Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พรรณไม้ห้องสมุด

พรรณไม้ห้องสมุด

Published by suwiratn2011, 2021-12-01 08:57:16

Description: พรรณไม้ห้องสมุด

Search

Read the Text Version

1.ย่ีโถแคระ ชอื่ วิทยาศาสตร์: Nerium oleander L. ช่อื สามัญ: – ชือ่ อนื่ : – วงศ:์ APOCYNACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ ไมพ้ ุ่ม อายุหลายปี สูง 1-1.5 เมตร แตกกงิ่ กา้ นเป็นพุ่มกวา้ ง กิ่งอ่อนสีเขยี ว เปลอื กสีน้าตาลเข้ม ทุก ส่วนของล้าต้นมีนา้ ยางสีขาว มพี ษิ ใบ ใบเดย่ี ว เรยี งสลับ ออกเป็นกระจุกแน่นทปี่ ลายก่ิง รูปแถบถึงรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบ แหลม ขอบเรียบ ใบหนาคล้ายแผน่ หนงั เกลียง เป็นมัน แผ่นใบดา้ นบนสเี ขียวเขม้ ใตใ้ บสีซดี กวา่ เสน้ กลางใบและขอบใบสเี ขียวออ่ น ดอก ดอกเป็นชอ่ แบบช่อกระจกุ เชงิ ประกอบ ออกที่ปลายกิง่ ดอกสีชมพูอ่อน กลีบดอกโคนเช่อื มตดิ กนั เป็นหลอด รปู แตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกสรเพศผู้จ้านวนมาก สีชมพู มีกลิ่นหอมอ่อน ออกดอกตลอด ทังปี

ขอ้ มูลท่วั ไป มีถนิ่ กา้ เนิดแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนยี น การปลูกเลีย้ งและการใช้ประโยชน์ การปลูกเล้ยี ง ดินร่วน ตอ้ งการน้าปริมาณปานกลาง แสงแดดมาก การขยายพนั ธ์ุ เมลด็ ตอนก่ิง ปกั ช้า การใชป้ ระโยชน์ นิยมปลูกเปน็ ไมป้ ระดบั

2.ทองอุไร ชื่อวิทยาศาสตร:์ Tecoma stans (L.) Juss. ex Kunth ชื่อสามญั : Yellow bell, Yellow elder, Yellow trumpet flower ช่ืออ่ืน: เหลอื งอุไร วงศ์: BIGNONIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลาต้น ไมพ้ ุม่ สงู 2-5 เมตร เปลอื กสีน้าตาลออ่ นถึงสีเทา เรอื นยอดทรงกลมถึงรูปไข่ ใบ ใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้าม ใบยอ่ ย 5-13 ใบ รูปใบหอกหรอื ไขแ่ กมขอบขนาน ปลายเรียว แหลม ขอบจกั ฟนั เล่อื ย สเี ขยี วเขม้ เห็นเส้นใบชัดเจน ดอก ออกดอกเปน็ ช่อแบบชอ่ กระจะ ท่ปี ลายกิง่ ดอกสเี หลอื ง กลีบดอกโคนเชอื่ มติดกันเปน็ หลอดคลา้ ย รปู แตร ปลายแยก 5 แฉก ภายในหลอดมเี ส้นสสี ม้ ทอดยาวจนถงึ ก้นหลอด กลีบบางผิวนมุ่ ร่วงง่าย

ข้อมลู ทั่วไป เป็นพันธุ์ไมต้ า่ งประเทศ มีถิน่ กา้ เนิดในอเมริกา เมก็ ซิโก ทางตอนเหนอื ของอารเ์ จนตนิ า และแถบหมเู่ กาะ อินดสี ตะวันตก การปลูกเลี้ยงและการใชป้ ระโยชน์ การปลูกเลย้ี ง ดินรว่ น ต้องการนา้ ปานกลาง แสงแดดจัด การขยายพันธ์ุ ปกั ชา้ กิ่ง การใชป้ ระโยชน์ นยิ มปลูกเป็นไมป้ ระดบั ตกแตง่ สวน หรือไม้กระถาง

3.พุดพิชญา ชือ่ วทิ ยาศาสตร:์ Wrightia antidysenterica (L.) R. Br. ชือ่ สามัญ: – ชื่ออนื่ : – วงศ์: APOCYNACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไม้พ่มุ สูงประมาณ 1.5-2 เมตร ก่ิงก้านมีสีน้าตาลแดง ใบ ใบเดยี่ ว เรียงตรงข้ามเปน็ คู่ รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ขอบเรยี บ ผวิ ด้านบนสีเขียวเขม้ ผวิ ด้างล่างสีเขยี วออ่ น

ดอก ออกดอกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ กระจะ ตามซอกใบทีป่ ลายกิง่ ดอกสีขาว ช่อละ 5-6 ดอก กลีบเลียงสีเขยี ว ออ่ นปนเหลอื ง โคนกลบี ดอกเชอ่ื มติดกนั เป็นหลอดแคบ ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกสรตรงกลางสเี หลอื ง มี รยางค์เปน็ แผน่ รูปแถบแข็ง ปลายแยกเปน็ ริว 2-5 ริว ข้อมลู ทั่วไป เป็นพันธ์ุไม้ตา่ งประเทศ มีถนิ่ ก้าเนดิ ในศรลี ังกา การปลูกเลย้ี งและการใชป้ ระโยชน์ การปลูกเลย้ี ง ดินร่วน ต้องการน้าปานกลาง แสงแดดจัด การขยายพันธุ์ ปักช้า การใชป้ ระโยชน์ ปลูกเปน็ ไม้กระถาง ตกแต่งประดบั สวน

4.ม่วงสา่ หรี ชอ่ื วิทยาศาสตร:์ Lagerstroemia hybrid ช่อื สามญั : Crape myrtle ชื่ออืน่ : – วงศ์: LYTHRACEAE ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไม้พุ่ม สงู 3.5-4 เมตร แตกก่งิ กา้ นเปน็ พมุ่ กวา้ ง ทรงกลม ใบ ใบเด่ียว เรยี งสลับ รูปรีแกมรปู ขอบขนานหรอื รูปไขก่ ลบั ปลายแหลม โคนมน เนอื ใบค่อนข้างหนา สี เขียว ดอก เปน็ ช่อดอกแบบช่อกระจะ เปน็ ชอ่ แนน่ ออกตามปลายกง่ิ แต่ละชอ่ ประกอบดว้ ยดอกจา้ นวนมาก สี มว่ งเข้ม ผล –

ข้อมูลทว่ั ไป ไม่ทราบที่มาแนช่ ัด การปลูกเลี้ยงและการใช้ประโยชน์ การปลูกเล้ยี ง ดนิ รว่ นระบายนา้ ดี ตอ้ งการนา้ ปานกลาง ชอบแดดจัด การขยายพนั ธุ์ ตอนก่งิ การใช้ประโยชน์ ปลูกเป็นไมป้ ระดับ ให้รม่ เงา

ลลี าวดีพวงขาว ชอ่ื วทิ ยาศาสตร:์ Plumeria obtusa L. ชอื่ สามญั : Evergreen Frangipani, Graveyard Flower, Pagoda Tree, Temple Tree 5.หมากนวล ช่อื วทิ ยาศาสตร:์ Adonidia merrillii (Becc.) Becc. ชอ่ื สามญั : Adonidia palm ชือ่ อื่น: มะนิลาปาล์ม หมากฝรง่ั หมากอนิ เดีย, Christmas palm, Manila palm, Merrill’s palm วงศ์: ARECACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น พชื จ้าพวกปาลม์ สูง 10-15 เมตร ล้าต้นสีนา้ ตาล ใบ ใบประกอบแบบขนนก เรยี งสลับ ใบยอ่ ยรูปขอบขนาน กว้าง 2-5 เซนตเิ มตร ยาว 45-75 เซนตเิ มตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่ม แผน่ ใบสเี ขียว ดอก เปน็ ชอ่ แบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ สีเหลอื ง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ชอ่ ดอกยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร ฤดกู าลออกดอกเดือนมกราคม-มีนาคม ผล ผลสดแบบมเี นอื เมล็ดเดียว ทรงกลมรี ขนาดประมาณ 3 เซนตเิ มตร ติดผลจ้านวนมาก ผลสุกสีแดง ส้ม

ขอ้ มลู ทัว่ ไป มถี นิ่ กา้ เนดิ ในประเทศฟิลิปปินส์ การปลูกเลย้ี งและการใช้ประโยชน์ การปลกู เลยี้ ง ดนิ ร่วน ตอ้ งการนา้ ปานกลาง ชอบแดดจัด การขยายพันธ์ุ เพาะเมลด็ การใช้ประโยชน์ ปลูกประดับสวน ปลูกประดบั ตามแนวรวั

6.หกู ระจง ชื่อวิทยาศาสตร:์ Terminalia ivorensis A.Chev. ช่ือสามญั : Black afara ช่อื อนื่ : หกู วางแคระ วงศ์: COMBRETACEAE ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไมพ้ ุม่ หรือไมต้ ้นขนาดใหญ่ สูง 15-20 เมตร เปลือกตน้ สีน้าตาล ผิวค่อนขา้ งเรียบ มีรอยแตกเล็กนอ้ ย ใบ ใบเดี่ยว เรยี งเวยี น รูปไขก่ ลับ กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ปลายเป็นติ่งแหลม โคน สอบแคบ มตี ่อม 1 คู่ ขอบเรยี บ แผ่นใบด้านบนและด้านล่างสีเขียว เกลียงเปน็ มัน ใบอ่อนสนี ้าตาลอม เขียว ดอก ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลด ออกตามปลายกง่ิ ดอกสขี าว กลบี เลียงโคนเช่อื มติดกัน ปลายแยกเปน็ 5 แฉก ไม่มกี ลีบดอก ผล ผลสด ทรงรูปไขห่ รอื ทรงรี สีเขยี ว เมอื่ สกุ เปลยี่ นเปน็ สเี หลืองอมเขียว

ขอ้ มลู ท่ัวไป เป็นพรรณไมต้ ่างประเทศ มีถ่นิ กา้ เนิดในคาเมรูน การปลกู เล้ยี งและการใช้ประโยชน์ การปลกู เล้ียง ดินทกุ ประเภท ตอ้ งการนา้ ปานกลาง ชอบแดดจดั ออกดอกตลอดทงั ปี การขยายพันธ์ุ เพาะเมลด็ ตอนก่งิ การใชป้ ระโยชน์ ปลูกประดับสวน ปลกู ใหร้ ม่ เงา

7.พวงคราม ช่ือวทิ ยาศาสตร:์ Petrea volubilis L. ชื่อสามญั : Purple wreath, Sandpaper vine, Queen’s wreath ช่อื อ่ืน: ชอ่ ม่วง วงศ์: VERBENACEAE ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ลาตน้ ไม้เถาเลอื ยเนือแข็ง ยาวได้ถงึ 12 เมตร เปลือกสีนา้ ตาลออ่ น หรือสีเทาอ่อน ก่งิ อ่อนมีขน เม่อื เถา แกข่ นจะหายไป ใบ ใบเดย่ี ว เรียงตรงขา้ ม รปู รแี กมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบ แผน่ ใบคอ่ นขา้ งหนาแขง็ ผิว ดา้ นบนสเี ขียวเขม้ มีขนสากมือ ด้านล่างสอี ่อนกวา่ ดอก ดอกสมี ่วงครามหรือม่วงเข้ม ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบใกล้ปลายก่ิง กลีบประดบั สมี ว่ ง ออ่ น โคนเชอ่ื มตดิ กันเป็นหลอด ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก รปู ขอบขนาน ปลายมนถึงแหลม ดา้ นบน ของกลบี มีขนอ่อนๆ กลบี ดอกสีม่วงเข้มหรอื สีคราม โคนเชือ่ มตดิ กัน ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก แตม้ สี ขาว รูปไขก่ ลบั ปลายมน มีหน่ึงกลบี แต้มสีขาวที่โคนกลีบ เกสรเพศผู้ 4 อนั อยู่ภายในหลอด

ผล ตดิ บนกลบี ประดับ มีขนน่มุ ปกคลมุ มี 1 เมล็ด ขอ้ มลู ทวั่ ไป เป็นพนั ธไ์ุ ม้ต่างประเทศ มีถนิ่ ก้าเนดิ ในทวปี อเมรกิ ากลาง และหมู่เกาะแถบทะเลแครบิ เบยี น การปลกู เลย้ี งและการใชป้ ระโยชน์ การปลกู เลย้ี ง ดินทกุ ชนดิ ตอ้ งการน้าปานกลาง แสงแดดจัด การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกง่ิ ปักช้ากิง่ การใช้ประโยชน์ ปลกู ขึนซมุ้ หรอื ปลูกขา้ งรัว

8.ทองหลางลาย ชือ่ วทิ ยาศาสตร:์ Erythrina variegata L. ชอ่ื สามญั : Indian coral tree, Tiger’s claw, Variegated coral tree, Variegated tiger’s claw. ช่ืออนื่ : ทองบา้ น ทองเผอื ก (ภาคเหนอื ) ทองหลางด่าง วงศ์: FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ ไมย้ ืนต้นขนาดกลาง อายหุ ลายปี สูง 10-15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเปน็ พุ่ม โปรง่ กิง่ ออ่ นมหี นาม เปลือกตน้ สีน้าตาลอมเทา มีลายเป็นร่องตามแนวยาว ใบ ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ใบกลางมีขนาดใหญก่ ว่าใบด้านขา้ ง รูปไขถ่ งึ รปู ไขแ่ กมรูปขนม เปยี กปนู ปลายเรยี วแหลม โคนมน ขอบเรยี บถึงเว้าเล็กน้อย ใบคอ่ นขา้ งหนา ผิวเกลียง เปน็ มัน แผ่นใบ ด้านบนสีเขียวเขม้ มลี ายสีเหลืองถึงสขี าวนวลตามแนวเส้นใบ ใตใ้ บสซี ีดกวา่ กา้ นใบสีเขยี ว ดอก ดอกเป็นชอ่ แบบชอ่ กระจะขนาดใหญ่ ออกตามปลายกงิ่ ยาว 30-40 เซนตเิ มตร ดอกสีแดงเข้ม บาน ไมพ่ ร้อมกัน ออกดอกช่วงเดอื นธนั วาคมถึงเดอื นกุมภาพนั ธ์

ขอ้ มลู ทวั่ ไป มถี ิ่นก้าเนดิ ในเอเชียเขตร้อนและเขตอบอนุ่ เป็นตน้ ไมป้ ระจ้าจงั หวัดปทมุ ธานี การปลกู เลี้ยงและการใชป้ ระโยชน์ การปลกู เลย้ี ง ดินรว่ นปนทราย ตอ้ งการน้าปานกลาง แสงแดดมาก การขยายพนั ธ์ุ เพาะเมลด็ ปกั ช้า ตอนกิ่ง การใชป้ ระโยชน์ ปลูกเปน็ ไม้ประดับ

9.บานไม่รู้โรย (Globe Amaranth หรอื Bachelor Button) เป็นพืชลม้ ลกุ ในสกลุ บานไมร่ โู้ รย ดอกมสี ีม่วง แดง ขาว ชมพู และมว่ งอ่อน มถี ิน่ กา้ เนดิ ในทวีปอเมรกิ ากลาง แถบประเทศปานามา และประเทศ กวั เตมาลา ปัจจบุ ันกลายเปน็ พชื ประจ้าถิน่ ทัว่ โลก[2] ในประเทศไทยมชี อื่ พนื เมืองอ่ืนคือ กะลอ่ ม (เหนอื ) ดอกสามปีบเ่ ห่ยี ว (อสี าน) ดอกสามเดอื น (เชยี งใหม่,ใต้) ตะลอ่ ม (เหนอื ) และกุนหยี (ใต)้ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์[แก้] ไมล้ ้มลกุ (ExH) สูงประมาณ 15-60 ซม. ล้าต้นตงั ตรงหรือโคนตน้ อาจจะเอนราบกับดนิ ที่ข้อของ ต้นจะพอกออกเลก็ น้อย และเกดิ รากตามขอ้ ลา้ ต้นมักจะมขี ้อสีแดงหรือบางตน้ มีสเี ขียว กิง่ ออ่ น ๆ มีขน อย่ทู ่วั ไป ใบ เป็นใบเดีย่ ว ออกตรงข้ามกนั เป็นคู่ ๆ ลกั ษณะใบรูปใบหอก หรือรปู ขอบขนานหรอื รูปขอบ ขนานแกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบหรือเป็นคล่นื เลก็ น้อย ตวั ใบมขี นปกคลมุ ทงั สอง ดา้ น ใบกว้าง ก้านใบยาว แตใ่ บคู่ยอดท่ีตดิ กบั ดอกจะไมม่ ีกา้ น ดอก ออกเปน็ กระจกุ กลม ๆ ประกอบดว้ ยดอกเล็ก ๆ มากมาย อยบู่ นก้านช่อดอก ออกเดีย่ ว ๆ หรือ บางครงั ก็ออกเป็นกลุ่ม 2-4 กระจกุ ขนาดเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง 1.75-2.25 ซม. มี 3 สี คือ ขาว ชมพู และม่วงแดงเขม้ ออกดอกตามซอกใบใกลย้ อด แตล่ ะดอกมใี บประดับ 2 ใบ กลีบรวมมี 5 กลีบ ออกดอก ตลอดปี ผล ลกั ษณะรปู ไข่แกมขอบขนาน มีเปลอื กบาง ขนาดเลก็ ยาวเพียง 2-5 มม. เมลด็ แบน สนี ้าตาล เป็นมนั

นเิ วศวิทยา เปน็ ไมถ้ นิ่ เดมิ ของอเมรกิ ากลางและอเมริกาใตห้ รอื อเมรกิ าเขตร้อน ปัจจบุ ันนิยมปลกู กนั แพรห่ ลาย เป็นไมป้ ระดับ ตามบ้านเรือนหรอื ตามสวนสาธารณะ การปลกู และขยายพนั ธ์ุ เจรญิ เตบิ โตได้ในดินทุกสภาพ ขยายพนั ธุด์ ้วยการปักชา้ หรอื การเพาะเมล็ด ประโยชน์ทางยา รสและสรรพคณุ ในตา้ รายา แพทยแ์ ผนไทยใช้ชนิดดอกสีขาวเปน็ ยา ราก รสเย็นขื่น แก้โรคระบบทางเดินปสั สาวะอกั เสบ ขับระดู รักษาโรคบิดและอาการไอ ทั้งต้น รสข่นื เล็กนอ้ ย ต้มเอาน้าด่ืมแก้หนองใน กามโรค ขับปัสสาวะ นิว่ และแก้ระดูขาว ชอ่ ดอก รสจดื สุขุม ใช้กล่อมตับ แก้ตาเจ็บ แก้ไอ ขบั ปัสสาวะ แกบ้ ดิ แก้ปวดศรี ษะ วธิ แี ละปริมาณที่ใช้ • แกห้ อบหืด บิดมกู โดยใช้ดอกสด 15-20 ดอก ล้างให้สะอาดต้มในน้าเดอื ด 1 ลติ ร เคี่ยวให้เหลือ คร่ึงหนึ่ง แล้วกรองเอาน้าดื่มครงั ละ 1 แก้ว หรือ 200 ซีซี • ขบั ปัสสาวะ นวิ่ แก้โรคหนองใน โดยใชต้ น้ สดชนดิ ดอกสีขาวทงั ต้น 100 กรมั ล้างใหส้ ะอาดต้มใน น้าเดือด 1 ลิตร นานประมาณ 10-15 นาที กรองเอานา้ ด่มื วนั ละ 3 เวลากอ่ นอาหาร ขอ้ ควรทราบ • ดอกสามารถใชท้ ้าดอกไม้ประดษิ ฐ์ และในหมเู่ กาะชวาใชเ้ ป็นอาหารจา้ พวกผกั ชนดิ หนึ่ง

10.พะยงู ชื่อวทิ ยาศาสตร์: Dalbergia cochinchinensis Pierre ชอ่ื สามญั : Siamese rosewood ชื่ออ่นื : กระยง กระยงุ (เขมร สรุ ินทร์) ขะยุง (อบุ ลราชธานี) แดงจนี (ปราจนี บุรี) ประดตู่ ม ประดนู่ ้า (จันทรบุร)ี ประดลู่ าย (ชลบุร)ี ประดเู่ สน (ตราด) พะยูงไหม (สระบุรี) หัวลเี มาะ (จนี ) วงศ:์ FABACEAE ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ อายุหลายปี สูงประมาณ 15-25 เมตร เรือนยอดกลมหรอื รปู ไข่ กิ่งกา้ นมักห้อย ลง เปลือกต้นเรยี บหรือแตกเปน็ แผน่ สเี ทาหรอื สนี ้าตาลแดง ใบ ใบประกอบแบบขนนก เรยี งสลบั ใบยอ่ ย มี 7-9 ใบ รปู ไข่แกมรูปขอบขนานหรอื รูปใบหอก ปลาย แหลม โคนมนหรือสอบ ขอบเรยี บ ผิวใบด้านบนสีเขยี วเข้ม ใต้ใบสซี ีดกว่า เสน้ กลางใบสีเขยี วออ่ น ดอก ออกเป็นชอ่ แบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกสขี าว ขนาดเล็ก กลีบเลยี งรูปถว้ ย ปลายแยก 5 แฉก กลบี ดอก 5 กลบี ผล ผลแบบฝักแหง้ ไม่แตก รปู ขอบขนาน แบนบาง ฝักแกส่ นี า้ ตาล มี 1-4 เมลด็ รปู ไต

ขอ้ มูลทั่วไป พบขึนในป่าดิบแลง้ และปา่ เบญจพรรณชนื ท่ัวไป จัดเป็นไมห้ วงหา้ มธรรมดาประเภท ก. การปลกู เลี้ยงและการใช้ประโยชน์ การปลูกเล้ียง ดนิ รว่ น ตอ้ งการน้าปริมาณปานกลาง แสงแดดมาก การขยายพันธ์ุ เพาะเมลด็ การใชป้ ระโยชน์ นยิ มใช้ประโยชน์จากเนือไม้ เน่อื งจากมีสีสันที่สวยงาม สามารถปลกู เป็นไมป้ ระดบั ใช้เปน็ สมนุ ไพร และ เลียงครั่ง

11.เหลืองปรดี ียาธร ช่ือวิทยาศาสตร:์ Roseodendron donnell-smithii (Rose) Miranda ชื่อสามญั : Gold tree, Primavera, White mahogany ชอ่ื อนื่ : เหลอื งหลวง วงศ์: BIGNONIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ ไมต้ ้น สงู 5-8 เมตร ใบ ใบประกอบแบบนิวมือ ใบยอ่ ย 5-7 ใบ รูปรแี กมรปู ขอบขนาน กว้าง 1.3-2.4 เซนติเมตร ยาว 4.5- 8.3 เซนตเิ มตร ปลายและโคนสอบมน ขอบเรยี บ ก้านใบยอ่ ยยาว 0.4-5 เซนติเมตร ดอก ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ออกท่ีปลายกิง่ แตล่ ะช่อมี 6-10 ดอก ดอกสเี หลือง กลีบเลียงโคนเชอื่ ม ตดิ กนั เปน็ รปู ถว้ ย ปลายแยกเปน็ 5 แฉก กลบี ดอกรูปเกือบกลม โคนเชื่อมตดิ กันเปน็ รูปกรวย ปลายแยก เป็น 5 แฉก เกสรเพศผู้ 4 เกสร รงั ไขอ่ ย่เู หนอื วงกลบี ผล ผลแบบผลแหง้ แตก รูปทรงกระบอกสนี ้าตาล ยาวประมาณ 10 เซนตเิ มตร เมล็ดมีปีก สขี าว จ้านวน มาก

ข้อมูลท่วั ไป เปน็ พรรณไมต้ า่ งประเทศ มีถน่ิ ก้าเนดิ ในประเทศโคลัมเบีย การปลูกเลย้ี งและการใช้ประโยชน์ การปลกู เลย้ี ง ดนิ รว่ น ตอ้ งการน้าปานกลาง ทนแลง้ ชอบแดดจดั ออกดอกตลอดทงั ปี การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด การใชป้ ระโยชน์ ปลกู เป็นไม้ประดบั

12.กวกั มรกต ชอ่ื วทิ ยาศาสตร:์ Zamioculcas zamiifolia (Lodd.) Engl. ชอื่ สามัญ: Zanzibar Gem ชอ่ื อืน่ : – วงศ์: ARACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ ไมอ้ วบนา้ ล้าตน้ เป็นหัวอยู่ใตด้ นิ สนี ้าตาลอ่อน ใบ ใบประกอบแบบขนนก ใบยอ่ ยรปู ไข่ โคนมน ปลายแหลม ขอบเรยี บ กา้ นใบยอ่ ยสนั แผน่ ใบเรยี บ หนา อวบน้า สีเขยี วเป็นมัน ดอก ออกดอกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ เชงิ ลดมกี าบ คล้ายดอกหนา้ ววั ดอกสีเหลืองนวลแกมเขยี วอ่อน กาบสี เหลอื งนวล กา้ นสีเขยี วนวล อวบนา้ ช่อดอกยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร ผล ไมพ่ บ

ข้อมลู ทวั่ ไป มีถน่ิ ก้าเนิดในทวปี แอฟรกิ า การปลกู เลีย้ งและการใช้ประโยชน์ การปลกู เลย้ี ง ดนิ ผสมทรายแกลบด้า ระบายนา้ ไดด้ ี แสงแดดร้าไร การขยายพนั ธ์ุ แยกหวั ช้าต้น และช้าใบ การใชป้ ระโยชน์ ปลกู ประดับบ้าน ออฟฟศิ เจรญิ เติบโตได้ดีในทรี่ ม่

13.เข็มภูเก็ต ชื่อวทิ ยาศาสตร:์ Ixora spp. ช่อื สามญั : Ixora, West Indian Jasmine ช่อื อ่นื : วงศ์: RUBIACEAE ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไมพ้ ุม่ ล้าตน้ ทรงกระบอก ผวิ เรียบ สีน้าตาล กิง่ ยอดมีสเี ขียว แตกก่ิงตรงขึนดา้ นบน ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตังฉาก รปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 4.1 เซนตเิ มตร กว้างประมาณ 1.2 เซนตเิ มตร ไม่มกี ้านใบ โคนใบรปู หัวใจ ปลายใบแหลม ดอก ชอ่ ดอกแบบซร่ี ม่ เชงิ ประกอบ ออกดอกทปี่ ลายก่งิ ดอกรปู เขม็ สีเหลอื ง โคนกลบี เชือ่ มติดกันเป็น หลอดแคบยาวประมาณ 2.5 เซนตเิ มตร ปลายแยกเป็น 4 แฉก รปู รี ปลายแหลม ยาวประมาณ 0.8 เซนติเมตร กวา้ งประมาณ 0.6 เซนตเิ มตร

ขอ้ มลู ท่วั ไป มถี นิ่ ก้าเนิดในแถบเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ การปลูกเลี้ยงและการใช้ประโยชน์ การปลกู เลี้ยง ดนิ ทกุ ประเภท ต้องการนา้ ปานกลาง แสงแดดจดั การขยายพันธ์ุ ปกั ช้ากิง่ ตอนกงิ่ เพาะเมล็ด การใชป้ ระโยชน์ นิยมประดับตกแต่งสวน หรือรมิ ทางเดนิ

14. ล่นั ทมขาว วงศ:์ APOCYNACEAE ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก อายหุ ลายปี สูง 6-12 เมตร เรอื นยอดรปู ไข่หรอื รปู รม่ แตกกิง่ ก้านเปน็ พ่มุ กวา้ ง ผวิ สีเขยี วอมเทา บริเวณแผลทีก่ ้านใบหลดุ ร่วงจะมปี ุ่มนนู ทกุ ส่วนของล้าต้นมนี ้ายางสขี าว ใบ ใบเดยี่ ว เรียงสลบั รปู ใบหอกแกมรูปไข่กลบั กวา้ ง 5-8 ซนติเมตร ยาว 20-30 เซนตเิ มตร ปลายมนถึง เว้าบ๋มุ โคนสอบ ขอบเรียบ แผ่นใบด้านบนสีเขยี ว หนา เป็นมัน ใตใ้ บสีเขียวออ่ น เส้นกลางใบนนู เดน่ ชดั ดอก ดอกเป็นชอ่ แบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกตามซอกใบบริเวณปลายก่งิ มี 8-16 ดอก ดอกสีขาว โคน กลีบดอกเชอ่ื มติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเปน็ 5 แฉก รูปไขก่ ลบั เรยี งซ้อนเปน็ วงเหลือ่ มกนั เลก็ น้อย โคน กลีบดอกสเี หลอื ง ดอกมกี ลน่ิ หอม ออกดอกตลอดปี ขอ้ มลู ทว่ั ไป มถี นิ่ กา้ เนดิ ในอเมริกาเขตรอ้ น การปลกู เลยี้ งและการใช้ประโยชน์ การปลกู เลย้ี ง ดินร่วนปนทราย ระบายน้าได้ดี ต้องการนา้ ปรมิ าณปานกลาง แสงแดดมาก การขยายพันธ์ุ

ปักชา้ เพาะเมลด็ ตดิ ตา การใช้ประโยชน์ นยิ มปลูกเปน็ ไมป้ ระดับ

15.ฟา้ ทะลายโจร ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall.ex Nees ช่ือสามญั : Kariyat , The Creat วงศ์ : ACANTHACEAE ชื่ออื่น : หญา้ กันงู (สงขลา) น้าลายพงั พอน ฟ้าละลายโจร (กรุงเทพฯ) ฟ้าสาง (พนสั นิคม) เขยตายยาย คลมุ สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลกุ สูง 30-70 ซม. ทุกส่วนมรี สขม ก่ิงเป็นใบส่เี หลี่ยม ใบ เดี่ยว แผน่ ใบสเี ขยี วเข้มเปน็ มนั ดอก ชอ่ ออกท่ีปลายก่ิงและซอกใบ ดอกย่อย กลีบดอกสขี าว โคนกลีบตดิ กนั ปลาย แยก 2 ปาก ปากบนมี 3 กลบี มีเสน้ สีม่วงแดงพาดอยู่ ปากล่างมี 2 กลีบ ผล เป็นฝัก เมอื่ แกเ่ ปน็ สีนา้ ตาล แตกได้ ภายในมีเมลด็ จา้ นวนมาก สว่ นทีใ่ ช้ : ทังตน้ ใบสด ใบแหง้ ใบจะเกบ็ มาใช้เม่อื ต้นมอี ายไุ ด้ 3-5 เดือน สรรพคุณ มี 4 ประการคือ 1. แกไ้ ข้ท่ัว ๆ ไป เช่น ไขห้ วัด ไข้หวดั ใหญ่ 2. ระงับอาการอกั เสบ พวกไอ เจ็บคอ คออักเสบ ตอ่ มทอนซลิ หลอดลมอกั เสบ ขบั เสมหะ รักษาโรคผวิ หนังฝี 3. แกต้ ดิ เชอื พวกทา้ ให้ปวดท้อง ท้องเสีย บดิ และแก้กระเพาะลา้ ไส้อักเสบ 4. เปน็ ยาขมเจรญิ อาหารและการที่ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณ 4 ประการนี จงึ ชวนให้เห็นว่า ตัวยาต้นนี เปน็ ยาที่สามารถนา้ ไปใช้กวา้ งขวางมาก จากเหตุผลท่ฟี ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ ระงับการติดเชือหรือระงบั การเจรญิ เติบโตของเชอื โรคได้

ข้อมลู ทางวทิ ยาศาสตร์ ใบฟ้าทะลายโจร มสี ารเคมปี ระกอบอยู่หลายประเภท แต่ท่ีเปน็ สาระสา้ คัญในการ ออกฤทธิ์ คือ สารกลมุ่ Lactone คือ 1. สารแอดโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) 2. สารนโี อแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) 3. 14-ดีอ๊อกซแี่ อนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide) ฟา้ ทะลายโจรเป็นยาเกา่ แกข่ องประเทศจีน ท่ใี ช้ในการแก้ฝี แกอ้ กั เสบ และรักษาโรค บดิ การวิจัยดา้ นเภสชั วิทยาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถยับยงั เชอื แบคทีเรยี อันเป็นสาเหตขุ อง การเปน็ หนองได้ และมีการศึกษาวจิ ัยของโรงพยาบาลบา้ ราศนราดูร ถงึ ฤทธ์ใิ นการรกั ษาโรค อจุ จาระรว่ งและบดิ แบคทีเรีย เปรยี บเทียบกบั เตตราซยั คลิน ในผูป้ ว่ ย 200 ราย อายรุ ะหว่าง 16-55 ปี ได้มีการเปรียบเทียบระยะเวลาท่ถี ่ายอจุ จาระเหลว จ้านวนอุจจาระเหลว น้าเกลือ ทใ่ี ห้ทดแทนระหว่างฟา้ ทะลายโจรกบั เตตราซันคลิน พบวา่ สมนุ ไพรฟา้ ทะลายโจร ลดจา้ นวน อจุ จาระรว่ งและจา้ นวนน้าเกลอื ท่ใี ห้ทดแทนอยา่ งน่าพอใจ แมว้ า่ จากการทดสอบทางสถิติ จะไม่มี ความแตกตา่ งโดยในส้าคัญกต็ าม ส่วนการลดเชอื อหิวาตกโรคในอจุ จาระ ฟ้าทะลายโจรไมไ่ ดผ้ ลดี เท่าเตตราซยั คลิน นอกจากนียงั มโี รงพยาบาลชมุ ชนบางแหง่ ได้ใชฟ้ า้ ทะลายโจรรักษาอาการเจบ็ คอไดผ้ ลดีอีกดว้ ย มีฤทธิ์เช่นเดียวกบั เพ็นนซิ ลิ นิ เมื่อเทียบกับยาแผนปจั จบุ นั เท่ากบั เป็นการชว่ ย ให้มีผูส้ นใจทดลองใช้ยานีรักษาโรคตา่ ง ๆ มากขนึ วิธีและปรมิ าณทีใ่ ช้ 1. ถ้าใชแ้ ก้ไข้เปน็ หวัด ปวดหวั ตวั รอ้ น ใชใ้ บและก่งิ 1 กา้ มือ (แห้งหนัก 3 กรมั สดหนัก 25 กรมั ) ต้มน้าด่ืมกอ่ นอาหารวนั ละ 2 ครงั เช้า-เยน็ หรือเวลามีอาการ 2. ถา้ ใชแ้ กท้ อ้ งเสีย ทอ้ งเดิน เปน็ บิดมีไข้ ใช้ทังต้นหรือส่วนทงั 5 ของฟ้าทะลายโจร ผ่งึ ลมใหแ้ หง้ หัน่ ชินเลก็ ๆ ประมาณ 1 กา้ มือ (หนักประมาณ 3-9 กรัม) ตม้ เอานา้ ดมื่ ตลอดวัน ตารบั ยาและวิธใี ช้ 1.ยาชงมวี ิธที าดังน้ี - เอาใบสดหรอื แห้งก็ได้ ประมาณ 5-7 ใบ แตใ่ บสดจะดกี วา่ - เติมน้าเดือดลงจนเกือบเตม็ แกว้ - ปิดฝาทิงไวป้ ระมาณคร่ึงชั่วโมง หรอื พอยาอ่นุ แล้วรนิ เอามาดื่ม ขนาดรับประทานครงั

ละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครัง ก่อนอาหาร, กอ่ นนอน 2.ยาเม็ด (ลูกกลอน) มวี ธิ ที าดงั นี้ - เด็ดใบสดมาล้างใหส้ ะอาดผง่ึ ในที่ร่ม ห้ามตากแดด ควรผึ่งในทีม่ ีลมโกรก ใบจะได้แหง้ เรว็ - บดเปน็ ผงใหล้ ะเอยี ด - ปน้ั กบั น้าผึง หรือน้าเช่ือม เปน็ เม็ดขนาดเทา่ เมด็ ถวั่ เหลอื ง (หนกั 250 มิลลิกรมั )แล้วผึง่ ลม ให้แห้ง เพราะถ้าปนั้ รบั ประทานขณะที่ยังเปยี ก อยจู่ ะขมมาก ขนาดรบั ประทานครงั ละ 4-10 เม็ด วันละ 3-4 ครงั กอ่ นอาหาร, ก่อนนอน 3.แคป๊ ซลู มวี ิธที าคือ แทนท่ีผงยาท่ไี ด้จะปน้ั เปน็ ยาเม็ด กลับเอามาใสใ่ นแคป๊ ซลู เพื่อช่วยกลบรสขมของยา แคป๊ ซลู ท่ีใช้ ขนาดเบอร์ 2 (ผงยา 250 มิลลกิ รมั ) ขนาดรบั ประทานครงั ละ 3-5 แค๊ปซลู วนั ละ 3-4 ครัง ก่อนอาหาร กอ่ นนอน 4.ยาทิงเจอรห์ รอื ยาดองเหลา้ เอาผงแห้งใส่ขวด แชส่ ุราทีแ่ รง ๆ เช่น สุราโรง 40 ดีกรี ถ้ามี alcohol ท่รี ับประทานได้ (Ethyl alcohol) จะดกี ว่าเหลา้ แช่พอให้ท่วมยาขึนมาเลก็ น้อย ปิดฝาใหแ้ น่น เขย่าขวดวันละ 1 ครงั พอครบ 7 วนั จงึ กรองเอาแตน่ า้ เก็บไว้ในขวด ใหส้ ะอาดปดิ สนทิ รับประทานครังละ 1-2 ชอ้ นโต๊ะ (รสขมมาก) วันละ 3-4 ครัง กอ่ น อาหาร 5.ยาผงใชส้ ดู ดม คอื เอายาผงทีบ่ ดละเอียด มาใส่ขวดหรือกล่องยา ปดิ ฝาเขยา่ แลว้ เปิดฝาออก ผงยาจะเปน็ ควันลอยออกมา สดู ดมควันนันเข้าไป ผงยาจะติดท่คี อทา้ ใหย้ าไปออกฤทธิ์ที่คอโดยตรง ชว่ ยลดเสมหะ และแกเ้ จ็บคอได้ดี วธิ ที ด่ี ีกว่านีคอื วิธีเปา่ คอ กวาดคอ หรอื รับประทานยา ชง ตรงท่ีคอจะร้สู ึกขมน้อยมาก ไม่ทา้ ใหข้ ยาดเวลาใช้ ใช้สะดวกและง่ายมาก ประโยชนท์ ่ี น่าจะได้รับเพม่ิ ก็คือ ผงยาทเ่ี ขา้ ไปทางจมูก อาจจะชว่ ยลดนา้ มูก และช่วยฆา่ เชอื ทีจ่ มูกด้วย ขนาดทใี่ ช้ สดู ดมบ่อย ๆ วนั ละหลาย ๆ ครัง ถา้ รู้สกึ คลน่ื ไส้ใหห้ ยุดยาไปสักพกั จนความรูส้ กึ นนั หายไป จึงค่อยสดู ใหม่

4. ข้อควรรู้เกย่ี วกบั ตารับยา สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) สารในตน้ ฟา้ ทะลายโจร ละลายในแอลกอ ฮอรไ์ ด้ดีมาก ละลายในนา้ ได้น้อย ดังนนั ยาทิงเจอร์ หรอื ยาดองเหลา้ ฟา้ ทะลายโจร จึงมีฤทธิแ์ รง ทส่ี ุด ยาชงมฤี ทธ์แิ รงรองลงมา ยาเมด็ มฤี ทธิ์อ่อนที่สุด ข้อควรระวงั บางคนรับประทาน ยาฟา้ ทะลายโจร จะเกิดอาการปวดท้อง ทอ้ งเสีย ปวดเอว เวียนหัว แสดงวา่ แพย้ า ให้หยุดยา และเปล่ียนไปใช้ยาอื่น หรือลดขนาดรบั ประทานลง

16. เตย ช่อื อ่นื ๆ/ช่ือท้องถนิ่ ใบเตย , เตยหอม , ต้นเตย , เตยหอมใหญ่ , เตยหอมเลก็ (ภาคกลาง) , หวานขา้ ว ใหม่ (ภาคเหนอื ) , ปาแนะวอวิง , ปาแง๊ะออริง (นราธิวาส,มาเลเซยี ) ,พงั ลงั (จีน) ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Pandanus amaryllifolius Roxb. ชอ่ื พอ้ งวิทยาศาสตร์ Pandanus ordorus Ridl. ช่ือสามญั Pandanus Palm , Fragrant Pandan , Pandom wangi. วงศ์ Pandanaceae ถ่ินกาเนิดเตย เตยเปน็ พชื ที่คนไทยรจู้ ักกันเป็นอยา่ งดีมาตงั แตส่ มยั โบราณแล้ว เพราะได้นา้ มาใช้ประโยชนต์ า่ งๆ มากมาย โดยเฉพาะส่วนของใบที่เราเรียกว่า ใบเตย จงึ ท้าให้เรียกพชื ชนดิ นตี ดิ ปากกันมาจนถงึ ปจั จบุ ันว่า “ใบเตย” ส้าหรบั ถิ่นก้าเนิดของเตยนนั เปน็ พชื ท่มี ีถิ่นกา้ เนิดในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้อาทิ ไทย พม่า ลาว มาเลเซีย และประเทศอินเดีย รวมถงึ ทวปี อืน่ เช่น แอฟริกา และออสเตรเลยี ชอบขนึ ตามพืนทช่ี ุ่ม รมิ ลา้ น้าหรอื บริเวณท่ชี นื แฉะท่ีมนี ้าขังเลก็ นอ้ ย ในประเทศไทยสามารถพบไดท้ วั่ ทุกภาคของประเทศ

ประโยชน์และสรรพคุณเตย ใบเตยนา้ มาห่อท้าขนมหวาน เชน่ ขนมตะโก้ ใบน้ามามัดรวมกนั ใชส้ ้าหรับวางในหอ้ งน้า หอ้ งรับแขก เพื่อให้อากาศมีกล่ินหอม ช่วยในการดับกลิน่ หรอื ใช้ใบเตยสดน้ามายดั หมอน ช่วยใหม้ กี ล่นิ หอม น้ามาใช้ เป็นสารแตง่ กล่นิ บุหรี่ นา้ มาสบั เป็นชินเลก็ ๆ น้าไปตากแดดให้แห้ง กอ่ นใชช้ งเป็นชาด่มื นา้ มนั หอมระเหย จากเตยน้าไปเป็นสว่ นผสมของนา้ ยาปรับอากาศ ใช้เปน็ ส่วนผสมของเครื่องสา้ อาง ครีมทาผิว แชมพู สบู่ หรอื ครมี นวด เป็นตน้ 1. ชว่ ยบารุงหวั ใจ 2. ช่วยลดนา้ ตาลในเลือด 3. ช่วยลดความดันโลหิต 4. ใช้รกั ษาโรคหัด 5. รกั ษาเลอื ดออกตามไรฟัน 6. แก้หวัด 7. รักษาอาการตบั อักเสบ 8. ช่วยดับพษิ ไข้ 9. แกโ้ รคหดั 10. แกท้ อ้ งอดื 11. แก้กระหายน้า 12. แก้ร้อนใน 13. ชว่ ยขับปัสสาวะ 14. รักษาเบาหวาน 15. ใช้รักษาโรคตับ ไตอกั เสบ 16. รักษาโรคหืด 17. แกห้ นองใน 18. แกพ้ ษิ โลหิต 19. แกต้ านซางในเดก็ 20. ชว่ ยละลายกอ้ นน่วิ ในไต

รูปแบบและขนาดวธิ ีใช้ • ใชเ้ ปน็ ยาบ้ารุงหัวใจ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แลว้ รับประทาน หรอื นา้ ใบสดมาคันนา้ รับประทาน ครังละ 2-4 ช้อนแกง • ช่วยดบั กระหาย น้าใบเตยสดมาลา้ งใหส้ ะอาด น้ามาตา้ หรอื ป่ันให้ละเอยี ด แลว้ เติมน้าเลก็ น้อย คนั เอา แต่นา้ ดืม่ • รักษาโรคหดั หรือโรคผิวหนัง โดยน้าใบเตยมาตา้ แล้วมาพอกบนผิว • ใช้รักษาโรคเบาหวาน ใชร้ าก 1 ก้ามอื น้าไปต้มเป็นน้าด่ืม ทกุ เช้า-เย็น • ใชเ้ ปน็ ยาขบั ปัสสาวะ โดยการน้าตน้ เตยหอม 1 ตน้ หรือราก ครง่ึ ก้ามอื ไปตม้ กับนา้ ด่มื หรือใช้ใบมาหั่น ตากแดดให้แห้งแลว้ ชงดมื่ แบบชาเขียวกไ็ ด้ • ใชบ้ ้ารุงผิวหน้า โดยการใช้ใบเตยล้างใหส้ ะอาด ห่นั เปน็ ชนิ เล็ก ๆ น้ามาป่นั รวมกับน้าสะอาดจน ละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วน้ามาพอกหน้าทงิ ไว้ประมาณ 20 นาที

ลกั ษณะทั่วไปเตย เตยจัด เป็นพืชใบเลียงเด่ยี ว มีลา้ ตน้ ทรงกลม และเป็นข้อสนั ๆถี่กัน โผล่ขนึ มาจากดินเพยี งเลก็ น้อย โคน ลา้ ตน้ แตกรากแขนงออกเปน็ รากคา้ จุนหรือเรียกวา่ รากอากาศ ลา้ ต้นสามารถแตกหน่อเป็นต้นใหม่ได้ ทา้ ใหม้ องเป็นกอหรือเปน็ พุ่มใหญ่ๆ ทร่ี วมความสงู ของใบแล้วสามารถสูงไดม้ ากกว่า 1 เมตร ใบเตย แตกออกเปน็ ใบเด่ียวดา้ นขา้ งรอบล้าต้น และเรยี งสลับวนเปน็ เกลยี วขึนตามความสูงของล้าตน้ จนถงึ ขอด ใบมลี ักษณะเรียวยาวเป็นรูปดาบ ปลายใบแหลม สเี ขยี วสด ใบชเู ฉียงแนบไปกบั ลา้ ต้น แผน่ ใบ เป็นมัน กว้างประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร แผน่ ใบ และขอบใบเรียบ แผน่ ใบดา้ นลา่ งมสี ีจางกว่าด้านบน มเี สน้ กลางใบลึกเป็นแอง่ ตืนๆตรงกลาง ใบนสี ง่ กลน่ิ หอมตลอดเวลา เพราะ มนี า้ มนั หอมระเหย และสาร ACPY การขยายพนั ธเุ์ ตย เตยสารมารถขยายพนั ธไุ์ ด้เองโดยการแตกหนอ่ แต่ในปัจจุบนั กส็ ามารถปลกู ดว้ ยการแยกเหง้า หรอื ย้ายหนอ่ ปลูกไดเ้ ชน่ กัน ทังนี เตยสามารถขนึ ได้ดใี นทชี่ ุ่ม และทนต่อสภาพดนิ ชืนแฉะไดด้ ี แต่ควร เลือกพืนทีป่ ลูกไม่ให้น้าท่วมขงั ง่าย โดยมวี ิธีการดังนี

การเตรียมแปลง แปลงปลูกเตย ควรไถแปลง และตากดนิ ก่อน 5-10 วัน พร้อมก้าจัดวชั พืชออกให้หมด ก่อนหว่านด้วยปุย๋ คอก อตั รา 2 ตัน/ไร่ และปุ๋ยยูเรีย อัตรา 10 กโิ ลกรมั /ไร่ พร้อมไถกลบ การปลูกเตย ควรปลูกในช่วงฤดฝู น เพราะดินจะชืนดี ทา้ ให้ต้นเตยตดิ และตงั ตวั ได้ง่าย ด้วยการขุดหลุม ปลกู เปน็ แถว ระยะหลมุ และระยะแถวที่ 50 เซนตเิ มตร หรอื ที่ 30 x 50 เซนตเิ มตร ก่อนนา้ ตน้ พนั ธเ์ุ ตย ลงปลูก หลังจากปลูกเตยเสรจ็ ควรให้น้าทันที แตห่ ากดินชืนมากก็ไม่จา้ เปน็ ต้องให้ และให้น้าเป็นประจา้ ทกุ ๆ 7- 10 วนั ขึนอยกู่ ับความชนื ดนิ และฝนที่ตก นอกจากนีในส่วนของคุณคา่ ทางโภชนาการของเตย คณุ ค่าทางโภชนาการของใบเตยสดใน 100 กรมั องคป์ ระกอบ ใบเตยสด พลังงาน (กโิ ลแคลอรี)่ 35 ความชืน (กรัม) 85.3 คารโ์ บไฮเดรต (กรมั ) 4.6 โปรตีน (กรมั ) 1.9 ไขมนั (กรัม) 0.8 เยอ่ื ใย(กรมั ) 5.2 แคลเซียม (มลิ ลิกรัม) 124 ฟอสฟอรัส (มลิ ลกิ รมั ) 27 เหลก็ (มลิ ลิกรัม) 0.1 วติ ามนิ บี 2 (มิลลกิ รัม) 0.2 ไนอะซิน (มิลลิกรมั ) 1.2 วติ ามิน ซี (มิลลิกรัม) 8 เบตา-แคโรทีน (ไมโครกรัม) 2.987

การศกึ ษาทางเภสชั วิทยา ใบเตย มฤี ทธิ์ลดความดนั โลหิตและลดอัตราการเตน้ ของหัวใจ เพ่ิมความแรงในการหดตัวและลดอัตรา การหดตวั ของกล้ามเนือหัวใจ ลดนา้ ตาลในเลือด ลดไข้ ตา้ นอนุมลู อิสระและมฤี ทธ์ิยบั ยัง แบคทีเรยี Staphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis แต่ยังเปน็ การทดลองใน สัตวท์ ดลองและในหลอดทดลองเท่านัน การศึกษาทางพษิ วิทยา จากการสืบค้นขอ้ มลู ในขณะนี ยังไมม่ ีรายงานความเปน็ พิษหรืออาการไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการรับประทาน ใบเตย ขอ้ แนะนาและขอ้ ความระวัง 1. ถงึ แมว้ ่าเตยจะเป็นพชื จากธรรมชาติ แต่กค็ วรบรโิ ภคในปรมิ าณที่เหมาะสมและไมบ่ รโิ ภคเป็นระยะ เวลานานจนเกนิ ไป 2. ผทู้ ีม่ ีโรคประจา้ ตัวหรอื สตรมี คี รรภ์และสตรีให้นมบตุ รควรปรกึ ษาแพทยแ์ ละผูเ้ ชีย่ วชาญก่อนบรโิ ภค หรอื ใช้ผลติ ภณั ฑ์ใดๆจากเตย เพราะสารเคมีในเตยอาจส่งผลกระทบตอ่ สุขภาพได้ 3. ในขนั ตอนการเตรียมการใช้ใบเตยดว้ ยตนเองควรลา้ งทา้ ความสะอาดใบเตยอย่างดอี ยา่ ให้มสี ่ิง แปลกปลอมปนไป เพราะอาจเกดิ อันตรายต่อสขุ ภาพได้

ตน้ หอม ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Alliumcepa var. aggregatum ชอ่ื สามญั Green Shallot วงศ์ Alliaceae ชอ่ื อนื่ ๆ หอมแบง่ ลกั ษณะ : ตน้ หอมเป็นพชื ลม้ ลกุ ขนาดเล็กตระกูลเดยี วกบั กระเทียม มีหัวสขี าวอยู่ใตด้ นิ ทา้ หนา้ ที่สะสมอาหาร ใบเป็นทอ่ ยาว ปล แหลม ภายในกลวง ดอกมสี ขี าวออกเป็นช่อ กา้ นช่อดอกยาว ช่อดอกเมือ่ บานมลี ักษณะคลา้ ยร่ม มีดอกย่อยเป็นจ้านวน มาก ประโยชน์ ต้นหอมแม้จะมกี ลน่ิ ฉนุ แตร่ สเผด็ ร้อนของตน้ หอมก็แกล้มอาหารจนี แกเ้ ล่ียนไดเ้ ปน็ อย่างดี จะสังเกตุว่าบนโต๊ะจีนม นิยมทานตน้ หอมจมิ มัสตาร์ด ใหร้ สชาติที่เขม้ ขึนอีกทังความฉุนของตน้ หอมเมอื่ นา้ ไปบบุ แลว้ พอกตรงทถ่ี ูกแมลง กัดตอ่ แก้ปวดได้ชะงดั แถมยังแกอ้ าการเปน็ หวดั คดั จมกู เมือ่ บุบต้นหอมดม ทา้ ใหจ้ มูกโล่งได้ เม่ือบรโิ ภคตน้ หอมสดๆ ยงั ได้เ แคโรทนี มากถงึ 76.30 ไมโครกรัม วิตามนิ ซีสด 22 มิลลิกรมั แคลเซยี ม 47 กรมั และฟอสฟอรสั ถึง 33 กรมั ต่อตน้ หอ บรโิ ภค 100 กรมั ตน้ หอมยังช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเลอื ด ควบคุมความดนั โลหติ สงู และป้องกันหลอดเลือดหวั ใจอุด อีกด้วย ต้นหอม มแี คลเซยี ม ฟอสฟอรัส เบต้า-แคโรทนี มีสารฟลาโวนอยด์ บางชนิดซ่อนอยู่ในใบของตน้ หอม เช่น เควซที ีน ส โอไซด์ ซ่งึ เปน็ เกราะปอ้ งกันมะเรง็ ใหก้ ับคนได้ “ต้นหอม” ยังมีสารในตัวอกี มากกว่า 10 ชนิด รับประทานแลว้ ไดค้ ณุ ค ประโยชน์ตอ่ ร่างกาย มนี ้ามนั หอมระเหย บรรเทาอาการหวดั มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเรง็ สรรพคุณทางยา ใช้แก้หวัด คดั จมกู นา้ มกู ไหล โดยการใช้ใบ หรือหัวทบุ พอแตกใส่ในเหล้าขาว

17.ตน้ ขงิ ช่ืออสามญั : Ginger ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale Roscoe วงศ์ : Zingiberaceae ชอื่ อื่น : ขิงแกลง, ขิงแดง (จนั ทรบุรี) , ขงิ เผือก (เชียงใหม)่ , สะเอ (แมฮ่ ่องสอน) , ขงิ บ้าน, ขงิ แครง, ขงิ ปา่ , ขิงเขา, ขิงดอกเดยี ว (ภาคกลาง) , เกีย (จีนแต้จิ๋ว) ลกั ษณะโดยทัว่ ไป • ลกั ษณะ : เป็นพืชลม้ ลุก มีเหง้าใตด้ นิ เปลอื กนอกสนี ้าตาลแกมเหลือง เนือในสีนวลมกี ลน่ิ หอม เฉพาะ แทงหน่อหรอื ล้าต้นเทียมขึนเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหมุ้ ซ้อนกนั ใบ เป็นชนดิ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเปน็ สองแถว ใบรูปหอกเกลียงๆ กว้าง 1.5 - 2 ซม. ยาว 12 - 20 ซม. หลงั ใบหอ่ จีบเปน็ รปู รางน้าปลายใบสอบเรยี วแหลม โคนใบสองแคบและจะเปน็ กาบห้มุ ลา้ ต้น เทียม ตรงช่วงระหว่างกาบกับตวั ใบจะหักโคง้ เปน็ ข้อศอก ดอก สีขาว ออกรวมกนั เป็นช่อรูปเห็ด หรอื กระบองโบราณ แทงขนึ มาจากเหง้า ชกู ้านสูงขึนมา 15 - 25 ซม. ทกุ ๆ ดอกทีก่ าบสีเขียวปน แดงรูปโค้งๆ ห่อรองรบั กาบจะปิดแน่นเมอ่ื ดอกยังออ่ น และจะขยายอา้ ให้ เห็นดอกในภายหลงั กลบี ดอกและกลบี รองกลบี ดอก มีอยา่ งละ 3 กลบี อุม้ น้า และหลดุ รว่ งไว โคนกลบี ดอกม้วนหอ่ ส่วนปลายกลีบผายกวา้ งออกเกสรผ้มู ี 6 อนั ผล กลม แขง็ โต วดั ผ่าศนู ย์กลางประมาณ 1 ซม. • การขยายพนั ธุ์ : ใช้เหง้า ปลกู ในดนิ ร่วนซยุ ผสมป๋ยุ หมัก หรือดนิ เหนียวปนทราย โดยยกดินเป็น รอ่ งห่างกัน 30 ซม. ปลกู ห่างกัน 20 ซม. ลึก 5 - 10 ซม. ขงิ ชอบขึนในที่ชืนมกี ารระบายนา้ ดี ถ้า นา้ ขังอาจโดนโรคเชือรา และการขยายพันธ์ุโดยการเพาะเลยี งเนอื เยอ่ื ซง่ึ อาจเป็นการลงทุนสูงแต่ คุม้ คา่ และจะไดพ้ ันธทุ์ ่ปี ลอดเชือ เพราะสว่ นใหญ่โรคที่พบมักตดิ มากบั ทอ่ นพันธขุ์ ิง • ส่วนท่นี ามาเปน็ ยา : เหงา้ แกส่ ด • สารเคมแี ละสารอาหารทีส่ าคญั : ในเหง้าขงิ มี น้ามันหอมระเหยอยู่ประมาณ 1 - 3 % ขึนอยกู่ ับ วธิ ปี ลูกและช่วงการเก็บรกั ษา ในนา้ มันประกอบด้วยสารเคมี ทสี่ ้าคัญคอื ซงิ จิเบอรนี (Zingiberene) , ซิงจิเบอรอล (Zingiberol) , ไบซาโบลี (bisabolene) และแคมฟนี (camphene) มีน้ามนั (oleo - resin) ในปรมิ าณสูง เป็นส่วนท่ีทา้ ให้ขิงมีกล่ินฉนุ และมีรสเผ็ด ส่วนประกอบส้าคญั ในน้ามันซัน ได้แก่ จินเจอรอล (gingerol) , โวกาออล (shogaol) , ซงิ เจอ

โรน (zingerine) มีคุณสมบตั เิ ป็นยากดั บดู กันหนื ใช้ใส่ในนา้ มันหรอื ไขมัน เพ่ือป้องกันการบูดหืน สารที่ทา้ ใหข้ งิ มคี ุณสมบัติเป็นยากนั บูด กนั หืนได้คอื สารจ้าพวกฟนี นอลิค สรรพคุณ • เหง้า : รสหวานเผด็ รอ้ น ขับลม แกท้ ้องอืด จกุ เสยี ด แน่นเฟอ้ คลนื่ ไสอ้ าเจียน แก้หอบไอ ขับ เสมหะ แก้บดิ เจริญอากาศธาตุ สารส้าคัญในน้ามันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุน้ การบบี ตัว ของกระเพาะอาหารและล้าไส้ ใช้เหง้าแกท่ บุ หรือบดเปน็ ผง ชงน้าดมื่ แก้อาการคลื่นไส้อาเจยี น แกจ้ ุกเสยี ด แน่นเฟ้อ เหง้าสด ตา้ คันเอาน้าผสมกับน้ามะนาว เตมิ เกลือเลก็ น้อย จิบแกไ้ อ ขับ เสมหะ • ตน้ : รสเผด็ ร้อน ขับลมให้ผายเรอ แกจ้ ุกเสยี ด แก้ท้องรว่ ง • ใบ : รสเผด็ ร้อน บา้ รุงก้าเดา แกฟ้ กชา้ แกน้ ่ิว แกข้ ัดปัสสาวะ แกโ้ รคตา ฆ่าพยาธิ • ดอก : รสเผด็ รอ้ น แก้โรคประสาทซ่งึ ท้าให้ใจขนุ่ มัว ชว่ ยยอ่ ยอาหาร แก้ขดั ปสั สาวะ • ราก : รสหวานเผ็ดร้อนขม แกแ้ น่น เจรญิ อาหาร แก้ลม แกเ้ สมหะ แก้บิด • ผล : รสหวานเผด็ บ้ารุงน้านม แกไ้ ข้ แก้คอแหง้ เจบ็ คอ แก้ตาฟาง เปน็ ยาอายุวฒั นะ • ธีใช้เพอ่ื เป็นยา / ประโยชนอ์ ื่น • นา้ เหงา้ สดย่างไฟให้สกุ ต้าผสมกับน้าปนู ใสคันเอาแต่น้าด่ืม หรอื นา้ เหงา้ สดหมกไฟรบั ประทาน เมอ่ื มีอาการเบ่อื อาหาร • 1. รกั ษาอาการคลืน่ ไสอ้ าเจยี น โดยน้าขิงแก่สด ประมาณ 2-3 เหง้า มาทุบพอแตกต้มกบั นา้ • 2. รกั ษาไขห้ วดั โดยน้าขิงแกส่ ด 7 กรมั และขงิ แห้ง 2 กรมั ต้มกับนา้ ตาลทรายแดง ดมื่ เพอื่ รกั ษา อาการ หรอื ใช้ขิงแก่ 2-3 เหงำา้ มาทุบให้ละเอียดต้มกับน้าอาบเพ่ือขบั เหงือ่ ลดอาการไข้เนือ่ งจาก หวัด • 3. รักษาอาการไอ ขบั เสมหะ โดยนา้ ขงิ สดมาคนั นา้ ใหไ้ ด้ประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้าผึงประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกบั นา้ 2 ถว้ ย ดม่ื วันละ 3 ครัง หรอื ใช้ขิงสดฝนกบั มะนาวเติมเกลอื เลก็ น้อย ใช้ กวาดคอหรอื จบิ บ่อยๆ • 4. รกั ษาอาการปวดประจ้าเดอื น ในช่วงก่อนหรือระหวา่ งมีประจา้ เดือน โดยนา้ ขงิ แกแ่ หง้ ประมาณ 30 กรัม ต้มกับนา้ ด่มื บ่อยๆ • 5. แก้อาการทอ้ งเสยี ท้องร่วง โดยใชข้ งิ แหง้ บดชงกบั นา้ อุ่น ด่มื วันละ 1 ครงั • 6. รกั ษาแผลท่เี กิดจากไฟไหม้หรอื ถูกนา้ รอ้ นลวก โดยตา้ ขิงสดให้ละเอยี ด น้ากากมาพอกที่แผล เพ่อื บรรเทาอาการอกั เสบ เป็นหนอง

• 7. รักษาอาการปวดฟัน โดยน้าขงิ แกท่ ุบใหล้ ะเอียด ค่ัวกบั น้าสารสม้ จนเกรยี ม แลว้ บดจนเป็นผง พอกบริเวณฟันทปี่ วด • สารสาคัญที่พบ • กลน่ิ หอมเฉพาะตัวของขิงเกิดจากน้ามันหอมระเหยในเหงา้ ซึง่ มสี ารส้าคัญคอื เซสควิเทอรฟ์ ีน ไฮโดรคารบ์ อน เซสควเิ ทอร์ฟีน แอลกอฮอล์โมโนเทอรฟ์ ีนอยด์ เอสเตอร์ ฟนี อล รสเผ็ดรอ้ นและ กลนิ่ ฉุนเกดิ จากนา้ มนั ชนั ในเหงา้ เชน่ เดียวกัน ส่วนประกอบอนื่ ๆคอื แปง้ และยางเมอื กนอกจากนี ขงิ ยงั มสี ารอาหารท่ีมคี ณุ ค่าตอ่ รา่ งกายอกี คือ โปรตีน ไขมัน คารโ์ บไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ ฯลฯ • วิธใี ชใ้ นการประกอบอาหาร • ขงิ ทน่ี า้ มาประกอบอาหารมหี ลายรูปแบบคอื ขงิ สด ขงิ ดอง ขงิ แห้ง ขงิ ผง รวมทงั น้าขงิ ท่ีเปน็ เครอ่ื งด่ืม ขงิ เปน็ เคร่ืองเทศทใี่ ช้แตง่ กลนิ่ อาหารเพ่ิมรสชาติ และดับกลิ่นคาวของเนือสัตว์ เช่น ใช้ โรยหนา้ ปลานึ่ง โรยหนา้ โจก๊ หรือผสมในนา้ จมิ ข้าวมันไก่ ตม้ ส้มปลา แกงฮงั เล ยา้ กงุ้ แหง้ ขิงย้า เปน็ เคร่อื งเคียงของเมี่ยงค้า หรอื ทา้ เปน็ ขนมหวาน เชน่ บวั ลอยไขห่ วาน มันเทศต้ม เปน็ ตน้ • นอกจากนขี ิงดองยังเปน็ อาจาดในอาหารอกี หลายชนิด เชน่ ข้าวหน้าเป็ด หรอื อาหาร ญ่ีป่นุ รวมทังยังเปน็ สว่ นผสมในการแต่งกลน่ิ อาหารหลายชนิด เชน่ คุกกี พาย เคก้ พุดดงิ ผง กะหร่ี เป็นตน้ ในประเทศแถบตะวันตกน้าขิงไปทา้ เป็นเบียร์ คือ เบียรข์ ิง (Ginger beer) • ข้อสงั เกต / ข้อควรระวัง • 1. ขงิ แกม่ ีสรรพคุณในทางยาและมรี สเผ็ดรอ้ นมากกวา่ ขงิ อ่อน • 2. ขงิ แกม่ ีเสน้ ใยมากกวา่ ขิงอ่อน • 3. ในเหงา้ ขิงมีเอนไซมบ์ างชนดิ ทส่ี ามารถย่อยเนือสัตว์ใหเ้ ปื่อยได้ • 4. สารจ้าพวกฟีนอลิค (Phenolic compound) ในขิงสามารถใช้กนั บูดกันหนื ในนา้ มันได้ • วธิ ีปลูก • 1. เตรียมดนิ ร่วนคลุกกบั ปุ๋ยคอก ตากดินทงิ ไว้ประมาณ 4-5 วัน • 2. ขิงทีจ่ ะน้ามาปลกู นนั ควรใช้สว่ นเหง้าท่แี ก่จัด ผิวไมเ่ หยี่ ว มีปมุ่ ตามากยงิ่ ดเี พราะจะทา้ ใหร้ าก งอกได้ง่าย หลงั จากนนั น้าปูนแดงท่กี นิ กับหมากปา้ ยตามแผลท่ตี ดั เพ่ือไม่ใหข้ ิงเน่ากอ่ นงอก • 3. นา้ เหง้าขงิ ฝังลงในหลุมท่ีเตรยี มไว้ ในช่วงระยะแรกควรรดนา้ ให้ชมุ่ ทุกเช้า – เยน็ แตห่ ลงั จาก ขงิ งอกต้นอ่อนแล้วให้รดน้าวนั ละ 1 ครัง ไมค่ วรรดน้าหรือโดนแดดมากเกินไปเพราะอาจท้าให้ ขิงไมโ่ ตหรอื ทา้ ให้รากเน่าได้

• โรคแมลงทส่ี าคัญ • 1. โรคใบจดุ เกดิ จากเชอื ราลักษณะอาการเปน็ จดุ ฉ้า่ น้ามีสเี หลอื ง ส้าหรบั ตน้ มแี ผลมาก ๆ จะ แสดงอาการใบเหลอื ง ขอบใบแห้ง มองเหน็ ไดแ้ ต่ไกล จะระบาดรุนแรงในช่วงฤดฝู น ถา้ ระบาด มากจะท้าใหต้ ้นขงิ โทรม การแตกกอนอ้ ย การป้องกันกา้ จดั ฉดี พ่นสารป้องกันกา้ จดั เชอื ราให้ท่วั ใบ เม่อื เริม่ มีโรคระบาดจะสามารถปอ้ งกันก้าจดั เชือราได้ถึง 90% สารปอ้ งกนั ก้าจัดเชอื ราเกอื บ ทุกชนดิ ให้ผลเทา่ เทยี มกนั • 2. แอนแทรกโนส โรคนีระบาดในฤดฝู นที่มีอากาศชนื และอณุ หภมู สิ ูง ถา้ เป็นมาก ๆ จะท้าให้ การเจริญของต้นและหัวชะงัก ผลผลติ ลดลง • การป้องกันกาจดั • 1. ไมค่ วรปลกู ขิงให้ชิดเกนิ ไป • 2. เก็บใบทเ่ี ปน็ โรคเผาท้าลาย • 3. ใชส้ ารเคมพี วกไดโฟลาแทน หรอื แบนเลท ฉดี พน่ • 4. โรครากปม เกิดจากไส้เดอื นฝอย รากจะถกู ทา้ ลายเปน็ ปมุ่ ไมเ่ จรญิ ท้าให้มีรากน้อย ถา้ เปน็ มาก ตน้ จะแคระแกร็น ใบซดี และขอบใบแหง้ มว้ น บางครงั จะเขา้ ท้าลายที่เหง้า ทา้ ให้เหงา้ ช้ามีสี นา้ ตาล ถา้ เปน็ ขงิ แก่ หวั ขิงจะแตกได้ • การปอ้ งกนั • 1. ใช้เหงา้ ทีป่ ราศจากโรคมาปลูก • 2. ไถตากดินไว้เพือ่ ให้ไขแ่ ละตวั อ่อนของไส้เดอื นฝอยถูกแดดเผาตาย • 3. ใชส้ ารเคมที ปี่ ้องกันก้าจัดไสเ้ ดือนฝอย • 4. ปลูกพืชหมนุ เวยี น • 5. แมลงศตั รูขงิ ไดแ้ ก่ เพลยี ไฟ หนอนและตก๊ั แตนกนิ ใบ สว่ นใหญ่จะกดั กินท้าลาย ดดู น้าเลียง และใบจะแหง้ เห่ียวเฉาการป้องกนั กา้ จดั ใบสะเดาบดละเอยี ด 1,000 กรัม ตอ่ นา้ 20 ลิตร แชท่ งิ ไว้ 1 คนื กรองเอาส่วนนา้ ไปพน่ ในแปลงปลูก • การเก็บเกย่ี ว • ขงิ อ่อนจะเริ่มเกบ็ เกยี่ วไดเ้ มื่ออายุ 4 - 5 เดอื น ส้าหรับชงิ แก่เก็บเกีย่ วเม่อื อายุ 10 - 12 เดือน หลังจากปลกู จะสงั เกตไดจ้ ากใบและลา้ ต้น เริ่มเห่ยี วเมื่อขงิ อายุยา่ งเข้าเดอื นที่ 8 ในการเก็บเก่ียว หากเปน็ พนื ท่ีแหง้ และแข็งใหร้ ดนา้ ทแ่ี ปลงเพ่ือให้ดินมคี วามชืนแล้วจึงใช้มดื ดงึ แง่งขงิ ขนึ มาลา้ ง และตดั แต่งแงง่ ขงิ แยกแงง่ ที่จะใชท้ า้ พนั ธุ์ โดยเลอื กแง่งที่ปราศจากเชือโรคและแมลง

18.ชะพลู ชะพลู ชอื่ สามัญ Wildbetal leafbush ชะพลู ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Piper sarmentosum Roxb. จัดอย่ใู นวงศพ์ รกิ ไทย (PIPERACEAE) สมุนไพรชะพลู มีชือ่ เรียกตามทอ้ งถ่นิ อื่น ๆ ว่า ผักพลูนก พลลู งิ ปูลิง ปูลิงนก ผกั ปูนา (ภาคเหนือ), ผกั แค ผักอเี ลิด ผกั นางเลดิ (ภาคอีสาน), ช้าพลู (ภาคกลาง), นมวา (ภาคใต)้ เปน็ ตน้ ชะพลู มักมีการจ้าสบั สนกับพลูทงั ที่เป็นคนละชนดิ กนั ซ่งึ ใบจะรสไมจ่ ัดเทา่ กับพลแู ละยังมีขนาดเลก็ กว่า ส้าหรับสรรพคณุ ของชะพลทู ีส่ ้าคัญนนั ก็ไดแ้ ก่ ช่วยบ้ารงุ ธาตุ ขบั ลม แกอ้ าการทอ้ งอดื ท้องเฟอ้ และชว่ ย ในการขับเสมหะ เป็นต้น และประโยชนข์ องชะพลูในด้านของสขุ ภาพนนั ก็คือ มีวติ ามินเอและธาตุ แคลเซยี มในปริมาณสงู เป็นพิเศษ และยังมธี าตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส คลอโรฟิลล์ เสน้ ใยอกี ด้วย ซึง่ ล้วน แล้วแต่มปี ระโยชนต์ ่อรา่ งกายแทบทงั สนิ ใบชะพลู หากรับประทานในปริมาณมากหรอื ติดต่อกนั เปน็ เวลานาน แคลเซยี มทมี่ ีอยใู่ นใบชะพลูจะ เปล่ยี นเป็นแคลเซียมออกซาเลต (Oxalate) ซ่ึงสารชนิดนเี ป็นสาเหตุท่ีท้าให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ ดงั นนั คณุ จึงควรดม่ื นา้ ตามมาก ๆ เพอ่ื ใหส้ ารออกซาเลตเจอื จางลง และถกู ขับออกทางปัสสาวะ หรือจะเลอื ก รับประทานอาหารที่มีโปรตนี สูง ๆ เพื่อป้องกันโรคนิ่วกท็ ้าไดเ้ หมอื นกนั เพื่อให้ร่างกายไดร้ ับประโยชน์ อย่างสงู สุดคณุ ควรรบั ประทานในปรมิ าณท่ีเหมาะสม ประโยชน์ของใบชะพลู 1. ช่วยต่อต้านอนมุ ลู อิสระต่าง ๆ (ใบ) 2. ใบชะพลมู รี สเผด็ ร้อน ชว่ ยทา้ ให้เจรญิ อาหารมากย่ิงขึน (ใบ) 3. ใบชะพลูมีเบตา้ แคโรทนี ในปริมาณมากซง่ึ ชว่ ยบ้ารุงและรักษาสายตา ช่วยในการมองเห็น ปอ้ งกัน โรคตาบอดตอนกลางคนื แกโ้ รคตาฟาง เปน็ ต้น (ใบ) 4. ช่วยยับยังและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเรง็ (ใบ) 5. ชว่ ยรกั ษาโรคเบาหวาน ดว้ ยการใช้ชะพลสู ดทังต้นประมาณ 7 ต้น นา้ มาล้างน้าให้สะอาด ใส่น้า พอท่วมแล้วต้มใหเ้ ดอื ดสักพกั แล้วน้ามาด่ืมเป็นชา (ทังตน้ ) 6. ช่วยบ้ารุงธาตุ แกธ้ าตพุ กิ าร (ราก)

7. ช่วยบ้ารุงกระดกู และฟัน และช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดกู พรุน (ใบ) 8. ชว่ ยทา้ ใหเ้ สมหะงวดและแหง้ (ดอก, ราก) 9. ชว่ ยในการขับเสมหะบริเวณทรวงอก ล้าคอ (ใบ, ราก, ตน้ ) 10. ชว่ ยในการขับเสมหะทางอุจจาระ (ราก) 11. ช่วยในการขบั ถ่าย เนอื่ งจากมเี สน้ ใยในปรมิ าณมาก (ใบ) 12. ชว่ ยแกอ้ าการบดิ ดว้ ยการใชร้ ากประมาณครงึ่ ก้ามือ ใชผ้ ลประมาณ 3 หยบิ มือ น้ามาตม้ กบั น้า 2 ถ้วยแกว้ เคยี่ วจนเหลอื 1 ถว้ ยแกว้ แลว้ นา้ มาดืม่ ครังละ 1 ส่วน 4 ถว้ ยแก้ว (ราก) 13. ช่วยแก้อาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ จุกเสียดแนน่ ท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 ก้ามอื น้ามาต้มกับ น้า 2 ถว้ ยแก้ว เค่ยี วจนเหลือ 3 ใน 4 ถว้ ยแก้วแล้วรับประทานครังละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว (ราก, ทงั ต้น) 14. ช่วยขับลมในลา้ ไส้ ด้วยการใชร้ ากประมาณ 1 ก้ามือ น้ามาตม้ กับน้า 2 ถว้ ยแกว้ เคี่ยวจนเหลือ 3 ใน 4 ถว้ ยแก้วแลว้ รับประทานครังละ 1 ส่วน 4 ถว้ ยแก้ว (ดอก,ราก) 15. รากชะพลเู ปน็ หน่ึงในสว่ นผสมของต้ารบั สมนุ ไพรพกิ ัดยาตรสี าร ซ่งึ ชว่ ยบา้ รุงธาตุ บา้ รงุ โลหิต แก้ คถู เสมหะ 16. เมนูใบชะพลู ไดแ้ ก่ แกงคว่ั ไกใ่ บชะพลู แกงค่ัวหอยขมใบชะพลู หมูหอ่ ใบชะพลู ไขน่ า้ ใบชะพลู ย้า ตะไครใ้ บชะพลู เมีย่ งปลาเผาใบชะพลู ผัดป่าใบชะพลู แกงออ่ มใบชะพลู ย้าปลาทูใบชะพลู เปน็ ต้น

19. ข่า ข่าหลวง (ภาคเหนือ) กฎุกกโรหณิ ี (ภาคกลาง) เชียงง่าว (ปะหล่อง) สะเอเชย (กะเหรย่ี ง) หัว ข่า(ไทยใหญ่) ช่ือวิทยาศาสตร์ Alpinia galanga (L.) Willd. ช่อื สามญั Galanga , False galangal วงศ์ Zingeberaceae ถน่ิ กาเนดิ ขา่ สา้ หรบั ข่า เป็นพืชพืนเมอื งของไทยอีกชนดิ หนงึ่ ท่ีพบไดท้ ุกภาคของประเทศโดยมีถิน่ ก้าเนิดในแถบ ประเทศเขตรอ้ นในเอเชีย สามารถพบได้ตามประเทศ ศรีลังกา อินโดนเี ซยี ฟลิ ิปปนิ ส์ อินเดีย และไทย ซึ่งคนไทยนิยมใช้ขา่ มาตงั แต่อดตี แลว้ โดยการน้ามาประกอบอาหารและยังใช้เปน็ สมุนไพรอีกด้วย ข่าชนิดอื่นทพ่ี บในประเทศไทยในปจั จุบนั ข่าเล็ก เปน็ ขา่ พืนเมืองของเกาะไหหล้า พบปลกู ในบางพนื ทข่ี องภาคใต้ ล้าตน้ มขี นาดเล็ก เหง้าขา่ มสี ี นา้ ตาลปนแดง เนอื เหง้าข่ามสี เี หลอื ง มีกลน่ิ ฉุน และรสเผด็ รอ้ นมาก นิยมมาประกอบอาหารบ้าง แต่ สว่ นมากใช้ประโยชนท์ างยา โดยพบน้ามันหอมระเหย ประมาณ 0.3-1.5% พบสารประกอบฟีนอล 4 ชนิด คอื trans-p-Coumaryl diacetate, 4-Hydroxycinnamoylaldehyde, 1´-Acetoxychavicol acetate และ β–Sitosterol ข่าปา่ เป็นขา่ ท่ีพบไดท้ ่วั ไปในป่าเบญจพรรณ และป่าดบิ ชนื มีลกั ษณะล้าตน้ สงู ล้าต้น และใบคลา้ ยกบั ข่า ที่ปลกู ทั่วไป หัวมีกลน่ิ ฉุนน้อย ขา่ ลงิ (ขา่ นอ้ ย) มีลกั ษณะล้าตน้ เลก็ มสี ารประกอบฟนี อลหลายชนดิ เชน่ 1, 7-diphenyl-3,5- heptanedione, flavonoids, diarylheptanoids และ phenylpropanoids ข่าคม มีลกั ษณะใบมน มีขนละเอียดสีขาวปกคลุมทังสองดา้ น ดอกมใี บประดบั กลบี ดอกสีขาว แผ่เป็น แผน่ และมแี ถบสเี หลืองสม้ บริเวณกลางกลบี ดอก ขา่ น้า (เร่ว, กะลา) เปน็ ขา่ พืนบา้ นท่ีปลูกเพ่ือจ้าหน่ายของ อ.ปากเกร็ด จ. นนทบุรี เหง้ามีรสจดื กวา่ ขา่ ช่อดอกสีชมพู

ประโยชน์และสรรพคุณข่า • เป็นยาขบั ลม บารุงธาตุ • เป็นยาระบายอ่อนๆ • ช่วยบรรเทาอาการไอ • ช่วยย่อยอาหาร แกบ้ ิด แก้ปวดทอ้ งจุกเสยี ด • แก้โรคปวดขอ้ และโรคหลอดลมอักเสบ • ขบั นา้ คาวปลา ขบั รก • ใช้ภายนอกทารักษากลากเกล้อื น แก้ไฟลวด แก้นา้ ร้อนลวก แก้ลมพิษ และโรคลมป่วงแกส้ ันนบิ าต หนา้ เพลิง • รักษาโรคกลากเกลื้อน • ขบั ลม แกท้ ้องอดื ทอ้ งเฟ้อ • ช่วยยบั ยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร • ต้านเชอื้ วณั โรค ต้านภมู แิ พ้ และตา้ นอนุมูลอิสระ • แกพ้ ษิ จากแมลงสัตวก์ ัดตอ่ ย • ช่วยแกต้ ะครวิ และเหนบ็ ชา นอกจากนี ขา่ เปน็ พชื ที่นา้ มาใชป้ ระโยชน์ทางดา้ นอาหารมากมาย ใช้ใส่ในต้มข่า ตม้ ย้า นา้ พรกิ แกงทุกชนิดใส่ข่าเปน็ สว่ นประกอบ ยกเวน้ แกงเหลืองและแกงกอและทางภาคใต้ท่ไี ม่นยิ มใส่ ข่า แต่ใชข้ า่ ในการดับกลิ่นคาวของเนือและปลา ในส่วนต่างๆของข่ายังสามารถนา้ มาท้าอาหารไดอ้ กี เชน่ ชอ่ ดอก ลวกหรอื กนิ สดกับนา้ พรกิ , ล้าต้นใตด้ ิน ใส่แกง(ไทใหญ่) รบั ประทานเปน็ เครื่องเคียงกบั แกงอ่อมหรือ อาหารคาวต่างๆ(เมยี่ น) เหงา้ ใช้เป็นส่วนประกอบอาหารตา่ งๆ เชน่ น้าพริก แกง ย้า, ชอ่ ดอกออ่ น รับประทานสดหรือนา้ ไปย่างไฟ ออ่ นๆ กนิ กับนา้ พริก(คนเมือง,กะเหร่ยี งเชียงใหม่)นา้ ไปใส่แกงและ นา้ พรกิ (กะเหร่ียงแดง)เป็นเคร่ืองเทศ น้าไปเป็นสว่ นประกอบอาหารต่างๆ(ลัวะ,กะเหรี่ยงแมฮ่ ่องสอน)ใช้ ประกอบอาหารเช่น ใส่แกง ลาบ, ดอก รับประทานเปน็ ผักจมิ นา้ พริก(ปะหลอ่ ง)ดอก รบั ประทานเป็นผักจิมนา้ พริกหรอื ใช้ใสแ่ กง แค, หัวใตด้ นิ เปน็ เครอ่ื งเทศสา้ หรับอาหาร ประเภทต่างๆ(ขม)ุ หน่อขา่ ออ่ น เป็นหนอ่ ของข่าทเ่ี พิง่ จะแทงยอดออกมาจากลา้ ตน้ ใต้ดนิ ถา้ อายุประมาณ 3 เดือนเรียกหนอ่ ข่า ถา้ อายุ 6-8 เดอื นเรยี กข่าออ่ น ถ้าอายมุ ากกว่า 1 ปีจดั เป็นข่าแก่ หนอ่ ข่าอ่อนทงั สดและลวกใชจ้ มิ หลนและนา้ พรกิ น้ามายา้ และยังมีการใช้ประโยชนจ์ ากขา่ ด้านอนื่ ๆอกี เช่น น้ามันหอมระเหยจากข่ามี

ฤทธ์ิท้าให้ไขแ่ มลงฝ่อ กา้ จัดเชอื ราบางชนิดได้ ใช้ผสมกบั สะเดาเพ่อื เพ่ิมประสิทธภิ าพในการกา้ จัดแมลง รปู แบบและขนาดวธิ ใี ช้ วิธีและปรมิ าณท่ใี ช้ : 1. รกั ษาทอ้ งขึน ทอ้ งอืด ทอ้ งเฟ้อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคปว่ ง) แกบ้ ิด อาเจียน ปวดทอ้ ง ใช้เหง้าขา่ แกส่ ด ยาวประมาณ 1-1 ½ นิวฟุต (หรือประมาณ 2 องคุลี) ต้าให้ละเอยี ด เตมิ นา้ ปนู ใส ใช้ น้ายาดม่ื ครังละ ½ ถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร 2. รกั ษาลมพิษ ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ทีส่ ด 1 แง่ง ต้าให้ละเอียด เตมิ เหลา้ โรงพอใหแ้ ฉะๆ ใช้ทงั เนอื และนา้ ทา บริเวณท่ีเป็นลมพษิ บอ่ ยๆ จนกว่าจะดขี นึ 3. รักษากลากเกลอื น โรคผิวหนงั ใช้เหง้าข่าแก่ เทา่ หัวแม่มือ ตา้ ให้ละเอียดผสมเหลา้ โรง ทาที่เปน็ โรค ผิวหนัง หลายๆ ครงั จนกว่าจะหาย เหงา้ แก่สดหรอื แห้ง ใช้รักษาอาการท้องอดื ท้องเฟ้อ แน่นจกุ เสยี ด ให้ใช้ประมาณเท่าหัวแมม่ ือ ใชส้ ดประมาณ 5 กรมั และแห้งประมาณ 2 กรัม นา้ มาทบุ ให้แตกแลว้ ต้มเอาน้าดื่ม เหง้าสด ใชร้ กั ษาเกลอื น น้าเหง้าสดมาฝนผสมกับเหลา้ โรงหรือน้าส้มสายชู หรือตา้ แล้วน้ามาแช่ แอลกอฮอล์ ใชท้ าทีเ่ ปน็ ตามค้าแนะนา้ ของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน) • ใชข้ า่ รกั ษาอาการแน่นจกุ เสียด ใช้เหงา้ สด 5 กรมั หรือเหง้าแหง้ 2 กรมั ตม้ กับนา้ จนเดอื ด รนิ นา้ ดืม่ ใช้หัวขา่ ต้าละเอยี ดผสมน้าปูนใส 2 แก้ว น้ามาดื่ม • ใชข้ ่ารกั ษากลาก เกลือน ใชเ้ หงา้ ขา่ ปอกเปลือก จมุ่ เหลา้ แลว้ เอามาทาบริเวณท่เี ปน็ เกลือน ทาแรงๆ ท้าเชน่ นี 4-5 วัน ก็จะหาย ใช้เหงา้ ขา่ แก่ๆ ล้างใหส้ ะอาดฝานเป็นแว่นบางๆ หรือทบุ พอแตก น้าไปแช่เหล้าขาวทงิ ไวส้ กั 1 คนื ทา้ ความสะอาดขัดถูบริเวณท่ีเป็นเกลือนจนพอแดงและแสบ แลว้ เอาขา่ ที่แช่ไว้มาทาเฉพาะบริเวณท่ีเป็น เกลอื น จะรูส้ กึ แสบๆ เย็นๆ ทาเช้าและเย็นหลังอาบนา้ ทุกวัน ประมาณ 2สัปดาห์ เกลอื นจะจางลง และหายไปในทสี่ ดุ ใช้เหงา้ ข่าล้างให้สะอาด ฝานเปน็ แผ่นบางๆ น้าไปแช่เหล้า 35 ดีกรี ประมาณ 5 นาที แลว้ ทาท่มี ีผ่นื คนั อาการจะหายไป และถา้ แชค่ ้างคนื จะใชร้ ักษาเกลือนได้ดี ใช้เหง้าข่าสดตดั ทอ่ นละ 1 นวิ ทบุ ให้แตกพอช้าอย่าถึงกับละเอียด ใส่ถว้ ยแชเ่ หล้าโรง ประมาณ 1/4 ถ้วยชา ใช้ส้าลีชุบทาวนั ละครัง

ใช้เหงา้ ข่าแกๆ่ น้ามาต้าพอแหลก แลว้ ผสมเหลา้ หรืออัลกอฮอล์ แช่ไว้ 1 คนื ใชท้ าแก้เกลอื น หรือ กลาก ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไมล้ ้มลุกมเี หง้าขา่ ใต้ดนิ สีน้าตาลอมแสด เลือยขนานกบั ผิวดนิ มอี ายุหลายปี มขี อ้ ปล้องสนั ก้านใบแผ่ เปน็ กาบหมุ้ ซอ้ นกนั ดคู ล้ายล้าตน้ แตกกอ สูง 1.5-2.5 เมตร ใบเด่ยี ว เรียงสลบั รอบล้าตน้ เหนอื ดิน ใบรูปใบหอก หรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 4-11 เซนตเิ มตร ยาว 25-45 เซนติเมตร กาบใบมขี น ปลายใบแหลม ฐานใบสอบแหลม ขอบใบเรียบเปน็ คลน่ื เส้นกลางใบใหญท่ างด้านท้องใบเปน็ เส้นนูนชัด เสน้ ใบขนานกนั กา้ นใบเป็นกาบห้มุ ดอกชอ่ แยกแขนง ตงั ขึน ขนาดใหญ่ ออกท่ีปลายยอด ก้านดอกยาว 15-20 เซนติเมตร เมอ่ื ยงั อ่อนมสี เี ขียวปนเหลือง ดอกแกส่ ขี าวปนม่วงแดง ดอกย่อยจ้านวนมากเรียงกนั แนน่ อยู่บนก้านช่อ เดยี วกัน ดอกย่อยคล้ายดอกกลว้ ยไม้มีขนาดเล็ก มีใบประดับย่อยเปน็ แผ่นรูปไข่ กลีบดอกสีขาวแกม เขยี ว 3 กลีบ โคนเชอ่ื มติดกนั ตลอด ปลายแยกจากกันเป็นปาก แต่ละกลีบเป็นรูปไข่กลับ ท่ีปากทอ่ ดอก จะมอี วัยวะยาวเรยี วจากโคนถงึ ยอด สมี ่วงคล้ายตะขอ 1 คู่ ใตอ้ วยั วะมตี ่อมใหก้ ลน่ิ หอม เกสรเพศเมียมี 1 อัน รังไขอ่ ยู่ใต้วงกลบี เกสรเพศผู้มี 3 อัน มี 2 อัน คลา้ ยกลีบดอก มีเรณู 1 อนั เกสรตัวผู้ทีเ่ ปน็ หมันแผ่ เปน็ แผ่นคลา้ ยกลีบดอกสขี าว มลี ายเส้นสีม่วงแดง ผลแห้งแตก รูปกระสวยหรอื ทรงกลม ขนาด 0.5-1 เซนติเมตร มีกลบี เลียงติดอยู่ เมอื่ แกม่ สี ีส้มแดง มี 1-2 เมล็ด เมล็ดใช้เปน็ เครื่องเทศ ดอกใช้เป็นผักจมิ ได้ ออกดอกชว่ งเดอื นพฤษภาคมถึงมิถนุ ายน การขยายพันธุข์ ่า การปลูกขา่ ข่าจดั เปน็ พชื ลม้ ลกุ ทมี่ ีลกั ษณะเนืออ่อน เหมอื นขงิ ขมนิ ไพล เป็นพืชท่มี ีอายุมากกวา่ 1 ปี สามารถเจริญเตบิ โตไดด้ ีในดนิ ร่วนซุยทม่ี อี ินทรียวตั ถุสูง ดนิ ชมุ่ ชืน และไมม่ ีนา้ ท่วมขงั การปลูกนยิ มปลกู ด้วยการแยกเหง้า โดยปลูกชว่ งตน้ ฝนหรือในฤดูฝน เตรยี มแปลงด้วยการไถดะ และตากดิน ประมาณ 7 วัน พร้อมก้าจดั วัชพืช จากนัน ไถพรวนดนิ ใหล้ ะเอยี ดอกี ครงั และตากแดดประมาณ 2-5 วนั ก่อนปลกู การเตรียมเหง้าปลูก เหง้าข่าที่ใชค้ วรเปน็ เหงา้ ข่าแก่ อายุมากกวา่ 1 ปี โดยให้ตดั ต้นเทียมออก โดยให้เหลือตน้ เทยี ม 1-2 ต้น ทีต่ ิดกบั เหง้าสูงประมาณ 15-20 เซนตเิ มตร เหง้ามีแงง่ ประมาณ 1-2 แงง่ และให้ตดั รากท่ียาวทิง การปลูกในแปลงใหญห่ รอื ในพนื ท่วี ่างทปี่ ลกู จ้านวนน้อย ระยะปลกู ประมาณ 80×80 เซนตเิ มตร ดว้ ย การขุดหลุม ขนาด 20×20×20 เซนติเมตร (กวา้ ง×ยาว×ลกึ ) ใสป่ ๋ยุ คอก และปุ๋ยเคมีรองกน้ หลุมเล็กนอ้ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook