Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประมุขศิลป์

ประมุขศิลป์

Description: ประมุขศิลป์

Search

Read the Text Version

ถ้าหากวา่ สมาชกิ ทุกคนต่างมิเบาหมาย มีเจตจำนงแนว่ แน่ ตรงก่น กลุม่ ชนจะดำเนินไปสเู่ บาหมาย “ งาน ” ของกลุ่ม แตถ่ ้าหากรเมาซกิ ของกล่มุ ถือเอา “ ความม่งุ หวงั สว่ นตัว ” เบน หัวใจของเขา ความสำเร็จของ ‘'ง าน ” ของกลมุ่ จะไม่มี ๒. บญ หนรองประมุขสล!] (7116 1.6๗61-31111) ?1-0๖16๓ ) ภาวะสรไงสรรค์ของกลุ่มขนอย่กู *บลไาษณะของ ประมฃุ ศํล!]'ในกลมุ่ ชนเช่นกัน คนบางคนชอบอยู่ ภายใต้ การนำของคนอืน่ ส่วนบางคนชอบมเี สรีภาพในการกระทำการ ตัดสนิ ใจของตนเอง ในสถานการณ์บางประการ เราตองการ ที่จะตดั สินใจตัวยตนเอง แต,่ในบางสถานการณ์เราตัองยอม ตกอยู่ในอำนาจการตัดสนิ ใจของคนอ่ืน กลมุ่ ชนควรทจ่ี ะยอม วับรู้ธรรมชาตแิ ห่งการแข่งขันกน่ เพออิทธิพลอนั มอี ยใู่ นกลุ่ม ๒ ล*กษณะตังกลา่ ว ฉะนน้ํ การกระทำอนมปี ระสทิ ธิผลกลุ่ม จึงขนอยูก่ *บการยอมวับเอาอำนาจแบบประมุขศิล!เอยา่ งใด อยา่ งหนง่ึ ๓. การขาดท่กษะการส:ไงความคดสนใจ (น๗* 060131011 ร!*!แ ) ประสบการณย์ ่นย่นวา่ แนวการ

นอกไปจากนแหล่งทมี่ าแห่งบญหาเกี่ยวกับมนุษย์สมั พันธ์ อีกประการหนีง่ ก-่ี คอ ในการตดิ ตอ่ ของมนุษยน์ น “ ความคดิ ” และ “ ความร้สู ึก” เบนกระใเวนการที่เกดขนพร*อมกัน โดย เหตุนเํ้ อง เพราะเนองจากสัอเที่จจริงทว่ี ่า คนลว่ นมากมิได้ เบนนกั ตรรกวทิ ยา หรอิ เบนนักใช้เหตุผลที่ดื แตส่ วั นแต่ กลบั คิดวา่ เขาเบนนกั เหตผุ ล บ่อยคร้งจงึ ปรากฏวา่ เขาไดป้ ฏปิ ต้ สงึ ตา่ ง ๆ ลง,โปบนพนื่ ฐานแหง่ ความรู้สึกทเี่ กดขนมไิ ด้ปฏบํ ต บนพนฐานแห่งเหตผุ ลอ*นถกู ต*อง ขอข*ดแยง่ กบั เพอ่ื นร่วมกลุ่ม จงึ เกดิ มขิ น ฉะนํน้ จงึ จำตองระมัดระว*งดลอดเวลาวา่ ความ รูส้ ึกต่าง ๆ มผิ ลอย่างลำค*ญตอ่ พฤติกรรมทคี นแสดงออกต่อ คนอืน่ กัาหากไม่รจู้ ักวธิ คี วบตมุ ความรู้สกึ แลว พฤตกิ รรมที่ แสดงออกมาตามความรู้สึก ยอ่ มจะทำลายภาวะสร่างสรรคข์ อง กลุ่มได้ ๔. ฑารไม่ร่วมม่อกนํ อย่างจริงใจ (ฃฑ^611 ) กลมุ่ ชนกล่มุ ใดกต็ าม กาั หากขาดพลงั ความสามคั คิ ในการร่วมพลงั ทางกาย พลังสมองเพอ่ื ประสทิ ธิภาพของกลมุ่ เสยึ แลัว ภาวะสรา่ งสรรค์ของกลุ่มจะเกิดมิขนมิไดเ้ ลย สาเหตุ ทีก่ ลมุ่ ชนขาดพล*งความสามคั คี ย่อมจะสบื เนองมาจากสาเหตุ

หน ว่ ย3านสรำงส์รรล บคุ คลแต่ละคนย่อมมบคุ ลิกภาพเฉพาะตวั ไมI่ Vเมอื นก*น, ฉนั ใด หน่วยงานแตล่ ะหน่วยยอ่ มมบ่ คุ ลิกภาพของหน่วย แตกตา่ งกันฉันน้น ภาวะสรา่ งสรรค์ซองหนว่ ยส่วนใหญ่เกดิ จาก แบบแห่งบรรยากาศของหน่วย หรือบรรยากาศทางจติ วิทยา ของหนว่ ยที่บศุ คลทำงานอยู่ เนื่องจากวา่ หน่วยงานแตล่ ะหน่วย ประกอบตวั ยบุคคลทงหลายผูน้ ่ืมพี นํ้ ฐานความรอบ!และความ จ*,ดเจนแตกตา่ งกัน ฉะน8น การเบดี โอกาสโดยกวางขวางให้คน ในหนว่ ยงาน ได้มส็ ิทธแิ สดงความคดิ เหน็ เพอหนว่ ยงานอย่าง เสรืก็ดี การสรา่ งบรรยากาศแห่งความชว่ ยเหลือซง่ึ กันและกนั ก็ดี ย่อมเบนแนวทางกใ็ หเ้ กดิ ภาวะสร่างสรรค์ หน่วยงานน้นํ สมควรอยา่ งย็งที่จะวิกัยว่า องคป์ ระกอบตอ่ ไปนื่อาจเบนกำแพง ก8นภาวะสรา่ งสรรค์เอาไว้ ๑. การกดดนิ เพI ือภาวะเอกรูปกนั ไม่เก1ยี่ วกับผลงาน ( ?168รน1‘6 {อ? 1ง๐ฑ—1^61673111: ^01-11111:3^ ) เบนหลก ธรรมดาทีว่ ่าหนว่ ยงานย่อมจะตอั งควบคมุ ให้คนในหน่วย เคร่งครด่ ต่อกฎชอ่ บังตบั หรือมาตรการกนั เก่ยี วกับประสิทธผิ ล

กนมใิ ห้ภาวะสร่างสรรค์ของคน'ในหน่วยงาน สำแดงรูปออกมา ทง่ นเพราะการรIิ รมี กด การเสนอแนวคดิ ใหมก่ ็ดี ย่อมเบนิ การเส่ยี งมากกวา่ การทำไปตามแนวทางเดมิ สภาพการทำงาน ในหนว่ ยจงึ ม*กดำเนินไปในรปู “ ทำก็ชาม ไมท่ ำกช็ าม” โดย พยายามร*!าษาตัวไม่ให้เกิดความผิดขน ๔. ความกดดนในการทำงานมากเกินไป (2x0633^6 ^01-11 ?1683111-6 ) ย่อมเบนความจรงิ ที่ว่าการวางแผนงานทีด่ ี และการควบคมุ การปฏบิ ต่ ใหด้ ำเนินไปตามแผนทีว่ างไว้ ช่วย ใหก้ ารทำงานในหน่วยมปี ระสิทธผิ ล แตต่ ัาหากว่าคน'ในหนว่ ย ตกอยใู่ นภาวะ ทารกดตันมากจนเกนิ ไป ผลงานท่ีจะปรากฏ ออกมาจะอยูใ่ นรูปตรงกันขำม เพราะเหตุว่าผลงานสร่างสรรค์ ทกุ ประการ มไิ ดเ้ กดิ จากสมองอนั อัาวุ่นตัวยบญหานานาประการ ของคนทำงาน แต่เกดิ ขนในเวลาที่คนอยู่ในอารมณป์ ลอดโปรง่ จติ ใจสบายและเบนสมาธิ เพราะฉะน,น เฟรดเดอรคิ ดิ. แรนดอลล์ จงึ ไดอ้ ธบิ ายไว้ว่า “ จิตใจของคนจะสร่างสงี สรา่ งสรรคข์ นมาไดใ้ นยามราตริ แมอสมองปลอดโปร่งจากงานเวลากลางอนั ”

(5)06) ทารสรา่ งข่อยตุ ระเบยี บวิธกี ารผืกความคดิ ประเภทผลืตผลนื่ ช่วยให้ผูเ้ ข่ากบั การผกื กำหนดประเภทของบญหา รวบรวมข่อมูล อันเก่ยี วเนื่องกับบญหาส่งเสรมิ ให้เบนนไาโตแ้ ย,้ง วธิ ีประมาณ คา่ แนวคด กกาั ท่ีจะเปลยี่ นแปลงแนวความคดิ ในการ'ผกแบบ นื่ บญหาต่าง ฯ จะถกู นำมาเสนอให้ผู้กบั การผืกปฏํบ่ต เชน่ บญี หาขไ)เดยี วแต่ใหห้ าค่าตอบวิธแี กบ้ ญหาข่อน*นใหไ้ ต้ค่าตอบ มากท่สี ุดเท่าทจี่ ะคดิ ได้ ใหป้ ระตษิ ฐค่าคมสภุ าษํต ขนใหม่ 1®). การผ ก ความฉบไว ( 36ฑร1ฝ^7 7*ล11น1่ 18 ) เน่อื งจากว่าคนส่วนมากปฏิบตงานรว่ มกบั คนอืน่ การผก ความฉบั ไวจงึ มีเบาหมายเพอชว่ ยเหลือให้บุคคลกลายเบนคนมี ประสทิ ธภิ าพในสํมพันธภาพกับคนอนื่ ประสทิ ธภิ าพในขอ่ นื่ เกดขนได้เพราะ ก. การเพมี ความระมิดระ กังและความเข่าใจเรอง พลัง จูงใจ และความรู้สกึ ในการตดิ ตอ่ ระหว่างบคุ คลตอ่ บุคคล ข. การปกับปรุงฑกํ ษะในการตดิ ต่อกับคนอ่ืน ระเบียบวิธีการผกื ความฉบั ไวน่ื ผคู้ วบดมุ การผกื แบ่งผู้กับ การผกื ออกเบนี กลมุ่ เลก็ ๆ ทกุ คนจะได้กบั การผกื ฝนเกีย่ วกบั

5)0๓ ระหว่างหวํ ่งเวลาการผกื ฝน ผ้เู ข้ารบการผกฝนจะได้ ตรวจสอบความรลู้ ึกกํรยื าทา่ ทาง การแสดงออกทางใบหนำ และพฤดกี รรมประจำวนอนี ๆ อนั ละเอียดอ่อนของตนโดย ละเอียด (๓ ) การผกทกํ ษ8 การวเิ คราะห ( จ{ส ^08110 รผแ ’1™๒๒8 ) การผืกฝนแบบน้มํ วี ‘ตถปุ ระสงค์หอักอยูท่ ี่ การช่วยใหบ้ คุ คลผทู้ ำงานร่วมกนในกลุม่ ไดเ้ ขา้ ใจถงึ สาเหตุ แห่ง “ ความพกํ ารกลมุ่ ชน” หรือความขัดแย้งกนั ระหว่าง สมาชกิ ซง่ึ แสดงออกในรปู ขของการแข่งขน้ เทีอ่ การครองอำนาจ การวางเฉย การไมต่ ลั ลนึ ใจ ระเบยี บวํธปี ฏิบตที่เลว พฤดกี รรม อันเบนี ดจุ คลน่ื 1ใด้นาแบบ,แ เบีนอัวการทีล่ ดประสิทชผิ ลของ กลุ่มลงไป ผู้เขา้ ขบั การผกื ฝนจะได้ขับการผืกฝนในเรอื งบทบาท ของประมขุ ศลิ !] แบบทด่ี แี ห่งกาวร่วมปฎบิ ตงานในกลุ่ม การ ข้าวหนำไปสเู่ บาี หมาย อกั ษณะการดีดต่อที่ดี วินํยของกลมุ่ ความรสู้ ึก'ในเรืองความเบนเอกภาพ (๔) การผกสมอง ( 8101๓1ฑ8 ) อเลกซ เอฟ. ออสบอรน เบ็นคนแรกทพ่ี ํฒนาการผืกสมองขนเพอผ1ึ กฝน

๑๐๕ (๕) เมอ๋ึ ยตุ กิ ารประชุมแลว่ จะนํบวา่ มแนวการ แก้บญี หากีว่ ิธี แดัวดดั ทำการประมาณคา่ แนวการแก้ (๖) ผลการประชุมผืกฝนแตล่ ะคราว จะรายงาน ใหผ้ ้อู ำนวยการผืกฝนทราบ ล่าหากว่าเบนแนวการแกบ้ ญหาฑื่ ใชไ้ ด้ ผเู้ ขไรบ่ การผ'ึ กจะเกดิ ความสนใจและกระตอิ รอิ รนใน การท่ีจะเขา่ ประชมุ ผืกฝนไนคราวตอ่ ไปอีก ๕. ระเบยบวธปคบู ต (ใ/116 0{561\"ส1:101131 ^ ) ) 5 55103011 วลิ เลียม เจ. เจ. กอรด์ อน แสดงความติดเห็นว่าระบียบวธิ ผี 1ึ ก สมองผลตี แนวตดิ ประเภทฉาบฉวย เพราะว่าขอยตุ ิเกิดขํ้นใน เวลาลน่ รวดเร็วมากเกินไป ส่วนแนวการแกบ้ ีญหาตามระเบียบ วธิ ปี ฏบิ ตํ ของเขา เขามิใดม้ ุ่งจะแสวงหาแนวแกบ้ ญี หามากมาย แต่จะมงุ่ เพยง ๑ -๒ ประการทีเ่ บนแนวใหม่ชนดเี ยยี่ ม ระเบยี บ วิธปี ฎมิ ่ตบขี ํน้ ตอนดงั น (๑) เรม็ แรกผู้เขา่ รบิ การผกื จะอภิปรายเรอิ งราว ต่าง ๆ ดนั เกีย่ วดับบญหาในดกั ษณะทวไป (๒) ประธานเสนอข*อเทจ็ จรงิ ซึ่งจะกำหนดเบีาหมาย ของดวั บญี หาใหแ้ คบเขไ การอภปิ รายจะดำเนินไปตามขอบเขต ทรบทราบ

บทที่ ๔ การทำการตดสนั ใจ ^ นรากำด้งทำการตัดสนิ ใจแบบทเี่ ราควรจะทำหรือไม่ เราดอ้ งเปลยี่ นแนวการตดั สนิ ใจบอ่ ย ๆ หรอื ไม่ ทำไม จึงไมย่ ดึ มนกบั การติดสินใจทไ่ี ด้กระทำลงไปแลํว์ เพราะเหตไุ ร จงึ ต้องทำการตดิ สนิ ใจด้วยตนเอง จะไว้ วางใจคนอนื่ ให้ช่วยตัดสนิ ใจบา่ งไม่ ไดห้ รอื ทำไมการตัดสนิ ใจจงึ ไมถ่ ูกนำไปปฎทิ ตั เราสามารถปรับปรงุ ทกั ษะ การทำ การ ตดั สนิ ใจ ของเราไดอ้ ย่างไร\". ตอ้ งการอะไร ? แบบไหน ? หริอไม่? ปรมิ าณเทา่ ใด ? ในทวั งเวลาไหน ? เร่งดว่ นหรอิ ไม่ ? เสียค่าใชจ้ ่ายเทา่ ไร เราสามารถดำเนนิ การได้ จะใช้ระเบยบวธหรอิ แนวการปฏบด้อย่างไร ?

ก*บการทำการตดั สนใจอยูม่ ากหลาย ซงึ่ เกาะแนบแน่นอยูใ่ น. แนวคิดของคนส่วนมาก แนวคิดผดิ ๆ น้นได้แก่แนวคิด ตงั ต่อไปน ๑. การทำการตดิ สนใจยอ่ มมได้เฉพาะคนหวํ หนำ หน่วย หรอคนในตำแหนง่ สงู สดุ ของหน่วยเทา่ นน ขอน เบนแนวคดิ ท่ผี ดิ อยา่ งมห*นต่ ผลการวิตัยยืนยันวา่ บคุ คลทุก ระตบั ย่อมตอั งทำการตัดสินใจที่งสน และการตดั สนิ ใจนํ้นไม่ว่า จะเบนการตดั สินใจของบคุ คลหรือของกลุ่มชน ย่อมมีผลตอ่ สภาพของหนว่ ยงานทดี่ ำเนนิ การอยทู่ ง่ี สน 1®). ขอมูลสมบรู ณ์ดจะช่วยคํ้าประตนิ วา่ การตดสน ใจจะดติ,วย แนวคดิ ข่อนเกดิ จากการหาเหตผุ ลทางดรรกวิทยา อันมีรากฐานอยู่บนแนวคิดเรือง “ งานท่ีสมบรู ณข์ องผาิ ย อำนวยการ ” แตใ่ นทางปฏนิ ่ตนนํ มตี ัอเท็จจรงิ อยวู่ า่ ความ สมบูรณแ์ ห่งข่อมลู ย่อมไมอ่ าจคาประกันไดเ้ สมอไปวา่ การ ตัดสินใจจะตอั ง “ ดี ” ตามไปตัวย ๓. การทำการติดสนใจของหน่วยงานจะปรบปรงุ ให้ดฃ้ นได้ เพราะผูบริหารระด*บหวหนา ทำการตดิ สนใจ โดยอาส*ยการศกษใและการปฎบิ *ต จรงิ อยู่เบนท่ยี อมรบ

เพราะฉะนํ้น จงึ นบั ว่าเบนประโยชน์อยา่ งยงี ที่สมควรจะ วิเคราะหก์ ระบวนการการทำการตดั สนิ ใจ ซึ่งได้แก่ ๑. องค,์ ประกอบพ น ฐาน ใน การทำการตดั สนิ ใจ ( ธ30^81011ฑ(1 111 060181011 — ^3^1118 ) หนวยงาน พุกหนว่ ย ย่อมจะมทิ ีง่ ประว่ตศาสตร์และภาวะบจจุบัน ของหน่วย ท,งสองประการ พุกหน่วยงานจงึ ย่อมมแิ บบส*'มพันธภาพระหวา่ ง บุคคลทง่ี หลายใน หนว่ ยงาน ซ่ึงนับว่ามอ็ ิทธพิ ลมหาศาลตอ่ พกุ คนผปู้ ฏบํ ตงานในหนว่ ย เพราะฉะนน้ เราจึงบักไดย้ นิ คน •พดู กนั ว่า “ เขาเบนลกู หมอ่ กระทรวงการต่างประเทศ ” “ พวกเราเลอดทหารมา่ ” “ พวกเราชาวธนาคาร ” หนว่ ยงานที่บุคคลทำงานอยู่ย่อมมคิ วามหมายทางสังคม อย่างสำคัญยีงต่อพกุ คน มิ'เพยี งสัมพ*'นธภาพในครอบคร*ว เทา่ น้น ทมี่ อิ ทิ ธพิ ลเหนียวแนน่ กว่าพล*'งสัมพนั ธภาพในหนว่ ย งาน งานอาชพี ของเรามิความหมายมากกวา่ การหาเงินเลยงชพี ไปว*'นหน่ึง ๆ เพราะงานอาชีพน่นึ เบนส่วนหน่ึงแหง่ “ ระบบ คุณคา่ ชีวิตของคน ”

©๏ปโี ) กบั เขา ส*มพนํ ธ่ ภาพนเองทีส่ รา้ งคนแตล่ ะคนใหม้ ความร้สู ก และดำรงชิวํตรว่ มกัน ห*วหนํคนงานยอ่ มรู้ดวี า่ คนงานของ เขาต,องการอะไรไม่ตอ้ งการอะไร วางเฉยไนเรอื่ งได แลว้ เขา ก็นำคนงานไป ในทศิ ทางทเี่ ขาลอ้ งกาวได้ ๒. บญหน:องความเลา้ ใจในการทำการตดสนใจ ( ?1\"0๖161ฑ 0เ 111 000เ8เ011 —1ฬ8^1ถ2 ) สมาชํก ทกุ คนในหนว่ ยงานย่อมมองดเู หตุการณ์ วจยบคุ คลลว้ ยวฒุ ิ บญญาแห่งความวัดเจนของตนเอง เพราะฉะน,น ความเลา้ ใจ ส่วนบุคคลจึงกลายเบนเรื่องสำลญ้ อยา่ งยีงในกระบวนการการ ทำการลด้ สนิ ใจ เช่น ผู้อำนวยการกองหรีอห*วหนำหนว่ ยงาน เบนคน “ เมตตากรุณาและใคร่ครวญหาเหตุผล” ทกุ คนใน หนว่ ยงานย่อมเกิดความสบายใจ ก*บพร้อมท่จี ะมอบความจงวกั ภกั ดใี หอ้ ย่างจรงิ ใจ วัตถดุ บิ แหง่ ความเลา้ ใจส่วนบุคคลเกดิ ขน โดยนํยน แต่ว่าความเลา้ ใจของบุคคลมใิ ชม่ ลี ก้ ษ ณ ะเชิงเดย่ี ว ด*งกลา่ วแล้วเทา่ นํน หากกงั เกี่ยวเนองไปถึงทัศนคติของเขาทมี่ ิ ตอ่ หน่วยงาน วตั ถปุ ระสงค์ของหนว่ ยงานและกังใตค้ รอบคลุม ไปถึงอาณาจ*กรแหง่ บญญา เรอ่ื งการยอมวบั น*บถอึ ในฐานะ ทเ่ี ขา แต่ละคนเบนสมาชกิ ของหน่วยงานอกี ลว้ ย

©๑๔ แนวทางปเ]บต่ อ*'นมีประสิทธผิ ลในการวิเคราะหบญหา มลี า่ ตบั ข,นตอนตงั ตอ่ ไปนื่ ๑. การยอมร*'บบญหา ๒. องคป่ ระกอบอ*'นเนอ่ื งด*'วยบญหา ๓. การพยากรณ์ผลลว่ งหนำ ๔. การพงความคิดเหน'ในแนว'ทางปฏิบ่ต้หลาย ๆ ทาง ๕. การประมาณค่า และการทดสอบผลทอ่ี าจเบน ไปไคข้ องแต่ละแนวทางปฎิบ่ต ๖. การเลือกหนทางปฏิบต่ ทีด่ ที สี่ ดุ ๗. การตดั สนิ ใจปฏบิ ่ตตามแนวท่ีเลอื กไว้แลว่ ๔. การกระทำและปฎกิ รยา ( ^0*100 311(1 1?630เ10๐ ) เมอื่ กล่าวโดยกระบวนการทางดรรกวิทยาแล่'ว การทำการ ตัดสินใจจะเกดิ ขนไมไ่ ค้ ถไหากวา่ ไมม่ ก็ ารพจิ ารณาลว่ งหนำ ก่อนวา่ การตดั สินใจ น1นจะถูกนำมาปฏิปตไค้โดยวธิ ใี ด มี บุคคลใดบา่ งจะไค้ร*'บการบรรจุใหเ้ ข่าปฎิปต้ งานตาม แผน ข,น ตอนการปฏิบต่ เบนไปอยา่ งไร อะไรเบนเรอื่ งเร่ง ด่วนนอกไป จากน่กื ระบวนการ การกระทำยไเกึย๋ วเนื่องไปถงึ การติดต่อของ

๑๑ฟ้ ทารทจ่ี ะบรรลวุ *'ตอุประสงค์แตล่ ะข*'อ ข่อ์นเบนจรงิ มี ใช่เพยี งใน หนว่ ยงานใหญ่ ซง่ึ มีสาขาแยกย่ายอย,ู ณ ทต่ี งตา่ ง ๆ กันเทา่ นน่ แม้ในหน่วยงานเล็ก ๆ กเ็ บนี ความจรงิ เหมีอนกัน บางคนกล่าววา่ กำหนตว*'ตลุประสงคข์ องหนว่ ยงานไม่ อาจเขยนเบนลายลกั ษณก์ กั ษร เพราะวา่ ลาั หากเขียนลงไปแลวั ก็ต*'องมกี ารเปล่ียนแปลงแกไ้ ขให้ว*'ตอปุ ระสงคน์ ,นทนั สมยั อยู่ เสมอ คำกล่าว ข,'างต*'นน้จํ ะจริง หรือไมก่ ต็ ามที แต่หน่วยงาน ทุกหน่วยจำต*องมี \"แนวคิดกนั เบนระบบ” ซง่ึ กลา่ วถงึ ว*ตอ-ุ ประสงค์มูลฐานของหนว่ ย ระเบียบขอ้ ปฏิบต กรรมวธิ แี ละ ห่วงเวลากำหนดความเรง่ ด่วน ของงานแต่ละอย่างลงไปอยา่ ง แนน่ อน ระเบียบปฏิบ่ตเชน่ นเ่ บีนพ้นํ ฐานการบริหารงานทีด่ ี และถือกนั ว่าเบีนหัวใจของกระบวนการการทา่ การต*'ดสนิ ใจ ๒. การเข*าใจว่าอะไรกำกงั เกิดขนในหน่วย (ฆถอ®ะ- 3เ31ฟ๒2 ) คนผูใ้ ดร้ *'บความชว่ ยเหลอื ใหใ้ ช้ความช่วยเหลอื อย่างมปี ระสทิ ธิผล โดยการลดความรสู้ ึกทจ่ี ะไมย่ อมร*'บความ ช่วยเหลือลงไป หรือ เลกื คดิ วา่ ต*'องอาศ*'ยความชว่ ย เหลอื อยู่ เร่ือยไปจึงจะแกบ้ ญี หาได้

เขาแต่ละคนมุ่งหวังจะเบ็นอะไรต่อไปอกี ในอนาคต คนอนี ประมาณคา่ คนนนอย่าง'ไรลา้ ง ๔. เขาใ.จขอบเขฅบญหาและเรอ'งตา่ ง ๆ อย่าง ถกู ตอง ( I*เโ0าว161๐ ^635 ส!ฝ 1รรง03 ) ขอบเขต บญหา สามารถกำหนดไต้ ลำหากนักบรหี ารงานจะ สนใจ ไคร,ครวญพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ กอ่ นหนำฑจะตกลงตดั สินใจ แก้ บญหาใน รูปใด ขไ]สำค*ญตัองเล้าใจบญหาโดยแจม่ แลง้ เสยิ ก่อน มิเช่นนํนแล้ว ล้อแก้จะกลายเบนดจุ 11คนตาบอด หาของในห่องมดื ” แนวทางปฏํบต่ ทีด่ ีในการจะหาความเล้าใจ บญหากิคอื การให้คนหลาย ๆ คนมืส่วนร่วมในกาวพิจารณา บญหา ๔. การปรบิ ปรงุ ท,กษะการแก้บฃหา ? ]’0เว16ถ1 —ร 0 ^ ๒ 2 31^1118 ) บรรดาบคุ คลทํ้งหลายผ ู้เคยสนใจ เรีองการปรบปรุงทกั ษะการแก้,ชญหาและการทำการแก้บญหา และการทำการตัดสนิ ใจมาแลว้ ย่อมทราบดีวา่ ท*,กษะสว่ นบุคคล สามารถเรียนรไู้ ด้ โดยการอาตัยเจดจำนงตันแนว่ แนท่ ่ีจะ ปฏิบดภารกจิ แตล่ ะคนจะสามารถปร*บปรุงการทำงานของเขา ได้ดขี น

4ราเอง เพราะฉะนน “ การติดตอ่ ” จงึ เบน “ สอ่ื กลาง’ ทีใ่ ห้ทุกคนได้มสี ว่ นร่วมรํบรใู้ นแนวความติด ความรู้สึกและ ขอ่ เท็จจริงฑง้ มวล คนสว่ นมากมไาเขา่ ใจการตดิ ต่อในหนว่ ยงานในรูปแบบ ประกาศ ขอ่ บไ)ค*บ หน*'งสึอเวียน บ*'นทึก คำลง หรอื เอกสาร อื่น ๆ ของหน่วย แตค่ วามจรงิ แล'วการติดตอ่ ในหนว่ ยงานมี ความหมายกวา้ งกว่านมาก กลา่ วคอื มคี วามหมายครอบคลมุ ไปถึง การสนทนา กิรยิ าทา่ ทาง การแสดงออกซ่งึ พฤติกรรม ท*ศนคติ ฯลฯ และย*'งหมายถึงทุกสงี ทกุ อย่างทึมีผลต่อการ แลกเปล่ียนขา่ วสารและแนวความตดิ ระหวา่ งคนทง่ี หลาย ๗. การเฃไใจเรองสมพนธภาพระหว่างการตดสนใจ และการทา ( 01ะ11โ1^!ก2 1?01ส11011311บว่ เว6เษ.’6611 060151011— ถ& 311(1 .&(ะเ๒!!) ความผดิ พลาดสำด*'ญประการหน่ึงของ การบริหารงาน โดย เฉพาะอยา่ ง ยีงในหนว่ ย งานขนาดใหญ่ ก็คอื ความสบิ สนเรือ่ ง “ ความตงิ ใจ” กบํ “ ความสำเร็จ” ล่าหากผู้บรหิ ารงานจะมีความสงสัยความจรงิ ในเรอ่ื งนึ่ เขาย่อม สามารถทดสอบดูได้ โดยการตรวจสอบดูว่า อะไรได้เกดิ ขนบา่ ง ก*'บการตํ'ดสนิ ใจทเ่ี ขาได้กระทำลงไปแล้วในอดีตทุกเรอื่ ง เขา จะพบความจรงิ อยา่ งนา่ สนใจทีเดียว

๑1310) ๒. คนทกุ คนทท่ี ำ งานในหนว่ ยตาสดุ ของ หนว่ ยงาน แมจ้ ะได้ร*บเงนิ เดือนต่าสดุ ก๊อาจมีอิทธิพลอยา่ งสำตญั ต่อสีงท่ี เกด๊ ขนในหนว่ ย ๓. การแกบ้ ญหา การทำการตดั สินใจ ปร'บปรงุ ไม่ได้ มากน'กโดยเพียงแต่ผู้บริหารงานในหน่วย ปร*บปรุงการทำงาน ของตน แตจ่ ะปรบปรงุ ไดด้ โื ดยการแสวงหาริธิ ใหค้ นอ่นื ๆ มสี ว่ นเกี่ยวข‘องตวั ยในการแกบ้ ญหาและการตดั สินใจ ๔. มกี ำแพงมหึมาขวางกน้ การปฏบิ ่ตงานอนมปี ระสิทธิ- ผลในหนว่ ยงานน*กบรหิ ารทม่ี วี ุฒบิ ญญาจ ึง ควรทำความเข*าใจ และทำลายกำแพงมหมึ านื่นเสยี ให้ ได้ ๕. เวลาและความสนใจทีใ่ หต้ บั การงานของ คน อ่นื ๆ อาจมคี ่ามากก๊จรงิ อยู่ แต่ยง่ มีคา่ นอ่ ยมากอย่างเทียบตนั ’ไม่ ได้ ตับความผดิ พลาดทเี่ กด๊ จากการทำการตดั สินใจผิด ๆ น้ํ ม'กเบน คา่ มหาศาลที่ตองจ่ายไปโดยระบบการบริหารงานแบบอ*ตตา ธิปไตย ๖. เพราะเหตทุ ี่ท่านไมเ่ ห้นความ “ ลา่ ชำ ” หริอ “ ความตัาหลไเ ” ในหนว่ ยงาน ไมห่ มายความวา่ ความลา่ ชำ ความล*าหตงั ในหนว่ ยงานของทา่ นไม่มี แตเ่ นื่องจากว่าเพราะ ทา่ นไมส่ นใจต่างหาก

บทที่ ๔ กรสน์ วนการการใหค้ ำปรกษาหารอื ...ขา้ พเข้าจะให้ความชว่ ยเหลอื แก่ความพยายามของ' ผใู้ ต บ้ ง่ ค*บบญํ ชา คณะกรรมการผรู้ ว่ มงานไตม้ ากน้อยเพียงไร เพราะเหตุไร คนอืน่ จงึ เขา้ ใจผิดในการท่ีข้าพเจ่าพยายาม ทจี่ ะชว่ ยเหลือพวกเขา โดยวธิ ีใดเล่า ขา้ พเข้าจงึ สามารถใชแ้ หลง่ พลไของ ขา้ พเขา้ ทีม่ อี ยู่ อำนวยประโยชนแ้ กผ่ ู้ร่วมงาน ชีง่ พวกเขา สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากความช่วยเหลือของข ้าพเข้าใต้ โดยที่ พวกเขาไมเ่ คยขอขอ้ ง ข้าพเขา้ จะใชป้ ระโยชน์สข้างสรรค์จากผู้เชย่ี วชาญ และ ผใู้ หค้ ำแนะนา้ ภายนอกหน่วยงานไดอ้ ย่างไรขา้ ง... ขอ้ ?าตกิ ารวขิ ้ยทางสไคมศาสตร์และประสบการณไห้ ความจรงิ แกเ่ ราวา่ บจจขุ ้นน์บุคคลท่ีงหลายผ้ดู ำรงอยูใ่ นฐานะ เบนผ้นู ำ ลิวนต่างมีแนวคิดมากยีงขนว่าภารกจิ มลู ฐานของ พวกเขาอยท่ ่ีการเร่งเขา้ ใหผ้ ้ใู ตบ้ ไค*บขญ้ ชาปลอ่ ยพลไหลบเข้น ทางการสข้างสรรคใ์ ห้แสดงต*วออกมา ขอ้ น์ฑำให้เหน้ ถึงการ

๑ ไ8*30^ ๑. งานการแก้บญหาทีกำลังเผชญิ หน้าอยู่ ๒. ลมั :พนั ธภาพระหว่างผใู้ หค้ ำปรึกษาหารอื (ผ้'ู ช่วย แหลอ) ลับบคุ คลผ้ไู ดล้ ับการชว่ ยเหลอ ผใู้ ห้คำปรึกษาหารือ หรอื บุคคลผู้อย่ใู นบทบาทการให้ ความช่วยเหลือสรไงสม้ พ*'นธภาพกบั ผ้ทู ต่ี นจะช่วยเหลอื เพราะ ผูใ้ หค้ ำปรกึ ษาหารอื มอี ำนาจ ซึ่งไดม้ าเพราะตำแหนง่ หนำที่ หรือเพราะมีความรู้เช่ียวชาญในสาขาใดสาขาหนงึ่ การท่จี ะ บรรลุส้มพ*'นธภาพการให้คำปรึกษาหารืออยา่ งมีประสิทธผล่ได้ น1น ชอ่ สำคญั อย่ทู ่ีว่าผู้ให้คำปรกึ ษาหารอื จำต*,องเชา่ ใจถงึ ธรรมชาตแิ ห่งส*มพี นั ธภาพการปรึกษาหารอื และพ*'ฒนาทกั ษะ ในการใช้ความสามารถชอ่ นึ่ในรูปท่คี นผ้ใู ด้รบความชว่ ยเหลือ เห้นวา่ มีประโยชน์แกค่ ัวเขา บคุ คลผสู้ รา่ งส้มพ*'นธภาพการให้คำปรึกษาหารือ จำตอ้ ง มคี วามสามารถท่จี ะวเิ คราะหบ์ ญหาและเบาหมายของบคุ คลที่ตน กำลงั ให้ความชว่ ยเหลือ กบั ท้งคอั งเบนคนสามารถสร่างพลงั จงู ใจการใหค้ วามชว่ ยเหลอื คนอนของตนเองให้เกดมขี นอกเช่น กัน นอกจากน่ึยงั จำตอ้ งยอมร*บอยา่ งจรงื ใจอกี วา่ ตนเองมี ความสามารพอใหค้ วามช่วยเหลือได้อยา่ งแท้จรงื ในสถานการณ์

๔. ผู้ใหค้ วามชว่ ยเหลอื พยายาม ลดความร้สู ึกของผไู้ ต้ วบั ความช่วยเหลือลงไปตามลำดบั ว่า จะดัองอาดัยคนอื่นเรอ่ื ยไป เทา่ น8น เขาจึงจะแกบ้ ญหาไต้ ๕. ผใู้ ห้ความช่วยเหลือมีสว่ นรว่ มในความรสู้ ึก พลไ! ดลใจ กับผ้ใู ด้วบั ความชว่ ยเหลือ และปฏบิ ตงานรว่ มกบั เขา อย่างกลมกลนื ๖. ผู้ให้ความชว่ ยเหลอื ถือว่างานท่ีสำค*,ญของเขาคือ ''ก าร ผ ก ” คนผูไ้ ด้วับความชว่ ยเหลอื ให้ใช้ความช่วยเหลอื อยา่ งมีประสิทธิผลโดยการลดความรู้สึกท่จี ะไมย่ อมวับช่วยเหลือ ลงไป หรอื เลกิ คดิ วา่ ดอั งอาดยั ความชว่ ยเหลอื อยู่เรอ่ื ยไปจึงจะ แกบ้ ญหา'ใต้ การริเฅราะหกระบวนการการให้คำปรกึ ษาหารอื ก่อนการสวาั งส'มพํนธภาพการใหค้ ำปรกึ ษาหารือ ผ้แู สดง บทบาทการให้คำปรกึ ษาหารือ ควรทจี่ ะทราบไว้ล่วงหนา้ ดวั ยวา่ คนทต่ี นจะให้ความช่วยเหลอื นน้ ย่อมอาจมีความรสู้ กึ หรอื ท*คนคติอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ต่อไปน้ํแอบแฝงอยใู่ นจิตสำนึก

๑®)© ‘ลำปรึกษาหารอื มีอำนาจหรอื จะใชอ้ ำนาจมากนํอยเพียงไร ฃอนย่ึ อ่ มลำให้เขาเกิดความลังเลใจ เชน่ ผูบ้ รหิ ารหน่วยงาน จะขอร*,บคำแนะนำจากเจ้าหนำท่ผี ายอำนวยการของเขาก็อาจ เกดิ ความระแวงใจว่าเจา้ หนำทีผ่ ายอำนวยการอาจถือโอกาสใช้ อำนาจในนามของตนมากเกินขอบเขตไป หรอื บคุ คลใดคนหนึ่ง ในหนว่ ยงานจะขอความชว่ ยเหลือจากคนอนภายนอกหนว่ ยงาน กก็ ลัวว่าเพอี นรว่ มงานหรือบ*งค*บบญั ชาจะเห์นว่าตนเบนคนไม่ มสี มรรถภาพในการลำงาน ความลบั ลนเชน่ ว่านจ่ึ ำเบนท่ี บคุ คลผู้ให้ความชว่ ยเหลอื กบั บคุ คลผู้ร*บความชว่ ยเหลือ ต้อง พดู จาก นั อยา่ งเบีดอกและยอมร*บวา่ บญหาน,นเบนเรอื งของผูร้ ่บ ความชว่ ยเหลอื ผ้ให้ความช่วยเหลอื มีบทบาทเพียงใหก้ าร สนบสนนุ เทานน ๔. ความปรารถนาทจ่ี ะเห็นผลเร็วเกนิ ไป โดยทวไป แลว ผรู้ *บดวามช่วยเหลือส่วนมากมักคาดหมายเอาไว้ล่วงหนำ ว่า การชว่ ยเหลือของผเู้ ช่ยี วชาญจะชว่ ยให้เขาแก้บญหาของเขา ได้ภายในเวลาลนั รวดเรว็ แตค่ วามจรงิ แลวั กระบวนการ การแก้บญห าจะเบนกระบวนการทม่ี ีประลทื ธผลได้ จำต้องใช้ เวลาวเิ คราะห์บญ หา การวางแผนการแกบ้ ญหา ชี่งผ้ใู หค้ ำ

©๓๓ ๑. บญหา เ ร อ ง ก า ร พ ง อ า ศ * ย บคุ คลบางคนมแี นวโน*ม ชอบคอยทง่ี พาอาศไ]คนอื่นไม่กล่ายนื หย*ดด้วยตนเอง บุคคล ประเภทนํค้ อยแตจ่ ะรอให้ผู้ให้คำปรกึ ษาหารือ บอกใหท้ ำ อย่างน้นอยา่ งน้ํ แลว่ เขากท็ ำตามท่ีบอก แทนทจ่ี ะคดแกไ้ ข บญหาดว้ ยตนเองสว่ นบางคนน้นกลับมีแนวโน,มขดํ ขนื ไม่ยอม ร*บชว่ ยเหลอื บุคคลประเภทนพยายามท่จี ะแสดงอยตู่ ลอดเวลา ว่า ด้วเขาน,นมีความสามารถมากกว่าผใู้ ห้คำปรึกษาหารอื เสยี อกี ผู้ใหค้ ำปรึกษาหารอื ทด่ี จี ึงดอ้ งยอมร*บความจริงเช่นกล่าวนํ้ เขาจึงควรกำหนดบทบาทของตนเพยี งการวเิ คราะห์บญหาอยา่ ง เดียว ส่วนการแก้บญหาน,นปล่อยให้เบนหนำท่ขี องผูร้ ํบความ ชว่ ยเหลือ ๒. การรไ]ร้คู วามยากลำบากใจของผู้รบความช่วย เหลอ เบนการยากอยา่ งยีงที่บคุ คลจะบอกให้คนอ่ืนทราบวา่ ด้วเขากำลงั ตกอยูใ่ นสถานการณย์ ากลำบาก เวํนไวแ้ ต่เขาผนู้ นํ จะเกดิ ความไวว้ างใจอยา่ งจริงใจ ก*บท,งเชอมนว่าผทู้ เ่ี ขาบอกเลา่ ใหพ้ งี จะไม่ถือเอาประโยซนจํ ากข่อบอกเลา่ ของเขา ความยาก ลำบากเช่นว่านจะเพีมขนื ไปอีกหลายเท่า ลำหากว่าผู้ท'่ี จะ'ให้

©๓๕ ๕. พยายามอย่ามีอคดีตอ่ บุคคลผ้รู ึบความช่วยเหลอื ๖. จงจำไวว้ า่ การช่วยเหลอื จะเบ็นความช่วยเหลือได้ อย่างแท้จรงิ กเ้ ม่ือผรู้ บความช่วยเหลอื บุ่งผลของความชว่ ยเหลอื น1น ๆ ในเวลาเดยี วกนั ผู้แสดงบทบาทการใหค้ ำปรึกษาหารอื หรอื ผ้ไู หค้ วามช่วยเหลือกจ๊ ำต,อง 44งดเว*น” โดยเดีดขาดจาก ๑. การตกอยไู่ นหลมุ พรางในบทบาทการเล่าเรืองของ ผรู้ บความชว่ ยเหลอื ๒. อยา่ ลือประโยชนจ์ ากสถานการณ์ให้ความชว่ ยเหลือ เบนการแสดงความโอ้อวดลงื ความเบนผรู้ อบรูแ้ ละเบนผมู้ ี ประสบการณม์ าก ๓. อยา่ ยกย่องสรรเสริญ ความสามารถของผู้ท่ีจะรํบ ความชว่ ยเหลือ จนเลคื ลอยเกํนความจรงิ ปน้ ตอนการแก้บญหา ในการแกบ้ ญหามีความสำคัญอย่วู า่ ผู้ให้คำปรึกษาหารือ และผรู้ บํ ความช่วยเหลอื เข่าใจถงึ ข้นตอนต่าง ๆ ในกระบวน การการแก้บญหาโดยละเอยี ด ซ่งึ มีคงั ต่อไปนํ้

๔. การประมาณค่าและกา:วางแผนใหม่ (^38688- 0 1 6 0 1 : 8 0 (1 1 ? 6 ]ว 1 ส 0 0 1 ถ 8 ) — ผู้ใหค้ ำปรกึ ษาหารือหรอื ผ้ใู หค้ วามช่วยเหลือ แสดงบทบาทอกี ครง้ หน่ึง เพื่อทำการประมาณค่าผลการกระทำ คร,งแรกของผู้ร*บ, ความชว่ ยเหลือ แล้ววางแผนให้ผู้ร*บความ ช่วยเหลือปฏํบตฃ*นต่อ'ใป บไ)ยตุ ิ ผ้นู ำผมู้ ีคณุ ลักษณะการสร้างสรรคย์ อ่ มเข้าใจดีวา่ การ สร้างความพฒํ นากดิ ี ภาวะผลิตผลก็ดี หรือภาวะสรา้ งสรรค์ ใหแ้ กบ่ คุ คลหรอื หน่วยงานเาดี เขาต*องมีความเขา้ ใจอย่างแจ่มขด้ ในเร่อื งลักษณะกระบวนการการให้ความชว่ ยเหลอื แหลง่ พลัง ความรอบ!และพลงั ความจงู ใจของตนเองว่ามอี ยู่อย่างเพียงพอท่ี จะใหค้ วามช่วยเหลือคนท่เี ขาปฎํบ‘ตงานร่วมลวั ย เพ่ือปฎํบตภารกจิ ลงั กลา่ วนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทธิผล ผนู้ ำ ลอั งมเี จตจำนงแรงกล้าในการทจ่ี ะเสรมื สรา้ งส*,มพ*'นธภาพและ ความไวว้ างใจกับคนผ้ทู จ่ี ะให้ความช่วยเหลอื เขาลัองเขา้ 'ใจ ลัวยว่าความมคี ณุ ดา่ แหง่ ความพยายามในความช่วยเหลือของ

การไห้คำปรกษาหารอื หรอการให้ความชว่ ยเหลอื จะเกิด มปี ระสทิ ธผิ ลย่อมขนอยู่กับภาวะมูลฐาน ดงั ตอ่ ไปน ๑. ผใู้ หค้ วามช่วยเหลอมความปรารถนาอย่างแท้จรงื ในการท้จะใหค้ วามช่วยเหลอ ๒. ความสามารถทจ้ ะว้เคฑะห้สถานการณ์ทกุ อยา่ ง โดยเสร ๓ . มมนษุ ยสมพ่นธและความไวว้ างใจก*น, อยา่ งสูง ๔. ผู้ให ค้ วาม ช่วยเห ลอและผู้รํบ ความ ชว่ ยเห ลอ ต ่า ง ร ่ว ม ม อ ก ่น ใน ก าร แ ก ้บ ญ ห า

บทที่ ๖ แบบประ?มขุ ศลใ] ผนู้ ำทองการทจะทราไ]ว่า.......... ขา้ พเจ้าจะเบน แบบประชาธปิ ไตยไท้............................................................. ผู้'นำ อย่างไร ? กาลไต ขา้ พเจา้ ควรจะตดั สินใจตวั ย ตนเอง และกาลใด ควรจะใหบ้ ุคคลอื่น ๆ มสี ่วน รบั ผดิ ชอบตัวย ? การเบนผนู้ ำแบบประชาธปิ ไตย จะเบนการบง่ ชถึงความไม่รบั ผิดชอบหรั๊อไม่ ? ขา้ พเจา้ จะสามารถงดเว้นมตอิ นั ไร้ประสิทธิผล ของกลุ่มและทรงไวซงึ่ อำนาจเอกสิทธเดดขาดของ ผนู้ ำในเวลาเดียวกันไทอ้ ย่างไร ? ผนู้ ำสามารถ ปรบั ตวั เขา้ กับสถานการณอนั เปลยี่ นแปลงไปและ ทรงไวซ้ ึง่ ประมุขดลี ปอันดเี ยย่ี มในกลมุ่ ไท้โดยวธิ ใด ? . * ................... บจจบุ ํนน้ํ ผ้,ูนำทงหลายยอ่ มเขา้ Iจดีถงึ บญหาบางบญหา อ้นเกิดจากฃํอเท็จจริงทว่ี ่า หลไานยํ มเรื่องประมุขศลี {เได้เปลีย่ น แปลงไปจากอดต้ เมือ่ คร,งศตวรรษทีแ่ ล,วมาอยา่ งมากมาย ยคุ ตน้

©(^๓ เพียงคนเดียวยอ่ มไม่สามารถปฏบิ ตไค้ แต่จะต*องไคร้ บั ความ รว่ มมอื รว่ มใจ จากสมาชกิ ทุกคนในกลุม่ น1น ๆ การคันคว่าและ แนวคิดแบบน้ํ นำไปสู่ความเนินเรอ่ื งความสำคัญของ “การ ตดั สนิ ใจ ” และ “ พฤคิกรรม ” ของกล่มุ เหตุน้ํ บจจุบนั จงึ ยอมรับคน้ วา่ “ ผนู้ ำก่มี ืประสทิ ธผิ ลนนคอื บุคคลผู้ชว่ ยใหก้ ลมุ่ กลายเบนกลุ่มท่ีมืภาวะสรัางสรรคมื ากขน ๆ” ค่านิยมของ “ประมฃุ คิล!]แบบประชาธิปไตย” จึงโดดเด่นขนมาโดยอดั โนม่ต คำพูดทงหลายเชน่ “ พลงั ดลใจ” และ “ ความเกย่ี วข*อง’ จงึ มคิ วามสำคัญมากกวา่ คำวา่ “ การขนำ” และ “ การควบคุม’’ ผ้นู ำแบบประชาธิปไตยเบนกป่ี รารถนาของกลุ่มมากกวา่ ผนู้ ำ แบบอัตตนิยมและเสรนี ิยมสมบรู ณแบบ การเปลีย่ นแปลงเรอื่ งหลักนิยมและบทนิยามคำว่าประมขุ คลิ (เดง้ กล่าวขไงตัน มกั กอ่ ใหเ้ กดความขดั แคง้ ทางแนวความคดิ แก่ผู้นำบางคน กลา่ วคือ ผนู้ ำก่ีปรึกษาคนอนมากเกนํ ไป ก๊มัก จะถือคน้ วา่ เบนคนกีอ่ ่อนแอและไมก่ ลัาตดั สนิ ใจ ส่วนผ้นู ำ ผตู้ ัดสนิ ใจคนเดียว กม็ ักจะถือค้นวา่ ใชร้ ะบบอัดตนยิ มและเบน เผดจี การ โดยเหตนุ ผ้นู ำแตล่ ะคนจะสามารถคนั หาแนวทาง

๔. ผนู้ ำผมู้ ประสทิ ธิผล ยอ่ มสำนกึ อยใู่ นใจตลอดเวลใ ถึงบญหาเร่งดว่ นทีอ่ าจเกดิ ข้ํน และประสทิ ธผิ ลระยะยาวของ กลมุ่ ๔. ผนู้ ำผมู้ ประสิทธผิ ล ย่อมไมข่ าดความรบผดิ ชอบ โดยการมอบใหก้ ล่มุ ตัดสินใจแนวทางปฏิบตเรื่องทีเ่ กดิ ขน ๖. ผูน้ ำผ้มู ประสทิ ธิผล ยอ่ มเชัาใจชัดเจนว่าจะให้ กลมุ่ ตดั สนิ ใจเม่อื ใด และในสถานการณ์ใด เขาตัองตดั สนิ 'ใจ ตัวยตนเอง การ11คราะห์บญทา เมื่อทา่ นเบนผนู้ ่าท่ียอมร,บน‘บถือของกลุม่ ทา่ นย่อมมี อำนาจและอภิสิทธื้ ชัอนึย่อมเบนความจรงื ไม่วา่ ทา่ นจะเบน ประธานบรํษท่ ผอู้ ำนวยการกองหรือประธานคณะกรรมการ อาสาสม*คร ทา่ นใช้อำนาจนอึ ย่างไรน้น ยอ่ มมผี ลกระทบต่อ ภาวะผลิตผลเพมี พนู ของกลุ่มและเสรภี าพของผใู้ ตบ้ งั ค*บบัญชา หรือสมาชกิ ทงี่ หลายของกลม ในฐานะท่เี บนผนู้ า่ หากท่านใช้ อำนาจและ อภิสิทธื้น่อยสมาชิกของกลุ่มยอ่ ม มีเสรภี าพ มากใน การตดั สินใจ ตรงกนั ชัาม หากทา่ นใชอ้ ำนาจของท่านมาก ๆ

๑ ๔ ฟ่ แบบษ*)ติกรรมผูน้ ำ ผู้นำท่ีมคี วามจ*ดเจนย่อมสามารถใช้วิธกี ารอนั ละเอียด อ่อนและช*บช้อนอเนกประการ เพ่ือสรา่ งอิทธิพลและเรง่ เร่า บุคคลทงหลายที่เขานำใหเ้ กดิ ความพยายามสรรคสร่างและเกิด ภาวะผลติ ผลเพมี พูน ฉะน,น ขอใหเ้ รามาวิเคราะห์แบบพฤต- กรรมผู้นำ ๕ แบบ ดงั ต่อไปน.— ๑. ภารสไการ (76111118) ผู้นำวิเคราะห์บญหาท่เี กิดขน พํจารณาแนวแกบ้ ญหาอันเบนไปไดห้ ลาย ๆ วธิ ี เลือกแนวแก้ บญหาทดี่ ีท่ีสดุ วธิ หี นงึ่ และสง่ การให้บุคคลไนกลุ่มทเ่ี ขาปกครอง ทราบวา่ จะดอั งปฎํบตอย่างไร ตัวผนู้ ำเองอาจจะคิดหรอื ไม่อดิ กไ้ ดว้ ่าสีงที่เขาเชอน้ํน สมาช้กของกลุม่ ยอ่ มคิดหรือมีความรสู้ กึ เทีย่ วก*บการดดั สนิ 'ใจของเขาอยา่ ง'ไรอาั ง แตส่ งึ ท่แี น,่นอนก็คอิ สมาชิกของกลุ่มทกุ คนไมม่ สี ่วนร่วมตวั ยเลยในการดตั ลิน'ใจ น้ํน ๆ 1®. การจงู ใจ ( ?61•ธน๗ {ฉ8 ) พฤติกรรมแบบ,น่กึ ็ดุจ เดียวก*บแบบท่ี ๑ ผู้นำดดั อนิ ใจแนวปฏนิ ่ตคนเดยี วโดยมไี ด้ ปรกึ ษาหารอื กบสมาชกิ ของกลุ่ม แทนการสงการว่าเขาดดั อนิ ใจ

แสวงหาข้อแกไ้ ขกนั ผู้นำเหนดวั ยก‘บการสน*บสนนุ ข้อแกบ้ ญหา ของสมาชกิ ถไหากว่าขไ)แก้นํ้นเหมาะสมกบั ขอบเขตของบญหา อทิ ธนิ สเหนือดงั ผนู้ ำ การที่ผู้นำจะดดั สินใจเลือกแบบพฤติกรรมใด — สงการ เรง่ เร้า ปรกึ ษาหารือ ร่วมมอื และ การมอบอำนาจ —เบนแบบ พฤตกิ รรมของตนน1น ยอ่ มขนอยูก่ บั อิทธพิ ลสำคัญ ๓ ประการ ดังตอ่ ไปนิ.— ๑. อิทธิพลในดวั ผนู้ ำ ( ?01063 1111116 16๗61- ) การ ที่ผู้นำทุกคนจะเข้าใจบญหาภาวะประม ฃุ ศ ลิ !]ของเขาได้อย่าง ลูกดอั ง ย่อมขนํ้ อยูก่ บั พ้ํนฐาน ความ! และประสบการณ์ ของเขาเอง อิทธพิ ลภายในตัวผนู้ ำช้งื สำคญั มากและมผื ลกระทบ ตัวเขากไ็ ด้แก่ ©.๑ ระบบค่านิยมส่วนบคุ คล (พ:!ร 731116 8^316111) ...1..ผ้นู ำมื ความรสู้ กื มากนอั ยเพียงใดวา่ สมาชกิ ของกลมุ่ ควรมื ส่วนรว่ มดัดสนิ ใจในเรอื งตา่ ง ๆ ดันมผื ลกระทบตอ่ ตัวเขา? ..1...ผนู้ ำมือวามเชอ้ื อย่างไรวา่ เดัาหนาั ทผ่ี ้ถู กู คัดเลือกใหม้ ืความ ร’บผดํ ชอบในฐานะเบนผนู้ ำควรแบกภาระอย่างเตมิ ท่ใี นการ

© (เ!© ©.๔ ความรูส้ ิกเร่อื งสวัสดีภาพของตนเอง (ฒ ร {6611118 อ{ 86011ฝ^ ) ผนู้ ำคนใดปล่อยวางอำนาจการดัดสนิ ใจ ให้อยกู่ บั สมาชกิ ของกลุ่ม ผนู้ ำคนนนยอ่ มจะลดความเครียด และความกดดนั ทางจิตเกี่ยวกับการคาดคะเนผลท่จี ะเกิดขนใน อนาคต ผู้นำคนใดดอั งการความมนคงแหง่ สถานภาพในหนำท่ี ของตนหรอื ไม่ไวว้ างใจคนอน ผู้นำน ้น ย อ่ มจะเลอื กพฤติ- กรรมผู้นำแบบ “ การส่งการ ’ หรอื “ การจงู ใจ’ มากกวา่ แบบ “ การร่วมมอื ” ดาั หากว่า ผนู้ ำได้วิเคราะหอ์ ทิ ธิพลดังกลา่ วข้างดนั เหล่าน้ํ และดัวแปรสว่ นบุคคลประการอน ๆ ของเขาโดย ละเอิยดจนเข้าใจว่า อิทธิพลเหล่านมํ้ อื ทิ ธพิ ล ต่อพฤติกรรม ของเขา เขายอ่ มเขา้ ใจได้ ถกู ดอั งยงี ข้นํ ว่าเขาจะดัองปฏปิ ติ อย่างไรกับเรื่องท่ีเกิดขน การเข้าใจข้อนจะสร่างใหเ้ ขากลายเบน ผนู้ ำท่มี ืประสิทธผิ ลมากยีงขนตามกาลทผ่ี ่านไป ๒. อิทธพิ ลในสมาชิกของกล่มุ ( ?01-06ร 111 น16 81-011? 016๓๖61-3) กอ่ นการดดั สนิ ใจวา่ จะแสดงบทบาทพฤติ­ กรรมประมขุ ศิล!!แบบใด ผนู้ ำควรพจารณาถึงอิทธิพลของ

© ส !๓ ( ๓) คาั หากวา่ สมาชิกทงหลายมคี วามสนใจใน ■ บญหาและคตี วา่ เบนIรองสำคญั (๔) ถ้าหากวา่ สมาชํกทง้ หลายมคี วามรแู้ ละประสบ- การณ์เพยี งพณพือ่ แกบ้ ญหา (๕) ถ้าหากว่าสมาชิกทงหลายเขำ'ใจเบาหมายของ หน่วยงาน (๖) คาั หากว่าสมาชกิ ทงหลายมงุ่ หวงจะมสี ่วนรว่ ม ต*ดสนํ ่ใจแกบ้ ญหา ๓. อทธพลในส’ถานการณ ( ?01:068 111 1116 81เซ3* 11011 ) สถานการณส์ ำคัญอนั มีผลกระทบตอ่ พฤตกิ รรมของผ้นู ่า ได้แกส่ ภาพต่อไปน (๑) รูปแบบของหนว่ ยงาน ( 0* 01-230123- 11๐0 ) หนว่ ยงานก็ ดจุ เคียวกบั บคุ คลแตล่ ะคนเหมอื นคัน กล่าวคอื มรี ะบบค่านยิ ม ขนบประเพณี เบนของตนเอง สงี เหล่านแหละมอี ทิ ธพิ ลมหาศาลตอ่ พฤติกรรมของคนทกุ คนท่ี ปฎิบตงานในหนว่ ยงานน่น คัวอย่างเชน่ หน่วยงานบางหนว่ ย มหี คักนิยมวา่ ผูบ้ ริหารทพ๋ึ งี ปรารถนาอยา่ งยงี คือบุคคลผู้มี

©๕๕ เบนมาตรการบ่งชระดบั สูง — ตา ของประสทิ ธิผลของกลมุ่ ไต้ เบนอยา่ งดี (๓) บญ่ หา ( 1116 ?1๐๖!6๓ ) ลกั ษณะบ่ญหา แต่ละฟ้ญหาจะเบนตวั กำหนดระดบั อำนาจทางเอกสิทธทผ่ี ูน้ ำจะ มอบการดัดสนิ ใจให้แก่ สมาชิก ของกลมุ่ แนน่ อนท่ีสดุ ก็คอื ผ้นู ำต้องถามตนเองเสยี กอ่ นวา่ สมาชกิ ทํ้งหลายของกล่มุ มคี วาม รอบรู้ตรงกบั ความต้องการทจี่ ะให้แก้ บญ่ หาหรอื ไม่ เพราะวา่ บางคร,งความช*บชอนของบ่ญหาจำเบน่ ตอ้ งใชก้ ลุ่มคนหลายคน ผู้มีความรู้ และประสบการณ์พเิ ศษแตล่ ะอยา่ งเขามาประสาน กนั ในการแกป้ ญ้ หา แตบ่ างบ่ญหาท่ซี บิ 'ช่อนระดับสูงอาจ'ใช้ บุคคลกจั ฉ1ริยะเพียงคนเดียวเข่าแกบ้ ญ่ หา (๔) เวลาทเรง่ ดวน ( ไโ116 ?1,68รง16 เ11ฑ6 ) กาั ผนู้ ำมีความรู้สกึ ว่า จำเบน่ ตอ้ งตัดสินใจอย่างฉบั พลนั เพราะ มีเวลาจำกัด โอกาสทจี่ ะให้สมาชิกของกลมุ่ มีส่วนร่วมในการ แก้ฟ้ญหา ยอ่ มเบนไปไดน้ ํอ์ยมาก แตล่ ัาฟ้ญหาท่ีเกดิ ขนมิได้ ถกู จำกัดดัวยห่วงเวลา การท่ีสมาชกิ ทง้ หลายของกลุ่มจะเข่าไป มสี ว่ นในการแกฟ้ ้ญหารว่ มกบั ผนู้ ำยอ่ มเบ่นไปไดง้ า่ ย

6) (3! (ฟ้ ๔. การพัฒนาศักยภาพทางร่างกายของสมาชิก (1116 10(1^1(11131 461^610])0160เ 016101)61' ) ๕. การเพีมจิตสำนึกความพร,อมที่จะร่บความเปล่ียนแปลง ใด ๆ อ*นจะเกดิ ขน ( 1001-638102 เ116 163(110688 เ0 3006])* 01)3026 ) จากผลการทดสอบครง้ แลว่ ครงํ เล่า ปรากฏผลชิดเจนวา่ ยุทธศาสตรร์ ะยะยาว ๕ ประการศังกล่าวชาิ งศัแนึ จะบรรลุ ประสทิ ธิผลสงู มาก ลำหากหนว่ ยงานน4น ผนู้ ำใชแ้ บบพฤต­ิ กรรม “ แบบกลุ่มเบนใหญ่' ฑ้งนมึ ิไดห้ มายความวา่ ผ้นู ำ จะปล่อยวางอำนาจการตัดสินใจไวใ้ หแ้ ก่สมาชิกของหน่วยงาน โดยเดด็ ขาด แตห่ มายถึงว่าการทผ่ี ู้นำรู้ตกั “ ตงั หวะ ” และ ‘ กาล” ในการให้เสรภี าพแกส่ มาชิกในหนว่ ยงาน ประสิทธผิ ล และภาวะสร้างสรรคข์ องหนว่ ยงาน ย่อมมมี ากกวา่ ล,มเหลวและ การชะง,กง'น

พ มิ พ ท์ โ๋ี ร ง พ ิม พ ์ก ร ม ย ุท ธ ศ กึ ษ า ท ท า ร บ ก ถ น น เ ท อ ด ด ำ ร พิ ์ ก ร งุ เ ท พ ม น า น ค ร พ .อ . ท ว ว ัฌ นิ น ิย ม เ ฟ นิ ผ ู้พ ิม พ ผ์ โู้ ฆ ษ ณ า ๒๕ ๒๙ โ ท ร. ๒ ๕ • ๔ ๗ 0 (๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook