1 ผลการพัฒนาครปู ฐมวยั ดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งพัฒนาการของเด็กปฐมวัย Effect of Developmentally Early Childhood Teachers through Inquiry Activity to Provide Child Development for Preschoolers โดย กิ่งแกว้ ภทู องเงิน ตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์ ชำนาญการพิเศษ กลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมินผลการจดั การศกึ ษา สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษามกุ ดาหาร
ก2 ชอื่ เร่ืองภาษาไทย : ผลการพัฒนาครูปฐมวยั ด้วยกจิ กรรมสืบเสาะเพ่ือเสรมิ สรา้ งพัฒนาการ ของเดก็ ปฐมวัย ช่ือเรื่องภาษาอังกฤษ : Effect of Developmentally Early Childhood Teachers through Inquiry Activity to Provide Child Development for Preschoolers ผวู้ ิจยั : กง่ิ แก้ว ภทู องเงิน ปริญญาเอก : ค.ด. (หลักสตู รและการเรียนการสอน) ตำแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษามกุ ดาหาร โทร. 0 8927 9137 5 E-mail : [email protected] ปที ที่ ำการวจิ ยั ปีการศกึ ษา 2563 บทคัดยอ่ การวจิ ยั น้ีมวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อ 1) เพื่อศกึ ษาสภาพปัญหาและความต้องการในการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้เด็กปฐมวัย 2) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบ้าน นักวิทยาศาสตร์น้อย 3) เพื่อศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะ ใช้วิธีการวิจัย เชิงปฏิบัติการ (Action Research) ประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การ สังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) เพื่อพัฒนาครูปฐมวัยสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร กลุ่มเป้าหมายเป็นครูปฐมวัย จำนวน 41 คน ได้มาโดยการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสำรวจ แบบทดสอบ และแบบนิเทศ ตดิ ตาม วเิ คราะห์ข้อมลู โดยการหาค่าเฉล่ีย คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน และสถิตทิ ดสอบ t-test ผลการวจิ ัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เด็กปฐมวัยอยู่ในระดับมาก พบปัญหามากที่สุด ได้แก่ จัดกิจกรรมให้เด็กเกิดทักษะการคิด จัดกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการสังเกต การฟัง การตั้งคำถาม และจัดกจิ กรรมส่งเสริมพฒั นาการทางภาษาท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และมีครตู อ้ งการพัฒนาตนเอง จำนวน 41 คน 2) ผลพัฒนาครูโดยการจดั อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารพฒั นาครูปฐมวัยดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ โครงการ บ้านนกั วิทยาศาสตร์นอ้ ย ประเทศไทย พบว่า มีคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดความรูค้ วามเข้าใจ หลังอบรมสูงกว่ากอ่ นอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ .05 มคี วามพึงพอใจในการเขา้ รับการอบรม เชิงปฏิบัตกิ ารอยู่ในระดบั มาก 3) ผลการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะ พบว่า ครูปฐมวยั จดั ประสบการณ์ การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะอยู่ในระดับปานกลาง เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ด้วยกิจกรรมสืบเสาะ มีผลการพัฒนาการทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับคุณลักษณะของเด็กที่ ไดร้ ับการพัฒนา ได้แก่ ด้านสตปิ ญั ญา ด้านรา่ งกาย ดา้ นสงั คม และอารมณ์ จิตใจ
สารบญั 3 บทคดั ย่อ หน้า บทท่ี 1 บทนำ ก 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 2 สมมติฐานของงานวจิ ยั 3 ขอบเขตการวจิ ยั 3 ตัวแปรทศ่ี กึ ษา 3 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 3 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ 4 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง 5 แนวทางการพฒั นาศกั ยภาพครู 5 การสอนแบบวฏั จกั รสืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์นอ้ ย 13 มาตรฐานคุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคข์ องเด็กปฐมวัย 15 งานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง 16 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั 18 ระยะท่ี 1 การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการจัดประสบการณ์ 18 การเรยี นรู้เดก็ ปฐมวยั 21 ระยะท่ี 2 การพฒั นาครปู ฐมวยั ด้วยกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ืบเสาะ 24 ระยะท่ี 3 การจดั กิจกรรมการสืบเสาะเพ่ือเสริมสร้างพัฒนาการเดก็ ปฐมวัย 29 บทท่ี 4 ผลการวิจัย ตอนท่ี 1 ผลการศกึ ษาสภาพปญั หาและความต้องการในการจัดประสบการณ์ 29 การเรยี นรเู้ ด็กปฐมวยั 30 ตอนท่ี 2 ผลการพฒั นาครูปฐมวัยดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะตามแนวทาง 34 37 บา้ นนักวิทยาศาสตร์น้อย 37 ตอนที่ 3 ผลการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ 38 บทที่ 5 สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ สรปุ ผลการวิจัย อภิปรายผล
สารบญั (ตอ่ ) 4 ขอ้ เสนอแนะ หนา้ การนำผลการวจิ ัยไปใช้ 41 บรรณานกุ รม 41 ภาคผนวก 42 45 สารบญั ภาพ 14 ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั 14 ภาพท่ี 2 วัฏจกั รสืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์นอ้ ย 29 สารบัญตาราง 32 ตารางท่ี 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู สภาพปัญหาการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ 32 ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบคะแนนผลการทดสอบความรู้ความเข้าใจ 34 35 เกย่ี วกบั การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะ ระหว่างก่อนและหลงั อบรมเชิงปฏิบัติการ ตารางที่ 3 ความพึงพอใจของครตู ่อการฝึกอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารพัฒนา ครปู ฐมวยั ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะ ตารางท่ี 4 การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะ ตารางที่ 5 พัฒนาการของเดก็ ท่เี กิดจากการเรยี นรกู้ ิจกรรมสบื เสาะ
1 บทที่ 1 บทนำ 1. ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา ปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตและพัฒนาการในทุกด้าน เป็นช่วงวัยที่พัฒนาการทางด้านต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุดและเป็นฐานรากที่สำคัญสำหรับพัฒนาการในช่วงวัยต่อ ๆ ไป เด็กในวัยนี้จึงเปน็ ทรัพยากรบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการดูแลอย่างเ หมาะสมตามช่วง วัยจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพและจะเป็นกำลังสำคัญของประเท ศชาติต่อไปในอนาคต (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 2562 :1) กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการจัด การศึกษาในทุกระดับตระหนักถึงความสำคญั ในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งถือ เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้มีการดูแล การพัฒนาและการจัดการเรียนรู้ให้เด็กทุกคนมีพัฒนาการที่ดี รอบดา้ น ทงั้ ทางรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คมและสติปัญญา เหมาะสมกบั วัย มีทกั ษะพ้นื ฐานในการเรียนรู้ อย่างตอ่ เนื่องตลอดชีวิต สอดคล้องกบั หลกั การพฒั นาศักยภาพของแตล่ ะบุคคล อกี ทัง้ สรา้ งคุณลักษณะให้ เดก็ มีอุปนสิ ยั ใฝ่ดี มคี ุณธรรม มวี ินยั ใฝร่ ู้ มีความคิดสรา้ งสรรค์ และสามารถซมึ ซับสนุ ทรียะและวัฒนธรรม ที่หลากหลายได้ ตามพระราชบัญญัติทีก่ ำหนดไวใ้ นรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2562 ยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา จึงไดก้ ำหนดนโยบายการจัดการศึกษาและการเรียนรสู้ ำหรับเด็กปฐมวยั ใหย้ ดึ หลักการพัฒนาเด็กอย่างเป็น องค์รวม (Holistic Development) โดยการพัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการ ๔ ด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์- จติ ใจ สังคมและสตปิ ัญญา สมวัยตามหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ประกาศ 2563) เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่สำคัญในการพัฒนาเรียนรู้ เนื่องจากเด็กในวัยนี้จะมีการพัฒนาการอย่าง รวดเร็วทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ และสติปัญญา ในหลักสูตรปฐมวัยจึงกำหนดให้สถานศึกษาจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็กปฐมวัยให้มีรูปแบบที่หลากหลาย สอดคล้องกับ อายุและระดับ พัฒนาการของผู้เรียน โดยกำหนดให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้มีโอกาสลงมือทำ เคล่ือนไหว ทดลอง เลน่ สืบคน้ คิดแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง (Ministry of Education 2004 : 52) การสอน ระดับปฐมวัยจึงเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เพ่ือเรียนรู้ และแก้ปัญหาตามความสนใจและวัย ซ่ึงทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรน์ บั ว่าเป็นสว่ นประกอบสำคัญ ที่ทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและประสบการณ์ต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานในการนำามาใช้ แก้ปัญหา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นทักษะที่สำคัญและเป็นพื้นฐานที่ควรส่งเสริมตั้งแต่ เด็กระดับปฐมวัยและสอดแทรกเข้ากับกิจกรรมในห้องเรียน ซึ่งการที่ได้ฝึกให้เด็กได้รับประสบการณ์เพื่อ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างสม่ำเสมอจะเป็นการปลูกฝังให้เด็กเป็นคนทม่ี ีเหตุผล
2 และรู้จกั แสวงหาความรู้ ซงึ่ เปน็ คณุ ลักษณะท่ีสำคัญที่บคุ คลพงึ จะมี (Saesong 2009: 81) โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทยนั้นมีแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ให้กับเด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 4-6 ปี ให้เกิดความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ และมี พัฒนาการที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ได้แก่ พัฒนาการการเรียนรู้ พัฒนาการด้านสังคม พัฒนาการ ทางการเคลื่อนไหว และพัฒนาการด้านภาษา ในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยมุ่งหวังให้ผู้ส อน สอดแทรกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้กับผู้เรียนผ่านการทำกิจกรรมในใบงาน ซึ่งสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้โรงเรียนทุกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์ น้อย ประเทศไทย ในปกี ารศึกษา 2562 ให้ครบทุกโรงเรียน จากรายงานผลการประเมนิ เพื่อขอรับปา้ ยตรา พระราชทาน “บา้ นนกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย ประเทศไทย” ของโรงเรียนในสังกดั สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษามุกดาหาร ปีการศึกษา 2562 (กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา 2562) พบว่า มีโรงเรียนที่ขอรับการประเมินจำนวน 106 โรงเรียน มีโรงเรียนที่ผ่านการประเมิน จำนวน 81 โรงเรียน อีก 25 โรงเรียนไม่ผา่ นการประเมนิ สาเหตุมาจากครปู ฐมวยั ยงั ไม่เคยผ่านการอบรมเก่ียวกับการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้สืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย จึงขาดความรู้ ความเข้าใจและ ทักษะในการจัดกิจกรรมวัฏจักรสืบเสาะ อีกสาเหตุหนึ่งคือครูที่ทำการสอนชัน้ อนุบาลปีที่ 2 – 3 เป็นครูท่ี จบไม่ตรงเอกปฐมวัย พนักงานราชการ เป็นครูอัตราจ้าง บางโรงเรียนให้ครูธุรการเป็นผู้ดูแลเด็กปฐมวัย เนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอ สอดคล้องกับไพรัตน์ บุญรักษา (2551: 82) ที่พบว่าบุคลากรครูไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวยั จึงส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยไม่เป็นไป ตามเปา้ หมาย จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้การพัฒนาครูปฐมวัยให้มีทักษะในการจัด ประสบการณเ์ รยี นรดู้ ว้ ยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นและ เร่งด่วน ผู้วิจัยจึงสนใจนำการจัดกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย มาใช้พัฒนาครู ปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร เพื่อมุ่งหวังจะส่งเสริม พฒั นาการของเดก็ ปฐมวัยให้สูงข้นึ 2. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย การวจิ ยั คร้งั นี้มวี ตั ถปุ ระสงค์ ดงั นี้ 3.1 เพื่อศกึ ษาสภาพปญั หาและความต้องการในการจัดประสบการณ์การเรียนรเู้ ด็กปฐมวัย 3.2 เพอ่ื ศกึ ษาผลการพฒั นาครูปฐมวยั ด้วยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย 3.3 เพอื่ ศึกษาผลการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ดว้ ยกิจกรรมการเรยี นรูส้ บื เสาะ
3 3. สมมติฐานของการวจิ ยั ครูปฐมวัยท่ีไดร้ ับการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ ารจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ดว้ ยกิจกรรมสืบเสาะมี ความรู้ ความเขา้ ใจและทักษะในการจดั กจิ กรรมสบื เสาะหลังการอบรมสงู กวา่ ก่อนรับการอบรม 4. ขอบเขตการวจิ ัย 1. กล่มุ เปา้ หมาย ไดแ้ ก่ ครูปฐมวยั สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษามุกดาหาร ทีไ่ ม่เคยผา่ นการอบรมเชงิ ปฏิบัติการโครงการบ้านนกั วทิ ยาศาสตร์นอ้ ย ประเทศไทย จำนวน 41 คน 2. ระยะท่ีใชใ้ นการวจิ ัย ระหว่างเดอื น พฤษภาคม 2563 – มกราคม 2564 3. เนือ้ หาในการพัฒนาครปู ฐมวยั ประกอบดว้ ย 3.1 กิจกรรมการเรยี นรู้สบื เสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย 3.2 การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรู้สืบเสาะเพ่ือพัฒนาการ เด็กปฐมวัย ทั้ง 4 ด้าน 5. ตัวแปรทศี่ กึ ษา 4.1 ตัวแปรต้น คือ การพัฒนาครูดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะ 4.2 ตวั แปรตาม คอื ความรคู้ วามเขา้ ใจและทกั ษะของครทู ่ีผ่านการอบรมพัฒนาครู ปฐมวัยดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะ และผลการจัดกิจกรรมสบื เสาะเพ่ือเสรมิ สรา้ งพัฒนาการของเดก็ ปฐมวัย ท้งั 4 ด้าน 6. นยิ ามศัพท์เฉพาะ กิจกรรมสบื เสาะ หมายถึง กิจกรรมวฏั จกั รสบื เสาะตามแนวทางบ้านนักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย ซง่ึ ให้ ผเู้ รยี นไดส้ ำรวจ และมสี ่วนร่วมในการสนทนาท่เี กย่ี วข้องกบั ปรากฏการณ์ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่อยรู่ อบตัว และเป็นท่สี นใจของเดก็ มีขนั้ ตอนการจัดกิจกรรม 6 ขัน้ ได้แก่ การตงั้ คำถามจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ การระดมความคิดและตั้งข้อสนั นษิ ฐาน การทดลองและปฏิบัติการสืบเสาะ การสงั เกตและบรรยาย การ บันทึกผล การสรปุ และอภปิ ราย การพัฒนาครปู ฐมวัย หมายถงึ การดำเนนิ งานกับครปู ฐมวัย เพื่อเพ่ิมพนู ความรู้ ความเขา้ ใจและ ทักษะการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสบื เสาะตามแนวทางบ้านนักวทิ ยาศาสตร์น้อย การอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการ หมายถึง วิธกี ารในการพัฒนาครูดว้ ยการดำเนินการวางแผน(Planning) การลงมือปฏิบตั ิ (Action) การสงั เกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) เพอ่ื พฒั นา ความรู้ ความเขา้ ใจและทักษะของครปู ฐมวัยในการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะตาม แนวทางบา้ นนกั วทิ ยาศาสตร์นอ้ ย โดยมีวิทยากรให้ความรู้ ให้คำแนะนำขณะปฏบิ ตั ิกิจกรรมของครูปฐมวยั และใหน้ ำไปใช้จัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ได้บรรลุวตั ถุประสงค์
4 การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ หมายถงึ การจัดกจิ กรรมการเรียนร้เู พ่ือเตรยี มความพร้อมใหเ้ ด็ก ผ่านกิจกรรมหลกั ประจำวนั 6 กิจกรรม เพ่ือใหเ้ ด็กได้เรยี นรูจ้ ากการลงมือปฏบิ ตั ิจริง อันจะสง่ ผลต่อ พฒั นาการทง้ั 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์-จติ ใจ สงั คมและสตปิ ัญญา ครปู ฐมวัย หมายถึง ครูที่ปฏิบัติหน้าท่ดี ้านการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ กำกบั ดแู ลและให้ ความรแู้ ก่เด็กชน้ั อนุบาลปีท่ี 2-3 ในโรงเรยี นสังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร 7. ประโยชน์ทไี่ ดจ้ ากการวจิ ัย 7.1 ครปู ฐมวยั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจและทกั ษะการจัดกิจกรรมสบื เสาะ 7.2 เป็นแนวทางให้ครูปฐมวยั ได้นำไปใช้ในการจัดประสบการณ์การเรียนรเู้ พอ่ื เสรมิ สร้าง พฒั นาการของเดก็ ปฐมวัยอย่างรอบด้านได้ 8. กรอบแนวคิดในการวิจยั การวิจัยครัง้ นีใ้ ช้วธิ กี ารวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Action Research) ตามแนวคิดของเคมมสิ และ แม็กแท็กการท์ (kemmis and Mc Taggart.1991: 169-170) ซึ่งประกอบด้วยการวางแผน (Planning) การปฏิบตั ิ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) เพ่ือพฒั นาครูปฐมวัย สงั กัดสำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษามุกดาหาร ดังภาพท่ี 1 แนวคิด หลักการ และทฤษฎีพน้ื ฐาน ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม การอบเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารจดั - ความรู้ ความเข้าใจ 1. แนวคดิ เกี่ยวกับการพฒั นาครู กจิ กรรมการเรยี นรู้ และทักษะการจัด 1.1 ศกึ ษาสภาพปญั หาและ แบบสืบเสาะ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. การวางแผน สบื เสาะของครผู ู้สอน ความต้องการ 2. การปฏบิ ัติ -ความสามารถในการ 1.2 ศกึ ษารูปแบบการพัฒนาครู 3. การสังเกต จัดกจิ กรรมสืบเสาะ 4. การสะทอ้ นผล -พัฒนาการของเด็ก 2. แนวคิดเกี่ยวกับการจดั ประสบการณ์ ปฐมวยั ท้ัง 4 ด้าน การเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ 3. พัฒนาการของเดก็ ปฐมวัย ท้งั 4 ด้าน ประกอบด้วย ดา้ นรา่ งกาย ดา้ นอารมณ์-จติ ใจ ด้านสงั คม และดา้ นสติปญั ญา ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย
5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง การวจิ ยั เรื่องผลการพฒั นาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสบื เสาะเพือ่ เสรมิ สรา้ งพัฒนาการของเดก็ ปฐมวัย นี้ ผู้วจิ ยั ได้ศกึ ษาค้นคว้า เอกสาร ตำรา บทความ งานวิจัยตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้อง รวมทั้งข้อมลู อนิ เทอรเ์ น็ต ซึง่ มีรายละเอียดดงั นี้ 1. แนวทางการพัฒนาศักยภาพครู 1.1 การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร 1.2 การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการ 2. การสอนแบบวฏั จักรสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนักวิทยาศาสตร์นอ้ ย 2.1 บทบาทของครใู นการจัดประสบการณ์แบบสืบเสาะหาความรู้ 2.2 ข้อดีของการจดั ประสบการณ์สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3. มาตรฐานคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ของเด็กปฐมวยั 3.1 พัฒนาการดา้ นร่างกาย 3.2 พฒั นาการด้านอารมณ์ - จิตใจ 3.3 พฒั นาการดา้ นสงั คม 3.4 พัฒนาการด้านสตปิ ญั ญา 4. งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง 1. แนวทางการพัฒนาศกั ยภาพครู การวจิ ัยคร้ังนี้ ผู้วจิ ยั ไดน้ ำรปู แบบการฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ัติการเปน็ ส่วนหน่งึ ของการพฒั นาครู จึงขอนำเสนอแนวคิดทเ่ี ก่ยี วข้องกับการฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Workshop) และการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Research) ดงั น้ี 1.1 การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ 1.1.1. ความหมายของการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Workshop) รงุ่ แก้วแดง (2539: 22) กล่าววา่ การฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ัติการเปน็ วธิ กี ารฝกึ อบรมระหวา่ งการ ทำงานทด่ี ีท่ีสดุ แบบหน่งึ โดยผเู้ ข้าอบรมลงมอื ปฏบิ ัตงิ านแกไ้ ขปัญหา หรอื ศึกษาดว้ ยกนั เป็นกลมุ่ ย่อยแทน การนง่ั ฟังอย่างเดยี ว ผลการฝกึ อบรมเชงิ ปฏิบัติการจะไดเ้ ป็นผลงานหรือคำตอบเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ โดยสมาชกิ ไดม้ ีส่วนร่วมดว้ ย และอาจขอความรว่ มมือจากผทู้ รงคณุ วฒุ ิเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำและเป็น วิทยากรได้
6 สมเกียรติ ศรจี กั รวาล (2542: 3-147) กลา่ ววา่ การฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารหมายถงึ การฝกึ อบรมเพอื่ เพ่มิ หรือเสริมทักษะบางเรื่องให้แก่ผ้เู ขา้ ร่วมประชุมโดยเฉพาะ วธิ ีการอาจประกอบด้วยการ บรรยาย หรืออภปิ รายเนือ้ หาตา่ ง ๆ ตดิ ตามดว้ ยการลงมือปฏบิ ัติ ภายใตก้ ารดแู ลและให้คำแนะนำของท่ี ปรึกษา สรปุ ไดว้ า่ การฝึกอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร (Workshop) หมายถึงการฝกึ อบรมรว่ มกนั เปน็ กลุ่ม ๆ โดยเนน้ การร่วมกนั ทำงานเพื่อฝึกการแก้ปัญหาโดยผู้เขา้ อบรมทุกคนจะต้องมสี ่วนร่วมลงมอื ปฏิบัติ (hands-on training) 1.1.2 หลกั การฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ัติการ ชารี มณีศรี (2538: 169-171) ได้กล่าวถงึ ลักษณะการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั ิการท่ดี วี า่ ผู้จัดการ ฝกึ อบรมเชงิ ปฏิบัติการมีหน้าที่ผูกพันอยกู่ ับการจดั อบรมม หรือการฝกึ อบรมประจำการของครูควรคำนึง ถงึ ลกั ษณะการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั ิการท่ดี ี ดังต่อไปน้ี 1. ผ้เู ขา้ ร่วมอบรมควรเป็นไปตามความสมัครใจของครูแต่ละคน 2. ปญั หาของครูแตล่ ะคนท่ีจะนำมาพจิ ารณาควรเปน็ ไปโดยความสมัครใจของครูคนนั้น การจดั อบรมไมค่ วรกำหนดขนึ้ เอง 3. ครทู เ่ี ข้าร่วมอบรมควรดำเนินการแก้ปัญหาท่ตี นเองกำหนดข้นึ เตรียมกจิ กรรมและ กำหนดการตา่ ง ๆ ดว้ ยตวั เขาเอง 4. โปรแกรมการอบรม หรือ กำหนดการต่าง ๆ ควรมาจากปญั หาที่ครูเสนอ ซงึ่ มีการ ขน้ั ตอนการเตรียมการก่อนฝึกอบรมเชงิ ปฏิบัติการ ดงั นี้ 4.1 รวบรวมปญั หาของครแู ตล่ ะคนเสนอเพ่ือใหท้ ปี่ ระชุมร่วมกันแก้ปญั หา 4.2 แจกจา่ ยปัญหาต่าง ๆ ทัง้ หมดใหผ้ ูท้ ร่ี ว่ มอบรมทุกคนเพื่อทราบ 4.2.1 ปัญหาทต่ี ้องการแกเ้ ปน็ รายบคุ คล (จดั ลำดบั ) 4.2.2 ปัญหาท่ตี ้องการให้มีการพิจารณาเป็นกล่มุ (จัดลำดบั ) 4.3 เมือ่ ได้ขอ้ มูลจากผูเ้ ข้าร่วมอบรมแล้ว นำมาจัดกลุ่มอภปิ รายยอ่ ยตามท่เี ลือกไว้ หาวทิ ยากรท่ปี รึกษา รวมทัง้ วัสดุอุปกรณ์ทจ่ี ำเป็นให้พรอ้ ม 4.4 กำหนดโปรแกรมการเปดิ ประชุม ประกอบด้วย 4.4.1 ลงทะเบยี นและการสงั สรรค์ 4.4.2 เชิญผู้มเี กยี รตทิ ่ีมีความรู้เหมาะสมเปดิ การอบรม พร้อมท้งั บรรยายในหวั ขอ้ เรื่องที่ เป็นปัญหาหลักของการอภปิ ราย 4.5 จัดให้มีการพักในชว่ งเวลาทีเ่ หมาะ 4.6 เสนอแนะกิจกรรมทางสงั คมตา่ ง ๆ 4.7 จัดใหม้ กี ารรายงานการอบรมต่าง ๆ และเอกสารอ่นื ๆ 4.8 กำหนดวันสำหรับการฝึกอบรมปฏิบัติการ
7 4.9 จัดรายการเก่ียวกับการใช้แหล่งวทิ ยากรในชุมชน ในระหว่างประชมุ 5. ขนาดของการฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารท่ีดี ควรมสี มาชิกจำนวนประมาณ 10-20 คน 6. จดั คลนิ ิกเพื่อช่วยเสนอแนะวธิ กี ารทำงานทม่ี ีประสบการณ์ หรือประสบผลสำเรจ็ เมื่อมีเวลา และโอกาสทีท่ ุกคนจะชว่ ยได้ 7. กระบวนการหมพู่ วก และวิธแี กป้ ัญหาเป็นส่วนสำคญั ในการจัด 8. โปรแกรมทดี่ ขี องการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร คอื ให้มีการอบรมกลุ่มใหญ่และกลุม่ ย่อยให้ สมาชิกมโี อกาสพบปะกบั วิทยากร ร่วมในกจิ กรรมทางสังคมและนนั ทนาการ 9. หากการจัดการฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ัติการใช้เวลานาน และสมาชิกอยูร่ วมกนั ณ ท่ีใดท่ีหนึง่ ผู้จดั อบรมในฐานะทีว่ างแผน ควรคำนึงถึงการเลอื กและติดต่อวิทยากรท่ีปรกึ ษา ตามปกติวทิ ยากร 1 คน ต่อผเู้ ขา้ อบรม 15 คน เลอื กผู้เข้ารว่ มงานในฐานะผู้แนะนำหรอื ท่ปี รึกษา เตรยี มสถานท่ีประชุม สถานท่ีพัก แจ้งใหผ้ ู้เขา้ อบรมได้ทราบถึงท่ีพกั แผนการจัดกิจกรรมทางสังคมและนันทนาการ รวมทั้งวสั ดุอุปกรณเ์ พอื่ การจัดเตรยี มขออนญุ าตเขา้ เยยี่ มชมแหล่งวทิ ยากรต่าง ๆ สรา้ งความเขา้ ใจในการแบ่งกลุม่ คือกลุ่มใหญ่ เป็นกลุม่ ยอ่ ย (กล่มุ ละ 5 – 6 คน) ใชเ้ วลาอภปิ ราย 10-20 นาที ให้แตล่ ะคนนำเสนอต่อกลมุ่ ใหญ่อีกทีหน่ึง 10. ประเมนิ ผลการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารว่าไดผ้ ลดีหรอื ไม่ อยา่ งไร มีขอ้ ดีข้อเสยี อยา่ งไร เพื่อ พิจารณาปรับปรงุ ใหด้ ขี ึ้นในคราวต่อไป และควรตระหนักในการประเมนิ ผลเปน็ บุคคลมากกวา่ ท่ีจะ ประเมินเปน็ กลุ่มบคุ คล สมติ สชั ฌกุ ร (2543: 23-24) ได้ให้ลกั ษณะของการฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารว่าเปน็ รวมกล่มุ ของคนจำนวน 2 คน หรอื มากกว่านั้น ท่ีมีความสนใจหรอื มปี ัญหาร่วมกนั มาพบปะกนั เพ่อื ให้เวลาในการ ปรบั ปรงุ ความสามารถ ความเขา้ ใจและความชำนาญของแต่ละคน การฝึกอบรมเชงิ ปฏิบัติการสามารถ นำมาใชเ้ มื่อตอ้ งการท่ีจะไดร้ ับผลอยา่ งใดอย่างหนึ่งตามวตั ถปุ ระสงค์ ดังต่อไปน้ี 1. เพื่อทำความเขา้ ใจปัญหา 2. เพ่อื สำรวจปัญหา 3. เพื่อพยายามหาข้อแก้ไขปญั หา 4. เพือ่ ศึกษาปญั หาด้วยการสอบถาม 5. เพื่อพจิ ารณาด้วยการสอบถาม 6. เพื่อส่งเสรมิ ความร่วมมือระหว่างบุคคล ข้ันตอนการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ 1. ข้ันวางแผนดำเนนิ งาน การจดั ฝึกอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการทดี่ แี ละมปี ระสทิ ธภิ าพ จำเป็นตอ้ งมกี ารวางแผน ดำเนินงานในทุกขั้นตอน โดยอาศัยหลัก 7 ประการ ดังนี้ 1.1 การจดั แจงรายละเอยี ดของงาน ในฐานะผดู้ ำเนินงานการประชุม จำเป็นตอ้ ง แจกแจงรายละเอยี ดของงานทงั้ หมดท่จี ำเปน็ ในการจดั ประชุมนนั้ ๆ จะช่วยใหก้ ารวางแผนจัดการ
8 และกำกบั ติดตามง่ายขึน้ 1.2 การจัดลำดับก่อนหลงั ของงาน เม่ือทำการแจกแจงตา่ งๆ ที่จะต้องดำเนนิ งานแล้วจึง นำงานเหล่าน้ันมาจดั ลำดบั ก่อนหลงั เพื่อจะได้ทราบว่างานใดจำเป็นต้องทำกอ่ นงานใดสามารถดำเนินการ ไปพร้อมกับงานใด งานใดจำเปน็ ต้องรอให้งานอ่ืนเสร็จเรยี บรอ้ ยก่อนจึงดำเนนิ การได้ 1.3 การประมาณการเวลาทใ่ี ช้ในแต่ละคน นอกจากจัดลำดับกอ่ นหลงั ยงั ต้องทำ ประมาณการเวลาทใ่ี ชใ้ นแต่ละงานท้ังกำหนดเวลาเริม่ ต้นและเวลาเสร็จแลว้ 1.4 การจดั การกรอบความรับผิดชอบ การจัดทำกรอบความรบั ผิดชอบ ถา้ ทำงานคนเดยี ว จะไม่มีความยุ่งยาก แต่หากเปน็ การทำงานหลายคน หรือหลายคณะในแต่ละงานหรอื กิจกรรมท่ีมอบหมาย ให้ทำ ควรมกี รอบความรับผิดชอบทแี่ นน่ อน 1.5 การมอบหมายความรบั ผดิ ชอบ เม่ือเราสามารถแยกแยะได้ จัดทำกรอบความ รบั ผดิ ชอบ ประมาณการเวลาและกำหนดก่อนหลงั ของกจิ กรรมต่าง ๆ แลว้ สามารถมอบงานนนั้ ๆ ใหแ้ ก่ ผู้รบั ผิดชอบหรอื คณะทำงานเพ่อื ดำเนินงานต่อไป 1.6 การทำแผนการดำเนนิ งาน เม่อื งานมรี ะบบมากขึน้ ควรทำแผนการดำเนนิ งาน โดย เรียงงานหรือกิจกรรมตา่ ง ๆ ตามลำดบั พร้อมกำหนดระยะเวลาในการทำงานนั้น แล้วจัดทำเป็นแผนภมู ิ เพอื่ สะดวกในการกำหนดและติดตามงานต่อไป 1.7 การกำกับและตดิ ตามงาน การจัดการและการดำเนินใด ๆ การกำกบั และติดตามงาน มคี วามสำคัญ จำเป็นมากในการวางแผนและจดั การประชุมเพ่ือตรวจสอบดวู ่างานต่าง ๆ ที่มอบหมายให้ แตล่ ะฝ่ายหรอื แต่ละคนรบั ผิดชอบน้ันทำเสร็จเรียบรอ้ ยหรือไม่ มีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไร จะต้องแกไ้ ข เปลยี่ นแปลงหรือปรบั ปรุงอย่างไร 2. ข้ันการเตรียมงาน การเตรยี มการฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ตั ิการจะประสบผลสำเร็จหรอื มปี ระสิทธภิ าพมากน้อย เพียงใดย่อมขน้ึ อยู่กบั การเตรียมงานที่ดีเป็นสำคญั ในข้ันตอนการเตรียมงานนน้ั มีกจิ กรรมตา่ ง ๆ มากมาย เริ่มต้งั แต่ประเมินความต้องการ การจัดทำโครงการตดิ ต่อสถานที่การติดตอ่ วทิ ยากร และประธาน พิธีเปิด การขออนุมัตใิ ห้ผเู้ ขา้ อบรมมีสิทธิในการเบิกจา่ ยค่าลงทะเบียน และสทิ ธอิ ่ืน ๆ การจัดดูงานนอกสถานที่ การประชาสัมพันธ์ การจดั เตรยี มเอกสารและวสั ดุการตดิ ต่อ จดั เตรียมอาหารวา่ ง และอาหาร การตดิ ต่อ ยืนยนั การมอบหมายงานระหว่างการอบรมทางวชิ าการ และการประเมินผล 3. ข้นั การปฏบิ ตั ิงาน ในขนั้ ปฏิบัตงิ านนัน้ นับว่าเป็นช่วงทีม่ ีความสำคัญมาก เปน็ การบรหิ ารและจัดกิจกรรม ต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง ซึง่ มลี ำดับข้นั ตอน ดงั นี้ 3.1 ซกั ซอ้ มความเข้าใจและความต้องการของทุกฝา่ ย ตลอดจนการวางตัวผ้รู ับผดิ ชอบ หากมสี ิ่งใดไม่เรยี บร้อยด้านสถานท่ี เครื่องมือและอุปกรณ์
9 3.2 ตรวจสอบความเรียบร้อยของสถานท่ี เครอื่ งมือ และอุปกรณก์ ่อนเปดิ การอบรม 1 วัน ตรวจสอบหอ้ งประชุม โตะ๊ เก้าอ้ี โตะ๊ หมู่บชู า ชดุ รับแขก อักษรบนเวที ควรอยู่ในสภาพที่ใชง้ านได้ 3.3 การต้อนรบั ท่ดี ีและเปน็ กันเอง ยอ่ มเปน็ จุดกำเนิดสมั พันธภาพท่ีดรี ะหวา่ งผู้เข้ารว่ ม อบรมและผู้จดั การอบรม สร้างความอบอุ่นและประทบั ใจใหแ้ กผ่ ูเ้ ขา้ รว่ มอบรม 3.4 การรับลงทะเบยี น การฝึกอบรมที่มีคนเขา้ รว่ มจำนวนมาก ต้องวนุ่ วายและขาด ระเบียบ ทำใหเ้ สยี เวลาและทำลายบรรยากาศที่ดใี นการรว่ มประชมุ เพ่ือให้เกิดพความสะดวกและรวดเร็ว ในการลงทะเบียน ควรมีการสมคั รลว่ งหนา้ และวางผังการลงทะเบยี นที่ดี 3.5 พิธเี ปดิ การอบรม ก่อนทำการอบรม โดยปกติเรานยิ มท่ีจะมีพธิ ีเปิดหลงั จากท่ี ประธานมาถงึ และผู้จดั ได้แสดงการต้อนรับ พกั ผ่อนสนทนาพอสมควร แลว้ เริ่มพิธเี ปดิ 1.1.3 เทคนิคการฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ัติการ ในการอบรมแตล่ ะครั้ง จะมกี ารจดั กจิ กรรมอย่างหลากหลาย ผู้จดั อาจเลือกใช้วิธีการจดั อบรมแบบใดแบบหน่งึ ก็ได้ทเ่ี หน็ วา่ เหมาะสม 1. การบรรยาย เปน็ การถ่ายทอดความรู้ ความคดิ นโยบายหรือแสดงเหตุผลและสิง่ ที่ นา่ สนใจประกอบการบรรยาย วทิ ยากรจะต้องมีความรู้ ความเชีย่ วชาญอย่างแทจ้ รงิ ในเร่อื งท่พี ูด 2. การอภปิ รายกบั ผูฟ้ ัง เปน็ การอภปิ ราย ซงึ่ มผี เู้ ช่ียวชาญต้งั แต่ 1 คน ขึ้นไป มา อภิปรายเรื่องใดเรื่องหน่ึง เมอ่ื เสร็จการอภปิ รายแลว้ จะเปิดโอกาสให้ผู้ฟงั ถาม 3. การอภิปรายกลุม่ เป็นการอภปิ รายกลุ่มของวทิ ยากร ประมาณ 2-6 คน คนหนง่ึ เปน็ ผดู้ ำเนินการอภปิ ราย สว่ นคนอนื่ ๆ เปน็ ผู้ร่วมอภปิ ราย 4. การอภิปรายกึง่ สัมภาษณ์ เป็นการอภปิ รายประกอบด้วยผเู้ ชยี่ วชาญและตวั แทนผฟู้ งั ตัวแทนผู้ฟังเปน็ ผถู้ ามคำถามแต่ละคำถามต่อผเู้ ช่ียวชาญ เพอ่ื ช่วยใหผ้ ้ฟู งั มคี วามเขา้ ใจปัญหาดา้ นทสี่ ำคัญ ตา่ ง ๆ ได้ชดั เจน และลึกซื้งย่งิ ข้นึ 5. การอภิปรายเพื่อแลกเปลย่ี นเรียนรู้ หรือการอภิปรายทางวิชาการ มลี กั ษณะคลา้ ยกบั การอภปิ รายกลุ่ม แตต่ ่างกนั ที่การอภปิ รายแบบนี้ ผู้อภิปรายแตล่ ะคนเตรยี มตวั คน้ คว้าหาความรแู้ ละ ข้อเท็จจรงิ ผดู้ ำเนินการอภิปรายจะเปิดโอกาสใหผ้ ้ฟู งั ซักถามในตอนท้ายและส่งิ สำคัญที่สุด การอภปิ ราย แบบน้ีจะชว่ ยใหผ้ ฟู้ ังมองเหน็ แงค่ ิดต่าง ๆ 6. การสาธติ เปน็ การแสดงวิธีหรอื กระบวนการให้สมาชิกได้เหน็ ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติต่าง ๆ อยา่ งละเอียด เพอ่ื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจในเรื่องนั้น ๆ การสาธติ เป็นการเช่ือมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏบิ ตั ิ ข้อสำคัญการสาธิตต้องทำให้ส้นั งา่ ย และใหส้ มาชิกทุกคนได้เหน็ อยา่ งใกล้ชดิ และถา้ เป็นไปไดส้ มาชิกควร ทำการสาธติ ดว้ ย 7. การระดมสมอง หรอื ระดมความคดิ หลกั สำคญั ประธานท่ปี ระชมุ ต้องมคี วามสามารถ จงู ใจ หรือกระต้นุ ให้สมาชิกทุกคนแสดงความคิดเหน็ หรือเสนอแนะในทีป่ ระชมุ เพ่ือแก้ปัญหารว่ มกัน
10 สรปุ ไดว้ า่ การฝกึ อบรมเชิงปฏิบัติการ เหมาะสำหรับนำไปพฒั นาครเู พราะการฝึกบรมเชิง ปฏิบัตกิ ารเป็นกระบวนการและกจิ กรรมท่จี ะเสริมสรา้ งให้ผูเ้ ข้ารว่ มอบรมเกดิ ความรคู้ วามเข้าใจ เกิด ทกั ษะ หรอื ความชำนาญในการเนอ้ื หาท่ีต้องการ โดยใชเ้ ทคนิคอย่างหลากหลาย เชน่ การบรรยาย การอภปิ รายกบั ผู้ฟัง การอภิปรายกลมุ่ การอภปิ รายกึง่ สัมภาษณก์ ารอภิปรายเพ่ือแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ การสาธิต การระดมสมอง 1.2. การวิจยั เชิงปฏบิ ตั ิการ 1.2.1 ความหมายของการวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการ (Action Research) การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการ หมายถึง การวิจยั ที่ใชก้ ระบวนการปฏบิ ตั ิอย่างมีระบบผวู้ จิ ัยและ ผ้เู กี่ยวขอ้ งมีส่วนร่วมในการปฏบิ ัติการและวเิ คราะหว์ ิจารณ์ผลการปฏบิ ัตโิ ดยการใชว้ งจร 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การลงมือกระทำจรงิ การสังเกต และการสะท้อนผลการปฏิบัติ การดำเนินการจะต้อง ตอ่ เน่ือง เพื่อจะนำไปส่กู ารปรับปรุงแผนเขา้ สวู่ งจรใหม่ จนกวา่ จะได้ข้อสรปุ ทแ่ี ก้ไขปัญหาไดจ้ รงิ หรือ สภาพการณ์ของสงิ่ ทศี่ ึกษาได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ จุดมุ่งหมายของการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการมีวัตถปุ ระสงค์ เพือ่ จะปรบั ปรุงประสิทธิภาพของการปฏบิ ตั งิ านประจำให้ดีขน้ึ โดยนำเอางานทป่ี ฏิบตั อิ ยู่มาวเิ คราะห์สภาพ ปัญหา อนั เป็นเหตใุ หง้ านนนั้ ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าท่ีควร จากนั้นใชแ้ นวคิดทางทฤษฏแี ละประสบการณ์ การปฏิบตั ิงานทีผ่ ่านมาหาข้อมลู และวิธีการทค่ี าดวา่ จะแก้ปัญหาดงั กล่าวได้ แลว้ นำวธิ ีการดงั กล่าวไป ทดลองใชก้ ับกลมุ่ ทีเ่ ก่ยี วข้องปญั หานน้ั ซึ่งแตกตา่ งจากการวิจยั เชงิ วิชาการทวั่ ๆ ไป ดงั ท่ี Mc Kerman 1988 (พร้อมพรรณ อดุ มสนิ 2545: 73) ไดก้ ล่าวไว้สรุปได้ดังน้ี 1. การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการมีจดุ เนน้ ท่ีผลการวิจัยนัน้ นำไปใชเ้ ฉพาะจุด เฉพาะท่ี และเฉพาะ เร่อื ง โดยนำผลการวจิ ัยไปใช้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที 2. ผวู้ จิ ัยทีเ่ ปน็ ผู้ทำการวจิ ัยเด่ียวหรือเปน็ ผรู้ ่วมโครงการวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการน้นั ผวู้ จิ ยั จะถูก กระต้นุ ให้แสวงหาความรู้ ความเข้าใจในเรื่องท่ีศึกษาและปัญหาท่เี กยี่ วข้องอยา่ งลกึ ซ้ึง 3. การวิจัยเชิงปฏบิ ัติการเปน็ การกระต้นุ ให้มีการรว่ มมืออยา่ งเสมอภาคกนั ของผรู้ ว่ ม โครงการวจิ ัยทั้งในส่วนของกระบวนการทำวจิ ยั และการนำผลการวิจยั ไปใช้ 4. การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารเป็นการวจิ ยั ที่มุ่งหวังประโยชน์หรอื คำตอบในช่วงสั้นซ่งึ นำไปสู่ การวจิ ยั เชงิ ประยุกต์ (Applied Research) จากลกั ษณะการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารดงั กล่าวเปน็ การมุ่งหาคำตอบท่เี ป็นองค์ความรู้หรือข้อมูลทีจ่ ะ นำไปใชใ้ นการแกป้ ัญหาหรอื พฒั นา ผลการวิจยั สามารถนำไปใชใ้ นการทำงานหรือพัฒนางานและผู้ท่ี เกี่ยวขอ้ งไดด้ ว้ ย การใช้กรอบแนวคดิ การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิการ (The Action Research) ตามแนวคิดของ เคมมสิ และแม็กแท็กการท์ (kemmis and Mc Taggart.1991: 169-170) ซ่ึงประกอบด้วยการวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสงั เกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection)
11 1.2.2 ขั้นตอนของการวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการ กระบวนการวจิ ยั น้ี เมือ่ กล่าวในเชงิ นำไปใช้เพ่ือพัฒนาและปรบั ปรงุ การปฏิบัตงิ าน ซึ่งมี วิธดี ำเนินการตามวงจรของการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการ ดงั นี้ 1. ขั้นการวางแผน (Planning) เริ่มตน้ ด้วยสำรวจปญั หาและวิเคราะหร์ ว่ มกนั ระหว่างผวู้ จิ ยั และผ้มู ีสว่ นเกยี่ วข้อง เพื่อให้ได้ปัญหาทีส่ ำคญั ท่ตี อ้ งการให้แกไ้ ขตลอดจนการแยกแยะรายละเอียดของ ปญั หานั้น เกย่ี วกบั ลักษณะของปญั หาเกี่ยวขอ้ งกับใคร แนวทางแก้ไขอยา่ งไรจะต้องปฏิบัตอิ ย่างไร เมื่อได้ ดำเนนิ การตามข้ันตอนน้แี ลว้ ในขั้นนอี้ าจจะต้องขอความรว่ มมอื จากผอู้ ่ืนหรือผู้ช่วยวิจยั เพ่ือปรึกษาหารือ ว่าจะใชเ้ คร่อื งมืออะไรเก็บรวบรวมข้อมูลอยา่ งไร วเิ คราะห์อย่างไร ใชส้ ถิติแบบใดบ้าง จนเกิดความม่ันใจ ในการปฏิบัตติ ่อไป 2. ขั้นการปฏิบตั ิ (Action) เป็นการนำแนวคดิ ท่กี ำหนดเปน็ กจิ กรรมในขนั้ วางแผนท่ีวางไว้มา ดำเนนิ การ ในขนั้ นี้ผวู้ จิ ยั จะต้องพบปัญหาในการวิจัยมากมาย ต้องทำการวเิ คราะหว์ ิจารณป์ ัญหาอุปสรรค ที่เกดิ ขึ้นรว่ มกันของทีมงาน เพ่ือทำการแกไ้ ขปรับปรุงแผน ดังนน้ั แผนที่กำหนดไว้ควรจะมคี วามยืดหยุ่น ปรับได้ เปลย่ี นแปลงไปตามความเหมาะสมโดยกำหนดใหเ้ กิดความสมดลุ กบั การปฏบิ ตั ิจริง 3. ข้ันการสังเกต (Observation) เปน็ การสังเกตการเปลย่ี นแปลงที่เกิดขน้ึ ดว้ ยความ รอบคอบซงึ่ สงั เกตกระบวนการของการปฏิบตั กิ าร (The Action of Process) และผลของการปฏบิ ตั ิการ (The Effect of Action) พร้อมท้งั จดบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ที่เกิดขน้ึ ทง้ั ที่คาดหวงั และไม่คาดหวงั โดยอาศัย เคร่อื งมอื การเก็บรวบรวมข้อมูลท่เี กิดจากการปฏิบตั ิ ผวู้ จิ ัยจะต้องเลือกใชใ้ ห้เหมาะสมพิจารณาข้อดีข้อเสีย ของเครอื่ งมือแตล่ ะชนิด เพ่ือรวบรวมข้อมูลให้มีประสทิ ธิภาพมากที่สุด มรี ายละเอียดดังนี้ 1. การบนั ทกึ สนาม (Field Note) เป็นการจดบนั ทึกพฤตกิ รรมต่าง ๆ ของผเู้ กยี่ วขอ้ งตาม สภาพท่ีเหน็ โดยไม่ไดแ้ สดงความคดิ เห็นส่วนตวั หรอื การแปลความหมาย การบันทกึ ลักษณะนี้จะทำให้ได้ พฤติกรรมตามสภาพการณ์ทเี่ ปน็ จริง 2. การสัมภาษณ์ (Interviews) เป็นการทำให้ไดค้ ำถามทย่ี ืดหยุ่นมากกว่าการรวบรวม แบบสอบถาม การสัมภาษณส์ ามารถดำเนินการได้ 3 ลกั ษณะ คือ 2.1 แบบไม่ได้วางแผน (Unplanned) เปน็ การสนทนาอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการของคู่สนทนา 2.2 แบบวางแผนแตไ่ ม่มโี ครงสร้าง (Planed but - Unstructured) เปดิ โอกาสให้คู่ สนทนาเลอื กหัวข้อที่สนใจท่ีจะพูด ผู้สมั ภาษณ์จะใชค้ ำถามอืน่ ประกอบเพื่อใหไ้ ดค้ ำตอบท่ชี ดั เจนตรง ประเดน็ 2.3 แบบมีโครงสร้าง (Structured) การสัมภาษณท์ เ่ี ป็นไปตามชุดคำถามที่เตรยี มการไว้ 3. การใชส้ งั คมมติ ิ (Sociometric Method) เพื่อตรวจสอบความสัมพันธเ์ ชิงสังคมใน กลมุ่ เป้าหมาย โดยใชค้ ำถามว่า เขาชอบท่จี ะทำงานหรอื ไม่ทำงานกับใคร แล้วนำมาเชื่อมโยงความสมั พนั ธ์ ว่าใครเป็นผูน้ ิยมของกลุ่มหรอื ใครถูกเพื่อนเพิกเฉย 4. แบบสอบถาม (Questionnaires) เป็นการสอบถามข้อมูลเก่ียวกับความคดิ เห็น
12 ของผู้ตอบ สามารถใช้ได้ทั้งแบบปลายเปดิ และปลายปดิ เลือกใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะของข้อมูล ท่ีสำคญั ผูว้ ิจยั จะตอ้ งกำหนดหัวข้อของเรือ่ งทีจ่ ะถามให้รัดกมุ และครอบคลมุ 5. การใชแ้ บบสำรวจรายการ (Checklist) เพื่อให้การบนั ทกึ พฤติกรรมมคี วามเชือ่ ถอื มาก ยิ่งขึ้น ผวู้ จิ ยั อาจสร้างรายการแสดงปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งผู้เกยี่ วขอ้ ง กลุ่มเป้าหมาย แลว้ ใชป้ ระกอบการ สังเกตโดยกา / หรือ X หนา้ พฤติกรรมทเี่ กดิ ขน้ึ ไปตามรายการทม่ี ีอยู่ 6. การบันทกึ เสียง (Tape Recording) เปน็ วธิ ที ่ีสะดวกและงา่ ย ข้อดี คือ สามารถนำมา วเิ คราะหข์ ้อมลู ไดอ้ ยา่ งละเอียด แต่ข้อด้อย คือ ไมส่ ามารถบนั ทึกกิจกรรมที่แสดงทา่ ทาง 7. การใช้วีดที ัศน์ (Video Tape Recorder) สามารถบนั ทึกพฤติกรรมไดท้ ุกขั้นตอน บนั ทกึ ไดท้ ้งั ภาพและเสียง สามารถเห็นพฤตกิ รรมได้ทัง้ หมด หรอื เลือกบันทกึ รายการประเด็นทีส่ นใจ มคี วามเที่ยงตรงค่อนข้างสูง 8. การใชแ้ บบทดสอบ (Test) เปน็ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศกึ ษา เปน็ การรวบรวมขอ้ มูล ความสามารถทางด้านสมอง 4. ขนั้ สะทอ้ นผลการปฏิบัติ (Reflection) เป็นข้นั สุดท้ายของวงจรการทำการวจิ ัยเชิง ปฏิบัตกิ าร คือ การประเมินหรอื ตรวจสอบกระบวนการแก้ปัญหา หรอื สิ่งทเ่ี ปน็ ข้อจำกัด ที่เปน็ อุปสรรคต่อ การปฏบิ ตั ิการ ผวู้ จิ ัยร่วมกับกลมุ่ ผู้เกย่ี วขอ้ งจะต้องตรวจสอบปัญหาทีเ่ กดิ ข้นึ ในแงม่ มุ ต่าง ๆ ว่าสัมพันธ์กับ สภาพสังคม สิง่ แวดล้อมของกิจกรรมท่ีกำลังศึกษา โดยผา่ นกระบวนการถกอภิปรายปญั หา การประเมิน โดยกลุ่มจะทำใหไ้ ด้แนวทางของการพัฒนาขน้ั ตอนการดำเนินกิจกรรมและเปน็ พ้นื ฐานข้อมลู ท่จี ะเป็น แนวทางนำไปสู่การปรับปรุงและการวางแผนการปฏบิ ัติต่อไป สรปุ หลักการสำคัญของการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการทีต่ อ้ งตระหนกั อยเู่ สมอ คือ กล่มุ บุคคลที่ เก่ยี วข้องมีความสำคัญต่อกระบวนการดำเนินการวิจยั นน่ั คือ การวิจัยชนดิ นี้ไม่ควรจะทำตามลำพังและ ควรใชว้ งจรของกระบวนการวิจยั ซึ่งประกอบดว้ ย การวางแผน การปฏบิ ตั ิ การสังเกต และการสะท้อนผล การปฏบิ ตั ิ เพ่ือนำมาปรับปรงุ แผนงาน ซึง่ วงจรของ 4 ขั้นตอนดังกล่าว จะปฏิบตั ิการให้เกดิ การเปล่ยี น แปลงในทางพฒั นาขน้ึ โดยรบั ฟังความคดิ เหน็ ข้อติเตียน ผู้เกี่ยวขอ้ งอืน่ ๆ ผู้บรหิ าร หรอื สงั คมภายนอก บันทึกผลการปฏิบัติการทเี่ กิดขนึ้ จากการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ขนั้ ท่สี ำคัญ นน่ั คือ บนั ทึกผลของการ เปล่ียนแปลงกิจกรรมและการฝึกปฏบิ ตั ิ บนั ทกึ ผลของการพัฒนาการที่เป็นข้อค้นพบที่สำคญั ของการวจิ ยั ซ่งึ ผู้วิจยั ไดน้ ำหลักการของการวจิ ยั เชิงปฏิบัตกิ ารไปใชใ้ นงานวิจัยคร้ังน้ี มวี ิธดี ำเนินการตามวงจรของการ วิจยั เชิงปฏบิ ัติการ ไดแ้ ก่ 1. ขั้นการวางแผน (Planning) ผู้วจิ ยั และคณะทำงานร่วมกันวางแผน กำหนดรูปแบบและเนื้อหา การจัดอบรม เตรยี มวัสดุ อุปกรณส์ ำหรับใชก้ ารจดั อบรม แบบทดสอบกอ่ น-หลงั อบรม 2. ขั้นการปฏบิ ัติ (Action) ดำเนนิ การจัดอบรมตามทวี่ างแผนไว้ 3. ข้นั การสงั เกต (Observation) เปน็ การสังเกตกจิ กรรมขณะจัดอบรมและผลของการปฏิบัติ กิจกรรมโดยการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ตามแผนท่ีกำหนดไว้
13 4. ขั้นสะทอ้ นผลการปฏบิ ัติ (Reflection) เปน็ การนำข้อมูลทไี่ ดจ้ ากขนั้ สังเกตการณ์มาอภปิ ราย ร่วมกนั ระหวา่ งผวู้ ิจัยและคณะทำงาน เพื่อใหไ้ ด้ข้อเสนอแนะทหี่ ลากหลาย และได้ข้อสรุปเพอ่ื นำไป ปรบั ปรงุ และพัฒนารูปแบบการพฒั นาครูต่อไป 2. การสอนแบบวฏั จกั รสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย 2.1 วฏั จักรสืบเสาะ การสบื เสาะเปน็ กระบวนการทส่ี ำคญั ที่นำมาใชใ้ นการจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ โดยใน ประเทศไทย สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ไดใ้ หค้ วามหมายของการ สืบเสาะว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎกี ารสร้างความรู้ (Constructivism) ซ่ึงกลา่ วไว้วา่ เปน็ กระบวนการท่ผี ู้เรยี นจะต้องสบื ค้น เสาะหา สำรวจ ตรวจสอบ และค้นคว้าดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ จนเกดิ ความเข้าใจ และรบั ร้คู วามรนู้ ้ันอยา่ งมีความหมาย สามารถสร้างเป็นองค์ความรขู้ องผเู้ รียนเอง และ สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณใ์ ดๆ มาเผชิญหน้า (IPST, 2007 อ้างถึงใน จรรยา ดาสา 2560:333) สำหรับในโครงการบา้ นนักวิทยาศาสตรน์ ้อยประเทศไทยน้ัน ไดใ้ ชแ้ นวทางการจัดการเรียนรูแ้ บบ สบื เสาะ ที่เรยี กว่า วัฏจักรการสืบเสาะ ท่ีได้พฒั นาขึน้ มาโดย Haus der kleinen Forscher (Little Scientis’ House) Foundation ประเทศเยอรมนี และไดน้ ำมาใช้ในโครงการบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ซ่งึ ได้ดำเนนิ การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยใี ห้กบั เด็กปฐมวยั ตั้งแต่ปี การศึกษา 2553 ปจั จุบัน มโี รงเรยี นท่เี ขา้ ร่วมโครงการกวา่ 15,000 โรงเรยี นทว่ั ประเทศ โดยโรงเรยี นท่ี เขา้ ร่วมจะจดั กิจกรรมตามใบกิจกรรมบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย ปีละไม่น้อยกวา่ 20 กิจกรรม และทำ โครงงานโดยใชว้ ัฏจักรการสืบเสาะอยา่ งนอ้ ย 2 วัฏจักร รปู แบบการจดั การเรียนรดู้ ว้ ยวฏั จกั รการสบื เสาะ น้นั เป็นเคร่ืองมือหรือรปู แบบทจี่ ะชว่ ยให้ครูผสู้ อนสามารถท่ีจะจัดกจิ กรรมการเรียนร้ใู ห้ผู้เรียนได้สำรวจ ตรวจสอบและมีส่วนรว่ มในการสนทนาท่ีเก่ยี วข้องกับปรากฏการณท์ างวทิ ยาศาสตรท์ ่ีอยู่รอบตวั และเป็นที่ สนใจของเด็ก ซึ่งมีข้ันตอนการจัดกจิ กรรม 6 ข้ัน ดังแสดงในภาพท่ี 1 และมรี ายละเอียดดังน้ี 1. ต้ังคำถาม การตั้งคำถามสำหรบั การสำรวจตรวจสอบ อาจจะเป็นคำถามที่เด็กตั้งขนึ้ เอง หรือครผู ู้สอนเป็นผตู้ ้งั ข้นึ ก็ได้ แต่ทง้ั นี้คำถามที่ตงั้ ขน้ึ ตอ้ งเป็นที่สนใจของเด็ก สามารถที่จะสำรวจตรวจสอบ ได้โดยเด็กโดยส่วนใหญ่มักจะเปน็ คำถามท่เี กีย่ วข้องกับชีวติ ประจ าวนั หรือสงิ่ แวดลอ้ มรอบๆ ตวั ของเด็ก 2. รวมรวมความคิดและข้อสันนษิ ฐาน ในขนั้ ตอนนเ้ี ป็นการตรวจสอบความรูแ้ ละ ประสบการณเ์ ดมิ ของเด็กว่าเด็กรู้สง่ิ ใดบ้างในคำถามที่ต้งั ไว้ ครผู ูส้ อนจะสนทนากบั เด็ก เพือ่ รวบรวม คำตอบของเด็ก จากนัน้ อาจจะให้เดก็ คาดคะเนคำตอบ หรือตงั้ เปน็ สมมตฐิ าน เพื่อเปน็ แนวทางในการ สำรวจตรวจสอบในขนั้ ตอ่ ไป 3. ทดสอบและดำเนนิ การสืบเสาะ ในขั้นนีจ้ ะมงุ่ เนน้ ให้เด็กเปน็ ผ้ดู ำเนนิ การสบื เสาะและ คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเปน็ หลกั โดยครูผสู้ อนจะเปน็ ผู้อำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือ และกระตนุ้ ผ้เู รยี นโดยการใชค้ ำถาม ทง้ั นี้ครูผ้สู อนอาจจะเสนอแนวทางเลอื กใหเ้ ด็กเลือกก็ได้ อยา่ งไรก็ดเี ดก็ จะต้อง
14 สามารถดำเนนิ การได้ดว้ ยตนเองเปน็ หลัก โดยครผู สู้ อนจะมีสว่ นชว่ ยเฉพาะท่อี าจเปน็ อันตรายกบั ผ้เู รยี น เทา่ น้ัน เช่น การใชข้ องมคี ม หรือ น้ำร้อน เป็นต้น 4. สังเกตและบรรยาย ขณะทำการสำรวจตรวจสอบหรือค้นควา้ เด็กจะต้องสังเกตและ บรรยายส่งิ ที่เกดิ ขน้ึ ซ่งึ จะต้องมีการวางแผนไว้ลว่ งหน้าก่อนทจ่ี ะดำเนินการทดลอง ดังน้ันหลักจากท่เี ด็ก วางแผนการดำเนินการแลว้ ครผู ้สู อนจะตอ้ งพูดคุยกบั เดก็ ล่วงหนา้ ว่า ในขณะท่ีดำเนนิ การทดลองหรอื ศึกษาคน้ คว้านั้น เด็กจะต้องสังเกตอะไรบ้าง ทงั้ น้ีครูผสู้ อนจะต้องบนั ทกึ คำถามตา่ งๆ ไว้ลว่ งหนา้ เพือ่ ถาม ให้เดก็ สังเกตและบรรยายขณะทีก่ ำลงั ดำเนินกจิ กรรม 5. บนั ทกึ ผลการสืบเสาะ สามารถบันทึกไดห้ ลายรปู แบบ เช่น การถ่ายภาพวาดภาพ หรือ อาจบนั ทึกผลลงในตารางหรือแผนภาพ ซ่งึ ในส่วนนี้ครูผูส้ อนจะต้องพูดคยุ กบั เด็กแล้วรว่ มกันออกแบบ แบบบันทกึ ผลไวล้ ว่ งหน้าว่าจะบันทึกรูปแบบใด จากนน้ั ครูผสู้ อนจัดทำแบบบนั ทกึ ผลการสำรวจตรวจสอบ เพือ่ ให้เดก็ บนั ทึก ทง้ั น้ีการออกแบบการบันทึกผล จะต้องช่วยให้เด็กสามารถสรุปและอภิปรายผล ตาม สมมติฐานหรือคำถามท่ีตง้ั ไว้ได้ 6. สรุปและอภปิ รายผล เป็นการลงความเห็นหรือตคี วามจากหลักฐานข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการ สังเกตที่ได้บันทึกไวใ้ นการบันทึกผล และการบรรยายขณะทีส่ ังเกตระหว่างการดำเนนิ การสำรวจ ตรวจสอบ ดังนนั้ การสรุปผลจะต้องไม่เกนิ กวา่ หลักฐานที่มี โดยการสรปุ น้ีจะต้องเป็นการลงข้อสรปุ ของ เด็กเอง ครผู ้สู อนเพียงแต่ถามคำถาม เพื่อกระต้นุ ให้เด็กสรุปจากสง่ิ ทต่ี นเองได้พบเทา่ นั้น นอกจากน้ี การ สรปุ และอภปิ รายผล อาจจะนำไปส่คู ำถามใหมๆ่ สำหรับการสำรวจตรวจสอบเพมิ่ เติม ภาพที่ 2 วัฏจกั รสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย
15 3. มาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ของเด็กปฐมวยั หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศักราช 2560 พฒั นาขึ้นบนแนวคิดหลกั สำคญั เก่ียวกับพฒั นาการของ เดก็ ปฐมวยั การทำงานของสมอง การเรียนรู้และการเลน่ ของเดก็ โดยหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั ไดก้ ำหนด มาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ของเด็กปฐมวัยออกเป็น 4 ด้าน ดงั น้ี (สำนักวชิ าการและมาตรฐาน การศกึ ษา 2560 :26-27) 3.1. พฒั นาการดา้ นร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน 5 ตวั บ่งชี้ ไดแ้ ก่ มาตรฐานท่ี 1 ร่างกายเจรญิ เตบิ โตตามวยั และมสี ุขนสิ ยั ทีด่ ี มี 2 ตัวบง่ ช้ี คอื ตัวบง่ ชท้ี ่ี 1.1 มีนำ้ หนกั และส่วนสงู ตามเกณฑ์ ตัวบ่งชท้ี ่ี 1.2 มสี ุขภาพอนามัย สุขนิสยั ท่ีดี และรจู้ กั รักษาความปลอดภยั มาตรฐานที่ 2 กลา้ มเนื้อใหญ่และกล้ามเน้ือเลก็ แข็งแรงใชไ้ ดอ้ ย่างคล่องแคล่วและประสาน สัมพนั ธก์ ัน มี 3 ตัวบง่ ช้ี คอื ตัวบ่งชี้ท่ี 2.1 เคล่อื นไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและทรงตัวได้ ตัวบ่งชี้ท่ี 2.2 เล่นและออกก าลงั กาย ตัวบง่ ชท้ี ี่ 2.3 ใชม้ อื ได้อยา่ งคลอ่ งแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน 3.2 พฒั นาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน 9 ตวั บ่งช้ี ไดแ้ ก่ มาตรฐานท่ี 3 มีสขุ ภาพดีและมีความสขุ มี 3 ตวั บ่งช้ี คือ ตวั บ่งชท้ี ่ี 3.1 แสดงออกทางอารมณอ์ ย่างเหมาะสมกับวยั และสถานการณ์ ตวั บง่ ชี้ที่ 3.2 มคี วามรูส้ กึ ทด่ี ีต่อตนเองและผู้อื่น ตวั บง่ ชี้ท่ี 3.3 มีความเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื มาตรฐานที่ 4 ชน่ื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มี 2 ตวั บง่ ชี้ คอื ตวั บ่งชี้ที่ 4.1 สนใจและมีความสขุ กับศลิ ปะ ดนตรี และการเคลือ่ นไหว ตัวบง่ ชท้ี ่ี 4.2 แสดงออกทางด้านศิลปะ ดนตรี และการเคล่อื นไหวตามจนิ ตนาการ มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จรยิ ธรรมและจิตใจท่ดี ีงาม มี 4 ตวั บ่งชี้ คือ ตวั บง่ ชท้ี ่ี 5.1 มีความรับผิดชอบ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 5.2 ซื่อสัตย์สุจรติ และร้ถู ูกรผู้ ดิ ตัวบง่ ชี้ท่ี 5.3 มคี วามเมตตากรุณา มนี ้ าใจ และช่วยเหลือแบ่งปนั ตัวบง่ ชท้ี ่ี 5.4 ประหยัด อดออมและพอเพียง 3.3 พัฒนาการดา้ นสงั คม ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน 9 ตวั บ่งช้ี ได้แก่ มาตรฐานท่ี 6 มที ักษะในการด ารงชีวติ มี 3 ตวั บ่งช้ี คือ ตวั บ่งชี้ท่ี 6.1 มวี ินัยในตนเอง ตัวบ่งช้ีท่ี 6.2 ช่วยเหลอื ตนเองในการปฏบิ ัติกจิ วตั รประจ าวนั ตัวบง่ ช้ที ่ี 6.3 ระวงั ภยั จากคนแปลกหนา้ และสถานการณ์ทเี่ ส่ียงอนั ตราย
16 มาตรฐานท่ี 7 รักธรรมชาติ สงิ่ แวดล้อม วฒั นธรรมและความเป็นไทย มี 3 ตวั บง่ ช้ี คือ ตวั บง่ ชท้ี ี่ 7.1 ดูแลรกั ษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตวั บง่ ชี้ที่ 7.2 มสี ัมมาคารวะและมารยาทตามวัฒนธรรมไทย ตัวบง่ ช้ีท่ี 7.3 รกั ความเป็นไทย มาตรฐานที่ 8 อยรู่ ่วมกับผู้อ่นื ได้อย่างมีความสขุ และปฏิบตั ติ นเปน็ สมาชิกทีด่ ขี องสงั คมใน ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข มี 3 ตวั บ่งช้คี ือ ตวั บง่ ช้ีท่ี 8.1 ยอมรับความเหมอื นและความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ตัวบง่ ชท้ี ่ี 8.2 มปี ฏิสมั พันธ์ทดี่ ีกบั ผอู้ ื่น ตวั บง่ ชท้ี ่ี 8.3 ปฏบิ ัติตนเบอื้ งตน้ ในการเปน็ สมาชิกทีด่ ีของสังคม ในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ ประมุข 3.4 ดา้ นสตปิ ญั ญา ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน 9 ตวั บง่ ช้ี ได้แก่ มาตรฐานที่ 9 ใชภ้ าษาสอื่ สารได้เหมาะสมกับวยั มี 3 ตัวบง่ ชีค้ อื ตัวบง่ ชท้ี ่ี 9.1 สนทนาโต้ตอบและเลา่ เรื่องให้ผูอ้ ่นื เข้าใจ ตัวบ่งชีท้ ี่ 9.2 อา่ น เขยี นภาพ สญั ลักษณ์ได้ มาตรฐานท่ี 10 มีความสามารถในการคิดท่ีเปน็ พน้ื ฐานในการเรยี นรุ้ มี 3 ตัวบ่งชี้ คือ ตวั บ่งชี้ท่ี 10.1 มคี วามสามารถในการคิดแก้ปัญหา ตวั บ่งชี้ท่ี 10.2 มีความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล ตวั บ่งช้ีท่ี 10.3 มีความสามารถในการคดิ รวบยอด 4. งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วข้อง ไพรตั น์ บญุ รักษา (2551: 82) ได้ศึกษาเร่ืองการพัฒนาบคุ ลากรในการจดั ประสบการณ์สำหรับ เด็กปฐมวยั สังกดั องค์การบริหารส่วนตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองกุงศรี จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ โดยใชห้ ลกั การ วจิ ัยปฏบิ ัตกิ าร ผลการศึกษาสภาพปจั จุบนั และปญั หาในระยะท่ี 1 ก่อนการดำเนินการพฒั นาบคุ ลากร พบว่าบุคลากรครูไมม่ ีความรู้ความเข้าใจในการจัดประสบการณส์ ำหรับเดก็ ปฐมวยั มาริสา วงศสกุ รรม (2553) ได้ศกึ ษาการเปรยี บเทียบความสามารถในการแกปญหาและความ ฉลาดทางอารมณของเดก็ ปฐมวัยท่ีไดรบั การจดั ประสบการณแบบโครงการกับแบบสืบเสาะหาความรู้ พบวา่ การจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรเู้ ป็นการจดั การเรียนการสอนท่ีนักเรยี นรู้จักค้นควา้ หา ความรู้ คิดแก้ปญั หาได้ดว้ ยตนเองอย่างมรี ะบบ มีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งครจู ะทำหน้าท่ี จดั บรรยากาศการสอนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และกระตนุ้ ให้นักเรยี นอยากรู้โดยใชค้ ําถามสถานการณ์ท่ีเปน็ ปญั หายวั่ ยุ กระตุ้นให้ผู้เรยี นคิดแกป้ ญั หา หรือหาคาํ ตอบดว้ ยตนเอง โดยครูมหี นา้ ทสี่ ง่ เสริมชว่ ยเหลอื เพอื่ ใหน้ กั เรียนค้นพบความรู้หรือแนวทางในการแกป้ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเอง
17 พรภทั รินทร์ งามนธิ จิ ารเุ มธี (2556) ได้ศกึ ษาผลการจดั ประสบการณ์แบบสบื เสาะหาความร้ทู ีม่ ี ต่อความสามารถในการคดิ เชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย พบว่า เด็กปฐมวยั ไดร้ บั การจดั ประสบการณ์แบบสืบ เสาะหาความรู้มีความสามารถในการคดิ เชงิ เหตผุ ลหลงั เรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม ของ จำนวนเดก็ ท้ังหมด โดยผา่ นการเรียนรู้ 5 ขน้ั ตอน คือ ขนั้ ตอนท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ ข้ันตอนท่ี 2 ขน้ั สาํ รวจคน้ หาข้ันตอนที่ 3 ขั้นนอธิบายและลงขอ้ สรุป ข้นั ตอนท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ ขนั้ ตอนที่ 5 ขนั้ ประเมิน จรรยา ดาสา (2560) ไดศ้ ึกษาเร่ืองการเสรมิ สรา้ งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรบั เด็ก ปฐมวัยผ่านการจดั การเรยี นรู้ด้วยวฏั จกั รการสบื เสาะ เสนอแนวทางในการจัดกจิ กรรมที่พัฒนาทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ให้กับเดก็ ปฐมวัยผา่ นการจดั การเรียนรดู้ ้วยวัฏจกั รการสืบเสาะตามแนวทาง ของโครงการบา้ นนักวิทยาศาสตร์นอ้ ย ประเทศไทย เพื่อให้ผูส้ อนสามารถนำไปใช้ในการจดั การเรียนร้เู พื่อ พัฒนาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ให้กับผู้เรยี นระดับปฐมวยั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ซง่ึ มีขน้ั ตอน การจัดกจิ กรรม 6 ขนั้ ได้แก่ การต้งั คำถาม การรวบรวมความคดิ เหน็ และตง้ั สมมตฐิ าน การดำเนินการ สำรวจตรวจสอบและค้นคว้า การสังเกตและบรรยายส่ิงทเี่ กิดข้ึน การบันทึกผล การสำรวจตรวจสอบ และ การสรุปและอภิปราย วราลี โกศยั และคณะ (2561) ได้ศึกษารูปแบบการพัฒนาครโู ดยใชก้ ารจดั ประสบการณ์แบบสะ เต็มท่ีสง่ เสริม ทักษะการเรียนรขู้ องเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 โดยไดศ้ ึกษาปัญหาในการจัดประสบการณ์ พฒั นาเดก็ ปฐมวัยท่ีพบจากการสอบถามครูผ้สู อนในระดบั ปฐมวัย สรุปได้ดงั นี้ จำนวนเดก็ ตอ่ ห้องเรยี นมาก เกนิ ไป ดา้ นสื่อการเรยี นการสอนประเภทเกมการศึกษาไมเ่ พยี งพอต่อจำนวนเด็ก เวลาในการจดั กิจกรรม ไม่เพยี งพอ เดก็ มคี วามสนใจส้ันและไม่อยนู่ ่ิง เด็กยงั ไม่กลา้ แสดงออก งบประมาณในการจัดหาจัดทำส่อื การเรยี นการสอนไมเ่ พียงพอ และมีเด็กพเิ ศษเรียนร่วมในห้องเรยี นทำใหม้ ีปัญหาในการจัดกจิ กรรม ปัญหาท่ีครผู สู้ อนพบระหว่างการจดั ประสบการณ์ใน 6 กิจกรรมหลักสำหรบั เด็กปฐมวัยนนั้ มปี ัญหาใหญๆ่ คอื ความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก และครผู สู้ อนต้องการพัฒนาตนเองในด้านความรใู้ หม่ๆ และ เทคนิคต่างๆ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย นอกจากน้ไี ด้เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของครูที่เขา้ รับ การอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการดว้ ยรูปแบบพัฒนาการครูปฐมวัย พบว่าครูที่เขา้ อบรมมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01 สชุ าดา หวงั สทิ ธิเดช (2562) ได้ศึกษาเร่ือง ผลการพฒั นาครปู ฐมวัยด้วยการผลติ สื่อนทิ านและ เทคนคิ การเล่านทิ านเพ่ือจัดประสบการณ์การเรยี นร้สู ำหรบั เดก็ ปฐมวัย ไดใ้ ช้การวิจัยปฏบิ ัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของเคมมสิ และแมก็ แท็กการ์ท ซ่ึงประกอบด้วยการวางแผน (Planning) การ ปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) เพ่อื พฒั นาครูปฐมวยั ใน โรงเรียน สังกดั สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาอำนาจเจริญและจังหวัดมุกดาหาร โดยการ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารให้มคี วามรคู้ วามสามารถในการผลิตส่อื นิทาน เพื่อจดั ประสบการณ์การเรยี นร้โู ดยใช้ วสั ดุอย่างใดอย่างหน่ึงนำมาวางแผนการผลติ ดำเนินการผลติ ลงมือปฏบิ ัติ โดยมผี ู้เช่ยี วชาญใหค้ วามรู้ ให้ คำแนะนำ ครปู ฐมวัยสามารถผลิตสอ่ื นิทานได้และนำไปจดั ประสบการณ์การเรียนรไู้ ด้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์
18 บทที่ 3 วธิ กี ารดำเนินการวจิ ยั การวจิ ยั ในคร้งั น้ี ผู้วิจยั ไดด้ ำเนนิ การเพ่ือพฒั นาครปู ฐมวยั ด้วยกิจกรรมสืบเสาะตามลำดบั และ ขั้นตอนดังต่อไปนี้ ระยะที่ 1 การศกึ ษาสภาพปัญหาและความต้องการในการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้เดก็ ปฐมวัย การวจิ ยั ระยะนเ้ี ปน็ การวิจัยเพ่อื ให้ได้ข้อมูลพืน้ ฐานทีจ่ ำเป็นในการพัฒนาครู โดยการศึกษาสภาพ ปัญหาการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้เด็กปฐมวัย ความต้องการจำเป็นในการพฒั นาตนเองของครูทสี่ อน ชน้ั อนุบาลปีท่ี 2-3 มรี ายละเอยี ดในการดำเนนิ การดงั นี้ 1. วตั ถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปญั หาการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้เด็กปฐมวยั และความต้องการพฒั นาตนเอง ของครูปฐมวัย 2. กลุ่มเป้าหมาย กลมุ่ เปา้ หมาย ไดแ้ ก่ ครูผู้สอนช้ันอนบุ าลปที ่ี 2-3 ในโรงเรียนสงั กดั สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษา ประถมศกึ ษามุกดาหาร ที่ยังไม่ผ่านการประเมินเพื่อรับตราพระราชทาน “บ้านนักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย” ซ่งึ ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 50 คน 3. เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการเกบ็ ขอ้ มูล 3.1 การศกึ ษาสภาพปญั หาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เดก็ ปฐมวัย ผูว้ ิจยั ใชก้ ารวจิ ยั เชงิ สำรวจ เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจัยขน้ั ตอนนี้ ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นเกย่ี วกบั การจัดประสบการณ์การ เรียนรู้เดก็ ปฐมวยั ท่ผี ้วู ิจัยสรา้ งข้ึน มีลกั ษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ 3.2 การศึกษาความต้องการพัฒนาตนเองของครปู ฐมวัย ผู้วจิ ยั ใชก้ ารสำรวจผา่ น google form สำรวจครปู ฐมวัยที่ยงั ไมเ่ คยผ่านการอบรมเชิงปฏบิ ัติการข้นั พ้นื ฐาน ตามโครงการบ้านนกั วิทยาศาสตรน์ อ้ ย ประเทศไทย รายละเอยี ดในการพฒั นาเคร่ืองมือมีดงั นี้ แบบสอบถามความคิดเหน็ เกยี่ วกับการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้เดก็ ปฐมวยั ท่ีผู้วิจยั สรา้ งขึน้ มลี กั ษณะเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (rating scale) 5 ระดบั โดยมีขน้ั ตอนการสร้างเครอ่ื งมอื ดังนี้ 1. ศกึ ษาเอกสาร หลกั การ วิธกี ารสรา้ งแบบสอบถามเกีย่ วกับการจดั การศึกษาปฐมวัย หลกั สูตร การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 การจัดกจิ กรรมประจำวนั พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั 2. สรา้ งแบบสอบถามความคิดเห็นเกย่ี วกับสภาพปญั หาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เดก็ ปฐมวัย ตามเปน็ คำถามปลายปิดชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั โดยแบง่ ออกเปน็ 3 ตอน คือ
19 ตอนที่ 1 ข้อมลู ท่วั ไป จำนวน 10 ข้อ ตอนท่ี 2 สภาพปญั หาในการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้เด็กปฐมวัย จำนวน 10 ข้อ ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ โดยกำหนดค่าของคะแนนความคดิ เห็น ดังน้ี 5 หมายถงึ มีระดบั ความคดิ เหน็ วา่ มีปัญหามากทสี่ ดุ 4 หมายถงึ มรี ะดับความคดิ เหน็ ว่ามีปัญหามาก 3 หมายถึง มรี ะดบั ความคิดเห็นว่ามีปัญหาปานกลาง 2 หมายถงึ มรี ะดบั ความคดิ เห็นวา่ มีปัญหานอ้ ย 1 หมายถงึ มรี ะดับความคดิ เหน็ ว่ามีปัญหานอ้ ยทสี่ ุด 3. นำแบบสอบถามท่ีสรา้ งขน้ึ เสนอผ้เู ชีย่ วชาญตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) โดยหาค่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ซง่ึ ได้เชญิ ผเู้ ชยี่ วชาญจำนวน 3 ท่าน เปน็ ผพู้ ิจารณา ตรวจสอบ ดงั น้ี 3.1 ดร.วหิ าญ พละพร ตำแหนง่ ผู้อำนวยการกลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมินผลการจัด การศึกษา สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษามุกดาหาร ผเู้ ชีย่ วดา้ นการวัดและประเมนิ ผล การศกึ ษา 3.2 ดร.โชตกิ า กณุ สทิ ธ์ิ ตำแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ วทิ ยฐานะชำนาญการพเิ ศษ สำนกั งาน เขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 ผเู้ ช่ยี วชาญดา้ นหลกั สูตรและการเรยี นการสอนระดับ ปฐมวัย 3.3 นางสาวชาวดี เพยี รไลย์ ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะชำนาญการพิเศษโรงเรยี นอนุบาล มกุ ดาหาร ผูเ้ ชยี่ วชาญด้านการจดั การเรียนการสอนปฐมวยั โดยให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบวา่ ขอ้ คำถามนัน้ สอดคล้องกบั ประเด็นที่กำหนดหรือไมโ่ ดยกำหนดเกณฑ์การ ให้คะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ดงั นี้ (ลว้ น สายยศ, และอังคณา สายยศ 2543 : 248–249) คะแนนความคิดเหน็ +1 คือ เมือ่ เห็นว่ามคี วามสอดคลอ้ ง คะแนนความคิดเห็น 0 คอื เมื่อไม่แนใ่ จวา่ มคี วามสอดคลอ้ ง คะแนนความคิดเห็น -1 คือ เม่ือเห็นวา่ ไมม่ คี วามสอดคล้อง นำผลการพิจารณาตัดสินของผูเ้ ช่ียวชาญไปหาค่าความตรงตามเนือ้ หาได้จากสูตร IOC = R N เม่อื IOC แทน ดัชนีความสอดคลอ้ งของข้อคำถามกบั เนื้อหาตามความเหน็ ของผู้เช่ียวชาญ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ชย่ี วชาญ
20 N แทน จำนวนผเู้ ชี่ยวชาญ 4. เม่อื ผูเ้ ชีย่ วชาญประเมินความสอดคล้องคดั เลือกแบบสอบถามตามคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง ของแบบสอบถามท่ีสามารถนำมาใชไ้ ด้ คือต้องมีค่าดชั นีความสอดคล้องเท่ากับ 0.50-1.00 (บุญชม ศรีสะอาด 2553: 72) ผลการพิจารณาของผเู้ ชย่ี วชาญตรวจไดค้ า่ ดชั นีความสอดคล้องของแบบสอบถาม ระหว่าง 0.60 – 1.00 จึงอยู่ในเกณฑ์ทใ่ี ชไ้ ด้ท้งั หมด 5. ดำเนนิ การจดั ทำแบบสอบถามผ่าน Google form เพื่อนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกับ กลมุ่ เป้าหมายต่อไป 4. วธิ ีดำเนินการ ดำเนินการศึกษาสภาพปัญหาการจดั ประสบการณ์การเรยี นร้เู ดก็ ปฐมวยั และความตอ้ งการพัฒนา ตนเองของครปู ฐมวัย โดยใช้แบบสอบถาม และแบบสำรวจผ่าน Google form เก็บรวบรวมข้อมลู จาก กลุ่มเปา้ หมาย วิเคราะหข์ ้อมูล เพ่ือนำไปเปน็ แนวทางในการพัฒนาครูปฐมวยั ด้วยกิจกรรมสืบเสาะ 5. การเกบ็ รวมรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยจัดทำหนงั สอื ราชการถงึ โรงเรยี นในสงั กัดสำนักงานเขต พนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหารแจง้ ให้ครปู ฐมวัยตอบแบบสอบถามและแบบสำรวจผ่าน Google form 6. การวเิ คราะหข์ ้อมูล 6.1 การวเิ คราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม กำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์ 5 ระดับ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2553: 103) แปลความหมายคา่ เฉลีย่ ของคะแนนตามเกณฑก์ ารวิเคราะห์ ดงั น้ี ค่าเฉลย่ี 4.51-5.00 หมายถึง มปี ัญหาระดับมากที่สดุ คา่ เฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มปี ญั หาระดับมาก ค่าเฉลย่ี 2.51-3.50 หมายถงึ มปี ญั หาระดบั ปานกลาง ค่าเฉล่ยี 1.51-2.50 หมายถึง มีปัญหาระดับน้อย คา่ เฉลย่ี 1.00-1.49 หมายถงึ มปี ัญหาระดับน้อยที่สุด 6.2 นำขอ้ มูลทีไ่ ด้จากแบบสอบถามมาวเิ คราะห์ดว้ ยสถติ ิพื้นฐาน หาค่าเฉลี่ย และคา่ ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 6.3 นำค่าเฉลีย่ ท่ีคำนวณได้มาเทียบกบั เกณฑ์ทีก่ ำหนดไวแ้ ละจดั เรียงลำดบั จากมากไปน้อย 6.4 พิจารณาคัดเลอื กข้อมลู เพ่ือนำไปเปน็ แนวทางในการพัฒนาครู โดยพจิ ารณาจากปญั หา ระดบั มากที่สุด มาก ปานกลาง นอ้ ย และน้อยทีส่ ุด ตามลำดับ และข้อมลู จำนวนครทู ่ีต้องการพัฒนา ตนเอง
21 ระยะท่ี 2 การพัฒนาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมการเรียนรู้สืบเสาะ การดำเนินการมขี ั้นตอนดงั นี้ 1. วตั ถปุ ระสงค์ เพื่อพัฒนาครปู ฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะเพื่อเสรมิ สร้างพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 2. กลุ่มเป้าหมาย ครปู ฐมวัยท่ียงั ไมเ่ คยผา่ นการอบรมเชิงปฏบิ ัติการข้นั พ้ืนฐานโครงการบ้านนักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย ประเทศไทย ที่ไดม้ าจากการสำรวจความต้องการพฒั นาตนเอง ในระยะที่ 1 จำนวน 41 คน 3. เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บขอ้ มลู 3.1 แบบทดสอบการจัดกจิ กรรมสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์น้อย 3.2 แบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ การอบรมเชิงปฏบิ ัติการพัฒนาครูปฐมวยั ดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ โครงการบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย มีรายละเอียดในการพัฒนาเคร่อื งมือมีดังนี้ 3.1 แบบทดสอบการจัดกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบ้านนกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย 3.1.1 ศึกษาเอกสารเก่ียวกับการออกข้อสอบเนือ้ หาเก่ยี วกบั การจัดการเรียนรูเ้ ด็กปฐมวัย กิจกรรมวฏั จักรสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนกั วทิ ยาศาสตรน์ ้อย 3.1.2 นำข้อมลู มาสรา้ งแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ตัวถูกได้ 1 คะแนน ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน โดยเนน้ ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้และการคิดวิเคราะห์ จำนวน 20 ขอ้ 3.1.3 นำแบบทดสอบเสนอผู้เช่ยี วชาญจำนวน 3 ทา่ น ประเมินความสอดคล้องระหวา่ ง ขอ้ คำถามกบั ตวั ช้ีวัด แลว้ นำมาวิเคราะห์ความสอดคล้อง โดยใชส้ ตู ร IOC จากนน้ั พจิ ารณาคัดเลอื ก ข้อคำถามทม่ี คี ่าดชั นีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.66 -1.00 3.1.4 นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try out) กับครูปฐมวัยซ่งึ ไม่ใชก่ ลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน แลว้ หาความเชอ่ื มนั่ โดย Kuder – Richardson (KR20) มคี ่าเท่ากับ 0.638 และนำมาหา ค่าอำนาจจำแนก (r) ซึ่งมีค่าระหวา่ ง 0.25 – 0.75 ความยากงา่ ยของแบบทดสอบเป็นรายขอ้ (p) ระหวา่ ง 0.37 -0.81 3.2 แบบสอบถามความพึงพอใจตอ่ การอบรมเชิงปฏบิ ัติการพฒั นาครูดว้ ยกิจกรรมสืบเสาะ โครงการบ้านนกั วทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย ประเทศไทย มรี ายละเอยี ดการสร้างเครอ่ื งมือดงั นี้ 3.2.1 กำหนดลกั ษณะของแบบสอบถามเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คือ พอใจมากทสี่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย และน้อยทีส่ ุด 3.2.2 กำหนดประเด็นการสอบถามความคิดเห็นจากข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการศึกษาเอกสาร
22 ทเี่ กย่ี วข้องกับการสอบถามความพึงพอใจตอ่ การฝึกอบรม ซึ่งผูว้ จิ ยั ได้กำหนดประเดน็ ในการสอบถาม ได้แก่ ดา้ นการเตรียมการ ดา้ นการจัดฝกึ อบรม ด้านวิทยากร และด้านความร้แู ละการนำไปใช้ ซงึ่ สอดคล้องกับงานวจิ ัยของปิยพร ชมุ จนั ทร์ (2558) ผู้วิจัยจงึ ได้นำมาปรับปรุงเป็นแบบสอบถาม ความพงึ พอใจตอ่ การฝกึ อบรมครง้ั น้ี 3.2.3 นำแบบสอบถามให้ผูเ้ ช่ยี วชาญ 3 ทา่ น ประเมนิ ความสอดคล้องกอ่ นนำไปใช้ ผลการพจิ ารณาของผเู้ ชยี่ วชาญตรวจได้ค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ งของแบบสอบถาม ระหวา่ ง 0.66 – 1.00 อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ทัง้ หมด 4. วธิ ดี ำเนินการวิจยั ผู้วิจัยใช้วธิ กี ารวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Action Research Principle) ตามแนวคดิ ของเคมมิส และ แม็กแท็กการท์ (kemmis and Mc Taggart.1991: 169-170) ซง่ึ ประกอบดว้ ย การวางแผน (Planning) การปฏบิ ตั ิ (Action) การสงั เกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) ซึง่ มีรายละเอียด ดงั น้ี ขั้นที่ 1 การวางแผน (Planning) เป็นการเตรียมการกอ่ นจดั ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ 1.1 จดั ทำโครงการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารพัฒนาครูปฐมวัยดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ โครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เสนอผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษา มุกดาหารเพื่อขออนมุ ัติดำเนินการ 1.2 จดั ส่งหนงั สอื ราชการเชิญครูในกลมุ่ เป้าหมายเขา้ รับการฝึกอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร ใน วันที่ 28 กนั ยายน 2563 ณ ห้องประชมุ คุรมุ กุ ดา สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร 1.3 เตรียมเอกสารประกอบการอบรม วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ สื่อประกอบต่าง ๆ ตามทก่ี ำหนดไว้ ในรปู แบบ 1.4 เตรียมการดา้ นวิทยากร ไดแ้ ก่ นางวนิดา คงกันกง และนางสาวชาวดี เพยี รไลย์ ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอนุบาลมุกดาหาร ปฏบิ ัตหิ น้าทวี่ ิทยากรท้องถน่ิ (Local Trainer: LT) นางทวกิ า บำรุงสวัสดิ์ และนางกิ่งแก้ว ภูทองเงนิ ตำแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ปฏิบตั ิหน้าที่ผู้นำเครอื ข่าย (Local Network ; LN) จดั ประชุมช้ีแจงทำความเข้าใจและตกลงเก่ยี วกับบทบาทและขน้ั ตอนการจดั กจิ กรรมให้แก่วิทยากร 1.5 จัดเตรียมสถานทดี่ ำเนินการฝึกอบรมให้เรียบร้อย เหมาะสมกบั กิจกรรม ข้นั ท่ี 2 การปฏบิ ัติ (Action) ดำเนนิ การฝกึ อบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร มีข้นั ตอนดังน้ี การดำเนินการทุกขน้ั ตอนเป็นไปตามกำหนดการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารท่ีกำหนดไว้ เชน่ แบง่ กล่มุ ผเู้ ข้ารับการอบรม ดำเนนิ การโดยกระบวนการกลุ่ม วิทยากรใหค้ วามรู้ ชมวดิ ีทศั น์ ศึกษาความรู้จาก ใบความรแู้ ละลงมือปฏิบตั ติ ามใบกิจกรรมของแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ ซง่ึ มีคำชแี้ จงประกอบการปฏบิ ัติ ทกุ กจิ กรรม แจกใหผ้ ู้อบรมทุกคน คนละ 1 ชดุ ผอู้ บรมต้องบนั ทกึ ผลการปฏิบัติกจิ กรรมตามแบบบนั ทึก ผล นำเสนอผลงาน มกี ารสะทอ้ นผลการปฏบิ ตั งิ านทกุ หน่วย วิทยากรบรรยายสรปุ แลกเปลยี่ น ประสบการณ์และใหผ้ ู้อบรมทุกคนบนั ทึกผลของการอบรมเพือ่ นำไปประยกุ ต์ใชใ้ นการจัดการเรียนรตู้ อ่ ไป ดังรายละเอยี ดตามกำหนดการอบรม ดังนี้
23 กำหนดการจดั อบรมเชิงปฏิบัติการพฒั นาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะ โครงงานบา้ นนกั วทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย ประเทศไทย ปีการศกึ ษา 2563 วนั ที่ 28 กนั ยายน 2563 ณ หอ้ งประชุมครุ ุมกุ ดา สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษามกุ ดาหาร เวลา 08.00 – 08.45 น. ลงทะเบียน เวลา 08.45 – 09.30 น. พธิ ีเปิดและบรรยายพิเศษ โดย ดร.มารุต อุปนิสากร ผูอ้ ำนวยการสำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร เวลา 09.30 – 10.00 น. -ทดสอบก่อนอบรม - พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั (LN : ศน.ทวิกา บำรงุ สวสั ด)ิ์ เวลา 10.00 – 10.30 น. แนวทางการกจิ กรรมสืบเสาะ เรอื่ ง นำ้ (LT : คุณครวู นิดา คงกนั กง) เวลา 10.30 – 10.45 น. พักรบั ประทานอาหารว่าง เวลา 10.45 – 12.00 น. แนวทางการกิจกรรมสืบเสาะ เร่อื ง อากาศ (LT : คุณครชู าวดี เพยี รไลย)์ เวลา 12.00 – 13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน เวลา 13.00 – 14.30 น. การจัดกจิ กรรมวฏั จักรสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย (LN : ดร.กงิ่ แกว้ ภูทองเงนิ ) เวลา 14.30 – 14.45 น. พักรบั ประทานอาหารวา่ ง เวลา 14.45 – 15.30 น. การเชื่อมโยงกจิ กรรมบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์น้อยเขา้ กบั หลักสูตร การศกึ ษาปฐมวัย พ.ศ.2560 (LN : ศน.ทวกิ า บำรงุ สวสั ด)ิ์ เวลา 15.30 – 16.00 น. - แนวทางการประเมนิ โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประจำปีการศึกษา 2563 - การนเิ ทศ ตดิ ตามการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ของครู ท่ผี ่านการอบรม (LN : ดร.กิ่งแก้ว ภูทองเงิน) เวลา 16.00 – 16.30 น. - ทดสอบหลงั อบรม - มอบเกยี รตบิ ัตร - ปดิ การอบรม หมายเหตุ กจิ กรรมอาจมีการปรบั เปลีย่ นไดต้ ามความเหมาะสม
24 ขน้ั ที่ 3 การสังเกต (Observation) ผวู้ จิ ัยเก็บขอ้ มูลจากการปฏิบัตติ ามแผน (Action Plan) เปน็ การเก็บรวบรวมข้อมลู จากทุก ขน้ั ตอนอยา่ งละเอียด ท้ังก่อนการอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร และภายหลงั การอบรมเชิงปฏิบตั ิการเสร็จสนิ้ ดว้ ย เคร่ืองมือท่ผี ูว้ ิจัยไดส้ ร้างขนึ้ และเครื่องมือผา่ นการตรวจสอบโดยผเู้ ชีย่ วชาญ ประกอบด้วย 3.1 ทดสอบวัดความรู้ความเขา้ ใจของผ้เู ข้ารับการอบรมเก่ียวกับการจดั กจิ กรรมสืบเสาะ ตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตรน์ อ้ ยก่อนการอบรม (Pretest) จำนวน 20 ข้อ 3.2 สงั เกตและเก็บรวบรวมข้อมลู ผลการปฏบิ ตั ิงานของกล่มุ เป้าหมายในระหว่างการจัด กจิ กรรมให้ครอบคลมุ ทุกหน่วยการเรยี นรู้ 3.3 ทดสอบหลังการอบรม (Posttest) โดยการทดสอบวัดความรู้ของกลุม่ เปา้ หมายหลังการ อบรมดว้ ยแบบทดสอบชุดเดยี วกันกบั ก่อนอบรม ข้ันที่ 4 สะท้อนผลการปฏบิ ัตงิ าน (Reflection) นำขอ้ มูลที่ได้จากการสอบถามความพงึ พอใจของครูกลมุ่ เปา้ หมายตอ่ การอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร มาวิเคราะห์พิจารณาผลการดำเนินงานสะท้อนผลถงึ การบรรลตุ ามเปา้ หมายของการพฒั นาในคร้ังนี้ สรปุ ผลการดำเนนิ งานอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ ระยะท่ี 3 การจดั กจิ กรรมการสืบเสาะเพ่ือเสริมสรา้ งพฒั นาการเด็กปฐมวัย 1. วัตถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศึกษาผลการจัดกิจกรรมสบื เสาะเพ่ือเสรมิ สรา้ งพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 2. กลุ่มเป้าหมาย ครูปฐมวัยท่ีผ่านการอบรมเชงิ ปฏิบัติการพัฒนาครปู ฐมวยั ด้วยกิจกรรมสบื เสาะ โครงงาน บ้านนกั วิทยาศาสตรน์ ้อย จำนวน 41 คน 3. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบบนิเทศ ติดตามการจัดกิจกรรมการสบื เสาะเพ่ือเสรมิ สร้างพัฒนาการของเดก็ ปฐมวัย วธิ กี ารสร้างเคร่อื งมือเก็บรวบรวมข้อมลู มดี ังนี้ แบบนเิ ทศ ตดิ ตามการจัดกิจกรรมสบื เสาะเพ่อื เสริมสร้างพฒั นาการของเด็กปฐมวยั มลี ักษณะ เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ โดยมขี นั้ ตอนการสร้างเครื่องมือ ดงั น้ี 1. ศึกษาเอกสาร หลักการ วิธกี ารสรา้ งแบบสอบถามเกี่ยวกับการจดั กจิ กรรมสบื เสาะตามแนวทาง บ้านนกั วิทยาศาสตรน์ ้อย การจัดกจิ กรรมประจำวนั พัฒนาการเด็กปฐมวัย 2. สร้างแแบบนเิ ทศ ติดตามการจดั กิจกรรมสืบเสาะเพื่อเสริมสร้างพฒั นาการของเด็กปฐมวยั เปน็ คำถามปลายปดิ ชนิดมาตราสว่ นประมาณค่า โดยแบ่งออกเปน็ 4 ตอน คือ ตอนท่ี 1 ข้อมลู ทวั่ ไป จำนวน 7 ขอ้ ตอนที่ 2 ด้านการจัดกิจกรรมสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนกั วิทยาศาสตร์น้อย
25 จำนวน 12 ขอ้ เป็นคำถามปลายปดิ ชนดิ มาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 3 ระดบั โดยกำหนดค่าของคะแนนความคิดเห็น ดังนี้ 3 หมายถึง ครูสามารถปฏบิ ัติได้ทุกคร้ัง 2 หมายถึง ครูสามารถปฏิบัติได้เป็นบางครง้ั 1 หมายถึง ครูไมส่ ามารถปฏบิ ตั กิ ิจกรรมได้ ตอนท่ี 3 ดา้ นพัฒนาการของเดก็ ทเ่ี กิดจากการเรียนร้กู จิ กรรมสืบเสาะ เป็นคำถามปลาย ปดิ ชนดิ มาตราสว่ นประมาณค่า (rating scale) 5 ระดบั โดยกำหนดเกณฑค์ ุณภาพ ดังนี้ ระดบั ดเี ย่ียม : 5 หมายถงึ เดก็ รอ้ ยละ 90 -100 มีความสามารถตามรายการประเมิน ระดบั ดมี าก : 4 หมายถึง เดก็ ร้อยละ 75 -89 มคี วามสามารถตามรายการประเมนิ ระดบั ดี : 3 หมายถึง เด็กรอ้ ยละ 60 -74 มคี วามสามารถตามรายการประเมนิ ระดับพอใช้ : 2 หมายถงึ เด็กร้อยละ 50 -59 มคี วามสามารถตามรายการประเมนิ ระดบั ปรบั ปรงุ : 1 หมายถงึ เด็กมีความสามารถตามรายการประเมนิ ตำ่ กว่ารอ้ ยละ 50 ตอนท่ี 4 ปัญหา อปุ สรรคและข้อเสนอแนะ เปน็ คำถามปลายเปดิ ให้เขยี นตอบ 3. นำแบบนเิ ทศที่สร้างขึน้ เสนอผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบความตรงเชงิ เนอื้ หา (Content validity) โดยหาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ซึง่ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ทา่ น เปน็ ผู้พิจารณาตรวจสอบ 4. เมอ่ื ผเู้ ช่ียวชาญประเมินความสอดคล้องคัดเลือกแบบสอบถามตามคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งของ แบบสอบถามทส่ี ามารถนำมาใช้ได้ คือต้องมคี ่าดัชนีความสอดคล้องเทา่ กบั 0.50-1.00 ผลการพจิ ารณา ของผเู้ ชย่ี วชาญตรวจไดค้ า่ ดชั นีความสอดคล้องของแบบสอบถาม ระหวา่ ง 0.60 – 1.00 จึงอย่ใู นเกณฑ์ท่ีใชไ้ ด้ทง้ั หมด 5. ดำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู กบั กลุม่ เป้าหมายต่อไป 4. วิธดี ำเนนิ การ ครปู ฐมวัยทผ่ี ่านการอบรมนำความรูท้ ไ่ี ด้ไปดำเนินการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ ซ่ึงสามารถ บรู ณาการจัดการเรียนรู้ในกจิ กรรมประจำวนั 6 กจิ กรรม ไดแ้ ก่ กิจกรรมเสรี กิจกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรม เสรมิ ประสบการณ์ กจิ กรรมเคล่ือนไหวและจงั หวะ กิจกรรมกลางแจง้ กจิ กรรมเกมการศึกษา โดยผวู้ จิ ัยได้ นเิ ทศ ติดตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของกล่มุ เป้าหมาย ดังนี้ 4.1 ประชุมชีแ้ จงข้ันตอน กำหนดประเด็นในการตดิ ตาม 4.2 ครูปฐมวยั ดำเนนิ การจดั กจิ กรรมสืบเสาะโดยบรู ณาการจดั จัดการเรยี นรู้ในกิจกรรม ประจำวัน 6 กิจกรรม 4.3 รวบรวมข้อมลู เพ่ือเตรียมนำเสนอผลการปฏิบัตงิ าน
26 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล ครูผู้สอนตอบแบบนิเทศ ตดิ ตามการจัดกจิ กรรมสืบเสาะเพ่ือเสริมสร้างพฒั นาการ ของเด็กปฐมวัย 6. การวเิ คราะห์ข้อมูล 6.1 การตดิ ตามผลการจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะ โดยหาค่าเฉลี่ยและ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 6.1 การติดตามพัฒนาการของเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการประสบการณเ์ รียนรู้ดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะ โดยหาคา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ขอ้ มูลจากแบบสอบถาม กำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์ 3 ระดบั แปลความหมายค่าเฉล่ยี ของ คะแนนตามเกณฑ์การวเิ คราะห์ ดงั นี้ ค่าเฉลยี่ 2.51-5.00 หมายถึง มีการปฏบิ ัติระดับมากทสี่ ุด คา่ เฉลี่ย 1.51-4.50 หมายถึง มีการปฏบิ ัติระดบั ปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง มีการปฏิบตั ิระดับน้อย การวิเคราะห์ขอ้ มลู จากแบบสอบถาม กำหนดเกณฑ์การวเิ คราะห์ 5 ระดับ แปลความหมายค่าเฉลี่ยของ คะแนนตามเกณฑ์การวิเคราะห์ ดงั นี้ คา่ เฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง มีพัฒนาการระดับมากท่สี ดุ ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มีพฒั นาการระดับมาก คา่ เฉลย่ี 2.51-3.50 หมายถงึ มีพฒั นาการระดบั ปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง มีพัฒนาการระดบั น้อย ค่าเฉลีย่ 1.00-1.49 หมายถึง มีพัฒนาการระดบั น้อยที่สดุ สถิตทิ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูลในการวจิ ัยในคร้งั นี้ มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี 1. สถิติพน้ื ฐานได้แก่ 1.1 ค่าเฉล่ยี (Mean) ใชส้ ูตรดงั นี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด 2553: 124) X = N เมอ่ื X แทน คา่ เฉลีย่ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด N แทน จำนวนขอ้ มลู ทัง้ หมด 1.2 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ูตรดังนี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด 2553: 126)
27 S = N x2 − ( x)2 N(N −1) เมือ่ S แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนแต่ละตวั N แทน จำนวนสมาชิกในกล่มุ นั้น แทน ผลรวม 2. สถิติที่ใชใ้ นการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ ได้แก่ 2.1 การหาคา่ ความตรง (Validity) ของแบบทดสอบ โดยใชส้ ตู รดัชนีคา่ ความสอดคล้อง IOC (บุญชม ศรสี ะอาด 2553: 90) เมอ่ื IOC IOC = R N แทน ดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างจดุ ประสงค์กับเนื้อหา หรอื ระหว่างข้อทดสอบกับจดุ ประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผูเ้ ช่ียวชาญ N แทน จำนวนผู้เชย่ี วชาญ 2.2 การหาคา่ ความยาก (Difficulty) ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร P (บุญชม ศรสี ะอาด 2553: 92) ดังน้ี เม่ือ P P = R แทน ระดบั ความยาก R N แทน จำนวนผู้ตอบถกู ทัง้ หมด N แทน จำนวนคนทัง้ หมด 2.3 การหาคา่ อำนาจจำแนก (Discriminations Index) หาโดยใช้วธิ ีของเบริ ์นแนน (Brennan) (บญุ ชม ศรสี ะอาด 2553: 90) ดงั นี้ เม่อื B B = U−U n1 n2 แทน ค่าอำนาจจำแนก U แทน จำนวนผู้รอบรหู้ รอื สอบผา่ นเกณฑ์ท่ีตอบถูก L แทน จำนวนผู้ไม่รอบร้หู รอื สอบไม่ผ่านเกณฑ์ท่ตี อบถูก N1 แทน จำนวนผรู้ อบรู้ทีส่ อบผา่ นเกณฑ์ N2 แทน จำนวนผู้ไมร่ อบรหู้ รอื ผู้สอบไมผ่ า่ นเกณฑ์
28 2.4 การหาค่าความเช่ือม่นั (Reliability) ของแบบทดสอบโดยใชว้ ธิ ีของคเู ดอร์ – รชิ ารด์ สัน (Kuder – Richardson : KR20) (บญุ ชม ศรีสะอาด 2553: 96) rt= n −nN11X−2N−S22t(pq X)2 S2t = เมอ่ื rt คอื สมั ประสทิ ธิ์ของความเช่ือมั่นของแบบทดสอบทัง้ ฉบับ n คอื จำนวนขอ้ ของแบบทดสอบ p คอื สดั ส่วนของผู้ท่ีทำข้อสอบข้อนน้ั ถูกกับผู้ทดสอบทั้งหมด q คือ สดั สว่ นของผทู้ ำข้อสอบข้อนน้ั ผดิ กบั ผู้ทดสอบทง้ั หมด S2t คอื ความแปรปรวนของคะแนนสอบทั้งฉบับ N คอื จำนวนผู้ทดสอบ 3. สถิติเพื่อทดสอบสมมุตฐิ าน เปรยี บเทยี บคะแนนเฉล่ียของครปู ฐมวัยที่เข้าอบรมนักเรยี นก่อนอบรมและ หลังอบรมโดยใช้การทดสอบสถิติ t-test
29 บทที่ 4 ผลการวจิ ยั การวิจยั ในคร้ังนม้ี วี ตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย ดงั น้ี 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรเู้ ดก็ ปฐมวัย 2. เพ่ือศึกษาผลการพัฒนาครูปฐมวัยดว้ ยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนักวิทยาศาสตร์นอ้ ย 3. เพ่อื ศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะ โดยผวู้ จิ ัยขอนำเสนอผลการวิจยั ตามลำดับขัน้ ตอน มรี ายละเอียดดังน้ี ตอนท่ี 1 ผลการศกึ ษาสภาพปญั หาและความตอ้ งการในการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรเู้ ดก็ ปฐมวยั ผู้วิจัยขอนำเสนอผลการศกึ ษาสภาพปัญหาและความต้องการในการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ เด็กปฐมวัย ออกเปน็ ขั้นตอนย่อย 2 ตอน โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี ตอนที่ 1.1 ผลการศึกษาสภาพปญั หาของการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้เด็กปฐมวัย ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การวจิ ยั เชิงสำรวจจากกลุ่มเป้าหมายคือครูปฐมวยั จำนวน 50 คน มีผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดงั นี้ ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลสภาพปัญหาการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ (N =50) ขอ้ ที่ รายการปัญหา X S.D. แปลผล 1 จัดประสบการณท์ เี่ น้นเด็กเป็นสำคญั ให้มีสว่ นรว่ ม 3.14 0.75 ปานกลาง ในทกุ กิจกรรม 2 จัดประสบการณ์สง่ เสรมิ พฒั นาการทกุ ด้านด้วยการ 3.22 0.67 ปานกลาง ปฏบิ ตั จิ ริงและสอดคล้องกบั การทำงานของสมอง 3 จดั ประสบการณท์ ีส่ ่งเสริมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม 2.74 0.56 ปานกลาง และคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ 4 จัดกิจกรรมผา่ นการเล่น กระตนุ้ การเรยี นร้ผู า่ น 4.28 0.70 มาก ประสาทสัมผสั ทั้ง 5 5 จดั กจิ กรรมทีส่ ่งเสริมพฒั นาการตามตารางกิจกรรม 4.18 0.77 มาก ประจำวนั ได้ครบทง้ั 6 กจิ กรรม 6 จัดกจิ กรรมท่ีสง่ เสริมพัฒนาการกลา้ มเนื้อมัดเล็ก 2.44 0.67 นอ้ ย กล้ามเนือ้ มดั ใหญ่ 7 จัดกจิ กรรมส่งเสรมิ พฒั นาการทางภาษาท้ังภาษาไทย 4.58 0.73 มากทีส่ ุด และภาษาองั กฤษ
30 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลสภาพปญั หาการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ (N =50) (ต่อ) ขอ้ ท่ี รายการปญั หา X S.D. แปลผล 8 จัดกิจกรรมให้เด็กเกิดทักษะการคดิ 4.68 0.51 มากทส่ี ดุ 9 จัดกิจกรรมสง่ เสรมิ กระบวนการสังเกต การฟงั 4.60 0.60 มากทีส่ ุด การตัง้ คำถาม 10 การจดั หาวัสดุ อปุ กรณ์ ใช้สอ่ื /แหลง่ เรียนร้แู ละภมู ิ 4.30 0.66 มาก ปัญญาท้องถ่นิ ในการจัดประสบการณ์ได้เหมาะสม กับเน้ือหาและวยั ของเด็ก เฉลี่ยรวม 3.82 0.67 มาก จากตารางท่ี 1 แสดงวา่ ปัญหาในการจัดประสบการณ์การเรยี นรเู้ ด็กปฐมวยั อยใู่ นระดับมาก ( X =3.82) เมื่อพิจารณารายข้อเรยี งลำดับปัญหามากท่สี ดุ 3 รายการ ไดแ้ ก่ จดั กจิ กรรมให้เด็กเกิดทกั ษะ การคดิ ( X =4.68) รองลงมาได้แก่ จัดกิจกรรมสง่ เสรมิ กระบวนการสงั เกต การฟัง การตงั้ คำถาม ( X = 4.60) และจดั กิจกรรมสง่ เสรมิ พัฒนาการทางภาษาทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ( X =4.58) ตามลำดับ ตอนท่ี 1.2 ผลการสำรวจความตอ้ งการในการพัฒนาตนเองของครปู ฐมวยั จากการสำรวจข้อมูลครูปฐมวยั ท่ยี งั ไมเ่ คยผา่ นการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารขน้ั พ้นื ฐานโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์นอ้ ย ประเทศไทย ในปีการศกึ ษา 2563 พบว่า มคี รปู ฐมวยั จำนวน 41 คน ทย่ี ังไม่ผา่ นการอบรม เปน็ ครปู ระจำการ 18 คน พนกั งานราชการ 8 คน ครูอัตราจ้าง 11 คน และครธู รุ การโรงเรียน 4 คน ตอนที่ 2 ผลการพฒั นาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนกั วิทยาศาสตร์น้อย ในการศึกษาผลการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย ผู้วจิ ัยนำเสนอผลการดำเนินงานตามวงจรการวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ าร (Action Research) ดังน้ี ข้นั ที่ 1 การวางแผน (Planning) ผู้วิจัยกำหนดเนื้อหาในการพัฒนาและวางแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูปฐมวัย และ กำหนดการจัดอบรม สร้างเครื่องมือ ได้แก่ เอกสารประกอบการอบรม แบบทดสอบก่อน - หลังอบรม แบบประเมินความพึงพอใจ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน ประชุมวิทยากรในการอบรมเชิงปฏิบัติการ จัดเตรยี มวัสดุ อุปกรณ์ สื่อประกอบตา่ ง ๆ
31 ขั้นท่ี 2 การปฏบิ ตั ิ (Action) การดำเนนิ การทกุ ข้นั ตอนเปน็ ไปตามกำหนดการอบรมเชิงปฏิบัตกิ ารทก่ี ำหนดไว้ เช่น แบง่ กลุ่ม ผอู้ บรม ดำเนนิ การโดยกระบวนการกลุ่ม วทิ ยากรใหค้ วามรู้ ชมวิดีทัศน์ ศกึ ษาความรู้จากใบความรู้และ ลงมือปฏิบัติตามใบกิจกรรมของแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งมีคำชี้แจงประกอบการปฏิบัตทิ ุกกิจกรรม แจก ให้ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน คนละ 1 ชุด ผู้อบรมต้องบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมตามแบบบันทึกผล นำเสนอผลงาน มีการสะท้อนผลการปฏิบตั ิงานทกุ หน่วย วิทยากรบรรยายสรุป แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้ผู้อบรมทุกคนบันทึกผลของการอบรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ต่อไป ดัง รายละเอยี ดตามกำหนดการอบรม ดังน้ี กำหนดการจัดอบรมเชิงปฏิบัตกิ ารพฒั นาครูปฐมวัยดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ โครงงานบ้านนักวทิ ยาศาสตร์นอ้ ย ประเทศไทย ปีการศึกษา 2563 วนั ที่ 28 กันยายน 2563 ณ หอ้ งประชุมคุรุมกุ ดา สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษามกุ ดาหาร เวลา 08.00 – 08.45 น. ลงทะเบยี น เวลา 08.45 – 09.30 น. พธิ ีเปดิ และบรรยายพเิ ศษ โดย ดร.มารตุ อุปนิสากร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร เวลา 09.30 – 10.00 น. -ทดสอบก่อนอบรม - พัฒนาการเดก็ ปฐมวัย (LN : ศน.ทวิกา บำรุงสวสั ด)์ิ เวลา 10.00 – 10.30 น. แนวทางการกจิ กรรมสบื เสาะ เรื่อง น้ำ (LT : คณุ ครวู นิดา คงกันกง) เวลา 10.30 – 10.45 น. พกั รับประทานอาหารวา่ ง เวลา 10.45 – 12.00 น. แนวทางการกจิ กรรมสืบเสาะ เรื่อง อากาศ (LT : คณุ ครชู าวดี เพยี รไลย)์ เวลา 12.00 – 13.00 น. รบั ประทานอาหารกลางวนั เวลา 13.00 – 14.30 น. การจัดกิจกรรมวัฏจักรสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย (LN : ดร.กิง่ แก้ว ภูทองเงนิ ) เวลา 14.30 – 14.45 น. พักรบั ประทานอาหารว่าง เวลา 14.45 – 15.30 น. การเช่อื มโยงกจิ กรรมบา้ นนักวิทยาศาสตร์น้อยเข้ากับหลักสูตร การศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2560 (LN : ศน.ทวิกา บำรุงสวัสด)ิ์ เวลา 15.30 – 16.00 น. - แนวทางการประเมนิ โครงการบ้านนกั วทิ ยาศาสตร์น้อย ประจำปกี ารศึกษา 2563 - การนเิ ทศ ติดตามการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ของครู ที่ผา่ นการอบรม (LN : ดร.ก่งิ แก้ว ภทู องเงนิ ) เวลา 16.00 – 16.30 น. - ทดสอบหลังอบรม
32 - มอบเกยี รตบิ ตั ร - ปิดการอบรม หมายเหตุ กิจกรรมอาจมีการปรบั เปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ขน้ั ท่ี 3 การสังเกต (Observation) ผลจากการจดั อบรมเชิงปฏบิ ตั ิการให้กับครูปฐมวยั จำนวน 41 คน โดยการทดสอบความรู้ ความเข้าใจโดยใชแ้ บบทดสอบก่อนและหลังอบรม ผู้วิจยั ขอเสนอผลการเปรียบเทยี บผลการทดสอบ ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การเปรยี บเทียบคะแนนผลการทดสอบความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกับการจดั ประสบการณ์ การเรยี นรู้ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะระหวา่ งก่อนและหลังอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร การทดสอบ NX S.D. t sig ก่อนเรยี น 41 10.61 2.09 12.857 .000** หลังเรยี น 41 15.15 2.50 ** P < .01 จากตารางท่ี 2 การเปรียบเทียบคะแนนผลการทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะระหว่างก่อนและหลังอบรมเชิงปฏิบัติการ พบว่าก่อนการ อบรมมีค่าเฉลี่ย ( X ) =10.61 (S.D.) = 2.09 และหลังอบรมมีค่าเฉลี่ย ( X ) =15.15 (S.D.= 2.50) และ เมื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ค่าสถิต t - test พบว่ามีความ แตกตา่ งอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 ขัน้ ท่ี 4 สะท้อนผลการปฏิบัตงิ าน (Reflection) ผลจากการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะโดยการสอบถามความพึง พอใจของครูกลุ่มเป้าหมายต่อการอบรมเชิงปฏิบัติการ พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ผู้วิจัยขอ นำเสนอรายละเอียด ดงั นี้ ตารางที่ 3 ความพึงพอใจของครูตอ่ การฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการพฒั นาครปู ฐมวัยด้วยกจิ กรรมสืบเสาะ รายการ X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ ดา้ นการเตรยี มการ 1. การประชาสมั พันธเ์ ปน็ ไปอยา่ งทัว่ ถงึ 4.27 0.59 มาก 2. ความเพียงพอของเอกสาร/สอื่ วัสดุ อปุ กรณ์ประกอบ 4.10 0.44 มาก การอบรม 3. ความเหมาะสมของเวลาในการอบรม 4.39 0.49 มาก 4. ความเหมาะสมของสถานที่ 3.98 0.72 มาก ดา้ นเน้อื หา 5. เน้ือหาการพัฒนาสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ 4.56 0.50 มากทีส่ ุด
33 ตารางท่ี 3 ความพงึ พอใจของครูตอ่ การฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการพฒั นาครปู ฐมวยั ดว้ ยกิจกรรมสืบเสาะ (ต่อ) รายการ X S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ 6. เนอ้ื หาเหมาะสมกับผู้เข้าอบรม 4.17 0.77 มาก 7. เนื้อหามปี ระโยชนต์ ่อผู้เข้าอบรม 4.66 0.48 มากท่สี ุด 8. เน้อื หามสี ดั สว่ นเวลาทเ่ี หมาะสม 4.37 0.62 มาก 9. การจดั เรียงลำดับเน้อื หาเหมาะสม 4.20 0.75 มาก ด้านกจิ กรรมการอบรม 10. กจิ กรรมการพฒั นาสอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ 4.41 0.63 มาก 11. กิจกรรมการพัฒนาเหมาะสมกับผู้เข้าอบรม 4.59 0.50 มากที่สดุ 12. ผเู้ ข้าอบรมมีส่วนรว่ มในกิจกรรม 4.73 0.45 มากทส่ี ดุ 14. กจิ กรรมหลากหลายเนน้ ผอู้ บรมมีทักษะการจัด 4.07 0.72 มาก กิจกรรมสบื เสาะ 15. เนน้ ใหผ้ ้เู ข้าอบรมกล้าคิดกลา้ ทำกล้านำเสนอ 4.34 0.66 มาก 16. เน้นการประยุกต์องคค์ วามร้สู ู่การปฏิบัตจิ รงิ 4.27 0.71 มาก ดา้ นวิทยากร 17. การให้ความสนใจตอ่ ผู้เข้าอบรมอยา่ งสม่ำเสมอ 4.02 0.82 มาก 18. ความรอบรใู้ นเรื่องท่บี รรยาย 4.27 0.67 มาก 19. การเปิดโอกาสใหผ้ ู้เขา้ อบรมมสี ว่ นร่วมในการ 4.56 0.50 มากท่ีสุด เสนอความคิดเห็น 20 การให้ข้อเสนอแนะ เพื่อนำความรทู้ ไี่ ดไ้ ปประยุกตใ์ ช้ 3.93 0.79 มาก ในสภาพการณ์ต่าง ๆ ด้านสอื่ /แหลง่ เรียนรู้ 21. ใบความรู้เหมาะสม 4.24 0.70 มาก 22. ใบงาน / ใบกิจกรรมเหมาะสม 4.02 0.79 มาก 23. สอ่ื / แหล่งเรยี นรู้หลากหลายและเพียงพอ 4.17 0.77 มาก 24. เนน้ ผเู้ ข้าอบรมศกึ ษาค้นควา้ จากแหลง่ ความรู้ต่าง ๆ 3.93 0.85 มาก อย่างหลากหลาย ด้านความร้คู วามเขา้ ใจและการนำไปใช้ 25. สามารถนำความรู้ความเข้าใจ ไปปรบั ใชใ้ นการปฏิบัติ 4.32 0.69 มาก หนา้ ที่ได้อย่างมีประสิทธภิ าพและเกดิ ประสทิ ธิผล
34 ตารางท่ี 3 ความพึงพอใจของครตู ่อการฝกึ อบรมเชิงปฏิบตั ิการพัฒนาครูปฐมวัยดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะ (ต่อ) รายการ X S.D. ระดับความพึงพอใจ 26. ความเชื่อม่นั ในการนำความรูค้ วามเข้าใจไป 3.90 0.74 มาก ประยุกต์ใช้ในสถานการณต์ ่างๆ คา่ เฉลีย่ รวม 4.28 0.65 มาก จากตารางท่ี 3 แสดงความพึงพอใจของครูต่อการอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารพฒั นาครปู ฐมวยั ดว้ ย กจิ กรรมสบื เสาะ พบวา่ โดยภาพรวม ครมู ีความคดิ เหน็ ในระดบั มาก ( X =4.28) เมื่อพจิ ารณาเป็นราย ข้อสงู สดุ 3 ลำดบั แรก ดงั น้ี ผู้เขา้ อบรมมีสว่ นร่วมในกจิ กรรม ( X =4.73) เน้ือหามีประโยชน์ต่อ ผู้อบรม ( X =4.66) และกิจกรรมการพัฒนาเหมาะสมกับผูเ้ ข้าอบรม ( X =4.59) ตอนท่ี 3 ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ ผ้วู ิจยั ร่วมกับศึกษานิเทศกป์ ระจำเครือขา่ ยคุณภาพการศึกษาไดน้ ิเทศ ตดิ ตามการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ด้วยกิจกรรมสบื เสาะของครปู ฐมวยั ท่ผี ่านการอบรม ปรากฏผลดงั นี้ 3.1 ดา้ นการจัดกิจกรรมสืบเสาะ ครปู ฐมวัยได้จัดประสบการณก์ ารเรียนรโู้ ดยใชก้ จิ กรรมสบื เสาะ รายละเอียดดังนี้ ตารางที่ 4 การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ด้วยกจิ กรรมสืบเสาะ ที่ รายการ X S.D. แปลผล 1 ครูไดว้ างแผนการจดั กจิ กรรมการทดลอง 2.29 0.68 ปานกลาง 2 ครูจัดเตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณ์ในการทดลอง 2.59 0.50 มากทีส่ ุด 3 ครูแนะนำส่ือ อปุ กรณ์ ใหแ้ ก่เด็กก่อนจัดกจิ กรรมการทดลอง 2.61 0.49 มากทส่ี ุด 4 ครูตั้งคำถามเชื่อมโยงจากประสบการณ์เดิมของเดก็ 2.44 0.63 ปานกลาง 5 ครูส่งเสรมิ สนบั สนุนการต้งั สมมติฐานก่อนการปฏบิ ตั ิกิจกรรม 2.15 0.69 ปานกลาง 6 ครูเปดิ โอกาสให้เดก็ ได้สงั เกตและคน้ คว้าและหาคำตอบ 2.46 0.50 ปานกลาง ดว้ ยตนเอง 7 ครูใช้คำถามกระตนุ้ ให้เด็กคิดขณะปฏบิ ัติกจิ กรรมการทดลอง 2.51 0.51 มากที่สดุ 8 ครจู ดั ให้เดก็ ไดป้ ฏบิ ัติกจิ กรรมร่วมกนั เป็นกลุ่ม 1.63 0.54 ปานกลาง 9 ครเู ปิดโอกาสให้เดก็ ไดแ้ ลกเปลี่ยนความคดิ เห็นภายในกลุ่ม 1.83 0.67 ปานกลาง 10 ครจู ดั กจิ กรรมให้เดก็ ไดฝ้ ึกบันทกึ ผลการทดลอง 1.68 0.57 ปานกลาง 11 ครไู ด้สรุปทบทวนผลการทดลอง 1.90 0.62 ปานกลาง 12 ครูประเมนิ พัฒนาการเดก็ ทค่ี รอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน 2.73 0.45 มากทสี่ ุด คา่ เฉลยี่ รวม 2.24 0.57 ปานกลาง
35 จากตารางที่ 4 แสดงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะของครูปฐมวัยที่ผ่าน การอบรม พบว่า โดยภาพรวมครูมีการปฏิบัติในระดับปานกลาง ( X =2.24) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อท่ี ปฏิบตั ิได้มากท่สี ุด 3 ลำดับแรก ดังนี้ ครปู ระเมินพัฒนาการเด็กทคี่ รอบคลมุ พัฒนาการทุกด้าน ( X =2.73) ครแู นะนำสื่อ อุปกรณ์ ให้แก่เดก็ กอ่ นจัดกจิ กรรมการทดลอง ( X =2.61) และครจู ัดเตรยี มวัสดอุ ปุ กรณ์ ในการทดลอง ( X =2.59) 3.2 ดา้ นพฒั นาการของเด็กที่เกิดจากการเรียนร้กู ิจกรรมสบื เสาะ เด็กปฐมวยั ทไี่ ด้รับการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะมผี ลการพฒั นาการ ท้งั 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ คุณลกั ษณะตามวัยด้านรา่ งกาย คณุ ลักษณะตามวัยด้านอารมณ์ จิตใจ คุณลักษณะตาม วยั ด้านสงั คม คุณลักษณะตามวยั ด้านสตปิ ญั ญา ดงั นี้ ตารางที่ 5 พัฒนาการของเด็กท่เี กดิ จากการเรียนรู้กจิ กรรมสืบเสาะ รายการ X S.D. แปลผล 1. คุณลกั ษณะตามวัยดา้ นรา่ งกาย 1.1 เดก็ ได้ใช้ประสาทสมั ผสั ท้ังหา้ ในการสำรวจสง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตัว 4.41 0.59 มาก 1.2 เดก็ ใชอ้ ุปกรณ์วิทยาศาสตร์อย่างงา่ ยในการสำรวจ 3.90 0.77 มาก 1.3 เดก็ ใชก้ ล้ามเน้ือมดั เลก็ ได้อยา่ งคล่องแคล่ว 4.73 0.45 มากที่สดุ 1.4 เด็กใช้กลา้ มเนื้อมดั ใหญ่ได้อย่างคล่องแคลว่ 4.66 0.48 มากทส่ี ุด 1.5 การประสานสมั พันธร์ ะหว่างมือกบั ตาของเด็กอย่างคล่องแคล่ว 4.54 0.50 มากทสี่ ุด เฉลี่ยรายด้าน 4.45 0.56 มาก 2. คณุ ลักษณะตามวยั ดา้ นอารมณ์ จิตใจ 2.1 เด็กได้รบั การฝกึ ฝนใหร้ จู้ ักบทบาทหน้าที่ของตนเอง 4.29 0.68 มาก ในการทำกิจกรรม 2.2 เด็กรจู้ ักใชเ้ หตุผลในการทำการสำรวจและอธบิ ายส่ิงต่าง ๆ 4.15 0.69 มาก 2.3 เด็กรู้จกั ตดั สินใจในการเลือกวิธกี ารทดลอง และยอมรับผลท่ี 4.34 0.66 มาก เกิดขน้ึ 2.4 เดก็ ได้แสดงผลงานจากการสำรวจและการทดลอง 4.05 0.63 มาก 2.5 เด็กได้แสดงความสามารถของตนเอง 4.73 0.48 มากที่สดุ เฉลี่ยรายดา้ น 4.31 0.62 มาก 3. คุณลกั ษณะตามวยั ดา้ นสงั คม 3.1 เด็กไดฝ้ ึกการชว่ ยเหลือตนเองในการทำกจิ กรรม 4.46 0.52 มาก 3.2 เดก็ ไดฝ้ ึกการชว่ ยเหลอื ตนเองในการทำกิจกรรม 4.34 0.62 มาก 3.3 เดก็ ร้จู กั การให้และการรับ 4.49 0.51 มาก
36 ตารางท่ี 5 พัฒนาการของเด็กท่ีเกิดจากการเรยี นรู้กจิ กรรมสืบเสาะ (ต่อ) รายการ X S.D. แปลผล 3.4 เดก็ ร้จู ักการปฏบิ ัตติ ามกฎ ระเบยี บ หรอื ข้อตกลงร่วมกนั 4.27 0.67 มาก 3.5 เดก็ เห็นคณุ ค่าของสิง่ แวดล้อมรอบตวั และชว่ ยกนั รกั ษา 4.34 0.48 มาก เฉล่ียรายด้าน 4.38 0.56 4. คณุ ลกั ษณะตามวัยด้านสติปัญญา 4.1 เด็กได้ใช้ประสาทสัมผสั ทั้งห้าในการสงั เกต สำรวจ 4.63 0.49 มากทีส่ ุด สิง่ ตา่ ง ๆ รอบตวั ได้ 4.2 เด็กจำแนกความเหมือน ความแตกตา่ ง และความสมั พันธร์ ่วม 4.61 0.49 มากทส่ี ุด ของสิง่ ตา่ ง ๆ รอบตวั ได้ 4.5 เดก็ เพ่ิมเติมความคิดเห็นให้กับขอ้ มูลทม่ี ีอยู่อย่างมเี หตุผลตามวยั 3.83 0.70 มาก 4.6 เด็กมที ักษะในการหาความสัมพันธร์ ะหว่างสเปสกับสเปส 4.15 0.69 มาก และสเปสกบั เวลาได้ เช่น บอกทศิ ทาง กะระยะเวลา 4.7 เด็กมีความสามารถในการนบั จำนวนของวัตถุได้ 4.78 0.42 มากที่สุด เฉลย่ี รายดา้ น 4.46 0.54 มาก คา่ เฉลีย่ รวม 4.48 0.57 มาก จากตารางที่ 5 แสดงพฒั นาการของเด็กปฐมวยั ที่ได้รบั การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ด้วย กิจกรรมสืบเสาะ พบวา่ พัฒนาการของเด็กปฐมวัยอยู่ในระดับมาก ( X =4.48) เม่ือพิจารณาเปน็ รายดา้ น สงู สดุ ดงั น้ี คุณลกั ษณะตามวัยดา้ นสติปญั ญา มีค่าเฉลยี่ อยู่ในระดบั มาก ( X = 4.46) ความคิดเห็น สงู สดุ ได้แก่ เด็กมีความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุได้( X =4.78) รองลงมา คือ คณุ ลกั ษณะ ตามวยั ดา้ นร่างกาย มีคา่ เฉล่ียอยใู่ นระดบั มาก ( X =4.45) ความคดิ เห็นสงู สดุ ได้แก่ เด็กใช้กลา้ มเนอ้ื มดั เลก็ ได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ ( X =4.73) และคณุ ลักษณะตามวัยดา้ นสังคม มีค่าเฉลยี่ อยู่ในระดับมาก ( X =4.38) ความคิดเห็นสูงสดุ ได้แก่ เด็กรจู้ ักการให้และการรับ ( X =4.49)
37 บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ การงานวิจัยเรื่อง ผลการพฒั นาครปู ฐมวยั ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะเพ่ือเสรมิ สร้างพฒั นาการของเด็ก ปฐมวัย ผูว้ จิ ยั ไดส้ รปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผล ข้อเสนอแนะและการนำผลการวจิ ยั ไปใช้ไว้ดังตอ่ ไปนี้ 1. สรปุ ผลการวิจัย ผู้วิจยั ขอนำเสนอสรุปผลการวิจัยตามวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ดงั น้ี 1.1 ผลการศกึ ษาสภาพปัญหาและความต้องการในการจดั ประสบการณ์การเรยี นรูเ้ ด็กปฐมวัย ผลการสำรวจสภาพปัญหาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เด็กปฐมวัยตามความคิดเห็นของครู ปฐมวัยในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร จำนวน 50 คน พบว่า มีปัญหาใน ระดับมาก โดยเรียงลำดับปัญหามากท่ีสุด 3 รายการ ได้แก่ จัดกิจกรรมให้เด็กเกิดทักษะการคิด จัด กจิ กรรมส่งเสริมกระบวนการสังเกต การฟงั การต้งั คำถาม และจดั กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาทั้ง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตามลำดับ มีครูปฐมวัยต้องการพัฒนาตนเองโดยการเข้าร่วมอบรมเชิง ปฏิบตั กิ ารดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะ โครงการบ้านนักวทิ ยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย จำนวน 41 คน 1.2 ผลการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบา้ นนักวิทยาศาสตรน์ ้อย ผลการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยกิจกรรมสืบเสาะตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ผู้วิจัย นำเสนอผลการดำเนนิ งานตามวงจรการวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการ (Action Research) ดงั นี้ ขัน้ ที่ 1 การวางแผน (Planning) ในการวางแผนพัฒนาครูได้กำหนดเนื้อหาในการพัฒนาและวางแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการ พัฒนาครูปฐมวัย และกำหนดการจดั อบรม สร้างเครอื่ งมือ ไดแ้ ก่ เอกสารประกอบการอบรม แบบทดสอบ ก่อน - หลังอบรม แบบประเมินความพึงพอใจ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน ประชุมวิทยากรในการ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ จดั เตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ สื่อประกอบต่าง ๆ ขนั้ ท่ี 2 การปฏบิ ตั ิ (Action) การดำเนินการทุกข้ันตอนเป็นไปตามกำหนดการอบรมเชิงปฏิบัติการท่ีกำหนดไว้ เชน่ แบง่ กลุ่ม ผู้อบรม ดำเนินการโดยกระบวนการกลุ่ม วิทยากรใหค้ วามรู้ ชมวิดีทัศน์ ศกึ ษาความรูจ้ ากใบความรู้และลง มือปฏบิ ัติตามใบกจิ กรรมของแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ซึง่ มีคำช้ีแจงประกอบการปฏิบตั ทิ กุ กิจกรรม แจกให้ ผอู้ บรมทกุ คน คนละ 1 ชดุ ผอู้ บรมตอ้ งบันทึกผลการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามแบบบันทึกผล นำเสนอผลงาน มีการสะทอ้ นผลการปฏบิ ตั งิ านทุกหนว่ ย วิทยากรบรรยายสรุป แลกเปลย่ี นประสบการณแ์ ละใหผ้ ู้อบรม ทุกคนบันทกึ ผลของการอบรมเพื่อนำไปประยุกตใ์ ช้ในการจดั การเรยี นรูต้ อ่ ไป
38 ขน้ั ท่ี 3 การสังเกต (Observation) ครูที่ผ่านการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร จำนวน 41 คน มีคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ดว้ ยกจิ กรรมสืบเสาะหลังอบรมสูงกวา่ ก่อนอบรมอย่าง มีนยั สำคัญทางสถิติที่ .05 ขน้ั ที่ 4 สะท้อนผลการปฏิบัติงาน (Reflection) ครูมีความพงึ พอใจในการเขา้ รับการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารอยู่ในระดบั มาก 1.3 ผลการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ด้วยกจิ กรรมสืบเสาะ 1.3.1 ด้านการจดั กิจกรรมสืบเสาะ ครปู ฐมวยั จัดประสบการณ์การเรียนรู้ดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะอยู่ในระดับปานกลาง 1.3.2 ด้านพัฒนาการของเด็กทเ่ี กิดจากการเรียนรูก้ ิจกรรมสืบเสาะ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ด้ว ยกิจกรรมสืบเสาะมีผลการ พฒั นาการทุกดา้ นอยูใ่ นระดบั มาก โดยเรียงลำดบั คุณลักษณะของเด็กที่ได้รบั การพัฒนา ไดแ้ ก่ ด้านสตปิ ัญญา ดา้ นรา่ งกาย ด้านสงั คม และอารมณ์ จติ ใจ 2. อภปิ รายผล จากการวิจยั เรอื่ ง ผลการพฒั นาครปู ฐมวยั ด้วยกิจกรรมสืบเสาะสามารถอภิปรายผลการวิจยั ได้ ดงั น้ี 2.1 ผลการศึกษาสภาพปญั หาและความต้องการในการจดั ประสบการณ์การเรยี นรูเ้ ดก็ ปฐมวัย ผลการสำรวจสภาพปัญหาการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้เด็กปฐมวัยในสังกดั สำนกั งานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร จำนวน 50 คน พบว่า มีปัญหาในระดับมาก โดยเรียงลำดับปัญหามาก ทีส่ ุด 3 รายการ ได้แก่ จดั กิจกรรมให้เดก็ เกิดทักษะการคิด จัดกจิ กรรมส่งเสรมิ กระบวนการสังเกต การฟัง การตง้ั คำถาม และจดั กิจกรรมสง่ เสรมิ พฒั นาการทางภาษาทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ตามลำดับ และ ครูปฐมวัยต้องการพฒั นาตนเองโดยการเข้าร่วมอบรมเชงิ ปฏิบัติการโดยใช้กจิ กรรมสืบเสาะ โครงการบา้ น นกั วิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย จำนวน 41 คน เน่ืองจากหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560 พัฒนาขึ้นบนแนวคิดหลักสำคัญเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย การทำงานของสมอง การเรียนรู้และ การเล่นของเด็ก อย่างมีจุดมุ่งหมายเป็นหัวใจสำคัญของการจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก ให้เด็กเรียนรู้ผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยครูจำเป็นต้องเข้าใจและยอมรับว่าสังคมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมตัวเด็กว่ามี อิทธิพลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน จึงทำให้ครูปฐมวัยพบ ปัญหาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นเด็กเกิดทักษะการคิด การสืบเสาะหาความรู้ สอดคล้องกับ งานวิจยั ของไพรัตน์ บญุ รกั ษา (2551: 82) ได้ศึกษาเร่ืองการพัฒนาบุคลากรในการจดั ประสบการณส์ ำหรับ เด็กปฐมวยั สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองกงุ ศรี จงั หวัดกาฬสินธ์ุ โดยใช้หลักการ วิจัยปฏิบัติการ ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในระยะที่ 1 ก่อนการดำเนินการพัฒนาบุคลากร
39 พบวา่ บุคลากรครไู ม่มคี วามรู้ความเข้าใจในการจดั ประสบการณ์สำหรับเดก็ ปฐมวยั นอกจากน้ีวราลี โกศัย และคณะ (2561 :133) ได้ทำการศึกษา รูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การจัดประสบการณ์แบบสะเต็มท่ี ส่งเสริม ทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 โดยได้ศึกษาปัญหาในการจัดประสบการณ์ พัฒนาเด็กปฐมวัย พบปัญหาว่าสื่อการเรียนการสอนไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็ก เวลาในการจัดกิจกรรมไม่ เพียงพอ ปัญหาที่ครูผู้สอนพบระหว่างการจัดประสบการณ์ใน 6 กิจกรรมหลักสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มี ปัญหาใหญๆ่ คือ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลของเด็ก ความพร้อมของเด็กแตล่ ะคนมีพัฒนาการทีแ่ ตกต่าง กัน เด็กยังไม่กล้าแสดงออก งบประมาณในการจัดหาจัดทำสื่อการเรยี นการสอนไม่เพียงพอ และครูผู้สอน ต้องการพฒั นาตนเองในดา้ นความรูใ้ หม่ ๆ และเทคนคิ ตา่ ง ๆ ในการพัฒนาเดก็ ปฐมวัย 2.2 ผลการพัฒนาครปู ฐมวัยดว้ ยกจิ กรรมสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนักวิทยาศาสตรน์ ้อย ผลการพัฒนาครปู ฐมวัยดว้ ยกิจกรรมสบื เสาะตามแนวทางบา้ นนักวทิ ยาศาสตรน์ ้อย ตามวงจรการ วิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ าร (Action Research) ดังนี้ ขน้ั ที่ 1 การวางแผน (Planning) รไู ดก้ ำหนดเน้ือหาในการ พัฒนาและวางแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูปฐมวัย และกำหนดการจัดอบรม สร้างเครื่องมือ ได้แก่ เอกสารประกอบการอบรม แบบทดสอบก่อน - หลังอบรม แบบประเมินความพึงพอใจ แต่งตั้ง คณะกรรมการดำเนินงาน ประชมุ วทิ ยากรในการอบรมเชิงปฏบิ ัติการ จดั เตรยี มวสั ดุ อุปกรณ์ สื่อประกอบ ต่าง ๆ ขั้นที่ 2 การปฏิบัติ (Action)ดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปตามกำหนดการอบรมเชิงปฏิบัติการที่ กำหนดไว้ เช่น แบ่งกลุ่มผู้อบรม ดำเนินการโดยกระบวนการกลุ่ม วิทยากรให้ความรู้ ชมวิดีทัศน์ ศึกษา ความรจู้ ากใบความรูแ้ ละลงมือปฏิบตั ิตามใบกจิ กรรมของแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ ซึ่งมคี ำชแี้ จงประกอบการ ปฏิบัตทิ กุ กิจกรรม แจกให้ผูเ้ ข้ารับการอบรมทุกคน คนละ 1 ชุด ผ้อู บรมต้องบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม ตามแบบบันทึกผล นำเสนอผลงาน มีการสะท้อนผลการปฏิบัติงานทุกหน่วย วิทยากรบรรยายสรุป แลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้ผู้อบรมทุกคนบันทึกผลการอบรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการ เรียนรู้ต่อไป ขั้นที่ 3 การสังเกต (Observation)ครูที่ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ จำนวน 41 คน มี คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ด้วยกิจกรรม สบื เสาะหลังอบรมสูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี .05 ผลการวิจยั ครง้ั นส้ี อดคล้องกับงานวิจัย ของวราลี โกศัย และคณะ (2561 :137) ได้ทำวิจัยรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การจัดประสบการณ์แบบ สะเต็มที่ส่งเสริม ทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของครูท่ี เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยรูปแบบพัฒนาการครูปฐมวัย พบว่าครูที่เข้าอบรมมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ขั้นที่ 4 สะท้อนผลการปฏิบัติงาน (Reflection) ครมู คี วามพงึ พอใจในการเข้ารบั การฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการอยู่ในระดับมาก การดำเนินการ วิจัยครั้งน้ีสอดคล้องงานวิจัยของสุชาดา หวังสิทธิเดช (2562) ได้ศึกษาผลการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยการ ผลิตสื่อนิทานและเทคนิคการเล่านิทานเพื่อจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย ได้ใช้การวิจัย ปฏิบัติการ (Action Research Principle) ตามแนวคิดของเคมมิส และ แม็กแท็กการ์ท (kemmis and Mc Taggart.) ซึ่งประกอบด้วยการวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observation)
40 และการสะท้อนผล (Reflection) เพื่อพัฒนาครูปฐมวัยในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอำนาจเจริญและจังหวัดมุกดาหาร โดยการอบรมเชิงปฏิบัติการให้มีความรู้ความสามารถใน การผลิตสื่อนิทาน เพื่อจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งนำมาวางแผนการผลิต ดำเนนิ การผลิต ลงมือปฏบิ ัติ โดยมีผูเ้ ชย่ี วชาญให้ความรู้ ใหค้ ำแนะนำ ครูปฐมวัยสามารถผลิตสื่อนิทานได้ และนำไปจดั ประสบการณก์ ารเรยี นร้ไู ดบ้ รรลุวัตถปุ ระสงค์ 2.3 ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะ 2.3.1 ดา้ นการจดั กิจกรรมสืบเสาะ ครูปฐมวัยจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ดว้ ยกิจกรรมสืบเสาะ ในระดบั ปานกลาง เน่ืองจาก การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสืบเสาะนั้น เป็นเครื่องมือหรือรูปแบบที่จะช่วยให้ครูผู้สอน สามารถที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้สำรวจตรวจสอบและมีส่วนร่วมในการสนทนาที่เกี่ยวข้อง กบั ปรากฏการณท์ างวิทยาศาสตร์ที่อยู่รอบตวั และเปน็ ท่สี นใจของเด็ก สอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของจรรยา ดา สา (2560 :347) ได้ศึกษาเรื่องการเสริมสร้างทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยผ่าน การจดั การเรยี นรูด้ ว้ ยวัฏจกั รการสืบเสาะ เสนอแนวทางในการจัดกจิ กรรมทพ่ี ัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ให้กับเด็กปฐมวัยผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะตามแนวทางของโครงการ บา้ นนักวิทยาศาสตรน์ ้อย ประเทศไทย เพอ่ื ใหผ้ สู้ อนสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรเู้ พ่ือพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวยั ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีขั้นตอนการจัดกิจกรรม 6 ข้ัน ได้แก่ การตั้งคำถาม การรวบรวมความคิดเห็นและตั้งสมมติฐาน การดำเนินการสำรวจตรวจสอบ และ ค้นคว้า การสงั เกตและบรรยายสง่ิ ท่เี กดิ ขึ้น การบันทึกผล การสำรวจตรวจสอบ และการสรปุ และอภิปราย 2.3.2 ดา้ นพัฒนาการของเด็กทเี่ กิดจากการเรียนรู้กจิ กรรมสืบเสาะ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ด้วย กิจกรรมสืบเสาะมีผลการ พัฒนาการทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับคุณลักษณะของเด็กที่ได้รับการพัฒนา ได้แก่ ด้าน สติปัญญา ด้านร่างกาย ด้านสังคม และอารมณ์ จิตใจ เนื่องจากเด็กได้ทำกิจกรรมด้วยตนเอง ค้นคว้าหา ความรู้ โดยใช้กระบวนการทางความคิด เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาวิธีการเรียนรู้อย่างมีระบบ ที่มีการ ทดลอง และสรุปผลการทดลอง หรือแก้ปัญหาด้วยตนเองของเด็กปฐมวัยได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พรภัทรินทร์ งามนิธิจารุเมธี (2556) ที่ได้ศึกษาผลการจัดประสบการณ์แบบสืบเสาะหาความรู้มีต่อ ความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย พบว่า เด็กปฐมวัยได้รับการจัดประสบการณ์แบบสืบ เสาะหาความรู้มีความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลหลังเรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม ของ จำนวนเด็กทั้งหมด โดยผ่านการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ ขั้นตอนที่ 2 ขั้น สํารวจคน้ หาขัน้ ตอนที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป ข้นั ตอนที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ ข้ันตอนที่ 5 ขน้ั ประเมิน
41 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 จากข้อค้นพบในการวิจัยคร้ังน้ี ครูที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าทีส่ อนในระดับปฐมวัยเป็น ครูที่ไม่ได้จบเอกปฐมวัย พนักงานราชการ ครูอัตราจ้างและเจ้าหน้าที่ธุรการของโรงเรียน จึงขาดความรู้ ความเขา้ ใจและทักษะในการจดั ประสบการณ์การเรียนรูเ้ ด็กปฐมวยั และมีความต้องการฝึกอบรมเพื่อเพิ่ม ความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็น หน่วยงานที่ดูแลและสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรกำหนดนโยบายและแนวทางการปฏิบัติท่ี ชัดเจนในการพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เด็กปฐมวัย และสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยงานการศึกษาที่สำคัญในระดับภูมิภาค ควรเชื่อมโยงจาก นโยบายระดับชาติ สู่การปฏบิ ตั จิ ริงในการกำหนดแผนงาน โครงการพฒั นาคณุ ภาพการจัดการศึกษาให้กับ ครูผู้สอนในสังกัด 3.2. ข้อค้นพบในการทำวิจัย คือ ครูมีภาระงานในโรงเรียนเยอะจึงไม่สามารถจัดประสบการณ์ เรียนรู้แบบสืบเสาะได้อย่างเต็มที่และเต็มรูปแบบ จึงควรจัดกิจกรรมสืบเสาะได้ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน โดยครแู ละผู้ปกครองร่วมกันวางแผน ออกแบบและเป็นผจู้ ัดกจิ กรรมให้เดก็ ร่วมกนั 3.3 ควรมกี ารสร้างศกั ยภาพและมีการรวมตัว ร่วมใจ ร่วมพลงั รว่ มทำ และรว่ มเรยี นรรู้ ว่ มกันของ ครู ผู้บริหาร และผู้ปกครองแบบกลั ยาณมติ ร มีวิสยั ทศั น์ คณุ คา่ เปา้ หมาย และภารกิจรว่ มกัน โดยทำงาน ร่วมกันแบบทมี เรียนรูท้ ค่ี รูและผปู้ กครองเป็นผู้จัดกจิ กรรมใหเ้ ด็กรว่ มกนั และผบู้ รหิ ารเป็นผู้ดแู ลสนับสนุน สู่การเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพเปลี่ยนแปลงคุณภาพตนเองสู่คุณภาพการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความสำเร็จ หรอื ประสทิ ธผิ ลของเด็กเปน็ สำคญั ในสถานการณข์ องโลกทีเ่ ปล่ียนแปลงไป 4. การนำผลการวจิ ยั ไปใช้ 4.1 สถานศึกษาควรการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้ครูปฐมวัยสามารถนำกา รจัด ประสบการณด์ ้วยกิจกรรมสบื เสาะไปใช้เสริมสร้างพัฒนาการของเด็กปฐมวยั ในชัน้ เรยี นท่ีตนเองรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดการนำาไปใช้จริงในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารและครูควรตระหนักถึงคุณค่าและ ความสำคัญของการจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ส่งเสริมทักษะการ เรียนรู้ของเดก็ ปฐมวยั ในศตวรรษที่ 21 เพอ่ื ให้การนำรปู แบบไปใชใ้ ห้เกดิ ประสทิ ธภิ าพและบรรลตุ าม วัตถุประสงค์ทตี่ ้งั ไว้ 4.2 ควรใช้แนวทางการพฒั นาท่ีหลากหลาย เพื่อเสรมิ ความรแู้ ละทักษะการจดั ประสบการณแ์ บบ สืบเสาะในชัน้ เรียนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยิ่งขน้ึ และครูปฐมวยั ควรมีความสามารถในการจดั ประสบการณ์ แบบบรู ณาการได้เป็นอย่างดี เพราะแนวคดิ ของการจัดประสบการณ์แบบสืบเสาะสามารถบรู ณาการใน กิจกรรมประจำวันได้
42 บรรณานกุ รม กระทรวงศกึ ษาธิการ,ประกาศ (2563) นโยบายและแนวปฏบิ ตั ใิ นการจัดการศกึ ษาและการจดั การเรยี นรสู้ ำหรบั เด็กปฐมวัย ลงวันท่ี 7 สิงหาคม พ.ศ.2563 กลุ่มนเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศึกษา สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษา มกุ ดาหาร (2563) รายงานผลการดำเนินงานโครงการบ้านนกั วิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ปีการศึกษา 2562 จรรยา ดาสา (2560) การเสรมิ สร้างทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์สำหรับเดก็ ปฐมวยั ผา่ น การจดั การเรียนรดู้ ้วยวัฏจักรการสืบเสาะ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท่ี 19 ฉบบั ท่ี 3 กรกฎาคม – กนั ยายน 2560 ชารี มณศี รี (2538) การนิเทศการศกึ ษา กรุงเทพฯ : โสภณการพมิ พ์ บุญชม ศรีสะอาด (2553) การวจิ ยั เบื้องตน้ พมิ พ์ครง้ั ที่ 8 กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น ปิยพร ชุมจนั ทร์ (2558) รูปแบบการพัฒนาครูด้านการประเมนิ การเรียนรูส้ าหรับสถานศึกษา ข้นั พนื้ ฐาน ปรญิ ญานิพนธ์ปรัชญาดษุ ฎบี ณั ฑิต : มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ พรภทั รินทร์ งามนธิ ิจารุเมธี (2556) “ผลการจัดประสบการณ์แบบสืบเสาะหาความรู้ทมี่ ีตอ่ ความสามารถในการคิดเชิงเหตผุ ลของเด็กปฐมวยั ” วารสารวชิ าการและวิจัยสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 23 พฤษภาคม - สิงหาคม 2556 พรอ้ มพรรณ อดุ มสิน (2545) การวดั และประเมนิ ผลการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ พิมพค์ รั้งท่ี 3 (ฉบับปรบั ปรงุ ) กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ไพรัตน์ บญุ รักษา (2551) การพัฒนาบคุ ลากรในการจัดประสบการณส์ ำหรบั เดก็ ปฐมวยั สังกัด องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองกงุ ศรี จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ วทิ ยานพิ นธ์ ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑติ บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ มาริสา วงศสกุ รรม (2553) การเปรียบเทียบความสามารถในการแกปญหาและความฉลาด ทางอารมณของเดก็ ปฐมวัยทไี่ ด้รับการจัดประสบการณแบบโครงการกบั แบบสบื เสาะ หาความรู้ วิทยานิพนธป์ รญิ ญาปรัชญามหาบณั ฑติ สาขาวิชาการจดั การเรียนรู้ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนครศรอี ยุธยา รงุ่ แก้วแดง (2539) รเี อ็นจีเนียรงิ่ ระบบราชการไทย ภาค 2 กรงุ เทพฯ : พิฆเณศ พร้นิ ตงิ้ เซนเตอร์ ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2543) เทคนคิ การวัดผลการเรยี นรู้ กรงุ เทพฯ: ชมรมเด็ก วราลี โกศยั และคณะ (2561) “รูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การจดั ประสบการณ์แบบสะเตม็ ที่สง่ เสริม ทกั ษะการเรยี นรู้ของเดก็ ปฐมวัยในศตวรรษที่ 21” วารสารวชิ าการ มหาวิทยาลยั ราชภัฏ บรุ ีรัมย์ ปที ่ี 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2561
43 สมเกียรติ ศรีจกั รวาล (2542) การวางแผนและการจดั การประชุมทางวิชาการ กรุงเทพฯ : ภาควชิ าอาชวี ศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ สมติ สัชฌุกร (2543) การต้อนรบั และการบริการที่เป็นเลิศ กรงุ เทพฯ: วญั ญชู น สชุ าดา หวงั สิทธิเดช (2562) ผลการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยการผลิตสือ่ นิทานและเทคนิค การเลา่ นิทานเพ่ือจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้สำหรับเดก็ ปฐมวัย รายงานการวิจัย มหาวทิ ยาลัยราชภัฏมหาสารคาม สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร (2562) มาตรฐานสถานศกึ ษาพฒั นา เดก็ ปฐมวยั แห่งชาติ กรุงเทพมหานคร : บริษัทพรกิ หวานกราฟฟิค จำกัด สำนักงานวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2560) หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศักราช 2560 กรุงเทพฯ : โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั Kemmis, S. and R. McTaggart. (1985). The Action Research Planner. 3rd ed. Victoria : Deakin University Press, 1991. Lewin, Kurt. Group Decision and Social Change,” in Reading inSocial Psychology. p. 202. edited by Eleanor E. Maccoby,Theodore M.Newcomb, and Eugene L. Hartley. New York : Holt, Rinehart and Winston. Ministry of Education (2004) Early childhood curriculum manual B.E. 2546 (age 3-5 year old) Bangkok: Ministry of Education (in Thai) Saesong (2009) Effects of project approach experiences on science process skills for young children (Master thesis). Lampang: Lampang University. (in Thai)
44 ภาคผนวก เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั - แบบสอบถามสภาพปัญหาการจัดการประสบการณ์การเรียนรู้เดก็ ปฐมวัย - แบบสอบถามความพงึ พอใจ - แบบนเิ ทศ ตดิ ตามการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ - แบบทดสอบ ภาพการดำเนนิ งาน
45 แบบสอบถามสภาพปัญหาการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้เด็กปฐมวัย คำชแ้ี จง อ่านข้อความแต่ละขอ้ แล้วทำเครอ่ื งหมาย✓ลงในช่องทีต่ รงกบั ความคดิ เหน็ ของทา่ น 5 หมายถงึ มีปัญหามากทส่ี ุด 4 หมายถึง มปี ัญหามาก 3 หมายถงึ มปี านกลาง 2 หมายถึง มปี ัญหานอ้ ย 1 หมายถึง มปี ัญหาน้อยท่ีสุด รายการปัญหา ระดบั ปัญหา 54321 1.จัดประสบการณ์ทเ่ี นน้ เด็กเปน็ สำคญั ให้มสี ่วนร่วมในทุกกจิ กรรม 2.จัดประสบการณส์ ง่ เสริมพัฒนาการทุกด้านดว้ ยการปฏบิ ัตจิ รงิ และสอดคลอ้ งกบั การทำงานของสมอง 3.จดั ประสบการณท์ ี่ส่งเสริมคณุ ธรรม จริยธรรมและคุณลักษณะ ทพี่ งึ ประสงค์ 4.จดั กิจกรรมผา่ นการเลน่ กระตนุ้ การเรยี นรูผ้ ่านประสาทสัมผัสทงั้ 5 5.จัดกจิ กรรมทสี่ ่งเสริมพฒั นาการตามตารางกจิ กรรมประจำวันได้ครบ ทัง้ 6 กจิ กรรม 6.จัดกิจกรรมทีส่ ง่ เสริมพัฒนาการกลา้ มเน้ือมดั เลก็ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ 7.จัดกิจกรรมสง่ เสรมิ พัฒนาการทางภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 8.จัดกิจกรรมให้เด็กเกิดทักษะการคิด 9.จัดกิจกรรมส่งเสรมิ กระบวนการสังเกต การฟัง การตั้งคำถาม 10.การจดั หาวัสดุ อุปกรณ์ ใช้ส่อื /แหล่งเรียนรู้และภูมปิ ัญญาท้องถ่ินในการ จดั ประสบการณ์ได้เหมาะสมกับเน้ือหาและวัยของเด็ก ข้อเสนอแนะ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................. .........................................................................................................................................................
46 แบบสอบถามความพงึ พอใจต่อการเข้ารว่ มอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการพฒั นาครูดว้ ยกิจกรรมสืบเสาะ คำช้ีแจง อ่านข้อความแต่ละขอ้ แลว้ ทำเคร่ืองหมาย✓ลงในชอ่ งท่ีตรงกบั ความคิดเห็นของท่าน 5 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจมากทส่ี ดุ 4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก 3 หมายถงึ มีความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย 1 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจน้อยท่ีสุด รายการ ระดบั ความพงึ พอใจ 54321 ดา้ นการเตรียมการ 1. การประชาสมั พันธเ์ ป็นไปอย่างทั่วถึง 2. ความเพียงพอของเอกสาร/ส่อื วสั ดุ อปุ กรณป์ ระกอบการอบรม 3. ความเหมาะสมของเวลาในการอบรม 4. ความเหมาะสมของสถานที่ ด้านเนื้อหา 5. เนอ้ื หาการพัฒนาสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ 6. เนอ้ื หาเหมาะสมกับผูเ้ ข้าอบรม 7. เน้ือหามปี ระโยชนต์ ่อผูเ้ ขา้ อบรม 8. เน้ือหามีสัดสว่ นเวลาทเี่ หมาะสม 9. การจัดเรยี งลำดับเน้อื หาเหมาะสม ดา้ นกิจกรรมการอบรม 10. กิจกรรมการพัฒนาสอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ 11. กิจกรรมการพฒั นาเหมาะสมกับผู้เข้าอบรม 12. ผูเ้ ข้าอบรมมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรม 13. กระตุ้นผูเ้ ขา้ รับอบรมเกดิ การเรียนรู้ 14. กจิ กรรมหลากหลายเน้นผ้เู ขา้ อบรมมที ักษะการจัดกิจกรรมสบื เสาะ 15. เน้นใหผ้ ูเ้ ขา้ อบรมกลา้ คิดกล้าทำกล้านำเสนอ 16. เน้นการประยุกต์องคค์ วามรู้สู่การปฏิบตั ิจริง
Search