วยต้องมีขวัญดีและกําลังใจเข้มแข็ง กองอนุศาสนาจารย์มีหน้าท่ีโดยตรงในการ ส่งเสริมขวัญและกําลังใจทหาร จึงได้จัดส่งอนุศาสนาจารย์หมุนเวียนออกไปอบรมจิตใจและเยี่ยมบํารุงขวัญทหารเป็นประจํา โดยไปรว่ มกนิ ร่วมนอนพกั แรมอยู่กับหน่วยเหล่านั้นเช่นเดยี วกับทหารทั้งหลาย ซ่ึงไดเ้ รมิ่ ปฏิบตั ิงานนม้ี าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๙

๑๑๙ การพฒั นากจิ การอนุศาสนาจารย์ การทํางานของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือในปัจจุบัน เราทํางานร่วมกันโดยถือหลักทิฏฐิสามัญญตา กล่าวคือได้มีการ ประชุมอนุศาสนาจารย์ ท้ังอนุศาสนาจารย์ส่วนกลางและอนุศาสนาจารย์ส่วนภูมิภาคเป็นประจํา เพ่ือปรึกษาหารือกิจการ อนุศาสนาจารย์ร่วมกัน หากมีส่ิงใดบกพร่องท่ีควรจะแก้ไข ก็ร่วมกันพิจารณาแก้ไข หากมีสิ่งใดที่ควรจะจัดทําและยังมิได้ จัดทํา ก็เสนอแนะให้จัดทําหรือร่วมกันจัดทํา อนุศาสนาจารย์ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็นท่ีจะพัฒนากิจการอนุศาสนาจารย์ ได้โดยไม่จํากัดว่าจะเป็นอนุศาสนาจารย์ผู้ใหญ่หรือผู้น้อย หากมีความเห็นต่างกัน เราก็ถือเสียงข้างมากเป็นหลักในการ ดําเนินงาน โดยนยั นีก้ ิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ จงึ ดําเนินไปอย่างราบรืน่ และเข้มแข็ง อายอุ นศุ าสนาจารยท์ หารเรอื กองทัพเรือเร่ิมมีอนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพเรือมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๗ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาได้ ๙๕ ปี ถ้า เป็นอายุคนกเ็ รียกวา่ ยา่ งเข้าสู่วัยชรา ทกุ สิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นด้านพละกําลัง ความคล่องแคล่วว่องไว หรือความสามารถใน การงาน ล้วนมแี ต่ละลดนอ้ ยถอยลง แตอ่ ายขุ องอนุศาสนาจารยท์ หารเรอื หาเป็นเช่นนน้ั ไม่วัย ๙๕ ปีของเรากําลังอยู่ในช่วงวัย ฉกรรจ์ กิจการอนุศาสนาจารย์ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นภารกิจ วิชาการ หรือการบริการแก่หน่วยในกองทัพ ล้วนกําลังก้าวหน้า เขม้ แข็ง แมเ้ ราจะมกี ําลงั พลนอ้ ย แต่เรากท็ าํ งานกันด้วยวญิ ญาณอนศุ าสนาจารย์อย่างแท้จริง ทาํ เนยี บหัวหนา้ /ผอู้ ํานวยการ กองอนุศาสนาจารย์ทหารเรือ นับตั้งแค่มีอนุศาสนาจารย์ในกองทัพเรือเป็นต้นมา มีหัวหน้าอนุศาสนาจารย์ เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบ กจิ การอนุศาสนาจารย์สืบต่อกนั มาจวบปัจจบุ นั จํานวน ๑๘ ทา่ น มีรายนามตามลําดบั ดงั นี้

๑๒๐ ทาํ เนียบ หวั หนา้ /ผอ.กอศ.ยศ.ทร. รองอํามาตยโ์ ท มหาวงศ์ เชาวนะกวี (พ.ศ.24๖๗ - 2488) 2. น.อ. เสง่ยี ม สทุ ธสิ านนท์ ๓. น.ท. สวัสด์ิ พฒั น์เกดิ ผล 4. น.อ. บาํ รงุ จันทวานชิ (พ.ศ.248๙ – 2๕๐๒) (พ.ศ. ๒๕๐๒ – ๒๕๐๗) (พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๘) ๕. น.อ. นรษิ ฐ์ หรดิ าํ รง ๖. น.อ. อ่อน บญุ ญพนั ธ์ ๗. น.อ. วีระ วัฒนนิรนั ดร (พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๒๐) (พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๒) (พ.ศ. ๒๕๒๒ – ๒๕๒๘)

๑๒๑ ๘. น.อ. วฒุ ิ ออ่ นสมกิจ ๙. น.อ. สมจติ รตั นจนั ทร์ ๑๐. น.อ. ธญั นพ ผวิ เผอื ก (พ.ศ.2๕๒๘ – 2๕๓๐) (พ.ศ. ๒๕๓๐ – ๒๕๓๒) (พ.ศ. ๒๕๓๒ – ๒๕๓๗) ๑๑. น.อ. ปรชี า นันตาภวิ ฒั น์ ๑๒. น.อ. ทองใบ พนื้ มว่ ง ๑๓. น.อ. สุรจติ สงสกลุ (พ.ศ. ๒๕๓๗ – ๒๕๓๙) (พ.ศ. ๒๕๓๙ – ๒๕๔๒) (พ.ศ. ๒๕๔๒ – ๒๕๔๖) ๑๔. น.อ. ทองย้อย แสงสนิ ชยั ๑๕. น.อ. สุรจติ สงสกลุ ๑๖. น.อ. สุนทร กลบั พษิ (พ.ศ. ๒๕๔๖ – ๒๕๔๘) (พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๔๘) (พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๔๙) ๑๗. น.อ. สนุ ทร สนั ตธิ ัช ๑๘. น.อ. มนญู จนั ทรน์ วล ๑๙. น.อ. ธรรมนญู วิเศษสงิ ห์ (พ.ศ.2๕๔๙ – 2๕๕๒) (พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๕๗) (พ.ศ. ๒๕๕๗ – ปัจจบุ นั )

๑๒๒ บทที่ ๑๐ กองอนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตรา สํานกั งานปลดั กระทรวงกลาโหม ....................................... พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พ ร ะ ร า ช ท า น กํ า เ นิ ด กิ จ ก า ร อ นุ ศ า ส น า จ า ร ย์ ก อ ง ทั พ ไ ท ย เ มื่ อ วั น ที่ ๒ ๙ มิ ถุ น า ย น ๒ ๔ ๖ ๑ โ ด ย มี พระราชประสงค์ให้อนุศาสนาจารย์ เป็นผู้อบรมสั่งสอน บํารุงขวัญและกําลังใจ แก่กําลังพลของกองทัพ กิจการอนุศาสนาจารย์ จึงได้เจริญมาโดยลําดับ ท้ังกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสํานักงานปลัด กระทรวงกลาโหม ต่อ ม า ไ ด้ มี คํ าส่ั ง ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม ( เ ฉ พ า ะ) ท่ี ๓ ๖ / ๓ ๓ ล ง วั น ท่ี ๓ ๐ ม ก ร า ค ม ๒ ๕ ๓ ๓ เรื่องแก้ไขอัตราเจ้าหน้าท่ีกระทรวงกลาโหม (ส่วนกลาง) โดยเฉพาะกรมเสมียนตรา ในข้อ ๓ ระบุไว้ว่าขอบเขตรับผิดชอบ และหนา้ ทีส่ าํ คัญคอื ฯลฯ ๓.๗ ดําเนินการเก่ียวกับศาสนพิธีต่างๆ และอบรมศีลธรรมแก่ข้าราชการและลูกจ้างของ สว่ นราชการ ในสํานกั งานปลัดกระทรวงกลาโหม ฯลฯ ตอน ๓ อัตรากําลังพล ระบุไว้ว่า ให้บรรจุอนุศาสนาจารย์ พันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ผู้ช่วย อนุศาสนาจารย์ พนั โท นาวาโท นาวาอากาศโท วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๓ บรรจุ พ.อ.เล่ือน สุนทรเศวต เป็นอนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตรา คนแรก (ขึน้ การบงั คบั บญั ชากับสํานักงานผบู้ งั คับบัญชา) วนั ท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๔ ใหม้ กี ารอบรมศลี ธรรมและวัฒนธรรมขึน้ ใน สป. เปน็ คร้ังแรก ความเป็นมากองอนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตรา สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คําส่ัง กรมเสมียนตรา (เฉพาะ) ท่ี ๑๗๑/๔๓ ลง ๗ ธันวาคม ๒๕๔๓ เรื่อง จัดต้ังกองอนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตรา (อตั ราทดลอง) โดยมี พ.อ.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี นายทหารประจํากรมเสมียนตรา ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อํานวยการ กองอนศุ าสนาจารย์ กรมเสมยี นตรา คําส่ัง สาํ นกั งานปลัดกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ท่ี ๒๖๘/๔๗ ลง ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เร่อื ง การจดั ตง้ั กองอนุศาสนาจารยก์ รมเสมยี นตรา (อตั ราเพีอ่ พลาง) มหี น้าที่ดําเนนิ การเกยี่ วกบั กจิ การอนศุ าสนาจารย์ การศึกษา อบรม ศลี ธรรม จริยธรรม วฒั นธรรม การพธิ ีทางศาสนา การตรวจแนะนํา การบาํ รุงขวญั และการใหค้ าํ แนะนาํ ทางศาสนาทงั้ ปวง ใหแ้ กส่ วนราชการในสงั กดั สํานกั งานปลดั กระทรวงกลาโหม แบง่ ส่วนราชการออกเป็น ๓ แผนก คอื แผนกธุรการ แผนกศา สนพิธี และแผนกอบรม อนุมัติ รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงกลาโหม (ปลัดกระทรวงกลาโหม ผใู้ ชอ้ าํ นาจฯ) เมือ่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ จดั ตง้ั กอง อนศุ าสนาจารย์ กรมเสมียนตรา เป็นอัตราถาวร ให้เปน็ หนว่ ยข้ึนตรง กรมเสมียนตรา เพิ่มขึ้นอีก ๑ สว่ นราชการ

๑๒๓ ทําเนยี บ หัวหน้ากอง/ผอ.กอศจ.สม. ๑. พ.อ. เลอ่ื น สนุ ทรเศวต (พ.ศ.2๕๓๓ – 2๕๔๓) ๒. พ.อ. ไชยนาจ ญาตฉิ มิ พลี ๓. พ.อ. เกรยี งไกร เทพนิมติ ร (พ.ศ.2๕๔๓ – 2๕๕๕) (พ.ศ.2๕๕๕ – ปัจจบุ นั )

๑๒๔ บทท่ี ๑๑ กองอนุศาสนาจารย์ กรมสารบรรณทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ................................. พ.อ. สนิท หนิ ไชยศรี หก.กอศจ.สบ.ทหาร เมื่อห้วงเดือน เมษายน ๒๕๖๑ พลเอก ธารไชยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในขณะนั้น มีดําริให้ บก.ทท. มีหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษา อบรมศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม การพิธีทางศาสนา การบํารุง ขวัญ และการให้คําแนะนําทางศาสนาท้ังปวงแก่ส่วนราชการใน บก.ทท. จึงได้กรุณาสั่งการให้ พล.ท. สุพจน์ ธํามรงค์รัตน์ จก.สบ.ทหาร ในขณะนั้น พิจารณาหาแนวทางในการจัดตั้งกองอนุศาสนาจารย์ข้ึน โดยให้เป็นหน่วยข้ึนตรงกรมสารบรรณ ทหาร การดําเนินการในเบ้ืองต้น สบ.ทหาร ได้จัดทํารายละเอียดโครงสร้างการจัดและอัตรา ตามนโยบายเสนอที่ ป ร ะ ชุ ม เ มื่ อ ๒ ๕ เ ม . ย . ๖ ๑ โ ด ย ใ ช้ ลั ก ษ ณ ะ ป รั บ เ ก ลี่ ย อั ต ร า กํ า ลั ง พ ล ภ า ย ใ น ส่ ว น ร า ช ก า ร บ ก . ท ท . โดย ผบ.ทสส. ไดก้ รุณาอนมุ ตั ิ เมอื่ ๔ มิ.ย. ๖๑ โครงสร้าง กอศจ.สบ.ทหาร มีฐานะเป็นหน่วยข้ึนตรง สบ.ทหาร โดยมีการจัดเป็นแบบกลุ่มงานอัตรา กําลังพล จํานวน ๑๒ อัตรา ประกอบด้วย (พ.อ. (๑), พ.ท. (๑), พ.ต. (๒), ร.อ. (๔), จ.ส.อ. (๑), ส.อ. (๓)) โดยปรับเกลี่ย อั ต ร า กํ า ลั ง พ ล ภ า ย ใ น ส่ ว น ร า ช ก า ร บ ก . ท ท . แ ล ะ ใ ห้ ส บ . ท ห า ร อ อ ก คํ า ส่ั ง ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร ตามคําส่ังกองบัญชาการกองทัพไทย (เฉพาะ) ที่ ๓๗๔/๖๑ เร่ือง การทดลองปฏิบัติราชการ กอศจ.สบ.ทหาร กองบัญชาการ กองทพั ไทย เมอื่ ๗ มิ.ย. ๖๑ โดยมรี ายนามดงั นี้ ๑. พ.ท. สนทิ หนิ ไชยศรี ๒. พ.ต. ราตรสี งัด มปี ัญญา ๓. พ.ต. ร่วม มง่ั คลา้ ย ๔. ร.อ. เมธวี ฒั น์ มาลาย ร.น. ๕. ร.ท. นริ ุต ใจบุญ ๖. ร.ต.หญิง รัชดา เอ่ียมวบิ ลู ย์ ๗. จ.ส.ต.หญงิ ปทุมวดี บญุ สง่ ๘. นาย อคพล วินทะไชย ๙. นาย เวนิช หารภมู ิ

๑๒๕ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุมัติ โครงสร้าง กอศจ.สบ.ทหาร ตามคําส่ัง กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ท่ี ๔๖/๖๒ เรื่อง แกอ้ ตั รากองบญั ชาการกองทัพไทย กองทัพไทย ลง ๕ ก.พ. ๖๒ พล.อ. ชัยชนะ นาคเกิด เสธ.ทหาร รับคําส่ัง ผบ.ทสส. อนุมัติแก้อัตรากองบัญชาการกองทัพไทย ตามคําสง่ั กองทัพไทย (เฉพาะ) ท่ี ๕๕/๖๒ เรอ่ื ง แกอ้ ัตรากองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพไทย ลง ๒๒ ก.พ. ๖๒ คาํ ส่งั กองบญั ชาการกองทพั ไทย ที่ ๑๒๓/๒๕๖๒ เร่ือง ใหน้ ายทหารสัญญาบตั รรับราชการ ลง ๒๙ มี.ค. ๖๒ ให้ พ.ท. สนิท หนิ ไชยศรี อศจ.รร.ตท.สปท. เปน็ หก.กองอนศุ าสนาจารย์ สบ.ทหาร เปน็ คนแรก ............................

๑๒๖ บทที่ ๑๒ ตํานานอนุศาสนาจารยก์ รมราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการใหม่ โดยเพิ่มแผนกอนุศาสนาจารย์ขึ้น อีกแผนกหนึง่ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ แตย่ ังไม่มผี ดู้ ํารงตําแหน่งหัวหน้าแผนก คร้ันตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมราชทัณฑ์ได้หารือ ไปยังกองอนศุ าสนาจารย์กองทัพบก เพื่อให้ช่วยเลือกเฟ้นจัดหาอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ผู้มีความรู้ความสามารถ มีคุณวุฒิ เหมาะสมให้ เพ่ือแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งหัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์กรมราชทัณฑ์ กองอนุศาสนาจารย์กองทัพบกจึงได้ พจิ ารณาจัดส่ง ร.อ. วิเชาวน์ ทพิ ยมณฑล ให้ การบริหารงานของอนศุ าสนาจารย์กรมราชทัณฑ์ งานอนุศาสนาจารย์มีหน้าที่รับผิดชอบในการวางแผนงานอบรมศีลธรรมเพ่ือฟื้นฟูแก้ไขจิตใจผู้ต้องขัง มุ่งปลูกฝัง ศีลธรรม จรรยา และวัฒนธรรม เพอื่ ให้ผู้ต้องขงั นําไปเป็นแนวทางในการปฏบิ ัตกิ ลบั ตนเปน็ พลเมืองดี งานอบรมศีลธรรมทีจ่ ดั ทําอยูใ่ นยุคทีม่ ีแผนกอนศุ าสนาจารย์ มดี งั น้ี ๑. จดั อบรมผตู้ อ้ งขงั เขา้ ใหม่ (แรกรับ) เพอ่ื ให้ทราบระเบยี บข้อบงั คบั ให้รจู้ ักปรบั ตัวเขา้ กับสิง่ แวดล้อมภายในเรือนจํา ให้ร้สู ทิ ธแิ ละหน้าท่ี ประโยชน์ทจี่ ะได้รบั เพอ่ื เปน็ การบาํ รุงขวญั และเปน็ ประโยชน์แก่การปกครองเรอื นจาํ ๒. ประชมุ อบรมผ้ตู ้องขังเปน็ ประจําทกุ วัน อย่างน้อยสปั ดาหล์ ะ ๑ ครัง้ ๓. จัดอบรมผู้ต้องขังเป็นกลุ่มตามประเภทโทษ เช่น กลุ่มประทุษร้ายต่อชีวิต กลุ่มประทุษร้ายต่อทรัพย์ กลุ่มยาเสพ ตดิ ให้โทษ กลุ่มวัยหนมุ่ เป็นต้น โดยจดั อบรมเป็นประจําทุกวัน หรอื อยา่ งน้อยสัปดาห์ละ ๑ คร้ัง ๔. จัดอบรมผู้ต้องขังเป็นรายตัว สําหรับผู้ต้องขังท่ีมีปัญหาพิเศษ มีประวัติน่าสนใจ เพื่อแก้ไขความประพฤติเป็น รายบุคคลทุกๆ วัน ๕. ก่อนท่ีผู้ต้องขังจะพ้นโทษ โดยเหลือโทษจําอยู่ ๗ วัน จัดอบรมให้เข้าใจในหน้าท่ีพลเมืองดี เบญจศีล เบญจธรรม ตลอดจนวฒั นธรรมและจารีตประเพณีอันดงี ามของไทย เพ่อื จะได้เป็นขอ้ ปฏิบัติเมือ่ ใช้ชีวิตอยรู่ ่วมกบั สังคมภายนอก ๖. จดั นิมนต์พระสงฆแ์ สดงธรรมอบรม ประชมุ ผตู้ ้องขังฟังธรรมโดยพรอ้ มเพรยี งกันทกุ วันเสารห์ รือวันอาทติ ย์ ๗. จัดให้ผ้ตู ้องขงั ฟงั พระธรรมเทศนาทางวิทยกุ ระจายเสียงเปน็ ประจาํ ทกุ รายการ ๘. จดั นิมนตพ์ ระหนว่ ยพัฒนาการทางจติ พระธรรมทูต พระธรรมจารกิ เข้าอบรมผ้ตู ้องขงั ตามโอกาส ๙. จัดใหผ้ ูต้ ้องขงั เขา้ อบรมธรรมศึกษาตรี โท เอก ตามหลักสูตรของคณะสงฆ์ และจัดสอบไล่รับประกาศนียบัตรเป็น ประจําทุกปี ๑๐. จัดประกอบพิธีทําบุญในเรือนจําและประชุมอบรมผู้ต้องขังในวันสําคัญของทางราชการและวันสําคัญทาง ศาสนาทกุ คร้ัง ๑๑. จดั ผู้ทรงคุณวุฒขิ องพทุ ธสมาคมทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดเข้าอบรมผู้ต้องขังเป็นประจํา โดยเฉพาะ การอบรมของผู้ทรงคุณวุฒิจากพุทธสมาคมแหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์นั้น งานอนุศาสนาจารย์จัดพาหนะรับ–ส่ง เปน็ ประจําตลอดมา ๑๒. จดั อนุศาสนาจารย์ ๓ เหลา่ ทัพ เขา้ อบรมผูต้ ้องขังเป็นประจําทกุ เดอื น ๑๓. จัดผู้ทรงคณุ วุฒิที่เปน็ นักเผยแผ่จรยิ ธรรมอาสาสมคั รเข้าอบรมผ้ตู อ้ งขงั ตามโอกาส ๑๔. จัดให้อนุศาสนาจารย์กรมฯ หมุนเวียนกันออกไปอบรมผู้ต้องขังและประสานงานการอบรมตามเรือนจํา และทัณฑสถานเปน็ ประจํา เดือนละ ๒ คน

๑๒๗ ๑๕. จัดหาอุปกรณ์การอบรมจิตใจ เช่น พระพุทธรูป โต๊ะหมู่บูชาพร้อมเคร่ืองต้ัง ธงชาติ พระบรมฉายาลักษณ์ หนงั สอื หลกั สตู รและค่มู อื ธรรมศกึ ษา โต๊ะเรียนพร้อมเก้าอี้ อปุ กรณท์ างการศึกษา โดยการขอตงั้ งบประมาณจดั ซื้อเป็นปๆี ไป ๑๖. จัดให้มีการอุปสมบทผู้พ้นโทษที่ประสงค์จะอุปสมบทและขอความอุปการะมายังกรมราชทัณฑ์ โดยกรมฯ จะ จดั หาเคร่ืองอฐั บรขิ ารให้ ๑๗. จัดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาอิสลาม เข้าอบรมผู้ต้องขังมุสลิมและเข้าประกอบพิธีทางศาสนาทุกวันศุกร์และ วนั สาํ คัญทางศาสนา ๑๘. จัดให้บาทหลวงหรือศาสนาจารย์เข้าอบรมผู้ต้องขังที่นับถือศาสนาคริสต์และประกอบพิธีทางศาสนาตามลัทธิ ตามโอกาส ๑๙. จดั ทําสถติ ผิ ลการอบรมธรรมศึกษา สถิติผู้ต้องขังกระทําผิดต่อปูชนียวัตถุทางศาสนา สถิติผู้ผ่านการอบรมธรรม ศกึ ษาแลว้ พน้ โทษไป แลว้ กลับมาตอ้ งโทษซา้ํ อีก เพอื่ ดาํ เนนิ การให้การอบรมท่ีเหมาะสม ๒๐. จัดทําสถิติการท่ีบุคคลภายนอกบริจาคอาหารและสิ่งของแก่ผู้ต้องขัง จัดตอบขอบคุณ ประกาศอนุโมทนา และ ทําขา่ วการบรจิ าคสง่ ไปโฆษณาทางวทิ ยุกระจายเสยี งแหง่ ประเทศไทย ๒๑. รบั บรจิ าคหนังสือธรรมและสารคดจี ากบุคคลภายนอกแลว้ ดําเนินการจัดสง่ ให้เรือนจํา เพือ่ ให้ผู้ต้องขังอา่ น ๒๒. ร่วมมอื กบั กรมการศาสนา จดั อบรมจรยิ ธรรมนกั เรียนตามทีก่ รมการศาสนาขอความรว่ มมือมา ๒๓. ร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมเยาวชน กระทรวงศึกษาธิการ ดําเนินการหาทางพัฒนาผู้ต้องขังวัยหนุ่ม(เยาวชน) ทางศลี ธรรมและจติ ใจ ๒๔.´เปน็ เจา้ หน้าท่ีพธิ ีเก่ียวกบั การกศุ ลของกรมฯ เสนอแนะวิธีดาํ เนนิ งานและขออนมุ ตั ิจ่ายเงนิ เพ่ือการกุศลนั้นๆ ขา้ ราชการกรมราชทณั ฑซ์ ง่ึ ได้ดาํ รงตาํ แหน่งหัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์ ๑. ร.อ. วิเชาวน์ ทพิ ยมณฑล ป.ธ. ๖ พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๕ ๒. นายอรณุ ฤทธิมตั พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๐๖ ๓. นายพนม นาควเิ วก ป.ธ.๘ พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๙ และ พ.ศ. ๒๕๑๒-๑๕๑๓ ๔. นายไสว ภักดีพรหมมา ป.ธ.๙ รักษาการในตําแหน่งหัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๑๑ และดํารงตาํ แหน่งหวั หน้าแผนกอนศุ าสนาจารย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๒๑ ๕. นายมงคล พรพลทอง ป.ธ. ๙ ปฏบิ ัตหิ นา้ ทีห่ วั หนา้ งานอนศุ าสนาจารย์ ตัง้ แต่วนั ท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๒๑-๒๕๒๒ ...................................

๑๒๘ บทท่ี ๑๓ ตาํ นานอนศุ าสนาจารย์ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ................................ เม่ือ พ.ศ.๒๔๘๕ สมัยคณะรัฐบาลโดยมีท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดํารงตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้พิจารณาเห็นว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลายในด้านประชาชนน้ัน เป็นความสําคัญและจําเป็นอย่างย่ิง เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติไทยมานานแล้ว และ ประชาชนในทวีปเอเชียก็นับถือเป็นส่วนมาก ท้ังเป็นศาสนาท่ีสมควรได้รับการยกย่องส่งเสริมให้มากท่ีสุดเท่าท่ี เปน็ อยู่ ณ บัดนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังหาได้เป็นไปตามทางที่ควรดังกล่าวน้ันไม่ แม้ว่าพระสงฆ์มีหน้าที่ เผยแผ่อยู่แล้ว แต่ก็อยู่ในกรอบแห่งสมณะสารูปและตามสมณะวิสัย การท่ีจะเผยแผ่ให้แพร่หลายโดยรวดเร็ว ท่ัวทิศทาง และให้ได้ผลตามความประสงค์น้ัน สมควรใช้อนุศาสนาจารย์ช่วยดําเนินการประสานงานทางฝ่าย ฆราวาสและช่วยเหลือคณะสงฆ์ ให้การเผยแผ่กว้างขวางออกไป กล่าวคือคณะสงฆ์ทําการเผยแผ่ตามกิจวัตร และตามสมณะวิสัย อนุศาสนาจารย์ทําการเผยแผ่ตามกําหนดหน้าท่ีและวิธีการที่จะพึงทําได้สะดวกแก่คฤหัสถ์ ดว้ ยกนั จึงมอบนโยบายนี้ให้กรมการศาสนาพิจารณาหาทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้ อนุศาสนาจารย์เป็นผู้ดําเนินการอีกทางหน่ึง กรมการศาสนาจึงได้ประชุมเจ้าหน้าท่ีหารือกันจัดวางโครงการ ดําเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตลอดจนวางอัตรากําลังและกําหนดเจ้าหน้าที่ในการนี้พร้อมด้วยหลักการ เผยแผโ่ ดยเรยี บรอ้ ย แตย่ งั ไมส่ ําเรจ็ ผล เพราะไมม่ งี บประมาณ ต่อมาในปี ๒๔๘๖ ได้ติดต่อขอยืมอนุศาสนาจารย์จากกรมยุทธศึกษาทหารบก กระทรวงกลาโหม มาดําเนินการไปพลางก่อน ๓ นาย คอื ๑. นายโปร่ง พีรคมั ๒. นายแย้ม ประพัฒนท์ อง ๓. นายแปลก สนธิรกั ษ์ โดยให้เขียนบทความรู้เกี่ยวกับจริยศึกษาบรรยายทางวิทยุกระจายเสียงเดือนละครั้ง และ สง่ ออกไปเผยแผต่ ามสว่ นภูมภิ าค เท่ากาํ ลงั ทม่ี แี ละทีท่ ําได้ ปรากฏผลเปน็ ท่พี ึงพอใจแก่ประชาชนและนกั เรยี น เป็นอย่างยิ่ง ตามรายงานของครู อาจารย์โรงเรียนต่างๆ และของคณะกรรมการจังหวัดท่ีรายงานมาให้กรมการ ศาสนาทราบ ท้ังนี้ก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่า งานเผยแผ่นี้สําคัญและจําเป็นเพียงไร ถ้าจะขยายให้กว้างกว่านี้ ก็จะเกิดผลไพศาลตามนโยบาย แต่ได้จัดทําไปได้ไม่เท่าไร ก็ต้องระงับอีก เพราะกระทรวงกลาโหมได้เรียก อนุศาสนาจารย์กลับคืนไปใช้ในราชการสนาม ๒ นาย คือ นายโปร่ง พีรคัม และ นายแย้ม ประพัฒน์ทอง คงเหลืออยู่เพียงคนเดียว คือ นายแปลก สนธิรักษ์ ก็ทําไปตามกําลังเท่าท่ีจะทําได้ ตลอดปี ๒๔๘๕-๒๔๘๖ ไม่ได้ทาํ เตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ยตามโครงการ ในปี พ.ศ.๒๔๘๗ จึงได้งบประมาณมา งานนี้จึงจัดแบ่งส่วนราชการตามพระราชกฤษฎีกา ต้ัง แผนกอนุศาสนาจารย์ อย่ใู นสํานักงานเลขานุการกรมการศาสนา ซ่ึงมีอัตราดังน้ี หัวหน้าแผนก ๑ ประจําแผนก ๔ เสมียน ๑ รวม ๖ อตั รา ไดป้ ฏบิ ัตงิ านด้านการอบรมศีลธรรมวฒั นธรรมแกป่ ระชาชนและนกั เรียนตลอดมา เทา่ กําลังทีม่ ีอยู่

๑๒๙ ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ กรมการศาสนาได้ดําเนินการติดต่อกับ ก.พ. ขอแบ่งส่วนราชการในกรมการ ศาสนา โดยขอให้ยกแผนกอนุศาสนาจารย์ข้ึนเป็นกอง ทาง ก.พ. อนุมัติให้ตั้งเป็นกองอนุศาสน์ แต่ไม่แบ่งแยก เป็นแผนกต่างๆ ดังที่เสนอไป คือให้มหี ัวหน้ากอง และจะขอตั้งอนศุ าสนาจารย์ โท ตรี และเสมียน เป็นอนั วา่ กองอนุศาสน์มีอัตรากําลังเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติงานเพียง ๕ คนเท่านั้น ไม่เพียงพอแก่งานที่จําเป็นจะต้องปฏิบัติให้ กวา้ งขวางต่อไปอีก ครั้นต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๑ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม กรมการศาสนาได้รับโอน ข้าราชการสภาวฒั นธรรมแห่งชาติ มาดาํ รงตาํ แหนง่ ในกองอนศุ าสน์ ดังนี้ หัวหนา้ กอง ๑ อนุศาสนาจารยโ์ ท ๒ รวมกบั ขา้ ราชการท่ีมอี ยู่แล้ว รวม ๘ อตั รา แต่กย็ งั ไมเ่ ปน็ การเพยี งพอท่วั ถึงสําหรับท่ีจะออกปฏบิ ตั ิงานใหไ้ ด้ผล ตามนโยบายของรฐั บาล ดังนั้น งานอบรมจําต้องทํากนั ไปเท่ากาํ ลงั ท่ีพอจะทาํ ได้ตลอดมาจนถงึ ปัจจุบันน้ี ๑. งานในหน้าท่ขี องกองอนศุ าสน์ เนื่องจากกองอนุศาสน์ เป็นกองวิชาการ ที่นับว่าสําคัญมากของกรมการศาสนา เพราะมีหน้าที่ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และเผยแผ่กิจกรรมการพระศาสนา อบรมศีลธรรม จรรยา มารยาท วัฒนธรรม แก่ ประชาชนท่ัวไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอบรมศีลธรรม วัฒนธรรม มารยาทในการสังคมแก่ เยาวชนชายหญิงของชาติ ตามโรงเรียนต่างๆ ท่ัวราชอาณาจักร ให้นักเรียนมีความประพฤติดีงาม เพ่ือเป็น พลเมืองดีของประเทศไทยในอนาคต สมตามนโยบายการศึกษาของรัฐท่ีแถลงไว้ แต่กองนี้มิได้ตั้งเป็นแผนกๆ โดยถือว่า เป็นกองนโยบายในหน้าที่ดังกล่าว ซ่ึงนโยบายของงานจําเป็นต้องผันแปรตามนโยบายของรัฐและ เหตุการณ์ท่ีจะต้องปฏิบัติเฉพาะหน้า ทั้งๆ ที่หน้าท่ีต่างๆ อาจแบ่งเป็นแผนกได้ อนุศาสนาจารย์ ซึ่งเป็น เจ้าหน้าท่ีของกองก็ร่วมกันรับผิดชอบทุกคน มากน้อยตามตําแหน่งช้ันและอาวุโส โดยการปฏิบัติงานของกองนี้ สว่ นใหญ่ตอ้ งปฏบิ ตั ิเป็นทมี เวริ ์ค มีหวั หนา้ กองเป็นผู้บงั คบั บัญชา มอี นุศาสนาจารย์โทเป็นเสมือนหัวหน้าแผนก และผู้ช่วยหัวหน้ากอง ประกอบด้วยอนุศาสนาจารย์ ซึ่งล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญในการส่ังสอนอบรม ศลี ธรรม ทุกคนเป็นผู้รว่ มกันปฏบิ ัติ งานในหน้าทข่ี องกองอนุศาสน์จําแนกได้ดังน้ี (๑) ปฏิบตั ิราชการตามนโยบายของกรมการศาสนา ก. เชดิ ชทู ะนุบํารุงพระพุทธศาสนา ซึง่ เปน็ ศาสนาสาํ คัญประจําชาติไทย ข. ปลกู ฝังอบรมประชาชนชาวไทย ใหม้ ีจติ ยึดม่นั ในหลักธรรมแหง่ พทุ ธศาสนา ค. เผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาให้แผไ่ พศาล ฆ. จะอาศยั การศาสนา อบรมประชาชนให้มศี ีลธรรมอนั ดีงาม ง. จะคุ้มครองปอ้ งกัน และรกั ษาเสถยี รภาพของพระพุทธศาสนาให้คงอยดู่ ้วยดี (๒) งานหอ้ งสมุดการศาสนา มีหน้าทเี่ กบ็ รวบรวมสรรพหนงั สือทเ่ี กีย่ วดว้ ยการศาสนาทั่วไป ท้ังภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ กองอนุศาสน์จัดพิมพ์และที่กรมหาได้มาเก็บไว้เป็นส่วนสัด เพ่ือสะดวกแก่ การค้นคว้าและจัดหาทุนพิมพ์หนังสือเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโอกาสอันสมควร เช่น วันวิสาขบูชา วัน อาสาฬหบูชา เป็นต้น แจกจ่ายประชาชนและห้องสมุดทั่วประเทศ พร้อมท้ังมีหน้าท่ีให้คําชี้แจงแนะนําข้อข้อง ใจเก่ยี วกับพระศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม แกน่ ักศึกษาและประชาชนท่ีมาติดต่อขอความเข้าใจทุกกรณี และมี หน้าทส่ี รา้ งรวบรวมภาพยนตรท์ เ่ี กย่ี วกบั เหตุการณต์ ่างๆ ทางพระศาสนาและวฒั นธรรมของกรมการศาสนาไว้ เพอื่ เผยแผ่ดว้ ย ตามกาํ ลังงบประมาณและความจําเป็น (๓) งานค้นคว้าและเรียบเรียงหนังสือศาสนา มีหน้าท่ีค้นคว้าในด้านพระพุทธศาสนา และ วัฒนธรรม ท้งั พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา คันถี และคมั ภีรส์ ทั ทศาสตร์ตา่ งๆ ทัง้ ฉบับบาลี

๑๓๐ ฉบับไทย และฉบับต่างประเทศ เพื่อให้ได้หลักฐานทางธรรมะและเรื่องราวท่ีเก่ียวกับพระพุทธศาสนาอย่าง แน่นอนถกู ต้อง ใช้เป็นแนวในการอบรมสั่งสอนของกอง และแก้ขอ้ ข้องใจของประชาชนท่ีมักสอบถามมาเสมอๆ ผลของการค้นคว้าที่ได้ ก็เรียบเรียงข้ึนเป็นตําราบ้าง เป็นบทความบ้าง เพื่อกองเก็บไว้เป็นสมบัติของราชการ และพมิ พ์เผยแผใ่ นโอกาสอันควร (๔) งานเผยแผ่ทางวิทยุกระจายเสียง มีหน้าที่เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียง มีหน้าท่ีเป็น กรรมการวิทยุกระจายเสียง กระทรวงศึกษา กรมประชาสัมพันธ์ จัดรายการวิทยุกระจายเสียง กระทรวงศึกษาธิการเป็นประจํา และประจําวันพระร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ ซ่ึงต้องจัดกันเป็นเดือนๆ ทุก เดือน ประจํามาหลายปีแล้ว และมีหน้าท่ีเรียบเรียงบทความเร่ืองเก่ียวกับจริยธรรม ศีลธรรม ไปบรรยายทาง วิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ ตามวาระเป็นประจําทุกเดือน จัดหาเรื่องที่เป็นของดีของไทย ในด้าน ศาสนาไปอภิปรายทางวทิ ยุกระจายเสยี งของกระทรวงศึกษาธกิ าร ในรายการของดีของเมอื งไทย เปน็ ประจาํ ทกุ เดอื นเชน่ กัน และจดั บทความไปบรรยายในรายการธรรมรกั ษา ณ สถานวี ิทยุศกึ ษา เป็นประจําทุกเดือน ในบาง โอกาสกจ็ ดั แสดงละครเผยแผ่ศีลธรรมทางวิทยุแห่งประเทศไทย ตามบทที่จัดเรียบเรียงขึ้นจากเค้าเรื่องในคัมภีร์ ชาดก พร้อมทั้งเลือกสรรและประพันธ์บทวิทยุสุภาษิตานุสรณ์ที่เห็นว่า เป็นคติเหมาะแก่เหตุการณ์ส่งไป บรรยายทางวิยุกระจายเสียงเป็นคราวๆ ไปด้วย (๕) งานอบรมประชาชนและเยาวชนของชาติ โดยปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ร่วมมือกับองค์การเผยแผ่ ทําการอบรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชาชน นักเรยี น นักศกึ ษา โดยร่วมมอื กบั กระทรวงศึกษาธกิ าร คือมหี น้าทว่ี างแนวและวธิ กี าร พรอ้ มท้งั ปฏิบัตเิ องด้วย ในการอบรมศลี ธรรมจรรยาแกน่ กั เรียน ตามโรงเรียนต่างๆ ท้ังส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในโรงเรียนราษฎร์ และโรงเรียนรัฐบาล โรงเรยี นอาชวี ะ ทว่ั พระราชอาณาจักร โดยพยายามใชห้ ลักในการอบรม ใหเ้ หมาะแก่กาละ ภาวะเหตุการณ์ของนักเรียนเป็นคราวๆ งานนี้ต้องทําประจําตลอดทั้งปีในสมัยการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการ โดยหัวหน้ากองได้จัดแบ่งแยกอนุศาสนาจารย์หมุนเวียนกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามท้องถ่ิน ต่างๆ วันละหลายๆ โรงเรียน นับเป็นงานที่หนักมากทั้งในด้านกําลังสมองและกําลังกาย เพราะต้องตระเวนไป ตามโรงเรียนต่างๆ ให้ครบตามกําหนดที่วางไว้เป็นตารางประจําวัน งานอบรมประชาชนและเยาวชนของชาตินี้ มจี ดุ ประสงค์ คือ ก. อบรมให้มีความเข้าใจและศรัทธาซาบซ้ึงในพระพุทธศาสนา ข. ให้รู้จักหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ค. ให้รู้จักหน้าท่ีของพุทธศาสนิกชนและปฏิบัติตามหลักธรรมในพระศาสนา ฆ. ให้รู้จักหน้าที่ของพลเมือง ต้ังอยู่ในศีลธรรม วัฒนธรรม ง. ให้รู้จักรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักเกียรติ รักอิสรภาพ และพร้อมที่จะพลีชีพ เพ่ือชาติ จ. ให้รู้จักประพฤตติ นเป็นพุทธมามกะ (๖) งานเผยแผ่ความรู้ มีหน้าท่ีออกไปแสดงปาฐกถาเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ในท่ีชุมนุมชน สมาคมและสโมสรท่ัวไปท่ีขอร้องและเชิญมา งานนี้สัมพันธ์อยู่กับงานค้นคว้าเรียบ เรียงและงานห้องสมุดดังกล่าวแล้วข้างต้น ในการออกไปเผยแผ่นี้ ถ้าสมควรก็นําภาพยนตร์เรื่อง พระพุทธศาสนาที่มีอยู่ออกไปฉายประกอบด้วย แม้ในท่ีบางแห่งเช่นในต่างประเทศเป็นต้น ที่ไม่สามารถจะไป ได้ เนอ่ื งด้วยไม่มงี บประมาณ เม่ือได้รบั คําร้องขอ กจ็ ดั สง่ บทความและภาพยนตรอ์ อกไปเผยแผ่เหมอื นกนั เช่น

๑๓๑ ส่งบทความรู้เร่ืองพระพุทธศาสนาของไทยในประเทศพม่า ส่งเรื่องประวัติพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ให้ ประเทศญี่ปุ่น และส่งภาพยนตรเ์ รอ่ื งพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ไปฉายที่สิงคโปร์ เปน็ ต้น (๗) งานอุปกรณ์แก่ราชการกองต่างๆ มีหน้าที่ช่วยราชการฉุกเฉินและท่ีสําคัญๆ ของกองต่างๆ ทั้งในด้านธุรการและวิชาการ เช่น จัดอนุศาสนาจารย์ช่วยกองสังฆการีทําหน้าที่ปฏิบัติพระสงฆ์ในงานพระราช พิธี และรัฐพิธีสําคัญๆ ซึ่งต้องใช้เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติมากเป็นพิเศษ ช่วยประพันธ์คําร้อยกรองและคําประกาศใน พิธีการต่างๆ ให้กรม และช่วยเป็นธุระในด้านจัดพิมพ์หนังสือ หรือสารคดีในหน้าที่ของกรมด้วยเป็นต้น นอกจากน้ีงานในด้านวิชาการต่างๆ ท่ีกรมการศาสนารับภาระมาจากกระทรวง หรือจากกรม กองอ่ืน ก็ตกเป็น หน้าท่ีท่ีต้องช่วยเหลือให้งานนั้นลุล่วงไปด้วยดี แล้วแต่ท่านอธิบดีจะมอบหมายมา และกองได้จัดพิมพ์หนังสือ มิ่งมงคล วัดสําคัญ ส่วนกลางส่วนภูมิภาค แจกตามห้องสมุดและหน่วยราชการต่างๆ ตลอดจนนักเรียน พระภกิ ษุ สมาคม (๘) งานพิเศษ กองอนุศาสน์ ได้ช่วยงานต่างๆ หลายอย่างเช่น งานวันเด็กแห่งชาติ มีการจัด รวบรวมและพิมพ์หนังสือนําทัศนาจรวัดท้ังส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพ่ือจําหน่ายในงานวันเด็กแห่งชาติ รับ หน้าที่จัดประกวดเรียงความส่งเสริมศีลธรรมสําหรับนักเรียนในงานวันเด็กแห่งชาติ เริ่มด้วยเขียนระเบียบการ ประกวด ประกาศ ตรวจและตัดสิน ตลอดจนจัดรางวัล ติดต่อนักเรียนที่ได้รับรางวัลให้มารับรางวัลในงานวัน เด็กแหง่ ชาติ (๙) รว่ มกบั กระทรวงศึกษาธิการ ใหก้ ารอบรมอาจารยใ์ หญ่ ครูใหญ่ ผชู้ ว่ ยท่ัวราชอาณาจักร หวั หน้าแผนก หวั หนา้ กองทงั้ หมดของกระทรวงศึกษาธิการ เปน็ การเผยแผ่ศลี ธรรม วฒั นธรรม มนุษยสัมพนั ธ์ ๒. ปริมาณและคุณภาพของงาน กองอนุศาสน์มอี ัตรากาํ ลังเจ้าหนา้ ทีผ่ ู้ปฏบิ ัตอิ ยู่ทั้งหมดเพียง ๘ คน เทา่ น้นั เป็นหัวหนา้ กอง ผบู้ งั คบั บญั ชา ๑ เปน็ เสมียนพนักงาน ๑ นอกนี้อีก ๖ คน เปน็ อนุศาสนาจารย์ ซงึ่ เปน็ หวั แรงอนั สาํ คญั ของกอง อนุศาสนาจารยท์ ้งั ๖ นี้ ดาํ รงตาํ แหน่งอนุศาสนาจารย์โท ๓ อกี ๓ เปน็ อนุศาสนาจารย์ตรี แมม้ ีอตั รากาํ ลังเพียง เทา่ น้ี ก็มปี ริมาณงานท่ีได้ปฏิบตั ิไปแล้วมาก โดยสมรรถภาพและมคี ณุ ภาพอย่างยง่ิ จริงๆ ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ประกาศใช้พระราชกฤษฎกี าแบง่ สว่ นราชการกรมการศาสนาใหมเ่ ปน็ ๗ กอง ได้เปล่ยี นจากกองอนุศาสน์ เปน็ กองจรยิ ศกึ ษามี ๒ แผนก ๑. แผนกศาสนาจารย์ ๒. แผนกส่งเสรมิ และเผยแพรจ่ รยิ ศกึ ษา ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ได้มปี ระกาศคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ ๒๑๗ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๑๕ ให้โอน กองวฒั นธรรม สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ มาสังกดั ในกรมการศาสนา ทาํ ให้กรมการศาสนาแบ่งสว่ น ราชการออกเป็น ๘ กอง กองจรยิ ศกึ ษามี ๒ แผนก คงเดมิ ในปี ๒๕๑๖ คณะกรรมการปรับปรุงหน่วยราชการของคณะปฏิวัติได้ให้ความเห็นชอบให้ กรมการศาสนา แบง่ ส่วนราชการในกองและในสํานกั งานออกเปน็ ฝา่ ยตา่ งๆ ตามลักษณะงานทเ่ี ปน็ ฝ่ายวิชาการ หรือการจัดดําเนินการท่ีมิใช่งานบริหารทั่วไป เป็น ๕ กอง ๓ สํานักงาน โดยยุบกองจริยศึกษา เป็นฝ่ายจริย ศึกษา อยใู่ นกองศาสนศกึ ษา ต่อมาในปี ๒๕๒๐ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอตั้งสํานักงานสภาเผยแพร่ศาสนาและศีลธรรม ไปยงั คณะท่ีปรกึ ษาระเบียบบริหารของนายกรัฐมนตรี ในสมัย นายธานินทร์ กรับวเิ ชียร เปน็ นายก

๑๓๒ รัฐมนตรี พลโท บุญเรือน บัวจรูญ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า การจัดตั้ง สํานกั งานขน้ึ มาใหม่ ไม่อาจแก้ปญั หาได้ ควรปรบั ปรุงงานที่มีอยู่แลว้ ในกรมการศาสนาซ่งึ ปฏิบัตอิ ย่แู ล้วนนั้ ใหม้ ฐี านะสงู ขนึ้ ระดับกองได้ คือ ขอใหย้ กฐานะฝา่ ยจริยศึกษา ซึ่งอยใู่ นกองศาสนศึกษา ขนึ้ เป็นกองจริยศกึ ษา ในปงี บประมาณ ๒๕๒๑ ตอ่ ไป ในปี ๒๕๒๒ คณะรัฐมนตรไี ด้เหน็ ชอบดว้ ย ทยี่ กฐานะฝา่ ยจรยิ ศึกษาขนึ้ เป็นกองจริยศกึ ษา โดยมอี ัตรากาํ ลงั ดังนี้ กองจรยิ ศึกษา แบง่ งานออกเป็น ๔ ฝ่าย ๑. ฝ่ายธรุ การ ๒. ฝา่ ยอนุศาสนาจารย์ ๓. ฝ่ายสง่ เสรมิ เผยแพรจ่ รยิ ธรรม ๔. ฝ่ายจริยานเิ ทศ ในปัจจุบันน้ี งานอนุศาสนาจารย์ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ถูกยุบภารกิจไป ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ เน่ืองจากพระราชกฤษฎีกาแบ่งหน่วยงานเป็น สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ กรมการ ศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยปัจจุบันเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาท่ีเคยเป็นอนุศาสนาจารย์ ได้ถูกจัดให้ไปอยู่ ในกลุ่มส่งเสริมวิชาการพระพุทธศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมท้ังมีภารกิจใหม่ท่ีไม่ใช่งานของ อนศุ าสนาจารย์ ....................................

๑๓๓ บทท่ี ๑๔ ประวตั ิความเป็นมาของอนุศาสนาจารยต์ ํารวจ6 .......................... ยุคแรกเริ่ม แต่เดิมน้ัน คําว่า อนุศาสนาจารย์ตํารวจ เร่ิมมีปรากฏคร้ังแรกเมื่อใด ไม่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัด แต่เร่ิม ปรากฏเป็นรปู ธรรมครั้งแรก ตามข้อมลู ท่ีสามารถสบื คน้ ไดน้ น้ั กลา่ วคือ เมอ่ื ประมาณปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๙๗ กรมตํารวจ โดย ทา่ น พลตํารวจเอก เผ่า ศรยี านนท์ อธิบดกี รมตาํ รวจ (ในขณะนน้ั ) ได้มนี โยบายให้ย้ายโรงเรียนนายร้อยตํารวจ ซ่ึงได้ก่อสร้าง ขึ้นใหม่ที่อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมีคําสั่งให้ พันตํารวจเอก วิจิตร สุกโชติรัตน์ หรือมหาวิจิตร เป็นผู้ทําหน้าท่ี อนุศาสนาจารย์ และสอนวิชาจริยธรรมแก่นักเรียนนายร้อยตํารวจ และท่านผู้น้ีเอง เป็นผู้ตั้งคําขวัญประจําชั้นปีของ นักเรียนนายร้อยตํารวจทั้ง ๔ ช้ันปี ติดไว้ประจําอาคารนอนของนักเรียนนายร้อยตํารวจ ทั้ง ๔ อาคาร ความว่า \"เกียรติศักด์ิ รักษ์วินัย วิจัยกรณี ขันตีอุตสาหะ\" ต่อมาได้มีการรับโอนอนุศาสนาจารย์กองทัพบก มาทําหน้าท่ีเป็นอาจารย์สอนวิชา จริยธรรมท่ีโรงเรียนนายร้อยตํารวจ อีกหลายท่าน เช่น พันตํารวจเอก เขียน รัตนสุวรรณ เป็นต้น แต่ก็ไม่มีการตั้งเป็น หน่วยงานสายวิทยาการข้นึ มา และเมือ่ กาลเวลาผา่ นไป ในภายหลงั ไม่มกี ารรับโอนอนุศาสนาจารย์จากกองทัพมาเพ่ิมเติม คํา วา่ อนศุ าสนาจารย์ จงึ ค่อยๆเลอื นหายไปจากกรมตํารวจ ยคุ ก่อตงั้ หนว่ ยงาน กระทั่ง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสํานักงานตํารวจแห่งชาติฉบับใหม่ ข้ึน และระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ว่าด้วยการกําหนดอํานาจหน้าท่ีของส่วนราชการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งกฎหมายและระเบียบท้ัง ๒ ฉบับน้ี เป็นที่มาของการตั้งหน่วยงานอนุศาสนาจารย์ตํารวจ ในช่ือ กลุ่มงาน อนศุ าสนาจารย์ สาํ นกั งานตํารวจแหง่ ชาตขิ ึ้น มสี ถานะเทียบเท่ากองกาํ กับการ อยูใ่ นสังกัด กองสวัสดิการ สํานักงานกําลังพล โดยมี พนั ตํารวจเอก สายัณห์ ภสู่ มบรู ณ์ เป็นผูก้ ํากบั การกลมุ่ งานอนุศาสนาจารย์คนแรก ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในขณะนั้น คือ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ท่านได้เล็งเห็น ถึงความสําคัญของงานอนุศาสนาจารย์ จึงมีดําริให้จัดฝึกอบรมตํารวจผู้ทรงคุณวุฒิ ทําหน้าที่ศาสนพิธีกรประจําหน่วย ใน สงั กดั สาํ นักงานตํารวจแหง่ ชาติ เป็นรนุ่ แรก (ปัจจบุ ัน ผ่านการอบรมจาํ นวน ๔ รนุ่ ) ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๕๘ สาํ นักงานตํารวจแห่งชาติ ได้รบั โอนอนุศาสนาจารย์กองทัพบก คือ ร้อยโท ปณัฐชัย โป๊ะไธสง อนุศาสนาจารย์ กรมทหารม้าที่ ๖ มาเป็นอนุศาสนาจารย์ตํารวจ ในตําแหน่งรองสารวัตร กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ กองสวัสดิการ เพ่ือมาทําหนา้ ทเ่ี ปน็ อนศุ าสนาจารย์ต้นแบบ ให้แกอ่ นศุ าสนาจารย์ตาํ รวจในปจั จบุ ันและอนาคต กรอบหน้าที่และภารกจิ กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ กองสวัสดิการ สํานักงานกําลังพล สํานักงานตํารวจแห่งชาติ มีหน้าท่ีและภารกิจ รบั ผดิ ชอบเก่ียวกับกิจการของอนุศาสนาจารย์ อํานวยการและดําเนินการเก่ียวกับศาสนพิธี ให้คําแนะนําแก่ผู้บังคับบัญชา ใน 6 ว่าที่ พนั ตาํ รวจตรี ปณัฐชัย โป๊ะไธสง, สารวตั ร กลมุ่ งานอนุศาสนาจารย,์ รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูล

๑๓๔ ปัญหาทง้ั ปวงท่เี กี่ยวกับศาสนาและขวญั ของตาํ รวจ รวมท้งั งานอ่นื ท่ไี ด้รบั มอบหมายตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและ คําสั่งของผู้บงั บญั ชา โดยปฏบิ ตั หิ น้าท่ี ดังน้ี ๑. งานธรุ การ สารบรรณ และทะเบยี นพลของกลุม่ งาน ๒. ค้นควา้ วทิ ยาการอันเป็นประโยชนเ์ กื้อกูลแก่งานอนุศาสนาจารย์ ๓. รวบรวมและเรียบเรียงตาํ รา รวมทง้ั สรา้ งอุปกรณก์ ารสอน อบรมในหน้าท่อี นศุ านาจารย์ ๔.รบั ผิดชอบการจัดทําวารสารทางดา้ นศาสนา ๕.รับผดิ ชอบการจัดทําปฎทิ นิ งานและจดหมายเหตุ ๖.ดาํ เนินการเรือ่ งจลุ สารทางศลี ธรรม และวฒั นธรรมของกองอนศุ าสนาจารย์ สาํ หรับแจกจ่ายภายในหนว่ ย ในสังกัดสาํ นักงานตํารวจแห่งชาติ ๗. วางแผน จดั ทาํ โครงการ ประสานงาน กํากับดูแลการอบรมศลี ธรรมวฒั นธรรม การพฒั นาจรยิ ธรรม และ การรายงานผล ๘.ดําเนินการเร่ืองการอบรมทางศีลธรรม และการอบรมกรณีอ่ืนๆ เป็นพิเศษตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ๙.ประเมนิ ผลการอบรมศีลธรรม และการพฒั นาจริยธรรม ๑๐.ดาํ เนินการทางด้านพิธแี ละการบรกิ ารทางศาสนพธิ ี ๑๑.รับผิดชอบอปุ กรณป์ ระกอบพิธี ๑๒.ใหค้ ําแนะนาํ และกวดขันการปฎิบัติพิธีของอนุศาสนาจารย์ และผู้ช่วยอนุศาสนาจารย์ ๑๓.ดําเนินการประสานและนิมนตพ์ ระสงฆใ์ นพธิ กี ารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ๑๔.รบั ผดิ ชอบการจดั อนุศาสนาจารยป์ ฏิบัติพิธี ๑๕.ดาํ เนนิ การดา้ นพธิ ีและการกุศลของสาํ นกั งานตํารวจแหง่ ชาติ ในส่วนทีเ่ กยี่ วขอ้ งหรือของหนว่ ยงานตามที่ ผบู้ ังคับบัญชาสง่ั การหรอื มอบหมายอาํ นาจหนา้ ท่ี ๑๖.งานอื่นๆ ทผ่ี บู้ งั คับบญั ชามอบหมาย โครงสรา้ งหนว่ ย (ปจั จุบนั ) กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ มีสถานะเทียบเท่ากองกํากับการ มีอัตราบรรจุตําแหน่งตามโครงสร้างปัจจุบัน ดังน้ี ๑. ผู้กาํ กบั การ กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ คือ พนั ตาํ รวจ วรี ศักดิ์ ทองสาริ ๒. รองผกู้ าํ กับการ กลมุ่ งานอนศุ าสนาจารย์ คือ พันตํารวจโท ภรู วิ ัจน์ บญุ สยุ า ๓. สารวัตร กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ คือ ว่าที่ พนั ตํารวจตรี ปณฐั ชัย โป๊ะไธสง ๔. รองสารวัตร กลุ่มงานอนศุ าสนาจารย์ คอื รอ้ ยตาํ รวจเอก สรุ ชยั เอี่ยมศรี ๕. ผบู้ ังคบั หมกู่ ลมุ่ งานอนุศาสนาจารย์ คือ สิบตํารวจโท หญิง จณิ หน์ ิชา ชารีชุม และ สบิ ตํารวจตรหี ญงิ สุชาดา รงั สี

๑๓๕ ทาํ เนยี บผู้บรหิ าร กล่มุ งานอนุศาสนาจารย์ตาํ รวจ สาํ นักงานตํารวจแหง่ ชาติ