1
2 คำนำ แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย (พท 21001) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ เล่มนไ้ี ดจ้ ดั ทำขนึ้ เพื่อเปน็ แนวทางในการ จ ั ด ก า ร เ รี ย น ร ู ้ โ ด ย เ น ้ น ผ ู ้ เ ร ี ย น เ ป ็ น ส ำ ค ั ญ ใ ห ้ ผ ู ้ เ ร ี ย น ม ี ส ่ ว น ร ่ ว ม ใ น ก ิ จ ก ร ร ม และกระบวนการเรียนรู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ได้ในเชิงบูรณาการด้วยวิธีการท่ี หลากหลาย เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรปุ ความรู้ดว้ ยตนเอง ทำใหน้ ักเรยี นได้รับการพัฒนาทง้ั ด้านความรู้ ด้าน ทกั ษะ/กระบวนการ และด้านคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มทดี่ ี นำไปสู่การอยรู่ ่วมกันในสงั คมอย่างสันติสขุ การจัดทำแผนการจัดการเรยี นรูร้ ายวิชาภาษาไทย (พท 21001) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เล่มนี้ได้จัดทำตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ซึง่ ครอบคลุมสาระ และมาตรฐานการเรยี นรู้ โดยไดน้ ำเสนอแผนการจดั การเรียนรู้ เปน็ รายชวั่ โมงตามหนว่ ยการเรยี นรู้ และในแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ยงั มีการวดั และประเมินผลการเรยี นร้ทู ัง้ 3 ดา้ น ได้แก่ ด้านความรู้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ และดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยม แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทย (พท 21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เลม่ นี้ได้ออกแบบการเรียนรดู้ ้วยเทคนิค และวิธกี ารสอนอยา่ งหลากหลาย เพอ่ื การจัดการเรยี นร้สู ำหรับผู้เรียน ให้บรรลเุ ปา้ หมายของหลักสูตรต่อไป คณะผูจ้ ัดทำ
สารบญั 3 เร่ือง หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข คำอธิบายรายวิชา 1 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 การฟงั การดู แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 การเขียน 1 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 3 หลักการใชภ้ าษา 15 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 4 ภาษา พาสนกุ 41 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 5 วรรณคดี และวรรณกรรม 26 บรรณานุกรม 72 คณะผูจ้ ัดทำ
4 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ทักษะการเรยี นรู้ รายวิชา ภาษาไทย ชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ การฟัง การดู เวลา 20 ชว่ั โมง 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะพ้ืนฐาน เกยี่ วกับภาษาและการสอ่ื สาร 2. ตัวชวี้ ัด 2.1 ร้แู ละเขา้ ใจหลักการความสำคญั และจดุ มุ่งหมายของการฟังและดู 2.2 จบั ใจความสำคญั และสรุปความจากเรื่องท่ฟี ังแลดู 2.3 ปฏบิ ตั ิตนเป็นผ้มู ีมารยาทในการฟงั และดู 3. สาระสำคัญ การฟัง การดู เป็นทักษะสำคัญประการหนึง่ ของการสือ่ สารที่เราใชม้ ากที่สดุ ทั้งเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน การปกครอง อาชีพ และการดำเนินชีวติ ประจำวนั จึงจำเป็นจะต้องเข้าใจหลักการเบื้องตน้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการ ประยุกต์ใช้ในขั้นสูงขึ้นไป นอกจากนี้ต้องพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงมารยาทในการฟัง และการดูด้วย 4. จุดประสงค์ การฟงั มีจุดมุ่งหมายท่ีสำคัญดงั นี้ 1. ฟงั เพอ่ื จบั ใจความสำคัญไดว้ ่าเร่อื งที่ฟงั นัน้ เป็นเรอ่ื งเกย่ี วกบั อะไร เกิดข้ึนทไ่ี หน เมื่อใด หรือใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อใด 2. ฟงั เพ่อื จบั ใจความโดยละเอียด ผู้ฟงั ตอ้ งมีสมาธใิ นการฟงั และอาจต้องมีการบันทึกย่อเพอ่ื ช่วยความจำ 3. ฟังเพื่อหาเหตุผลมาโต้แยง้ หรือคลอ้ ยตาม ผู้ฟงั ตอ้ งตง้ั ใจฟงั เป็นพเิ ศษ และตอ้ งใช้วิจารณญาณพิจารณา วา่ เร่อื งทฟี่ ังนนั้ มอี ะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรเปน็ ขอ้ คิดเหน็ และมคี วามถูกตอ้ ง มีเหตผุ ลน่าเชื่อถอื มากน้อยเพยี งใด ซึง่ ผฟู้ งั ควรพจิ ารณาเรื่องราวท่ฟี ังดว้ ยใจเป็นธรรม 4. ฟงั เพือ่ เกิดความเพลดิ เพลนิ และซาบซง้ึ ในคุณค่าของ วรรณคดี คติธรรม และดนตรี ผฟู้ งั ตอ้ งมคี วามรู้ ในเรอื่ งที่ฟงั เขา้ ใจคำศัพท์ สัญลกั ษณ์ต่าง ๆ และมคี วามาสามารถในการตีความ เพื่อให้เกดิ ความไพเราะซาบซง้ึ ใน รสของภาษา 5. ฟงั เพอื่ สง่ เสรมิ จนิ ตนากร และความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดทเ่ี กิดข้ึนขณะที่ฟงั หรือหลังจากการฟัง ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของงานประพันธ์ งานศิลปะ หรอื การพดู
5 การดูมจี ุดม่งุ หมายที่สำคญั ดงั นี้ 1. ดูเพื่อใหร้ ู้ เปน็ การดูเพอ่ื ใหเ้ ปน็ คนทันโลกทนั เหตกุ ารณ์ 2. ดเู พือ่ ศกึ ษาหาความรู้ เป็นการดูท่ชี ว่ ยสง่ เสรมิ การอ่าน หรือการเรยี นใหม้ คี วามรมู้ ากข้ึนหรอื มคี วาม ชดั เจนลุม่ ลึกข้นึ 3. ดูเพ่อื ความเพลิดเพลนิ เช่น ละคร เกมโชว์ มวิ สิควดิ ีโอ 4. ดเู พอ่ื ยกระดบั จิตใจ เป็นการดทู ่ีจะทำใหจ้ ิตใจเบิกบานและละเอยี ดอ่อน เข้าถงึ ธรรมชาติและสัจธรรม ไดแ้ ก่ การชมธรรมชาติ การชมโขน ละคร การดรู ายการเกีย่ วกบั ธรรมะ การดกู ฬี า 5. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ข้อที่ 3 มวี นิ ัย ขอ้ ท่ี 4 ใฝเ่ รยี นรู้ ข้อที่ 6 มุ่งมนั่ ในการทำงาน ขอ้ ที่ 8 มจี ิตสาธารณะ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (3 ชั่วโมง) 1. ขั้นทบทวนความรู้เดมิ 1.1 ครูชแ้ี จงวตั ถุประสงค์ใหผ้ เู้ รยี นทราบ 1.2 ครสู รรหาผู้เรียนนำมาแสดงบทบาทสมมตุ เิ ร่ืองการฟัง การดู 1.3 ครูให้ผู้เรียนที่ดู สังเกตว่าเหตกุ ารณ์ดงั กล่าว เสนอให้เห็นอะไร และเกดิ ปญั หาอะไร 1.4 ครูให้ผู้เรยี นเลา่ ประสบการณท์ ตี่ นเคยพบ ในเรือ่ งการส่ือสารท่ีคลาดเคลอ่ื น แล้วสง่ ผลกระทบ อย่างไร 1.5 ครใู หผ้ ู้เรยี นดคู ลปิ วิดโี อ เรื่อง การฟงั ทสี่ ่อื สารไมส่ ัมฤทธผิ์ ล https://www.youtube.com/watch?v=joXPKB90HF8 1.6 ครใู หผ้ ู้เรยี นแสดงความรู้สึกหลงั จากดูคลิปวดิ ีโอ 2. ขน้ั แสวงหาความรูใ้ หม่ 2.1 ครูใหผ้ ู้เรยี นแบ่งกล่มุ ๆละ 5-6 คน 2.2 ครใู ห้ผู้เรียนดสู อ่ื คลิปวดิ ีโอ เร่อื ง การฟัง การพดู 2.3 ผู้เรียนวเิ คราะหก์ ารฟัง และการดู ทีด่ ีตอ้ งมีคณุ สมบตั ิอย่างไร 2.4 ครูสรปุ หลกั การฟงั และการดู 3. ขั้นทำความเขา้ ใจข้อมลู /ความรใู้ หม่ 3.1 ผเู้ รียนสรปุ ความเข้าใจโดยการเขยี นแผนผังความคิด ในเร่อื ง การพดู และการฟังทีด่ ี ควรมี ลักษณะอยา่ งไร
6 3.2 ครูสรุปการนำเสนองานการวเิ คราะหข์ องผ้เู รียน 4. ขนั แลกเปลี่ยนความรู้ ความเขา้ ใจกบั กลุ่ม 4.1 ผเู้ รยี นออกมานำเสนอ เร่ือง การพดู และการฟังทด่ี ี ควรมีลกั ษณะอยา่ งไร 4.2 ครแู ละผเู้ รียนรว่ มสรปุ ประเดน็ สำคัญของเรอ่ื งที่นำเสนอ 5. ขน้ั สรุปและจดั ระเบียบความรู้ 5.1 ผู้เรียนสรุปเป็นแผนผังความคดิ ตามหัวข้อท่ีกลุ่มสนใจ 6. ขน้ั ปฏบิ ตั ิและ/หรอื แสดงผลงาน 6.1 ให้ผเู้ รยี นแสดงบทบาทสมมุติ ในหวั ข้อการฟังและการดู 7. ข้นั ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ 7.1 ให้ผ้เู รยี นสรปุ เรอื่ งการฟงั การดู ลงในบนั ทึการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ตอ่ เนื่อง (12 ชม.) ให้ผูเ้ รยี นวิเคราะหค์ วามน่าเช่ือถือ จากการฟงั และดสู ่อื โฆษณา และข่าวสารประจำวนั ที่ นกั ศึกษาสนใจ แล้วนำมาสรุปในใบงาน จำนวน 10 เรื่อง 7. การเรียนรดู้ ้วยตนเอง (5 ชม.) ใหผ้ ูเ้ รียนทำรายงานสรุปหลักการฟงั และการพูดอยา่ งถกู ตอ้ งมากลุ่มละ 1 เลม่ 8. ส่ือ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 การแสดงบทบาทสมมติ 8.2 คลิปเสยี ง เรอื่ ง เร่ืองของแมท่ ต่ี อ้ งพดู 8.3 ใบงาน เรอื่ งการวจิ ารณก์ ารฟังและการดู 8.4 Internet 9. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 9.1 วิธีการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ สังเกตพฤตกิ รรมการนำเสนอ 9.2 เครื่องมอื วดั และประเมินผลการเรียนรู้ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการนำเสนอ 9.3 เกณฑก์ ารวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ เกณฑ์การผ่านจากการสงั เกตพฤตกิ รรมการนำเสนอต้องไดค้ ะแนนอยา่ งน้อยร้อยละ 80 4 = ดมี าก 3 = ดี 2 = พอใช้ 1 = ควรปรบั ปรุง
7 10. บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ รายวิชา....................................รหสั รายวิชา...............................................สปั ดาหท์ .่ี ................. แผนการจัดการเรียนรคู้ รง้ั ท่.ี .........ระดบั .....................กลุ่ม .............. รายวิชา .................................... 10.1 ผลการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. 10.2 ปัญหาและอปุ สรรค …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. 10.3 แนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. 10.4 ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………. …………….………………….. ผูบ้ นั ทกึ (…………………………………………) คร.ู .......................... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………....…………………………………………. ……………………………………………………… (นางจิดาภา บัวทอง) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอดอนตูม
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่องการฟังและการดู 8 คำสงั่ ใหเ้ ลือกคำตอบท่ีถูกตอ้ งทสี่ ุดเพยี งคำตอบเดียว สามารถตอบคำถามครูได\"้ ลกั ษณะการฟังของนายดำ 1. การฟังท่ีมีประสิทธิภาพ คอื การฟังในข้อใด ตรงกบั คำตอบขอ้ ใด ก. จับสาระสำคญั ได้ ข. จดบันทกึ ได้ทัน ก. ตั้งใจฟัง ค. ปราศจากอคติ ง. มสี มาธิในการฟัง ข. ฟังเปน็ 2. ขอ้ ใดคอื ลกั ษณะของการฟังที่ดี ค. ฟงั แล้วติดตาม ก. แสดงสีหน้าเมอื่ สงสยั และรอถามเมือ่ ผูพ้ ูดพดู จบ ง. ถูกทุกขอ้ ข. ดวงตาจบั จอ้ งอยทู่ ผี่ ูพ้ ดู แสดงความใส่ใจในคำพดู 7. \"ขา่ วพยากรณ์อากาศ\" มปี ระโยชน์ตอ่ ผฟู้ งั อยา่ งไร อยา่ งจรงิ จัง ก. จดสง่ิ ที่ฟังไดค้ รบถ้วนใหค้ วามรู้ ค. กวาดสายตาไปมาพร้อมกบั จ้องหน้าและทักท้วงข้นึ ข. ทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ เมื่อไม่เห็นด้วย ค. ใหค้ วามบนั เทงิ ง. สบตากับผู้พดู เปน็ ระยะ ๆ อยา่ งเหมาะสมและ ง. ให้ประสบการณ์ เสรมิ หรือโต้แยง้ ตามความเหมาะสม 8. ขอ้ ใดไม่ใชห่ ลักการฟังและการดอู ย่างสรา้ งสรรค์ 3. การฟงั ทีท่ ำใหผ้ ้ฟู ังเกดิ สติปัญญา หมายถึงการฟงั ก. สารจรรโลงใจ ลักษณะใด ข. ต้องรู้จักประเภทของสาร ก. ฟงั ดว้ ยความอยากรู้ ค. ตั้งใจฟังและดใู หต้ ลอดเร่ือง ข. ฟงั ด้วยความตง้ั ใจ ง. ต้องทราบประวตั แิ ละการทำงานของผู้แต่ง ค. ฟังแลว้ วเิ คราะหส์ าร 9. การฟงั หรอื ดูสารประเภทใดที่ตอ้ งใช้วิจารณญาณใน ง. ฟงั เพ่ือจบั ใจความสำคญั การวิเคราะหข์ ้อเท็จจริง 4. ความสามารถในการฟังขอ้ ใดสำคญั ทีส่ ดุ สำหรับ ก. จดสง่ิ ท่ฟี งั ไดค้ รบถ้วน ผ้เู รียน ข. จับสาระสำคญั ของเรอ่ื งได้ ก. จดสง่ิ ทฟี่ งั ได้ครบถ้วน ค. สารทีเ่ ปน็ ขา่ วเหตกุ ารณ์ ข. จับสาระสำคญั ของเรอื่ งได้ ง. สารทีเ่ ปน็ สาระบันเทงิ ค. ประเมนิ คา่ เร่ืองท่ฟี ังได้ 10. อมเดอื ดรอ้ น''เมือ่ ท่านฟงั ประโยคน้แี ลว้ ท่านต้อง ง. จับความมุ่งหมายของผู้พดู ได้ พจิ ารณาในข้อใด 5. บุคคลในขอ้ ใดขาดมารยาทในการฟังมากท่สี ุด ก. ขอ้ เทจ็ จริง ก. คุยกับเพอื่ นขณะที่ฟงั ผู้อน่ื พดู ข. ความหมายของประโยค ข. ฟงั ไปทานอาหารไปขณะท่ีผู้พดู พดู ค. เหตผุ ลและข้อมูลอา้ งอิง ค. ไปถงึ สถานท่ีฟงั หลงั จากผพู้ ูดเร่ิมพดู แลว้ ง. ผ้ทู ี่กล่าวประโยคนเ้ี ป็นใคร ง. จดบันทึกขณะทฟี่ งั โดยไมม่ องผ้พู ดู เลย 6. \"นายดำฟังครสู อนหนังสอื อย่างต้งั อกตัง้ ใจ เมือ่ ครู สอนจบ ครูถามนายดำ นายดำ
9 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น การฟังและการดู 1. ก 2. ง 3. ค 4. ก 5. ก 6. ง 7. ข 8. ง 9. ค 10. ก
10 ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การฟังการดู รายวิชา ภาษาไทย (พท21001) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ การวิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคดิ เห็นจากการฟงั การฟังนับวา่ มีความสำคัญยง่ิ ในการสง่ สารขอ้ มูลตา่ งๆ แตถ่ ้าฟงั ไม่ถกู วธิ กี จ็ ะไมก่ ่อประโยชน์เท่าท่ีควร และ บางกรณีอาจเป็นโทษอกี ดว้ ย หลักการฟังทวั่ ไปมดี ังนี้ 1. มีมารยาทในการฟัง โดยการแสดงความกระตือรือร้นที่จะฟัง ตั้งคำถามตามความเหมาะสม ยอมรับฟัง ความคดิ เห็นท่แี ตกต่างกนั ออกไป และร้จู กั ควบคุมอารมณ์ 2. ตั้งความประสงคใ์ นการฟังให้แน่นอน และพยายามฟังให้ได้ตามความมุ่งหมายมากท่ีสุดใช้วิจารณญาณ เลือกเฟ้นแต่เรื่องที่ควรฟัง และหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่เหมาะสม รู้จักแยกแยะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงและความคิดเห็น รจู้ กั ใช้เหตผุ ลประกอบในการลงความเห็นรู้จกั การใช้ศลิ ปะในการฟงั คอื การใช้ความ สามารถและไหวพริบที่จะให้ผู้ พดู มคี วามสบายใจทจี่ ะพูดและพูดได้ตรงจุดประสงคข์ องผ้ฟู งั เช่น การแสดงใหผ้ ู้พูดเหน็ ว่าเราตัง้ ใจฟงั เปดิ โอกาสให้ ผู้พูดได้พูดเต็มที่และแทรกคำถามที่เหมาะสมในโอกาสอันควรจดบันทึกสาระสำคัญและประเด็นที่ควรซักถาม เพมิ่ เตมิ การจับใจความสำคัญของเรือ่ ง การฟังมีความมุ่งหมายประการสำคัญเพื่อแสวงหาความรู้และเสรมิ สรา้ ง สติปัญญาการฟังที่จะสมั ฤทธิ์ผลดังกล่าวจะต้องมีความสามารถจับใจความสำคัญและใจความอันดับรองของเรือ่ งที่ ฟังได้รวดเร็วถูกต้อง หลักการพจิ ารณาใจความสำคญั และใจความสำคัญอันดับรองมีดงั นี้ 1. ฟังเร่ืองท้งั หมดใหจ้ บ 2. เร่อื งที่ฟังเกย่ี วกับอะไร 3. มคี วามสำคัญอยา่ งไร 4. เหตุเกดิ ทไี่ หน 5. เกิดจากสาเหตุอะไร 6. ผลทเ่ี กดิ ข้ึนเปน็ อยา่ งไร การฟงั อย่างมวี จิ ารณญาณ การฟังนบั วา่ เปน็ ปัจจัยสำคญั ที่สุดในการรบั สาร ในชวี ิตประจำวันคนเรามีการ รับฟังเรื่องราวมากมาย การฟังคำพูดของคนที่คุ้นเคยหรือใกล้ชิดอาจจะไม่ก่อให้เกิดปญั หามากนัก เพราะเรารู้ภูมิ หลังของผู้พูดและเรื่องที่รับฟังส่วนมาก แต่ละวันแต่ในปัจจุบันการสื่อสารในด้านต่างๆ เจริญมากขึ้นไม่จากัดแต่ เพียงแต่ฟังกับคนที่เราพูดด้วยแต่เราก็ฟังทางสื่ออิเลคทรอนิคส์ต่างๆ เช่น วิทยุ โทรศัพท์เทปเสียง เทปภาพวิทยุ โทรทัศน์ ซงึ่ การฟงั ไม่ได้ประจันหน้ากนั บางคร้ังเป็นการส่ือสารทางเดยี วมีแต่รับฟงั เท่าน้นั ไมส่ ามารถท่จี ะซักถามได้ อย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงทำให้ก่อเกิดความไม่เข้าใจไม่ตรงกนั หรือบางครั้งการประกาศภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาตหิ รอื มนษุ ยเ์ ปน็ ผกู้ ระทำข้นึ การโฆษณาชวนเช่อื และข่าวลอื เรอ่ื งต่างๆ ในการฟงั เร่ืองราวตา่ งๆ ดังกล่าวถ้า หากเกิดฟังแล้วเชื่อหรือไม่เชื่อแล้วนำไปปฏิบัตหิ รืองดเว้นการปฏิบัติ หากเกิดความพลาดพลั้งอาจเกดิ ผลเสียหาย
11 อย่างร้ายแรงตามมาได้ ดังนั้นการฟังข่าวสารต่าง ๆ จะฟังอย่างธรรมดาไม่พินิจพิเคราะห์ข่าวสารที่ได้รับนั้นไม่ได้ การวินิจฉัยวิเคราะห์วิจารณ์ข่าวสารว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จควรเชือ่ ถือมากน้อยเพียงใดจะต้องใช้ความคิดใคร่ควร ด้วยเหตุผล ปัญญาและประสบการณ์ ทาความเข้าใจในสถานภาพและดเู จตนาของผู้ส่งสาร ว่ามีข้อเท็จจริง หรือมี ประโยชน์ มีคุณมีโทษเพียงใด ควรที่จะเชื่อแล้วปฏิบัติตามหรือไม่ การฟังสารตามลักษณะดังกล่าวเรียกว่าการฟงั อยา่ งวจิ ารณญาณ ดังนั้นการฟังอย่างมวี ิจารณญาณตอ้ งประกอบไปด้วยการใชป้ ัญญาในการวิเคราะหพ์ ินิจพิจารณา ไตต่ รอง เพื่อค้นหาข้อเทจ็ จริงสามารมารถวเิ คราะหต์ ัดสนิ ใจ และประเมินค่าส่งิ ทฟ่ี งั ได้ หลักการฟงั อย่างวจิ ารณญาณ การฟังอยา่ งวจิ ารณญาณมีหลกั ปฏบิ ตั ดิ ังนี้ 1. ผฟู้ งั พิจารณาวา่ ฟังเรื่องอะไรเปน็ การฟังประเภทบทความ บทสมั ภาษณก์ ารเล่าเรอ่ื งสรุปเหตุการณ์ ใคร เป็นคนพดู คนสัมภาษณ์ ใครเป็นคนเขยี นบทความ และหวั ขอ้ นน้ั มีคณุ ค่าแกก่ ารฟังหรือไม่ 1.1 พิจารณาผู้สง่ สารวา่ มจี ุดมงุ่ หมาย และมคี วามจรงิ ใจในการส่งสารนน้ั เพยี งใด 1.2 พจิ ารณาผสู้ ่งสารว่ามีความรู้ ประสบการณ์หรือความใกลช้ ดิ กบั เร่อื งราวในสารนน้ั เพยี งใด 1.3 พจิ ารณาผสู้ ง่ สารวา่ ใชก้ ลวิธีในการสง่ สารนนั้ อยา่ งไร คือวิธกี ารธรรมดาหรอื ยอกยอ้ นซ่อนปมอยา่ งไร 1.4 พิจารณาเน้ือหาของสารวา่ สว่ นใดเป็นข้อเท็จจรงิ สว่ นใดเป็นขอ้ คดิ เห็น 1.5 พิจารณาสารว่าเป็นไปได้ และควรเช่อื เพยี งใด 1.6 ผู้ฟังควรประเมินว่าสิ่งที่ฟังมีประโยชน์และมีคุณค่ามากน้อยเพียงไร หลักการแยกข้อคิดเห็นและ ขอ้ เท็จจรงิ ในการรับฟังสาร นอกจากจะจบั ใจความสำคญั ของเร่ืองท่ีฟงั แล้ว นกั เรยี นจะต้องแยะแยะได้ว่า ใจความ ตอนใดเป็นข้อคิดเห็นส่วนตวั ของผู้พูดซึ่งจะมีลักษณะเมื่อพิจารณาความถูกต้องไดย้ าก และตอนใดเป็นข้อเท็จจรงิ ซ่ึงเป็นเรือ่ งทีส่ ามารถพิสูจนค์ วามถกู ตอ้ งได้ การแยกขอ้ เทจ็ จรงิ และข้อคดิ เห็น มดี ังน้ี 1. การแยกข้อเท็จจรงิ เป็นข้อมูลทส่ี ามารถพิสูจนไ์ ด้ เหน็ ว่าเป็นจริงหรือเป็นเทจ็ ไดจ้ ากตัวเลขเชิงปริมาณ ตา่ งๆ ท่มี ีอย่ซู ่ึงทาการตรวจสอบได้ดงั น้ี เช่นประชา หนกั 50 กิโลกรัม ,โอภาสสูงกวา่ เสกสรรค์ เปน็ ต้น 2. ความคดิ เหน็ เปน็ เร่ืองของการคาดคะเนหรอื การทำนายโดยอาศยั เหตุผลส่วนตัวซ่ึงควรจะเปดิ โอกาสให้มี การโตแ้ ย้งหรอื สนบั สนุน เช่น ของเก่าดีกว่าของใหม่ มเี งินดกี ว่ามเี กยี รติ การฟังเพ่อื ประเมนิ ค่า การฟังเพื่อประเมินค่าเป็นการตรวจสอบว่าสิ่งที่ฟัง ถูกต้องชัดเจนมีเหตุผล เชื่อถือได้หรือไม่การฟังเพื่อ ประเมนิ คา่ เปน็ แสดงความคดิ เหน็ ตอ่ ข้อมูลทไ่ี ดร้ ับนน้ั วา่ เปน็ ความจรงิ หรือเป็นการโฆษณาชวนเชอื่ ซง่ึ มีลกั ษณะเป็น การเผยแพร่ความคิด ความเชื่อและความคิดเห็นด้วยกลอุบายต่างๆ เพื่อโน้มน้าวจิตใจของผู้ฟังให้คล้อยตามที่ ต้องการ และสิ่งทีฟ่ ังน้ันมคี ุณค่าหรอื ไมด่ ังนัน้ การฟังเพื่อประเมินคา่ จึงเป็นการฟังอย่างวเิ คราะห์วิจารณ์เพื่อค้นหา ข้อเท็จจริงและตดั สนิ สิ่งทฟี่ ังวา่ มคี ุณค่าหรอื ประโยชน์อยา่ งไร การฟังเพ่ือค้นหาข้อเท็จจริง
12 การฟังเพือ่ ค้นหาขอ้ เทจ็ จริงเป็นการฟังทีใ่ ช้ความคิดไตร่ตรองและการวิเคราะหอ์ ย่างมีเหตผุ ลจะช่วยให้ได้ ข้อมลู ท่ีถกู ต้องเช่ือถอื ได้ การคน้ หาข้อเทจ็ จรงิ ต้องพจิ ารณาหลายๆ ดา้ นอย่างรอบคอบคือ 1. วิเคราะห์เจตนาของผูพ้ ูด ว่าผูพ้ ูดมีจุดมุ่งหมายหรอื เจตนาอย่างใดอย่างหนึง่ 2. เจตนาผูพ้ ูดเพอ่ื ความบนั เทิง เช่นการพูดในงานพบปะสังสรรค์กันเพื่อใหเ้ กิดความสนุกสนานรืน่ เรงิ 3. เจตนาผู้พดู อาจเปน็ การบอกเล่า แถลงการณ์รายงานเรอ่ื งราวต่างๆ เปน็ การบอกเกี่ยวกบั การปฏิบัติงาน บรรยายเกี่ยวกบั ทางวิชาการ เล่าเหตกุ ารณ์ทีไ่ ด้พบเหน็ ประสบมาเพือ่ ใหผ้ ู้อน่ื ไดม้ คี วามรคู้ วามเข้าใจ 4. ผู้พูดอาจมีเจตนาในการพูดเพ่ือชกั จูงใหเ้ หน็ ให้คล้อยตามหรือเปลีย่ นความคิดให้ปฏิบัตกิ ารอย่างใดอย่าง หน่งึ ผู้พูดจะยกเหตผุ ลต่างๆ ใหผ้ ฟู้ ังเชือ่ ถือ 5. วิเคราะห์นัยของเรื่องที่ฟัง คือการพิจารณาสาระสำคัญของเรื่องที่ฟัง ว่าประเด็นหลักคืออะไร ผู้พูด อาจจะพดู ออกมาตรงๆกไ็ ด้ หรืออาจมจี ดุ มงุ่ หมายแอบแฝง อยูผ่ ้ฟู ังจะตอ้ งวเิ คราะห์นัยสำคัญและนยั แฝง โดยอาศัย ความรคู้ วามสามารถของผ้ฟู งั ในการพจิ ารณาดงั นี้ 5.1 ข้อมลู และความคิดเห็นของผ้พู ูดจะต้องอาศยั เหตผุ ลในการพจิ ารณาดงั นี้ ก. ข้อมลู ทรี่ ับฟังน้นั มคี วามจรงิ มากน้อยเพียงใดเปน็ ข้อมูลเก่าหรือข้อมูลใหม่ หรอื วา่ เป็นความจริง ตามหลักตรรกวิทยา ซึ่งผู้ฟังจะต้องแยกแยะพิจารณาความเป็นไปได้ของข้อมูลและเจตคติของผู้พูดในบางครั้ง ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นของผู้พูดจะแยกกันอย่างเหน็ ได้ชัดเจนแต่บางคร้ังผู้พูดจะพูดผสมผสาน ข้อเท็จจริงและ ข้อคิดเห็นของตนเข้าดว้ ยกัน ดังนั้นจึงต้องแยกแยะออกจากกันให้ชัดเจน การโฆษณาชวนเชื่อ เป็นการพูดให้ผู้ฟัง เชือ่ และปฏบิ ัตติ าม ผฟู้ งั จะต้องพจิ ารณาแยกแยะให้ได้วา่ แนวทางท่ผี ู้พูดเสนอมานน้ั หากปฏบิ ัติตามแล้วจะเกิดผล อยา่ งไรเปน็ ประโยชนต์ ่อส่วนรวมหรือต่อผู้ฟงั อย่างไรบา้ งl ข. ความสำคัญและความเป็นมาของเรื่อง ว่าผู้พูดได้แสดงความสำคัญ ตลอดจนความเป็นมาของ เรอื่ งอย่างไรเปน็ เรือ่ งทนี่ า่ สนใจทผ่ี ู้ฟงั จะไดป้ ระโยชนห์ รือไม่ 5.2 เน้อื หาสาระผู้พดู ได้พูดได้ชัดเจนและพูดไปตามลาดับความสำคัญ ความยากงา่ ยของเรื่องหรือ พดู ออกนอกประเดน็ ยกตวั อยา่ งไดช้ ดั เจนเพียงใด การฟงั เพ่อื ตดั สนิ ใจ การฟังเพือ่ ตัดสนิ ใจเป็นกระบวนการฟงั ชั้นสงู ผู้ฟังมีความสามารถจะตดั สินใจเลือกสิ่งที่ดีทีส่ ุดท่ีไดจ้ าก การฟังนาไปใช้ให้เกิดแประโยชน์ หรือเป็นแนวทางในการปฏบิ ัตติ น ผู้ฟังจะต้องรู้จักใช้กระบวนการคิดช่วยในการ ตัดสินใจแก้ปัญหา หรอื เลือกแนวทางในการนาสง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ กระบวนการ คิดทเ่ี ป็นระบบนน้ั ตอ้ งประกอบด้วยข้อมูล สามด้าน คอื 1. ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ต้องรูจ้ ักตนเองอย่างทอ่ งแท้ โดยพิจารณาข้อมูลทุกด้าน เช่นด้านสุขภาพร่างกาย ความรู้ วยั สถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจเปน็ ตน้ 2. ขอ้ มูลเกย่ี วกับสงั คมและสิง่ แวดลอ้ ม คอื พจิ ารณาผูอ้ น่ื ส่งิ อ่ืนๆเช่นสภาพแวดลอ้ ทางชุมชน ภูมปิ ระเทศคุณธรรม ศีลธรรมจรรยาค่านยิ ม สงั คมตลอด จนธรรมเนียมประเพณี เป็นตน้
13 3. นาขอ้ มลู เกยี่ วกบั ดา้ นวิชาการมาพจิ ารณารว่ มดว้ ยเพ่อื ตดั สนิ เรือ่ งใดเรอ่ื งหน่ึงไดถ้ ูกตอ้ ง
14 ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง การฟงั การดู กจิ กรรมที่ 1 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ : การมมี ารยาทในการฟังและการดู ให้ผู้เรยี นศกึ ษาจากสือ่ วดี ีโอเรือ่ งมารยาทในการฟงั และการดู 1. ให้ผเู้ รยี นบอกมารยาทในการฟงั การดูมา 5 ข้อ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
15 ใบงานที่ 1 เร่อื ง การฟัง การดู กจิ กรรมที่ 2 ใหผ้ ู้เรยี นศึกษาส่อื วีดโี อ เร่อื ง การพดู สรปุ ความสำคญั จากเร่อื งทีฟ่ ังและการดู ใหผ้ เู้ รียนศึกษาสื่อวีดโี อ เรอื่ ง อย่าตัดสินคนท่ีเปลือกนอก คำช้ีแจง ให้ผู้เรียนศึกษาการฟังและการดูจากคลิปวีดีโอแล้วใช้หลักการฟังและดูอย่างมีวิจารญาณพิจารณาว่าตาม ประเด็น ดังน้ี เนือ้ หาจากท่ไี ดด้ ูและฟงั สือ่ วดี ีโอ เรอ่ื ง อย่าตดั สินคนที่เปลอื กนอก ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................................... ให้นักศึกษาวเิ คราะห์ (ใคร ทำอะไร ท่ไี หน อย่างไร) ...................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................
16 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4 กลุ่มสาระการเรียนรพู้ ้ืนฐาน รายวชิ าภาษาไทย พท 21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ การเขยี น เวลา 40 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะพนื้ ฐาน เกี่ยวกับภาษาและการสอ่ื สาร 2. ตวั ชี้วัด 2.1 เลือกใช้งานในการนำเสนอตามรูปแบบของงานเขียนประเภทร้อยแกว้ และรอ้ ยกรองได้อยา่ ง สร้างสรรค์ 2.2 ได้แผนภาพความคิด จัดลำดับความคดิ ก่อนการเขยี น 2.3 แต่งบทร้อยกรอง ประเภทกลอนสี่ กลอนสุภาพ 2.4 เขียนบทร้อยกรอง ประเภทประวัติตนเอง อธบิ ายความ ย่อความขา่ ว 2.5 เขยี นรายงานการคน้ ควา้ สามารถอ้างองิ แหล่งความรู้ไดถ้ ูกต้อง 2.6 การออกแบบรายการต่าง ๆ 2.7 ปฏบิ ัติตนเป็นผมู้ ีมารยาทในการเขยี น และการจดบันทกึ อย่างสม่ำเสมอ 3. สาระสำคญั การเขียน เปน็ ทกั ษะสำคัญหนึ่งในทกั ษะทง้ั ส่ีหมวดวิชาภาษาไทย คอื การฟงั อ่าน เขียน และพูด การเขียน หนังสอื ได้ดจี ะเปน็ พนื้ ฐานในการเรียนรแู้ ละการนำเสนอ ผลการเรียนรู้ในเร่อื งต่าง ๆ ได้ดีทำให้ความรูข้ ยายไปอย่าง กว้างขวาง ผเู้ รยี นจึงควรได้รู้จกั และฝกึ ฝนการเขยี นประเภทต่าง ๆ 4. จุดประสงค์ ความรู้ ในบทเรยี นนผ้ี ู้เรียนจะสามารถ 1. ผ้เู รยี นสามารถเลือกใชภ้ าษาในการนำเสนอตามรปู แบบของงานเขียนประเภทร้อยแก้วและรอ้ ยกรองได้ อย่างสรา้ งสรรค์ 2. ผเู้ รยี นสามารถใช้แผนภาพความคิด จัดลำดบั ความคิดกอ่ นการเขียน 3. ผู้เรียนสามารถเขยี นบทร้อยแก้วประเภทประวัตติ นเอง อธิบายความ ยอ่ ความ ข่าว 4. ผ้เู รียนสามารถเขยี นรายงานการค้นคว้า สามารถอา้ งองิ แหล่งความรู้ได้ถูกต้อง 5. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ข้อที่ 3 มีวนิ ัย ขอ้ ที่ 4 ใฝเ่ รียนรู้ ข้อท่ี 6 ม่งุ ม่นั ในการทำงาน ขอ้ ท่ี 8 มจี ิตสาธารณะ
17 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. แลกเปลย่ี นประสบการณ์เดิม ครูนำการเขยี นประวตั ิตนเองใหก้ บั ผ้เู รยี นอา่ น และใหต้ อบว่าเขา้ ใจหรือไม่ เพราะเหตุใด 2. เสรมิ ความรู้ใหม่ 2.1 ครูให้ผู้เรยี นศึกษาค้นควา้ การเขียนรายงาน จากคลิปวิดีโอ https://youtu.be/HYJ- J1VAxxY 2.2 ให้ผเู้ รยี นตอบคำถามจากคลิปวดิ โี อที่ไดด้ ู 1) การทำรายงานมีความสำคัญอยา่ งไร 2) ผ้เู รยี นควรทำรายงานอย่างไรให้รายงานมีความชัดเจน 3) ทำรายงานอยา่ งไรจึงเหน็ แลว้ เข้าใจง่าย 2.3 ใหผ้ เู้ รยี นสรปุ ความคดิ ทไ่ี ดจ้ ากการดูคลิปวดิ ีโอเรื่องน้ี 2.4 ครูนำเลม่ รายงานทถ่ี ูกต้อง แล้วอธบิ ายให้ผู้เรียนดูโดยระบไุ ปทีละหัวข้อ 3. ให้ฝกึ ปฏิบตั ิ 3.1 ใหผ้ ูเ้ รียนแสดงความคิด การเขียนรายงานทถ่ี ูกต้อง โดยการเขยี นแผนผังความคิด 3.2 ให้ผู้เรียนออกไปอธบิ ายการเขียนรายงานท่ถี กู ตอ้ งหน้าชนั้ เรยี น 4. จดั ใหน้ ำเสนอผลงาน 4.1 ครฟู ังการอธิบายการเขียนรายงานและช้ีแจงหากมขี อ้ ผดิ 4.2 ให้ผู้เรยี นแต่ละคนบอกความรสู้ ึกหลงั จากเรียนรู้การเขียนรายงานที่ถกู ตอ้ ง 5. สรุปหลักการนำไปใช้ 5.1 ใหผ้ เู้ รยี นทำใบงานเร่อื ง การเขียน 5.2 ใหผ้ ้เู รยี นจดบนั ทกึ ความร้ทู ีไ่ ด้ในวันน้ี ในสมดุ บันทึกการเรียนรู้ 7. การเรียนร้ตู ่อเนื่อง (กรต.) จำนวน 34 ช่วั โมง - การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองให้ผเู้ รียนจดั ทำรายงานเรอ่ื ง การเขียนใบสมัครงาน และการจดบันทกึ 8. สื่อ อุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ 1. ใบกิจกรรม
18 2. หนงั สอื ภาษาไทย (พท11011) 9. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 9.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ สังเกตพฤตกิ รรมการร่วมกิจกรรม 9.2 เครอ่ื งมอื วัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการรว่ มกิจกรรม 9.3 เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑก์ ารผ่านจากการสังเกตพฤติกรรมการร่วมกจิ กรรมต้องไดค้ ะแนนอยา่ งน้อยรอ้ ยละ 80 4 = ดมี าก 3 = ดี 2 = พอใช้ 1 = ควรปรบั ปรงุ
19 10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ รายวิชา....................................รหัสรายวชิ า.........................สัปดาหท์ ่ี...........วนั ท่ี………เดอื น……………….พ.ศ. 2563 แผนการจดั การเรยี นรูค้ รงั้ ท่.ี .........ชื่อหน่วย……………………………………ระดบั .....................กลมุ่ .............................. 10.1 ผลการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………............................................................................................................................... 10.2 ปญั หาและอปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ..................................................................................................................................................................... 10.3 แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ..................................................................................................................................................................... 10.4 ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ..................................................................................................................................................................... …………….………………….. ผ้บู ันทึก (…………………………………………) ครู........................... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………....…………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………...............…. ……………………………………………………… (นางจิดาภา บวั ทอง) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอดอนตูม
20 แบบทดสอบก่อนเรียน เรือ่ ง การเขยี น จงทำเคร่ืองหมายกากบาท เลือกข้อท่ีถกู ต้องลงในกระดาษคำตอบด้านล่าง 1. คำใดสะกดผิด ก. อทุ ธรณ์ ข. อาถรรพณ์ ค. เพฌชฆาต ง. ลูกนมิ ติ 2. ข้อใดสะกดถูกต้องทกุ คำ ก. ตำรวจลอมชอมคูก่ รณอี ยา่ งขะมกั เขม้น ข. อย่ามัวทำชมดชะมอ้ ยฉนั ขยกั ขย่อนเตม็ ที ค. อย่ามวั ทำชมดชะม้อยฉันขยกั ขย่อนเต็มที ง. ตาสวี พิ ากษว์ จิ ารณ์เรื่องทช่ี าวบ้านโจษจันกันทัว่ 3. ขอ้ ใดมีคำท่ีสะกดผดิ ก. ชบา ชโย ยโส ข. ชอมุ่ ชะตา ชโลม ค. คะนงึ ทะนบุ ำรุง ฉะน้ัน ง. ขะมกุ ขะมอม ขะมักเขมน้ ขมกุ ขะมัว 4. ขอ้ ใดมีคำที่สะกดผิด ก. สะกด สะกดั สะกิด ข. สะดุ้ง สะดดุ สะดงึ ค. สะบกั สะบดั สะบัน้ ง. สะอาด สะอึก สะอน้ื 5. ขอ้ ใดเขียนถูกทุกคำ ก. ตวั้ โผ เตา้ หู้ เก้ยี มไฉ่ ข. เกียร์ ฟิล์ม ฟุตบอลล์ ค. อุทัจ อัฏจารส อัชญาสยั ง. รน่ื รมย์ ประสบการณ์ สถาณการณ์ 6. ข้อใดมีคำเขยี นสะกดคำถูกท้ังหมด ก. ตะไคร่ สาบาน ไหหลำ ปฏสิ ันฐาน
21 ข. อะไหล่ บุณฑรกิ ยมบาล เอกิ กะเหริก ค. เปรยี ญ สรภญั ญะ เวนคนื จันทรเกษม ง. สไบ กระษาปณ์ เช๊ติ ผรสุ วาท 7. ขอ้ ความใดไมไ่ ด้กล่าวถึงวธิ กี ารยอ่ ความ ก. เขยี นคำนำตามแบบ ข. คงราชาศัพท์ไว้ ค. คงสรรพนามเดมิ ไว้ ง. ใช้สำนวนภาษาของผ้ยู ่อ 8. ขอ้ ควรทำในการเรียบเรียงยอ่ ความคือข้อใด ก. เรยี งลำดับเรือ่ งตามแบบเรอื่ งเดิมเสมอ ข. เรียงใหก้ ลับกนั กับเร่อื งเดมิ ค. เรียงลำดับตามความพอใจขอผ้ยู ่อ ง. เรยี งใหส้ ัมพันธต์ อ่ เนอื่ งกัน 9. ยอ่ ความควรมกี ีย่ อ่ หน้า ก. ย่อหน้าเดยี ว ข. เทา่ จำนวนยอ่ หน้าของเน้อื เร่ืองเดมิ ค. สามย่อหน้า คอื คำนำ เนือ้ เร่อื ง สรุป ง. สองย่อหน้า คือ ยอ่ หน้าคำนำ และย่อหน้าเนอื้ ความซง่ึ มักย่อเหลอื เพยี งยอ่ หนา้ เดยี ว 10. ขอ้ ใดเปน็ หวั ขอ้ เรียงความเกย่ี วกบั เรอื่ งในโลกของจินตนาการท่เี ก่ยี วกบั อนาคต ก. ใต้ร่มอนิ ทนลิ ข. เด็กขายพวงมาลัย ค. สถานการณ์โรคเอดส์ ง. เก็บหอมรอมริบไว้เถิด
22 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอ่ื ง การเขียน 1. ข 2. ง 3. ค 4. ข 5. ก 6. ก 7. ข 8. ก 9. ค 10. ง
23 ใบความรู้ท่ี 4 เรือ่ ง การเขยี น 1. หลักการเขียนและการใช้ภาษาเขียน หลกั การเขยี น การเขยี น คอื การแสดงความรู้ ความคิด อารมณ์ความรสู้ ึกและความต้องการของผู้สง่ สารออกมาเปน็ ลายลักษณ์ อักษร เพื่อให้ผูร้ บั สารอา่ นเขา้ ใจ ไดร้ บั ความรู้ ความคดิ อารมณ์ ความรสู้ กึ และความตอ้ งการตา่ ง ๆ การเขียนเพื่อสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นเข้าใจนั้น ควรใช้ถ้อยคำที่คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจทันทีเขียนด้วยลายมือท่ี ชัดเจน อ่านงา่ ย ใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ งตามหลักการเขยี นใช้คำเหมาะสมกับกาลเทศะและบคุ คล หลักการเขยี นทดี่ ีควรปฏบิ ตั ิดงั นี้ 1. เขียนชัดเจน อ่านง่ายเป็นระเบยี บ 2. เขยี นให้ถกู ต้อง ตรงตามตวั สะกด การันต์ วรรณยุกต์ 3. ใช้ถอ้ ยคำสุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ และบุคคล 4. ใชภ้ าษาท่งี ่าย ๆ สั้น ๆ กะทัดรดั ส่ือความหมายเข้าใจไดด้ ี 5. ใชภ้ าษาเขยี นท่ดี ี ไม่ควรใช้ภาษาพดู 6. ใชเ้ คร่อื งหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง 7. ตอ้ งเขียนใหส้ ะอาด การใชภ้ าษาในการเขียน 1. เขียนให้อ่านงา่ ย เข้าใจงา่ ย 2. เขยี นตรงตามตวั สะกด การนั ต์ วรรณยกุ ต์ให้ถูกตอ้ ง 3. เขียนใหไ้ ดใ้ จความชดั เจน 4. ใช้ภาษาง่าย ๆ สั้น กะทัดรัด 5. ใชภ้ าษาให้ถกู ตอ้ งตามแบบแผน ไม่ควรใชค้ ำหรือสำนวนมาปะปนกบั ภาษาต่างประเทศ 6. ใชถ้ ้อยคำท่สี ภุ าพไพเราะเหมาะสม ความสำคญั ของการเขียน 1. เปน็ การส่ือสารท่ีจะแจง้ ใหผ้ ู้อ่นื ไดท้ ำงานหรอื ปฏิบตั ิตาม 2. เปน็ การเผยแพรค่ วามรใู้ ห้ผู้อื่นได้ทราบ และนำไปใชป้ ระโยชน์ 3. เปน็ การบันทกึ สาระสำคญั เพื่อเป็นหลักฐานและนำไปใช้ประโยชน์ 4. เป็นการเขียนที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ เช่น การเขยี นข่าว การเขยี นนวนยิ าย หรอื เขยี นบทละคร เปน็ ต้น 2. หลักการเขยี นแผนภาพความคดิ แผนภาพความคิด เป็นการแสดงความรู้ ความคดิ โดยใชแ้ ผนภาพในการนำความร้หู รือ
24 ข้อเทจ็ จรงิ มาจดั เป็นระบบ สรา้ งเปน็ ภาพหรือจดั ความคิดรวบยอด นำหวั ขอ้ เรอื่ งใดเรอื่ งหนงึ่ มาแยกเปน็ หัวข้อย่อยและนำมาจัดลำดับเปน็ แผนภาพ แนวคดิ เก่ียวกบั แผนภาพความคิด 1. ใชแ้ ผนภาพความคดิ เมื่อพบวา่ ขอ้ มูลขา่ วสารตา่ ง ๆ อยกู่ ระจดั กระจายนำข้อมูลน้นั มา เช่ือมโยงเปน็ แผนภาพความคิด ทำให้เกิดความเข้าใจเปน็ ความคดิ รวบยอด 2. แผนภาพความคิด จะจดั ความคดิ ให้เปน็ ระบบรวบรวมและจัดลำดับขอ้ เทจ็ จรงิ นำมา จดั ใหเ้ ปน็ หมวดหมู่ เป็นแผนภาพความคิดรวบยอดที่ชัดเจนจนเกดิ ความรู้ใหม่ 3. นำความคดิ หรอื ขอ้ เท็จจริงมาเขยี นเปน็ แผนภาพ จะทำให้จำเร่อื งราวต่าง ๆ ได้งา่ ยข้นึ 4. แผนภาพความคดิ จะใชภ้ าษาผังท่เี ปน็ สัญลกั ษณแ์ ละคำพูดมาสรา้ งแผนภาพทำใหเ้ กดิ การเรียนรดู้ ้วยตนเอง รูปแบบของแผนภาพความคิดมี 4 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบการจดั กล่มุ รูปแบบนี้จะยดึ ความคดิ เป็นสำคญั และจดั กลมุ่ ตามลำดับความคิด รวบยอดยอ่ ยเป็นแผนภาพ 2. รูปแบบความคิดรวบยอด รปู แบบน้ีจะมีความคดิ หลักและมีขอ้ เท็จจริงที่จัดแบง่ เป็น ระดบั ชั้นมาสนับสนนุ ความคดิ หลัก 3. รูปแบบการจัดลำดับ จัดลำดับตามเหตุการณ์ การจดั ลำดบั ตามกาลเวลา การจดั ลำดับ การกระทำก่อนหลงั หรอื การจดั ลำดบั ตามกระบวนการมีการเร่ิมต้นและการส้ินสดุ 4. รปู แบบวงกลม รปู แบบน้เี ปน็ ชุดเหตุการณ์ภายใต้กระบวนการไม่มีจุดเรม่ิ ตน้ และ จุดส้ินสุดแต่เปน็ เหตกุ ารณ์ที่เป็นลำดบั ต่อเน่อื งกัน ดังตวั อยา่ ง แผนภาพวงกลม ประโยชนข์ องแผนภาพความคดิ 1. ชว่ ยบูรณาการความรเู้ ดมิ กบั ความร้ใู หม่ 2. ชว่ ยพฒั นาความคดิ รวบยอดให้ชัดเจนขึ้น 3. ชว่ ยเนน้ องค์ประกอบลำดบั ของเรอ่ื ง 4. ช่วยพัฒนาการอ่าน การเขียนและการคดิ 5. ชว่ ยวางแผนในการเขียน และการปรับปรุงการเขียน 6. ชว่ ยวางแผนการสอนของครู โดยการสอนแบบบรู ณาการเน้ือหา 7. ชว่ ยในการอภปิ ราย 8. เปน็ เครอื่ งมือประเมินผล วธิ ีการสร้างแผนภาพความคดิ การสร้างแผนภาพความคิด หรือการออกแบบแผนภาพความคิดเป็นการสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง ผู้สร้าง แผนภาพความคดิ อาจใชง้ านศลิ ปะเข้ามาชว่ ย โดยวาดภาพประกอบให้แผนภาพความคิดนา่ สนใจและทำให้เห็นภาพ
25 ของแผนภาพชัดเจนขึ้น การสร้างแผนภาพความคิดจะนำมาใช้ในการทำงานร่วมกันร่วมคิดร่วมทำ ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทำให้ผู้เรียนรู้จกั การวางแผนงาน การกำหนดงานที่จะต้องปฏิบตั ิ และเรียนรู้ การทำงานรว่ มกบั ผอู้ ื่น ข้นั ตอนการสร้างแผนภาพความคิด มดี งั น้ี 1. กำหนดช่อื เรือ่ ง หรือความคดิ รวบยอดสำคัญ 2. ระดมสมองทเี่ กี่ยวข้องกบั ชอื่ เร่อื ง หรือ ความคิดรวบยอดสำคัญเปน็ คำหรือวลีนั้น ๆแล้วจดบันทึกไว้ 3. นำคำหรือวลีที่จดบันทึกที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาจัดกลุ่ม แล้วตั้งชื่อกลุ่มคำเป็นหัวข้อย่อย และ เรียงลำดับกลุ่มคำ 4. ออกแบบแผนภาพความคดิ โดยเขยี นชือ่ เรื่องไว้กลางหนา้ กระดาษ แลว้ วางชอื่ กล่มุ คำหวั ข้อยอ่ ย รอบช่ือ เร่อื ง นำคำท่สี นบั สนุนวางรอบชื่อกลุ่มคำ แล้วใชเ้ ส้นโยงกลุ่มคำให้เห็นความสัมพนั ธ์ เสน้ โยงอาจเขียนคำอธิบายได้ กลุ่มคำอาจแสดงดว้ ยภาพประกอบ 3. การแต่งร้อยกรอง คำประพนั ธ์ หรอื ร้อยกรอง คือ การเรียงถ้อยร้อยคำตามระเบยี บขอ้ บงั คบั ตามฉนั ทลกั ษณ์มีหลายประเภท เชน่ กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ การแต่งกลอน คำประพนั ธ์ร้อยกรองประเภทกลอน มีหลายแบบเรยี กช่อื ตา่ ง ๆ ตามลักษณะฉันทลักษณท์ ี่ แตกตา่ งกันน้ัน ๆ เช่น กลอนสี่ กลอนห้า กลอนหก กลอนแปด กลอน สี่ กลอน ส่ี มี 2 แบบ คือ กลอนสี่ เปน็ คำประเภทกลอนใน 1 บท มี 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค วรรคละ 4 คำ ตาม หลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน สี่ ท่เี กา่ ที่สุดพบในมหาชาติคำหลวงกณั ฑม์ หาพน (สมยั อยธุ ยา) ตวั อย่างกลอนสี่ มี 2 แบบคือ กลอน สี่ แบบ 1 ประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 4 คำ การสมั ผัสของกลอนสีจ่ ะสัมผัสแบบกลอน ทั่วไป คือ คำสุดท้าย วรรคหนา้ สัมผัสกับคำที่สองของวรรคหลัง และคำสุดทา้ ยวรรคท่ีสองสมั ผัสกบั คำสดุ ท้ายวรรค ที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบทก็เช่นเดยี วกนั คอื คำสุดทา้ ยวรรคของบทแรก สัมผสั กับคำสุดทา้ ยของวรรคทีส่ องของ บทถัดไป กลอน ส่ี แบบ 2 บทหนง่ึ ประกอบดว้ ย 4 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 4 คำ ตามผงั ตัวอย่างสมั ผัสนอกในทุกบาท คำสดุ ท้ายของ วรรคหนา้ สมั ผัสกบั คำทส่ี องของวรรคหลัง มสี มั ผัสระหว่างบาททีส่ องกบั สาม คอื คำสดุ ทา้ ยวรรคที่สส่ี ัมผัสกบั คำ สุดทา้ ยวรรคท่ีหก ส่วนสัมผัสระหวา่ งบทนัน้ จะแตกต่างจากแบบแรกเนอ่ื งจากให้คำสุดทา้ ยของบทแรกสัมผัสกบั คำ สุดทา้ ยของวรรคท่ีสีข่ องบทถัดไป
26 ตวั อยา่ งกลอนสี่ ดวงจนั ทรว์ ันเพ็ญ ลอยเด่นบนฟ้า แสงนวลเย็นตา พาใจหฤหรรษ์ ชักชวนเพอ่ื นยา มาเล่นรว่ มกัน เด็กน้อยสขุ สนั ต์ บันเทงิ เรงิ ใจ กลอนแปด (กลอนสุภาพ) กลอนแปด เป็นคำประพันธท์ ไี่ ดร้ บั ความนิยมกนั ท่ัวไป เพราะเปน็ รอ้ ยกรองชนดิ ทมี่ ีความเรียบงา่ ยต่อการ สอ่ื ความหมาย และสามารถสือ่ ได้อย่างไพเราะ ซึ่งกลอนแปดมีการกำหนดพยางคแ์ ละสัมผสั ลกั ษณะคำประพนั ธ์ของกลอนแปด 1. บท บทหนึ่งมี 4 วรรค วรรคท่ีหนงึ่ เรยี กวา่ วรรคสดบั วรรคทสี่ องเรียกวรรครบั วรรคท่ีสามเรียกวรรครอง วรรคที่สี่เรียกวรรคสง่ แตล่ ะวรรคมแี ปดคำ จงึ เรยี กว่ากลอนแปด 2. เสยี งคำ กลอนแปดและกลอนทกุ ประเภทจะกำหนดเสียงท้ายวรรคเป็นสำคญั โดยกำหนดดงั น้ี คำทา้ ยวรรคสดบั กำหนดให้ใช้ไดท้ กุ เสียง คำทา้ ยวรรครับ กำหนดหา้ มใช้เสียงสามญั และตรี คำทา้ ยวรรครอง กำหนดให้ใชเ้ ฉพาะเสียงสามัญและตรี คำท้ายวรรคสง่ กำหนดให้ใชไ้ ดเ้ ฉพาะเสยี งสามัญและตรี 3. สัมผัส ก. สัมผัสนอก หรอื สัมผัสระหวา่ งวรรค เปน็ สมั ผสั บงั คับมีดงั นี้คำสดุ ท้ายของวรรคท่ีหน่ึง (วรรคสดบั ) สมั ผัส กับคำที่สามหรือท่หี ้าของวรรคท่สี อง(วรรครบั ) คำสดุ ทา้ ยของวรรคที่สอง (วรรครบั ) สัมผสั กบั คำสุดท้ายของวรรคทีส่ าม (วรรครอง)และคำที่สามหรอื คำท่ี ห้าของวรรคท่สี ่ี (วรรคส่ง) สมั ผัสระหวา่ งบท ของกลอนแปด คือ คำสดุ ทา้ ยของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) เป็นคำส่งสมั ผัสบงั คับให้บทต่อไปตอ้ งรับสัมผัสท่ี คำสดุ ทา้ ยของวรรคท่ีสอง (วรรครับ) ข. สมั ผัสใน แตล่ ะวรรคของกลอนแปด แบ่งชว่ งจังหวะออกเปน็ สามช่วงดงั น้ี อันกลอนแปด แปดคำ ประจำวรรค วางเป็นหลกั อกั ษร สุนทรศรี 4. การเขียนสื่อสาร เขียนสื่อสาร หมายถึง การเขียนที่ผอู้ ่ืนอา่ นแลว้ ไดค้ วามตามจุดมงุ่ หมายของผ้เู ขียน เช่น 1. การเขยี นประวัติตนเอง การเขยี นประวตั ิตนเองเปน็ การเขยี นขอ้ ความเพ่อื แสดงตนใหผ้ อู้ นื่ รจู้ กั รายละเอียดเก่ยี วกับ
27 เจา้ ของประวตั ิ โดยมีแนวการเขียนดงั นี้ ประวตั ิตนเอง ช่ือ ______________________________ นามสกลุ _______________________ เกดิ วนั ที่ __________ เดือน _________________ พ.ศ. _________ อายุ _________ สถานภาพสมรส ________ อาชพี _____________________ ท่อี ยู่ _______________________________________________________________ ___________________________________________________________________ สถานที่ทำงาน ________________________________________________________ ประวัตการศึกษา ______________________________________________________ ___________________________________________________________________ ประสบการณ์ในการทำงาน ______________________________________________ __________________________________________________________________ ความรู้ความสามารถพเิ ศษ ______________________________________________ 2. การเขียนเรยี งความ การเขยี นเรยี งความ คอื การนำคำมาประกอบแต่งเป็นเร่อื งราว เป็นการแสดงออกทาง ความคดิ และประสบการณข์ องผู้เขยี นเพอ่ื ใหผ้ ้อู นื่ ทราบ องค์ประกอบของการเขียนเรียงความ การเขยี นเรยี งความประกอบดว้ ย 3 สว่ นคือ 1. คำนำ เป็นการเริม่ ตน้ ของเรยี งความท่เี ป็นสว่ นดึงดูดใจ ใหผ้ ูอ้ ่านสนใจ 2. เน้อื เรือ่ ง เปน็ เน้อื หาสาระของเรียงความท้งั เรื่อง 3. บทสรปุ เป็นการสรปุ แก่นของเร่ือง ไมค่ วรจะยาวมาก 3. การเขยี นยอ่ ความ การยอ่ ความ คอื การนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเขยี นใหม่ดว้ ยสำนวนภาษาของผู้ยอ่ เอง เมือ่ เขยี นแลว้ เน้ือความเดิมจะส้นั ลง แต่ยังมีใจความสำคัญครบถ้วนสมบรู ณ์ ใจความสำคญั คือ ข้อความสำคญั ในการพดู หรือการเขยี นท่เี ป็นรายละเอยี ด นำมาขยาย ใจความสำคัญให้ชดั เจนยงิ่ ข้นึ ถา้ ตดั ออกผูฟ้ ังหรือผอู้ ่านก็ยงั เขา้ ใจเร่อื งนน้ั ได้ หลักการย่อความ 1. อา่ นเน้อื เร่ืองทจ่ี ะย่อใหเ้ ข้าใจ 2. จับใจความสำคัญท่ีจะย่อหนา้ 3. นำใจความสำคญั แต่ละยอ่ หนา้ มาเขียนใหม่ดว้ ยภาษาของตนเอง โดยตอ้ งคำนึงถึง
28 สงิ่ ต่าง ๆ ดังนี้ 3.1 ไมใ่ ช้อักษรยอ่ ในขอ้ ความทีย่ ่อ 3.2 ถา้ มีราชาศพั ท์ ให้คงไว้ไม่ตอ้ งแปล 3.3 ไมใ่ ชเ้ ครอ่ื งหมายต่าง ๆ ในข้อความทยี่ อ่ 3.4 เน้ือเรื่องที่ยอ่ แล้ว เขียนติดต่อกนั ในย่อหนา้ เดียวควรมคี วามยาวประมาณ1 ใน 4 ของเรือ่ งเดิม 4. การเขยี นข่าว การเขยี นขา่ ว ประกาศและแจ้งความ เป็นส่วนหนงึ่ ของจดหมายราชการหรอื หนงั สอื ราชการ ซ่งึ เปน็ หนังสือท่ีใช้ ติดต่อกันระหวา่ งเจ้าหน้าทข่ี องรฐั กับบุคคลภายนอกดว้ ยเรอื่ งเกี่ยวกับราชการการเขยี นขา่ ว ประกาศ และแจง้ ความ จัดอย่ใู นจดหมายราชการประเภทหนังสอื สัง่ การและโฆษณา ซึง่ ประกอบดว้ ย ข้อบังคับ ระเบียบ คำสงั่ คำแนะนำ คำชแ้ี จง ประกาศ แจง้ ความแถลงการณ์ และขา่ ว ซึ่งจะยกตัวอย่างในการเขยี นขา่ วดังนี้ การเขียนข่าว คือ บรรดาข้อความท่ีทางราชการเห็นสมควรเปิดเผย เพื่อแจ้งเหตกุ ารณ์ทีน่ ่าสนใจให้ทราบ รูปแบบการเขยี นขา่ ว ขา่ ว ..................................... ชื่อส่วนราชการที่ออกข่าว .................................................. เร่อื ง ........................................................................ ข้อความทเ่ี ป็นข่าว .......................................................................................................... ส่วนราชการเจ้าหน้าท่ี วนั เดอื น ปี 5. การเขียนรายงาน การค้นคว้าและอ้างองิ ความรู้ การเขยี นรายงานการค้นควา้ การเขียนรายงานเป็นการเขียนผลการศึกษาจากการค้นคว้า เพอ่ื นำเสนอผู้บงั คบั บญั ชาหรอื ผู้สอน หลกั การเขยี นรายงาน 1. ข้อมูลท่ีเขยี นตอ้ งเป็นความจรงิ 2. ข้อมูลทนี่ ำมาจากผรู้ อู้ ืน่ ตอ้ งเขียนเปน็ เชิงอรรถและบรรณานกุ รม 3. เขยี นเปน็ ทางการ ใชภ้ าษาถกู ต้อง และชัดเจน สว่ นประกอบของรายงาน 1. ปกหน้า ประกอบด้วยชื่อเร่ือง ช่อื ผู้เขียน และนำเสนอผู้ใด 2. คำนำ เปน็ ความเรียงมี 3 สว่ น คือ ความเปน็ มาและวตั ถปุ ระสงค์ สาระของรายงาน ประโยชน์ท่ีไดร้ ับ และขอบคุณผมู้ ีส่วนช่วยเหลอื 3. สารบญั 4. เนื้อหาสาระ 5. บรรณานกุ รม การเขียนอ้างอิงความรู้
29 การเขยี นอา้ งอิงความรู้ หมายถึง การเขียนเชงิ อรรถและบรรณานกุ รม 1. เชงิ อรรถ เชงิ อรรถเป็นชอื่ ผเู้ ขียน ปีทพี่ มิ พ์และเลขหนา้ หนังสอื ทีน่ ำไปใช้ประกอบการเขียน เชน่ อุทัย ศริ ศิ ักดิ์ (2550, หนา้ 16) การฟงั หมายถงึ การรบั สารและตคี วามสารที่ได้ยินหรืออา่ น การเขียนอ้างอิงลกั ษณะน้จี ะไมไ่ ดเ้ ขยี นชือ่ หนังสือ ชือ่ หนงั สือจะเขียนในหน้าบรรณานกุ รม 2. บรรณานุกรม บรรณานกุ รม ประกอบดว้ ยรายชอื่ หนังสือท่ีใชป้ ระกอบการเขียน โดยจะต้องเขยี น เรียงตามตวั อกั ษรช่ือผู้แต่ง โดยเขยี นช่ือผแู้ ต่ง ชือ่ หนงั สือ ช่อื สถานท่พี มิ พ์ ชอื่ โรงพมิ พ์และปที ่ีพิมพ์ เชน่ กนกอร ทองคำ. การใชภ้ าษาไทย, กรงุ เทพฯ: ไทยววิ ัฒน์, 2549 ศิรอิ ร ทองคำไพ. หลกั การใชภ้ าษา, นนทบุร:ี ไทยเจริญ, 2550 6. การกรอกแบบรายงาน การกรอกแบบรายงาน เปน็ การกรอกแบบฟอร์มของหน่วยราชการหรอื หนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทีใ่ ห้กรอก เพือ่ แสดงขอ้ มลู ท่ีหน่วยงานนัน้ ๆ ต้องการทราบ เช่น การกรอกใบสมัครเรียน การ กรอกแบบฟอร์มธนาณัติ แบบฟอรม์ ฝากเงิน เป็นตน้ หลกั การกรอกแบบรายการ 1. อา่ นข้อความในแบบรายการนนั้ ๆ ให้เขา้ ใจกอ่ นจะเขียนขอ้ ความ 2. เขียนใหถ้ กู ต้องและสะอาด 3. กรอกขอ้ ความตามความจริง 4. ใช้ถอ้ ยคำสน้ั ๆ และกะทัดรัด 5. ปฏบิ ตั ิตามขอ้ บังคบั หรอื คำแนะนำของแบบรายการน้ัน ๆ แบบรายการที่ใช้ในชวี ิตประจำวัน 1. แบบฟอร์มธนาณัติ 2. แบบฟอรม์ ส่งพสั ดทุ างไปรษณยี ์ 3. แบบฟอร์มสมคั รงาน 4. แบบฟอรม์ คำร้อง 5. แบบฟอร์มสัญญา 6. แบบฟอร์มฝากเงิน ถอนเงนิ ของสถาบนั การเงิน ประโยชนข์ องการกรอกแบบรายการ 1. ช่วยให้ผู้กรอกไมต่ ้องเขยี นข้อความทย่ี ืดยาวลงไปทง้ั หมดจะเขยี นแต่เฉพาะรายละเอียด ท่ีผ้จู ัดทำแบบรายการต้องการเทา่ นั้นทำให้เกิดความสะดวกรวดเรว็ 2. ช่วยให้ผู้จัดทำข้อมลู สามารถเก็บขอ้ มูลทตี่ ้องการได้รวดเร็วและใช้เปน็ หลกั ฐานเอกสาร ไดด้ ้วย
30 7. มารยาทในการเขียนและนิสยั รกั การเขยี น มารยาทในการเขยี น ประกอบด้วย 1. มีความรับผิดชอบ 2. มกี ารตรวจสอบความถกู ตอ้ งเพือ่ ให้ผู้อา่ นไดอ้ า่ นงานเขียนที่ถูกต้อง 3. มีการอา้ งอิงแหล่งขอ้ มลู เพ่อื ให้เกียรติแกเ่ จ้าของความคิดทีอ่ ้างองิ 4. มีความเที่ยงธรรม ตอ้ งคำนงึ ถึงเหตมุ ากกวา่ ความรสู้ ึกสว่ นตน 5. ความสะอาดเรยี บรอ้ ย เขยี นด้วยลายมอื อ่านง่าย รวมท้งั การเลอื กใชก้ ระดาษและสนี ำ้ หมกึ 6. เขียนเชิงสร้างสรรคไ์ ม่เขียนเพอื่ ทำลายหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ผอู้ ืน่ 7. ไมเ่ ขยี นในทไ่ี ม่สมควร เช่น สถานท่ีสาธารณะ 8. ไม่ขดี หรอื เขียนข้อความในหนงั สอื เอกสารอื่น ๆ ทเี่ ป็นของประชาชนโดยรวม เช่น หนงั สอื หอ้ งสมดุ การสร้างนสิ ัยรักการอ่าน 1. เริ่มตน้ ด้วยการเขียนส่งิ ทงี่ า่ ย และไม่ใช้เวลามาก 2. เขยี นต่อเนอ่ื งจากการเขยี นครงั้ แรก เช่น การเขียนบันทกึ ประจำวนั 3. เริ่มเขียนดว้ ยข้อความที่ง่ายและสนั้ และกำหนดเวลากับตนเองให้พยายามเขียนทุกวัน ตามระยะเวลาท่พี อใจจะทำใหเ้ ขียนไดโ้ ดยไมเ่ บ่ือ การเขียนบนั ทึก การเขยี นบนั ทึกเป็นวธิ ีการเรยี นรู้และจดจำทด่ี ี ข้อมูลท่ีถูกบนั ทกึ ไวย้ ังสามารถนำไปเป็น หลักฐานอ้างอิงได้ เชน่ การจดบนั ทึกจากการฟัง บันทึกการประชุม บนั ทกึ ประจำวนั บนั ทึกจาก ประสบการณ์ตรง เป็นต้นการเขียนบนั ทึกประจำวัน ซงึ่ เปน็ บนั ทึกที่ผเู้ ขียนได้จดบนั ทึกสม่ำเสมอ มแี นวทางในการ เขยี นดังนี้ 1. บันทกึ เปน็ ประจำทกุ วันตามความเปน็ จริง 2. บอก วนั เดือน ปี ที่บนั ทกึ ไว้อยา่ งชดั เจน 3. บนั ทึกเร่ืองท่ีสำคญั และน่าสนใจ 4. การบันทึกอาจแสดงความรู้สึกสว่ นตวั ลงไปด้วย 5. การใชภ้ าษาไม่มรี ูปแบบตายตัว ใช้ภาษาง่าย ๆ
31 การเขยี นเรยี งความ ความหมายของเรยี งความ เรียงความ เปน็ งานเขียนชนิดหน่ึงทผี่ ู้เขียนมีจุดประสงค์จะถา่ ยทอด ความรู้ ความคดิ ทรรศนะ ความรู้สกึ ความเข้าใจออกมาเปน็ เร่ืองราว ดว้ ยถอ้ ยคำสำนวนที่เรยี บเรยี งอยา่ ง ชัดเจนและทว่ งทำนองการเขียนทนี่ า่ อา่ น การเลือกเรื่องท่ีจะเขียนเรียงความ หากจะตอ้ งเป็นผู้เลือกเรื่องเอง ควรเลือกตามความชอบหรือความถนดั ของตนเอง การคน้ คว้าหาขอ้ มูลอาจ ทำไดโ้ ดยการค้นควา้ จากหนังสือ นติ ยสาร วารสาร อินเทอร์เน็ต หรอื สอ่ื อ่นื ๆ ประเภทของเร่ืองทจ่ี ะเขยี นเรียงความ ๑.เร่ืองทเี่ ขยี นเพอ่ื ความรู้ ๒.เร่ืองท่ีเขยี นเพอื่ ความเข้าใจ ๓.เร่ืองทเ่ี ขยี นเพื่อโนม้ นา้ วใจ องคป์ ระกอบของเรียงความ เรียงความมีองค์ประกอบ ๓ สว่ น คอื คำนำ เนอ้ื เร่อื ง และสรุป งานเขยี นทกุ ประเภทจะตอ้ ง ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสามสว่ นน้ี ดังจะไดก้ ล่าวถึงรายละเอยี ดขององค์ประกอบพร้อมกับกลวิธกี ารเขียน ตอ่ ไปนี้ ๑. คำนำ เป็นสว่ นหนงึ่ ของเรยี งความสว่ นแรกท่ีมหี น้าที่เปดิ ประเดน็ เขา้ ส้เู รือ่ ง เปน็ การบอกให้ผูอ้ ่าน ทราบว่าผเู้ ขียนจะเขียนเรอื่ งอะไร เพ่ือชักนำให้คนสนใจอา่ นเนอ้ื เรื่องตอ่ ไป คำนำเปน็ สว่ นที่สำคัญสว่ นหนง่ึ ของ เรยี งความเพราะเปน็ ส่วนชว่ ยดงึ ดดู ใหผ้ อู้ า่ นหันมาสนใจเรือ่ งราวทเ่ี ขยี น ผู้อา่ นจะอา่ นเรอื่ งต่อไปหรอื ไม่กอ็ ยทู่ ่คี ำนำ นน้ั เอง ๒. เน้อื เรื่อง หรือ เนือ้ ความ เป็นส่วนท่ีสำคญั ท่ีสุดของการเขียนเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่เสนอความรู้ ความคดิ ความเข้าใจทรรศนะหรือความรู้สกึ ของผู้เขยี นใหแ้ จม่ แจ้งโดยอาจจะยกอทุ าหรณ์ สภุ าษติ และ ประสบการณ์ของผเู้ ขยี นมาสนบั สนนุ เรอ่ื งทเ่ี ขียนได้ นกั เรียนจะตอ้ งคิดกอ่ นเปน็ ข้นั แรกวา่ จะเลอื กเขียนเร่ืองอะไร มวี ตั ถุประสงค์และมีขอบเขตในการเขียน กวา้ งหรือแคบเพยี งใด เมื่อคิดวางแผนเป็นลำดบั ดังกลา่ วแลว้ ก็เริ่มเขยี นโครงเรือ่ งเพอ่ื เปน็ แนวทางในการเขียน ขั้นตอนต่อไปคือการเรียงเนื้อหาไปตามโครงเรื่องทีไ่ ด้กำหนดไว้ โครงเรื่องที่กำหนดไว้เป็นข้อ ๆ นั้นก็คือ เนื้อหาในย่อหน้าหนึ่ง ๆ นั้นเอง เมื่อจะขยายความแต่ละหัวข้อก็ย่อมจะได้ย่อหน้าที่มีเนื้อหาเป็นเอกภาพและมี นำ้ หนกั และถ้าเขียนแต่ละย่อหน้ามีประโยคใจความสำคัญ และมปี ระโยคขยายความที่สนบั สนุนประโยคใจความ
32 สำคัญอย่างชัดเจนแล้ว เรียงความเรื่องนั้นกจ็ ะเป็นเรียงความท่ีมีเนื้อหาสมบูรณ์เรียงความแต่ละเรื่องจะมีย่อหน้า เร่อื งเท่าใดก็ได้ แตเ่ ปน็ ไปไมไ่ ดท้ ี่เรียงความเรอ่ื งหนึง่ จะมยี อ่ หน้าเนื้อเร่อื งเพยี งพอหนา้ เดียว ในการเขียนเรียงความนั้น การใช้ถ้อยคำภาษาเป็นสิ่งสำคัญมาก นักเรียนจะต้องพิถีพิถันในการใช้ ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาแบบเป็นทางการ กล่าวคือภาษาจะถูกต้องตามหลักการเขียน มีการเลือกสรร ถอ้ ยคำมาเรยี บเรยี งให้กะทัดรดั ชดั เจนอ่านเขา้ ใจงา่ ย ราบรืน่ สละสลวย และมลี ีลาการเขยี นท่นี ่าสนใจ ๓. สรุป เป็นสว่ นสุดทา้ ยของเรียงความที่ผู้เขียนจะเนน้ ความรู้ ความคดิ หลกั หรอื ประเด็นสำคัญของเรอ่ื ง ทเ่ี ขยี นอกี ครง้ั หน่ึง การสรุปนับวา่ มีส่วนสำคัญเท่ากบั คำนำ เพราะเป็นสว่ นช่วยเสรมิ ให้เรียงความมคี ณุ ค่าขึน้ การวางโครงเร่ืองกอ่ นเขยี น เมอ่ื ได้หัวข้อเรื่องแล้ว ตอ้ งวางโครงเรื่องโดยคำนึงถงึ การจัดการจัดลำดบั หวั ขอ้ เร่ืองท่ีจะเขียนใหส้ มั พันธ์ ตอ่ เนื่องกัน เชน่ - จัดลำดับหวั ขอ้ ตามเวลาทเ่ี กิด - จัดลำดบั หัวขอ้ จากหนว่ ยเลก็ ไปสู่หน่วยใหญ่ - จดั ลำดบั ตามความนยิ ม โครงเร่ืองของงานเขียนควรจดั หมวดหมู่ของแนวคิดสำคัญเพอ่ื เปน็ แนวทางในการเขียน โครงเรอื่ ง เปรยี บเสมอื นแปลนบา้ นผูส้ ร้างบา้ นจะต้องใช้แปลนบ้านเปน็ แนวทางในการสรา้ งบ้าน การเขยี นโครงเรือ่ งจึงมี ความสำคญั ทำให้ผู้เขียนเรียงความเขียนได้ตรงตามจุดประสงคท์ ่ีตั้งไว้ ถ้าไมเ่ ขียนโครงเรอื่ งหรอื ไม่วางโครงเรอื่ ง เรยี งความอาจจะออกมาไมต่ รงตามทผ่ี ูเ้ ขียนต้องการ การเขยี นยอ่ หน้า การยอ่ หนา้ เปน็ สง่ิ จำเป็นอกี อย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผ้อู ่านอ่านเข้าใจง่ายและอา่ นได้เรว็ มชี ่องว่างให้ได้ พักสายตา ผ้เู ขียนเรยี งความไดด้ ตี อ้ งรู้หลกั ในการเขยี นยอ่ หน้า และนำย่อหนา้ แต่ละยอ่ หน้ามาเช่อื มโยงใหส้ ัมพันธ์ กัน ในยอ่ หนา้ หน่งึ ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดยี ว ถา้ จะขน้ึ สาระสำคัญใหม่ให้เขียนในยอ่ หนา้ ต่อไป ดังนัน้ การ ยอ่ หนา้ จะมากหรือนอ้ ย ขึน้ อยกู่ บั สาระสำคัญทตี่ ้องการเขยี นถงึ ในเน้อื เร่ือง แตอ่ ย่างนอ้ ยเรียงความตอ้ งมี ๓ ยอ่ หน้า คือย่อหน้าที่เปน็ คำนำ เน้ือเร่อื ง และสรปุ การเช่ือมโยงยอ่ หนา้ การเช่ือมโยงยอ่ หนา้ ทำให้เกิดสมั พนั ธภาพระหว่างย่อหน้าเรยี งความเร่อื งหน่ึงย่อมประกอบด้วยย่อหน้า หลายยอ่ หนา้ การเรียงลำดับยอ่ หนา้ ตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความเก่ยี วเนอ่ื งเปน็ เรือ่ งเดียวกัน วธิ ีการ เชอื่ มโยงย่อหนา้ แต่ละย่อหนา้ กเ็ ชน่ เดียวกนั กบั การจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรอ่ื งซึง่ มีดว้ ยกนั ๔ วิธคี ือ ๑. การลำดับยอ่ หน้าตามเวลาอาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรอื ตามเหตุการณท์ ่ีเกดิ ข้นึ ก่อนไปยงั เหตกุ ารณ์ ทเี่ กดิ ขน้ึ ภายหลงั ๒. การลำดบั ย่อหนา้ ตามสถานทเี่ รยี งลำดับข้อมลู ตามสถานท่หี รอื ตามความเปน็ จริงที่เกดิ ข้นึ ๓. การลำดบั ย่อหนา้ ตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สดุ สำคัญรองลงมาไปถึงสำคญั
33 นอ้ ยทส่ี ดุ ๔. การลำดบั ย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดบั จากเหตไุ ปหาผลหรอื ผลไปเหตุ วดิ ีโอให้ความรู้เร่อื งการเขยี นเรยี งความ
34 การเขียนบรรยาย ความหมายการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนเลา่ เหตุการณ์ใดเหตุการณห์ นึ่งที่เกิดขน้ึ เพอื่ ใหผ้ อู้ ่านเห็นภาพ เหตกุ ารณ์ ลำดับเวลา สถานที่ บุคคล ผู้เขยี นควรกล่าวถึง เหตุการณใ์ ห้ชัดเจน โดยมีขอ้ มูลและเน้อื หา สาระของเร่อื งที่จะแสดงความคดิ บางครัง้ อาจแทรกบทสนทนาตวั ละครทำให้ผู้อา่ นเข้าใจลักษณะ อารมณค์ วามคิดของตัวละครและเข้าใจเรอ่ื งทัง้ หมด จุดมุ่งหมายของการเขียนบรรยาย การเขยี นบรรยายใชแ้ สดงความคิดเห็นได้หลายรปู แบบ เช่น ใช้ในคำประพันธ์แบบเล่าเรือ่ ง เล่าเหตกุ ารณ์ การเขยี นชีวประวตั ิ การเขียนบันทึก การให้ขอ้ มูล การรายงานขา่ ว เป็นต้น การเขียน บรรยายเปน็ การเขยี นเลา่ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของเร่ืองตามทเี่ ปน็ อยูโ่ ดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง ประเภทของเรอื่ งที่ใชว้ ธิ ีการเขยี นบรรยาย งานเขยี นที่ใชก้ ลวธิ กี ารเขียนบรรยาย แบ่งออกเป็นประเภทตา่ งๆ ดังต่อไปน้ี ๑. อัตชีวประวัติหรอื การเล่าประวตั ิชวี ิบุคคลต่างๆ ๒. ขอ้ เท็จจรงิ หรือเหตกุ ารณ์ทางประวตั ิศาสตร์ ๓.เรือ่ งทแี่ ต่งขึ้นหรือเหตุการณ์ทเี่ กดิ ข้ึน ข้อสังเกตการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายกล่าวข้างตน้ เปน็ การเรยี นบรรยายตามความจริง สามารถใช้เป็นหลักฐาน อา้ งองิ ไมม่ ีการสอดแทรกอารมณห์ รอื ความรสู้ ึกลงไปในงานเขียน กลวธิ ใี นการบรรยาย กอ่ นท่ีจะบรรยายเร่อื งตา่ งๆ เราจะต้องกำหนดวา่ จะบรรยายเร่ืองอะไรขอบเขตแค่ไหน เพราะ การกำหนดเรอื่ งและขอบเขตของเรอ่ื ง จะตอ้ งสัมพันธก์ ับกาลเทศะ ประเภทของผู้อา่ นผฟู้ ัง เม่ือ กำหนดเรอ่ื งและขอบเขตของเร่ืองไดแ้ ลว้ ขน้ั ต่อไปจึงเลือกกลวธิ ใี นการบรรยาย ซ่ึงอาจแบ่งได้ เปน็ ๓ วธิ ี คือ ๑. การบรรยายแบบละคร ๒. การบรรยายลกั ษณะทั่วไป ๓. การบรรยาย
35 วิดีโอให้ความรเู้ ร่ืองการเขียนบรรยาย
36 การเขียนยอ่ ความ การเขยี นยอ่ ความ หมายถึง การเก็บใจความสำคัญ ของเร่อื งมาเรยี บเรียงใหม่ ให้สั้นกว่าเดมิ แต่มีใจความ สำคัญ ครบถว้ นสมบูรณ์ วา่ ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เม่อื ไร อยา่ งไร ประโยชนข์ องการย่อความ ๑. ชว่ ยให้การอ่านและการฟังได้ผลดียิง่ ข้ึน ช่วยให้เขา้ ใจและจดจำขอ้ ความสำคญั ท่ไี ด้ จากการอา่ นการฟงั สะดวกและรวดเรว็ ๒. ช่วยในการจดบนั ทกึ เมอ่ื ได้ฟังหรือศกึ ษาวชิ าใดกต็ าม รูจ้ ักจดขอ้ ความท่ีสำคญั ลงสมดุ ได้ทันเวลาและ ไดเ้ ร่ืองราว ๓. ชว่ ยในการเขียนตอบแบบฝึกหัดหรอื ขอ้ สอบ กล่าวคอื ผู้ตอบจะตอ้ งยอ่ ความรูท้ ัง้ หมด ท่ีมีอย่ใู ห้อยใู่ นรูป ของขอ้ เขียนส้ันๆ แต่มีใจความครบถว้ น ๔. ช่วยเตือนความทรงจำ นกั เรียนอา่ นหนังสือแลว้ ทำบทย่อเปน็ ตอนๆ หรือเป็นระยะๆ ควรทำตดิ ตอ่ กัน อยา่ งสมำ่ เสมอ จะช่วยให้ไม่ต้องอา่ นหนงั สือซำ้ ใหม่ตลอดเลม่ ๕. ช่วยประหยดั เงินในการเขยี นขอ้ ความในโทรเลข หรอื การสอ่ื สารทางอิเลคโตรนคิ ได้ ถ้ารู้จกั ย่อความจะ เขียนข้อความได้สั้นๆ เนอื้ ความกะทัดรัดชัดเจน ผู้อา่ นเขา้ ใจเรอ่ื งราว วิธกี ารเขียนยอ่ ความ ทำได้ ดงั น้ี ๑. อา่ นเรอื่ งที่จะยอ่ ความให้จบอยา่ งนอ้ ย ๒ คร้ัง เพ่อื ให้ทราบว่าเรอ่ื งนั้นกลา่ วถึงใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมอื่ ไร และผลเปน็ อยา่ งไร ๒. บนั ทึกใจความสำคญั ของเร่ืองท่อี า่ น แลว้ นำมาเขยี นเรยี บเรียงใหม่ด้วยสำนวนของตนเอง ๓. อ่านทบทวนใจความสำคญั ท่ีเขียนเรียบเรยี งแล้ว จากน้ันแก้ไขให้สมบูรณ์ โดยตัดขอ้ ความทซ่ี ำ้ ซ้อนกัน ออก เพ่ือใหเ้ นอ้ื หากระชับ และเชอื่ มขอ้ ความใหส้ ัมพนั ธ์กันตงั้ เเต่ตน้ จนจบ ๔. เขียนย่อความให้สมบรู ณ์ โดยเขียนแบบขนึ้ ตน้ ของย่อความตามรูปแบบของประเภทข้อความน้นั ๆ เช่น การย่อนิทาน การย่อบทความ ๕. การใช้สรรพนาม การเขียนย่อความไม่นยิ มใช้สรรพยามบุรุษที่ ๑ และสรรพนามบรุ ุษที่ ๒ คอื ฉนั คุณ ทา่ น แต่จะใช้สรรพนามบุรุษท่ี ๓ เช่น เขา และไม่เขยี นโดยใชอ้ ักษรย่อ นอกจากนี้ หากมีการใชค้ ำราชาศัพทต์ ้อง เขยี นใหถ้ ูกต้อง ไม่ควรตดั ทอน วิดีโอให้ความรเู้ ร่ืองการเขยี นยอ่ ความ ใบงานท่ี 4
37 เรอ่ื ง การเขยี น วชิ า พท 21001 ภาษาไทย ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาวีดโี อ เร่อื ง ภาษาไทยเพ่ือการสอ่ื สารการพัฒนาทักษะการเขยี น, การเขียนรายงานโดยสแกนคิวอา โคด้ และศึกษาใบความรเู้ รอ่ื ง การเขียน ศกึ ษาวีดีโอเรือ่ ง ภาษาไทยเพอ่ื การส่ือสารการพฒั นาทักษะการเขยี น ศึกษาวดี โี อเรอ่ื ง การเขียนแผนผงั ความคิด ศึกษาวีดโี อเรอ่ื ง การเขยี นรายงาน
38 1. ให้ผู้เรียนรวบรวมคำที่มักเขียนผิดตามสื่อ ร้านค้า โฆษณา และที่สาธารณะต่าง ๆ มาจำนวน 15 คำ พร้อมท้ัง แก้ไขใหถ้ กู ตอ้ งด้วย คำท่เี ขยี นผิด คำทแ่ี กไ้ ข คลีนิค คลินกิ 2. รูปแบบของแผนภาพความคิด มีกแ่ี บบ อะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เรยี งความคืออะไร และมีองคป์ ระกอบอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. แนวทางในการเขยี นเรยี งความมอี ะไรบา้ ง (ตอบโดยสรปุ ) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
39 5. ใหผ้ ู้เรยี นศึกษาเรือ่ งทตี่ นเองสนใจคนละเร่ือง 1 เรือ่ ง และเขียนรายงาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
40 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 5 กลุ่มสาระการเรยี นรู้พื้นฐาน รายวิชา ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ หลักการใช้ภาษา เวลา 40 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะพ้ืนฐาน เกย่ี วกับภาษาและการสื่อสาร 2. ตวั ช้วี ดั 2.1 อธบิ ายความแตกต่างของคำพยางค์ วลี ประโยค การสะกดคำได้ถกู ตอ้ ง 2.2 ใชเ้ ครื่องหมายวรรคตอนอกั ษรยอ่ คำราชาศัพท์ ไดถ้ กู ตอ้ ง 2.3 อธบิ ายความแตกต่างระหวา่ งภาษาพูดและภาษาเขียน 2.4 อธิบายการใช้ ความแตกต่างและความหมายของสำนวน สุภาษติ คำพังเพย และนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ถกู ตอ้ ง 3. สาระสำคญั การใช้ทักษะทางภาษาในการแสวงหาความรู้ การระดมความคิด การประชุม การวิเคราะห์ การประเมิน การเข้าใจระดับของภาษา สามารถใช้พดู และเขียนไดด้ ี ทำใหเ้ กิดประโยชน์ทั้งตอ่ สว่ นตนและส่วนรวม ทง้ั ยงั เป็นการ อนุรกั ษ์ขนบธรรมเนยี มประเพณี และวัฒนธรรมไทย 4. จดุ ประสงค์ ความรู้ ในบทเรยี นน้ีผู้เรียนจะสามารถ 1. เพอ่ื ให้ผ้เู รียนสามารถอธิบายความแตกตา่ งของคำพยางค์ วลี ประโยค ได้ถูกตอ้ ง 2. เพอ่ื ให้ผ้เู รยี นสามารถใชเ้ ครอื่ งหมายวรรคตอน อักษรย่อ คำราชาศพั ท์ ได้ถูกตอ้ ง 3. เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนสามารถอธบิ ายความแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียน 4. เพือ่ ให้ผูเ้ รียนสามารถอธบิ ายความแตกตา่ งและความหมายของสำนวน สุภาษิต คำพงั เพย และนำไปใช้ ในชวี ติ ประจำวันได้ถูกตอ้ ง 5. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ขอ้ ท่ี 3 มวี ินัย ขอ้ ท่ี 4 ใฝเ่ รยี นรู้ ขอ้ ท่ี 6 มุ่งมนั่ ในการทำงาน ขอ้ ที่ 8 มจี ิตสาธารณะ
41 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ 6.1 ให้ผู้เรียนเลน่ เกมแข่งขันสรา้ งคำจากตวั อักษรท่ใี ห้ 1) รไรกรก (กรรไกร) 2) พะเฉา (เฉพาะ) 3) มาถกั ซ (ซักถาม) 4) นนาทส (สนทนา) 6.2 ให้ผ้เู รียนบอกความรู้สึก เห็นคำแรกแลว้ รสู้ กึ อยา่ งไร 6.3 แบ่งกล่มุ ผู้เรยี นตามความเหมาะสม ใหแ้ ต่ละกล่มุ รว่ มกันอธบิ ายเปน็ แผนทีค่ วามคิด ตาม ประเดน็ ต่อไปนี้ 1) หลกั ในการสะกดคำ คืออะไร 2) การใช้เครื่องหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ คำราชาศัพท์ 3) การใช้คำ เชน่ คำประสม คำซอ้ น คำซำ้ คำสมาส คำสนธิ 4) ชนดิ ของประโยค 5) การใชร้ ะดบั ภาษาทเ่ี ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ 6) การใช้สำนวน สุภาษิต คำพังเพย 7) หลกั การแตง่ คำประพนั ธ์ประเภทตา่ ง ๆ เช่น กาพยย์ านี 11 กาพยฉ์ บัง 16 กลอน 6.4 ใหผ้ ูเ้ รียนและผู้สอนรว่ มกนั สรปุ ความหมาย และความสำคญั ของประเด็นข้างต้น 6.5 ผเู้ รยี นทำใบงานเรอื่ ง หลักภาษาไทย และบันทึกความรู้ทไี่ ด้รบั ลงในสมดุ บนั ทึกการเรยี นรู้ 7. การเรียนรูต้ อ่ เนือ่ ง (32 ชม.) 7.1 ใหผ้ เู้ รยี นหาคำราชาศัพท์โดยแบ่งเป็นหมวด เช่น - หมวดเครื่องใช้ - หมวดร่างกาย - หมวดเครอื ญาติ ราชตระกลู - หมวดคำกรยิ า - หมวดสรรพนาม - หมวดพระสงฆ์ 7.2 ให้ผเู้ รยี นแต่งคำประพันธป์ ระเภทรอ้ ยกรอง ไดแ้ ก่ - กาพย์ - กลอน - โคลง - ฉันท์
42 - รา่ ย 7.3 ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาธรรมชาตขิ องภาษาแลว้ จดบันทึกลงในสมดุ 8. สื่อ อปุ กรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ 1. บตั รภาพสุภาษิต คำพงั เพย 2. แบบฝกึ การเขียน 3. ใบงาน การแตง่ ประโยค 9. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 9.1 วิธกี ารวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ สงั เกตพฤตกิ รรมการรว่ มกจิ กรรม 9.2 เครือ่ งมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมการร่วมกจิ กรรม 9.3 เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ เกณฑ์การผ่านจากการสังเกตพฤตกิ รรมการร่วมกิจกรรมต้องได้คะแนนอยา่ งน้อยรอ้ ยละ 80 4 = ดีมาก 3 = ดี 2 = พอใช้ 1 = ควรปรบั ปรงุ
43 10. บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ รายวิชา....................................รหสั รายวิชา...............................................สัปดาห์ที.่ ................. แผนการจดั การเรียนรู้ครัง้ ที.่ .........ระดับ.....................กล่มุ .............. รายวิชา .................................... 10.1 ผลการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ 10.2 ปญั หาและอปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................................................................... .......................... 10.3 แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ........ .......................................................................................................................... ........................................... 10.4 ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ …………….………………….. ผ้บู ันทึก (…………………………………………) คร.ู .......................... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………....…………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… … (นางจิดาภา บวั ทอง) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอดอนตมู
44 แบบทดสอบก่อนเรยี น เรือ่ งหลกั การใชภ้ าษา คำสั่ง ใหเ้ ลอื กคำตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงคำตอบเดียว 1. คำนาม คอื อะไร ก. คำที่เป็นชื่อของคน สตั ว์ สถานท่ี สง่ิ ของ
ข. คำท่ใี ชเ้ รียกคน สัตว์ สถานที่ ส่งิ ของ 45 ค. คำที่สร้างมาจากคำกริยา โดยใช้คำว่า \"การ\" และ \"ความ\" นำหนา้ ง. ปีใหมน่ จี้ ะไปฉลองท่ีไหนดี ง. คำท่ีแสดงลักษณะของคำอ่นื ว่าเป็นอย่างไร รวมท้งั บอกการกระทำวา่ ทำอะไร 7. ประโยคใดเป็นประโยคความรวม ก. นักกีฬาทมี ชาติไทยมุ่งม่ันไปสูจ่ ุดหมาย 2. ข้อใดใช้ลักษณะนามผิด ข. กมลอ่านหนังสือสารคดซี ึง่ แม่ซ้อื มาให้ ค. พอพอ่ กลับถงึ บา้ นแม่กเ็ ตรยี มอาหารเยน็ เสร็จ ก. ขลุ่ย – เลา ข. สวงิ – ปาก แลว้ ค. งาช้าง – งา ง. สักวา - บท ง. นักแสดงทมี่ ีความสามรถย่อมได้รับการกลา่ ว 3. ขอ้ ใดเปน็ อาการนาม ขาน ก. การงาน ข. การเมอื ง 8. ขอ้ ใดเปน็ ประโยคความเดียว ก.“นกพิราบ” ค. การกิน ง. การพาณิชย์ ข. “ฉันกนิ ข้าวผดั ” ค. “กระเป๋าทว่ี างอย่บู นโซฟาเป็นของพ่อ” 4. ข้อใดมคี ำนามทที่ ำหนา้ ทเี่ ป็นนามเรียกขาน ง. “เขาชอบอ่านหนังสือหรอื ชอบเขียนหนงั สอื ” ก. ฉนั คอื นาฬิกาดำแล้ว ข เขาชอบด่ืมนมมากกว่าสงิ่ อน่ื 9. ขอ้ ใดเป็นประโยคความซ้อน ค. เขาชอบด่มื นามมาก ๆ เวลากลางคืน ก. ฉันรอ้ งเพลง ง. นกั เรยี นฟังครอู ธิบายใหเ้ ขา้ ใจกอ่ น ข. ฉนั และแมก่ ินขา้ ว ค. ฉนั ชอบบ้านท่ีอยู่ชายทะเล 5. ประโยคมีความหมายตรงตามข้อใดมากท่สี ุด ง. ฉนั จะร้องเพลงแต่พจ่ี ะเตะฟตุ บอล ก. คำหรอื กลุ่มคำ ข. การนำกลมุ่ คำมาเรยี บเรยี งกนั 11. อกั ษรย่อจะต้องมีเครอื่ งหมายใดกำกบั อยูเ่ สมอ ค. มภี าคประธานและภาคแสดง ง. คำหรอื กลุ่มคำทน่ี ำมาเรียงกนั แล้วมคี วามหมาย ก. มหัพภาค ข. จลุ ภาค สมบูรณป์ ระกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง ค. เสมอภาค ง. วภิ ชั ภาค 6. ข้อใดไมม่ คี ำวเิ ศษณ์ 10. ขอ้ ใดควรใช้เครื่องหมาย “ๆ” ก. รานองใหข้ อ้ คิดในการทำงานแก่พระเจ้าแปร ก. ตาํ รวจไล่กวดจับผูร้ ้ายผ้รู ้ายพยายามหนี ข. ขนมหวานท่ีแม่ซอื้ มาอร่อยมากมาก ข. ฉนั ทาํ การบ้านบา้ นคุณยาย ค. อดีตเขาอาจเกเรแต่ปัจจบุ นั เขาเปน็ คนดี ค. ยายนอนนอนอยู่ก็เผลอหลับไป ง. เขาไปดทู ่ีท่ีตา่ งจงั หวดั
11. ขอ้ ใดใช้เครอ่ื งหมายวรรคตอนถูก 46 ก. (สวัสดีครบั ) ชายคนหนึ่งพดู ข. อุ๊ย? อะไรเนีย่ 16. สภุ าษิตหมายความว่าอย่างไร ค. เพลง้ ? อะไรแตก ก. การกล่าวเปรยี บเทยี บตอ่ เหตุการณ์ทเ่ี กิดข้ึน ง. ในน้ำมี ปลา,กงุ้ ,ปู และ หอย ข. ขอ้ ความทีค่ อยเตอื นใจ ค. ถ้อยคำท่ีเรยี บเรยี งเป็นข้อความ หรอื คำพูดท่ี 12. ข้อใดถกู ต้องที่สดุ เกยี่ วกับการสะกดคำ ก. การออกเสียงตามพยญั ชนะต้นและพยัญชนะทา้ ย ช้ันเชงิ ข. การอา่ นไมอ่ อกเสียงสระ ง. ถอ้ ยคำทก่ี ลา่ วแนะนำ ส่ังสอน เตือนสติ ด้วย ค. การออกเสยี งตามพยัญชนะและสระ ง. การออกเสยี งตามสระและวรรณยุกต์ หลกั ความจริง 13. ขอ้ ใดกล่าวถงึ คำราชาศัพทถ์ กู ตอ้ งทส่ี ดุ 17. คำพงั เพยหมายความวา่ อยา่ งไร ก. ถ้อยคำทีใ่ ช้กบั พระมหากษตั ริย์ ก. ถอ้ ยคำทเ่ี รียบเรียงเป็นข้อความ หรือคำพูดท่ี ข. ข้อความทใี่ ขก้ บั พระราชวงศ์ ค. ภาษาท่ใี ช้ให้เหมาะสมกับฐานนะของบคุ คล ชั้นเชงิ ง. คำสภุ าพท่ีใชย้ กย่องบคุ คลในสงั คม ข. ถ้อยคำทก่ี ล่าวแนะนำ สงั่ สอน เตอื นสติ ด้วย 14. ข้อใดเปน็ คำราชาศัพท์ทกุ คำ หลกั ความจรงิ ก. เส้นพระเจ้า ทรงกลด ประพาส ค. การเปรียบเทียบต่อเหตุการณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ ข. พระโขนง พระท่ี พระสาง ง. ข้อความท่ีคอยเตือนใจ ค. พระเครอ่ื ง โปรด เสวย ง. เรือนต้น คลุมบรรทม ทรงปนื 18. ไกไ่ ดพ้ ลอย\" หมายถงึ ก. เมอ่ื เกิดความเสยี หายแล้วจงึ คิดหาทาง 15. สำนวนหมายความว่าอยา่ งไร ก. ถ้อยคำทีเ่ รียบเรียงเป็นขอ้ ความ หรือคำพูดที่ ป้องกนั ข. เกบ็ เล็กผสมน้อยจนสำเรจ็ ช้ันเชิง ค. ยืนกรานไมย่ อมรับ ข. ถ้อยคำทก่ี ล่าวแนะนำ ส่ังสอน เตอื นสติ ด้วย ง. ได้สง่ิ ทม่ี ีค่าแตก่ ไ็ ม่รู้คุณคา่ หลกั ความจริง 19. สำนวนใดทสี่ ะท้อนให้เห็นถึงความเปน็ อยู่ ค. เปน็ การกลา่ วเปรยี บเทยี บตอ่ เหตกุ ารณ์ท่ี เก่ยี วกับการทำมาให้กนิ เกิดขึน้ ก. ของหายตะพายบาป ง. ข้อความที่คอยเตอื นใจ ข. ขุนไม่เชื่อง ค. นำ้ ขน้ึ ใหร้ บี ตัก ง. เกลือจ้ิมเกลอื
47 20. ข้อใดตรงกบั ประโยชน์จากสำนวน สุภาษติ และ คำพงั เพยมากท่สี ุด ก. นำหลักคำสอนมาประยกุ ตใ์ ช้ ข. ทำใหท้ ราบความหมายของแต่ละสำนวน ค. ทำให้เยาวชนประพฤติ ปฏิบัติตนดขี ึ้น ง. ขัดเกลานิสยั เยาวชนให้อยู่ในกรอบและ ระเบยี บมากข้ึน
48 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นเร่ือง หลกั การใชภ้ าษา 1. ข 2. ง 3. ค 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ค 10. ก 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ก 16. ง 17. ค 18. ง 19. ค 20. ก
49 ใบความรทู้ ่ี 5 เร่ืองหลักการใช้ภาษา วิชาภาษาไทย พท2100 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาส และบุคคล การแตง่ บทประพนั ธป์ ระเภทตา่ งๆ และอิทธิพลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตรไทย ซึ่งมี ความคลา้ ยคลึงกบั ภาษาจนี มหี ลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจนี พอ่ ขนุ รามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมอื่ ปี พ.ศ. 1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสยี ง), สระ 21 รูป (32 เสยี ง), วรรณยกุ ต์ 5 เสียง คือ เสียง สามญั เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดดั แปลงมาจาก บาลี และ สันสกฤต คนไทยเปน็ ผทู้ ี่โชคดที ี่มีภาษาของตนเอง และมอี ักษรไทย เปน็ ตัวอกั ษร ประจำชาติ อันเปน็ มรดกลำ้ คา่ ทบ่ี รรพบุรุษ ได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าไทยเราเป็นชาติทีม่ ีวฒั นธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาลและยั่งยืนมาจนปจั จุบัน คน ไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปี และจะยั่งยืน ตลอดไป ถา้ ทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย หากแต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีการติดตอ่ สอื่ สารผ่านทางอินเตอร์เนต็ ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของ คนไทยอย่างมาก ความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็น เอกลกั ษณ์ของชาติใหถ้ ูกต้อง อีกท้งั วยั ร่นุ กลับมองวา่ การใช้ภาษาที่ผิดกลายเปน็ เร่ืองของแฟชัน่ ที่ใคร ๆ ก็ทำกันทำ ใหเ้ กดิ ภาษาใหมท่ ีเ่ ปน็ ทีแ่ พรห่ ลายบนโลกอนิ เตอร์เน็ตหรือเรียกว่าภาษาแชท(Chat) ข้นึ และถ้าหากคนในสังคมไทย ยังคงใช้ภาษาไทย เขยี นภาษาไทยแบบผิดๆ และไม่คดิ ใส่ใจทีจ่ ะใชภ้ าษาไทยใหถ้ กู ต้อง ต่อไปอาจทำใหเ้ กิดความเคย ชนิ จนตดิ นำมาใช้สื่อสารกนั ในชวี ิตประจำวัน จนทำให้ภาษาไทยท่ีเปน็ รากเหง้าของคนไทย ความภาคภูมิใจในภาษา ทบ่ี รรพบรุ ุษคิดคน้ ข้นึ มา ภาษาที่มีความสวยงาม ก็คงต้องเลอื นหายไป และถกู แทนท่ีด้วยภาษาแปลกๆที่ผุด ขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างเช่นในปัจจุบันดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงได้จัดทำเว็บไซต์ ที่เป็นแหล่งรวบรวม ข้อมลู การใช้ภาษาไทยที่ถกู ต้องในการสื่อสาร เพ่อื ย้ำเตอื นและให้ความรู้ในการใชภ้ าษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติ และเป็นความภาคภูมิใจให้คงอยู่ในสังคมไทยสืบไป หลักการใช้ภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สารในอินเตอร์เนต็ ๑. ใชค้ ำใหถ้ ูกต้องตรงตามความหมาย กลา่ วคือ ก่อนนำคำไปเรยี งเข้าประโยค ควรทราบความหมายของคำ คำนน้ั กอ่ น เชน่ คำว่า “ปอก” กบั “ปลอก” สองคำนีม้ ีความหมายไมเ่ หมือนกนั คำวา่ “ปอก” เปน็ คำกริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือส่ิงท่หี อ่ หมุ้ ออก แตค่ ำวา่ “ปลอก” เปน็ คำนาม แปลวา่ สิ่งทีท่ ำสำหรบั สวมหรอื รัดของตา่ งๆ เป็นต้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปน้ี “วนั นี้ได้พบกับท่านอธกิ ารบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามน้ีเลี้ยงตอ้ นรับท่านนะครับ” (ที่จริงแล้วควรใช้ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใช้ในความหมายท่ไี มด่ ี
50 ๒. ใช้คำให้เหมาะสม เลอื กใชค้ ำให้เหมาะสมกบั กาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล เช่นโอกาสที่เป็นทางการ โอกาสที่เป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน เช่น “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะคิดยังไง” (คำว่า “ยังไง” เป็น ภาษาพูด ถา้ เปน็ ภาษาเขียนควรใช้ “อยา่ งไร” “เมอ่ื สมชายเหน็ รูปก็โกรธ กระฟดั กระเฟยี ด มาก (ควรใช้ โกรธปึงปัง เพราะกระฟัดกระเฟียดใช้กับผู้หญิง) ๓. การใช้คำลักษณะนาม ใช้คำทีบ่ อกลกั ษณะของนามตา่ งๆ ให้ถูกตอ้ ง เช่น ปากกา มีลักษณะนามเปน็ ด้าม เ ล ื ่ อ ย ม ี ล ั ก ษ ณ ะ น า ม เ ป ็ น ป ื ้ น ฤๅ ษ ี ม ี ล ั ก ษ ณ ะ น า ม เ ป ็ น ต น เ ป ็ น ต้ น ๔. การเรียงลำดับคำ เป็นเรื่องที่สำคญั มากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย ทั้งน้ี เพราะคำบางคำอาจมีความหมายได้หลายความหมายซง่ึ ข้ึนอยู่กบั ตำแหน่งทีจ่ ัดเรียงไว้ในประโยค เชน่ แม่เกลียดคน ใ ช ้ ฉ ั น ฉ ั น เ ก ล ี ย ด ค น ใ ช ้ แ ม ่ ค น ใ ช้ เ ก ล ี ย ด แ ม ่ ฉ ั น แ ม ่ ค น ใ ช ้ เ ก ล ี ย ด ฉันเกลียดแม่คนใช้ แม่ฉันเกลียดคนใช้ ข้อบกพร่องในการเรียงลำดับคำมักปรากฏดังนี้ - เรียงลำดับคำผิดตำแหน่ง เชน่ เขาไมท่ ราบสิ่งทดี่ ีงามน้นั ว่า คืออะไร (ควรเรียงว่า เขาไมท่ ราบ วา่ ส่ิงท่ีดงี ามนน้ั คอื อะไร) - เรียงลำดบั คำขยาย ผดิ ท่ี เช่น ขอขอบคณุ มา ณ โอกาสน้ดี ้วย เปน็ อยา่ งสงู (ควรเรียงว่า ขอขอบคณุ เป็นอยา่ งสงู มา ณ โอกาสนี้ด้วย) - เรียงลำดับคำไม่เหมาะสม เช่น จงไปเลือกตั้งลงคะแนนเสียง นายกสโมสรนักศึกษา (ควรเรียงว่า จงไปลงคะแนน เสียงเลือกตัง้ นายกสโมสรนักศึกษา) ๕. แต่งประโยคให้จบกระแสความ หมายถึงแต่งประโยคให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทั้งส่วนที่เป็นภาค ประธานและภาคแสดง ซงึ่ ประโยคที่จบกระแสความนนั้ จะต้องตอบคำถามวา่ ใคร ทำอะไร ไดช้ ดั เจน สาเหตทุ ี่ทำให้ ประโยคไมจ่ บกระแสความอาจเกิดจากขาดคำบางคำหรอื ขาดส่วนประกอบของประโยคบางส่วนไป เช่น เม่ือตอนยัง เด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บดั นเี้ ขาอายยุ ่ีสบิ กวา่ แลว้ (ควรแก้เปน็ เมอื่ ตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนนุ ตกั แม่ บัดน้ีเขา อายุยี่สิบกว่าแล้วก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิม) ๖. ใชภ้ าษาให้ชัดเจน ใช้ภาษาทใ่ี ห้ความหมายเพียงความหมายเดยี ว เป็นความหมายท่ีไม่สามารถจะแปล ความเป็นอยา่ งอื่นได้ เช่น “คุณแม่ไม่ชอบคนใช้ฉัน” อาจแปลได้ 2 ความหมายคือ คุณแม่ไม่ชอบใครก็ตามทีใ่ ช้ให้ ฉ ั น ท ำ โ น ่ น ท ำ น ี ่ ห ร ื อ ค ุ ณ แ ม ่ ไ ม ่ ช อ บ ค น ร ั บ ใ ช ้ ข อ ง ฉ ั น ท ั ้ ง น ี ้ เ พ ร า ะ ค ำ ว่ า “คนใช”้ เปน็ คำทม่ี หี ลายความหมายนั่นเอง ๗. ใช้ภาษาให้สละสลวย ใช้ภาษาอย่างไพเราะราบรื่น ฟังไม่ขัดหู และมีความกะทัดรัด - ไม่ใชค้ ำฟมุ่ เฟือย หมายถงึ การใช้คำที่ไมจ่ ำเป็น หรอื ใช้คำท่มี ีความหมายซำ้ ซ้อน เชน่ “วนั นี้อาจารย์ ไม่มาทำการสอน” คำวา่ “ทำการ” เปน็ คำทไ่ี มจ่ ำเปน็ เพราะแมจ้ ะคงไวก้ ็ไม่ได้ชว่ ยให้ความหมายชัดเจนข้ึนกว่าเดิม หรอื ถา้ ตดั ทง้ิ ความหมายกไ็ มไ่ ด้เสยี ไป ดังนัน้ จงึ ควรแกไ้ ขเปน็ “วันน้ี อาจารย์ไมม่ าสอน” - ใช้คำให้คงที่ หมายถึง ในประโยคเดียวกัน หรือในเนื้อความเดียวกัน ควรใช้คำเดียวกันให้ตลอด ดัง ป ร ะ โ ย ค ต ่ อ ไ ป น ี ้ “ ห ม อ ถ ื อ ว ่ า ค น ป ่ ว ย ท ุ ก ค น เ ป ็ น ค น ไ ข ้ ข อ ง ห ม อ เ ห ม ื อ น กั น - ไมใ่ ชส้ ำนวนต่างประเทศ เชน่ “มนั เป็นความจำเปน็ อย่างย่งิ ท่เี ขาต้องจากไป”
Search