5141 1. มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน เป็นมาตรฐานการ เรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้เมื่อผู้เรียนเรียนจบหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พ้ืนฐานพุทธศกั ราช2551 2. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้เม่ือผู้เรียน เรียนจบในแต่ละระดับตามหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐานพุทธศกั ราช 2551 5. เวลาเรยี น ในแต่ละระดับใช้เวลาเรียน 4 ภาคเรียน ยกเว้นกรณีท่ีมีการเทียบโอนผลการเรียนท้ังน้ี ผู้เรียนตอ้ งลงทะเบยี นเรียนในสถานศกึ ษาอย่างนอ้ ย 1ภาคเรยี น 6. หน่วยกิต การนบั หน่วยกติ ให้ใชเ้ วลาเรียน 40 ชวั่ โมง มีคา่ เทา่ กบั 1 หนว่ ยกติ ตารางท่ี 1 โครงสร้างหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ที่ สาระการเรียนรู้ จานวนหน่วยกิต มัธยมศึกษา มธั ยมศึกษาตอน ประถมศึกษา ตอนตน้ ปลาย 1 ทกั ษะการเรยี นรู้ วชิ า วชิ า วชิ า วชิ า 2 ความรูพ้ น้ื ฐาน วิชา วิชา บงั คบั เลอื ก บังคบั เลอื ก 3 การประกอบอาชีพ บังคบั เลอื ก 4 ทักษะการดาเนนิ ชีวติ 5 5 5 การพัฒนาสังคม 5 16 20 รวม 12 8 8 กจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชวี ติ 8 5 5 5 6 6 6 40 16 44 32 36 12 56 หนว่ ยกิต 76 หนว่ ยกิต 48 หนว่ ยกติ 200 ชัว่ โมง 200 ช่วั โมง 200 ชั่วโมง 1. จานวนหนว่ ยกติ ในแตล่ ะระดบั แบ่งเป็นดังน้คี ือ 1.1 ระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า 48 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 36 หน่วยกิตและวิชา เลอื กไม่น้อยกว่า 12 หนว่ ยกิต 1.2 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ไม่น้อยกวา่ 56 หนว่ ยกิต แบ่งเป็นวชิ าบังคับ 40 หนว่ ยกติ และ วิชาเลอื กไมน่ ้อยกว่า 16 หนว่ ยกิต
4522 1.3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่น้อยกว่า76 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 44 หน่วยกิต และวชิ าเลอื กไมน่ ้อยกว่า32 หน่วยกติ 2. จานวนหน่วยกิตวิชาเลือก ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความต้องการโดยเลือกสาระ การเรียนรู้ใดสาระการเรียนรู้หน่ึง หรือหลายๆ สาระการเรียนรู้ก็ได้ ให้ครบตามจานวนหน่วยกิตท่ี กาหนดในแต่ละระดับ 3. วิชาเลือกในแตล่ ะระดบั สถานศกึ ษาตอ้ งจดั ให้ผูเ้ รียน เรยี นรจู้ ากการทาโครงงาน จานวนอย่างน้อย3หน่วยกติ การจัดหลักสูตร หลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ที่สถานศึกษานาไปใช้จัดการเรียนรู้นั้น ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ 5 สาระ คือ ทักษะการเรียนรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชีพ ทักษะการดาเนินชีวิต และการพัฒนาสังคม โดยโครงสร้างหลักสูตร กาหนดจานวนหน่วยกิตในแต่ละระดับทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก ซ่ึงผู้เรียนทุกคนต้องเรียนวิชาบังคับ ตามท่ีกาหนด เพื่อให้เป็นพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ สาหรับวิชาเลือกให้ผู้เรียนเลือก เรียนได้ตามแผนการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและหรือกลุ่ม โดยเลือกเรียนในสาระการเรียนรู้ใดสาระการ เรียนรู้หนึ่ง หรือหลายสาระการเรียนรู้ก็ได้ ให้ครบจานวนหน่วยกิต ตามโครงสร้างหลักสูตรในแต่ละ ระดบั ตามความต้องการของผูเ้ รียนทจ่ี ะประกอบอาชีพหรือศึกษาตอ่ การจัดการศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ การจัดการศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมาย เฉพาะ เช่น ผู้บกพร่องในด้านต่างๆผู้มีความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือกที่จัดโดยครอบครัวและ องค์กรต่างๆการจัดการศึกษาเหล่านี้ สามารถปรับใช้มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ได้ตามความเหมาะสม สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ประกอบด้วยสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ดงั นี้ 1.สาระทักษะการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย 5 มาตรฐาน ดังน้ี มาตรฐานท่ี 1.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคตทิ ี่ดตี ่อการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง มาตรฐานที่ 1.2 มีความรคู้ วามเข้าใจ ทักษะ และเจตคตทิ ด่ี ีต่อการใช้แหลง่ เรยี นรู้ มาตรฐานที่ 1.3 มคี วามรคู้ วามเข้าใจ ทกั ษะ และเจตคติทด่ี ีตอ่ การจัดการความรู้ มาตรฐานที่ 1.4 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคติทีด่ ีตอ่ การคิดเป็น มาตรฐานที่ 1.5 มคี วามรู้ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติทด่ี ีต่อการวิจัยอย่างง่าย 2. สาระความรู้พ้ืนฐาน ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน ดังน้ี มาตรฐานที่ 2.1 มคี วามร้คู วามเขา้ ใจ และทกั ษะพนื้ ฐานเกย่ี วกับภาษาและการส่ือสาร
5433 มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะพื้นฐานเก่ียวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 3. สาระการประกอบอาชีพ ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐาน ดังน้ี มาตรฐานที่ 3.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ และเจตคตทิ ดี่ ใี นงานอาชพี มองเห็นช่องทาง และตัดสนิ ใจประกอบอาชพี ไดต้ ามความตอ้ งการ และศักยภาพของตนเอง มาตรฐานที่ 3.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทกั ษะในอาชพี ทตี่ ัดสินใจเลือก มาตรฐานที่ 3.3 มีความรูค้ วามเขา้ ใจ ในการจดั การอาชพี อย่างมีคณุ ธรรม มาตรฐานที่ 3.4 มีความรูค้ วามเข้าใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม้ ีความมั่นคง 4. สาระทักษะการดาเนนิ ชีวิต ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ดงั น้ี มาตรฐานที่ 4.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ เจตคตทิ ีด่ ีเก่ียวกับปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถประยุกต์ใชใ้ นการดาเนนิ ชีวิตไดอ้ ย่างเหมาะสม มาตรฐานท่ี 4.2 มีความรู้ความเขา้ ใจ และทักษะเกีย่ วกบั การดูแล สง่ เสริมสุขภาพ อนามัยและความปลอดภัยในการดาเนินชีวิต มาตรฐานที่ 4.3 มคี วามร้คู วามเข้าใจ และเจตคติทดี่ เี กี่ยวกบั ศลิ ปะและสุนทรยี ภาพ 5. สาระการพัฒนาสังคม ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐาน ดงั นี้ มาตรฐานที่ 5.1 มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสาคัญเก่ียวกับภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองสามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชวี ิต มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ความเข้าใจ เห็นคุณค่า และสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เพื่อการอยู่ร่วมกนั อย่างสันตสิ ขุ มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบัติตนเปน็ พลเมืองดีตามวถิ ปี ระชาธิปไตย มจี ติ สาธารณะ เพื่อความสงบสุขของสงั คม มาตรฐานท่ี 5.4 มีความรู้ความเข้าใจ เห็นความสาคัญของหลักการพัฒนาและ สามารถ พฒั นาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน/สังคม หมายเหตุ สาระการเรียนรู้ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานท่ี 2.1 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ พ้นื ฐานเกยี่ วกบั ภาษาและการสื่อสารซึง่ ภาษาในมาตรฐานนีห้ มายถึง ภาษาไทย และภาษาตา่ งประเทศ 4. การจัดการเรียนรู้ตามหลกั สูตรการจดั การศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐาน วิธกี ารจัดการเรียนรู้ การศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานมวี ธิ กี ารจดั การเรยี นรูท้ ่หี ลากหลายดังนี้
5444 1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนกาหนดแผนการเรียนรู้ของ ตนเองตามรายวิชาที่ลงทะเบียนเรยี น โดยมคี รเู ปน็ ทปี่ รึกษาและให้คาแนะนาในการการศึกษาหาความรู้ ด้วยตนเอง ภูมปิ ัญญา ผู้รู้ และส่ือต่าง ๆ 2. การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่กาหนดให้ผู้เรียนมาพบกันโดยมี ครูเป็นผู้ดาเนินการให้เกิดกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และหาข้อสรุป รว่ มกนั 3. การเรียนรแู้ บบทางไกล เป็นวิธีการจัดการเรียนรจู้ ากส่ือตา่ งๆโดยท่ีผ้เู รียนและครจู ะ สอ่ื สารกนั ทางส่ืออิเลก็ ทรอนกิ ส์เป็นส่วนใหญ่ หรอื ถา้ มีความจาเปน็ อาจพบกันเป็นคร้งั คราว 4. การเรียนรู้แบบช้ันเรียน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีสถานศึกษากาหนดรายวิชา เวลา เรียน และสถานท่ี ท่ชี ดั เจน ซงึ่ วิธีการจัดการเรยี นรเู้ หมาะสาหรบั ผเู้ รยี นทีม่ ีเวลามาเข้าช้นั เรยี น 5. การเรยี นรตู้ ามอัธยาศัย เปน็ วธิ กี ารจดั การเรยี นรู้ที่ผเู้ รียนสามารถเรียนรไู้ ดต้ ามความ ตอ้ งการและความสนใจจากส่ือเอกสาร สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หรอื จากการฝกึ ปฏบิ ตั ิตามแหล่งเรียนรู้ ตา่ งๆ แล้วนาความรู้และประสบการณ์มาเทียบโอนเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้น พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 6. การเรียนรู้จากการทาโครงงาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนกาหนดเร่ืองโดย สมัครใจ ตามความสนใจ ความต้องการ หรือสภาพปัญหาท่ีจะนาไปสู่การศึกษาค้นคว้า ทดลอง ลงมือ ปฏิบัติจริง และมีการสรุปผลการดาเนินการตามโครงการ โดยมีครูเป็นผู้ให้คาปรึกษาแนะนา อานวย ความสะดวกในการเรียนรู้ และกระตนุ้ เสรมิ แรงใหเ้ กิดการเรยี นรู้ 7. การเรียนรู้รูปแบบอ่ืน ๆ สถานศึกษาสามารถออกแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ อ่นื ๆ ไดต้ ามความตอ้ งการของผเู้ รียน วธิ ีการจัดการเรียนร้ดู ังกล่าวข้างตน้ สถานศกึ ษาและผู้เรยี นร่วมกันกาหนดวิธีเรยี นโดย เลอื กเรียนวิธีใดวธิ หี นึง่ หรอื หลายวธิ กี ไ็ ด้ขึน้ อยูก่ ับความยากงา่ ยของเนื้อหา และสอดคลอ้ งกบั วิถี ชีวิต และการทางานของผ้เู รยี น โดยขณะเดียวกันสถานศกึ ษาสามารถจัดใหม้ ีการสอนเสรมิ ไดท้ ุกวธิ ีเรยี น เพ่ือ เตมิ เต็มความรู้ใหบ้ รรลุมาตรฐานการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนสู่ความเป็นคน “คิดเป็น”โดย เน้นพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ ประยุกต์ใช้ความรู้ และสร้างองค์กรความรู้สาหรับตนเอง และ ชุมชน สังคม ซึ่งกาหนดการจัดกระบวนการเรียนรู้ กศน. หรือ ONIE MODEL ซ่ึงเป็นกระบวนการ เรียนรู้ที่จดั ข้ึนอยา่ งเป็นระบบตามปรชั ญา “คดิ เปน็ ” ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังน้ี 1. ขนั้ กาหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรยี นรู้ (O: Orientation) 2. ข้ันแสวงหาข้อมูลและจดั การเรยี นร(ู้ N: New ways of learning) 3. ข้นั ปฏิบตั ิและนาไปประยุกตใ์ ช(้ I: Implementation) 4. ขัน้ ประเมนิ ผลการเรยี นร้(ู E:Evaluation)
5455 ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรียนรู้ (O: Orientation) เป็นการเรียนรู้จากสภาพ ปัญหา หรือความต้องการของผู้เรียน และชุมชน สังคม โดยให้ เช่ือมโยงกบั ประสบการณเ์ ดมิ และสอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นร้ขู องหลักสตู ร ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ 1. ครูและผู้เรียนร่วมกันกาหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ซ่ึงอาจจะ ไดม้ าจากสถานการณ์ในขณะนั้น หรือเป็นเรื่องที่เกดิ ขึ้นในชวี ิตจริง หรอื เปน็ ประเด็นท่ีกาลงั ขัดแยง้ และ กาลังอยู่ในความสนใจของชุมชน ซ่ึงจะช่วยกระตุ้นให้ผเู้ รียนกระตือรือร้นท่ีคิดจะหาทางออกของปัญหา หรอื ความต้องการนั้น ๆ 2. ทาความเขา้ ใจกับสภาพ ปัญหา ความต้องการในส่ิงทตี่ อ้ งการเรยี นรู้ โดยดึงความรู้และ ประสบการณเ์ ดิมของผู้เรียน เนน้ การมสี ่วนรว่ ม มกี ารแลกเปลี่ยนเรียนรู้สะท้อนความคดิ และอภิปราย โดยใหเ้ ชอื่ มโยงกับความรูใ้ หม่ 3. วางแผนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสม โดยกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีกาหนดสามารถมองเห็น แนวทางในการค้นพบความรหู้ รอื คาตอบได้ด้วยตนเอง ขัน้ ท่ี 2 ข้ันแสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N: New waysof learning) การแสวงหาข้อมูล และจัดการเรียนรู้ โดยศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และรวบรวมข้อมูลของ ตนเอง ข้อมูลของชุมชน สังคม และข้อมูลทางวิชาการ จากส่ือและแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลายมี การ ระดมความคดิ เห็น วิเคราะห์ สงั เคราะหข์ อ้ มลู และสรปุ เปน็ ความรู้ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ 1. ผู้เรียนแสวงหาความรู้ตามแผนการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ กระบวนการกลมุ่ ศึกษาจากผู้รู้ / ภูมปิ ัญญา และวธิ ีอ่นื ๆ ท่ีเหมาะสม 2. ครูและผู้เรียนร่วมกันแลกเปล่ียนเรียนรู้ และสรุปความรู้เบ้ืองต้น โดยใช้คาถาม ปลายเปิดในการชวนคิด ชวนคุย เป็นเครื่องมือ ด้วยกระบวนการการระดมสมอง สะท้อนความคิด และ อภิปราย 3. ผู้เรียนนาความรู้ที่ได้ไปตรวจสอบความถูกต้อง เพ่ือประเมินความเป็นไปได้โดย วิธีต่าง ๆ เช่น การทดลอง การทดสอบ การตรวจสอบกบั ผรู้ ู้ ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ัติแลละนาไปประยกุ ต์ใช้ ( I: Implementation) นาความรู้ท่ีได้ไปปฏิบัติ และประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เหมาะสมกับวัฒนธรรม และสังคม
5466 ขัน้ ตอนการเรยี นรู้ ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอน โดยสังเกตปรากฏการณ์ จดบันทึก และสรุปผล เก็บรวบรวมไว้ ในแฟ้มสะสมงาน ระหว่างดาเนินการต้องมีการตรวจสอบหาข้อบกพร่อง และรวบรวมไว้ในแฟ้มสะสม งาน ขนั้ ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E:Evaluation) ประเมิน ทบทวน แก้ไขข้อบกพร่อง ผลจากการนาความรู้ไปประยุกต์ใช้แล้วสรุปเป็น ความรใู้ หม่ พร้อมกับเผยแพรผ่ ลงาน ข้ันตอนการเรยี นรู้ 1. ครูและผู้เรียนนาแฟ้มสะสมงาน และผลงานที่ได้จากกการปฏิบัติมาใช้เป็น สารสนเทศในการประเมนิ คุณภาพการเรียนรู้ 2. ครแู ละผู้เรยี นร่วมกันสร้างเกณฑก์ ารประเมินคณุ ภาพการเรียนรู้ 3. ครูผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องร่วมกันประเมิน พัฒนาการเรียนรู้ให้เป็นไปตามเกณฑ์ คณุ ภาพการเรยี นรู้ ท้ัง 4 ขั้นตอนเป็นวงจรของกระบวนการเรียนรู้ ตามปรัชญาคิดเป็น ซ่ึงสถานศึกษา สามารถปรบั ใช้ ข้นั ตอนการเรยี นรูไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมตามสภาพของรายวชิ า หรอื เงื่อนไขอ่ืน ๆ ตามความ ตอ้ งการของผเู้ รียน สอ่ื การเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองโดยการใช้ส่ือหลากหลาย ลักษณะของสื่อท่จี ะนามาใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ เช่น สอ่ื ส่ิงพมิ พ์ สอื่ อเิ ล็กทรอนิคส์ สือ่ บคุ คล ภูมปิ ญั ญา แหลง่ การเรียนรู้ ทม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถ่ิน ชมุ ชน และแหลง่ อืน่ ๆ ผเู้ รยี น ผูส้ อน สามารถจดั ทาและพัฒนาสอ่ื การ เรยี นรู้ขน้ึ เองหรือนาส่ือต่างๆที่มีอยู่รอบตวั และระบบสารสนเทศมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใชว้ ิจารณญาณ ในการเลือกใช้ส่ือต่างๆ ซ่ึงจะช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า น่าสนใจ ชวนคิด ชวน ติดตาม เข้าใจง่าย รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ลกึ ซง้ึ และตอ่ เน่ืองตลอดเวลา การเทียบโอน สถานศึกษาต้องจัดให้มีการเทียบโอนผลการเรียนหรือเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ของผู้เรียนให้เป็นสว่ นหนง่ึ ของผลการเรียนตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 โดยสถานศกึ ษาต้องจัดทาระเบียบหรือแนวปฏบิ ัติการเทียบโอนใหส้ อดคล้องกับแนว ทางการเทยี บโอนท่สี านกั งาน กศน. กาหนด
4577 การวัดและประเมนิ ผล การวัดและประเมินผลเป็นกระบวนการที่ให้ผู้สอนใช้พัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพราะจะช่วย ให้ได้ข้อมูลสารสนเทศท่ีแสดงถึงการพัฒนาความก้าวหน้า และความสาเร็จทางการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งข้อมูลท่ีจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้เต็มศักยภาพซ่ึง สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษา จะต้องจัดทาระเบียบ และแนวปฏิบัติในการวัดและ ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา เพื่อให้บุคลากรท่ีเก่ียวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติร่วมกัน และเป็นไปใน มาตรฐานเดยี วกนั การวดั และประเมินผลระดบั สถานศึกษา เป็นการประเมนิ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของผเู้ รียนมจี ุดหมายทส่ี าคัญ คอื มงุ่ หาคาตอบว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการคุณธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์ อันเป็น ผลเนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือไม่เพียงใด ดังน้ันการวัดและประเมินจึงต้องใช้วิธีการท่ี หลากหลาย เน้นการปฏิบัติให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ของ ผู้เรียน และสามารถดาเนินการอย่างต่อเน่ือง ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดย ประเมินจากความประพฤติ พฤติกรรม การเรียน การร่วมกิจกรรมและผลงานจากโครงงานหรือแฟ้ม สะสมผลงาน ผู้เรียนจะทราบระดับความก้าวหน้า ความสาเร็จของตน ครู จะเข้าใจความต้องการของ ผเู้ รยี นแต่ละคน แตล่ ะกลมุ่ สามารถประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรยี นร้ขู องตนเองได้ การประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาระดบั ชาติ (National Test) สถานศึกษาจัดให้ผู้เรียนเข้ารับการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ โดยให้ สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายนอกโรงเรียนไม่เน้นความรู้ ความจา เป็นการประเมินเชิงคุณภาพเพ่ือนา ข้อมลู ไปใช้ในการวางแผนปรบั ปรุงและพฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอนของสถานศึกษาต่อไป ทงั้ น้ีไม่มี ผลต่อการได้หรือตกของผู้เรียน การจบหลักสูตร ผู้จบการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในแต่ละระดับตอ้ งผ่านเกณฑ์การจบหลักสูตร ดังน้ี 1. ผ่านการประเมิน และได้รับการตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด ทงั้ 5 สาระการเรียนรแู้ ละไดต้ ามจานวนหนว่ ยกิตทกี่ าหนดในโครงสร้างหลกั สูตร 2. ผ่านกระบวนการประเมนิ กิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ไม่น้อยกวา่ 200 ชว่ั โมง 3. ผา่ นกระบวนการประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม 4. เข้ารบั การประเมนิ คุณภาพการศึกษาระดบั ชาติ (National Test) เอกสารหลักฐานการศกึ ษา เอกสารหลักฐานการศึกษาให้เป็นไปตามท่ีกระทรวงศึกษาธิการกาหนด สถานศึกษาทุก แห่งต้องใช้เหมอื นกัน เพื่อประโยชน์ในการสอื่ ความเขา้ ใจทีต่ รงกันและการส่งต่อ ได้แก่
4588 1. ระเบียนแสดงผลการเรยี น 2. หลักฐานแสดงวุฒิการศกึ ษา (ประกาศนยี บัตร) 3. แบบรายงานผสู้ าเร็จการศึกษา เอกสารหลกั ฐานการศึกษาอ่นื ๆ สถานศึกษาตอ้ งพจิ ารณาจัดทาเพ่ือใช้ประกอบการจัด การศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตามท่ี เห็นสมควร เช่น แบบประเมนิ ผลกจิ กรรมพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ การบรหิ ารหลักสตู ร ส ถ า น ศึ ก ษ า ท่ี จ ะ น า ห ลั ก สู ต ร ก า ร ศึ ก ษ า น อ ก ร ะ บ บ ร ะ ดั บ ก า ร ศึ ก ษ า ขั้ น พ้ื น ฐ า น พทุ ธศกั ราช2551 ไปใช้ควรดาเนินงาน ดงั นี้ 1. วางแผน สถานศกึ ษาชแี้ จง สร้างความเขา้ ใจให้บุคลากรท่เี กี่ยวข้อง และรว่ มกนั วาง แผนการดาเนินงานโดย สารวจกลุ่มเป้าหมาย ภาคีเครือข่ายท่ีจะร่วมจัดการศึกษา วางแผนเกี่ยวกับ บุคลากร งบประมาณ หลักสูตร เอกสาร ส่ือ อุปกรณ์ทางการศึกษา และขอความเห็นชอบจาก คณะกรรมการสถานศกึ ษา 2. อบรมครู สถานศึกษาจัดให้มีการอบรมครูให้มีความรู้ ความเข้าใจการพัฒนา หลกั สตู รสถานศึกษา การจัดการเรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผล และอ่ืนๆท่เี กี่ยวขอ้ ง 3. ประชาสัมพันธ์ สถานศึกษาดาเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ให้กับประชาชนท่ัวไป รบั ทราบข่าวสารขอ้ มลู อยา่ งต่อเนื่องโดยใช้สอ่ื ที่หลากหลาย 4. ประสานความรว่ มมือกับภาคเี ครือข่าย ให้สถานศกึ ษาประสานงาน ชีแ้ จงทา ความเข้าใจกบั ภาคเี ครือขา่ ยเพื่อรว่ มกนั ส่งเสริม สนบั สนนุ การจดั และพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5. รับสมัครและขึ้นทะเบียนผู้เรียน สถานศึกษาและหรือภาคเี ครือข่ายดาเนินการรับ สมคั รและข้นึ ทะเบียนผู้เรียน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 6. แนะแนวการเรียน เม่ือรับสมัครผู้เรียนแล้วจัดให้ผู้เรียนได้รับการแนะแนว เกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 7. เทียบโอน สถานศึกษาจัดให้มีการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ หรือเทียบ โอนผลการเรียน 8. วางแผนการเรยี น สถานศึกษาและผู้เรยี นร่วมกนั จดั ทาแผนการเรยี นใหส้ อดคล้อง กับศักยภาพ ความต้องการ ความจาเป็นในการศึกษา และการดาเนินชีวิตของผู้เรียนแต่ละบุคคล/กลุ่ม เพือ่ เปน็ แนวทางในการพฒั นา ติดตาม และประเมินผเู้ รยี น 9. ลงทะเบียน เรียน สถานศกึ ษาจดั ให้ผ้เู รียนลงทะเบยี นเรียนตามแผนการเรียน รายบคุ คล/กล่มุ โดยให้ลงทะเบียนเรยี นเป็นรายวชิ า และหรอื ลงทะเบยี นเรียนในลักษณะบูรณาการ
5499 10. จัดการเรียนรู้ตามแผนการเรียน ให้สถานศึกษาดาเนินการจัดการเรียนรู้โดยเน้น ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคต์ ามแผนการเรยี นตามปรัชญาและหลกั การการศึกษานอกโรงเรยี น 11. วัดและประเมินผลการเรียน ให้สถานศึกษาร่วมกับคณะกรรมการสถานศึกษา และผเู้ ก่ยี วขอ้ ง ดาเนนิ การจัดทาระเบยี บ/แนวปฏิบัตใิ นการวัดและประเมินผล ใหส้ อดคล้องกบั แนวทาง กาวดั และประเมนิ ผลท่สี านักงาน กศน. กาหนด 12. จบหลักสตู ร การจบหลกั สตู รให้เปน็ ไปตามที่กาหนดไว้ในหลักสตู ร การประเมนิ โครงการ 1. ความหมายของการประเมินโครงการ ประชุม รอดประเสริฐ (2539 : 73) อ้างอิงจาก isc.ru.ac.th/data/ED0001235.doc กล่าวถึงการประเมินโครงการว่า การประเมินโครงการเป็น “ศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science)” หรือเป็น “วิทยาการประยุกต์ ท่ีเกิดจากการผสมผสานของศาสตร์หลายแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี แนวคิดและวิธีการท่ีผูกพันกับวิชาการสาขาเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างมากถ้าพิจารณาเฉพาะคาว่า “การ ประเมินโครงการ” อาจบอกได้ว่าเป็นคาผสมของคาสองคาคือคาว่า“การประเมิน” กับคาว่า “โครงการ” ซ่งึ ท้งั สองคาตา่ งกม็ ีความหมายหรอื คาจากัดความเฉพาะของตนเอง “การประเมิน” หรือ “การประเมินผล” มีความหมายตรงกับคาในภาษาอังกฤษ ว่า “Evaluation” ซ่ึงหมายถึง กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจดาเนินการสิ่งใด ส่ิงหน่ึง นอกจากนี้ยังมีความหมายเก่ียวเน่ืองกับคาอื่น ๆ อีกหลายคา เช่น การวิจัย (Research) การ วัดผล (Measurement) การตรวจสอบรายงานผล (Appraisal) การควบคุมดูแล (Monitoring) การ ประมาณการ (Assessment) และการพิจารณาตัดสิน (Judgment) เป็นต้น ซึ่งคาดงั กล่าว อาจสรุปเปน็ ความหมายหรือคาจากัดความร่วมกันได้ว่า เป็นการประมาณค่าหรือการประมาณผล ท่ีเกิดขึ้นจากการ ดาเนินงานโดยอาศัยข้อมูลท่ีได้เก็บรวบรวมด้วยวิธีการสอบถาม ทดสอบ สังเกต และวิธีการอ่ืน ๆ แล้ว ทาการวิเคราะห์เพ่ือตัดสินว่า การดาเนินงานน้ันมีคุณค่าหรือบรรลุ ถึงวัตถุประสงค์ของการดาเนินงาน น้นั มากน้อยเพยี งใด “การประเมิน” หรือ “การประเมินผล” รวมกับคาว่า “โครงการ” จึงเป็นคาว่า “ การ ประเมินโครงการ” (Project or Program Evaluation) ซ่งึ มีผู้ใหค้ วามหมายไวด้ งั น้ี ประชุม รอดประเสริฐ (2539 : 73) กล่าวว่าการประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการ ในการเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลของการดาเนินโครงการ และพิจารณาบ่งช้ีให้ทราบถึงจุดเด่น หรือจุดด้อยของโครงการน้ันอย่างมีระบบ แล้วตัดสินใจว่าจะปรับปรุงแก้ไขโครงการนั้นเพ่ือดาเนินงาน ตอ่ ไป หรอื จะยุตกิ ารดาเนินงานโครงการนนั้ เสยี สมคิด พรมจุ้ย (2542 : 28) กล่าวว่า การประเมินโครงการเป็นการตรวจสอบ ความก้าวหน้าของโครงการ การประเมินเป็นการบ่งชี้ถึงความคุ้มค่าของโครงการ/แผนงานกล่าวคือ แผนงานท่ีไดด้ าเนนิ การ ไปแล้วไดผ้ ลตามวตั ถุประสงค์หรือไมเ่ พียงใด สามารถทาได้ท้ังการประเมินก่อน เรมิ่ โครงการ ระหวา่ งดาเนินโครงการ และหลงั การดาเนินงานตามโครงการไดส้ ิ้นสุดไปแลว้
6500 สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2544 : 117) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่า กระบวนการที่ก่อให้ เกิดสารนิเทศในการปรับปรุงโครงการ และสารนิเทศในการตัดสินผลสัมฤทธ์ิของ โครงการ พิสณุ ฟองศรี (2549 : 68) กล่าวว่า การประเมินโครงการเป็นกระบวนการตัดสินคุณค่า ของโครงการในระยะหนึ่ง ระยะใด หรือทุกระยะ โดยนาสารสนเทศจากการวัดมาเปรยี บเทียบกบั เกณฑ์ ท่ีกาหนดไว้ เพื่อตัดสินใจจัดทาโครงการ ทดลองหรือนาร่อง ปรับเปลี่ยนระงับ ปรับปรุง ขยายผล หรือ ยกเลกิ โครงการนนั่ เอง สุภาพร พิศาลบตุ ร (2547 : 222) กลา่ ววา่ เป็นการวิเคราะห์ตรวจสอบความกา้ วหน้าและ ความสัมฤทธิ์ผลโครงการหรือแผนงานว่ามีมากน้อยเพียงใด สาหรับให้ผู้ท่ีเก่ียวข้องสามารถใช้เป็น สารสนเทศ ประกอบการพจิ ารณาตดั สนิ ใจท่จี ะดาเนินการหรือแผนงานนั้นตอ่ ไปได้ จากความหมายของการประเมินโครงการดังกล่าวสรุปได้ว่าการประเมินโครงการ เป็น กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรห์ รือการใช้วธิ ีวจิ ยั ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล และการวเิ คราะห์ขอ้ มูลในการ ดาเนนิ โครงการอย่างเป็นระบบ เพ่ือให้ทราบว่าโครงการท่ีดาเนินการไปนั้นได้ผลบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ หรือไม่ มีความคุ้มค่าหรือไม่ เพ่ือนามาเป็นข้อมูลสารสนเทศในการตัดสินใจ เพื่อปรับปรุงแก้ไข ดาเนิน การตอ่ ไป หรอื ยตุ กิ ารดาเนินการโครงการน้นั 2. ความมุ่งหมายและความสาคัญของการประเมินโครงการ การประเมินโครงการอย่างมีระบบ มีส่วนช่วยให้ผู้บริหารโครงการได้ตระหนักถึงคุณภาพ ของโครงการที่กาหนดข้ึนไว้ว่าจะสามารถตัดสินใจในการดาเนินการ การปรับปรุงและเปล่ียนแปลง โครงการให้มีความถูกต้องเหมาะสม และส่งผลให้โครงการนั้นดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุถึง เป้าประสงค์ท่ีกาหนดไว้ทุกประการ การประเมินโครงการมีความมุ่งหมายและมีความสาคัญตามความ คดิ เหน็ ของนกั วิชาการดังตอ่ ไปนี้ สาราญ มแี จ้ง (2544 : 19) ไดก้ ล่าวถึงความมุง่ หมายของการประเมินโครงการไว้ดังน้ี 1. เพื่อวินิจฉัยหาส่วนบกพร่องของปัญหา หรือต้นเหตุของปัญหาที่จะนาไปสู่วิธีการ ขั้นตอนและรปู แบบที่ถกู ตอ้ งของการดาเนินงาน 2. เพ่ือเสนอทางเลือกในการดาเนินงานว่าจะใช้วิธีใดจึงเหมาะสมที่สุด จะได้นาเสนอต่อผู้ ทส่ี นใจหรือผทู้ ่ีเกี่ยวข้องกับการประเมนิ นน้ั เพอ่ื เปน็ ทางเลือกในการตดั สนิ ใจ 3. เพื่อปรับปรุงการดาเนินงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ผลการประเมิน จะส่งผล มายังผู้เก่ียวข้องกับโครงการน้ัน เพ่ือนามาปรับปรุงการดาเนินโครงการในคร้ังต่อไป ให้เหมาะสมและมี ประสทิ ธภิ าพย่งิ ขน้ึ 4. เพ่ือพิจารณาว่าการดาเนินงานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่ เป็นการ ตรวจสอบการดาเนินงานในกิจการนั้น ๆ ว่ามีประสิทธิภาพในการดาเนินงานและผลงานท่ีได้มี ประสิทธผิ ลหรอื ไม่
6511 5. เพ่ือใช้ในการวิจัย การประเมิน และการวิจัยเป็นการศึกษาแสวงหาความรู้ความจริง ท่ี ยังไม่ปรากฏหรือแสดงให้เห็นชัด ท้ังสองอย่างใช้เทคนิคการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบเหมือนกัน การ ประเมินและการวิจัยมีความคล้ายคลึงกันมากในหลักการและกระบวนการแต่แตกต่างกันในด้าน จุดมุ่งหมายเท่านั้น คือการวิจัยจะรายงานผลการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ทราบเท่าน้ัน แต่การประเมิน จะ ตัดสินหรือสรุปคุณค่าว่าดีหรือไม่ดีและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข ดังนั้น จึงสามารถนาผลการ ประเมินไปใชใ้ นการวจิ ยั ได้ 6. เพื่อประเมินค่า เป็นการประเมินผลเพ่ือพิจารณาผลของการศึกษาในส่วนรวมตลอด โครงการท่ีไดป้ ฏิบัติไปแล้ววา่ ได้ผลตามมาตรฐานทีต่ อ้ งการหรอื ไม่ สาหรับความสาคัญของการประเมินโครงการน้ัน มีผู้เช่ียวชาญและนักวิชาการหลายท่าน ไดก้ ล่าวไวด้ ังน้ี สมคิด พรมจุ้ย (2542 : 30) กล่าวว่า การประเมินเป็นกิจกรรมที่สาคัญและมีประโยชน์ อย่างย่ิงต่อการวางแผนและบรหิ ารโครงการ ซึ่งสรุปไดด้ ังนี้ 1. ช่วยให้ข้อมูลและสารสนเทศต่างๆ เพ่ือนาไปใช้ในการตัดสินใจเก่ียวกับ การวางแผน และโครงการ ตรวจสอบความพร้อมของทรัพยากรต่าง ๆ ท่ีจาเป็นในการดาเนินโครงการตลอดจน ตรวจสอบความเปน็ ไปได้ในการจัดกจิ กรรมต่าง ๆ 2. ช่วยทาใหก้ ารกาหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการมคี วามชดั เจน 3. ช่วยในการจัดหาข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรคของการดาเนิน โครงการ 4. ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสาเร็จ และความล้มเหลวของโครงการเพ่ือนาไปใช้ ในการ ตัดสินใจและวินิจฉัยว่าจะดาเนินโครงการในช่วงต่อไปหรือไม่ จะยกเลิกหรือขยาย การดาเนินงาน โครงการตอ่ ไป 5. ช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของการดาเนินงานโครงการ ว่าเป็นอย่างไร ค้มุ ค่ากับการลงทนุ หรือไม่ 6. เป็นแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานโครงการ เพราะการประเมินโครงการด้วยตนเอง จะทาให้ ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบผลการดาเนินงาน จุดเด่น จุดด้อย และนาข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุง และพัฒนา โครงการให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากย่ิงขึ้น สาราญ มีแจ้ง (2544 : 20 – 22) กล่าวว่า การดาเนินโครงการต่าง ๆ ต้องมีการติดตาม และประเมนิ ผล เพื่อให้งานดาเนนิ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ ซึง่ การประเมนิ โครงการมคี วามสาคัญ ดงั น้ี 1. ช่วยชี้ให้เห็นว่าจุดประสงค์ของการดาเนินงานเหมาะสมและเป็นไปได้เพียงใด การ ดาเนินงานหรือโครงการใด ๆ จะต้องมีการกาหนดจุดประสงค์ของการดาเนินงาน การประเมินจะเป็น การชว่ ยช้ใี ห้เห็นถงึ ความจาเปน็ ท่ตี ้องดาเนนิ โครงการนีแ้ ละการดาเนนิ งานนน้ั มีความเป็นไปไดเ้ พยี งใด 2. ทาให้ทราบว่าการดาเนินงานนั้น บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ การประเมินโครงการนั้น นอกจากประเมนิ ส่วนอน่ื ๆ แล้ว จะต้องประเมนิ วา่ การดาเนินงานน้ันบรรลุวัตถุประสงคห์ รอื ไม่ เพอ่ื เป็น
6522 การตรวจสอบวา่ ไดด้ าเนนิ งานไปแลว้ ไดผ้ ลตามวัตถุประสงคท์ ่ีตั้งไวห้ รือไม่ ซึง่ เป็นการประเมนิ ผลสัมฤทธ์ิ ของโครงการ 3. กระตุ้นให้มีการเร่งรัดปรับปรุงการดาเนินงาน การประเมินจะเป็นตัวกระตุ้น ให้ผู้ ดาเนนิ งานมีการเร่งรดั และปรับปรงุ การดาเนนิ งานเม่อื พบข้อบกพร่องในการดาเนนิ งาน 4. ช่วยให้มองเห็นข้อบกพร่องในการดาเนินงานแต่ละข้ันตอน ซึ่งจะใช้เป็นหลักในการ ปรบั ปรุงการดาเนนิ งาน การประเมนิ การดาเนินงานทกุ ขั้นตอนจะทาให้พบข้อบกพรอ่ ง 5. ช่วยควบคุมการดาเนินงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการลด การสูญ เปล่าในการใช้ทรัพยากร ผู้ดาเนินงานบางคนซึ่งบางคร้ังมักไม่ปฏิบัติหน้าท่ีให้ดีและเต็มความสามารถ การประเมนิ จะช่วยควบคมุ การดาเนนิ งานให้มีคณุ ภาพได้ 6. ชว่ ยใหข้ อ้ มลู สนเทศแก่ผู้บรหิ ารในด้านการดาเนินงาน ผู้บรหิ ารตอ้ งการทราบข้อมูลทุก แงท่ กุ มมุ ของผลการประเมนิ ซึง่ ผบู้ รหิ ารจะได้นาไปพิจารณาวนิ ิจฉัยและตัดสนิ ใจส่ังการได้ถกู ต้อง 7. ใช้เป็นแนวทางในการกาหนดและวิธีการดาเนินงานที่เหมาะสมในครั้งต่อๆไป การ ประเมินผลโครงการที่ดาเนินงานในปัจจุบันจะทาให้ทราบถึงข้อดีและข้อบกพร่องต่าง ๆ ของวิธีการ ดาเนนิ งาน ซ่งึ จะเป็นแนวทางในการแกไ้ ขที่จะดาเนนิ โครงการประเภทต่อไป 3. ประเภทของการประเมินโครงการ ในการประเมินโครงการ มรี ปู แบบ (Model) ของการประเมินอยูห่ ลายรูปแบบดว้ ยกัน แต่ ละรูปแบบมีเป้าหมายเดียวกันคือผลผลิตของโครงการ แต่มีลักษณะการประเมินแตกต่างกันไป ซ่ึงผู้ ประเมนิ จะต้องพจิ ารณาเลือกรูปแบบการประเมินที่เหมาะสมกับลักษณะของส่ิงที่ต้องการประเมิน และ สภาพการณ์ของปัญหาที่จะประเมินต่าง ๆ กันไป ได้มีผู้เสนอแนวคิดเก่ียวกับรูปแบบการประเมินไว้ หลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะมี แนวความคดิ ทฤษฎี เหตุผล และวิธีการประเมนิ ดงั นี้ นิศา ชูโต (2527 : 15 - 26 ) อ้างอิงมาจาก House. 1980 : 23 ได้กล่าวถึงรูปแบบของ การประเมิน ทีส่ าคัญ ๆ และนยิ มใช้ สรปุ ได้ดังนี้ 1. แบบการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis Approach) มุ่งถึงผลท่ีได้จากโครงการ และพยายามหาความเกี่ยวข้องของรปู แบบแผนงานที่วางไว้ในโครงการกับตัวบ่งชี้ต่าง ๆ และข้อมูลต่าง ๆ ผลที่เกิดจากโครงการจะต้องวดั ได้ในเชิงปริมาณและหาสาเหตุที่เป็นเรื่องของ เหตุ และผล นิยมใช้ใน การวัดโครงการทางดา้ นบรกิ ารสงั คม 2. แบบยดึ วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม หรือวตั ถปุ ระสงค์เป็นพ้นื ฐาน (The Behavioral or Goal – Base Approach) ถือว่าวัตถุประสงค์ของโครงการคือเกณฑ์ในการวดั โครงการ การประเมินจะ เอาวัตถุประสงค์ของโครงการตั้งไว้เป็นเกณฑ์ความสาเร็จของโครงการคือ ไม่มีความแตกต่างกัน หรือ แตกตา่ งกนั น้อยมากระหวา่ งวัตถุประสงค์กับสิ่งทีท่ าจริง 3. แบบยึดการตัดสินใจเป็นหลัก (Decision – Making Approach) ให้ความสาคัญ ตรง จุดระดับการตัดสินใจ และสร้างภาพของสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าถ้าตัดสินใจแบบนั้นแบบน้ีโอกาสน่าจะ
6533 เกิดข้ึนบ้าง จากน้ันก็จะเก็บข้อมูลทาการวเิ คราะห์และเสนอผลให้แก่ผู้ตดั สนิ ในหลาย ๆ ทาง ซ่ึงสุดท้าย ผบู้ รหิ ารเท่านัน้ จะเปน็ ผชู้ ีข้ าดวา่ จะใช้ทางเลอื กใด 4. แบบอิสระจากวัตถุประสงค์ (Goal – Free Approach ) เป็นการประเมินทุกอย่างที่ เกิดข้ึนจากโครงการทั้งหมด และเปรียบเทียบความสาคัญของผลเหล่าน้ัน ว่าตรงกับความต้องการ หรอื ไม่ 5. แบบศิลปวิจารณ์ (Art Criticism Approach) กระบวนการเป็นแบบอย่างการประเมิน ท่ีทาโดยผู้เชี่ยวชาญ มีแบบแผนและหลักเกณฑ์ เกณฑ์เหล่าน้ีมีพ้ืนฐานทางความคิดมีทฤษฎีที่เชื่อถือได้ และมีสว่ นเหน็ พอ้ งกนั บ้าง แม้ว่าไม่เหมือนโดยส้ินเชิงในกลุ่มของผูช้ านาญในศาสตร์สาขานน้ั ๆ 6. การตรวจสอบทางวชิ าชีพ (The Professional Review Approach) คือการประเมินที่ อาศัยกลุ่มของบุคคลที่เช่ียวชาญในอาชีพน้ันๆ เป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานและคุณค่าของคน ในอาชีพ เดยี วกันน่ันเอง 7. แบบกึ่งกฎหมาย (Quasi-Legal Approach) ได้นากระบวนการซักฟอกและ การ พจิ ารณาคดี ของศาลและระบบลูกขุน มาใชใ้ นวธิ ีการประเมินปัญหาสาคัญๆ ทางสงั คม 8. แบบศึกษาเฉพาะกรณี (The Case-Study Approach) มุ่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้รับฟัง เก่ียวกับโครงการอย่างละเอียดในทุกด้าน จึงตัดสินสนใจศึกษาประเด็นว่า บุคคลอ่ืนท่ีรู้จักโครงการ มี ความเห็นเก่ียวกับโครงการอย่างไร จึงใช้ท้ังการสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ศึกษา สภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ถอื ว่าเปน็ กระบวนการศกึ ษาแบบเชิงคุณภาพ 4. รูปแบบการประเมนิ โครงการ สาราญ มีแจ้ง (2544 : 111 – 146) ได้จัดกลุ่มรูปแบบการประเมินโดยอาศัยลักษณะ พฤติกรรมการประเมินเป็นหลัก ซึ่งแบ่งได้ 3 กลุม่ ดงั น้ี 1. รูปแบบการประเมินทีย่ ดึ จุดมุง่ หมายเปน็ หลัก (Goal – Attainment Model หรอื Objective Based Model) รูปแบบกลุ่มน้ีเนน้ จดุ มุ่งหมาย เป้าหมายหรอื วัตถุประสงคเ์ ป็นหลกั รูปแบบ การประเมนิ กลุม่ น้ี ได้แก่ 1.1 รูปแบบการประเมินของไทเลอร์ (R.W. Tyler) ซ่ึงเป็นนักประเมินกลุ่มแรกๆ ในปี ค.ศ. 1930 และเป็นผู้ที่เริ่มบุกเบิกแนวความคิดเห็นเก่ียวกับ การประเมินโครงการ เขามีความเห็นว่า “การประเมนิ คือการเปรียบเทยี บพฤติกรรมเฉพาะอย่าง(Performance) กบั จุดมุง่ หมายเชิงพฤติกรรมท่ี วางไว้” โดยมคี วามเชือ่ วา่ จุดม่งุ หมายทต่ี ั้งไว้ อย่างชดั เจน รัดกุม และเฉพาะเจาะจง จะเป็นแนวทางชว่ ย ในการประเมินได้เป็นอย่างดีในภายหลังโดยดูจากผลผลติ ของโครงการว่าตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีตั้งไวแ้ ต่ แรกหรอื ไมเ่ ท่านั้น 1.2 รูปแบบการประเมินของ ครอนบาค (Cronbach) การประเมินตามแนวคิดของ ครอนบาค น้ันหมายถึง “การเก็บรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลน้ันเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการของ การศึกษา” ซึ่ง ครอนบาค มีความเห็นว่า การประเมินผลน้ันเกี่ยวข้องกับกิจกรรมมากมายหลายอย่าง และไม่มหี ลกั การใดจะครอบคลุมไดว้ า่ จะยดึ ถือหลักการใดบ้างในทุกๆ สถานการณ์ ดงั น้นั จึงเชื่อวา่ การ
6544 ทดสอบสัมฤทธิผลในการเรียนเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพอสาหรับการประเมินผล สาหรับการ ประเมินผลโครงการการเรียนการสอนน้ัน ครอนบาค มีความเห็นว่า ควรทาการทดสอบท้ังจุดมุ่งหมาย ทต่ี ัง้ ไวแ้ ละผลพลอยไดอ้ ่ืน (Side Effect) ของโครงการน้นั ด้วย 1.3 รูปแบบการประเมินของ สคริฟเวน (Scriven) ตามแนวคิดของสคริฟเวนนั้น การ ประเมินผลโครงการหมายถึงการรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นด้วยมาตรที่มีค่าน้าหนักเป็นเกณฑ์ที่เลือกจาก จุดมุ่งหมายของโครงการ ดังนั้น กิจกรรมการประเมินผลโครงการ จึงได้แก่เครื่องมือในการเก็บรวบรวม ข้อมูล การให้น้าหนักความสาคัญ และการเลือกจุดมุ่งหมาย ในการประเมินผล ซ่ึงสคริฟเวนได้กาหนด จุดมุ่งหมายการประเมินไว้ 2 ประการ ได้แก่ การประเมินผลความก้าวหน้า (Formative Evaluation) และการประเมินผลรวมสรปุ (Summative Evaluation) 2. รูปแบบการประเมินการตัดสินใจคุณค่า (Judge mental Model) เป็นรูปแบบการ ประเมนิ ท่ีต้องอาศยั ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผ้เู ช่ียวชาญในการตัดสินคุณค่า โดยอาศยั เกณฑ์ภายในและเกณฑ์ ภายนอก ซึ่งเกณฑ์ภายใน ได้แก่ กระบวนการต่าง ๆ ท่ีจะช่วยให้บรรลุวตั ถุประสงค์ส่วนเกณฑ์ภายนอก ไดแ้ ก่ ผลของ การบรรลุวตั ถุประสงค์ รปู แบบการประเมินทจ่ี ัดอย่ใู นกล่มุ นไ้ี ด้แก่ 2.1 รูปแบบการประเมินของ สเตค (Stake) เป็นรูปแบบการประเมินท่ีมุ่งเน้น การ ตัดสินคุณค่า (Judge mental Model) ของโครงการ สเตค ได้ให้ความหมายของการประเมินว่า เป็น การบรรยายและตัดสินคุณค่าโปรแกรมการศึกษา โดยอาศัยผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในการตัดสิน คุณค่า ซง่ึ สเตค ไดเ้ นน้ วา่ การประเมนิ จะต้องมี 2 ส่วน คือ การบรรยาย (Descriptive) และการตัดสิน คุณค่า (Judgment ) 2.2 รูปแบบการประเมินของโพรวสั (Provus) เป็นการประเมินที่มีจุดมุ่งหมาย เพ่ือนา ผลที่ได้มาใช้ในการตดั สนิ เกย่ี วกับการดาเนนิ งานใน 3 ลักษณะได้แก่ การปรับปรุงแก้ไข (Improve) การ คงไว้ตามเดิม (Maintain) และการยกเลิกไปเลย (Terminate) โดยการประเมิน 5 ด้าน คือ การ ออกแบบงานหรือโครงการนั้น สถานทีป่ ฏิบัติงานตามโครงการ กระบวนการปฏบิ ัติงาน ผลของโครงการ และคา่ ใชจ้ า่ ย 3. รูปแบบการประเมินที่ช่วยการตัดสินใจ (Decision Model) เป็นแบบจาลองที่สร้างขึ้น เพ่อื ช่วยในการตัดสนิ ใจของผู้บรหิ าร แบบจาลองที่จัดอย่ใู นกลมุ่ นี้ ได้แก่ 3.1 รูปแบบการประเมินซิป (CIPP Model) สตัฟเฟิลบีม ได้เสนอรูปแบบการประเมิน Context, Input, Process, Product เพ่ือการประเมินผลโครงการโดยใช้หลักของเหตุผลทั่วๆ ไป อธิบายถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการประเมินกับการตัดสนิ ใจด้านตา่ ง ๆ คอื การประเมินสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) เพื่อช่วยในการตัดสินใจเก่ียวกับการวางแผน ในการกาหนดวัตถุประสงค์ การ ประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input Evaluation) เป็นการตัดสินใจเก่ียวกับโครงการเพ่ือกาหนดรูปแบบของ โครงการ การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการตัดสินใจในด้านการประยุกต์ใช้ เพ่ือควบคุมการดาเนินของโครงการ และ การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) จะช่วยในการ ตัดสินใจและดผู ลสาเร็จของโครงการ
6555 3.2 รูปแบบการประเมินของอัลคิน (Alkin) อัลคินได้ให้ความหมายของ การประเมิน ว่า คือ ขบวนการที่จะได้มาซ่ึงสิ่งที่เก่ียวข้องกับการตัดสินใจ การเลือกเฟ้นข่าวสาร ท่ีเหมาะสม การ รวบรวมและวิเคราะห์ข่าวสารเพ่ือรายงานข้อมูลสรุป เป็นประโยชน์ต่อผู้ทาการตัดสินใจในการเลือก หนทางต่าง ๆ ท่เี ป็นไปได้ ในการประเมินครั้งนี้ผู้ประเมินได้เลือกรูปแบบการประเมินของไทเลอร์ ซึ่งมีความ สอดคล้องและเหมาะสมกบั มาตรฐานและตวั ช้ีวัดท่ีกาหนดไว้ มาตรฐานและตัวช้วี ัดของงานจัดการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน การประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวชี้วัด ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ ในครั้งนี้ใช้รูปแบบการประเมินแบบ Goal – Base Evaluation ซึ่งมีการ กาหนดมาตรฐานและตัวช้ีวัด และเกณฑ์การประเมินท่ีชัดเจนดังน้ี (สานักงานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจงั หวัดศรีสะเกษ, 2562 : 2)
5666 แนวทางการปฏบิ ัติงานตามแผน การบริหารงานแบบมงุ่ ผลสมั ฤทธิ์ ( Result Based Management : RBM) โครงการจดั การศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน วิสยั ทศั น์ (VISION) คนไทยได้รับโอกาสการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ สามารถดารงชีวิตท่ี เหมาะสมกับช่วงวัย สอดคล้องกับหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และมที ักษะจาเป็นในโลกทศวรรษ ที่ 21 พันธกิจ (MISION) 1. พฒั นาหลกั สูตร สถานศกึ ษา ท้งั 3 ระดับ 2. จัดการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พืน้ ฐานให้กบั ประชาชนอยา่ งมคี ุณภาพ 3. สง่ เสริมสนับสนนุ จัดหาส่ือ นวัตกรรม ภูมิปญั ญาแหลง่ เรยี นรู้ และเทคโนโลยีทางการศึกษามา ใชใ้ นการจัดกระบวนการเรยี นรู้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 4. สง่ เสริมประสทิ ธิภาพการจดั กระบวนการเรยี นรู้ของครู 5. จัดกิจกรรมเพอื่ เพิม่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของผ้เู รียน เป้าประสงค(์ GOAL) 1. หลักสูตร สถานศึกษาสอดคล้องกับบริบทของพ้ืนท่ีและความต้องการของประชาชน เพื่อ ยกระดบั คณุ ภาพทางการศกึ ษา 2. ประชาชนผดู้ ้อย พลาดและขาดโอกาสทางการศึกษารวมทั้งประชาชนกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ได้รับโอกาสทางการศึกษาในรูปแบบการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานอย่าง เท่าเทียมและทว่ั ถงึ เป็นไปตามสภาพปัญหาและความตอ้ งการของแตล่ ะกลุ่มเปา้ หมาย 3. สถานศึกษามีสื่อ นวัตกรรม ภูมิปัญญาแหล่งเรียนรู้ และเทคโนโลยที างการศึกษา เพื่อเพิ่ม โอกาสในการเรียนรู้ให้กบั ประชาชน 4. ครจู ัดกระบวนการเรียนรทุ้ ห่ี ลากหลาย 5. ผเู้ รียนมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นทส่ี ูงขึ้น ปจั จัยหลกั แห่งความสาเรจ็ (Critical Success Factor :CSFs) ขอ้ 1. สถานศึกษามหี ลกั สตู รสอดคลอ้ งกบั บริบทของพื้นที่และความต้องการของประชาชน ข้อ 2. สถานศึกษาจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สอดคลอ้ งกบั สภาพปญั หาและความตอ้ งการของแตล่ ะกล่มุ เปา้ หมาย ขอ้ 3. ความเหมาะสมของสื่อ นวตั กรรม ภมู ปิ ัญญาแหล่งเรียนรู้ และเทคโนโลยที างการศกึ ษา ขอ้ 4. การจัดกระบวนการเรียนร้โู ดยใชร้ ปู แบบทห่ี ลากหลาย ขอ้ 5. กิจกรรมสอดคล้องกับการเพ่ิมผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
6577 มาตรฐานและตัวชวี้ ัด ( Standard and Key performance indicator ) มาตรฐานท่ี 1 ด้านหลักสูตรสถานศึกษา ตัวช้วี ดั ผลการดาเนนิ งานหลกั ( Key Performance indicator : KPI ) ตัวชว้ี ัดที่ 1.1 มีการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา ตัวชี้วัดท่ี 1.2 มีการนาหลักสตู รสถานศึกษาไปใช้ในการจัดการเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัดท่ี 1.3 มีการประเมินผลการใช้หลกั สูตร มาตรฐานที่ 2 ด้านการจดั การศกึ ษา ตัวชี้วดั ผลการดาเนนิ งานหลัก ( Key Performance indicator : KPI ) ตวั ชว้ี ดั ท่ี 2.1 มกี ารสารวจขอ้ มลู พ้ืนฐาน ตวั ชวี้ ัดที่ 2.2 มีการวางแผนการจัดการศกึ ษา ตวั ชวี้ ัดท่ี 2.3 มกี ารนิเทศภายในสถานศึกษา ตวั ชว้ี ัดที่ 2.4 มีการประเมินแผนเพอ่ื ปรับปรงุ แกไ้ ข และพฒั นาอย่างต่อเนือ่ ง มาตรฐานท่ี 3 ด้าน ส่ือ น วัตกรรม ภูมิปัญญาแ หล่งเรียน รู้ เทค โ น โ ลยีทาการศึ กษา ตวั ชว้ี ดั ผลการดาเนินงานหลกั ( Key Performance indicator : KPI ) ตวั ชว้ี ดั ท่ี 3.1 มแี ผนการจดั หาส่ือทส่ี อดคล้องกบั แผนการจัดการเรียนรู้รายภาคเรยี น ตวั ชว้ี ัดท่ี 3.2 มกี ารพฒั นานวตั กรรมและนามาใชใ้ นการจดั การเรยี นรู้ ตวั ชี้วดั ที่ 3.3 มภี มู ิปญั ญาและแหลง่ เรียนร้มู าใช้ในการจัดการเรียนรู้ ตวั ชี้วดั ที่ 3.4 มกี ารนาเทคโนโลยที างการศึกษา มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานท่ี 4 ดา้ นประสิทธภิ าพครู ตัวชี้วัดผลการดาเนินงานหลัก ( Key Performance indicator : KPI ) ตัวชี้วัดที่ 4.1 มกี ารจดั ทาแผนการเรยี นรูร้ ายบุคคล ตัวชี้วดั ที่ 4.2 ครใู ช้รูปแบบการเรียนรู้การสอนท่หี ลากหลาย ตัวชว้ี ัดท่ี 4.3 มีการวัดผลประเมินผลท่หี ลากหลาย มาตรฐานท่ี 5 ด้านการเพมิ่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ตวั ชี้วดั ผลการดาเนินงานหลัก ( Key Performance indicator : KPI ) ตวั ชว้ี ัดที่ 5.1 มกี ารจัดกจิ กรรมพัฒนาวชิ าการรายภาคเรียน ตวั ชี้วัดท่ี 5.2 มกี ารจัดกิจกรรมสง่ เสริมการอ่านและพฒั นาทักษะการเรียนรู้ ตัวชี้วัดที่ 5.3 ผเู้ รียนมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทีส่ ูงข้นึ ตวั ชว้ี ัดท่ี 5.4 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น (N-Net)
6858 เกณฑก์ ารพจิ ารณาและหลกั ฐานเพ่ือการตรวจสอบ มาตรฐานที่ 1 ด้านหลักสตู รสถานศึกษา ตัวช้ีวัดท่ี 1.1 มีการพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารพจิ ารณา หลักฐานเพ่อื การตรวจสอบ 1. มีการวเิ คราะห์หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ 1. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง พ.ศ. การศึกษาขนั้ พ้ืนฐานพ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2555 ) พ.ศ. 2555 ) 2. มีการ SWOT สถานศึกษา 2. รายงานผลการ SWOT สถานศกึ ษา 3. มกี ารพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา 3. คาส่ังแต่งตง้ั คณะกรรมการหลกั สูตร สถานศกึ ษา โดยการมีสว่ นรว่ มขงผเู้ ชีย่ วชาญ 4. มกี ารประเมนิ การพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา เฉพาะสาขา 5. มีการนาผลการประเมินกรพัฒนาหลักสูตรมาใช้ 4. หลกั สตู รสถานศกึ ษา 3 ระดบั ปรับปรุง/พฒั นา 5. แบบประเมินการพัฒนาหลักสตู ร เกณฑก์ ารให้คะแนน น้อยทส่ี ุด น้อย ปานกลาง มาก มากที่สุด มี 1ข้อ มี 2ขอ้ มี 3ข้อ มี 4ข้อ มี 5ข้อ 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน ตวั ชวี้ ดั ท่ี 1.2 มกี ารนาหลกั สตู รสถานศึกษาไปใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ หลักฐานเพ่อื การตรวจสอบ เกณฑ์การพจิ ารณา 1. มีการวิเคราะห์หลักสตู รสถานศึกษา 1. ตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร 2. แผนการจัดการเรยี นรู้รายภาคเรยี น 2. มแี ผนการจัดการเรียนรรู้ ายภาคเรียน 3. บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรุ้ 4. ชิ้นงานผ้เู รยี น/หลักฐานของผเู้ รยี น 3. มกี ารนาแผนการจัดการเรยี นรูร้ ายภาคเรยี นไปใช้ 5. แบบประเมนิ ความพึงพอใจ 4. มีการประเมนิ การใช้แผนจดั การเรียนรู้รายภาคเรียน 5. มกี ารปรับปรุง/พัฒนาแผนการจัดการเรยี นรู้
6599 เกณฑ์การใหค้ ะแนน น้อยทส่ี ุด นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ุด มี 5 ขอ้ มี 6 ขอ้ มี 1-2 ข้อ มี 3 ขอ้ มี 4 ข้อ 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน ตัวชว้ี ัดท่ี 1.3 การนเิ ทศติดตามและการรายงานผล เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารพิจารณา หลักฐานเพ่อื การตรวจสอบ 1. มีหลกั สูตรสถานศึกษา 3 ระดับ 1. หลกั สตู รสถานศึกษา 3 ระดบั 2. มีแผนการประเมินผลการใช้หลกั สตู รสถานศกึ ษา 2. แผนการประเมินผลการใช้หลักสูตร สถานศกึ ษา 3. มคี าสั่งแตง่ ตั้งคณะกรรมการประเมินผลการใชห้ ลักสูตร 3. คาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการประเมินผลการ สถานศึกษา ใช้หลักสูตรสถานศึกษา โดยการมีส่วนร่วม 4. มีการประเมนิ ผลการใชห้ ลักสตู รสถานศกึ ษา ของผเู้ ช่ยี วชาญเฉพาะสาขา 5. มีการนาผลการประเมินมาใชป้ รบั ปรง/พฒั นา 4. แบบประเมินการใช้หลักสตู รสถานศึกษา 5. ผลการประเมนิ การใช้หลกั สูตรสถานศึกษา เกณฑ์การใหค้ ะแนน นอ้ ยที่สดุ น้อย ปานกลาง มาก มากท่สี ุด ม1ี ข้อ ม2ี ขอ้ ม3ี ขอ้ ม4ี ข้อ มี 5ขอ้ 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน มาตรฐานที่ 2 ดา้ นการจัดการศกึ ษา ตวั ชวี้ ดั ท่ี 2.1 มีการสารวจข้อมลู พื้นฐาน เกณฑ์การประเมิน หลักฐานเพ่อื การตรวจสอบ เกณฑก์ ารพจิ ารณา 1. มกี ารสารวจขอ้ มูลพื้นฐาน 1. แบบสารวจความต้องการก การศกึ ษา 2. ข้อมูล จปฐ.ประจาป/ี ขอ้ มูล กชช. 2ค 2. มีการวเิ คราะหข์ ้อมลู และจดั ระบบ 3. หนงั สอื /ปา้ ย/แผ่นพบั ประชาสัมพันธ์ 4. ประกาศของสถานศึกษา 3. มีการประชาสัมพันธก์ ารรบั สมัครนักศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน 5. คาส่ังแต่งตงั้ ครูประจากล่มุ รายภาคเรยี น 4. มีประกาศรับสมคั รนกั ศกึ ษารายภาคเรยี น 5. มีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการรับสมัครขึ้นและลงทะเบียน นกั ศึกษารายภาคเรยี น
6700 เกณฑก์ ารให้คะแนน น้อยท่สี ุด นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ุด มี 1 ข้อ มี 2 ข้อ มี 3 ขอ้ มี 4 ข้อ มี 5 ข้อ 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน ตัวช้ีวดั ที่ 2.2 มกี ารวางแผนการจดั การศกึ ษา หลกั ฐานเพื่อการตรวจสอบ เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารพจิ ารณา 1. คาสั่งแตง่ ตั้งคณะกรรมการการจัดการศึกษาราย 1. มคี าสงั่ แตง่ ต้ังคณะกรรมการจัดการศึกษารายภาคเรียน ภาคเรียน 2. รายงานการประชุม 2. มกี ารประชมุ คณะกรรมการจดั การศกึ ษา 3. แผน/ปฏิทนิ การจดั การศกึ ษารายภาคเรียน 4. ข้อมลู นักศกึ ษาในระบบ ITW 3. มแี ผน/ปฏทิ นิ การจัดการจดั การศกึ ษารายภาคเรียน 5. คาส่งั แต่งตง้ั ครปู ระจากลุ่มรายภาคเรยี น 4. มกี ารบนั ทกึ ขอ้ มลู นกั เรยี นในระบบ ITW 5. มกี ารแต่งตง้ั ครูประจากลุ่มรายภาคเรียน เกณฑก์ ารให้คะแนน น้อยท่ีสดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทีส่ ดุ มี 3 ข้อ มี 4 ข้อ มี 5 ขอ้ มี 1 ขอ้ มี 2 ขอ้ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน
7611 ตัวช้วี ดั ท่ี 2.3 มีการนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา เกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การพจิ ารณา หลกั ฐานเพื่อการตรวจสอบ 1. มกี ารจดั ทาแผนนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา 1. แผนการนิเทศงานการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานฯ 2. มีการจัดทาคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการนิเทศภายใน 2. คาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการการนิเทศภายใน สถานศกึ ษา สถานศกึ ษา 3. มีเครื่องมอื นเิ ทศ 3. เครอ่ื งมือการนิเทศงานการศึกษาข้นั พนื้ ฐานฯ 4. มีการนเิ ทศอยา่ งนอ้ ยภาคเรยี นละ 1 ครงั้ /ครู 1 คน 4. สมุดบันทึกการนิเทศ/สมุดตรวจเย่ียมของ 5. มีการรายงานผลการนเิ ทศงานการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน กศน.ตาบล/ศูนย์การเรยี นชุมชน 5. บนั ทึกรายงานผลการนิเทศ 6. มกี ารนาข้อมูลผลการนิเทศไปใช้ในการปรับปรุงพฒั นาการ 6. รายงานผลการปรบั ปรงุ /พฒั นาการนเิ ทศ นิเทศ 7. ภาพกิจกรรม เกณฑ์การใหค้ ะแนน น้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก มากที่สดุ มี 3 ขอ้ มี 4 ข้อ มี 5 ขอ้ มี 1 ขอ้ มี 2 ข้อ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน
7622 ตัวชว้ี ดั ท่ี 2.4 มกี ารประเมินแผนเพอื่ ปรับปรงุ แกไ้ ข และพฒั นาอยา่ งต่อเนอื่ ง เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารพจิ ารณา หลักฐานเพอ่ื การตรวจสอบ 1. มีแผน/โครงการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานประจาปี 1. โครงการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน งบประมาณ ประจาปงี บประมาณ 2. มีการประชมุ สรปุ ผลการปฏิบัติงานประจาปงี บประมาณ 2. คาส่ัง/รายงานการประชุม 3. แบบประเมนิ ความพึงพอใจ 3. มีการรายงาน/สรปุ ผลการประชุม 4. รายงานสรุปผลประเมินความพึงพอใจ 4. มกี ารประเมินความพงึ พอใจ 5. รายงานการประเมินตนเอง (SAR) ประจาปี 5. สรปุ ผลการปฏบิ ัตงิ านประจาปงี บประมาณ งบประมาณ 6. มขี ้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรงุ และพฒั นา เกณฑ์การใหค้ ะแนน นอ้ ยที่สดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากท่สี ดุ มี 1 ขอ้ มี 2 ข้อ มี 3 ขอ้ มี 4 ข้อ มี 5 ขอ้ 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน มาตรฐานที่ 3 ดา้ นสอ่ื นวตั กรรม ภูมปิ ญั ญาและแหล่งเรยี นรู้ เทคโนโลยที างการศกึ ษา ตัวชว้ี ัดที่ 3.1 มีแผนการจดั หาสื่อท่ีสอดคล้องกบั แผนจดั การเรยี นรรู้ ายภาคเรียน เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การพิจารณา หลกั ฐานเพอื่ การตรวจสอบ 1. มีแผนการจดั หาส่อื 1. แผนการจดั หาสื่อ 2. มคี าส่ังแตง่ ตง้ั คณะกรรมการการดาเนินงานจดั หาสื่อ 2. ทะเบียนคมุ การยืม-คืนส่อื 3. คาสั่งแตง่ ตั้งคณะกรรมการดาเนินการจัดหาส่อื 3. มีสื่อเอกสารส่ิงพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพ 4. ทะเบยี นคุมส่ือ ทันสมยั และสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน 5. แบบประเมินการใชส้ ื่อ 4. มกี ารประเมินการใช้สอ่ื 6. รายงานผลการปรบั ปรุงและพัฒนาการจัดหาส่ือ 5. มกี ารปรับปรุงและพฒั นาการจัดหาส่อื ทีผ่ า่ นความเห็นชอบจากผู้บริหาร
7633 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน น้อยทส่ี ุด น้อย ปานกลาง มาก มากทีส่ ุด มี 3 ข้อ มี 4 ข้อ มี 5 ข้อ มี 1 ข้อ มี 2 ข้อ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน ตัวชว้ี ดั ที่ 3.2 มกี ารพฒั นานวตั กรรมและนามาใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑก์ ารพิจารณา หลักฐานเพอื่ การตรวจสอบ 1. มีแผนการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ 1. แผนการพฒั นานวัตกรรมการเรยี นรู้ 2. มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการการพัฒนานวัตกรรมการ 2. คาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการการพัฒนานวัตกรรม เรียนรู้ การเรยี นรู้ 3. หลักฐานแสดงการใช้นวัตกรรมในการจัดการ 3. มนี วัตกรรมที่มีคณุ ภาพ เรียนรู้ 4. มีการประเมินการใช้นวตั กรรมการเรียนรู้ 4. แบบประเมินการใชน้ วัตกรรมการเรียนรู้ 5. มีการใช้นวัตกรรมครูคืนถิ่น (TBTI) เพื่อบันทึกผลการ 5. รายงานผลนวัตกรรมครูคืนถ่ิน (TBTI) ของ ปฏบิ ัตงิ าน สานกั งาน กศน.จงั หวดั ศรสี ะเกษ เกณฑก์ ารให้คะแนน น้อยทสี่ ุด นอ้ ย ปานกลาง มาก มากที่สดุ มี 3 ข้อ มี 4 ข้อ มี 5 ขอ้ มี 1 ขอ้ มี 2 ขอ้ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน
7644 ตวั ชีว้ ัดท่ี 3.3 มีภูมปิ ัญญาและแหล่งเรยี นร้มู าใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การพิจารณา หลกั ฐานเพื่อการตรวจสอบ 1. มีการบันทึกข้อมูลในนวัตกรรมเช่ือมโยงแหล่งเรียนรู้ 1. นวัตกรรมเช่ือมโยงแหล่งเรียนรู้ ( Learning ( Learning Linkage innovation:LRLI ) ของสานักงาน Linkage innovation:LRLI ) ของสานักงาน กศน. กศน.จงั หวดั ศรีสะเกษ จงั หวดั ศรีสะเกษ 2. มกี ารใช้ภมู ิปญั ญาในการจัดการเรียนการสอน 2. บันทกึ หลงั การเรยี นรู้ 3. มแี หลง่ เรียนร้ใู นการจดั การเรียนการสอน 3. แฟม้ สะสมงาน/ใบงาน/ใบความร/ู้ กรต. 4. มีการประเมินและสรุปผลความพึงพอใจในการใช้ภูมิ 4. แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้ภูมิปัญญา ปัญญาและแหล่งเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ 5. ภาพกจิ กรรม 5. มีการนาผลการประเมินความพึงพอใจมาใช้ปรับปรุง/ พัฒนา เกณฑก์ ารให้คะแนน น้อยทสี่ ดุ น้อย ปานกลาง มาก มากท่สี ดุ มี 3 ขอ้ มี 4 ข้อ มี 5 ขอ้ มี 1 ขอ้ มี 2 ขอ้ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน
7655 ตัวช้ีวดั ท่ี 3.4 มีการนาเทคโนโลยที างการศึกษา มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑ์การพิจารณา หลกั ฐานเพื่อการตรวจสอบ 1. มีการจดั ทา ทาเนยี บเทคโนโลยีทางการศึกษา 1. ทาเนียบข้อมูลเทคโนลยีทางการศึกษา 2. มีการนาเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้ในการจัดการ 2. บันทึกการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา เรียนรู้ 3. แบบประเมินความพึงพอใจการใช้เทคโนโลยที าง การศึกษา 3. มีระบบการให้บริการท่ีสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ 4.หลกั ฐานแสดงการเข้าถึง เช่น ง่าย Facebook,www.,Line เป็นต้น 5. ส่ือการเรยี นร้/ู ใบงาน/ใบความร/ู้ ผา่ นระบบ 4. มีการประเมินและสรุปผลความพึงพอใจในการใช้ ออนไลน์ เทคโนโลยที างการศึกษา 5. มีการนาผลการประเมินความพึงพอใจมาใช้ปรับปรุง/ พัฒนา เกณฑ์การให้คะแนน นอ้ ยทีส่ ดุ น้อย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ มี 3 ข้อ มี 4 ขอ้ มี 5 ข้อ มี 1 ข้อ มี 2 ข้อ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน
6766 มาตรฐานที่ 4 ดา้ นประสทิ ธภิ าพครู ตัวชีว้ ดั ท่ี 4.1 มกี ารจัดทาแผนการเรยี นร้รู ายบุคคล เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารพจิ ารณา หลักฐานเพือ่ การตรวจสอบ 1. มีการจัดทาแผนการเรียนรู้รายบุคคล 1. แผนจัดการเรียนรรู้ ายบุคคล 2. มกี ารนาแผนการจัดการเรยี นรู้รายบคุ คลไปใช้ 2. แฟ้มข้อมลู ผู้เรยี นรายบคุ คล 3. มีการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้รายบุคคล 3. บันทึกหลังการสอน 4. ครูมกี ารจดั ระบบช่วยเหลือผเู้ รยี นให้ประสบความสาเร็จ 4. แฟ้มสะสมงานผู้เรยี นรายบคุ คล 5. มีการปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบรบิ ท 5. ข้อสอบกลางภาคเรียน/ใบงาน/ใบความรู้/ แบบทดสอบย่อย ปจั จุบัน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน นอ้ ยทส่ี ุด นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ มี 3 ข้อ มี 4 ขอ้ มี 5 ข้อ มี 1 ขอ้ มี 2 ข้อ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน ตัวชวี้ ดั ท่ี 4.2 ครูใชร้ ปู แบบการเรียนการสอนท่หี ลากหลาย เกณฑก์ ารประเมนิ หลักฐานเพอ่ื การตรวจสอบ เกณฑ์การพจิ ารณา 1. ครูใช้รปู แบบการเรยี นการสอนอยา่ งน้อย 2 รปู แบบ 1. แผนการเรียนรู้รายบุคคล 2. ครใู ช้รูปแบบการเรียนการสอนอยา่ งน้อย 3 รูปแบบ 2. บนั ทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ 3. ครใู ชร้ ปู แบบการเรียนการสอนอยา่ งนอ้ ย 4 รูปแบบ 3. แฟม้ สะสมงานผู้เรยี นรายบคุ คล 4. ครูใช้รปู แบบการเรยี นการสอนอย่างน้อย 5 รูปแบบ 4. ช้ินงาน/หลกั สูตรของผูเ้ รยี น 5. ครใู ช้รปู แบบการเรยี นการสอนอย่างน้อย 6 รปู แบบ 5. การเรยี นรู้ด้วยตนเอง (กรต.) 6. หลักฐานการวิเคราะห์และประเมินผลระหว่าง ภาคเรียน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน นอ้ ยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก มากทสี่ ุด มี 3 ข้อ มี 4 ข้อ มี 5 ข้อ มี 1 ข้อ มี 2 ข้อ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน
6777 ตวั ช้วี ดั ที่ 4.3 มีการวัดผลประเมนิ ผลท่หี ลากหลาย เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การพจิ ารณา หลักฐานเพอื่ การตรวจสอบ 1. ครมู กี ารวดั ผลและประเมินผลระหวา่ งภาคเรยี น 1 รปู แบบ 1. ใบงาน/ใบความรู้ 2. ครมู ีการวัดผลและประเมินผลระหวา่ งภาคเรยี น 2 รูปแบบ 2. แบบทดสอบย่อย 3. ครูมีการวัดผลและประเมนิ ผลระหวา่ งภาคเรยี น 3 รูปแบบ 3. แฟ้มสะสมงานของผู้เรยี น 4. ครูมกี ารวดั ผลและประเมินผลระหว่างภาคเรียน 4 รปู แบบ 4. โครงงาน 5. ครูมีการวัดผลและประเมนิ ผลระหวา่ งภาคเรยี น 5 รปู แบบ 5. การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (กรต.) ข้ึนไป 6. ข้อสอบกลางภาค เกณฑ์การประเมนิ น้อยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ุด มี 3 ขอ้ มี 4 ขอ้ มี 5 ขอ้ มี 1 ข้อ มี 2 ข้อ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน มาตรฐานที่ 5 ด้านการเพม่ิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ตวั ชว้ี ดั ที่ 5.1 มกี ารจัดกิจกรรมพฒั นาวิชาการรายภาคเรยี น เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์การพจิ ารณา หลกั ฐานเพอื่ การตรวจสอบ 1. มแี ผนการจัดกจิ กรรมพฒั นาวิชาการรายภาคเรยี น 1. แผนการจดั กจิ กรรมพัฒนาวชิ าการรายภาคเรียน 2. มีโครการ/กจิ กรรมพฒั นาวิชาการรายภาคเรียน 2. โครงการ/กจิ กรรมพัฒนาวชิ การรายภาคเรียน 3. มีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดกิจกรรมพัฒนาวิชการ 3. คาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการจัดกิจกรมพัฒนา วชิ าการรายภาคเรียน รายภาคเรียน 4. สรุปการประเมินความพึงพอใจการจัดโครงการ/ 4. มีการดาเนินการจัดกจิ กรรม 5. มีการประเมินความพึงพอใจการจัดโครงการ/กิจกรรม กิจกรรม 5. สรปุ ผลโครงการ/กิจกรรม 6. มกี ารสรปุ และรายงานผลโครงการ/กจิ กรรม
7688 เกณฑก์ ารพิจารณา น้อยที่สดุ น้อย ปานกลาง มาก มากทีส่ ุด มี 4 ขอ้ มี 5 ข้อ มี 6 ข้อ มี 2 ข้อ มี 3 ขอ้ 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน ตวั ช้วี ัดที่ 5.2 มกี ารจัดกจิ กรรมสง่ เสริมการอา่ นและพฒั นาทักษะการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การพจิ ารณา หลักฐานเพ่อื การตรวจสอบ 1. ส่งเสริมการอ่านรายภาคเรียน 1. บนั ทึกการอา่ น 2. พัฒนาทกั ษะการเรียนร้รู ายภาคเรียน 2. สมุด กรต. 3. มีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านและพัฒนา 3. คาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่าน และพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้รายภาคเรยี น ทักษะการเรียนรู้รายภาคเรยี น 4. สรปุ การประเมินความพงึ พอใจการจัดกิจกรรม 4. มีการประเมินความพงึ พอใจการจัดกิจกรรม 5. สรปุ ผลกิจกรรม 5. มีการสรุปผลกิจกรรม 6. ภาพกิจกรรม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน น้อยที่สดุ น้อย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ มี 1 ข้อ มี 2 ขอ้ มี 3 ข้อ มี 4 ข้อ มี 5 ขอ้ 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน ตวั ช้วี ดั ที่ 5.3 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นท่สี ูงขนึ้ เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑก์ ารพจิ ารณา หลกั ฐานเพอ่ื การตรวจสอบ ร้อยละเฉล่ียของผู้เรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกระดับ 1. ผลการสอบปลายภาคเรยี น การศึกษาท่ีมคี ะแนนสงู กว่าค่าขดี จากัดลา่ ง 2. รายงานสรปุ ผลการสอบปลายภาคเรยี น
7699 เกณฑก์ ารประเมนิ 5 คะแนน นอ้ ยท่ีสุด น้อย ปานกลาง มาก มากทีส่ ุด คะแนน 1.00-1.50 คะแนน 1.51-2.50 คะแนน 2.51-3.50 คะแนน 3.51-4.50 คะแนน 4.51-5.00 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน ตัวชี้วัดที่ 5.4 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นการศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-NET) เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์การพิจารณา หลกั ฐานเพ่ือการตรวจสอบ ร้อยละท่ีเพ่ิมขึ้นของคะแนนเฉลี่ยการทดสอบทางการศึกษา แบบรายงานผลการสอบ (N-NET) การศกึ ษาระดับชาติการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น (N-NET) เกณฑก์ ารประเมิน 5 คะแนน นอ้ ยทีส่ ุด นอ้ ย ปานกลาง มาก มากที่สุด คะแนน 1.00-1.50 คะแนน 1.51-2.50 คะแนน 2.51-3.50 คะแนน 3.51-4.50 คะแนน 4.51-5.00 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน 5 คะแนน
8070 ความพงึ พอใจ 1. ความหมายและแนวคิดของความพึงพอใจ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2537 : 659) ให้ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง ชอบ ชอบใจ พึงใจ สมใจ จุใจ นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายและแนวคิดของความพึง พอใจไวห้ ลากหลาย ดังน้ี จิรวิทย์ เดชจรัสศรี (2538 : 40) ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์ คือ ความรู้สึกในทางบวก และความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกทางบวกเป็นความรู้สึกที่เกิดข้ึนแลว้ จะทาให้ เกิดความสุข ความสุขนัน้ เปน็ ความรสู้ กึ ทแี่ ตกต่างจากความรู้สึกทางบวกอ่ืน กล่าวคอื เป็นความรู้สึกท่ี ระบบย้อนกลับ ความสุขสามารถทาให้เกิดความสุขหรอื ความรู้สึกทางบวกเพิ่มข้ึนได้อีก ดังนั้นจะเห็น ได้วา่ ความสุขเป็นความร้สู ึกสลบั ซบั ซ้อนและความสุขน้ันมีผลต่อบุคคลมากกว่าความร้สู ึกทางบวกอืน่ ๆ ความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวก และความสุขมีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อน และระบบ ความสัมพันธ์ของความรู้สึกท้ังสามนี้ เรียกว่า ระบบความพึงพอใจ โดยความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือ ระบบความพึงพอใจมคี วามรู้สกึ ทางบวกมากกวา่ ความรู้สึกทางลบ ชวลิต เหล่ารุ่งกาญจน์ (2538 : 8) กล่าวว่า ระบบความพึงพอใจจะเกิดข้ึนเม่ือ ความ ต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนองหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหน่ึง ความรู้สึกดังกล่าวจะลดลง หรือไมเ่ กดิ ขึ้นหากความตอ้ งการหรือจุดมุ่งหมายนน้ั ไม่ได้รบั การตอบสนอง หรือจะเกิดขึน้ เมอ่ื ความรู้สึก ทางบวกมคี ่ามากกวา่ ความรสู้ กึ ทางลบ ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2539 : 365) กล่าวว่าความพึงพอใจ และแรงจูงใจจะเป็นเหตุผลซึ่ง กันและกัน และได้ให้แนวคิดไว้ว่า การจูงใจ (Motivation) เป็นส่ิงเร้าและความพยายามท่ีจะ ตอบสนองความต้องการหรือเปา้ หมาย ส่วนความพึงพอใจ (Satisfaction) หมายถึง ความพอใจเม่ือ ต้องการหรือเป้าหมายทีได้รับการตอบสนอง ดังน้ัน การจูงใจเป็นส่ิงเร้าเพ่ือให้เกิดผลลัพธ์ คือ ความ พึงพอใจ วิยะดา เสรีวิชยสวัสดิ์ (2545 : 9) ได้กล่าวถึงความพึงพอใจว่า ความพึงพอใจ เป็น ความรู้สึกท่ีดีของบุคคลท่ีได้รับการตอบสนอง เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในส่ิงท่ีต้องการก็จะทาให้เกิด ความรู้สึกที่ดี ชอบ และสบายใจ หากสอดคล้องกับความคาดหวังหรือมากกว่าท่ีคาดหวังไว้ก็จะมี ความรู้สึกพึงพอใจ ออสแคมป์ (อ้างถึงใน อมรรัตน์ เชาวลิต, 2541 : 57-58) ให้ความหมายของความพึง พอใจอยู่ 3 นัยดว้ ยกัน คือ 1. ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพการณ์ที่ผลการปฏิบัติจริงได้เป็นไปตามที่บุคคล คาดหวงั 2. ความพึงพอใจ หมายถงึ ระดบั ของความสาเร็จทเี่ ปน็ คามความต้องการ 3. ความพงึ พอใจ หมายถึง การทงี่ านได้เปน็ ตาม หรอื ตอบสนองต่อคณุ ค่าของบุคคล
8711 ซ่ึงจากความหมายท้ัง 3 นัยดังกล่าว ออสแคมป์เห็นว่าเป็นการนาไปสู่การพัฒนาทฤษฎีว่า ด้วยความพึงพอใจต่องาน 3 ทฤษฎี ท่ีสาคัญคือความหมายนัยแรกอยู่ในกลุ่มทฤษฎีความคาดหวัง (Expectancy Theories) ตามความหมายท่ีสองอยู่ในกลุ่มทฤษฎีความต้องการ (Need Theories) และตามความหมายนัยท่ีสามอย่ใู นทฤษฎีคณุ ค่า (Value Theories) นอกจากน้ียังได้สรปุ ถึงปัจจัยหลกั ท่ีมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจว่ามี 4 ปัจจัยที่สาคัญคือ 1) ตัวลักษณะงาน 2) เง่ือนไขเกี่ยวกับงาน 3) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคล และ 4) ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล จากความหมายและแนวคิดของความพึงพอใจที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เป็นความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ทางด้านบวกของบุคคล ที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึงไม่สามารถอธิบายในเชิง เหตุผล ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือส่ิงนั้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของบุคคลนั้นได้ แต่ทั้งนี้ความ พึงพอใจของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกนั ขนึ้ อย่กู ับค่านยิ มและประสบการณ์ท่ีได้รบั 2. ความสาคญั ของความพงึ พอใจ สาโรช ไสยสมบตั ิ (2534 : 15) กล่าวถงึ ความสาคัญของความพึงพอใจว่า ความพึงพอใจ เป็นปจั จัยสาคญั ทช่ี ว่ ยให้งานประสบความสาเร็จ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงงานเก่ียวกบั การให้บริการ ซง่ึ เป็น ปัจจัยสาคัญประการแรกท่ีเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเจริญก้าวหน้าของงานบริการ ก็คือ จานวนผู้มาใช้ บริการ ดังน้ัน ผู้บริหารท่ีชาญฉลาดจึงควรอย่างย่ิงท่ีจะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งถึงปัจจัยและองค์ประกอบ ต่าง ๆ ที่จะทาให้เกิดความพึงพอใจ ท้ังผู้ปฏิบัติงานและผู้มาใช้บริการ เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการบริ หารองค์กรให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด จากความสาคัญดังกล่าวสรุปได้ว่า หากบุคคลมี ความพึงพอใจ ย่ อมส่งผ ลต่ อความเ จริ ญก้าวห น้าของหน่ว ยงาน ต ล อดจ น ทาให้เ กิด ความศรั ทธ า ใน หนว่ ยงานตอ่ ไป 3. ลักษณะของความพงึ พอใจ ความพึงพอใจในการบริการมีความสาคัญต่อการดาเนินงานบริการให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธภิ าพซง่ึ มีลักษณะท่วั ไปดังน้ี (มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมธริ าช 2535 : 24-37) 1. ความพงึ พอใจเปน็ การแสดงออกทางอารมณ์ และความรู้สึกในทางบวกของบุคคล ตอ่ สิ่งหนึ่งส่งิ ใด บุคคลจาเป็นตอ้ งปฏสิ ัมพนั ธก์ ับส่งิ แวดล้อมรอบตวั การตอบสนอง ความตอ้ งการส่วน บุคคลด้วยการโตต้ อบกับบุคคลอ่ืน และสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน ทาให้แต่ละคนมีประสบการณ์การ เรียนรู้ ส่ิงท่ีจะได้รับตอบแทนแตกต่างกันไป ในสถานการณ์การบริการก็เป็นเช่นเดียวกัน บุคคลรับรู้ หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับการบริการ ไม่ว่าจะเป็นประเภทของการบริการ หรือคุณภาพของการ บริการ ซึ่งประสบการณ์ท่ีได้รับจากการสัมผัสบริการต่าง ๆ หากเป็นไปตามความต้องการของ ผรู้ บั บริการ โดยสามารถทาให้ผู้รบั บรกิ ารได้รบั สิ่งท่คี าดหวังก็ย่อมกอ่ ให้เกดิ ความรู้สกึ ที่ดีและพงึ พอใจ 2. ความพึงพอใจเกดิ จากการประเมนิ ความแตกต่างระหวา่ งส่ิงทีค่ าดหวงั กับสง่ิ ที่ได้รับ จริงในสถานการณบ์ รกิ าร อัจฉรา สมสวย (2545 : 5-6) ได้กล่าวถงึ ลักษณะของความพึงพอใจไว้ดงั นี้
7822 1. ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรูส้ กึ ในทางบวกของบุคคลต่อ ส่ิงหน่ึงสิ่งใด บุคคลจาเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว การตอบสนองความต้องการส่วน บุคคลด้วยการโต้ตอบกับบุคคลอื่นและส่ิงต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันทาให้แต่ละคนมีประสบการณ์การ เรยี นร้ทู ีจ่ ะไดร้ ับการตอบแทนแตกต่างกันไป 2. ความพงึ พอใจเกิดจากการประเมินความแตกตา่ งระหว่างส่งิ ท่ีคาดหวงั กับสิ่งท่ีได้รับ จริงในสถานการณห์ น่งึ 3. ความพึงพอใจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์ท่ี เกิดข้ึน ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกชอบสิ่งใดส่ิงหนึ่งท่ีผันแปรได้ตามปัจจัยท่ีมาเก่ียวข้องกับความ คาดหวังของบุคคลในแต่ละสถานการณ์ นอกจากนคี้ วามพงึ พอใจเป็นความรู้สึกที่แสดงออกมาในระดับ มากน้อยได้ ข้ึนอยู่กบั ความแตกตา่ งของการประเมินสิง่ ท่ีไดร้ ับจริงกบั ส่ิงที่คาดหวังไว้ จากลักษณะของความพึงพอใจดังกล่าวสรุปได้ว่า ความพึงพอใจมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ความพึงพอใจท่ีเกิดจากอารมณ์ในขณะที่เข้ารับบริการ และความพึงพอใจท่ีต้องพิจารณาในหลาย ๆ ดา้ น 4. ปจั จัยที่มผี ลต่อความพงึ พอใจของผ้รู ับบรกิ าร ความพึงพอใจของผู้รับบริการเป็นการแสดงออกถึงความรสู้ ึกในทางบวกของผู้รับบริการตอ่ ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ซึ่ ง ปั จ จั ย ท่ี มี ผ ล ต่ อ ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ข อ ง ผู้ รั บ บ ริ ก า ร ที่ ส า คั ญ ๆ มี ดั ง น้ี (มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช 2535 : 38-40) 1. สถานที่บริการ การเข้าถึงการบริการได้สะดวกเมื่อประชาชนมีความต้องการ ย่อม ก่อให้เกิดความพึงพอใจต่อการบริการ ทาเล ท่ีตั้ง และการกระจายสถานท่ีบริการให้ท่ัวถึง เพื่ออานวย ความสะดวกแก่ประชาชนจงึ เป็นเรื่องสาคัญ 2. การส่งเสริมแนะนาการบริการ ความพึงพอใจของผู้รับบริการเกิดขึ้นได้จาก การได้ ยินข้อมูลข่าวสารหรือบุคคลอื่นกล่าวขานถึงคุณภาพการบริการไปในทางบวก ซึ่งหากตรงกับคว าม เชื่อถือที่มีก็จะมีความรู้สึกกับบริการดังกล่าวอันเป็นแรงจูงใจผลักดัน ให้มีความต้องการบริการตามมา ได้ 3. ผใู้ หบ้ รกิ าร ผ้บู ริหารการบริการ และผ้ปู ฏิบตั ิการลว้ นเปน็ บุคคลทมี่ ีบทบาทสาคัญต่อ การปฏิบัติงานบริการให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจทั้งส้ิน ผู้บริหารการบริการ ที่วางนโยบายการ บริการโดยคานึงถึงความสาคัญของประชาชนเป็นหลักย่อมสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้เกิด ความพึงพอใจได้ง่ายเช่นเดียวกับผู้ปฏิบัติงานหรือพนักงานบริการที่ตระหนักถึงประชาชนเป็น สาคัญ แสดงพฤติกรรมการบริการและสนองบริการท่ีลูกค้าต้องการด้วยความสนใจเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ด้วยจิตสานึกของการบริการ 4. สภาพแวดล้อมของการบริการ สภาพแวดล้อมและบรรยากาศของการบริการ มี อิทธิพลต่อ ความพึงพอใจของลูกค้า ลูกค้ามักชื่นชมสภาพแวดล้อมของการบริการเก่ียวข้องกับ การ
8733 ออกแบบอาคารสถานที่ การตกแต่งภายในด้วยเฟอร์นิเจอร์และการให้สีสัน การจัดแบ่งพื้นที่ เป็น สัดสว่ นตลอดจนการออกแบบวสั ดุ เครื่องใช้งานบรกิ าร จดหมาย ซองจดหมาย เปน็ ต้น 5. กระบวนการบริการ วิธีการนาเสนอบริการในกระบวนการบริการเป็นส่วนสาคัญใน การสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน ประสิทธิภาพของการจัดการ ระบบการบริการ ส่งผลให้การ ปฏิบัติงานบริการแก่ลูกค้ามีความคล่องตัว และสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างถูกต้อง มี คุณภาพ เช่น การนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดระบบข้อมูลของการสารองห้องพัก โรงแรม หรือ สายการบิน การใช้เคร่ืองฝากถอนเงินอัตโนมัติ การใช้ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติในการรับโอนสายในการ ติดตอ่ องค์การต่าง ๆ การประชุมทางโทรศพั ท์ การติดต่อทางอินเตอรเ์ นต็ เป็นต้น จากปัจจัยดังกล่าว สรุปได้ว่า ความพึงพอใจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามปัจจัย แวดล้อมและสถานการณ์ทเี่ กิดข้ึน ซ่ึงผนั แปรไปตามปจั จยั ท่ีมาทมี่ าเกีย่ วขอ้ งกับความคาดหวงั ของบุคคล ในแต่ละสถานการณ์ ช่วงเวลาหนึ่งบุคคลอาจจะไม่พอใจต่อสิ่งหน่ึง เพราะไม่เป็นไปตาม ท่ีคาดหวังไว้ แตใ่ นช่วงหนึ่งหากสิง่ ท่คี าดหวงั ไว้ได้รับการตอบสนองอย่างถูกต้อง บคุ คลก็สามารถเปลีย่ นความรสู้ ึกเดิม ต่อส่ิงน้ันได้ อย่างทันทีทันใด นอกจากนี้ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่สามารถแสดงออกในระดับมาก น้อยได้ขึ้นอยู่กับ ความแตกต่างของการประเมินส่ิงท่ีได้รับจรงิ กับสิ่งทค่ี าดหวังไว้ ส่วนใหญ่ประชาชนจะ ใช้เวลาเป็นมาตรฐาน ในการเปรยี บเทียบความคาดหวงั จากบริการต่าง ๆ ความพงึ พอใจเป็นปจั จัยสาคัญประการหนึ่งท่ีชว่ ยทาให้งานประสบผลสาเรจ็ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ถ้าเป็นงานที่เก่ียวกับการให้บริการ นอกจากผู้บริการจะดาเนินการให้ผู้ทางานเกิดความพึงพอใจในการ ทางานแล้ว ยังจาเป็นต้องดาเนินการท่ีจะทาให้ผู้มาใช้บริการเกิดความพึงพอใจด้วย เพราะความ เจริญก้าวหน้าของงานบริการ ปัจจัยที่สาคัญประการหน่ึงท่ีเป็นตัวบ่งชี้คือ จานวนผู้มาใช้บริการ ดังนั้น ผู้บริการท่ีชาญฉลาดจึงควรอย่างย่ิงท่ีจะศึกษาให้ลึกซ้ึงถึงปัจจยั และองค์ประกอบ ต่าง ๆ ท่ีจะทาให้เกิด ความพึงพอใจทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้มาใช้บริการ เพื่อที่จะได้ใช้แนวทางในการบริหารองค์กรให้มี ประสิทธภิ าพและเกิดประโยชนส์ งู สุด ซ่งึ ในการให้บริการเป้าหมายสาคัญ ของบริการคอื การสรา้ งความ พึงพอใจในการใหบ้ รกิ าร มิลเลท (1954 : 397- 400)ได้ให้ ทัศนะว่า ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อบริการของ หน่วยงานของรัฐวา่ ควรพจิ ารณาจาก สิ่งตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. การให้บริการอย่างเสมอภาค (Equitable service) หมายถึง ความยุติธรรมในการ บริหารงานภาครัฐที่มีฐานคติท่ีว่า คนทุกคนเท่าเทียมกัน ดังน้ันประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่าง เทา่ เทยี มกนั ในแง่มุมของกฎหมาย ไมม่ กี ารแบ่งแยกกีดกันในการบริการเดียวกัน 2. การให้บริการที่ตรงเวลา (Timely service) หมายถึง การให้บริการจะต้องมองว่า ให้บริการสาธารณะจะต้องตรงเวลา ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ จะถือว่าไม่มีประสิทธิภาพ เลยถ้าไมม่ ีการตรงเวลาซึ่งจะสรา้ งความไม่พงึ พอใจแก่ประชาชน
7844 3. การให้บริการอย่างเพียงพอ (Ample service) หมายถึง การให้บริการสาธารณะต้อง มี ลักษณะ มีจานวนการให้บริการและสถานท่ีให้บริการอย่างเหมาะสม (The right quantity at the right geographical location) มิลเลท ยังเห็นว่าความเสมอภาคหรือการตรงเวลาจะไม่มีความหมาย เลยถ้ามีจานวนการให้บริการที่ไม่เพียงพอ และสถานที่ต้ังท่ีให้บริการสร้างความไม่ยุติธรรมแก่ผู้มารับ บรกิ าร 4. การให้บริการอย่างต่อเนื่อง (Continuous service) หมายถึง การให้บริการสาธารณะท่ี เป็นไปอย่างสม่าเสมอ โดยยึดประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลักไม่ใช่ยึดความพอใจของหน่วยงานท่ี ให้บริการวา่ จะใหห้ รอื หยดุ บริการเม่ือใดก็ได้ 5. การให้บริการอย่างก้าวหน้า (Progressive service) หมายถึง การให้บริการสาธารณะที่ มีการปรับปรุงคุณภาพและผลการปฏิบัติงาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การเพ่ิมประสิทธิภาพหรือสามารถท่ี จะทาหนา้ ที่ได้มากขึ้นโดยใชท้ รพั ยากรเท่าเดมิ ปัจจัยท่ีมีผลตอ่ ความพอใจในบรกิ าร กุลนดา โชติมุกตะ (2538 : 50-51) ได้เสนอแนวความคดิ ว่า ปัจจัยท่ีมีผลและเป็นสาเหตุให้ผู้ใช้บริการเกิดความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจในบริการ ซ่ึงครอบคลุม งานบริการและสอดคล้องกับปจั จยั พน้ื ฐานของ อเดย์และแอนเดอร์สัน ประกอบด้วย 3 ประการ คอื 1. ปัจจัยด้านระบบการให้บริการ หมายถึง องค์ประกอบและเครือข่ายท่ีสัมพันธ์กันของ กิจกรรมบรกิ ารตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 1.1 ความสะดวกสบายในเงื่อนไขของการใช้บริการ ซง่ึ จะดูความยากง่ายและ ความมาก นอ้ ยของเงือ่ นไขทท่ี าให้เกดิ สทิ ธใิ นการใช้บรกิ าร หากเงอื่ นไขน้อยจะมโี อกาสเกิดความพึงพอใจสงู 1.2 ความพอเพียงท่ัวถึงของการให้บริการ จะพิจารณาจากปริมาณของ การให้บริการ นัน้ วา่ มคี วามครอบคลุมพนื้ ที่หรือกลุ่มบคุ คลตา่ ง ๆได้อย่างท่วั ถงึ 1.3 การมีคุณค่าใช้ประโยชน์ของบริการท่ีได้รับ จะพิจารณาผลลัพธ์ของบริการ (Out- come of service) ท่ีถูกผลิตออกมาในข้ันตอนสุดท้ายของการดาเนินการนั้น ๆ ว่ามีการใช้สอยหรือ ประโยชน์ ตอ่ ผใู้ ช้บรกิ าร (User) มากนอ้ ยเพยี งใด 1.4 ความคุ้มค่ายตุ ิธรรมในราคาของการบริการที่ให้ หมายถึง ความเหมาะสมหรือไม่กับ ราคา จานวนคา่ ธรรมเนียมทเ่ี รียกเกบ็ 1.5 ความก้าวหน้าและการพัฒนาระบบบริการ เม่ือเปรียบเทียบกับอดีตว่าดีข้ึนในเชิง ปรมิ าณและคณุ ภาพมากน้อยขนาดไหน 2. ปัจจัยด้านกระบวนการให้บริการ คือ ข้ันตอนต่าง ๆของการให้บริการท่ีต่อเนื่องต้ังแต่ เร่ิมต้นของกิจกรรมบริการ (Final work flow) ประกอบดว้ ย 2.1 ความสะดวกของการตดิ ต่อขอใช้บรกิ าร ไดแ้ ก่ความยากงา่ ยของการขอใช้บริการ 2.2 ความรวดเร็วของขั้นตอนการให้บริการ ได้แก่ ความมากน้อยของจานวนข้ันตอน และ ความรวดเรว็ ของการดาเนินขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ท่ีประหยดั เวลา
8755 2.3 ความสม่าเสมอต่อเนื่องของบริการท่ีให้ ได้แก่ อันตรายท่ีเกิดจากกระบวนการ ให้บรกิ าร 3. ปัจจัยด้านเจ้าหน้าท่ีผู้ให้บริการ ได้แก่ บุคลากร เจ้าหน้าท่ีท่ีรับผิดชอบในกิจกรรม การ บริการของสถานบริการนน้ั 3.1 ความเอาใจใส่ในงานของเจ้าหน้าที่ หมายถึงความสนใจและตั้งใจทางาน ในหน้าท่ี ใหบ้ รกิ าร 3.2 ความเสมอภาคของการให้บริการ หมายถึง การแสดงออกต่อผู้มาใช้บริการใน ลักษณะ ยิ้มแย้ม แจ่มใส หรือบึ้งตึง รวมถึงการพูดจาแบบสุภาพอ่อนโยน หรือกระด้าง หยาบคาย เป็น ตน้ 3.3 ความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ให้บริการ หมายถึง ความไว้เน้ือเช่ือใจได้และตรงไปตรงมา ตอ่ เจา้ หนา้ ที่ใหก้ ารบรกิ าร โดยไม่เรียกร้องประโยชน์ใด ๆ จากผใู้ ช้บรกิ าร . งานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง งานวจิ ัยในประเทศ ชนิดา กระเบา (2558 : 55-61) ได้ทาวิจัยเร่ือง ความเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ของครู กศน. ตาบล สังกัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์ โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาและเปรียบเทียบความเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ของครู กศน.ตาบล สังกัด สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจงั หวดั สุรินทร์ ตามความคิดเห็นของ บุคลากรจาแนกตามตาแหน่งและประสบการณ์การทางาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร กศน. จานวน 26 คน ครู กศน.ตาบล จานวน 200 คน รวม จานวน 226 คน กาหนดขนาดโดยใช้ตารางเครจซ่ีและ มอร์แกน (Krejcie and Morgan) และได้โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเท่ียงตรงเชิง เน้ือหารายข้อ 0.67 –1.00 มีค่าความเชื่อมั่นท้ังฉบับเท่ากับ 0.87 สถิติท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test (แบบ Independent Samples) การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว F - test แบบ (One way ANOVA) และทดสอบความแตกต่าง เป็นรายคู่ โดยใช้วิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe´) ผลการวิจัย พบว่า 1. ความเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ของครู กศน.ตาบล สังกัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด สุรินทร์ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมาก เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายด้าน พบว่า ดา้ นทม่ี ีการปฏิบัตสิ งู สดุ คือ ด้าน การเรียนรู้เป็นทีม ด้านท่ีมีระดับปฏิบัติต่าสุด คือ ด้านความคิดเข้าใจเชิงระบบ 2. ผลการวิเคราะห์ เปรียบเทียบความเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ของครู กศน.ตาบล สังกัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์ จาแนกตามตาแหน่ง ภาพรวมไม่แตกต่างกัน ด้าน รูปแบบวิธีการคิด ด้านการเรียนรู้เป็นทีม ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ ด้านความคิดเข้าใจเชิงระบบแตกต่าง
7866 กันอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับ 0.5 ส่วนด้านอื่นไม่แตกต่างกัน 3. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเป็น บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ของครู กศน.ตาบล สังกัดสานักงานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์ จาแนกตามประสบการณ์การทางาน ภาพรวมและรายด้านทุกด้านมีการปฏบิ ตั ิ แตกตา่ งกันอยา่ งมีนัยสาคัญทรี่ ะดบั 0.5 โสภา สมหวงั (2558 : บทคัดยอ่ ) ไดท้ าวิจยั เรอ่ื งการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาศึกษานอก ระบบ สาหรับประชากรวัยแรงงานอาเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1)ศึกษาสภาพ การจัดการศึกษานอกระบบของประชากรวัยแรงงาน อาเภอคลองท่อม จังหวัดกระบ่ี (2)พัฒนารูปแบบ การจัดการศึกษานอกระบบสาหรับประชากรวัยแรงงาน (3) ตรวจสอบรูปแบบการจัดการศึกษานอก ระบบสาหรับประชากรวัยแรงงาน อาเภอคลองท่อมจังหวัดกระบ่ี งานวิจัยน้ีใช้ระเบียบวิธีวิจัยท้ังเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ ในการศึกษาเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างเป็น ประชากรวัยแรงงานอาเภอคลอง ทอ่ ม จงั หวดั กระบ่ี ซ่งึ ได้มาโดยการสุม่ อย่างง่าย จานวน 380 คน เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้เป็นแบบสอบถาม สถติ ิ ทใ่ี ชไ้ ดแ้ ก่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการวิเคราะหเ์ นอ้ื หา ในการศึกษาเชงิ คณุ ภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหาร ครูอาสาสมัคร ครู กศน.ตาบล และนักศึกษา จานวน 20 คน เครื่องมือท่ีใช้ในข้ันตอนนี้ ได้แก่ ประเด็นการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ได้แก่ การวิเคราะห์เน้ือหา ผลการวิจัยพบว่า (1) การจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การจัดศึกษาเพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต และการจัด การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชมุ ชน พบว่า มีความสาคัญอยู่ในระดับมาก การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนา อาชีพ มีความสาคัญอยู่ในระดับปานกลาง(2)รูปแบบการจัดการศึกษานอกระบบสาหรับประชากรวัย แรงงาน อาเภอคลองท่อม จังหวัดกระบ่ี มีดังนี้ (ก) การจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน ผู้จัดต้องวิเคราะห์ ความเหมาะสมโดยคานึงถึงความต้องการจาเป็นของผู้เรียน ใช้รูปแบบของช้ันเรียน และการใช้ชุดการ เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล กิจกรรมจัดโดยการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ สื่อที่มีความ เหมาะสม คือ อินเตอร์เน็ต สื่อวีดีทัศน์ประเมินผลจากการปฏิบัติและ ประเมินจากผลงาน (ข) การ จัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาอาชีพ ผู้จัดต้องคานึงถึงการนาไปใช้ประโยชน์และเป็นไปตามวถิ ีชีวิตของชุมชน ระยะเวลาของหลักสูตร จานวน 40 ช่ัวโมง จัดในช่วงบ่ายของวนั ส่ือท่ีมีความเหมาะสม คือ สื่อวีดีทัศน์ และการสาธิต ประเมินผลจากการปฏิบัติ และ ประเมินจากผลงาน (ค) การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนา ทักษะชีวิต ผู้จัดต้องคานึงถึงความต้องการเรียนรู้ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของชุมชน สังคม ท้ัง ทางกายภาพ และ ชีวภาพ ซ่ึงควรมีการสารวจความต้องการ และ จัดให้ตามความเหมาะสม จัดใน รูปแบบของฐานการเรียนรู้ สื่อที่มีความเหมาะสม คือ อินเตอร์เน็ต สื่อวีดีทัศน์ ประเมินผลจากการ ปฏิบัติ และประเมินจากผลงาน (ง) การจัดการศกึ ษาเพื่อพฒั นาชุมชนสังคม ผ้จู ดั ตอ้ งคานึงถงึ การบูรณา การความรู้ใช้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพา ตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกจิ
7877 พอเพียงจัดในรูปของฐานการเรียนรู้ และมีกิจกรรมหลังจากการอบรม ส่ือที่มีความเหมาะสม คือ อนิ เตอร์เน็ต สอ่ื วีดีทัศน์ การประเมนิ ผลจากการปฏิบัติ และประเมนิ จากผลงาน (3) การตรวจสอบความ เหมาะสมของรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวฒุ ิ มีความเหน็ วา่ มีความเหมาะสมและสามารถนาไปปฏบิ ัติได้ ธนิสร เกษมสนั ต์ ณ อยุธยา (2557 : บทคดั ย่อ) ไดท้ าวจิ ยั เร่ือง การนาเสนอแนวทางการพฒั นา ครูการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยด้านการจัดกระบ วนการเรียนรู้ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของครู การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานนอกระบบ 2) นาเสนอแนวทางการพฒั นาครูการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ดา้ นการจัดกระบวนการเรยี นร้ตู ามหลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานนอกระบบ ประชากร คอื ครู ผบู้ ริหาร นักศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยท่ัวประเทศ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้คือ ครู ผู้บริหาร นกั ศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจงั หวดั กรุงเทพมหานคร จานวน 350 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายข้ันตอน และผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญใน สังกัดสานักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยและกระทรวงศึกษาธิการใน กรุงเทพมหานคร โดยการสุ่มตัวแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามและแบบ สัมภาษณ์สภาพปัญหาและความต้องการของครูการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยด้าน การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบ และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาและความต้องการของครูการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานนอกระบบใน 4 ด้านได้แก่ ด้านองค์ความรู้ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ และด้านคุณลักษณะท่ีดี พบว่า สภาพปัญหาทั้ง 4 ด้าน อยู่ใน ระดบั ปานกลาง ซ่ึงสภาพปัญหาทีพ่ บมากท่ีสุดคอื ดา้ นองคค์ วามรูโ้ ดยมีคา่ เฉลีย่ เท่ากบั 3.08 และปญั หา ที่พบน้อยที่สุด คือ ด้านทัศนคติ โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.87 และความต้องการท้ัง 4 ด้าน อยู่ในระดับ มาก ซึ่งความตอ้ งการทีพ่ บมากที่สดุ คือ ด้านองค์ความรู้ โดยมคี า่ เฉลีย่ เท่ากบั 3.65 และความตอ้ งการที่ พบน้อยท่ีสดุ คือ ดา้ นทศั นคติ โดยมีคา่ เฉลย่ี เทา่ กบั 3.51 2) แนวทางการพฒั นาครกู ารศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยดา้ นการจัดกระบวนการเรียนรูต้ ามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานนอกระบบ ประกอบดว้ ยแนวทาง 4 ด้านไดแ้ ก่ ดา้ นองค์ความรู้ พัฒนาใหค้ รูมีความร้อู ยา่ งถอ่ งแท้ในรายวชิ าพ้ืนฐาน ส่งเสริมให้ครูมีความเข้าใจในเร่ืองกระบวนการในการแสวงหาความรู้ด้านต่างๆ เป็นต้น ด้านทักษะ พัฒนาให้ครูมีความเข้าใจในการสร้างและพัฒนาหลักสูตรที่มีความเหมาะสมกับตัวผเู้ รียน อบรมเทคนิค การจัดการเรียนสอนสาหรับผู้ใหญ่ เป็นต้น ด้านทัศนคติ สร้างความเข้าใจในหน้าที่และบทบาทของครู สง่ เสริมให้ครเู ข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน เปน็ ตน้ และด้านคณุ ลักษณะท่ีดี ควรกาหนดอัตลักษณ์ของครูในแต่ละสถานศึกษา ส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีเรียนรู้ อยา่ งตอ่ เนอื่ งตลอดชวี ติ เปน็ ตน้ เพ่อื พัฒนาครูใหม้ ีคุณภาพในการจดั การเรยี นการสอนให้ดีขึ้น
8788 ปรารถ แก้วกรูด (2557 : บทคัดย่อ) ได้ทาวิจัยเร่ือง ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัด การศกึ ษาของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอรตั นวาปี จังหวัดหนองคาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของนักศึกษาต่อ การจัดการศึกษาของ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอรัตนวาปี จังหวดั หนองคาย และหาแนวทาง ส่งเสริมความพงึ พอใจของนักศกึ ษาต่อการจดั การศึกษาของศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตาม อัธยาศัยอาเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัยทาการวิจัยเป็นสองระยะ ระยะที่1 ศึกษาความพึง พอใจของนักศึกษา ตอ่ การจัดการศึกษา กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวิจัย จานวน 264 คน ได้มาโดยการสุ่ม แบบแบ่งชั้น เคร่ืองมือท่ีใช้การวิจัย เป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่าระดับ มีค่าความ เชื่อมั่นท้ังฉบับเท่ากับ 0.93 และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่า เบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) สถิติทดสอบสมมติฐานท่ีใช้ ได้แก่ การทดสอบที และการ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว และการทดสอบความแตกต่างรายคู่ดว้ ยวธิ ีการของเชฟเฟ่ ระยะท่ี 2 สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายโดยการเลือกแบบเจาะจง จานวน 15 คน วิเคราะห์บทสัมภาษณ์โดยใช้การ ตีความ และสรา้ งขอ้ สรุป ผลการวิจยั พบวา่ 1. ความพึงพอใจของนักศึกษา ต่อการจดั การศึกษาของศูนย์ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอ รัตนวาปี จังหวัดหนองคาย โดยรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง จาแนกเป็นรายด้านเรียงลาดับจากค่าเฉล่ียจากน้อยไปมากพบว่า ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้าน การจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านการวัดผลประเมินผลการเรียน ด้านหลักสูตร และด้านการดาเนินการ แนะแนว 2. ผลการเปรยี บเทยี บความพึงพอใจของนกั ศึกษาต่อการจัดการศึกษาของศนู ย์การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย เม่ือจาแนกตามเพศ พบว่า ไม่ แตกต่างกัน แต่เม่ือจาแนกตามระดับการศึกษา พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับ .01 3. ข้อเสนอแนะแนวทางส่งเสริมความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการศึกษาของศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ควรจัดให้มีการประชาพิจารณ์ หลักสูตร วิชาท่ีเรียนควรสามารถนามาปรับใช้ได้ในชีวิตประจาวัน ควรมีแนะแนวด้านอาชีพมากๆ การ ประชาสัมพันธ์แนะแนวที่หลากหลาย จัดให้มีการไปทัศนศึกษา เรียนผ่านทางอินเตอร์เน็ต ปรับเกณฑ์ คะแนนการสอบปลายภาคใหม่ ทุกอาชพี สามารถนามาเทยี บโอนและผ่านไดโ้ ดยไม่ต้องมีการสอบ สุรพล พิมพ์สอน และคณะ (2557 : 74-92) ได้ทาวิจัยเร่ือง การประเมินผลการดาเนินงาน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของสานักงาน กศน. ตามแนวพระราชบัญญัติส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการ ดาเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของสานักงานการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๒๕๕๕ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือบุคลากร ทางการศึกษาของสานักงาน กศน.โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายข้ันตอน (Multi-stage Sampling) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูล แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับผลการ ดาเนินงาน และแบบประเมินความสอดคล้องของโครงสร้างองค์การและอานาจหน้าท่ี และการจัด
8799 สนทนากลุ่ม ผลการศึกษา พบว่า การดาเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ สานักงาน กศน. ยังไม่สามารถทาให้คนทุกคนในประเทศสามารถเข้าถึงการศึกษาการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยได้ทุกคนทุกกลุ่ม มีปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ มีภาคีเครือข่ายเข้ามามี ส่วนร่วมในการส่งเสริมและสนับสนุนการดาเนินงานยังไม่มากอันเน่ืองจากปัจจัยด้านกระบวนการ บริหารนโยบายกับด้านการบริหารงบประมาณและความพร้อมของงบประมาณ และพบว่าผู้เรียนได้ เรียนรู้สาระที่สอดคล้องกับความสนใจและความจาเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิต ได้รับความรู้และ ทักษะพ้ืนฐานในการแสวงหาความรู้ที่จะเอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความสอดคล้องกับอานาจหน้าท่ี ของ สานักงาน กศน สมหมาย เทยี นสมใจ (2556 : บทคดั ย่อ) ได้ทาวิจยั เรอ่ื ง รปู แบบการบรหิ ารงานท่ีมปี ระสิทธิผล ของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ทราบองค์ประกอบการ บริหารงานท่ีมีประสิทธิภาพของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา 2) นาเสนอรูปแบบการ บริหารงานที่มีประสิทธิผลของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ซ่ึงมีวิธีดาเนินการวิจัย แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ 1) การศึกษาวิเคราะห์กรอบแนวคิดในการวิจัยบนพ้ืนฐานแนวคิด ทฤษฎีการ บรหิ ารท่ีมปี ระสิทธผิ ล 2) วเิ คราะหค์ วามเป็นไปได้และพัฒนารปู แบบการบรหิ ารงานที่มีประสิทธิผลของ สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา 3) ตรวจสอบ และสร้างรูปแบบการบริหารงานที่มี ประสิทธิผลท่ีเหมาะสม 4) ปรับปรุงและนาเสนอรูปแบบการบริหารงานที่มีประสิทธิผลของสานักงาน เขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา กลุ่มตวั อย่าง ประกอบด้วย สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา ที่ไดร้ ับการประเมนิ จากกลมุ่ พัฒนาระบบบริหาร สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ได้ระดับ คณุ ภาพ 3 ข้นึ ไป จานวน 68 เขต ผ้ใู หข้ ้อมลู คอื ผูอ้ านวยการสานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษา รองผู้อานวยการสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ผู้อานวยการกลุ่มในสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษา ประธานคณะกรรมการเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา เคร่ืองมือท่ีใช้ในการ วิเคราะหข์ ้อมูล เป็นแบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์แบบกึง่ โครงสร้าง แบบสอบถามเกย่ี วกับการ บรหิ ารงานท่มี ปี ระสทิ ธิผลของสานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษา แบบตรวจสอบรายการ สถิตทิ ่ี ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบ การวิเคราะห์เส้นทางและวิเคราะห์เน้ือหา ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบการบริหารงานที่มีประสิทธิผลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึก ษาประถมศึกษา ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลง 2) การวางแผนกลยุทธ์ 3) องค์การ แห่งการเรียนรู้ 4) วัฒนธรรมองค์กร 5) เทคโนโลยีสารสนเทศ และ 6) สนับสนุนการมีส่วนร่วม 2. รูปแบบการบริหารงานที่มีประสิทธิผลของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย องค์ประกอบที่สาคัญ 6 องค์ประกอบ ซ่ึงมีความเหมาะสม ถูกต้อง เป็นไปได้ และสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ได้ สอดคล้องกบั กรอบแนวคิดทฤษฎขี องการวจิ ยั
9800 ศักด์ิดา แดงเถิน (2555 : 83-92) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การบริหารงานโรงเรียนโดยใชห้ ลักการ บริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิของผู้บริหารโรงเรียนตามทัศนะของครู ในสานักงานเขตภาษีเจริญ สังกัด กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาทัศนะของครู ต่อการบริหารงานโรงเรียนโดยใช้หลักการ บริหารแบบมุ่งผล สัมฤทธ์ิและเปรียบเทียบทัศนะของครูต่อการบริหารโรงเรียน โดยใช้หลักการบริหาร แบบมุ่งผลสมั ฤทธขิ์ องผูบ้ ริหาร จาแนก ตามเพศของครู และขนาดของโรงเรยี น กลุม่ ตัวอย่างไดแ้ ก่ครู ท่ี ปฏบิ ตั งิ านในโรงเรียนสานักงานเขตภาษีเจริญ สงั กัดกรุงเทพมหานคร จานวน 210 คน เคร่ืองมือที่ใช้ใน การวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเช่ือมั่นท่ี 0.98 วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานการทดสอบแบบที และการ วิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียวสาหรับทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัย พบว่า ครูมีทัศนะต่อการบริหารงาน โรงเรยี น โดยใช้หลักการบรหิ ารแบบมงุ่ ผลสัมฤทธิ์ของผู้บรหิ าร อยใู่ นระดบั มาก เรียงตามลาดับจากมาก ไปหาน้อย คือ การบริหาร งานด้านวิชาการ รองลงมา คือการบริหารงานบุคคล การ บริหารงานท่ัวไป และการบริหารงานงบประมาณอยู่ในลาดับสุดท้าย เปรียบเทียบทัศนะของครูที่มีเพศต่างกันต่อการ บริหาร งานโรงเรียนโดยใช้หลักการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิของผู้บริหารไม่แตกต่างกันและครูที่ ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาด ต่างกัน มีทัศนะต่อการบริหารงานโรงเรียนโดยใช้หลักการบริหารแบบ มุ่งผลสัมฤทธ์ิของผูบ้ รหิ าร แตกต่างกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ 0.05 งานวจิ ยั ต่างประเทศ อาร์โนล์, คาร์เรน และคนอ่ืนๆ (1998 : Abstract) ทาการศึกษาเรื่อง ความพึงพอใจของ นักศกึ ษาเมื่อได้รับคาแนะนาดา้ นวิชาการจากอาจารย์ โดยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาเพ่ือสารวจความ พึงพอใจของนักศึกษาท่ีมีต่อคาแนะนาด้านวิชาการจากอาจารย์ นักศึกษามีประชากร และกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษา จานวน 515 คน เคร่ืองมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติ ที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลเป็นค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผู้วิจัยสอบถามความคิดเห็นกลุ่ม ตัวอย่างว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับการพัฒนาการสอนด้วยวิธีการดังกล่าว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม การสังเกต สัมภาษณ์ร่วมด้วย ผลการศึกษาพบว่า ก่อนดาเนินการสอนกลุ่มตัวอย่าง มี ความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีวิเคราะห์หลักสูตร ผู้เรียนและวิธีการสอนสามารถช่วยให้ผู้สอนดาเนินการสอน ไดอ้ ย่างมีคุณภาพ คา่ เฉลย่ี 4.41 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.74 แต่เมอ่ื ส้ินสดุ การสอนกลุ่มตัวอย่าง มี ความเหน็ ด้วยกับวิธีการพฒั นาการสอนโดยการวเิ คราะห์หลักสตู ร วเิ คราะหร์ ปู แบบการเรยี นร้ขู องผู้วิจัย ค่าเฉลี่ย 3.81 และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.99 แสดงว่ากลุ่มตัวอย่างแม้ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับ การ พฒั นาการสอนโดยมีการวิเคราะห์หลักสูตร ผู้เรยี นและวธิ ีการสอน แตค่ วามคิดเหน็ ของกลมุ่ ตวั อย่างก็มี การกระจายสูง ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงเสนอแนะว่าควรมีการศึกษาเปรียบเทียบกลับกลุ่มตัวอย่างหลายๆกลุ่ม และควรเพิ่มจานวนกลุม่ ตวั อย่างให้มากข้ึนผู้วิจัยยังให้ข้อเสนอแนะว่าการพัฒนาการสอนด้วยวิธีใด ตอ้ ง สอบถามความคดิ เห็นของผสู้ อนก่อนนาไปสู่การปฏิบัตจิ ริง
9811 ฮิคแมน (2000 : Abstract) ได้ศึกษาเร่ือง การประเมินผลการสอนของอาจารย์ ใน สถาบันอดุ มศึกษาของประเทศนวิ ซแี ลนด์ มีวัตถุประสงคเ์ พอ่ื พัฒนาการประเมินผลการสอนของอาจารย์ ในสถาบันอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนในวิชาต่างๆ จานวน 20 คน รูปแบบ การวิจัยเชิงอนาคต ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 80 ของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าเน้ือหาของการประเมินผล ของอาจารย์ต้องประกอบด้วย มีการวางแผนการสอน เพื่อให้เกิดการบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของ ผู้เรียน มีข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของผู้เรียนและความก้าวหน้าของผู้เรียน มีการจัดการเก่ียว กับ เวลา สถานที่ เอกสาร สือ่ อปุ กรณ์ในการสอนให้เอ้ือต่อการเรยี นรู้ ของผ้เู รียน มีวิธีการสือ่ สารกับผเู้ รียน ได้อย่างเหมาะสม มีการจัดสิ่งแวดล้อมในช้ันเรียนให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ มีการรักษาพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผเู้ รียน ในช้นั เรยี นใหม้ งุ่ การเรยี นรู้
92 บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการประเมิน การประเมินครั้งนี้ เป็นการประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวช้ีวัด และการประเมิน ความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอขนุ หาญ ซึง่ มีรายละเอียดในการดาเนินการดังน้ี 1. ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง 2. เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการประเมนิ 3. การสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมือ 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมลู 6. สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง การประเมินคร้ังน้ีกาหนดขอบเขตของการประเมินออกเป็น 2 ส่วน คือ การประเมิน ความสาเร็จของผลการดาเนนิ งานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวช้ีวัด และการประเมินความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษา นอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน ปงี บประมาณ 2562 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง มีดงั นี้ 1. การประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ข้นั พืน้ ฐาน ปงี บประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตวั ชว้ี ดั ประชากร คือ ผู้ประเมินท่ีศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอ ขุนหาญ แตง่ ต้งั ตาบลละ 5 คน รวมทั้งส้นิ 60 คน (ตามคาสัง่ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศยั อาเภอขนุ หาญ ท่ี 112/2562 ลงวนั ท่ี 15 กนั ยายน 2562) ประกอบไปดว้ ย 1.1 คณะกรรมการระดับอาเภอจากศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอขุนหาญ จานวน 2 คน ประกอบด้วย ผู้อานวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ และเจ้าหน้าที่แผนงานและโครงการของศูนย์การศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอขุนหาญ เปน็ ผู้รับผดิ ชอบประเมินทงั้ 12 ตาบล
8933 1.2 คณะกรรมการระดับตาบลจากศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอขุนหาญ จานวน 1 คน คือ หัวหน้า กศน.ตาบล ผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอัธยาศัยในตาบล เป็นผู้รับผดิ ชอบประเมนิ เฉพาะตาบลที่ตนเองรบั ผิดชอบ 1.3 คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับท้องถ่ินของอาเภอขุนหาญ จานวน 2 คน จาก ผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ เช่น ผู้แทนจากส่วนราชการระดับตาบล ผู้บริหารท้องถ่ิน คณะกรรมการ สถานศึกษา กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น โดยศูนย์การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขนุ หาญคัดเลอื กเป็นผูป้ ระเมินเฉพาะตาบลท่ตี นเองรับผิดชอบเท่าน้นั การประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวชี้วัด ในคร้ังนี้เนื่องจากประชากรมีจานวนน้อย รวมจานวนทง้ั สิน้ 60 คน ผปู้ ระเมนิ จงึ ใช้ประชากรเป็นกลุม่ ตัวอยา่ งในการประเมนิ 2. การประเมินความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 มีประชากรที่ใช้ในการประเมินคร้ังน้ีคือ นักศึกษาการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ี ลงทะเบยี นเรียนในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 901 คน โดยผ้ปู ระเมินได้กาหนดขนาดของ กลุ่มตัวอย่างเพื่อประเมินความพึงพอใจตามตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie & Morgan, อ้างอิง ในบุญชม ศรีสะอาด, 2553 : 39-41) จานวนกลุ่มตัวอย่างท้ังสน้ิ 269 คน และเลือกกลุ่มตัวอยา่ งท่ีใช้ใน การประเมนิ ความพึงพอใจโดยใชว้ ธิ ีการสุม่ อยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) เครือ่ งมือที่ใช้ในการประเมนิ การประเมินในคร้ังนใี้ ชเ้ คร่ืองมอื ซึ่งเป็นแบบประเมินจานวน 2 ฉบบั ดงั น้ี ฉบับที่ 1 แบบประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับ การศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตวั ชีว้ ัด แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ขอ้ มูลพนื้ ฐาน เปน็ แบบตรวจสอบรายการ ตอนที่ 2 ผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปงี บประมาณ 2562 ตามมาตรฐาน ตัวชวี้ ดั เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะหรือขอ้ คดิ เหน็ อนื่ ๆ เป็นแบบปลายเปิด ฉบับที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับ การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 แบง่ เป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ข้อมูลพืน้ ฐาน เปน็ แบบตรวจสอบรายการ ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ข้นั พ้ืนฐาน ปงี บประมาณ 2562 เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั มรี ายการ สอบถามความพึงพอใจจานวน 22 ขอ้ ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะหรือขอ้ คดิ เห็นอ่ืน ๆ เปน็ แบบปลายเปิด
9844 การสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งมือ การสร้างเคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการประเมิน การสร้างเครื่องมือในการประเมนิ คร้ังน้ี ผู้ประเมนิ ได้ดาเนินการตามลาดับขน้ั ตอน ดังน้ี 1. ศึกษาเอกสารท่ีเก่ยี วข้องกับนโยบาย ยทุ ธศาสตร์การดาเนนิ งานของสานกั งานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ปงี บประมาณ พ.ศ. 2562 เอกสารแผนปฏบิ ัตกิ าร ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สานักงาน กศน.ศรสี ะเกษ ตามระบบการบริหารงานแบบมุง่ ผลสมั ฤทธิ์ เอกสารแนวทางการดาเนินงานตามแผนปฏิบตั กิ ารประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสานกั งาน กศน.จังหวัดศรีสะเกษ ตามระบบการบริหารงานแบบมงุ่ ผลสัมฤทธ์ิ เอกสารแผนปฏบิ ตั ิการประจาปี งบประมาณ 2562 ของศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอขุนหาญ และ งานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง 2. ศกึ ษาวธิ กี ารสร้างเคร่อื งมอื การประเมนิ เทคนิคและวธิ กี ารประเมิน จากตารา เอกสารการ วจิ ยั และรายงานการประเมนิ ต่าง ๆ 3. กาหนดกรอบในการสรา้ งแบบประเมินโดยยึดเน้ือหาตามมาตรฐานและตัวชว้ี ัดของโครงการ คอื งานการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน กลุ่มเป้าหมายปกติ ประกอบไปดว้ ย 5 มาตรฐาน 18 ตวั ชวี้ ดั 4. สรา้ งแบบประเมินความสาเร็จของผลการดาเนนิ งานการจัดการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาข้นั พื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวช้ีวดั ดงั นี้ 4.1 ฉบับที่ 1 แบบประเมินความสาเรจ็ ของผลการดาเนินงานการจดั การศึกษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตวั ชีว้ ดั แบง่ เปน็ 3 ตอน ดงั นี้ ตอนที่ 1 ขอ้ มูลพนื้ ฐาน เป็นแบบตรวจสอบรายการ ตอนท่ี 2 ผลการดาเนนิ งานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน ปงี บประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวชี้วดั เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ซ่ึงมีเกณฑใ์ หร้ ะดบั คะแนน ดังน้ี ระดับคะแนน 5 หมายถึง ดาเนนิ การไดต้ ามมาตรฐานและตัวชี้วดั มากที่สดุ ระดับคะแนน 4 หมายถงึ ดาเนนิ การไดต้ ามมาตรฐานและตัวชี้วดั มาก ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ดาเนนิ การไดต้ ามมาตรฐานและตัวชว้ี ัดปานกลาง ระดับคะแนน 2 หมายถึง ดาเนนิ การไดต้ ามมาตรฐานและตัวช้วี ดั น้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง ดาเนนิ การไดต้ ามมาตรฐานและตวั ชี้วัดน้อยทสี่ ุด ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะหรือข้อคดิ เห็นอน่ื ๆ เปน็ แบบปลายเปดิ 4.2 ฉบับที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน ปงี บประมาณ 2562 แบง่ เป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ข้อมลู พน้ื ฐาน เป็นแบบตรวจสอบรายการ
9855 ตอนที่ 2 ความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขนั้ พ้ืนฐาน ปงี บประมาณ 2562 เป็นแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดับ มรี ายการสอบถามความพึงพอใจจานวน 22 ข้อ ซ่งึ มเี กณฑใ์ ห้ระดับคะแนนดังน้ี ระดับคะแนน 5 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจในการดาเนนิ งานมากทส่ี ุด ระดับคะแนน 4 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจในการดาเนินงานมาก ระดับคะแนน 3 หมายถงึ มีความพึงพอใจในการดาเนนิ งานปานกลาง ระดบั คะแนน 2 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจในการดาเนนิ งานน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจในการดาเนนิ งานน้อยทสี่ ุด ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะหรือขอ้ คิดเหน็ อ่นื ๆ เปน็ แบบปลายเปิด การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการประเมิน เม่ือผู้ประเมินได้ดาเนินการสร้างเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินทั้ง 2 ฉบับเสร็จส้ินแล้ว ได้ ดาเนินการตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการประเมิน ดังน้ี 1. ผู้ประเมินได้ตรวจสอบกรอบแนวคิดและเนื้อหาของข้อคาถามของการประเมินความสาเร็จ ของผลการดาเนนิ งานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตาม มาตรฐานและตัวช้ีวัด และแบบสอบถามความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนท่ีจะนาไปให้ผู้เช่ียวชาญ ตรวจสอบความเทยี่ งตรงของเน้อื หา 2. นาเคร่ืองมือที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์แล้วส่งให้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความ เทีย่ งตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ได้แก่ 2.1 นายวรินทร์ วิรุณพันธ์ ผู้อานวยการสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และ การศกึ ษาตามอธั ยาศัยจงั หวัดอดุ รธานี 2.2 นายสมัย แสงใส ผู้อานวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อธั ยาศัยอาเภอเพญ็ สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยจงั หวัดอุดรธานี 2.3 นายสุจิน หล้าคา ผู้อานวยการโรงเรียนไพรบึงวิทยาคม องค์การบริหารส่วน จังหวัดศรสี ะเกษ 2.4 รศ.ดร.อุดมพันธ์ พิชญ์ประเสริฐ อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราช ภฏั ศรีสะเกษ 2.5 ดร.วรนนั ท์ ขันแข็ง ผู้อานวยการโรงเรียนมัธยมดุสิตาราม การศึกษาดุษฎี บัณฑติ การวิจัยทางการศึกษา แล้วหาค่าความสอดคล้องของเคร่ืองมือ โดยใช้เทคนิค IOC (Item Objective Congruence : IOC) หาคา่ ดัชนที ี่มคี วามสอดคล้องความคดิ เห็นของผู้เชย่ี วชาญเพอ่ื พิจารณาคัดเลือกเฉพาะข้อคาถามท่ี
9866 มีค่า IOC = 0.50 ข้ึนไป ซ่ึงแสดงว่าข้อคาถามนั้นสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและเนื้อหาที่มุ่งวัด โดยผู้ ประเมินได้กาหนดระดบั ความคดิ เห็นของผู้เชีย่ วชาญ ดังนี้ +1 : เมอ่ื แน่ใจว่าข้อคาถามน้ันตรงตามเนื้อหา 0 : เม่ือไมแ่ น่ใจว่าข้อคาถามน้นั ตรงตามเนอื้ หา -1 : เม่ือแน่ใจวา่ ขอ้ คาถามไม่ตรงตามเนอื้ หา นาคะแนนทไ่ี ดม้ าหาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกับเน้ือหา ซึ่งเครื่องมอื ทัง้ 2 ฉบับมคี า่ IOC = 1 ทุกข้อ 3. นาแบบสอบถามความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Try out) กับนักศึกษาที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างในสถานศึกษา สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ จานวน 30 คน แล้วนาผลที่ได้มาคานวณหาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยผู้ประเมินใช้การ คานวณหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า (Alpha – Coefficient : α-Coefficient) ของ ครอนบาค (Cronbach) ได้ค่าความเช่ือมั่นท้ังฉบับเท่ากับ 0.914 แล้วปรับปรุงใช้เป็นเคร่ืองมือในการรวบรวม ข้อมูลฉบบั สมบูรณ์ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 และการประเมินความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอก ระบบระดับการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน ปีงบประมาณ 2562 มีวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ 1. กาหนดแผนการประเมนิ ในเดอื นกนั ยายน 2562 ระยะเวลาการประเมิน 7 วัน 2. ประชุมช้ีแจงคณะกรรมการประเมิน ให้เข้าใจเก่ียวกับรายละเอียดของโครงการ มาตรฐาน ตัวชี้วัด เครื่องมือประเมิน และวิธีการประเมินตามแบบประเมิน และมอบหมายให้นาแบบประเมิน ความสาเร็จของผลการดาเนนิ งานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 และการประเมินความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างในพ้ืนที่ที่รับผิดชอบ และส่งแบบประเมิน กลับคนื ผ้ปู ระเมิน ภายใน 5 วัน ภายหลังจากการประเมินเสร็จสนิ้ แล้ว 3. ดาเนินการประเมนิ ตามแผนท่กี าหนดไว้ ตามพนื้ ทท่ี ีค่ ณะกรรมการประเมินได้รับมอบหมาย 4. เมือ่ ได้รับแบบประเมินคืนแลว้ ผ้ปู ระเมนิ ตรวจสอบความเรียบร้อยสมบรู ณ์ของแบบประเมิน ทุกฉบบั กอ่ นทาการวิเคราะห์ขอ้ มลู
9877 การวิเคราะห์ขอ้ มลู การประเมินครั้งนี้ ผปู้ ระเมนิ ไดน้ าแบบประเมิน จานวน 60 ฉบบั และแบบสอบถามความพึง พอใจ จานวน 269 ฉบบั มาวเิ คราะหข์ ้อมลู ดงั นี้ 1. การประเมนิ ความสาเรจ็ ของผลการดาเนินงานการจดั การศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษา ขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 1.1 แบบประเมินตอนท่ี 1 ขอ้ มูลพนื้ ฐาน วิเคราะห์หาคา่ ความถ่ีและคา่ รอ้ ยละ 1.2 แบบประเมนิ ตอนท่ี 2 ความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตวั ชว้ี ดั เปน็ แบบมาตราสว่ น ประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ดาเนนิ การดงั น้ี 1.2.1 ให้คะแนนตามน้าหนกั แบบประเมนิ ฉบับสมบูรณ์ ตามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ของลิเคิร์ท (Likert) โดยมเี กณฑ์ให้คะแนน ดงั นี้ ระดบั คะแนน 5 หมายถึง ดาเนินงานได้ตามตามมาตรฐานและตัวชี้วดั มากทส่ี ุด ระดบั คะแนน 4 หมายถึง ดาเนินงานไดต้ ามตามมาตรฐานและตวั ชว้ี ัดมาก ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดาเนินงานไดต้ ามตามมาตรฐานและตัวชีว้ ัดปานกลาง ระดับคะแนน 2 หมายถงึ ดาเนนิ งานได้ตามตามมาตรฐานและตวั ชี้วดั น้อย ระดบั คะแนน 1 หมายถึง ดาเนนิ งานได้ตามตามมาตรฐานและตัวช้วี ัดนอ้ ยทส่ี ดุ 1.2.2 วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยคอมพวิ เตอรด์ ว้ ยโปรแกรมสถิตสิ าหรบั การวจิ ยั ทาง สงั คมศาสตร์เพอื่ หาคา่ สถติ ิท่ีตอ้ งการ คอื ค่าเฉลีย่ ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) และนาค่าเฉลีย่ ทง้ั องคป์ ระกอบยอ่ ยรายดา้ นและภาพรวมมาเทยี บกับเกณฑก์ ารประเมนิ ตามระดบั ในการแปร ความหมายตามค่าเฉล่ยี ดังน้ี 4.51 – 5.00 หมายถงึ มคี วามสาเร็จในการดาเนินงานในระดบั เพชร 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความสาเรจ็ ในการดาเนนิ งานในระดับ ทอง 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความสาเร็จในการดาเนนิ งานในระดับ เงิน 1.51 – 2.50 หมายถงึ มคี วามสาเรจ็ ในการดาเนินงานในระดบั ทองแดง 1.00 – 1.50 หมายถงึ มีความสาเร็จในการดาเนินงานในระดบั ตะกั่ว 1.3 แบบประเมนิ ตอนท่ี 3 ขอ้ คิดเห็นและขอ้ เสนอแนะอื่นๆ วเิ คราะหด์ ้วยเทคนคิ การ วิเคราะหเ์ นอ้ื หา (Content Analysis) 2. การประเมนิ ความพึงพอใจในการดาเนนิ งานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน ปกี ารศึกษา 2562 3.1 แบบประเมินตอนท่ี 1 ข้อมูลท่วั ไป วิเคราะหห์ าคา่ ความถ่ีและค่าร้อยละ
8988 3.2 แบบประเมนิ ตอนที่ 2 ความพึงพอใจในการดาเนินงานการจดั การศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน ปีงบประมาณ 2562 เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดบั ดาเนินการดงั นี้ 3.2.1 ให้คะแนนตามนา้ หนักแบบประเมนิ ฉบับสมบรู ณ์ ตามมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating scale) ของลเิ คิรท์ (Likert) โดยมีเกณฑ์ใหค้ ะแนน ดงั น้ี ระดับคะแนน 5 หมายถึง มีความพึงพอใจในการดาเนินงานมากท่สี ุด ระดบั คะแนน 4 หมายถึง มีความพึงพอใจในการดาเนินงานมาก ระดับคะแนน 3 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในการดาเนินงานปานกลาง ระดบั คะแนน 2 หมายถึง มีความพึงพอใจในการดาเนินงานน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง มีความพึงพอใจในการดาเนินงานนอ้ ยทส่ี ดุ 3.2.2 วิเคราะหข์ ้อมลู โดยคอมพิวเตอรด์ ้วยโปรแกรมสถิตสิ าหรับการวจิ ยั ทาง สงั คมศาสตรเ์ พ่ือหาค่าสถติ ิท่ีตอ้ งการ คือ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) และนาคา่ เฉลย่ี ท้งั องคป์ ระกอบยอ่ ยรายด้านและภาพรวมมาเทียบกับเกณฑ์ให้คะแนนตามระดบั ในการแปรความหมาย ตามคา่ เฉลี่ย (บุญชม ศรสี ะอาด 2553 : 121) ดงั นี้ 4.51 – 5.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในการดาเนินงานมากทส่ี ุด 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจในการดาเนนิ งานมาก 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจในการดาเนินงานปานกลาง 1.51 – 2.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจในการดาเนนิ งานน้อย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในการดาเนินงานน้อยที่สดุ 3.3. การวิเคราะห์ข้อมลู จากแบบประเมินตอนที่ 3 ขอ้ คิดเห็นและข้อเสนอแนะอน่ื ๆ วเิ คราะห์ ด้วยเทคนคิ การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) เฉพาะประเด็นท่ีไมซ่ ้ากบั ข้อคาถาม ความพึงพอใจในแบบประเมินตอนที่ 2 โดยจัดลาดับความถี่จากมากไปหาน้อย สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence : IOC) มีสูตรในการหา คา่ ดงั น้ี ������������������ = ������ ������ เมอ่ื IOC แทน ดชั นีความสอดคลอ้ ง R แทน ผลรวมของคะแนนจากผู้เชีย่ วชาญ N แทน จานวนผู้เชย่ี วชาญ
9899 2. การวิเคราะห์หาความเช่ือม่ันของแบบสอบถามโดยใช้สูตรของครอนบาค (Cronbach’ Alpha Coefficient) k 1 Si2 = k 1 S 2 t เมอื่ s2 k t s2 = ค่าความเชื่อม่ันของเคร่ืองมือ i = จานวนขอ้ ของเครื่องมือ = ผลรวมของความแปรปรวนของแตล่ ะขอ้ s2 = ความแปรปรวนของคะแนนรวม t 3. การวิเคราะห์ข้อมูลสาหรับการประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปีงบประมาณ 2562 และการประเมินความพึงพอใจในการ ดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ใช้คอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติสาหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (SPSS) ทาการวิเคราะห์หาค่าสถิติ ดังน้ี 3.1 ค่ารอ้ ยละ (Percentage) ใช้สูตรต่อไปน้ี เมอ่ื P ������ f ������ = ������ × 100 N แทน ค่ารอ้ ยละ แทน ความถ่ีทต่ี ้องการแปลงใหเ้ ป็นคา่ รอ้ ยละ แทน จานวนความถ่ที ัง้ หมด 3.2 คา่ คะแนนเฉล่ยี (Mean) ใชส้ ตู รต่อไปนี้ ∑������ x̄ = ������ เม่ือ แทน คะแนนเฉลีย่ ∑������ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ������ แทน จานวนผู้ประเมิน 3.3 คา่ ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใชส้ ตู รต่อไปนี้ S.D. = √∑(×−×̅)2 ������−1 เมอ่ื S.D. = คา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) X = ผลรวมของผู้ตอบแบบสอบถามแต่ละระดบั n = จานวนประชากร
19000 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลการประเมิน ในการวิเคราะห์ข้อมลู การประเมินและการแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมลู เกีย่ วกับ การ ประเมินความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวช้ีวัด และการประเมินความพึงพอใจในการดาเนินงานการ จัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2562 ของศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ ผ้ปู ระเมนิ ขอเสนอรายละเอยี ดตามลาดับ คือ สัญลกั ษณท์ ีใ่ ช้ ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล ลาดับขน้ั ตอนในการวิเคราะหข์ อ้ มูล และผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดงั ต่อไปนี้ สัญลกั ษณท์ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล การนาเสนอผลการประเมินครั้งนีไ้ ด้กาหนดสัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ดังน้ี N แทน ขนาดของกล่มุ ตวั อยา่ ง ƒ แทน คา่ ความถี่ (Frequencies) % แทน ค่ารอ้ ยละ (Percentage) แทน ค่าเฉลย่ี (Mean) S.D. แทน คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ลาดบั ขั้นตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลการประเมินและการแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ การประเมิน ความสาเรจ็ ของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปงี บประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวชี้วัด และการประเมินความพึงพอใจในการดาเนินงานการจัดการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปงี บประมาณ 2562 ของศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอาเภอขนุ หาญ ผู้ประเมนิ ได้เสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู เรียงตามลาดบั ดงั นี้ 1. การวิเคราะห์ข้อมูลความสาเร็จของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบระดับ การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน ปีงบประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวช้ีวดั ตอนท่ี 1 การวิเคราะหข์ ้อมูลเกี่ยวกบั ขอ้ มูลพืน้ ฐาน ตอนที่ 2 การวิเคราะหข์ ้อมลู ความสาเรจ็ ของผลการดาเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน ปงี บประมาณ 2562 ตามมาตรฐานและตัวชี้วัด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164