คณุ ลักษณะสำคญั ของกจิ การเพ่อื สงั คม ดว้ ยการดำเนนิ ธรุ กิจซึ่งถือว่าเป็นหนว่ ยงานทแ่ี สวงหากำไร ทำให้กจิ การเพอื่ สงั คม (Social Enterprise) เป็นการนำโมเดลธุรกิจมาใช้กับเป้าหมายทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อม เป็นการรวมโมเดลธุรกิจแบบไม่หวังผล กำไร พร้อมกับการทำประโยชน์เพื่อสังคมรวมเข้ากับธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งจะทำใหบ้ รษิ ัทไมเ่ พยี งสามารถ สรา้ งรายไดท้ ่บี รษิ ทั ดำเนินกจิ การ แตย่ ังทำความดีคนื กลบั สู่สังคม รวมท้ังคืนผลกำไรทีไ่ ด้รบั กลบั คืนสชู่ มุ ชน Alter, 2002 (อ้างอิงใน สานิตย์ หนูนิล, 2555, หน้า 198-199) กล่าวว่า รูปแบบของกจิ การเพือ่ สังคม สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 รูปแบบ ตามระดับการผสมกันระหว่างกจิ กรรมทางธรุ กิจและโครงสร้างทางสงั คม ดังน้ี 1. กจิ กรรมของธุรกิจและโครงการเพอ่ื สังคมเปน็ สงิ่ เดยี วกัน (Embedded Social Enterprise) กิจกรรมทางธุรกิจถูกฝังอยู่ในกิจกรรมขององค์กรและโครงการต่าง ๆ ด้านสังคม โครงสร้างทาง สงั คมเป็นโครงการที่สามารถทำเงนิ ไดด้ ้วยตวั เองทำใหเ้ ปน็ รูปแบบท่ยี ง่ั ยืน ภาพท่ี 12 กจิ กรรมของธรุ กจิ และโครงการเพือ่ สังคมเปน็ การเป็นส่ิงเดยี วกัน (Embedded Social Enterprise) ท่มี า : Alter, 2002 (อ้างองิ ใน สานิตย์ หนนู ิล, 2555, หนา้ 198) 2. กิจกรรมของธุรกิจและโครงการทางสังคมจะมีส่วนที่ทับซ้อนกันอยู่ (Integrated Social Enterprise) เป็นการแลกเปลี่ยนต้นทุนและทรัพย์สินกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งจะถูกรวมไว้เข้ากับการ ปฏิบัติงาน องค์กรไม่แสวงหากำไรตั้งกิจการเหล่านี้เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินงานของกิจกรรมทาง สังคม ลูกค้าขององค์กรไม่แสวงหากำไรได้ผลประโยชน์จากการลงทุนในโครงการด้านสงั คมท่ีเผชิญกับการหา รายไดท้ อ่ี าจจะเก่ียวข้องหรอื ไมเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการปฏบิ ตั ิงานของผู้ประกอบการรปู แบบนมี้ ักใช้การหารายได้จาก ทรัพย์สินที่มีในการสร้างธุรกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางธุรกิจกับโครงสร้างทางสังคมเป็นแบบที่ ทำงานรว่ มกนั เพิ่มคณุ ค่าให้กนั 38
ภาพที่ 13 กิจกรรมของธุรกิจและโครงการทางสังคมจะมีส่วนที่ทับซ้อนกันอยู่ (Integrated Social Enterprise) ทมี่ า : Alter, 2002 (อา้ งองิ ใน สานติ ย์ หนนู ิล, 2555, หนา้ 198) 3. กิจกรรมทางธรุ กจิ จะอย่นู อกการจดั การองค์กร (External Social Enterprise) องคก์ รไมแ่ สวงหากำไร สร้างผู้ประกอบการเพ่ือสังคมเพอ่ื จัดหาเงินทนุ ผลประโยชนท์ างสังคมไม่ได้ เป็นเงื่อนไขสำหรับกิจกรรมทางธุรกิจ ลูกค้าเป็นแหล่งผลประโยชน์ทางอ้อม ความสัมพันธ์ของกิจกรรมทาง ธุรกิจและโครงการเพื่อเป็นไปในแนวทางที่ธุรกิจสนับสนุนและจัดการแหล่งเงินทุนที่ไม่ตายตัวให้องค์กรไม่ แสวงหากำไร ภาพที่ 14 กจิ กรรมทางธุรกิจจะอยูน่ อกการจัดการองคก์ ร (External Social Enterprise) ที่มา : Alter, 2002 (อ้างอิงใน สานิตย์ หนูนลิ , 2555, หนา้ 199) เป้าหมายการพัฒนาท่ียงั่ ยืนกบั กจิ การเพอ่ื สังคม การผลักดันให้กิจการเพื่อสังคม Social Enterprise สู่ระดับที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change) เกิดผลกระทบทางสงั คมในทางท่ีดีข้ึน (Social Impact) ทำให้กิจการดังกล่าวจำเป็นต้องมี ความรู้และความเข้าใจแนวทางที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ตามที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศเป็นเป้าหมายโลก เพื่อนำมาใช้เป็น กรอบ หรือกลไกสำหรบั การดำเนินกจิ การสพู่ ฒั นาที่ยงั่ ยนื 39
1. ความหมายของการพฒั นาทีย่ ง่ั ยนื สถาบัน น าน าชาติเพ ื่อก าร พ ัฒน า ที่ยั่งยืน ( International Institute for Sustainable Development : IISD) (1987) ให้คำนิยามคำว่า “การพัฒนาท่ียั่งยืน” หมายถึง การพัฒนาที่สอดคล้องกับ ความตอ้ งการของคนในปจั จุบัน โดยไม่ให้กระทบกบั ความสามารถของคนในอนาคต Bellu (2001, pp. 5, pp. 8-9) ได้กล่าวว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในรายงาน บรันด์แลนด์ (The Brundtland Report) ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ทำให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้องประนีประนอมหรือยอมลดทอนความสามารถในการตอบสนองความ ต้องการของตนเอง ราชบณั ฑติ ยสถาน (2554, อ้างองิ ใน อทุ ัย ปริญญาสทุ ธินนั ท์, 2563, หน้า 155) ให้ความหมายไว้ว่า “การพัฒนา” หมายถึง ทำให้เจริญ ส่วน ยั่งยืน หมายถึง ยืนยง อยู่นาน เมื่อรวมเข้าด้วยกัน “การพัฒนาที่ ยง่ั ยนื ” หมายถึง การทำใหเ้ จริญยนื ยง อยนู่ าน ดังนั้นความหมายของคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development” หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ หรือปรับปรุง สภาพแวดลอ้ มมีอย่ดู ว้ ยวธิ กี ารบริหารทีเ่ หมาะสมของคนในปัจจุบัน เพ่อื การธำรงรกั ษาสภาพแวดล้อมเหล่าน้ัน ให้อย่ตู ลอดไปจนถึงคนรนุ่ หลงั 2. ความสำคญั และประโยชนข์ องการพัฒนาทีย่ ัง่ ยนื ติญทรรศน์ ประทีปพรณรงค์ (2563, หน้า 9-10) อธิบายว่าแนวคิดของการพัฒนาที่ยั่งยืนให้ ความสำคัญกับ Triple Bottom Line ประกอบด้วย มติ ิด้านเศรษฐกิจ มติ ิดา้ นสงั คม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การพัฒนาที่ยั่งยืนมิติด้านเศรษฐกิจ เน้นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของ การสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นการส่งเสริม แนวทางในการใช้ทรัพยากรด้วยความไมฟ่ ุ่มเฟือย สำหรับมติ ิด้านทางสังคม เนน้ การมีสว่ นร่วมของประชาชน และการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเป้าหมายสำคัญเพื่อการขจัดความยากจน ในส่วนมิติด้าน สิ่งแวดลอ้ ม เนน้ ให้ความสำคัญกบั การตระหนักถงึ ความจำเป็นในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ และการปกป้อง รกั ษาทรพั ยากรเหลา่ นั้นเพื่อให้มนุษยส์ ามารถใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้พอกับความตอ้ งการของคนในยุคปัจจุบัน และคนรุ่นหลงั ในอนาคต ภาพที่ 15 Triple Bottom Line ทม่ี า : ติญทรรศน์ ประทีปพรณรงค์ (2563, หนา้ 9) 40
3. เปา้ หมายหลกั ของการพฒั นาทย่ี ั่งยนื สถณุ ี อาชวานนั ทกลุ เอ้ือมพร พิชัยสนิธ และปกปอ้ ง จันวิทย์ (2553, หน้า 42) อธิบายว่าเป้าหมาย ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น ไม่ได้อยู่ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหากอยู่ที่การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ประชากรโลกไปในทางที่ไม่เพม่ิ ระดับการใช้ทรัพยกรธรรมชาติจนเกนิ ศกั ยภาพท่ธี รรมชาติจะผลิตให้มนุษย์ใช้ อย่างไร้ขีดจำกัด โดยต้องอาศัยความเข้าใจว่าการนิ่งเฉยไม่ทำอะไรผลกระทบ และเราต้องหาหนทางใหม่ ๆ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงสถาบนั และพฤตกิ รรมของปัจเจกชน 3.1 เปา้ หมายการพฒั นาทย่ี ัง่ ยนื ในบริบทสากล การกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติในช่วงแรก ๆ คือ เป้าหมาย การพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals (MDGs) โดยถูกกำหนดขึ้นในปี ค.ศ. 2000 มวี าระทั้งสิน้ 15 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 2005 – 2015 ซึง่ เป้าหมายการพัฒนาแหง่ สหัสวรรษ (MDGs) มเี ปา้ หมายการพัฒนาทั้งส้ิน 8 เป้าหมาย ดังน้ี เป้าหมายที่ 1 ขจดั ความยากจนและความหิวโหย เปา้ หมายที่ 2 การใหโ้ อกาสกบั เดก็ ในการเขา้ ถึงการศกึ ษาชัน้ ประถม เป้าหมายที่ 3 การส่งเสริมความเท่าเทยี มกันทางเพศ และการเพม่ิ อำนาจสตรี เปา้ หมายที่ 4 การลดอัตราการเสียชีวิตของเดก็ เป้าหมายท่ี 5 การพัฒนาสขุ ภาพมารดา เป้าหมายที่ 6 การตอ่ สกู้ ับโรคเอดส์ มาลาเรยี และอืน่ ๆ เปา้ หมายท่ี 7 การรับประกันความยงั่ ยืนของสงิ่ แวดล้อม เป้าหมายท่ี 8 การสรา้ งความเป็นหนุ้ สว่ นทั่วโลกสำหรับการพัฒนา อยา่ งไรกต็ าม MDGs ได้ถูกวพิ ากษว์ จิ ารณว์ า่ เป้าหมายของ MDGs เปน็ การแบ่งแยกระหว่าง ประเทศในซีกโลกทางเหนือกับประเทศในซีกโลกทางใต้ หรือกล่าวไดว้ า่ ถูกแบ่งแยกระหวา่ งประเทศท่ีพัฒนา (ยุโรป และอเมรกิ าเหนือ) กบั ประเทศที่กำลงั พฒั นา (แอฟรกิ า อเมรกิ าใต้ และเอเชียบางสว่ น) อกี ทงั้ เปา้ หมาย ของ MDGs ไม่ไดต้ อบโจทยก์ ารพัฒนาในภาพรวม แตม่ นุ่ เนน้ ไปทีป่ ระเทศทมี่ คี วามยกจนสงู เมื่อวาระของ MDGs สิ้นสุดลง สหประชาชาติจึงได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่ถือเป็นประเด็นที่สำคัญทั่วโลก โดยมีวาระ 15 ปี ดังที่การ รับรองปฏิญญาชื่อ “วาระการพัฒนาปี 2030 ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน” ของผู้นำประเทศต่าง ๆ กว่า 193 ประเทศ ซึ่งมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วม สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) (อุทัย ปริญญาสุทธินันท์, 2563, หน้า 174) ทั้งนี้ SDGs ประกอบด้วย 17 เป้าหมาย 169 เป้าประสงค์ ซึ่งเป้าหมายที่กำหนดไว้จะแบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ ที่เรียกว่า “5 Ps” ได้แก่ (1) คน (People) เป็นเร่อื งเกีย่ วกบั การยุติความจน ยุตคิ วามหวิ โหย สขุ ภาพที่ดี การศึกษาทมี่ ีคุณภาพ และความ เท่าเทียมกันทางเพศ (2) โลก (Planet) เปน็ เรอ่ื งเกยี่ วกบั การผลิต และการบรโิ ภคอยา่ งยง่ั ยืน การต่อสู้ปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนรุ ักษท์ รัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน และการใช้ประโยชนจ์ ากระบบ นเิ วศทางบก ตลอดจนการจัดการน้ำและสุขาภิบาล (3) ความเจรญิ รุ่งเรือง (Prosperity) เป็นเร่ืองของพลงั งาน สมัยใหม่ การเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจและการมีงานทมี่ ีคุณค่า โครงสรา้ งพน้ื ฐานทมี่ ่นั คง ลดความเหลื่อมล้ำ และการพฒั นาเมืองและชมุ ชนอย่างย่งั ยืน (4) สันติสขุ (Peace) เป็นการสรา้ งสังคมสันติสขุ และความยุติธรรม และ(5) ความเปน็ หนุ้ สว่ นกนั (Partnership) เปน็ การสรา้ งหุ้นส่วนความร่วมมอื ในระดบั โลก 41
ทัง้ น้ี เป้าหมายการพัฒนาทีย่ ง่ั ยืน 17 เป้าหมาย ประกอบด้วย เป้าหมายที่ 1 ขจดั ความยากจน เปา้ หมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย เป้าหมายที่ 3 การมสี ุขภาพและความเปน็ อย่ทู ่ีดี เปา้ หมายที่ 4 การได้รบั การศึกษาท่ีมคี ณุ ภาพ เปา้ หมายที่ 5 ความเทา่ เทียมทางเพศ เป้าหมายท่ี 6 การมีน้ำสะอาดและมีสุขภาพอนามยั ที่ดี เป้าหมายที่ 7 การมพี ลงั งานทสี่ ะอาดและราคาถูก เป้าหมายท่ี 8 ส่งเสรมิ งานท่มี คี ณุ ค่าและการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 9 การสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม นวัตกรรม และโครงสรา้ งพนื้ ฐาน เปา้ หมายที่ 10 ลดความเหลือ่ มลำ้ เป้าหมายที่ 11 การพัฒนาเมอื งและชุมชนอย่างยัง่ ยนื เปา้ หมายท่ี 12 การบรโิ ภคและการผลิตอย่างยัง่ ยนื เป้าหมายที่ 13 การรับมอื การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ เปา้ หมายที่ 14 การอนุรกั ษ์และใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่งั เปา้ หมายที่ 15 การอนุรกั ษ์และการใชป้ ระโยชนจ์ ากระบบนเิ วศทางบก เป้าหมายที่ 16 การสรา้ งสังคมสันติสุข ความยตุ ิธรรม และสภาบัน อนั เป็นท่ีพ่ึงของสว่ นรวม เปา้ หมายที่ 17 การมีส่วนร่วมของประชาชนในเป้าหมายของการพฒั นาที่ย่งั ยนื การจดั ตั้งองคก์ ารกจิ การเพอ่ื สงั คม 1. ขอ้ ดขี องการจดั ตง้ั องคก์ ารกจิ การเพื่อสงั คม หากจะกล่าวถึงกิจการเพื่อสังคมกับการดำเนินธุรกิจท่ัวไปมีความแตกต่างกันอยา่ งไร คงตอบได้ว่า กิจการเพื่อสังคมกบั ธุรกิจทั่วไปมีความแตกต่างทีเ่ ป้าหมายในการจัดตั้งองค์กร กล่าวคือ ธุรกิจปกติแม้จะทำ เรื่องทีอ่ าจสร้างผลกระทบต่อสังคม เช่น สร้างการจ้างงาน แก้ปัญหาสิง่ แวดล้อม ฯลฯ แต่มักจะเปน็ กิจการท่ี เน้นการสร้างผลกำไรสูงสุดให้ผถู้ ือห้นุ หรือเจ้าของเปน็ สำคญั ในขณะท่กี จิ การเพื่อสังคมจะเน้นการตั้งกิจการที่ มีเป้าหมายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นตัวตั้งสามารถระบุและกำหนดผู้ได้รับประโยชน์แ ละผลกระทบทาง สังคมอยา่ งชัดเจน ซงึ่ ข้อดขี องการจดทะเบียนธุรกิจเปน็ “วิสาหกจิ เพื่อสงั คม” (เอสเอม็ อไี ทยแลนด์, 2563) มี ดงั น้ี 1) สามารถเปดิ ระดมทนุ ใหม้ นี ักลงทุน ประชาชนท่ัวไปหรือกองทนุ Venture Capital สามารถร่วม ลงทุนได้โดยไม่ต้องรายงานตอ่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรพั ย์ (ก.ล.ต.) เพอื่ ให้การระดมทนุ เปน็ ไปไดอ้ ย่างสะดวกและรวดเรว็ 2) บริษัท องค์กรธุรกิจ บริษัทมหาชนใด ๆ ที่ให้การสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น สนับสนุน เงินทุน จะสามารถนำวงเงนิ นัน้ ไปใชเ้ ป็นสว่ นหนงึ่ ของการลดหยอ่ นภาษนี ิตบิ ุคคลไดอ้ ีกดว้ ย 3) วสิ าหกิจขนาดกลางและขนาดยอ่ มจะได้ปรับรูปแบบธุรกิจให้สรา้ งประโยชน์ตอ่ สังคมได้มากข้ึน ขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้รับการระดมทุนจากองค์กรธุรกิจทีม่ ีขนาดใหญ่ ได้รับประโยชน์กัน ทกุ ฝา่ ย (Win-Win) 42
4) สำหรบั ธรุ กิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถย่ืนลงทะเบียนขอจดรปู แบบกิจการให้ เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบนั่นคือ “สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อ สงั คม” (สวส.) ภายใต้พระราชบญั ญตั ิส่งเสริมวิสาหกจิ ชุมชน พ.ศ. 2562 5) ผู้ประกอบการจะต้องเขยี นรายงานสรุปยืน่ ไปยงั หน่วยงานดงั กลา่ วเพ่ืออธิบายว่า รูปแบบธุรกิจ ที่ดำเนนิ อยู่สร้างประโยชน์ต่อสงั คมในรูปแบบใด เชน่ ทำธรุ กจิ แปรรูปอาหารโดยอาศัยวัตถุดิบ ภายในชุมชนเพอื่ ใหเ้ กิดการจ้างงานและเศรษฐกิจหมนุ เวียนภายในชมุ ชน เป็นต้น 2. ตวั อยา่ งเงือ่ นไขการจัดตง้ั องค์การกิจการเพอ่ื สงั คมในประเทศไทย พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเมื่อวนั ท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 กิจการที่จดทะเบียนเป็น กิจการเพอ่ื สงั คมต้องมวี ัตถุประสงคเ์ พือ่ สังคมเปน็ เปา้ หมายหลักของกจิ การ และต้องมลี กั ษณะดงั ตอ่ ไปน้ี 1) มีวัตถุประสงค์หลักเพือ่ ส่งเสริมการจ้างงานแก่บุคคลผูส้ มควรได้รับการส่งเสรมิ เปน็ พิเศษ การ แก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่นหรอื คืนประโยชน์ให้แก่ สังคมตามทรี่ ัฐมนตรปี ระกาศกำหนด 2) มีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบมาจากการจำหน่ายสินค้าหรือการบริการ เว้นแต่กิจการท่ไี ม่ ประสงค์จะแบ่งปนั กำไรให้แก่ผ้เู ปน็ หุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นอาจมรี ายไดน้ ้อยกว่าร้อยละหา้ สิบมาจากการจำหน่าย สนิ คา้ หรอื การบริการ ทงั้ น้ี ตามหลกั เกณฑ์ วิธกี าร และเงือ่ นไขทคี่ ณะกรมการประกาศกำหนด 3) นำผลกำไรไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ตามการแบ่งปันกำไรให้แก่ผู้เป็น เจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละสามสิบของผลกำไรทั้งหมด โดยให้ถือว่าการลงทุนในกิจการของ ตนเองซึ่งมีกระบวนการผลิตหรือการบริการที่มีลักษณะการขยายกิจการเพื่อวัตถุประสงค์ตามเงื่อนไขท่ี คณะกรรมการประกาศกำหนดเป็นการนำผลกำไรไปใชเ้ พือ่ สังคม 4) มกี ารกำกบั ดแู ลท่ีดี 5) ไม่เคยถูกเพิกถอนการจดทะเบยี นเป็นกิจการ/วิสาหกิจ เว้นแต่พ้นกำหนดสองปีนบั ถึงวนั ท่ยี ่นื คำขอจดทะเบียนเพ่ือขอรับการส่งเสรมิ หรอื สนบั สนนุ ตามพระราชบัญญัตนิ ี้ ท้ังนี้ กิจการ/วสิ าหกจิ เพือ่ สังคมจะตอ้ งนำผลกำไรท่ีเกดิ ขน้ึ ไมน่ ้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ นำไปใช้เพื่อ สร้างคณุ ประโยชน์แกส่ ังคม ส่วนที่เหลอื อกี 30 เปอร์เซน็ ต์ สามารถจ่ายเป็นปันผลคนื ให้กับผู้ถอื หุ้นได้ 3. ประเภทการจดทะเบยี นเป็นกิจการเพ่อื สงั คมของประเทศไทยมี 2 ประเภทหลัก ดงั นี้ 1) กิจการ/วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ประสงค์จะแบ่งปันกำไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นไม่เกิน 30% ของกำไรทัง้ หมด หลักเกณฑค์ ือ ตอ้ งมรี ายได้ไมน่ ้อยกว่า 50% หรอื ร้อยละ 50 มาจากการจำหนา่ ยสินค้า หรือการบริการตามหลกั เกณฑ์ทคี่ ณะกรรมการกำหนด 2) กิจการ/วิสาหกจิ เพือ่ สังคมที่ไม่ประสงคจ์ ะแบง่ ปันกำไรให้แกผ่ เู้ ปน็ หนุ้ ส่วนหรือผู้ถอื หนุ้ วิสาหกิจ เพอื่ สงั คมประเภทนี้อาจมีรายได้นอ้ ยกว่า 50% หรือร้อยละ 50 มาจากการจำหน่ายสินค้าหรือการบริการก็ได้ กลา่ วคอื วิสาหกจิ เพอ่ื สังคมนีอ้ าจมรี ายไดท้ ีม่ าจากการบริจาคหรอื เงนิ ลงทนุ ทีม่ อี ยู่ได้ 43
สรปุ กิจการ/วสิ าหกิจเพอ่ื สังคมคณุ ลกั ษณะสำคญั ท่โี ดดเด่นกว่าการดำเนินธรุ กจิ ทั่วไป ตรงที่มเี ป้าหมายใน การแก้ไขปัญหาทางสงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม มีรปู แบบการดำเนินการที่มีความยัง่ ยืนทางการเงนิ เป็นมติ รตอ่ สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม ผลกำไรกลับคนื สู่สังคม และเปา้ หมายที่กำหนดไว้ ดำเนินการอย่างโปร่งใส มธี รรมาภิบาล ซ่ึง ทวี่ า่ สรา้ งความสมดุลทีย่ ่งั ยืนทง้ั ด้านคุณค่าทางสงั คมและคุณค่าทางเศรษฐกิจ นำไปสูก่ ารพฒั นาท่ียั่งยืน เนื่อง ด้วยกจิ การ/วสิ าหกิจเพอื่ สังคมถือเป็นธรุ กิจหนง่ึ ที่เป็นการรวมโมเดลธุรกจิ แบบไม่หวงั ผลกำไร พรอ้ มกบั การทำ ประโยชน์เพื่อสังคมทำให้รูปแบบของกิจการเพื่อสังคมขึ้นอยู่กับระดับการผสมกนั ระหว่างกิจกรรมทางธุรกิจ และโครงสร้างทางสงั คม สำหรบั การจดั ตัง้ กจิ การเพอ่ื สังคมหากพิจารณาจากประเทศไทยมีรปู แบบการจดั ต้ัง 2 ประเภท คอื กิจการ/วิสาหกิจเพ่ือสังคมท่ีประสงค์จะแบ่งปันกำไรให้แก่ผูเ้ ปน็ ห้นุ สว่ นหรือผู้ถือหุ้นไม่เกิน 30% ของกำไรทั้งหมด กับกิจการ/วิสาหกิจเพื่อสังคมท่ีวสิ าหกิจเพ่ือสังคมที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำไรให้แก่ผู้เปน็ หนุ้ สว่ นหรือผู้ถอื หุ้น วิสาหกิจเพือ่ สังคมประเภทนอ้ี าจมรี ายไดน้ อ้ ยกวา่ 50% 44
เอกสารอา้ งอิง ติญทรรศน์ ประทปี พรณรงค.์ (2563). การพฒั นาอยา่ งย่งั ยืนกับวสิ าหกิจเพอื่ สงั คม. นนทบุรี: รตั นไตร. พิมพิกา พูลสวัสด์ิ และ สวุ ิต ศรีไหม. (2561). วิสาหกิจเพื่อสงั คมกับการพัฒนาสังคมอยา่ งย่ังยืน: บทเรยี นจาก ตา่ งประเทศและแนวทางการพัฒนาในประเทศไทย. วารสารบรหิ ารธุรกจิ เศรษฐศาสตรและการ สอ่ื สาร, 13(3), 15-32. สถุณี อาชวานนั ทกุล เอ้อื มพร พิชัยสนธิ และปกป้อง จันวทิ ย์. (2553). Macrotrends: ภูมิทัศนเ์ ศรษฐกิจโลก ใหมแ่ ละการปรบั ตัวของไทย. กรงุ เทพฯ: Openbooks. สานติ ย์ หนูนิล. (2555). กิจการเพอ่ื สงั คมเพอื่ การพัฒนาทย่ี ่ังยนื . วารสารวชิ าการมหาวทิ ยาลยั หอการค้าไทย, 32(4), 196 – 206. อุทยั ปรญิ ญาสทุ ธนิ นั ท์. (2563). วิสาหกจิ เพ่ือสังคม. กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. เอสเอ็มอไี ทยแลนด์. (2563). แปลงกิจการใหเ้ ป็น “วสิ าหกิจเพ่อื สังคม” เปิดรบั การระดมทนุ . [ออนไลน์] จาก https://www.smethailandclub.com/money-6336-id.html Alter, K. (2007). Social Enterprise Typology. ?. [Online]. Available: https://www.globalcube.net/clients/philippson/content/medias/download/SE_typology.pdf Bellu, L. G. (2001). Development and Development Paradigms: A (Reasoned) Review of Prevailing Visions. Rome: Food and Agriculture Organization. International Institute for Sustainable Development. (1987). What is Sustainable Development?. [Online]. Available: http://www.Iisd.org/sd/ คำถามทบทวน 1. จงอธิบายความแตกต่างของคำวา่ Social Business, Social Enterprise, Socially Responsible Business มรี ปู แบบอยา่ งไร จงอธบิ าย 2. รปู แบบของกจิ การ/วสิ าหกจิ เพอื่ สังคม ภายใต้การเช่ือมโยงระหวา่ งกจิ กรรมทางธรุ กิจกบั โครงสรา้ ง ทางสงั คม ตามแนวคิดของ Alter มกี ีร่ ปู แบบ จงอธิบาย พรอ้ มยกตัวอยา่ ง 3. เปา้ หมายการพัฒนาทยี่ ัง่ ยนื กบั กจิ การ/วสิ าหกจิ เพอื่ สงั คมมคี วามเช่ือมโยงกนั อย่างไร จงอธบิ าย พรอ้ มยกตัวอยา่ ง 4. จงอธบิ ายข้อดขี องการจัดตง้ั องคก์ ารกจิ การเพื่อสงั คม พรอ้ มยกตัวอย่าง 45
46
แผนการสอนประจำบทท่ี 4 หวั ข้อเนื้อหาประจำบท 1. การสรา้ งระบบนิเวศสำหรับกจิ การเพอื่ สงั คม 2. ผู้มสี ่วนไดส้ ่วนเสียต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วเน่อื งกบั กจิ การเพือ่ สังคม 3. การวดั ผลการดำเนินงานของกจิ การเพอื่ สงั คม 4. กฎหมาย และนโยบายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับกิจการเพอื่ สงั คม วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เมื่อเรียนจบบทน้ี นกั ศึกษาสามารถทำส่งิ ตอ่ ไปนี้ 1. สามารถอธิบายระบบนิเวศสำหรับกิจการเพอื่ สงั คม 2. สามารถอธบิ ายผู้มสี ว่ นได้ส่วนเสยี ตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วเนือ่ งกับกิจการเพอ่ื สงั คม 3. สามารถอธบิ ายการวัดผลการดำเนินของกิจการเพอ่ื สงั คม 4. สามารถอธบิ ายกฎหมาย และนโยบายท่ีเกีย่ วข้องกับกิจการเพ่อื สังคม วิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจำบท 1. ฟังการบรรยาย สรุปสาระสำคัญโดยอาจารย์ผู้สอน 2. วิเคราะห์ สังเคราะห์ตามเน้ือหา กรณีศกึ ษา 3. ศึกษาคน้ คว้าข้อมลู เพ่มิ เติมจากตำรา วารสาร หนงั สอื พมิ พ์ และ Internet เปน็ ตน้ 4. อภปิ รายงานกลมุ่ และนำเสนอรายงานหน้าช้ัน ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารการสอนวิชาธุรกจิ เพอ่ื สังคม บทความ หนังสือทีเ่ กยี่ วข้อง 2. Power point (ท้งั ภาพน่ิง และ Animation) 3. ใบงาน กรณศี ึกษา การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจของนกั ศกึ ษา และการมีสว่ นรว่ มในกิจกรรม 2. การประเมินจากการทนี่ ักศกึ ษาแสดงความคดิ เห็น 3. การประเมินจากการตอบคำถามทบทวน 4. การประเมินจากผลงานของนักศกึ ษา 47
48
บทที่ 4 รูปแบบกลไกการบริหารจดั การกิจการเพอ่ื สังคม ในยคุ แห่งโลกาภวิ ตั น์ สภาพสงั คมที่เกดิ การเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็วจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนวัตกรรม ทำให้การประกอบธุรกิจต้องปรับตัวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความซับซ้อนและกำลัง ปรบั เปลยี่ นอย่างรวดเร็ว การดำเนนิ ธุรกิจแบบเดิม ๆ ท่มี งุ่ เฉพาะประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ถือหุ้นหรือองค์การ เทา่ นนั้ แนน่ อนผลแห่งทนุ นิยมอันเวทนารายล้อมไปดว้ ยความวนุ่ วายทั้งในระดบั โลกและระดบั ชาติท่ีต้องเผชิญ ปัญหาต่าง ๆ เช่น วิกฤตทางการเงิน ปัญหาสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้นการริเริ่มและค้นหา วธิ กี ารใหม่ ๆ อย่างเป็นระบบสำหรับการประกอบธรุ กิจ Social Enterprise) ถือเปน็ โอกาสและบทบาทสำคัญ ในการสรา้ งการเปลยี่ นแปลงใหเ้ กิดประโยชน์ร่วมกัน เพ่อื ให้เกดิ ความเข้าใจเกย่ี วกบั กิจการ/วิสาหกจิ เพ่ือสังคม มากยิ่งขึ้น การสร้างกลไกการบริหารจัดการให้กับกิจการ/วิสาหกิจเพื่อสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญแก่ ผูป้ ระกอบการทางสงั คมจะริเร่ิมสรา้ งการเปล่ยี นแปลงให้เกิดข้นึ แกส่ ังคม การสร้างระบบนเิ วศสำหรบั กิจการเพื่อสังคม ระบบนิเวศ (Ecosystem) ระบบนิเวศที่ส่งิ ต่างๆ ในระบบมคี วามเกย่ี วข้อง เช่ือมโยงและเกื้อกูลซ่ึงกัน และกัน หรือกล่าวได้ว่าในระบบนิเวศหนึ่ง ๆ จะมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมาก ซึ่งจะนำมาเพื่อการแย่งชิง ทรพั ยากรเพื่อความอย่รู อดและบบี บงั คบั ใหส้ ง่ิ มชี วี ิตต้องมีการปรบั ตัว (ภาคภูมิ ฤกขะเมธ, 2561 หน้า 46) James Frederick Moore ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย Harvard ให้ความหมายของระบบนิเวศทาง ธุรกิจเป็นการรวมกลุ่มของธุรกิจ หน่วยงาน องค์กร บุคคล และสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มารวมตัวกันเพอื่ ดำเนินกิจกรรม การพึ่งพาอาศัยกันในกลุ่มธุรกจิ เดียวกันอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกนั มีการเชื่อมโยงกันของหว่ งโซ่ อุปทานของแต่ละกลุ่มธุรกิจ (Supply Chain) เพื่อร่วมมือ ช่วยเหลือ เกื้อหนุน การเสนอและออกกฎเกณฑ์ ส่งเสรมิ สนับสนุน ซงึ่ กนั และกนั ทำงานร่วมกนั มากข้ึน การสร้างเครือขา่ ยของ ผ้ซู ือ้ ผจู้ ดั สง่ วัตถุดบิ และผผู้ ลิต และผ้ใู ห้บริการต่างๆ การสร้างส่งิ แวดล้อมเชงิ สังคมเศรษฐกิจ รวมทัง้ กรอบการทำงานในดา้ นสถาบัน องค์กร และกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เกื้อหนุนและสอดคล้องกับบริบทในการดำเนินธุรกิจ (Moore, 2005, pp. 3; พชิ ิต ขจรเดชะ, 2561, หนา้ 2) การที่วิสาหกิจเพื่อสังคมจะสามารถพัฒนาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพ มีโอกาสประสบ ความสำเร็จสูง ต้องอาศัยความรว่ มมอื จากหนว่ ยงานท่ีเกยี่ วข้องทุกภาคส่วน ซง่ึ ติญทรรศน์ ประทีปพรณรงค์ (2563, หน้า 156-158) เห็นประเด็นปัญหาสำคัญของวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย คือ เรื่องการขาด บคุ ลากรที่ให้ความสนใจและมีแรงปรารถนาที่อยากจะประกอบการวิสาหกิจเพือ่ สงั คม และการสนับสนุนทาง การเงินหรือการเข้าถึงแหล่งทุนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้เสนอว่าแนวทางการบริหารจัดการ สำหรบั วสิ าหกิจเพอื่ สงั คม ดงั น้ี 1. ความตระหนกั ร้ขู องสาธารณชน 2. การสง่ เสรมิ และการกำกับดแู ล 3. การพฒั นาผู้ประกอบการ 49
4. การสนับสนนุ ทางการเงนิ 5. ความรว่ มมือของภาคเอกชน ผ้มู สี ่วนไดส้ ว่ นเสียต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวเน่ืองกับกิจการเพ่ือสังคม อย่างที่ทราบกนั ดีว่าความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์การเป็นการดำเนินกจิ การภายใตห้ ลักจริยธรรม และการจัดการที่ดีโดยรบั ผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทัง้ ภายในและภายนอกองค์การ จึงทำให้ความสำคัญ ของความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์การอยู่บนฐานความเชื่อว่า ธุรกิจกับสังคมจะต้องอยู่ร่วมกันอย่าง ช่วยเหลือเกื้อกูลเอ้ือประโยชนซ์ ่ึงกันและกัน ซึ่งความสำคัญของความรับผิดชอบตอ่ สงั คมขององค์การถือเป็น การยอมรับทั้งผลที่ดีและผลที่ไม่ดีจากการดำเนินงานขององค์การ หรือที่อยู่ในความดูแลขององค์การนั้น สามารถจำแนกได้ตามระดับของสังคมร่วมกบั การพิจารณาจากกลุ่มผูม้ สี ่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนือ่ งกับ การดำเนินงานขององค์การ ได้ 3 ระดับ (ตลาดหลกั ทรัพยแ์ หง่ ประเทศไทย, 2564) ดังนี้ 1. สังคมภายในองค์การ เป็นระดับแรกที่เกี่ยวของกับองค์การมากที่สุด ได้แก่ ผู้ถือหุ้น/ผู้ลงทุน ผบู้ ริหาร/กรรมการบรษิ ัท และพนกั งาน ทถ่ี ือเปน็ สงั คมหนึ่งภายในองค์การหรือผู้มีสว่ นได้ส่วนเสียกับองค์การ โดยตรง ยกตวั อยา่ งเช่น 1.1 ในระดบั ของผถู้ อื หนุ้ หรอื ผู้ลงทุน ความสำคัญของความรบั ผิดชอบต่อสังคมขององคก์ ารสำหรับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มนี้ ได้แก่ การเคารพสิทธิของผู้ถือหุ้น การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน การให้ ข้อมลู แกผ่ ้ถู อื หุ้นหรือผลู้ งทนุ อย่างเพียงพอต่อการตัดสนิ ใจลงทุน หรือท่ีเกย่ี วกับการเปลี่ยนแปลงท่ีสำคัญของ กิจการ การไมน่ ำข้อมลู ภายในไปเปดิ เผยกบั บุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ผ้บู ริหาร/กรรมการซงึ่ กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหาย ตอ่ ผถู้ อื ห้นุ โดยรวม เปน็ ต้น 1.2 ในระดับของผูบ้ รหิ ารหรอื กรรมการบรษิ ัท ตวั อยา่ งความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ได้แก่ การส่งเสริมให้มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีระบบการบริหารจัดการและการกำหนดค่าตอบแทนที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการจัดทำพร้อมเปดิ เผยข้อมูลรายงานทางการเงิน ข้อมูลที่มิใช่ขอ้ มูลทางการเงินอย่างถกู ตอ้ ง ครบถว้ น ทนั เวลา รวมถึงการอทุ ิศเวลาและความสามารถในการปฏบิ ัติหนา้ ที่ เป็นต้น 1.3 ในระดับของพนักงาน ตัวอย่างความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ได้แก่ การจ่ายค่าจ้าง ผลตอบแทนที่เป็นธรรม การตรงต่อเวลา การจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนด การดูแลสุขภาพ และความปลอดภัยในการทำงาน การพฒั นาบุคลากร และการฝกึ อบรมในสถานทป่ี ฏิบัติงาน เปน็ ตน้ 2. สงั คมระดบั ใกล้กบั องค์กร เปน็ ระดับที่เกย่ี วของกับองคก์ ารรองลงมาแต่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า ผู้มีส่วนไดส้ ่วนเสยี โดยตรง เนื่องจากหากสังคมระดับนี้หากมีความขัดแย้งหรือข้อพิพาทกับองค์การย่อมทำให้ เกิดความเสยี หายแกอ่ งคก์ ารเชน่ เดียวกนั ซึ่งกลุม่ ผมู้ ีส่วนได้สว่ นเสียในสังคมระดบั ใกล้กบั องคก์ าร ได้แก่ ลูกค้า ผบู้ รโิ ภค คู่คา้ และชมุ ชนท่ีองค์การตงั้ อยู่ ยกตวั อย่างเช่น 2.1 ในระดับของลกู ค้าและผู้บริโภค ไดแ้ ก่ ความรับผิดชอบในผลิตภัณฑต์ ่อผู้บริโภค การให้บริการ ลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา การให้ข้อมูลขององค์กร ข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอและถูกต้อง การปกป้อง สขุ ภาพและความปลอดภยั ของผบู้ รโิ ภค การยุตขิ อ้ โต้แย้ง และขอ้ ร้องเรียนของผู้บริโภค เปน็ ต้น 2.2 ในระดับของคู่ค้า ได้แก่ การยึดถือข้อปฏิบัติทางสัญญาที่เป็นธรรม การดำเนินงานในทาง ต่อต้านการทุจริต การรับหรือให้สินบนในทุกรูปแบบ การเคารพต่อสิทธิในทรัพย์สินหรือกรรมสิทธิ์ของคู่ค้า การไม่เอารดั เอาเปรียบตอ่ คู่ค้า และการส่งเสรมิ ใหค้ คู่ ้าดำเนินความรับผดิ ชอบด้านสังคมรว่ มกบั องค์กร เป็นต้น 50
2.3 ในระดับของชุมชนและสภาพแวดล้อม ได้แก่ การสงเคราะห์เกื้อกูลชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ การส่งเสริมแรงงานท้องถน่ิ ใหม้ โี อกาสในตำแหน่งงานต่าง ๆ ในองคก์ ร การสนบั สนนุ แนวทางการระแวดระวัง ในการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อ ชมุ ชนทอ่ี งคก์ รตั้งอยู่ และการเรียนรวู้ ัฒนธรรมทอ้ งถิน่ เพอ่ื การอยู่ร่วมกนั อย่างปกติสขุ เปน็ ตน้ 3. สังคมระดับไกล เป็นระดับทีเ่ กย่ี วของกับองค์การนอ้ ยท่ีสดุ ซึ่งกลุ่มผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียของสังคมระดับน้ี ไดแ้ ก่ คูแ่ ข่งขันทางธุรกจิ ประชาชนทัว่ ไป และระบบนเิ วศ ถือว่าเปน็ ผมู้ สี ว่ นไดส้ ่วยเสียยอ้อม ยกตัวอย่างเช่น 3.1 ในระดับของคู่แข่งขันทางธุรกิจ ได้แก่ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม การดูแลกิจการมิให้มีส่วน เกี่ยวข้องกับการแข่งขันด้วยวิธีการทุ่มตลาด และการกลั่นแกล้งหรือใช้อิทธิพลในการกีดกันเพือ่ มิให้เกิดการ แข่งขนั เป็นตน้ 3.2 ในระดับของประชาชนทั่วไป ได้แก่ การสร้างความร่วมมือระหว่างกลุม่ หรือเครือข่ายอ่ืนๆ ใน การพัฒนาสังคม การตรวจตราดแู ลมิให้กิจการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสทิ ธมิ นุษยชน การรับ ฟงั ข้อมูลหรอื ทำประชาพิจารณ์ตอ่ การดำเนนิ กิจการที่สง่ ผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และการทำหน้าท่ีในการ เสียภาษีอากรให้รฐั อย่างตรงไปตรงมา เปน็ ต้น 3.3 ในระดับระบบนเิ วศ (สงั คมโลก) ได้แก่ การรักษาสิ่งแวดล้อม ดูแลของเสียจากอุตสาหกรรมที่ ปล่อยออกมาจากการผลติ ขององคก์ ร ไมว่ ่าจะเปน็ อากาศ นำ้ ขยะ เปน็ ตน้ ภาพท่ี 16 ผ้มู สี ว่ นได้สว่ นเสียตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วเน่ืองกบั กจิ การ/วสิ าหกิจเพื่อสงั คม ทม่ี า : ตลาดหลักทรพั ย์แหง่ ประเทศไทย (2564) การวัดผลการดำเนินของกจิ การเพอ่ื สังคม 1. ความหมายของการประเมนิ ผลการประกอบการของกิจการ/วิสาหกิจเพ่อื สังคม การประเมินผลการดำเนินงานขององค์การ (Evaluation of Corporate Performance) นับว่ามี ความสำคัญอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันภายใต้การแข่งขันกันอย่างรุนแรง องค์การทั้งหลายต่าง ทุ่มเทความพยายามอย่างมากกับการประเมนิ ผลการดำเนนิ งานขององค์การของตนเอง รวมถึงการกำหนดดัชนี 51
ชี้วัดคุณภาพขององค์การเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินผลการดำเนินขององค์การ เช่นเดียวกับการ ประเมินผลการประกอบการวิสาหกิจเพ่ือสังคม (Evaluation of Social Enterprise Performance : ESEP) ที่มีลักษณะคล้ายกับการประเมนิ ผลการดำเนนิ งานขององค์การ Evaluation of Corporate Performance) หากแต่มีข้อแตกต่างเพิ่มเติมในประเด็นการนำผลลัพธ์ด้านสังคม (Social Impact) มาใช้ในการประเมินผล ดังกล่าว เนื่องจากความสำเร็จของวิสาหกิจเพื่อสังคมมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถ ขับเคลอ่ื นธรุ กิจได้นั่นคือ “ความยง่ั ยนื ทางการเงิน” ซึ่งในปี พ.ศ. 2543 เจด อีเมอรส์ นั (Jed Emerson) ได้ทำ รายงานฉบับหนึ่งให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยได้กล่าวถึงมูลค่าผสมรวม (Blended Value) ซึ่งหมายถงึ การที่องคก์ รธุรกิจหรอื กิจการเพ่อื สงั คมสามารถทจ่ี ะสร้างผลตอบแทนได้ 2 ประเภท คอื ผลตอบแทนทางการ ลงทุนทางการเงิน (FROI-Financial Return on Investment) และผลตอบแทนทางการลงทุนทางสังคม (SROI-Social Return on Investment) ซึ่งมูลค่าผสมรวมนั้น หมายถึง ผลตอบแทนที่เป็นลักษณะของ ผลตอบแทนทางการลงทุนทางการเงินรวมกับผลตอบแทนทางการลงทุนทางสังคม กล่าวคือ วิสาหกิจเพื่อ สังคมสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่เป็นทางการเงินและทางสังคมออกมาได้พร้อม ๆ กัน จากการดำเนิน ธรุ กิจ ซึง่ เปน็ ลกั ษณะของผลตอบแทนประเภทใหม่ ท่แี ตกต่างไปจากองค์กรธุรกิจทวั่ ไปและองค์กรไม่แสวงหา กำไรท่สี ร้างเฉพาะผลตอบแทนทางสังคม (ชัยยุทธ์ ชำนาญเลศิ กิจ, 2557, หน้า 77) Bacq and Janseen (2009) ได้ให้ความหมายของคำว่า “ผลกระทบทางสังคม” หมายถึง มูลค่าท่ี ถูกสร้างขน้ึ เพอื่ ผู้มสี ่วนได้เสยี สงั คม และโลก โดยทไ่ี ม่สามารถถูกลดมลู ค่าไปเปน็ เพยี งความมง่ั ค่งั ทางเศรษฐกิจ ของเจ้าของกิจการหรอื ประโยชนใ์ นการบรโิ ภคเทา่ นั้น” ชัยยุทธ์ ชำนาญเลิศกิจ (2557, หน้า 77) ผลกระทบทางสังคม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เป็นไป ตามความต้องการของสังคม สฤณี อาชวานันทกลุ และภทั ราพร แยม้ ละออ (2560, หน้า 24) ได้เสนอความหมายของผลลพั ธ์ทาง สังคม หมายถึง คุณค่าทางสังคมที่เกิดจากการดำเนินงานของกิจการ ซึ่งควรมีความสอดคล้องกับ ความต้องการของกลุ่มเปา้ หมายและพันธมิตรของกิจการ สำหรับความหมายของผลตอบแทนทางสังคมจาก การลงทุน หมายถึง (Social Return on Investment : SROI) หมายถึง การนำผลลัพธ์ด้านสังคม (Social Impact) ในด้านต่าง ๆ ที่กิจการสร้างมาคำนวณหา “มูลค่า (Monetized Value)” เป็นตัวเงิน และ เปรียบเทยี บกบั มลู ค่าทางการเงนิ ของต้นทนุ ท่ีใชไ้ ปในการดำาเนินกจิ การเพือ่ ดูว่ากจิ การสร้างผลลพั ธ์ทางสังคม คิดเปน็ มูลค่าเทา่ ไร ต่อเงิน 1 บาทที่ลงทุนไป ดงั น้นั ผเู้ ขยี นขอสรปุ การประเมนิ ผลการประกอบวสิ าหกิจเพอื่ สังคม หมายถึง การรวบรวมข้อมูลที่ เก่ียวกบั ผลของการดำเนนิ งานของกิจการ/วิสาหกิจเพอื่ สังคม เพื่อนำมาเปรียบเทียบกบั วัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ ว่าได้ผลตามที่กำหนดไว้เพียงใด ซึ่งผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถพิจารณาได้จาก ผลตอบแทน 2 ประเภท คือ ผลตอบแทนทางการลงทุนทางการเงิน (Financial Return on Investment : FROI) และผลตอบแทนทางการลงทนุ ทางสงั คม (Social Return on Investment : SROI) 2. การประเมินผลการประกอบการของกจิ การ/วสิ าหกิจเพอ่ื สังคม การวัดผลและประเมินผลการดำเนินของกิจการเพื่อสังคมที่เรียกว่า “REDF (Roberts Enterprise Development Fund)” โดยมีหลกั การในการคำนวณผลตอบแทนทางสงั คมในรปู ของการคำนวณทางการเงิน โดยมีตัวแปรสำคัญในการคำนวณสี่ปัจจัย กล่าวคือ 1) มูลค่าทางเศรษฐกิจ 2) มูลค่าทางสังคม-เศรษฐกิจ 3) มูลค่าทางสังคม และ 4) คือมูลค่าที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Transformative Value) ซ่ึง มูลค่าทั้งสี่ปัจจัยนี้จะต้องตีมูลค่าออกมาเปน็ ตวั เงิน และจะต้องคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Net Present Value) ในช่วงเวลา 10 ปี เพอ่ื ทจ่ี ะคำนวณออกมาเป็นมูลคา่ ของผลตอบแทนทางสังคม 52
ภาพท่ี 17 ตัวแบบการคำนวณผลตอบแทนทางสังคมของ REDF ที่มา : CED. 2000: 11 นอกเหนือจากที่ REDF ได้ออกหลักการเพื่อคำนวณผลตอบแทนทางสังคมแล้ว ยังมีอีกหน่วยงาน หนึ่งที่ได้สร้างหลักการสำคัญขึ้นมาก็คือ NEF (New Economy Foundation) ซึ่งหลักการคำนวณของ NEF ได้รับการยอมรับจาก สำนักงานภาคส่วนที่สาม (Office of Third Sector) ของรัฐบาลอังกฤษให้ใช้เป็น มาตรฐาน (Office of the Third Sector, 2009) ในการคำนวณและประเมินผลตอบแทนทางสังคม โดยมี หลกั การคลา้ ยคลึงกบั วธิ กี ารเปดิ เผยขอ้ มลู ทางดา้ นความรบั ผิดชอบต่อสังคม (CSR Disclosure) ของตลาดทุน 3. วัตถปุ ระสงค์ของการประเมินผลการประกอบการของกจิ การ/วิสาหกจิ เพ่ือสงั คม สฤณี อาชวานันทกุล และภัทราพร แย้มลออ (2560, หน้า 266) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการ ประเมินผลการประกอบการของวิสาหกิจเพอื่ สงั คม ประกอบด้วย 1) เพอ่ื ใช้เปน็ ขอ้ มูลปรบั ปรุงการทำงานภายในองคก์ าร 2) เพ่อื รายงานผลการประกอบการให้แกน่ กั ลงทุนหรือผู้ให้ทุน 3) เพื่อยกระดบั การวัดผลลัพธท์ างสงั คมของสนิ ค้าและหรือบรกิ าร 4. ประเภทของผลตอบแทนของกิจการ/วิสาหกิจเพื่อสังคม จากทก่ี ลา่ วมาแล้วข้างต้น ผลตอบแทนของวิสาหกจิ เพอื่ สังคมมี 2 ประเภท คอื ผลตอบแทนทางการ ลงทุนทางการเงิน (Financial Return on Investment : FROI) และผลตอบแทนทางการลงทุนทางสังคม (Social Return on Investment : SROI) ซ่งึ มรี ายละเอียดดงั น้ี 4.1 ผลตอบแทนทางการลงทุนทางการเงิน (Financial Return on Investment : FROI) เปน็ การวดั ความสามารถในการหากำไรขององค์การ ซึ่งวิสาหกิจเพ่อื สงั คมสามารถใช้อัตราสว่ นระหว่างรายได้ สุทธิ (Net Income) ต่อสินทรัพย์รวม (Total Assets) โดยผลตอบแทนจากการลงทุนทางการเงินจะเป็น อัตราส่วนทางการเงินที่นิยมใช้ประเมินผลการดำเนินงานขององค์การทั่วไป เนื่องจากผลตอบแทนจากการ ลงทุนทางการเงนิ จะแสดงภาพรวมของความสัมพันธร์ ะหวา่ งรายได้จากการดำเนินงานกับสินทรัพย์ และหรอื ทรัพยากรขององค์การ นอกจากนี้วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถใช้อัตราส่วนทางการเงินอื่นประกอบการวัดผล การประกอบการได้ เช่น อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios) อัตราส่วนทางการดำเนินงาน (Activity 53
Ratios) หรืออัตราส่วนการทำกำไรอื่น (Other Profitability Ratios) เป็นต้น เพื่อให้ได้ภาพการดำเนินงานท่ี สมบูรณ์ของวิสาหกิจเพอ่ื สังคม (ณฏั ฐพันธ์ เขจรนันท์, 2552, หน้า 291) 4.2 ผลตอบแทนทางการลงทุนทางสังคม (Social Return on Investment : SROI) การประเมินผลตอบแทนทางการลงทุนทางสังคมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่เป็นข้อแตกต่างของ การประกอบธรุ กิจทั่ว ๆ ไป เพราะวิสาหกจิ เพือ่ สงั คมมีเป้าหมายคือการแกไ้ ขปญั หาของสงั คมเป็นหลักจึงเป็น เร่ืองทีห่ ลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ที่จะไม่มีการประเมินผลการดำเนินงานในเรอ่ื งนี้ และแน่นอนว่าการวัดผลทางสังคมเป็น เรื่องที่ค่อนข้างยากเนื่องจากผลกระทบทางสังคมในบางครั้งมักจะเป็นนามธรรมและไม่สามารถที่จะวัด ออกเปน็ มลู ค่า (ตัวเลข) ได้ ดังนนั้ การวัดผลทางสงั คมท่เี ปน็ คุณค่าใหอ้ อกมาเป็นมูลค่าเพ่อื กำหนดเกณฑ์ในการ วดั ผลตอบแทนทางสังคม สฤณี อาชวานันทกุล และภัทราพร แย้มลออ (2560, หน้า 108) ได้กำหนดสูตรการคำนวณ ผลตอบแทนทางสังคม ดงั น้ี มลู คา่ ปัจจบุ นั ทัง้ หมด ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) = มลู คา่ การลงทนุ ที่ใชไ้ ป *ลงทนุ 1 หนว่ ยของโครงการได้ผลตอบแทนกี่หนว่ ย การวัดผลตอบแทนทางการลงทุนทางสังคมมีหลกั การที่สำคัญ 7 ประการ (วชั นีพร เศรษฐสักโก และสิรพิ งศ กนั ธิยะ, 2563, หนา้ 9) ดงั น้ี (1) กำหนดขอบเขต และระบผุ ูม้ สี ว่ นได้เสยี ว่าคือใครมบี ทบาทและมีผลกระทบอย่างไร (2) เขาใจสงิ่ ท่มี ีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเกดิ ขนึ้ กับผมู้ ีสว่ นไดเ้ สีย ตามทฤษฎกี ารเปล่ียนแปลงโดย สรปุ ความเชื่อมโยงจากกจิ กรรมนําเขาไปสผู่ ลผลติ และผลลัพธ์ของโครงการ (3) ใส่มูลค่าที่เป็นตัวเลขทางการเงินหรือสรา้ งตัวแทนทางการเงิน เพื่อให้ผลลัพธ์ทางสังคม สามารถวดั ค่าเป็นตวั เลขทางการเงินได้ (4) เลือกเฉพาะรายการท่ีเป็นสาระสำคัญตอ่ อผูม้ ีส่วนไดเ้ สียเพื่อผู้มสี ่วนได้เสียเห็นภาพท่ีชัด และสามารถสรปุ ถงึ ผลกระทบทเี่ กิดขน้ึ ได้อยา่ งถกู ต้อง (5) หลีกเลี่ยงการกล่าวอ้างเกินจริงในตัวเลขผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย เนื่องจากในบางครงั้ จะตอ้ งใชว้ ธิ กี ะประมาณ (6) มคี วามโปรง่ ใสทุกขนั้ ตอน โดยเมือ่ ผลการประเมนิ เสร็จส้ินจะตองส่อื สารให้ผู้มีส่วนได้เสีย รับทราบ (7) พร้อมรบั การตรวจสอบจากผู้บรกิ ารใหค้ วามเชือ่ มัน่ ซ่งึ เป็นบุคคลภายนอกองคก์ ร การประเมินและวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทนุ (SROI) มีประโยชนค์ ล้ายกับ การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของบริษัททั่วไป ซึ่งการประเมินถือเป็นเครื่องมือในการทบทวน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกิจการเพอ่ื สังคม เพอ่ื นำมาปรับปรงุ กลยทุ ธ์ กระบวนการ หรือพฒั นาโมเดล ธุรกิจในอนาคต นอกจากนั้นการประเมินผลการทำงานขององค์กรยังสามารถนำมาใช้ในการสื่อสารกับ 54
นกั ลงทุนและสาธารณะ เนอ่ื งจากตวั เลขเปน็ สง่ิ ที่เขา้ ใจได้งา่ ยและสามารถนำไปเปรยี บเทียบกับตัวเลขอ่ืน ๆ ได้ อย่างเป็นทางการ เพื่อนำไปประกอบในการตัดสินใจในการลงทุน ดังนั้นผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) จงึ เปน็ เครอ่ื งมอื ในการวางแผนกลยุทธ์และปรับปรุงองค์กร ตลอดจนสอ่ื สารผลลัพธ์และดงึ ดดู นักลงทุน หากมองในด้านการประเมนิ ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทนุ สามารถช่วยประเมินองคก์ รในดา้ นต่างๆ ดงั น้ี 1) ดา้ นการดำเนินงานขององค์กร ไดแ้ ก่ - ช่วยอภปิ รายกลยุทธ์ และช่วยให้มองเหน็ มูลคา่ ของผลลพั ธท์ างสงั คมท่ีเกิดจากกจิ กรรม - ช่วยบรหิ ารทรพั ยากรอย่างเหมาะสม เพอ่ื จดั การกบั ผลลัพธท์ ี่ไมไ่ ด้คาดหวงั ทง้ั ทางบวกและ ทางลบ - แสดงความสำคัญของการจับมือร่วมกับองค์กรอ่ืนๆ ที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงใน ประเด็นเดยี วกัน เชน่ หน่วยงานภาครัฐ องคก์ รพฒั นาเอกชน (NGO) องคก์ รศาสนา และองค์กรการกศุ ล - ระบจุ ดุ ร่วมพน้ื ฐานระหว่างส่งิ ท่อี งคก์ รต้องการบรรลุ และสิง่ ทีผ่ ู้ที่มีส่วนได้เสยี ต้องการบรรลุ เพ่อื ให้เกดิ ผลลพั ธ์ทางสงั คมมากทส่ี ุด - สรา้ งกลไกการมสี ่วนรว่ มกบั ผู้มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสีย เช่น นกั ลงทุน ลูกค้า องคก์ รพันธมิตร ทำให้ พวกเขาเข้ามามีส่วนในการออกแบบการทำงานของกิจการเพื่อสังคมอย่างมีความหมาย และตรงต่อความ ต้องการมากขนึ้ 2) ด้านความย่งั ยืนขององคก์ ร ได้แก่ - ยกระดับระบบการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงาน ตลอดจนกระบวนการ ตรวจสอบภายในองคก์ ร - ใชเ้ พอ่ื ปรบั ปรุง โดยเฉพาะในกรณีทตี่ ้องระดมทนุ เพิ่มเตมิ จากนกั ลงทุนเพ่ือสงั คม นอกจากนี้ การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนมีประโยชน์ไม่เฉพาะสำหรับ ผู้ประกอบการหรือผู้ดำเนินโครงการเพื่อสังคมต่างๆ แต่รวมถงึ ภาครัฐ มูลนิธิ ผูส้ นับสนนุ ทางการเงินประเภท ต่างๆด้วย เนื่องจากผลตอบแทนทางสังคม (SROI) จะเป็นตัวช่วยตัดสินใจในการลงทุนและใช้ในการ ประเมินผลปฏิบัติงาน วัดผลความก้าวหน้าด้วย โดยสามารถแทรกการประเมินได้ในแต่ละขั้นตอนของการ สนับสนนุ ทุน เช่น ขัน้ ตอนการออกแบบโครงการ/การจดั ซอ้ื จัดจา้ งล่วงหนา้ ก็จะการวิเคราะห์ผลตอบแทนทาง สังคมจากการลงทุนแบบพยากรณ์ สามารถนำขั้นตอนการวางแผนกลยุทธ์เพื่อตัดสินใจในการเริ่มโครงการ, ขั้นตอนการประมลู การวเิ คราะหผ์ ลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนแบบพยากรณ์สามารถนำมาใช้ประเมิน ว่าผู้ประมูลคนใดมีแนวโน้มจะสร้างมูลค่ามากที่สุด, ขั้นตอนติดตามและการประเมินผลการดำเนินงานตาม สัญญา การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนแบบประเมินผล สามารถใช้การติดตามผลการ ดำเนินงานของผรู้ บั ทนุ เป็นตน้ กฎหมาย และนโยบายท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กิจการ/วิสาหกจิ เพอื่ สงั คมในประเทศไทย 1. พระราชบญั ญัตสิ ่งเสริมวสิ าหกิจเพือ่ สังคม พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 67 วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2562 มผี ลใชบ้ ังคับตัง้ แต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 โดยมีเจตนารมณ์ในการ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจท่ีมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อส่งเสริมการจ้างงานแก่บุคคลผู้สมควรได้รับการส่งเสรมิ 55
เป็นพิเศษ การแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม หรือเพือ่ ประโยชน์สว่ นรวมอ่ืน หรือคนื ประโยชนใ์ ห้แก่สงั คม ให้ได้รับการสง่ เสริมให้ขยายตัวมากขึน้ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขนั ด้านการค้า แบ่งออกเป็น 8 หมวด จำนวน 89 มาตรา อันได้แก่ (1) วิสาหกิจเพื่อสังคม (2) คณะกรรมการ ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (3) การบริหารและการดำเนินงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมและ กองทนุ สง่ เสริมวิสาหกิจเพอื่ สงั คม (4) การสง่ เสรมิ สนับสนุนวสิ าหกจิ เพ่อื สงั คม (5) การกำกับดูแลและการเพิก ถอนการจดทะเบยี นวสิ าหกิจเพ่ือสังคม (6) กลุ่มกิจการเพอ่ื สงั คม (7) สมชั ชาวิสาหกิจเพอ่ื สังคม และ (8) โทษ ทางปกครองรวมถึงบทเฉพาะกาล โดยมสี าระสำคญั ดังต่อไปน้ี 1) วสิ าหกิจเพ่ือสังคม หมายถึง บรษิ ัท ห้างห้นุ ส่วนนิติบุคคล หรือนติ ิบคุ คลอ่ืนท่ีต้ังข้ึนตามกฎหมายไทย ซ่งึ ดำเนินกจิ การเกยี่ วกับการผลิต จำหนา่ ยสนิ คา้ หรอื บรกิ าร โดยมีวัตถุประสงคเ์ พื่อสังคมเปน็ เปา้ หมายหลกั 2) กลุ่มกิจการเพื่อสังคม หมายถึง บุคคลธรรมดา กลุ่มบุคคล ชุมชน หรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตาม กฎหมายไทย ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายสินค้า หรือการบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สงั คมเป็นเปา้ หมายหลกั 3) กำหนดลกั ษณะกิจการทจี่ ะจดทะเบยี นเปน็ วิสาหกิจเพอื่ สงั คม 4) การจดทะเบียนวิสาหกิจเพ่ือสังคม มี 2 ประเภท คือ 4.1) ประเภทไมป่ ระสงคจ์ ะแบ่งปันกำไรให้หนุ้ สว่ นหรือผู้ถอื หนุ้ 4.2) ประเภทประสงค์จะแบ่งปนั กำไรให้หุ้นสว่ นหรอื ผถู้ อื หุน้ 5) ให้จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ และ รฐั วสิ าหกจิ โดยให้มีฐานะเป็นนติ บิ คุ คลและอยู่ในกำกับของนายกรัฐมนตรี มีหนา้ ท่สี ง่ เสรมิ สนบั สนุน ให้ความ ชว่ ยเหลอื และพฒั นาวิสาหกิจเพอ่ื สงั คมและกลุ่มกจิ การเพ่ือสังคม 6) ใหจ้ ดั ตง้ั กองทุนส่งเสรมิ วิสาหกจิ เพ่ือสังคม เพ่อื สง่ เสริม สนับสนนุ และพัฒนาวสิ าหกิจเพ่อื สังคม 7) ใหม้ คี ณะกรรมการบริหารกองทุน เพื่อกำหนดนโยบายและควบคุมดูแลการบริหารกองทนุ 8) ให้มกี ารส่งเสริมและสนบั สนุนวิสาหกจิ เพ่อื สงั คม เช่น ความชว่ ยเหลอื ทางการเงนิ จากกองทนุ สิทธิ ประโยชน์ด้านภาษี สิทธิประโยชน์ตามมาตรการจดั ซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดภุ าครัฐ และสิทธิประโยชน์ ตามกฎหมายอ่นื พร้อมท้ังกำหนดวิธีการขอรบั สิทธดิ งั กลา่ ว 9) ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมมีหน้าที่ติดตามและกำกับดูแล รวมทั้งตรวจสอบและ ประเมนิ ผลกิจการของวิสาหกิจเพ่อื สงั คม ตลอดจนการเพิกถอนการจดทะเบยี นวสิ าหกจิ เพอื่ สังคม 10) ให้คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมจัดให้มีการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่าง นอ้ ยปลี ะ 1 ครง้ั ทั้งนี้ พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมย์ที่ มุ่งหวงั ใหก้ ารประกอบการวิสาหกจิ สมควรไดร้ บั การขยายตัวให้มากข้นึ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนสร้างระบบนเิ วศของวิสาหกิจเพ่ือสังคมให้เป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ เพอ่ื สังคมทม่ี วี ัตถุประสงค์หลัก เพ่อื สงั คม เกดิ ประโยชนแ์ ก่ส่วนร่วม และคืนประโยชนใ์ หแ้ กส่ งั คม (อุทัย ปรญิ ญาสทุ ธนิ ันท,์ 2563, หนา้ 109) 56
2. มาตรการทางภาษสี ำหรบั วิสาหกจิ เพ่ือสงั คม การให้สทิ ธปิ ระโยชน์ทางภาษีแกว่ ิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งกำหนดในพระราชกฤษฎกี าออกตามประมวล รัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับ 621) พ.ศ. 2559 การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 จงึ ได้มีมตเิ ห็นชอบหลักการมาตรการภาษเี พ่อื สนบั สนนุ วิสาหกจิ เพอื่ สังคม โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้ 1) คำนิยาม “วิสาหกิจเพื่อสังคม” หมายถึง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิต สินค้า การให้บริการ หรือ การอื่น ๆ โดยมุ่งส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นที่มีวิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งอยู่หรือมี เป้าหมายอย่างชัดเจนต้ังแต่แรกเริ่มในการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก มิใช่การ สรา้ งกำไรสงู สดุ ต่อผู้ถือหุ้นหรอื ผู้เปน็ หุ้นสว่ น ท้ังน้ี จะตอ้ งนำผลกำไรไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 70 ไปลงทนุ ในกจิ การ หรือ ใชเ้ พอื่ ผลประโยชนข์ องเกษตรกร ผยู้ ากจน คนพิการ ผูด้ อ้ ยโอกาส หรอื ใช้เพ่ือประโยชน์ส่วนรวมอ่ืน ๆ 2) สิทธิประโยชน์ทางภาษี 2.1) สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคม ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไร สทุ ธขิ องวสิ าหกจิ เพื่อสงั คมในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ เฉพาะวิสาหกิจเพื่อสังคมที่นำผลกำไรทั้งหมดไป ลงทุนในกิจการหรือใช้เพื่อประโยชน์ของเกษตรกร ผู้ยากจน คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส หรือใช้เพื่อประโยชน์ สว่ นรวมอืน่ ๆ โดยไม่มีการจ่ายเงนิ ปันผล 2.2) สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นติ ิบุคคล ได้แก่ ก. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายเงินลงทุนในหุ้นสามัญของ วิสาหกิจเพื่อสังคมตามจำนวนที่ลงทุนจริง ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติ บคุ คลถือหนุ้ สามัญของวิสาหกิจเพอ่ื สังคมไว้จนกวา่ บรษิ ัทหรือหา้ งหุน้ ส่วนนิตบิ ุคคลนั้นหรือ วสิ าหกิจเพอื่ สังคมเลกิ กจิ การ ข. กำหนดใหบ้ ริษัทหรือห้างหนุ้ สว่ นนิติบคุ คลสามารถหักรายจ่ายเงินที่มอบให้หรือทรัพย์สินท่ี โอนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมนำไปใช้ในกิจการหรือใช้เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยไม่มี ค่าตอบแทนตามจำนวนท่ีจา่ ยจรงิ แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพ่ือการกุศลสาธารณะแล้วต้องไม่ เกนิ ร้อยละ 2 ของกำไรสุทธกิ ่อนหกั รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ ทงั้ น้ี หากจา่ ยเงนิ ดงั กล่าวใหแ้ ก่ผู้ถือห้นุ หรอื ผู้เป็นหุ้นส่วนไมเ่ กินรอ้ ยละ 30 ของกำไรสุทธใิ นแตล่ ะรอบ ระยะเวลาบัญชผี ู้สนบั สนุนวิสาหกจิ เพื่อสังคมจะไดร้ บั สิทธปิ ระโยชน์ทางภาษีตามขอ้ 2.2 แตห่ ากวิสาหกิจเพื่อ สังคมไม่มีการจ่ายเงินปันผล วิสาหกิจเพื่อสังคมจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามข้อ 2.1 และผู้สนับสนุน วิสาหกิจเพ่ือสงั คมจะได้รับสทิ ธปิ ระโยชน์ทางภาษตี ามข้อ 2.2 57
ตารางที่ 2 เปรยี บเทียบสิทธิประโยชนท์ างภาษสี ำหรบั วสิ าหกิจเพอื่ สงั คม ประเภทวสิ าหกิจเพอื่ สงั คม สิทธปิ ระโยชนท์ างภาษีสำหรบั วิสาหกจิ เพอ่ื สงั คม บรษิ ัทหรือหา้ งหุ้นสว่ นนติ บิ คุ คล ผสู้ นบั สนนุ วสิ าหกิจเพื่อสงั คม 1. วิสาหกิจเพื่อสงั คมไม่ ไดร้ บั ยกเวน้ ภาษเี งินได้นิติบุคคล -ผูล้ งทนุ ใหห้ นุ้ สามญั ของวิสาหกิจเพอ่ื จา่ ยเงินปันผลหรอื สว่ นแบ่ง สงั คมสามารถหักรายจ่ายได้ ของกำไร -ผู้บรจิ าคหรอื ทรัพยส์ นิ สามารถหัก 2. วสิ าหกจิ เพื่อสงั คมจา่ ยเงนิ ไมไ่ ดร้ ับยกเว้นภาษีเงนิ ไดน้ ิติ รายจ่ายได้ -ผลู้ งทนุ ให้ห้นุ สามัญของวิสาหกจิ เพ่อื ปันผลหรือสว่ นแบง่ ของกำไร บุคคล สังคมสามารถหักรายจ่ายได้ ไม่เกนิ ร้อยละ 30 -ผู้บริจาคเงนิ หรอื ทรัพยส์ นิ สามารถหัก รายจา่ ยได้ 3. วิสาหกจิ เพอื่ สงั คมจ่ายเงนิ ไม่เปน็ วสิ าหกจิ เพ่ือสงั คมตามนยิ ามของกรมสรรพากร (ไมไ่ ดร้ บั สทิ ธปิ ระโยชน์ ปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไร ภาษ)ี เกนิ ร้อยละ 30 ทมี่ า : กรมสรรพากร, 2559 3. เง่อื นไขการนำผลกำไรไปใชเ้ พอื่ สังคม พ.ศ. 2562 ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เรื่องเงื่อนไขการนำผลกำไรไปใช้เพื่อสังคม พ.ศ. 2562 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2562 โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และประธาน กรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสองแห่ง พระราชบัญญตั ิสง่ เสริมวสิ าหกจิ เพื่อสงั คม พ.ศ. 2562 ไดอ้ อกประกาศไว้ ดงั ต่อไปนี้ ขอ้ 1 ประกาศนเี้ รียกวา่ “ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกจิ เพื่อสังคม เรอื่ ง เงอื่ นไข การนำผล กำไรไปใชเ้ พ่อื สงั คม พ.ศ. 2562 ขอ้ 2 ประกาศนใ้ี ห้ใช้บังคบั ตั้งแตว่ ันถดั จากวันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป ขอ้ 3 กำไรทจ่ี ะนำไปใช้เพื่อสงั คมและการแบ่งปันกำไรใหแ้ กผ่ ูเ้ ป็นเจ้าของกจิ การหรอื ผถู้ อื หนุ้ ให้ คำนวณจากกำไรสุทธิจากการประกอบกจิ การซ่ึงไดห้ ักภาษเี งินไดน้ ติ บิ ุคคลแลว้ หักดว้ ยรายการ ดังต่อไปนี้ (1) เงนิ ที่จดั สรรไว้เปน็ ทนุ สำรอง (2) เงนิ สมทบทน่ี ำสง่ เขา้ กองทนุ ตามมาตรา 13 ข้อ 4 การลงทนุ ในกิจการของตนเองซ่ึงมกี ระบวนการผลติ หรอื การบริการทม่ี ีลกั ษณะตามมาตรา 5 วรรคหนง่ึ (1) หรอื การขยายกิจการเพื่อวัตถุประสงคข์ องวสิ าหกจิ เพือ่ สงั คมตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (1) ที่ถือ วา่ เป็นการนำผลกำไรไปใช้เพือ่ สังคมตอ้ งเปน็ ไปตามเง่ือนไข ดังต่อไปน้ี (1) มีมติของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ข้อตกลงของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนของห้างหุ้นส่วนนิติ บุคคล หรือมติของคณะกรรมการของนติ ิบุคคลอ่นื ในเร่อื งลักษณะการลงทุนหรือการขยายกจิ การจากเงินผล กำไรที่ทำให้มีผลกระทบทางบวกต่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม หรือส่วนรวมที่นำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาท่ี 58
ยั่งยืน โดยมีรายละเอียดเพียงพอถึงสิ่งที่จะดำเนินการ สัดส่วนเงินที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการ รวมถึงผลลัพธ์ และผลกระทบท่ีได้รบั (2) มกี ระบวนการติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดำเนินงานตาม (1) เสนอตอ่ ผบู้ ริหารสูงสุด ของนติ ิบคุ คล และเปดิ เผยในรายงานทางการเงนิ (3) กรณีการขยายกิจการเป็นการลงทุนในกิจการอื่น จะเป็นการลงทุนในกิจการในประเทศหรือใน ต่างประเทศ แต่ต้องเป็นกิจการที่มีวัตถปุ ระสงค์ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบญั ญตั สิ ่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสงั คม พ.ศ. 2562 4. หลกั เกณฑก์ ารเสนอขายหุ้นของวสิ าหกิจเพ่อื สังคม วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน จำกัด รวมทั้งผู้ถือหุ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถออกและเสนอขายหุ้นต่อประชาชนได้ โดยไม่ต้องยื่นขอ อนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อ ก.ล.ต. หากเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ผ่านการขึ้นทะเบียน รับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพ่ือสังคม (สวส.) ตามพระราชบัญญัติส่งเสรมิ วสิ าหกิจเพ่ือสังคม พ.ศ. 2562 และมีหลกั การกำกับดูแลกิจการท่ีดีตามที่ สวส. กำหนด รวมท้งั ควรเปดิ เผยข้อมูลใหผ้ ู้ลงทุนทราบอย่าง ชัดเจนวา่ การลงทนุ รวมถึงผลตอบแทนที่ได้จากกการลงทุนสว่ นใหญ่มีวัตถุประสงค์เพอ่ื นำไปใช้ในการพัฒนา ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งต่างจากบริษัทเอกชนทั่วไปที่มุ่งกำไรสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกบั หลักทรัพยแ์ ละตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวข้องกับการ เสนอขายหุ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคม ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2563) 1. ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลกั ทรัพย์ ท่ี กจ.1/2563 เรอ่ื ง การยกเว้นการ ยนื่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลกั ทรัพย์ (ฉบบั ท่ี 8) 2. ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรพั ย์และตลาดหลักทรพั ย์ที่ กจ. 18/2551 เรื่อง การยกเว้นการ ยืน่ แบบแสดงรายการข้อมลู การเสนอขายหลกั ทรพั ย์ (ฉบับประมวล) 3. ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.1/2563 เรื่อง การยกเว้นการเสนอขายหุ้นของ วสิ าหกจิ เพื่อสังคมท่ีเปน็ บริษัทจำกดั ที่กระทำเป็นการท่ัวไปหรือตอ่ ประชาชนในวงกวา้ ง 59
สรุป การส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อสร้างระบบนิเวศสำหรับกิจการ/วิสาหกิจเพ่ือสังคมมุ่นเน้นการร่วมมือ ช่วยเหลือ และเกื้อหนุนกับของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมท้ัง สถาบันการศึกษา ที่จะเป็นเครือข่ายในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้การดำเนิน กิจการ/วิสาหกิจเพ่ือสังคมมีการให้ความสำคัญถึงผลกระทบที่จะเกดิ ข้ึนกับสงั คม จึงมีการนำหลักการวดั และ ประเมินผลกระทบทางด้านสังคมเข้ามาพิจารณาร่วมกับผลประกอบก ารของธุรกิจที่ต้องการให้เห็นได้ว่า กิจการ/วสิ าหกิจเพ่ือสงั คมนน้ั สามารถสร้างความเปลย่ี นแปลงใหก้ ับสงั คมและสง่ิ แวดล้อมไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด การประเมนิ ผลการประกอบกจิ การ/วิสาหกิจเพื่อสังคม หมายถึง การรวบรวมข้อมลู ท่ีเกยี่ วกับผลของ การดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่าได้ผลตามที่กำหนดไว้ เพียงใด ซึ่งผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถพิจารณาได้จากผลตอบแทน 2 ประเภท คือ ผลตอบแทนทางการลงทนุ ทางการเงิน (Financial Return on Investment : FROI) และผลตอบแทนทางการ ลงทนุ ทางสังคม (Social Return on Investment : SROI) การประกอบธุรกิจไมว่ า่ จะเป็นธุรกิจขนาดใหญห่ รอื ธุรกจิ ขนาดเล็ก ผู้ประกอบการควรมีความรใู้ นด้าน กฎหมายมบ้างพอสมควร เนือ่ งจากการเริ่มต้นประกอบธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตัง้ ในรูปแบบ ของบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือแม้แต่กระทั่งเป็นเจ้าของกิจการคนเดียวก็ล้วนแต่อยู่ภายใต้ข้อกฎหมายทั้งส้ิน สำหรับกจิ การ/วิสาหกิจเพือ่ สังคมก็เช่นเดยี วกันต้องปฏิบัติตามเงอ่ื นไขในข้อกฎหมาย หรอื ระเบียบ กฎเกณฑ์ เพราะหากเกิดข้อพพิ าททางกฎหมายขึ้นไมว่ ่าจะเป็นฝา่ ยใดผดิ หรอื ฝา่ ยถูกมักจะตอ้ งเสียคา่ ใช้จ่ายและเสียเวลา ในการดำเนินการเป็นอยา่ งมาก และที่สำคัญไปกวา่ นนั้ การประกอบการของกิจการ/วสิ าหกิจเพอ่ื สังคมมีความ แตกตา่ งจากการดำเนนิ ธุรกิจทั่วตรงท่เี ป้าหมายสงู สุดคอื การพัฒนาสงั คมใหเ้ กิดความย่ังยืน ซึ่งทุกภาคส่วนต่าง เข้ามาร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุน ทำให้กิจการ/วิสาหกิจเพื่อสังคมมีข้อได้เปรียบมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่ ผู้ประกอบการทางสังคมและกลุ่มบุคคลที่สนใจต้องศึกษาทำความเข้าใจข้อกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ทั้งส้ิน 60
เอกสารอ้างองิ กรมพัฒนาธรุ กิจการค้า. (2560). คมู่ อื ส่ิงทต่ี อ้ งรู้ & ทำ เม่อื เป็นห้างหุ้นสว่ นบริษทั จำกัด บริษัทมหาชนจำกดั . นนทบรุ ี: กรมพัฒนาธรุ กิจการคา้ กรมสรรพากร. (2559). มาตรการภาษีเพือ่ สนบั สนุนวิสาหกิจเพือ่ สังคม (Social Enterprise). [ออนไลน์] จาก https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/Tax_Incenteves_11.pdf กิตคิ ุณ สนิ หริ ญั วิวฒั น์. (2559). กจิ การเจ้าของคนเดยี ว. MFU Connection: Journal of Humanities and Social Sciences, 5(1), 66-86. ชัยยุทธ์ ชำนาญเลศิ กจิ . (2557). กจิ การเพอ่ื สังคมในระบบตลาดเปน็ ฐานเพื่อผลตอบแทนทางสงั คมตอ่ การ ลงทนุ ที่ยง่ั ยนื . วารสารศรนี ครนิ ทร์วโิ รฒวจิ ยั และพฒั นา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 6(12), 70-86. ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน.์ (2552). การจดั การเชงิ กลยุทธ์ (ฉบับปรับปรงุ ใหม)่ . กรงุ เทพฯ: ซีเอด็ ยูเคชน่ั . ตญิ ทรรศน์ ประทีปพรณรงค์. (2563). การพฒั นาอยา่ งยั่งยนื กบั วสิ าหกิจเพอ่ื สงั คม. นนทบุรี: รัตนไตร. พิชิต ขจรเดชะ. (2561). ระบบนเิ วศธุรกจิ (Business Ecosystems) การวเิ คราะหแ์ ละปรับตัวของ อุตสาหกรรมการพมิ พ์. [ออนไลน์] จาก https://www.thaiprint.org/2018/04/vol115/vol115- industrial01/ ภาคภมู ิ ฤกขะเมธ. (2561). ระบบนเิ วศที่เหมาะสมสำหรับการเกดิ และดำรงอย่ขู อง Startup: การผสมผสาน ทฤษฎีนเิ วศวทิ ยาประชากร และการอุปมาอปุ ไมยด้วยระบบนเิ วศทางธรุ กจิ . วารสารการจัดการ ภาครฐั และภาคเอกชน, 25(2), 41-64. วัชนีพร เศรษฐสักโก และสิริพงศกนั ธิยะ. (2563). ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน : กรณีศกึ ษาโรงแรม รกั ษ์สงิ่ แวดลอ้ มในประเทศไทย. วารสารวิชาชพี บัญชี, 16(50), 5-22 สถาบนั ไทยพฒั น์. (ม.ป.พ.). สรา้ งธุรกจิ เพ่ือสงั คม. กรงุ เทพฯ: สถาบนั ไทยพฒั น.์ สฤณี อาชวานนั ทกุล และภทั ราพร แยม้ ลออ. (2560). ค่มู ือการประเมินผลลัพธท์ างสงั คมและผลตอบแทนทาง สงั คมจากการลงทนุ . กรุงเทพฯ: สำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั สมาคมธรุ กจิ เพอ่ื สงั คม. (2563). หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจดแจง้ กล่มุ กจิ การเพ่อื สงั คม พ.ศ. 2563. [ออนไลน]์ จาก https://www.sethailand.org/resource/se-registered-2020/ สำนักงานส่งเสรมิ วิสาหกิจเพ่อื สังคม. (2562). พระราชบัญญตั ิสง่ เสรมิ วสิ าหกิจเพอ่ื สังคม พ.ศ. 2562 [ออนไลน]์ จาก https://www.osep.or.th/กฎหมายที่เก่ียวข้อง/ สำนักงานคณะกรรมการกำกบั หลกั ทรัพย์และตลาดหลกั ทรพั ย์. (2563). การเสนอขายหุ้นของวิสาหกจิ เพ่อื สงั คม. [ออนไลน์] จาก https://www.sec.or.th/TH/Pages/LawandRegulations/SE- Offering.aspx ศักด์ดิ า ศริ ิภทั รโสภณ. (2558). การศกึ ษากรอบแนวคดิ เพอ่ื การพัฒนาวสิ าหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย. สมาคมนกั วจิ ัย, 20(2), 30-47. อทุ ยั ปริญญาสุทธนิ นั ท.์ (2563). วสิ าหกจิ เพ่ือสังคม. กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. อาทติ ยา บญุ รัตน.์ (2562). 1 ทศวรรษการเดินทางของกาแฟไทย ‘Akha Ama’ กบั แนวคดิ ‘ธรุ กจิ เพอื่ สังคม’ ท่สี ่งกลิน่ หอมกรุ่นไปทว่ั โลก. [ออนไลน์] จาก https://techsauce.co/saucy-thoughts/akha- ama-journey-through-the-decade82449 61
Bacq, S. and Janseen, F (2009). Scaling Social Impact: A Governance Explanation Model. Belgium: LOUVAIN School of Management. Moore, J. F. (2005). Business ecosystems and the view from the firm. The Antitrust Bulletin, 51(1). 1-58. คำถามทบทวน 1. วิธีการดำเนินธุรกิจของกิจการ/วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง จงอธิบาย พร้อมยกตวั อย่าง 2. การสรา้ งระบบนเิ วศสำหรับกจิ การ/วสิ าหกจิ เพอ่ื สงั คมควรดำเนนิ การอยา่ งไร จงอธบิ าย 3. ผมู้ สี ว่ นได้ส่วนเสียตา่ ง ๆ ที่เก่ียวเนือ่ งกับกจิ การเพ่ือสงั คมเป็นคนหรือบุคคลกลุ่มใดบ้าง จงอธิบาย พรอ้ มยกตัวอยา่ ง 4. ในการดำเนินกจิ การ/วสิ าหกจิ เพือ่ สังคมผ้ปู ระกอบการทางสงั คมจำเปน็ ต้องให้ความสำคัญของการ วัดผลการดำเนนิ เหมอื นกนั หรือแตกตา่ งกับการดำเนนิ ธรุ กจิ ทว่ั ไปอย่างไร จงอธบิ าย พร้อมยกตวั อยา่ ง 62
แผนการสอนประจำบทท่ี 5 หัวข้อเนือ้ หาประจำบท 1. แนวคิดนวัตกรรมทางสังคม 2. การแก้ปญั หาเชงิ นวัตกรรม 3. การแก้ปัญหาด้วยการคดิ เชงิ ออกแบบ วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม เมอ่ื เรยี นจบบทนี้ นักศกึ ษาสามารถทำสง่ิ ตอ่ ไปนี้ 1. สามารถอธบิ ายแนวคิดนวตั กรรมทางสังคม 2. สามารถอธิบายการแกป้ ญั หาเชิงนวตั กรรม 3. สามารถอธบิ ายการแก้ปญั หาดว้ ยการคดิ เชิงออกแบบ วธิ กี ารสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจำบท 1. ฟงั การบรรยาย สรปุ สาระสำคญั โดยอาจารยผ์ ู้สอน 2. วเิ คราะห์ สังเคราะห์ตามเน้ือหา กรณีศกึ ษา 3. ศกึ ษาคน้ คว้าข้อมูลเพมิ่ เติมจากตำรา วารสาร หนงั สือพิมพ์ และ Internet เป็นตน้ 4. อภิปรายงานกล่มุ และนำเสนอรายงานหน้าชน้ั ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารการสอนวชิ าธุรกจิ เพ่อื สงั คม บทความ หนงั สอื ทเ่ี ก่ยี วข้อง 2. Power point (ทัง้ ภาพนง่ิ และ Animation) 3. ใบงาน กรณีศกึ ษา การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจของนักศกึ ษา และการมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรม 2. การประเมนิ จากการท่ีนกั ศกึ ษาแสดงความคิดเห็น 3. การประเมินจากการตอบคำถามทบทวน 4. การประเมินจากผลงานของนกั ศกึ ษา 63
64
บทที่ 5 การแกไ้ ขปัญหาเชงิ นวัตกรรมเพื่อสรา้ งความยง่ั ยนื ของกจิ การเพือ่ สงั คม ในปัจจุบันนวัตกรรมไดเ้ ขา้ มามีบทบาทสำหรบั การประกอบธุรกิจอย่างมากมาย โดยผปู้ ระกอบการจะ พยายามคิดค้นหรือพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาไม่วา่ จะเป็นสินค้าหรือบรกิ าร เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขันเกิด คุณคา่ ในทางเศรษฐกจิ ใหก้ บั ธุรกจิ และสามารถทำใหล้ กู คา้ หรือผู้บรโิ ภคเกิดความพงึ พอใจ เช่นเดยี วกบั กบั การ ประกอบการทางสังคมที่ผู้ประกอบการทางสังคมจำเป็นต้องตอบคำถามให้ได้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะสร้าง นวตั กรรมเพ่ือใช้เป็นพลงั ขับเคลอ่ื นพฒั นาสังคมใหเ้ ปน็ ไปในทางที่ดีขึ้น ซ่งึ อาจมคี วามแตกต่างไปจากการสร้าง นวัตกรรมทางธุรกิจทั่ว ๆ ไป ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการทางสังคมหรือกลุ่มบุคคลที่ต้องการริเริ่มจะจัดต้ัง วิสาหกิจเพ่ือสงั คมควรตอ้ งเข้าใจความหมาย ความสำคัญ แหล่งทีม่ าของนวตั กรรมทางสงั คมกอ่ นจะเริม่ ดำเนิน กิจการ ดังนั้น การพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของผู้เรียนในโลกยุคที่แข่งขันกันด้วยนวัตกรรม (Innovative competition) จำเป็นอย่างยิง่ ทีผ่ ู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาทกั ษะหลายประการ หนึ่งในนั้นคอื ทักษะการ แก้ปญั หาเชิงนวัตกรรม (Innovative Problem Solving: IPS) ทผ่ี เู้ รยี นมคี วามสามารถแกป้ ัญหาแล้วยังส่งผล ใหเ้ กดิ นวตั กรรมตามมา นวตั กรรมทางสังคม 1. ความหมายของนวตั กรรมทางสังคม คำว่า “นวัตกรรมทางสงั คม (Social Innovation)” เป็นคำทมี่ คี วามเช่อื มระหวา่ ง คำวา่ “นวตั กรรม” ซึ่งแปลว่า สิ่งใหม่” กับคำว่า “สังคม” ที่มีความหมายว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกันคน คนกับสิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ (ชานนท์ โกมลมาลย์, 2561, หน้า 128) โดยที่ Drucker (1985, pp. 30-32) อธิบายว่า คำว่า “นวัตกรรม” เชื่อมโยงเข้ากับคำว่า “สังคม” แล้วนั้นความหมายของ นวัตกรรมจึงไม่ได้หมายถึงเพียงสิ่งของหรือสิ่งประดิษฐ์ แต่ยังหมายรวมถึงนวัตกรรมในลักษณะอื่น ๆ ที่ท้ัง ตอบสนองต่อความต้องการในชีวิตมนุษย์ มุง่ ยกระดบั วิถชี ีวิตของมนุษย์บางด้านให้ดีขนึ้ และเปิดโอกาสให้คน กลุ่มต่าง ๆ ในสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ร่วมกัน ทาเนีย เอลลิส (2554, 31) ผู้เขียนหนังสือ The New Pioneers กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคมเกิดขึ้นจากความ ตอ้ งการทีไ่ มไ่ ดร้ บั การตอบสนอง เม่อื การคน้ หาคำตอบเดมิ ๆ ไม่สามารถคลี่คลายโจทย์ใหม่ ๆ ไดอ้ กี ตอ่ ไป เช่น ปัญหาความเหลือ่ มล้ำทางเศรษฐกจิ และสงั คม ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เป็นต้น โดยการผลักดันจาก ผู้สร้างนวัตกรรมทางสงั คม สำหรับการให้คำจำกดั ความของคำวา่ “นวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation)” จากนักวิชาการ ทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ยกตัวอย่างเช่น Phills, Deiglmeier, and Miller (2008, pp. 39) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคมเป็นแนวทางใหม่ใน การแก้ปัญหาสังคมที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเกิดความยั่งยืน หรือมากกว่าแนวทางแก้ไขที่มีอยู่และ คณุ ค่าท่ีสร้างขน้ึ จะเกดิ ข้นึ กบั สงั คมโดยรวมเป็นหลกั มากกวา่ เอกชน 65
Murray, Caulier-Grice, and Mulgan (2010, pp. 3) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) หมายถงึ แนวคดิ ใหม่ (ผลติ ภณั ฑ,์ การบรกิ าร และรูปแบบ) ท่ตี อบสนองความตอ้ งการของสังคม และสร้างความสมั พันธ์ และความรว่ มมอื ทางสังคมรปู แบบใหม่ Oeij, Van Der Torre, Vaas, and Dhondt (2019, pp. 245) กล่าวว่า นวตั กรรมทางสังคม คือ การ ประดิษฐ์ การพัฒนา และการนำแนวคิดใหม่ ๆ ไปใช้เพื่อแก้ปัญหาสังคมที่บุคคลกลุ่มหรือชุมชนต้องเผชิญ (การนำนวัตกรรมไปใชเ้ ป็นตัวบ่งชคี้ วามสำเรจ็ ในการแกป้ ัญหาสงั คม) Geoff Mulan (cited in Mulgan, Tucker, Ali, and Sanders, 2007, pp. 8) กล่าวว่า นวัตกรรม ทางสังคม คือ กิจกรรมและบริการเชิงนวัตกรรมตา่ งๆที่ (1) มีแรงจูงใจที่จะมุ่งสนองความต้องการของสังคม และ (2) โดยสว่ นมากไดร้ ับการพัฒนาและแพรก่ ระจายโดยองค์การท่ีมคี วามมุ่งหมายเพอื่ สังคมเป็นดา้ นหลกั Tepsie, (2014, อ้างอิงใน ทรงศักดิ์ รักพ่วง และ ภุชงค์ เสนานุช, 2562, หน้า 209) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคม จะมีลักษณะที่สำคัญร่วมกันอยู่ ดังต่อไปนี้ 1) New กล่าวคือ ต้องเป็นสิ่งใหม่ สำหรับ สังคมน้นั ๆ 2) Meet a Social Need กล่าวคอื ตอบสนองความต้องการ ทางสงั คม รวมทงั้ อาจกำหนดความ ต้องการทางสังคมได้ 3) Put into Practice กล่าวคือ ต้องมีการนำไปปฏบิ ัติใช้ และแม้แต่ในกระบวนการกอ่ ร่างนวัตกรรมทางสังคมนั้นก็ต้องผ่านปฏิบัติการทางสังคมด้วย 4) Engage and Mobilize Beneficiaries กล่าวคอื การระดมผ้ไู ด้รบั ผลประโยชน์ให้มามีส่วนเกีย่ วข้องในการพฒั นานวตั กรรมทางสังคมหรือดูแลตนเอง และ 5) Transform Social Relations กลา่ วคอื เปลย่ี นความสัมพนั ธ์ทางสังคม กล่มุ เปา้ หมายทีเ่ ฉพาะเจาะจง และเกี่ยวข้องกับปัญหาสามารถเข้าถึงอำนาจและทรัพยากร เป็นการกระจายอำนาจเพื่อต้านต่อความไม่เปน็ ธรรมในสงั คม วิธีน้ีทำใหน้ วตั กรรมทางสังคมมสี ่วนสรา้ งวาทกรรมการตอ่ รองอำนาจดว้ ย สำหรบั นกั วิชาการในประเทศได้อธิบายความหมายของนวตั กรรมทางสงั คม ยกตวั อย่างเช่น ประเวศ วะสี (2546, หน้า 7-12) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสงั คมเป็นแกนหลักในการพัฒนาประเทศโดย มีนวตั กรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวเสริมเท่าที่จำเปน็ โดยให้คำนิยามอย่างกวา้ งๆ ว่านวัตกรรม ทางสังคมนน้ั เป็นการพัฒนาดว้ ยการใช้สังคมและการอยูร่ ว่ มกันเป็นตวั ต้ังทำให้เกดิ ภาวะสมดุลสขุ ภาวะอย่างมี พลวตั ได้ อลงกรณ์ คูตระกูล (2553, หน้า 15) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคม คือ สิ่งใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ และ แนวทางใหม่ ๆ ไมว่ ่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมที่สร้างคุณค่าท้งั ในเชิงแก้ปัญหาและเชิงพัฒนาให้แก่สังคม ไดโ้ ดยสร้างขน้ึ มาบนพน้ื ฐานของแรงจงู ใจทางสงั คม ชานนท์ โกมลมาลย์ (2561, หน้า 122) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคม หมายถึง ผลผลิตทางความคิด สร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ และสร้างผลกระทบต่อสังคมได้ในวงกว้าง อาจจะอยูใ่ นรปู แบบของระบบการ จัดการทรัพยากร การสื่อสาร ศิลปวัฒนธรรม รูปแบบการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาศักยภาพ การให้ความ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ บงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา (2562, หน้า 9) กล่าวว่า นวัตกรรมทางสังคม หมายถึง การประยุกต์ใช้ ความคิดใหม่ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม ในการยกระดับคุณภาพชีวิต ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่ ความเทา่ เทียมกันในสังคม สามารถลดปัญหาความเหลื่อมลำ้ ได้อย่างเปน็ รูปธรรมและความยง่ั ยนื ดังนั้น ผู้เขียนได้สังเคราะห์คำจำกัดความของคำว่า “นวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation)” หมายถึง สิ่งใหม่ทส่ี รา้ งข้นึ มาจากความคิดสรา้ งสรรค์ ไมว่ า่ จะเป็นกระบวนการ ผลิตภัณฑ์ หรือรูปแบบ/วธิ ีการ ท่ีตอบสนองและแก้ปัญหาทางสงั คม โดยสิง่ น้ันต้องทำให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงที่ดีขึ้นในสังคมได้จรงิ เปิดโอกาส ใหค้ นกลมุ่ ตา่ ง ๆ ในสงั คมไดเ้ ขา้ มามีส่วนรว่ มในการเปลยี่ นแปลงและแก้ไขปัญหาทกี่ ำลงั เผชญิ อยรู่ ่วมกัน 66
2. ความแตกตา่ งระหว่างนวัตกรรมทางสังคมกบั นวัตกรรมทางธุรกจิ อลงกรณ์ คูตระกูล (2553, หน้า 17-19) ทำการเปรียบเทียบจุดต่างระหว่างนวัตกรรมทางสังคมกับ นวัตกรรมทางธรุ กิจ คือ “แรงจูงใจเชิงสังคม” เนื่องจาก นวัตกรรมทางสังคมเป็นคุณคา่ ที่ไม่เป็นตัวเงิน/ไม่ได้ ผลตอบแทนเป็นเงินด้วยการเปลี่ยนแปลงในระดับความเชื่อ ค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ ความเคยชินของคน ส่วนใหญ่ในสังคมโดยเฉพาะความเชื่อทีก่ ่อให้เกิดผลเสียต่อชุมชน ในขณะที่นวัตกรรมทางธุรกจิ มีแรงจูงใจใน การเพิ่มรายได้ ลดต้นทนุ ขยายฐานลูกค้า เพิม่ ประสทิ ธิภาพการทำงาน มีเป้าหมายต้องเปน็ ตวั เลขผลตอบแทน ที่ดีที่สุด ซึ่งกล่าวได้ว่าความแตกต่างอาศัยมิติด้านเป้าหมายและมิติด้านผลลัพธ์เป็นเกณฑ์ สามารถจำแนก นวตั กรรมออกเปน็ 4 แบบ ดังนี้ 1. นวัตกรรมทีส่ รา้ งขึ้นโดยเอกชน (Q1) มีคุณค่าต่อตวั เองและยังมีคุณค่าตอ่ สังคมส่วนรว่ ม กล่าวคอื เป็นการทำเพ่ือองคก์ าร และสงั คมได้รับประโยชนเ์ ชน่ เดยี วกนั 2. นวตั กรรมธุรกิจ (Q2) มเี ป้าหมายทีป่ ระโยชน์ส่วนตัวของปจั เจกหรอื องค์การนั้น ๆ และมีคุณค่าต่อ สงั คมโดยรวมนอ้ ย กลา่ วคอื เปน็ การทำเพอ่ื องคก์ ารเพยี งอย่างเดยี ว 3. นวัตกรรมที่มุ่นเน้นประโยชน์ส่วนรวมและมีคุณค่าต่อสังคมในวงกว้างมาก (Q3) จัดว่าเป็น นวัตกรรมสังคม กลา่ วคอื เปน็ การทำเพื่อสังคม และประโยชน์ทีไ่ ด้รบั เกิดขึ้นกบั สังคม 4. นวัตกรรมที่มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนร่วม (Q4) แต่คุณค่าจริง ๆ ที่มีต่อสังคมกลับอยู่ในระดับต่ำ กล่าวคือ เปน็ การทำเพ่อื สงั คม แตอ่ งคก์ ารเป็นผู้ที่ไดร้ บั ประโยชน์ ภาพท่ี 18 เปรียบเทียบความแตกตา่ งของนวัตกรรมทางสังคมกับนวัตกรรมทางธุรกจิ ท่ีมา : อลงกรณ์ คูตระกลู (2553, หน้า 19) ในส่วนของ กาญจนา แสงลิ้มสุวรรณ (2555, หน้า 13) ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างนวัตกรรม ทางธุรกิจและนวัตกรรมทางสังคม โดยทั่วไปแล้ว นวัตกรรมทางธุรกิจจะเป็นนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ แสวงหากำไร หรือการสร้างความคิดใหม่เพื่อที่จะนำไปสู่ผลกำไรทางธุรกิจ ซึ่งส่วนมากจะประกอบด้วย นวตั กรรมทางเทคโนโลยี หรอื นวตั กรรมทางองคก์ ร ซ่งึ รวมถงึ ยทุ ธวิธีการบรหิ ารบรษิ ัท โดยนวัตกรรมทางธุรกิจ จะเน้นเร่ืองการปรับปรงุ ประสทิ ธิภาพของบรษิ ทั ซงึ่ จะเป็นประโยชน์ทงั้ กับบรษิ ทั รวมไปถึงผูบ้ ริโภคและบริษัท คู่แข่งผ่านทาง Innovation Spillovers ในขณะเดียวกัน นวัตกรรมทางสังคมจะรวมถึงนวัตกรรมทั้งหลายท่ี เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของประชากร จึงกล่าวได้ว่า นวัตกรรมทางธุรกิจนั้นสามารถนำไปสู่นวัตกรรม 67
ทางสังคมในลำดับต่อไป โดยส่วนมากนวตั กรรมทางสังคมจะคาบเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบนั การปรับปรุงสาธารณปู โภค หรอื งานบรกิ ารสงั คมท่ีจะส่งผลต่อคณุ ภาพชวี ติ ของคนในชมุ ชน 3. แหล่งทม่ี าของนวัตกรรมทางสังคม นวัตกรรมทางสังคมเป็นสิง่ ใหม่ที่มีคุณค่าต่อสังคมบนพื้นฐานของแรงจูงใจทางสังคม ซึ่ง Alakeson, Aldrich, Goodman, Jorgensen, and Miller (2003, pp. 74-77) ได้อธิบายกระบวนการเกิดนวัตกรรม สังคม โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งในเชงิ “ท่มี า” ออกเป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1) เกิดจากการวางแผนโดยภาครัฐ การเกิดขึ้นของนวัตกรรมสังคมในลักษณะแรกจะอยู่ในรูปของ นโยบายสาธารณะใหมๆ่ หรอื เปน็ การริเริม่ โครงการพฒั นาตา่ ง ๆ ข้นึ มาโดยม่งุ ทีจ่ ะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ที่สรา้ งผลกระทบแก่สังคมขน้ึ อย่างชัดเจน หรอื อาจเปน็ ผูส้ นับสนุนให้เกดิ การสร้างนวตั กรรมสังคมข้ึนด้วยการ จัดหาและกระจายทรัพยากรที่มีความจำเป็นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน เทคโนโลยี องคค์ วามรตู้ ่าง ๆ 2) เกิดจากปัจเจกชน ผู้ประกอบการหรือองค์กรไม่แสวงกำไร การเกิดขึ้นของนวัตกรรมในอีก ลกั ษณะหนง่ึ คือ การเกิดขน้ึ จากภาคส่วนท่ไี ม่ใชร่ ัฐ อาทิเช่น “ผปู้ ระกอบการสงั คม” (Social Entrepreneur) ทสี่ รา้ งสรรคน์ วัตกรรมขนึ้ จากทรพั ยากรที่ตนมีอยู่เพ่ือสร้างให้เกิดความเปลยี่ นแปลงขน้ึ ในบริบทนั้น ๆ และมี บทบาทหลกั ในการขับเคล่ือนการดำเนินการใหเ้ กิดผลสัมฤทธดิ์ ้วยตนเอง โดยมลี ักษณะสำคญั ของกระบวนการ ในบริบทนน้ั ๆ (Dees, 1998) ได้แก่ การสร้างหรอื รักษาไว้ซง่ึ คุณค่าของสังคม การเล็งเห็นและผลักดันโอกาส ใหม่ๆที่จะสามารถเข้าไปดำเนินการได้โดยไม่ล้มเลิกกลางคัน การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้าง นวัตกรรมและเรยี นรูอ้ ย่างต่อเน่ือง การลงมือทำอย่างมุง่ มั่นจริงจงั แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในเชิงทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจำกัด และความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้ได้รับผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดย ผู้ประกอบการสังคมนนั้ ค่อนข้างมีความได้เปรยี บภาครัฐในแงท่ ี่อยู่ใกล้ชิดกับพ้ืนที่ จึงสามารถเข้าไปออกแบบ นวัตกรรมสงั คมท่จี ะไปพฒั นาหรือแกป้ ญั หาได้ตรงจุดและมีความชัดเจนถกู ตอ้ งแม่นยำมากกว่า 3) เกิดขึ้นจากบริบทนั้น ๆ ขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ลักษณะการเกิดขึ้นของนวัตกรรมในประการ สุดท้ายได้แก่ เกิดขึ้นจากบริบทนั้น ๆ ขึ้นมาเองโดยธรรมชาตินั้น โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ของคนจำนวนมาก หัวใจสำคัญของกระบวนการนี้อยู่ท่ี “ปฏิสัมพันธ”์ (Interaction) โดยปฏสิ มั พนั ธ์ต่าง ๆ อาทิเชน่ ระหว่างคนกบั คน องคก์ ารกับองค์การ หรอื กระทั่งการผสานกนั ของความคดิ ใน รูปแบบที่มีความแตกต่างกัน ที่ทำให้เกิดแบบแผนเชิงการกระทำ (Habits) นั่นก็คือมีความต่อเนื่องของ ปฏิสัมพนั ธล์ กั ษณะเดิมแต่กม็ ศี ักยภาพบางอย่างที่จะก่อให้เกดิ การแปลงรปู (Transformation) ข้นึ มาได้ ซงึ่ จะ เป็นการแปลงสภาพแบบคอ่ ยเปน็ ค่อยไปหรอื เปล่ยี นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ โดยลักษณะของกระบวนการน้ีอาจ เรียกได้ว่าเป็นการ ตอบสนองอย่างเป็นไปเอง (Spontaneous) โดยรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงของ ปฏสิ มั พนั ธ์ท่มี ีการแปลงรปู น้ีเปน็ เรื่องยากทจ่ี ะคาดการณล์ ว่ งหนา้ ได้ ไม่อาจตัง้ ใจควบคมุ กำหนดได้อยา่ งชดั เจน ได้ แตเ่ ปน็ การบังเกิด (Emergence) ขน้ึ เองจากเงื่อนไขปจั จยั ทม่ี คี วามเหมาะสมในบริบทของปฏสิ มั พันธน์ ั้น ๆ 68
ตารางที่ 3 การเปรียบเทียบทม่ี าของนวัตกรรมทางสังคม จากการวางแผน จากผปู้ ระกอบการ จากการเกดิ ข้นึ มาเอง - รเิ ริ่มจากระดบั ล่าง ลกั ษณะเด่น - ริเรม่ิ จากระดบั บน -ริเร่ิมจากผูน้ ำในพนื้ ท/ี่ -เป็นการผุดบังเกดิ จาก ปฏิสัมพันธภ์ ายในระบบ - ใชก้ ารวางแผนจาก องคก์ าร ย่อย - เป็นสงิ่ ใหม่ท่แี ทจ้ ริง ศูนย์กลาง - ใชว้ ิสยั ทศั น์ - การเกิดขึ้นของสง่ิ ใหม่ - เป็นส่ิงที่ปรับปรงุ จาก จินตนาการ ปญั ญา (นวัตกรรม) เป็นการผดุ บังเกิด เดมิ - เป็นไดท้ ัง้ ส่งิ ทป่ี รบั ปรุง - ปฏสิ มั พนั ธ์ จากเดิมหรือเปน็ ส่ิงใหม่ - ชมุ ชน ที่แท้จริง ฐานคติ - สถาบนั ภายนอกชุมชน - ปจั เจกมีพลงั ในการ มีอิทธิพลตอ่ การ สรา้ งสรรค์ ดำเนนิ การภายในชมุ ชน - การตัดสนิ ใจสามารถ ทำไดอ้ ยา่ งมเี หตผุ ล มโนทัศนส์ ำคัญ - การวางแผนและการ - ภาวะผนู้ ำ ควบคุม ตัวแทน/ผใู้ ห้กำเนิด - องคก์ ารภาครฐั - ผปู้ ระกอบการสงั คม ท่มี า : อลงกรณ์ คูตระกลู (2553, หน้า 20) 4. ความสำคัญของนวตั กรรมทางสังคม แนวคิดนวัตกรรมสังคม (Social Innovation) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มโอกาสของ ผปู้ ระกอบการขนาดเลก็ ใหส้ ามารถเข้าถงึ กลมุ่ เปา้ หมาย ชว่ ยในการกระจายรายได้สทู่ อ้ งถิ่น และเพิ่มทางเลือก ให้แก่กลุ่มลูกค้า ซึ่ง Caulier-Grice, Davies, Patrick, and Norman (2012) ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ของ นวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) ผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social Entrepreneurship) และ วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) มีความทับซ้อนกัน กล่าวคือ นวัตกรรมทางสังคมนั้นกว้างกว่าการ ประกอบการเพ่ือสังคม หรือวิสาหกิจเพ่ือสังคมเพ่ือสังคมซึง่ สามารถทับซ้อนกับอยา่ งใดอย่างหน่ึงหรือทัง้ สอง อย่าง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการเพื่อสังคมอาจจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมโดยมีการนำเสนอโครงการท่ี เกย่ี วขอ้ งกับนวัตกรรมเพอ่ื สังคม 69
ภาพท่ี 19 ความสัมพันธข์ องนวตั กรรมทางสงั คม ผปู้ ระกอบการเพือ่ สงั คม และวสิ าหกจิ เพ่อื สงั คม ท่ีมา : Caulier-Grice, et al. (2012) ดังนั้นความสำคัญของนวัตกรรมทางสังคม คือ วิธีการ หลักการ แนวความคิดและโครงสร้างที่เป็นท่ี ต้องการของสังคม อาทิ ระบบการศึกษา การพัฒนาชุมชน และสุขภาพรวมไปถงึ การเสริมสร้างสังคมท่ีมีอารย ธรรม (ทรงศกั ดิ์ รักพว่ ง และภุชงค์ เสนานุช, 2562, หน้า 209) นอกจากนี้ กาญจนา แสงลิ้มสุวรรณ (2555, หนา้ 13-15) ได้อธิบายถึงผลประโยชนข์ องนวตั กรรมทาง สังคมจากการศึกษาเชิงประจักษ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ตัวแปรต่าง ๆ เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตและ สิง่ แวดล้อม ซึง่ มีรายละเอียดดังนี้ 1. ผลของนวตั กรรมทางสังคมต่อคุณภาพชีวิต ศกึ ษาความสัมพันธร์ ะหว่างนวัตกรรมทางสังคมท่ีช่วย เพม่ิ ศกั ยภาพของรัฐบาลและคุณภาพชีวิตของประชากร โดยใช้ขอ้ มูลรายประเทศจำนวน 63 ประเทศ ท่ัวโลก ในปี พ.ศ. 2533 พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2543 โดยข้อมูลคุณภาพชีวิตของประชากรที่ใช้ในการศึกษาน้ีคือ อายุ คาดหมายเฉลี่ยของคน (Life Expectancy Rate) และอัตราการตายของทารกแรกเกิด (Infant Mortality Rate) จากฐานข้อมูล Word Development Indicator ส่วนข้อมูลที่ใช้แสดงนวัตกรรมทางสังคมที่ช่วยเพิ่ม ศักยภาพและการปรับปรุงโครงสร้างรัฐบาลนั้น คือตัวชี้วัดประสิทธิผลของภาครัฐ (Government Effectiveness) และดัชนกี ารควบคุมปราบปรามคอรปั ชน่ั (Control of Corruption) 2. ผลของนวัตกรรมทางสังคมต่อการลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหวา่ งมลพิษทาง สิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมทางสังคมที่มีผลต่ออัตราการเข้าศึกษา นวัตกรรมทางสังคมที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา ทางการศกึ ษา เชน่ การพฒั นาหลกั สตู รให้ทนั สมัย การผลิตและพัฒนาส่ือใหมๆ่ จะช่วยสง่ เสรมิ ใหอ้ ัตราการเข้า ศึกษาเพิ่มสูงขึ้น ส่วนค่ามลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่ใช้ในการศึกษานี้จะใช้ค่าปริมาณฝุ่นละออง(particulate matter) ซึ่งเป็นค่ามลพิษในอากาศ เนื่องจากปัญหาฝุ่นละอองเป็นปัญหามลภาวะทางอากาศของหลาย ประเทศทวั่ โลก และปัญหาจากฝุ่นละอองยงั ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรอยา่ งมาก โดยข้อมูลของทั้ง อัตราการเข้าศึกษา และค่าปริมาณฝุ่นละอองที่ใช้ในการศึกษานี้รวบรวมจากฐานข้อมูลของ World Development Indicator แสดงให้เห็นว่าอัตราการเข้าศึกษาและปริมาณฝุ่นละอองมีความสัมพันธ์ในทาง ตรงกันข้ามกัน กล่าวคอื ถ้านวตั กรรมทางสงั คมช่วยกระตนุ้ ให้อตั ราการเข้าศกึ ษาสูงขึ้น จะสง่ ผลให้ปริมาณฝุ่น ละอองที่เปน็ มลพษิ ทางอากาศลดน้อยลง 70
5. กระบวนการสร้างนวตั กรรมทางสงั คม นวัตกรรมทางสังคมเป็นการพยายามตอบสนองความต้องการของสังคมด้วยสิ่งใหม่ ๆ ที่มาจาก กระบวนการคิด และลงมือแก้ปัญหาเพือ่ ที่สังคมกำลังเผชิญหรือพฒั นาปรับปรุงสังคมให้ดียิ่งขึ้น บนฐานของ แรงจูงใจทางสังคม ม่งุ ให้เกิดประโยชนแ์ กส่ ่วนรวมมากกว่าประโยชน์สว่ นตัว การสร้างนวัตกรรมทางสังคมผู้เขียนขอเริ่มต้นจาก Roger (2003, pp. 136-167) ผู้เสนอแนวคิด กระบวนการตดั สนิ ใจเกี่ยวกบั นวัตกรรม (Innovation-Decision Process) ซ่งึ เนน้ หนักไปท่กี ระบวนการสร้าง นวัตกรรมทางธุรกิจมากกว่ากระบวนการสร้างนวัตกรรมทางสังคม อย่างไรก็ตาม ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายว่า นวตั กรรมทางธุรกิจนั้นสามารถนำไปสนู่ วตั กรรมทางสังคม ทำให้แนวคดิ ของ Roger ถือว่าเป็นพื้นฐานของการ สร้างนวัตกรรมทางสังคมได้ กระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับนวัตกรรม (Innovation-Decision Process) แบ่ง ออกเป็น 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ขั้นการตระหนักถึงปัญหาหรือความจำเป็น (2) ขั้นการวิจัย (3) ขั้นการพัฒนา (4) ขนั้ การนำออกขาย (5) ขั้นการแพร่กระจายและรบั นวัตกรรม และ (6) ข้ันผลลัพธท์ ตี่ ามมา Mulgan, Tucker,Ali, and Sanders (2007, pp. 34-35) กล่าวถึง ลักษณะของนวัตกรรมสังคม ประกอบไปด้วย (1) การเป็นรูปแบบที่ประกอบขึ้นใหม่หรือรูปแบบผสมขององคป์ ระกอบที่มีอยูม่ ากกว่าท่จี ะ เปน็ สง่ิ ใหมแ่ ท้ ๆ (2) เมอื่ นำไปปฏบิ ัติจรงิ จะตอ้ งตัดข้ามขอบเขตขององคก์ ารภาคส่วนหรือข้ามสาขาวิชา และ (3) ก่อให้เกิดรูปแบบความสมั พันธ์ทางสงั คมแบบใหม่ระหวา่ งปัจเจกหรือกล่มุ ท่เี คยแยกกันอยู่ซ่ึงมีผลสะเทือน อย่างมากต่อผู้เกีย่ วขอ้ ง Murray, Caulier-Grice and Mulgan. (2010, pp. 11-13) มีข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอน กระบวนการสรา้ งสรรค์นวัตกรรมสังคมไม่ไดด้ ำเนนิ การในลักษณะเป็นเสน้ ตรงท่ีเปน็ ข้ันเป็นตอนในลักษณะนี้ เสมอไป แต่อาจมีการดำเนินการในลกั ษณะย้อนกลับของข้นั ตอนต่าง ๆ ไดเ้ ช่นกัน ซงึ่ กระบวนการเกิดขึ้นของ นวัตกรรมทางสังคมของ Murray, Mulgan and Caulier-Grice มีดังต่อไปน้ี (1) การจุดประกาย (Prompt) ในขั้นตอนนี้ผู้ประกอบการเกิดการจุดประกายความคิด โดยอาศัยการเรียนรู้ปัญหา และวิกฤติ จนเกิดแรง บนั ดาลใจในการคน้ หา้ ทางออก ผ้ปู ระกอบการจะต้องกำหนดโจทย์อยา่ งเหมาะสมเพอ่ื นำไปสกู่ ารแก้ไขปัญหา ทต่ี รงจุด (2) การออกแบบความคิด (Proposal) ในข้นั ตอนน้ีผ้ปู ระกอบการจะเร่ิมคิดอย่างเป็นระบบ โดยการ กำหนดตัวเลือกที่เหมาะสม และออกแบบแนวทางในการแก้ไขปัญหา (3) การทดสอบแบบจำลอง (Prototype) ในขั้นตอนนี้ ผู้ประกอบการเริ่มนำแบบจำลอง หรือแนวทางที่กำหนดไว้มาใช้ในสถานณการณ์ จริง กระบวนการยังมีลักษณะลองผิดลองถูก (4) การยืนระยะ (Sustaining) ในขั้นตอนน้ี เมื่อผู้ประกอบการ แน่ใจแล้วว่า แนวคิดสามารถปรับใช้กับสถานการณ์จริงได้ และสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ ก็จะลอง เสริมสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม และกำหนดแนวทางที่จะสร้างทำให้การนำนวัตกรรมไปใช้ยืนระยะได้ (5) การสร้าง ความแพร่หลาย (Scaling) ในขั้นตอนนี้ ผู้ประกอบการต้องวางแผนที่จะขยายและสร้างความแพร่หลายให้ เกิดข้นึ ต่อนวัตกรรมที่คิดขนึ้ มา เพ่อื จะทำใหเ้ กิดอปุ สงคใ์ นการนำนวตั กรรมนนั้ ไปใช้ การสร้างความรู้ ในการใช้ นวัตกรรมก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้นวัตกรรมเกิดการยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลาย และ (6) การเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงกระเพื่อม (Systemic Chance) ขั้นตอนนี้เป็นเป้าหมายสุดท้ายของ นวัตกรรมทางสังคมโดยเป็นขั้นตอนของการสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ให้เกิดแรงกระเพื่อมและนำไปสู่ นวตั กรรมตา่ ง ๆ ท่แี ตกยอดออกไปอีกมากมาย ขัน้ ตอนนี้จะมคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั การสร้างแนวทางใหม่ ๆ กรอบ ความคดิ ใหม่ ๆ การออกกฎระเบียบตา่ ง ๆ ทีจ่ ะสนับสนนุ การเปลีย่ นแปลงท่จี ะเกิดขน้ึ 71
ภาพที่ 20 กระบวนการเกดิ ขึ้นของนวตั กรรมทางสังคม ที่มา : Murray, Caulier-Grice and Mulgan. (2010, pp. 11); ติญทรรศน์ ประทีปพรณรงค์ (2563, หนา้ 45) ชานนท์ โกมลมาลย์ (2561, หน้า 133-135) ไดน้ ำเสนอองคป์ ระกอบและกระบวนการเรยี นร้เู พอื่ สรา้ ง นวตั กรรมทางสังคม ดงั นี้ 1. ความคดิ สรา้ งสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมทางสงั คม กลา่ วคือ ความคิดสรา้ งสรรคค์ อื จุดเริ่มต้นของ การสรา้ งและพฒั นานวัตกรรมรูปแบบต่าง ๆ อาจเกดิ จากการคดิ ผสมผสานเชือ่ มโยงระหว่างความคดิ ใหม่ ๆ ที่ แก้ปญั หาและเออื้ อำนวยประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คม ดังน้นั กระบวนการเรียนรเู้ พ่อื สรา้ งนวตั กรรมทางสังคม จึงตอ้ งให้โอกาสทดลองคดิ และปฏิบตั ชิ ุดประสบการณอ์ ยา่ งสร้างสรรค์ 2. ศักยภาพและความสามารถในการสร้างนวัตกรรม กล่าวคือ “ศักยภาพ (Potential)” หมายถึง ความสามารถ พลังที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ มนุษย์ทุกคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่เต็มไปด้วยความสุขและ ความสำเรจ็ หากสามารถบรรลุถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง (Self-actualization) การสรา้ งนวัตกรรมทาง สังคมจำเปน็ ต้องอาศัยศักยภาพและทักษะที่แตกต่างกนั อันจะสง่ ผลต่อการเรยี นรู้และพฒั นานวตั กรรมได้อย่าง มีประสทิ ธิภาพสงู สดุ 3. ทักษะในโลกดิจิทัลกับการสร้างนวัตกรรมทางสังคม กล่าวคือ ผู้คนในสังคมคุ้นเคยกับการใช้ ระบบส่อื สารข้อมูล คอมพวิ เตอรแ์ ละระบบสารสนเทศ เพือ่ คน้ หาขอ้ มลู หรือส่งิ ต่าง ๆ ท่สี นใจ อาจจะเป็นเป็น ผูใ้ ชส้ ือ่ เสพสื่อ และสรา้ งส่ือ สิ่งเหลา่ น้สี ามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการสร้างนวตั กรรมทางสังคมได้ เช่น การมี ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมวี จิ ารณญาณกับขอ้ มูลในสังคมที่เกดิ ขน้ึ และไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ทำให้ การสร้างนวตั กรรมทางสังคมจงึ จำต้องผนวกเอาเทคโนโลยดี ิจิทัลและทกั ษะท่ีเกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทในการ พัฒนาร่วมด้วยอย่างเลยี่ งไมพ่ น้ 4. เวลาในกระบวนการสร้างนวัตกรรมทางสังคม “ระยะเวลา” เป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน สร้างสรรค์นวัตกรรมและระยะเวลาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดนวัตกรรม ระยะเวลาในการพัฒนานวัตกรรม นั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่ 1 คือ การเรียนรู้และพัฒนานวัตกรรมไม่สามารถที่จะกำหนด ขอบเขตเวลาได้อย่างชัดเจนขึ้นอยู่กับว่าแต่ละงานนั้นมีรายละเอียดลุ่มลึกมากเพียงใด การพัฒนานวตั กรรม บางอย่างอาจใช้เวลาไม่มากนัก ในทางกลับกันนวัตกรรมทางสังคมบางประเด็นก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนา 72
ยาวนาน ระดบั ที่ 2 คือ เวลาท่จี ะใหน้ วัตกรรมทางสงั คมปรากฏผลซึ่งเป็นกฎธรรมชาตวิ ่าเมอื่ ทำสิ่งใดก็ตามให้ เกิดผลต่อสงั คมจำเป็นต้องใชเ้ วลา โครงการทางสงั คมหลายอยา่ งก็เช่นกนั เมื่อมีแนวคดิ และออกแบบแผนการ ปฏิบตั ิงานเสรจ็ สิน้ มกี ระบวนการปฏบิ ัติงานทชี่ ัดเจนนำลงไปปฏบิ ตั งิ านจริงผลลัพธจ์ ึงไม่ไดเ้ กิดข้นึ ทันทีแต่ต้อง รอชว่ งเวลาสักระยะหน่ึง 5. การเรียนรู้ร่วมกันเพื่อการสร้างนวัตกรรมทางสังคม การสร้างนวัตกรรมทางสังคมต้องอาศัย การเรียนรู้แลกเปล่ยี นประสบการณร์ ะหวา่ งกนั เนอื่ งจากการเรียนร้รู ะหว่างกันจะเกิดการพง่ึ พาเก้ือกูลกันและ การปรึกษาหารอื กันอย่างใกล้ชิด จนทา้ ยท่สี ดุ ก็จะเกดิ กระบวนการเรยี นรู้รว่ มกัน (Collaborative Learning) สง่ ผลให้เกดิ การขบั เคลื่อนนวัตกรรมทางสงั คมและผลที่ตามมาคอื ความสัมพันธท์ ่ดี รี ะหวา่ งกันอีกดว้ ย 6. การเรียนรู้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันด้วยการสร้างนวัตกรรมทางสังคม การแก้ไขปัญหา ในชวี ติ ประจำวนั เปน็ องคป์ ระกอบหนึง่ ในกระบวนการเรียนรู้เพ่อื สร้างนวัตกรรมทางสังคมโดยต้องระบุปัญหา และความต้องการจำเป็นของตัวเองและชุมชนให้ได้ว่าคืออะไรและมีสาเหตุใดท่ีปัญหาดังกล่าวถึงยังไมไ่ ด้รบั การตอบสนอง ดังนัน้ การสรา้ งและพฒั นานวัตกรรมอาจเปน็ เรื่องทีเ่ กิดขนึ้ ประจำและเปน็ เรอื่ งในชวี ิตประจำวนั หรอื เปน็ วกิ ฤตปญั หาทีต่ อ้ งแกไ้ ขอยา่ งเรง่ ด่วนอาศัยการเรียนรกู้ ารแก้ไขปญั หาในชวี ติ ประจำวัน การแก้ปัญหาเชงิ นวัตกรรม 1. ความหมายของการแกป้ ัญหาเชิงนวตั กรรม ฮิกกิ้นส์, เจมส์. เอ็ม (2554, หน้า 42) กล่าวว่า การแก้ปัญหาคือส่วนสำคัญของการดำเนินงานของ องคก์ าร ซงึ่ การแก้ปัญหาเชงิ นวัตกรรมเป็นการคดิ หาวิธีการใหม่เพ่อื ลดต้นทนุ คดิ ค้นผลิตภัณฑห์ รอื บรกิ ารใหม่ ๆ หรือกำหหนดแนวทางการชว่ งองคก์ ารให้ทำงานไดด้ ขี นึ้ ดว้ ยวิธกี ารบางอย่าง มารุต พฒั ผล (2562, หนา้ 1) การแก้ปัญหาเชิงนวตั กรรม หรอื Innovative Problem Solving: IPS เป็นคำที่ผู้เขียนสังเคราะห์ขึ้นมาจากการค้นคว้า Keywords จากคำ 3 คำ ได้แก่ Innovative Thinking, Creative Problem Solving และคำว่า Engineering process การแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรม (Innovative Problem Solving: IPS) หมายถึง การแก้ปัญหาใดๆ แลว้ ทำใหเ้ กิดนวตั กรรมตามมาจากการแก้ปัญหานั้น การแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมเป็นการแก้ปัญหาที่ต่างจากเดิมปญั หาไม่เพียงแต่จะถูกแก้ไขเท่านั้น แต่ยังได้นวัตกรรมที่มีคุณค่าซึ่งอาจเป็นผลโดยตรงหรือเป็นผลโดยอ้อมจากการแก้ปัญหานั้นก็ได้เช่น การแกป้ ัญหามลพษิ จากรถยนต์ท่ีมตี อ่ ส่ิงแวดล้อม แล้วทำใหเ้ กดิ นวัตกรรมรถยนตพ์ ลงั งานไฟฟ้า เป็นต้น 2. ความสำคัญ และประโยชน์ของการแกไ้ ขปญั หาเชงิ นวตั กรรม ท่ามกลางสภาพแวดลอ้ มการแข่งขันสูงในศตวรรษที่ 21 องค์การธุรกิจจำเป็นต้องรวบรวมทรัพยากร ต่าง ๆ ในองค์การในการสร้างสรรค์และปรับปรุงผติตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการ ซึ่งสมาชิกทุกคนใน องค์การต่างตระหนักเหมือนกันว่าปัญหา/อุปสรรคที่เกิดขึ้นกับองค์การธุรกิจของตนมีอยู่ตล อดเวลา ดังนั้นหนทางแห่งความสำเร็จคือต้องทราบว่าปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นมีอยู่จริงและต้องเข้าใจว่าจะ แก้ปัญหา/อุปสรรคท่ีเปน็ มูลเหตุสำคญั ได้อยา่ งไร ซ่งึ ความสำคัญและประโยชนข์ องการแก้ปญั หาเชิงนวัตกรรม นั้นคือข้อดีของนวัตกรรมที่นำมาให้ทางธุรกิจ กล่าวคือ การแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมสามารถช่วยแก้ปัญหาใน กระบวนการทำงานต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริการ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 73
หรอื สร้างผลิตภัณฑ์ทางธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างสรรคว์ ธิ ีการสร้างสรรค์ธุรกิจรปู แบบใหม่สามารถสร้าง รายได้และตอบสนองความต้องการให้กับผบู้ ริโภคได้ ดงั นน้ั ความสำคญั และประโยชน์ของการแก้ไขปัญหาเชิง นวตั กรรมจึงมคี วามสำคญั และประโยชนโ์ ดยตรงต่อองคก์ ารธุรกิจ 3. กระบวนการแก้ไขปัญหาเชงิ นวัตกรรม การแกไ้ ขปญั หาเชิงนวัตกรรมต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจากกระบวนทัศนเ์ ดมิ (Tradition Paradigm) ไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ที่ให้โกลของธุรกิจและโลกแห่งความจริงเป็นศูนย์กลาง ซง่ึ กระบวนการแกไ้ ขปัญหาเชงิ นวัตกรรม มารุต พัฒผล (2562, หน้า 2-4) 1. วิเคราะห์และระบุวงจรของปัญหา เปน็ การวเิ คราะหส์ ถานการณป์ ญั หา วา่ ปญั หาคืออะไร มสี าเหตุ มาจากอะไร สาเหตุเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ใช้การคิดอย่างเป็นระบบ(Systematic thinking) เป็นเครอ่ื งมอื ในการวิเคราะห์ 2. แสวงหาขอ้ มูล ความรู้ และพัฒนาแนวคิดสำหรับการแกป้ ัญหา เป็นการหาข้อมลู ต่างๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง จากแหล่งต่างๆที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาที่ตอ้ งการแก้ไข แล้วนำมาพัฒนาแนวคิด (Idea) ที่จะใช้ใน การแก้ปัญหา ซ่งึ Idea นี้ จะเปน็ จุดเร่มิ ตน้ ของนวตั กรรมท่เี กดิ จากการแกป้ ัญหา 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ เป็นการนำ Idea จากขั้นที่ 2 มาทำให้เป็นรูปเป็นร่าง ทางความคิดทำความคิดให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการแก้ปัญหา ซึ่งถ้ามี Idea ที่ชัดเจน มีข้อมูล ความรู้ สนับสนนุ จะทำให้การออกแบบการแก้ปญั หามีความแข็งแกร่ง (Strengthen) นำไปสู่การแกป้ ัญหาอย่างเป็น ระบบ 4. ดำเนนิ การแก้ปัญหาและประเมนิ แบบก้าวหน้า(Formative evaluation) เป็นการลงมือแก้ปัญหา ตามวิธีการที่ออกแบบไว้ในขั้นตอนที่ 3 พร้อมกับการประเมินเป็นระยะๆ ว่าการแก้ปัญหานั้นเกิดผลเป็น อย่างไร และนำผลการประเมินมาปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหาให้ดขี ้นึ อย่างตอ่ เน่ือง 5. ประเมินสรุปรวบยอดการแก้ปัญหา (Summative evaluation) เป็นการประเมินเพื่อลงสรุปว่า วิธีการแก้ปัญหาที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้น ให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ปัญหาได้ถูกแก้ไขแล้วหรือไม่ อย่างไร การประเมินในขนั้ นีเ้ ปน็ การประเมนิ สรุปผลสุดท้ายต่างจากการประเมนิ ในขนั้ ท่ี 4 ทเี่ ป็นการประเมินระหว่าง ดำเนินการ 6. ถอดบทเรียน (Lesson learned) และนำเสนอ เป็นการสังเคราะห์ประสบการณ์การแก้ปัญหา ออกมาเป็นองคค์ วามรู้ (Body of knowledge) ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับปัญหานัน้ อาจจะเป็นสาเหตุของปญั หา วิธีการ แก้ปญั หา นวัตกรรมการแกป้ ญั หาจากน้ันนำเสนอบทเรียนทถ่ี อดออกมาได้กับบุคคลอืน่ กระบวนการแกป้ ญั หาเชิงสร้างสรรค์ตามโมเดลท่ไี ดพ้ ฒั นาข้นึ โดย Isaksen, Dorval และ Treffinger (2003 อ้างอิงใน พรสวรรค์ วงค์ตาธรรม, 2558, หน้า 118-119) สามารถแบ่งเป็นกระบวนการแก้ปัญหาได้ 4 องค์ประกอบหลัก 8 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1) ข้นั ทำความเข้าใจปญั หา (Understand the challenge) 1.1) การสร้างสรรค์โอกาส (Constructing opportunities) มองหาโอกาสที่เป็นประโยชน์และเป็น ผลดกี ับเปา้ หมาย โดยการพจิ ารณาโอกาสทีเ่ ปน็ ไปไดแ้ ละทา้ ทาย และการระบุเปา้ หมายทสี่ ร้างสรรค์ 74
1.2) การสำรวจข้อมูล (Exploring data) ค้นหาองค์ประกอบหลักของปัญหา โดยรวบรวมแหล่งของ ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง และจากมุมมองที่แตกต่างกันเพื่อเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหา จะทำให้สามารถ เข้าใจปัญหามากยิ่งขึ้นซึ่งจะทำให้ผู้แก้ปัญหาไม่ไขว้เขวในการเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมาย และสถานการณ์ที่ เป็นอยู่- ขั้นนี้ต้องตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลคือ ใคร อะไร ที่ไหน อย่างไรและทำไม เพื่อให้ได้ความกระจ่าง เก่ียวกับสภาพบริบทของปญั หา- ในขนั้ นีผ้ ู้แกป้ ัญหาจะต้องหาขอ้ มูลและพยายามจำแนกประเภทหรือจัดกลุ่ม ขอ้ มลู (Convergent) เพอื่ ให้ได้ขอ้ มูลท่มี ีประสิทธผิ ลตอ่ การแกป้ ญั หามากทีส่ ุด 1.3) โครงร่างของปัญหา (Framing problems) พจิ ารณาคิดคน้ หาปัญหาท่ีเกิดขน้ึ ทั้งหมด แล้วเลือก ปัญหาที่สำคัญที่สุด เพื่อตัดสินว่าปัญหาใดคือปัญหาที่แท้จริงที่ต้องนำมาแก้ไข เพื่อใช้ในการค้นหาวิธีแก้ไข ปัญหาต่อไปในขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่ต้องพยายามคิดแบบอเนกนัย (Divergent) โดยเฉพาะคำถามต้องถามใน ลกั ษณะเชงิ บวกซง่ึ กระตุ้นการตอบ เช่น แนวทางทีค่ วรจะเป็นคอื อะไร 2) ขน้ั รวบรวมความคิด (Generating ideas) 2.1) การสร้างแนวคิด (Generating Ideas) เป็นการค้นหาและสร้างแนวคิดที่ต้องใช้ความคิดแบบ อเนกนัย (Divergent) ซึ่งต้องการ - ความคิดคล่องแคล่ว คือคิดหาคำตอบให้ได้ปริมาณมาก (Fluent Thinking-Producing Many Options) - คิดยืดหยุ่น คือ การคิดได้หลาย ๆ รูปแบบ (Flexible Thinking- Variety of Options) - ความคิดละเอียดละออ คือคิดให้ได้รายละเอียดสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (Elaborative Thinking-A Number of Detailed Options) ซึ่งในการคิดแบบอเนกนัย (Divergent) นี้ต้องตามมาด้วยการคิดแบบเอก นัย (Convergent)ผลจากการคิดแบบอเนกนัยจะต้องมาทำการจัดกลุ่มเพื่อพิจารณาและเลือกความคิดที่ เป็นไปได้มากทส่ี ดุ 3) ขั้นเตรยี มกอ่ นลงมือ (Preparing for action) 3.1) สร้างแนวทางแก้ไขปัญหา (Developing solutions) ประยุกต์ใช้กลยุทธ์ และเครื่องมือในการ วเิ คราะห์ พัฒนา และปรับปรงุ แนวทางทม่ี แี นวโนม้ มีความเปน็ ไปได้ให้กลายเปน็ แนวทางแก้ปญั หาทีใ่ ช้ได้ 3.2) สร้างการยอมรับ (Building acceptance) การหาข้อสนับสนุนกบั แนวทางการแก้ไขปัญหาและ วางแผนวิธีการที่จะดำเนินการ พร้อมทั้งประเมินผลลัพธ์และประสิทธิผลจากแนวทางการแก้ปัญหา ข้อสนบั สนุนการคดั เลอื กแนวทางการแกป้ ญั หานนั้ ตอ้ งพจิ ารณาจากบคุ คล สถานที่ วัสดอุ ปุ กรณ์ หรอื เวลาทจ่ี ะ ช่วยสนับสนุนให้แผนการดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ หากผู้แก้ไขปัญหาไม่พิจารณาด้านทรัพยากรที่เอื้อต่อ การแกไ้ ขปญั หาก่อนกอ็ าจเป็นอุปสรรคในการทจ่ี ะดำเนินการแกป้ ญั หาต่อไป 4) การวางแผนการดำเนินการ (Planning your approach) 4.1) ประเมินภารกิจ (Appraising tasks) เป็นการสำรวจวิธกี ารทใ่ี ช้แก้ปัญหาว่ามีความสอดคล้องกับ เปา้ หมายหลักหรอื ไม่ 4.2) ออกแบบวธิ กี าร (Designing process) เป็นข้ันใช้องคค์ วามรู้ ที่มเี กยี่ วกบั เรอื่ งน้นั ๆ เพ่ือกำหนด เคร่อื งมอื หรอื วธิ ีการที่เหมาะสมท่ีสุดเพ่ือชว่ ยใหเ้ ราบรรลเุ ปา้ หมาย 75
การแก้ปัญหาด้วยการคดิ เชิงออกแบบ (Design Thinking) ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมอย่างรวดเร็วนั้น กระบวนการแก้ไขปัญหาทาง สังคมอย่างเป็นระบบและเกิดเป็นรูปธรรมผ่านการเรียนรู้และปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จได้ กระบวนการคิดเชิง ออกแบบ (Design Thinking) เพื่อมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ประกอบการเพื่อสังคมในการแก้ปัญหาให้กับ สงั คมอย่างรอบดา้ น กล่าวคอื กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เปน็ กระบวนการคิดเพื่อแก้ไข ปัญหาหรือโจทยใ์ หถ้ ูกจุด พัฒนาแนวคดิ ใหม่ ๆ เพื่อแกไ้ ขปัญหาหรอื โจทย์ทีต่ ้งั ไว้ ให้สามารถหาวิถีทางที่ดีท่ีสุด และเหมาะสมที่สุด อยู่บนพื้นฐานที่เน้นไปท่ีประโยชน์ของผู้ใช้/ผู้บริโภค (User-centered) เป็นหลัก โดยมี เจตนาในการสรา้ งผลลัพธ์ในอนาคตทเ่ี ปน็ รูปธรรม ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ รวมไปถึงเกิดนวัตกรรมใหมๆ่ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์อีกด้วย นอกจากนี้กระบวนการคิดเชงิ ออกแบบ (Design Thinking) จะทำให้มองเห็นวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ตลอดจนยังเป็นการฝึกฝนให้มีการคิดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน และมีลำดับการบริหารจัดการที่ดีตอ่ ไป การคดิ เชิงออกแบบ หมายถึง กระบวนการคดิ เพ่อื แสวงหากลยุทธ์เชิง สร้างสรรค์ในการพัฒนาผลงาน (นุชจรี กิจวรรณ, 2561, หน้า 7) หรอื เป็นกระบวนการคดิ สร้างสรรคน์ วตั กรรม อยา่ งเป็นระบบเพ่อื แกป้ ญั หาและสร้างสรรคน์ วัตกรรมผา่ นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่ใชก้ ารทำความเข้าใจ ในปัญหาอย่างลึกซึ้ง โดยเอาผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและนำเอาความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจากแหล่งข้อมูล ต่าง ๆ มาสร้างเป็นความคิด (Idea) ทดสอบและพัฒนา เพื่อให้ได้แนวทางหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้ และสถานการณ์ (มานิตย์ อาษานอก, 2561, หน้า 7; ไปรมา อิสรเสนา ณ อยุธยา และชูจิต ตรีรัตนพันธ์, 2560) ทมี่ าและขน้ั ตอนการคดิ เชงิ ออกแบบ แนวคิดของการคิดเชิงออกแบบถูกพัฒนาขึ้นในต้นทศวรรษท่ี 50 อันมีความเชื่อมโยงกับแนวคิด เกี่ยวกับทางด้านจิตวิทยาที่เป็นการพัฒนากระบวนการคิดให้เกิดความสร้างสรรค์ ซึ่งมีการนำไปใช้ร่วมกับ สาขาวิชาอ่ืน ๆ เชน่ วทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรม และบรหิ ารธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งตน้ แบบของการคิดเชิงออกแบบมา จากแนวคิด “การออกแบบชีวิต” ที่ริเริ่มโดย บิล เบอร์เนตต์ และทีมจาก Life Design Lab มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด ซึ่งในปัจจุบันหน่วยงานที่ได้มีการพัฒนาการคิดเชิงออกแบบจนมีชื่อเสียง คือ สถาบันการ ออกแบบ (Institute of Design) หรือเรียกว่า “ดีสคูล (D.School)” มหาวิทยาลัยแสตมป์ฟอร์ด (Stanford University) (มหาวิทยาลัยหอการค้า, ได้นำเอาแนวคิดดังกล่าวมาสอนให้กับนักศึกษาด้านบริหารธุรกิจจน ประสบความสำเร็จมากมาย สำหรับขั้นตอนของการคิดเชิงออกแบบ (Design Think Process) แบ่งออกเป็น 5 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1. Empathize – เข้าใจปญั หา ขั้นตอนของการ Empathize ถือเป็นขั้นแรกในการทำความเข้าใจปัญหาของกลุ่มเป้าหมายเชิงลึก หมายถึง การทำความเขา้ ใจต่อกลุ่มเปา้ หมายให้มากทีส่ ุดเท่าที่จะเปน็ ไปได้ หรือต้องทำความเขา้ ใจกับปัญหา ให้ถอ่ งแท้ในทุกมมุ มองเสยี ก่อน ตลอดจนเข้าใจผู้ใชก้ ล่มุ เปา้ หมาย หรือเขา้ ใจในส่ิงที่เราต้องการแก้ไข เพื่อหา หนทางท่เี หมาะสมและดีที่สุดให้ได้ เนื่องจากขน้ั ตอนการ Empathize มีความสำคญั มากเพราะจะได้ประเด็น ปัญหาอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งโดยเฉพาะที่มาจากผู้ใช้/ กลุ่มเปา้ หมาย ซึ่งสามารถทำไดโ้ ดยวิธีการดังต่อไปน้ี 1.1 การสังเกต (Observe) เป็นวิธีการที่ใช้เป็นเบื้องต้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจปัญหา การ สังเกตพฤติกรรมที่กลุ่มเป้าหมายแสดงออกมีผลต่อการเชื่อมโยงกับบริบทที่ต้องการค้นหา ซึ่งขั้นตอนการ สังเกตผูอ้ อกแบบตอ้ งมีความไวและมใี จจดจอ่ ต่อการแสดงออกของกลุม่ เป้าหมาย ทั้งปฏิกริ ยิ าท่าทาง เนื้อหา 76
ของข้อมูลและน้ำเสยี งของกลมุ่ เป้าหมาย และยิง่ ไปกวา่ นั้นเปา้ หมายของการสงั เกต คือการได้ข้อมูลเชิงลึกทุก มติ ิ และขอ้ มลู น้ันจะตอ้ งสะทอ้ นถึงความตอ้ งการของกลมุ่ เปา้ หมายอยา่ งแท้จรงิ 1.2 การสมมตุ ิให้ตนเองเขา้ ไปอยู่ในสถานการณน์ นั้ ๆ (Immerse) เพื่อให้รบั รู้ความรู้สึกและ ความคดิ ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน วิธกี ารนีจ้ ะทำให้ผู้ออกแบบมีความรสู้ ึกรว่ มกบั กลุ่มเป้าหมายและนำไปสู่ การเข้าใจปัญหาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสามารถสังเกตพฤติกรรม การแสดงออกด้านอารมณ์และความรู้สึกของ กลมุ่ เป้าหมายทีก่ ำลังอยรู่ ่วมในสถานการณ์เดยี วกนั ถือว่าเขา้ ใจปัญหาไดเ้ ชงิ ลกึ มากกว่าการสังเกต 1.3 การพดู คยุ เพอ่ื ให้เข้าใจความคิดของกล่มุ เปา้ หมาย (Interview) วธิ ีการนผี้ อู้ อกแบบจะใช้ คำถามว่า “ทำไม (Why)” เพื่อให้ได้ความหมายลึก ๆ ที่ทำให้เห็นปัญหาชัดเจน และเพื่อให้การพูดคุยเกิด ประสิทธิภาพ ผู้ออกแบบจะต้องสร้างบทสนทนาก่อนเริ่มต้นพดู คยุ เพือ่ ให้กลุม่ เป้าหมายเกิดความไวว้ างใจจน ได้ข้อมูลทแ่ี ท้จริง ดังนั้นกล่าวได้วา่ ขนั้ ตอนของการ Empathize เป็นการทำความเข้าใจความคิดของผู้ใช้/กลมุ่ เป้าหมาย ให้มากที่สุด โดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งมีความสำคัญ และเป็นเรื่องที่ยากลำบากกับการจะทำให้ผู้ใช้/ กลุม่ เปา้ หมายบอกความตอ้ งการของตนทแี่ ท้จริง ซึ่งการเข้าใจถึงปัญหาอยา่ งลึกซงึ้ น้ันอาจไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งดำเนิน ทัง้ 3 วิธี หากเพียงแค่การพดู คยุ กับผูใ้ ช้/กลุ่มเป้าหมายให้พวกเขาเหล่านั้นมีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันก็อาจจะ นำไปส่ปู ัญหาทแ่ี ทจ้ ริงได้เช่นเดียวกนั 2. Define – การนิยามของปัญหาหรือกำหนดปญั หาใหช้ ดั เจน เมื่อรู้ถึงข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน ตลอดจนวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ให้นำเอาข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ เพื่อที่จะคัดกรองให้เป็นปัญหาที่แท้จริง กำหนดหรือบ่งชี้ปัญหาอย่างชัดเจน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการ ปฏิบตั ิการตอ่ ไป รวมถงึ มแี กน่ ยึดในการแก้ไขปัญหาอย่างมีทิศทาง กลา่ วคือ เป็นการตีความจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ มาจากขนั้ ตอน การทำความเข้าใจปญั หาของกลุ่มเป้าหมายเชงิ ลึก เพอ่ื ระบุใหเ้ หน็ ว่าปัญหาท่ีแท้จริงที่เกิดข้ึน คืออะไร ข้นั ตอนนี้จะตอ้ งเชื่อมโยงประเดน็ ต่าง ๆ ท่ีนำไปสคู่ วามรู้สึกนกึ คิดในเชงิ ลึก (Insight) ความต้องการ (Needs) โดยใช้ภาพรวมและมุมมอง (Point of View) ของกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ ผอู้ อกแบบตอ้ งนำข้อมูลทม่ี ีความหลากหลายมาจัดกลุ่มและหาความสัมพนั ธ์ในแต่ละกลุ่มกอ่ นท่ีจะสรุปปัญหา หรือความต้องการทีส่ ำคญั เพอ่ื นำไปหาทางแก้ไขหรอื สรา้ งนวตั กรรม 3. Ideate – ระดมความคดิ เป็นการระดมความคิดเห็นแบบไร้ขีดจำกัดของทีมออกแบบเป้าหมายของขั้นตอนนี้คือต้องการ ความคิดที่หลากหลายและจำนวนมากพอที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา กล่าวคือเป็นการนำเสนอ แนวความคิดตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ อย่างไม่มกี รอบจำกดั ควรระดมความคิดใน หลากหลายมุมมอง หลากหลายวิธีการ ออกมาให้มากที่สุด เพื่อที่จะเป็นฐานข้อมูลในการที่เราจะนำไป ประเมนิ ผลเพอ่ื สรปุ เป็นความคิดท่ีดีท่ีสุดสำหรับการแกไ้ ขปัญหานัน้ ๆ ซึง่ ไมจ่ ำเป็นตอ้ งเกิดจากความคิดเดียว หรือเลอื กความคิดเดียว แตเ่ ป็นการผสมผสานหลากหลายความคดิ ใหอ้ อกมาเปน็ แนวทางสุดท้ายทช่ี ดั เจน ทั้งน้ีเพ่ือให้เกดิ ความคิดใหม่ ๆ ความคดิ นอกกรอบและตอบโจทย์ได้แบบท่ีไมเ่ คยมีใครปฏิบัติมาก่อน หัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้คือการระดมความคิดเห็นของกลุ่มให้เกิดความสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องดว้ ยการใช้ คำพูดเชงิ บวก เชน่ “ใชค่ ะ่ และ......” (Yes and) ซ่งึ วิธีนี้จะทำใหผ้ ู้ออกแบบไม่ถูกจำกัดความคิดเหมือนการใช้ คำวา่ “ใชค่ ะ่ แต่......” (Yes but) ความคดิ แต่ละประเด็นที่ไดจ้ ากจนิ ตนาการให้บนั ทกึ ลงกระดาษโน้ต (Post- in) เพื่อใหท้ ีมไดเ้ ห็นและสามารถนำมาจัดเป็นกลุ่มความคิด และรว่ มกันเลือก กลมุ่ ความคิดทค่ี าดว่าจะนำไปสู่ การแก้ไขปญั หาได้ไปสรา้ งต้นแบบในอนั ดับตอ่ ไป 77
4. Prototype – การพฒั นาตน้ แบบ/สรา้ งตน้ แบบท่เี ลือก ในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบนำกลุ่มความคิดจากสิ่งที่เขียนในกระดาษมาสร้างเป็นชิ้นงที่จับต้องได้ เปรยี บเสมือนกับการนำสง่ิ ที่เป็นนามธรรมมาพัฒนาเปน็ รูปธรรม การสร้างตน้ แบบไมจ่ ำเป็นต้อใช้วัสดุอุปกรณ์ ที่มีคุณภาพสูงหรือราคาแพง หรือมีรายละเอียดมากเกินไป แต่เน้นที่ความรวดเร็วในการพัฒนา (Rapid) เป็น ต้นแบบหยาบ ๆ ที่พอจะมองให้เห็นภาพได้ (Rough) และเหมาะกับการนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด (Right) ตน้ แบบทีส่ รา้ งอาจใช้กระดาษสี กระดาษโนต้ หรือวัสดุทสี่ ามารถนำมาประกอบเปน้ รูปร่างได้ง่ายและ รวดเร็ว การเริ่มต้นสร้างต้นแบบจากวัสดุที่ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดการต่อยอดต้นแบบได้ เนื่องจากต้นแบบที่สร้างขึ้นครั้งแรกย่อมไม่สมบูรณ์แบบได้ในครั้งเดียว ดังนั้นการปรับเปลี่ยนต้นแบบจึง สามารถเกิดขน้ึ ได้ตลอดเวลาเม่ือไดม้ ีการทดสอบกับกล่มุ เป้าหมาย อย่างไรกต็ าม สงิ่ ทนี่ ักออกแบบควรพึงระวัง ไว้เสมอว่าต้นแบบที่ดีคือต้นแบบที่พัฒนาออกมาได้รวดเร็ว แต่นำไปใช้ตอบปัญหาหรือตีความเบื้องต้นได้ เช่นเดยี วกันหากเปน็ เรื่องการออกแบบผลติ ภัณฑ์หรือนวัตกรรม ขนั้ การพัฒนาต้นแบบ (Prototype) คือ การ สร้างต้นแบบเพ่อื ทดสอบจรงิ กอ่ นทจี่ ะนำไปผลติ จริง การลงมือปฏิบัติหรือทดลองทำจริงตามแนวทางท่ีได้เลือก สำหรบั ในด้านอน่ื ๆ ข้ันนกี้ ค็ อื การลงมอื ปฏิบตั ิหรอื ทดลองทำจริงตามแนวทางท่ีได้เลือก 5. Test – การทดสอบต้นแบบ ขั้นตอนการทดสอบตน้ แบบมีวตั ถุประสงค์เพอ่ื หาการรับร้ทู ่ีแท้จริงของผู้ใช/้ กล่มุ เป้าหมายต่อต้นแบบ ที่สร้างขึน้ กล่าวคือ ขั้นตอนการทดสอบต้นแบบการนำต้นแบบท่ีสร้างขึ้นมาไปใช้กับผูใ้ ช้/กลุ่มเปา้ หมาย เพ่ือ สงั เกตประสทิ ธิภาพของการใชง้ าน โดยนำผลตอบรบั ขอคำแนะนำ (Feedback) หรอื ขอ้ ดีข้อเสยี และนำไปสู่ การปรับปรุงหรือแกไ้ ขกอ่ นนำไปใชจ้ ริงอีกครงั้ นน่ั เอง ภาพที่ 21 กระบวนการคดิ เชิงออกแบบ ท่มี า : Stanford d. school (2009) 78
ดงั นนั้ กลา่ วไดว้ ่าข้นั ตอนของการทำความเข้าใจ (Empathize) และข้นั การนิยามปญั หา (Define) เป็น ขน้ั ตอนแหง่ การสรา้ งความเข้าใจและนยิ ามหรือตีความปญั หา เพ่ือต้ังเป้าหมายของโครงการ ถัดมาขนั้ ตอนของ การสรา้ งความคดิ (Ideate) เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรคแ์ ละมุมมองจากหลาย ๆ คนในทีมเพ่ือสร้างคำตอบ หรอื ทางเลอื กวธิ แี ก้ปัญหาใหม่ ในสว่ นข้ันตอนการสรา้ งตน้ แบบ (Prototype) และขน้ั ตอนการทดสอบ (Test) เปน็ การพัฒนาต้นแบบเพอ่ื ให้ได้แนวทางหรอื นวตั กรรมท่ีมีคณุ ภาพและมีคุณค่าต่อกลุ่มเปา้ หมายอย่างแม้จริง ข้นั ตอนทดสอบแนวคดิ กับตัวแทนผใู้ ชห้ รอื กลุ่มเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม มหาวทิ ยาลัยหอการค้า ไดเ้ พ่ิมขน้ั ตอนของการคิดเชงิ ออกแบบเป็น 6 ข้ันตอน คือเพ่ิม ขั้นตอนการย้อนกลับ (Reflect) โดยหลังจากที่ดำเนินการครบทั้ง 5 กระบวนการ ต้องมีการย้อนกลับมา ทบทวนวา่ ผลลพั ธน์ ั้นเปน็ ที่น่าพอใจหรอื ไม่ ผอู้ อกแบบไดเ้ รยี นรสู้ งิ่ น้ัน นอกจากนี้กระบวนการของการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) นั้นมีการนำมา ประยุกต์ใช้และสร้างเป็นโมเดลขึ้นหลายรูปแบบ และหนึ่งในโมเดลที่นิยมนำมาใช้กับงานบริหารจัดการ ตลอดจนสร้างสรรค์การทำงานให้กับองค์กร เรียกว่า “โมเดลเพชรคู่” หรือ “Double Diamond” ของ UK Design Council ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ Discover Define Develop และDeliver หรืออาจเรียก งา่ ย ๆ วา่ 4D ดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 : ค้นพบ – Discover ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการการคดิ เชิงออกแบบทุกครั้งเรามักหยิบเอาปญั หามาเป็นโจทย์สำคญั ในการ เริ่มต้น ในขั้นตอนแรกนี้ก็คือการค้นพบปัญหาแล้วทำความเข้าใจกับปัญหาให้ลึกซึ้งมากที่สดุ หลากหลายมิติ ทสี่ ุด เพอื่ ทจ่ี ะนำไปสูก่ ารหาทางออกทดี่ แี ละตอบโจทย์มากทส่ี ดุ ขน้ั ตอนที่ 2 : บง่ ช้ี / กำหนด – Define หลังจากที่เรามองปัญหาอยา่ งรอบด้านแล้ว ให้นำเอาข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์เพื่อที่จะคัดกรองให้ เป็นปัญหาที่แท้จริง กำหนดหรือบ่งชี้ว่าเป็นปัญหาอะไร ประเภทไหน เพื่อให้เข้าใจลักษณะของปัญหาให้ได้ ชัดเจนทส่ี ดุ เพยี งประเดน็ เดียว เพอื่ ที่จะไดม้ ีจดุ หมายในการหาทางแกไ้ ขได้อยา่ งตรงประเด็น มที ิศทางชดั เจน ขัน้ ตอนที่ 3 : พัฒนา – Develop หลงั จากที่เรามีแกน่ ของปญั หาท่ีชดั เจนแลว้ ข้นั ตอนของการพัฒนานกี้ ค็ ือการระดมสมองเพ่ือ แชร์ไอ เดีย เพ่ือหาวิธีการแกป้ ัญหาต่างๆ นานา ท้งั ในกรอบและนอกกรอบ โดยคดิ ให้รอบด้านท่ีสุด ถ้าเปรียบกับการ ออกแบบสร้างสรรคผ์ ลิตภัณฑแ์ ลว้ ขนึ้ ตอนนีก้ ค็ อื การหาไอเดียเพอ่ื ท่ีจะออกแบบไปในทิศทางต่างๆ หลากหลาย รูปแบบเพ่อื นำมาเลือกไอเดียทดี่ ที ีส่ ุดไปผลิตนั่นเอง ขั้นตอนที่ 4 : นำไปปฏบิ ัติจรงิ – Deliver ข้นั ตอนน้เี ราจะเลือกวธิ ีท่ีดีที่สุดเพ่ือนำไปแก้ไขปญั หาจริง ปฏิบัติจริง เพอื่ ตอบโจทย์ปัญหาที่เราต้ังไว้ นำไปทดลองหรือทดสอบจริงว่ามปี ระสิทธิภาพหรือไม่ ตลอดจนเก็บข้อมลู เพอื่ นำมาประมวลผลด้วย 79
ภาพท่ี 22 Double Diamond Design Process ท่ีมา : DEX Space, 2016 ระยะของกระบวนการคดิ เชงิ ออกแบบ สามารถสรปุ ได้เป็น 3 ระยะหลกั (Three phases) คอื ระยะที่ 1 เข้าใจปัญหา (Understand) เป็นระยะการใช้เวลาทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซ้ึง (empathy) และกำหนดประเดน็ และทิศทางในการแก้ปญั หาทชี่ ดั เจน (define) ถูกตอ้ งตรงประเด็น ระยะที่ 2 พัฒนาไอเดีย (Create) เป็นระยะที่สร้างไอเดีย (ideate) หรือการต่อยอดจากหลากหลาย มมุ มอง (idea generation) เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรคน์ วตั กรรมที่แปลกใหมแ่ ละตอบโจทยก์ ารแกไ้ ขปัญหา ระยะที่3 ส่งมอบนวัตกรรม (Deliver) เป็นระยะเปลี่ยนไอเดียเป็นนวัตกรรมต้นแบบ(Prototype) และทำการทดสอบ (test) กับกลมุ่ เปา้ หมาย ปรบั ปรงุ แกไ้ ข จนสามารถนำไปใช้ได้จรงิ 80
ภาพท่ี 23 ระยะของกระบวนการคดิ เชิงออกแบบ ทีม่ า : มานติ ย์ อาษานอก. (2561 หนา้ 9) 81
สรปุ นวัตกรรมทางสงั คม (Social Innovation) หมายถึง สิ่งใหม่ที่สร้างขึ้นมาจากความคิดสร้างสรรค์ ไม่ ว่าจะเป็นกระบวนการ ผลติ ภัณฑ์ หรือรูปแบบ/วิธีการ ท่ีตอบสนองและแกป้ ญั หาทางสงั คม โดยส่ิงน้ันต้องทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดขี ึ้นในสังคมได้จริง ซึ่งความแตกตา่ งระหว่างนวัตกรรมทางสังคมกบั นวัตกรรมทาง ธุรกิจอาจอยู่ที่เป้าหมายและผลลัพธ์ในการสรา้ งการเปลีย่ นแปลงให้กับสังคม ที่สำคัญหากขาดนวตั กรรมทาง สังคมอาจไม่สร้างผู้ประกอบการทางสังคมหรือเกิดเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ ทำให้การพยายามตอบสนอง ความตอ้ งการของสังคมด้วยส่ิงใหม่ ๆ ทีเ่ ร่ิมจากการตระหนักถงึ ปัญหา การระดมความคิด และลงมือแก้ปัญหา เพอ่ื ให้เกิดคณุ ค่าทางสังคม การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรม (Innovative Problem Solving: IPS) สำหรับ ผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นจุดเน้นอีกประการหนึ่งของการเตรียมความพร้อมไปสู่โลก Disruptive Technology ที่ต้องแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม ความสามารถของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จะต้องพยายามแก้ไข ปัญหาอาจมมี ากกว่าองค์การธรุ กิจ หรือถอื ได้วา่ มีอปุ สรรคมากกว่าธุรกิจ อาทเิ ชน่ อปุ สรรคดา้ นการรับรู้ ด้าน ความเชื่อ หรือผลกระทบทางสังคม ดังนั้น การคิดเพื่อค้นหาวิธีการหาคำตอบหรือวิธีการแก้ปัญหาที่ หลากหลาย มีโครงสร้างของกระบวนการที่ใช้จินตนาการ การวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำไปใช้ใน กระบวนการแกป้ ัญหานวัตกรรมเชงิ ท่ีดีท่ีสุด และแปลกใหม่ จึงเปน็ เร่อื งทที่ า้ ทายสำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคมใน ปัจจุบัน กระบวนการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเป็นระบบ โดยยึด “คน” เป็นศูนย์กลางในการออกแบบ เพื่อแก้ปัญหา มีกระบวนที่สำคัญอยู่ 3 ระยะคือ 1) ระยะเข้าใจปัญหา (Understanding) คือการทำความ เข้าใจปญั หาใหถ้ กู ตอ้ งกับประเดน็ และความตอ้ งการ 2) ระยะพัฒนาไอเดยี (Creating) คอื ปัจจัยสำคัญท่ีจะทำ ให้เกิดนวัตกรรม ไอเดียหรือแนวคิดใหมๆ่ เมอื่ ไดร้ ับการพัฒนาจะเป็นจุดต้งั ต้นของการแก้ปญั หาเชงิ สร้างสรรค์ และ 3) ระยะส่งมอบนวัตกรรม (Delivering) คือการเปลี่ยนไอเดียให้เป็นต้นแบบนวัตกรรม ก่อนที่จะนำไป ทดลองใช้ซึ่งผลจากการทดลองนำมาใช้บูรณาการกับการเรียนการสอนสาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษาและ คอมพิวเตอร์ศึกษาพบว่ากระบวนการคิดเชิงออกแบบช่วยสร้างการเรียนรู้ของนิสิตและพัฒนาทักษะต่างๆ ตลอดจนกระบวนการคิดและการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ที่มี ความหมาย สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาผู้เรียนและสังคม ช่วยเพิ่มมูลค่าและผลลัพธ์การเรียนรู้ อยา่ งแทจ้ ริง 82
เอกสารอา้ งองิ กาญจนา แสงลิ้มสุวรรณ. (2555). นวัตกรรมทางสังคม: ประโยชนท์ ม่ี ีมากกว่าที่คดิ . วารสารนกั บรหิ าร, 32(3), 12-15. ชานนท์ โกมลมาลย.์ (2561). นวตั กรรมทางสงั คมเพ่ือขับเคลื่อนสขุ ภาวะโดยการมีส่วนรว่ มของเด็กและ เยาวชน. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 26(1), 120-145. ติญทรรศน์ ประทปี พรณรงค์. (2563). การพัฒนาอย่างยั่งยืนกบั วสิ าหกจิ เพอ่ื สังคม. นนทบุรี : รัตนไตร. ทรงศักดิ์ รักพ่วง และ ภุชงค์ เสนานุช. (2562). นวตั กรรมทางสังคมสำหรบั ผ้สู งู อายุ: ความสำคัญตอ่ สังคม ผู้สงู อายุใน ประเทศไทย. วารสารวิชาการนวตั กรรมส่ือสารสงั คม, 7(2), 205-215. ทาเนีย เอลลิส. (2554). นักบุกเบิกรุน่ ใหม่. (นันทิยา เล็กสมบูรณ์, ผู้แปล) กรงุ เทพฯ : โพสต์บุ๊กส์. (The New Pioneers published in English, 2010) นชุ จรี กจิ วรรณ. (2561). กระบวนการคิดเชงิ ออกแบบ : มุมมองใหม่ของระบบสุขภาพไทย. วารสารสภาการ พยาบาล, 33(1), 5-14. บงกช สุทัศน์ ณ อยธุ ยา. (2562). นวัตกรรมสังคมสร้างสุขด้วยการแบง่ ปนั . เชยี งใหม:่ พงษ์สวสั ดกิ์ ารพมิ พ์ ประเวศ วะส.ี (2546). วิถมี นุษย์ในศตวรรษท่ี 21 ส่ภู พภูมใิ หมแ่ หง่ การพัฒนา. วารสารหมออนามยั , 12(4), 7-12. ไปรมา อิสรเสนา ณ อยุธยา และชูจติ ตรรี ตั นพันธ์. (2560). การคิดเชงิ ออกแบบ : เรยี นรดู้ ้วยการลงมอื ทำ. กรุงเทพฯ : ศนู ย์สร้างงานออกแบบ. พรสวรรค์ วงคต์ าธรรม. (2558). การคิดแก้ปัญหาเชงิ สรา้ งสรรค์ ทกั ษะการคิดในศตวรรษที่ 21. วารสาร ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , 38(2), 111-121. มานิตย์ อาษานอก. (2561). การบูรณาการกระบวนการคิดเชงิ ออกแบบเพอื่ พฒั นานวตั กรรมการจดั การ เรียนรู้. วารสารเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา, 1(1), 6-12. มารุต พัฒผล. (2562). การแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรม. กรุงเทพฯ : ศนู ยผ์ ูน้ ำนวตั กรรมหลักสูตรและการเรยี นรู้. อลงกรณ์ คตู ระกูล. (2553). นวตั กรรมสงั คม : กรณศี กึ ษาโครงการของทอ้ งถน่ิ ในเขตภาคเหนอื ของประเทศ ไทย. วทิ ยานพิ นธ์รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎบี ัณฑิต. สถาบันฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์. กรงุ เทพฯ ฮิกกิ้นส,์ เจมส์. เอม็ (2554). 101 เทคนคิ การแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์. (วิทยา สหุ ฤทดำรง และธนะศักดิ์ พ่ึง ฮ้วั , ผู้แปล). กรุงเทพฯ : อ.ี ไอ. สแควร์ พับลซิ ซี่ง. (Creative Problem Solving Techniques published in English, 2011) Alakeson, V., Aldrich, T., Goodman, J., Jorgensen, B., and Miller, P. (2003). Social responsibility in the information society. Digital Europe Final Project Report. European Commission. Caulier-Grice, J, Davies, A., Patrick, R., and Norman, W. (2012). Defining social innovation. [Online] from https://youngfoundation.org/wp- content/uploads/2012/12/TEPSIE.D1.1.Report.DefiningSocialInnovation.Part-1-defining- social-innovation.pdf Dees, J.G. (1998). Enterprising nonprofits. Harvard Business Review, 76(1998), 55-67. DEX Space. (2016). Design Thinking คอื อะไร (Overview). [Online] from https://medium.com/base-the-business-playhouse/design-thinking-คอื อะไร-overview- dc8c8e7547db 83
Drucker, P. F. (1985). The Discipline of Innovation. Harvard Business Review, 68(4), 67-72. Mulgan, G., Tucker, S., Ali, R., and Sanders, B. (2007). Social Innovation: What It Is, Why It Matters and How It Can Be Accelerated. London: Basingstoke Press. Murray, R., Caulier-Grice, J. and Mulgan, G. (2010). The Open Book of Social Innovation. London: Nesta. Phills, J.A., Deiglmeier, K. and Miller, D.T. (2008). Rediscovering Social Innovation. Stanford Social Innovation Review, (2008), 34-43. Oeij, P., Van Der Torre, W., Vaas, F. and Dhondt, S. (2019). Understanding social innovation as an innovation process: Applying the innovation journey model. Journal of Business Research, 101(2019), 243-254. Roger, E.M. (2003). Diffusion of innovations. (5 th ed.). New York : Free Press Rowe, P. G. (1991). Design thinking. Cambridge, MA : The MIT Press. Stanford d. school. (2009). Steps in a Design Thinking Process. [Online], from https://dschool.stanford.edu/groups/k12/wiki/17cff/ The Stanford d. school Bootcamp Bootleg (HPI). (2010). An Introduction to Design Thinking Process Guide. [Online], from https://dschool- old.stanford.edu/sandbox/groups/designresources/wiki/36873/attachments/74b3d/Mod eGuideBOOTCAMP2010L.pdf UK Design Council. (2017). Designers across disciplines share strikingly similar approaches to the creative process, which we’ ve mapped out as ‘the Double Diamond. [Online], from http://www.designcouncil.org.uk/news-opinion/design-process-what-double- diamond คำถามทบทวน 1. จงอธบิ ายความหมาย และความแตกต่างระหว่างนวัตกรรมทางสังคมกบั นวตั กรรมทางธรุ กจิ พรอ้ มยกตวั อย่าง 2. จงอธบิ ายความสำคัญของนวตั กรรมทางสังคม พร้อมยกตวั อย่าง 3. สร้างนวตั กรรมทางสงั คมมกี ระบวนการอย่างไรบ้าง จงอธิบาย 4. จงอธบิ ายความหมายของการแก้ไขปัญหาเชิงนวตั กรรม 5. จงอธบิ ายความสำคัญและประโยชนข์ องการแก้ไขปญั หาเชงิ นวตั กรรม พรอ้ มยกตวั อย่างสำหรับ กจิ การ/วสิ าหกจิ เพ่ือสังคม 6. จงอธบิ ายกระบวนการแกไ้ ขปัญหาเชิงนวตั กรรม 7. กระบวนการคดิ เชงิ ออกแบบมีกข่ี น้ั ตอน อะไรบา้ ง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง 84
แผนการสอนประจำบทที่ 6 หัวขอ้ เน้อื หาประจำบท 1. ความหมายของแผนธรุ กิจ 2. ความสำคัญ และประโยชนข์ องแผนธุรกจิ 3. ลกั ษณะของแผนธรุ กจิ ทด่ี ี 4. องค์ประกอบของแผนธรุ กจิ วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เมือ่ เรยี นจบบทน้ี นกั ศึกษาสามารถทำส่งิ ตอ่ ไปนี้ 1. สามารถอธิบายความหมายของแผนธรุ กจิ 2. สามารถอธบิ ายความสำคัญ และประโยชน์ของแผนธรุ กจิ 3. สามารถอธบิ ายลกั ษณะของแผนธุรกิจที่ดี 4. สามารถอธบิ ายองค์ประกอบของแผนธรุ กจิ วิธีการสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจำบท 1. ฟังการบรรยาย สรปุ สาระสำคัญโดยอาจารยผ์ ู้สอน 2. วเิ คราะห์ สงั เคราะหต์ ามเนอื้ หา กรณีศึกษา 3. ศึกษาค้นคว้าข้อมลู เพิม่ เตมิ จากตำรา วารสาร หนังสือพิมพ์ และ Internet เปน็ ตน้ 4. อภปิ รายงานกลุ่ม และนำเสนอรายงานหน้าช้นั ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารการสอนวชิ าธุรกจิ เพอื่ สังคม บทความ หนังสือท่เี ก่ียวขอ้ ง 2. Power point (ทงั้ ภาพนิง่ และ Animation) 3. ใบงาน กรณีศึกษา การวัดผลและการประเมินผล 1. สงั เกตความสนใจของนกั ศึกษา และการมีส่วนรว่ มในกิจกรรม 2. การประเมนิ จากการที่นกั ศึกษาแสดงความคิดเหน็ 3. การประเมนิ จากการตอบคำถามทบทวน 4. การประเมินจากผลงานของนักศกึ ษา 85
86
บทที่ 6 แผนธุรกจิ และการเขยี นแผนธรุ กจิ แผนธุรกิจ หรือ Business Plan เป็นเสมือนกรอบแนวทางของการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบ ธรุ กิจทว่ั ไปหรือผู้ประกอบธรุ กจิ รายใหม่ถึงการมีเป้าหมายท่ีชัดเจนมากขึน้ นอกจากน้ี การทำแผนธุรกิจยังเป็น งานและความรับผิดชอบที่ต่อเนื่องของผู้บริหารหรือผู้นำองค์การ เนื้อหาบทที่ผู้เขียนได้อธิบายความหมาย ความสำคัญ ประโยชน์ ลักษณะของแผนธุรกิจที่ดี และองค์ประกอบสำคัญของแผนธุรกิจ ตลอดจนเทคนิคใน การเขยี นแผนธรุ กจิ เพอ่ื เปน็ การเตรียมความพร้อมขน้ั พ้นื ฐานสำหรับผูป้ ระกอบการท่ีกำลงั ตอ้ งการสร้างธุรกิจ หรือขยายกจิ การตอ่ ไป ความหมายของแผนธรุ กจิ (Business Plan) แผนธุรกิจถือเปน็ เข็มทิศสำคัญในการดำเนินธุรกิจใหม่มีไวเ้ พื่อใช้ประเมนิ ผลงานของบริษัทและยังใช้ สำหรับการวางแผนเพิ่มทุนจากแหล่งทุนต่าง ๆ โดยคำว่า “แผนธุรกิจ” มีนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาว ต่างประเทศอธิบายความหมายของแผนธรุ กิจไว้หลายท่าน ยกตวั อย่างเช่น กอสวามิ, ไคเซอร์ (Goswami, Kishor, 2017) กลา่ วว่า แผนธุรกจิ หมายถงึ เครือ่ งมอื ทีม่ คี วามสำคัญ สำหรับผู้ประกอบการทร่ี ิเรม่ิ จะก่อตง้ั กิจการ ซ่งึ เปน็ ผลสรุปหรือผลรวมแหง่ กระบวนการคิดพิจารณา และการ ตัดสนิ ใจทจี่ ะเปล่ียนความคิดของผ้ปู ระกบการออกมาเปน็ โอกาสทางธรุ กจิ เอลเลน ลูตส์, บุ๊กจี นอสเซน และอาร์เจน แวน วิตเทลูสตูจ์น (Ellen Loots, Boukje Cnossen & Arjen van Witteloostuijn, 2018) กล่าวว่าแผนธุรกิจ หมายถึง การแปลงฝันให้กลายเป็นรูปธรรม เพื่อใช้ สำหรับแชร์ให้ผู้ถือผลประโยชน์ร่วม หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ได้เข้าใจธุรกิจหรือโครงการที่ องคก์ ารธุรกจิ ต้องการจะทำ รัชกฤช คล่องพยาบาล (2553, หน้า 32) ให้ความหมายของคำว่า “แผนธุรกิจ (Business Plan)” หมายถึง เอกสารซ่ึงแสดงถงึ ข้อมลู และรายละเอียดของธรุ กิจ รวมถงึ วธิ ีการและกระบวนการในการดำเนินการ ของธุรกิจในทุกดา้ นทีไ่ ด้ผ่านการวางแผนขึน้ ตามเป้าหมายและวตั ถุประสงคข์ องธรุ กจิ นั้น รวมถึงแสดงให้เหน็ ถงึ ผลลัพธ์ท่เี กดิ ขนึ้ ของธุรกจิ จากวธิ ีการและกระบวนการในการดำเนนิ ของธรุ กจิ ทีไ่ ด้กำหนดข้นึ หรอื กล่าวได้วา่ เปน็ เอกสารประกอบตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้องกับธุรกิจ และเปน็ เอกสารท่ีชว่ ยสนับสนุนข้อมูลต่าง ๆ ทปี่ รากฏในแผน ธุรกจิ ทง้ั ในสว่ นของแผนการบริหารจัดการ แผนการตลาด แผนการผลติ แผนการเงนิ แผนการดำเนินธุรกิจซึ่ง วเิ คราะห์รายละเอียดต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวข้องกับธรุ กิจในทกุ ๆ ขัน้ ตอน ทัง้ สินคา้ หรอื บริการ ลูกคา้ จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส รวมถึงอปุ สรรคตอ่ ธุรกิจ เพ่อื ให้การดำเนินธรุ กิจเป็นแบบแผนมีความรู้ ความเข้าใจ และการจัดการที่ดี ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี (2553, หน้า 7) ให้คำจำกัดความของแผนธุรกิจ คือ แผนที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ สามารถมองไปข้างหน้าได้อย่างชัดเจนว่าธุรกิจจะดำเนนิ กิจการอย่างไร สามารถแบ่งสรรทรัพยากรที่มีอย่ไู ด้ 87
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136