วทิ ยานิพนธ์ ระดับปรญิ ญาตรี Undergraduate Thesis หนงั สอื เล่มนี้เป็นส่วนหนง่ึ ของการจัดเรียนการสอน ในรายวิชาเทคโนโลยสี ื่อสิ่งพมิ พ์ เรียบเรยี งโดย นายมานัส วงคเ์ ถ่ือน รหัสนสิ ติ 60411707 สาขาวิชาเทคโนโลยแี ละสือ่ สารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร
คำนำ การเรยี บเรียงเอกสารประกอบการสอนรายวิชาวิทยานิพนธ์ ระดบั ปรญิ ญาตรี เป็นส่วนหนง่ึ ของการจดั การเรยี นการสอนในรายวิชาเทคโนโลยสี อ่ื สิง่ พิมพ์ เรียบเรียง โดยนิสิตหลกั สตู รศลิ ปะศาสตรบ์ ัณฑติ (สาขาวิชาเทคโนโลยีสอ่ื สารการศกึ ษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร) ผู้เรียบเรียงหวงั ว่าการเรยี บเรยี งครั้งนมี้ ปี ระโยชนต์ ่อผสู้ นใจไมม่ ากกน็ อ้ ย เรยี บเรียงโดย มานัส วงค์เถื่อน
สำรบัญ หนำ้ บทท1่ี บทนำ 1 วัตถุประสงค์ของการจัดทา 1 กระบวนการของวทิ ยานิพนธ์ระดับปรญิ ญาตรี บทท2่ี ส่วนประกอบของวทิ ยำนพิ นธ์ ส่วนประกอบตอนต้น 4 ส่วนเน้อื เร่ือง 6 ส่วนประกอบตอนทา้ ย 10 บทท3ี่ รปู แบบกำรเรียบเรยี งและกำรจัดกำรพมิ พ์สำรนพิ นธ์ การจัดหน้าและการจดั ข้อความ 13 หนา้ สาคญั และการจดั วางขอ้ ความ 17 การจดั หน้าตาราง 20 การจัดหนา้ แสดงภาพ 21 บทท4ี่ อัญพจนแ์ ละกำรอ้ำงองิ ความหมายและลกั ษณะของอญั พจน์ 23 การเรียบเรียงอญั พจน์ 23 ความหมายและความสาคญั ของการอา้ งองิ 29 การอา้ งองิ แทรกในเนอ้ื หา 29
การอ้างองิ แบบใชต้ ัวเลข หน้ำ 42 บทท5่ี กำรจดั ทำบรรณำนุกรม หลักท่ัวไปของการจัดทาบรรณานุกรม 44 ประเภทวสั ดุสารสนเทศ 46 การลงข้อมลู ในการจัดทาบรรณานกุ รมสือ่ ส่ิงพมิ พ์ 47 บรรณานกุ รมประเภทหนงั สอื 58 บรรณานุกรมประเภทวารสาร 61 บรรณานุกรมประเภทหนังสอื พิมพ์ 65 บรรณานุกรมประเภทวิทยานิพนธแ์ ละ การศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตวั เอง 66 บรรณานุกรมส่งิ สื่อพิมพ์อน่ื ๆ 70 บรรณานุกรมวสั ดไุ ม่ตพี มิ พ์ 72 บรรณานกุ รมสือ่ ออนไลน์ 75 บรรณานกุ รมในสารนิพนธท์ ่อี า้ งอิงแบบใชต้ ัวเลข 79 อ้ำงองิ 81
1 บทท่ี 1 บทนำ คู่มือวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรีฉบับน้ีจัดทาขึ้นเพ่ือใช้เป็นแนวปฏิบัติในการเรียบเรียง เอกสารในทางวิชาการให้แก่นิสิตของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยได้เรียบเรียง อย่างมีระบบ แบบแผนเพ่ือใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพ่ือความสะดวกต่อความเข้าใจของผู้อ่าน หรอื ผศู้ ึกษาคน้ คว้า ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ 1.วัตถุประสงคข์ องการจดั ทาวิทยานิพนธ์ 2.กระบวนการของวิทยานพิ นธ์ระดับปริญญาตรี 3.บทบาทและหน้าทข่ี องนิสิตในการเสนอวิทยานพิ นธร์ ะดบั ปริญญาตรี 4.บทบาทและหน้าท่ีของอาจารยท์ ่ปี รกึ ษา 5.บทบาทและหนา้ ท่ีของงานบรกิ ารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรจัดทำ การศึกษาในระดับปริญญาตรีของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรนั้น ได้กาหนด นิสิตทาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี โดยจัดให้นิสิตจะต้องเรียนรายวิชาการวิจัยทางการศึกษา และรายวิชาการวัดและการประเมินผลการศึกษา เพ่ือให้นิสิตมีวความรู้ความเข้าใจอย่าง กว้างขวางลุ่มลึกในศาสตร์ทางการศึกษาท้ังในระบบเรียนตลอดจนความรู้ท่ีอยู่นอกเหนือจาก บทเรียน และเพื่อฝึกฝนให้นิสิตสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ตามหลักวิชาการ ตลอดจนมีวิจรณญาณรวมถึงฝึกฝนให้นิสิตมีทักษะ วิสัยทัศน์ และเจตคติท่ีดีต่อ การวจิ ัยทจ่ี ะนาไปเปน็ แนวทางในการทางานและพัฒนาวชิ าชพี ครตู ่อไป กระบวนกำรของวิทยำนิพนธ์ระดับปรญิ ญำตรี ด้วย มหาวิทยาลัยนเรศวรมีเป้าหมายที่จะเป็นมหาลัยวิจัยและนวัตกรรม (Research and Innovation-base University) จงึ มีนโยบายส่งเสริมให้นิสติ ระดับปริญญาตรีทาวิทยานิพนธ์ โดยกาหนดให้เปน็ รายวชิ าหนึ่งในหลกั สูตรระดบั ปรญิ ญาตรี ซง่ึ มีคาอธิบายรายวิชา ดังน้ี
2 รายวิชาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี 1 : ศึกษา สารวจ วิเคราะห์ และระบุประเด็น ปัญหาท่ีผู้เรียนมีความเข้าใจคลาดเคล่ือน หรือปัญหาอื่น ๆ ที่เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ การศึกษา วิเคราะหข์ ้อมูลและเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การวจิ ยั เพือ่ หาแนวทางแก้ปัญหาขา้ งต้น และเขยี นโครง ร่างวิจัย ภายใต้ คาแนะนาและดูแลจากอาจารย์ผู้สอนที่มีความรู้หรือเช่ียวชาญในรายวิชาท่ี เก่ียวข้อง รายวิชาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี 2 : ดาเนินการวิจัยตามโครงร่างวิจัยโดนสร้าง เคร่อื งมือวิจยั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล สรปุ และเขยี นรายงานเพ่ือนาเสนอข้อคน้ พบจากการวจิ ยั ภายใต้ คาแนะนาและดูแลจากอาจารย์ผ้สู อนทม่ี คี วามรู้หรอื เชย่ี วชาญในรายวชิ าท่ีเกย่ี วข้อง ดังน้ันคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จึงได้กาหนดให้นิสิตจัดทาวิทยานิพนธ์ ระดับปรญิ ญาตรี โดยสามารถจดั ทาได้ 3 ลกั ษณะ คือ 1.การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) ที่มุ่งแก้ไขปัญหา และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในช้ันเรียน โดยใช้กระบวนการการวางแผน (Plan : P) ปฏิบัติการ (Act : A) สังเกต (Observe : O) และสะท้อนผล (Reflect : R) ที่มีแบบแผนอย่างเคร่งครัด มี ลักษณะการดาเนินการงานและการนาเสนอเชิงวิชาการ มีการออกแบบการวิจัยที่รัดกุมเพ่ือตอบ คาถามวิจัยไดช้ ดั เจน 2.การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ที่มุ่งศึกษาหาความสัมพันธ์เชิงเหตุ และผลของตัวแปรภายใต้การควบคุมสถานการณ์ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (Cause effect relationship) ระหว่างตัวแปรและมุ่ง ตรวจสอบทฤษฎี การวิจัยการทดลอง อาจแบ่งออกเป็นได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) แบ่งตาม สภาพแวดล้อมของการศึกษาจาแนกออกเป็นการวิจัยด้วยการทดลองในห้องปฏิบัติการ (Laboratory experiment) และการวิจัยด้วยการทดลองในสนาม (Field experiment) และ 2) แบ่งตามวธิ ีการศึกษาตัวแปรจาแนกออกเป็นการทดลองแท้ (True experiment) และการทดลอง เชิงกึ่งทดลอง (Quasi experiment) ซงึ่ การวิจัยเชิงทดลองมีลักษณะท่สี าคญั ประกอบด้วยการส่มุ การจัดกระทา ตัวแปร การควบคุม การสังเกต การออกแบบการทดลอง และกลมุ่ เปรยี บเทียบ
3 3.การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ท่ีมุ่งสู่พัฒนาการหลักสูตร อปุ กรณ์การฝึกอบรม อุปกรณ์การเรียน สื่อการเรียน ระบบการจัดการ ฯลฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่อื ใช้ในโรงเรียนทต่ี รงกบั ความต้องการทม่ี ีรายละเอยี ดโดยเฉพาะ เม่อื พฒั นาข้นึ แลว้ จะต้องนาไป ทดลองใช้และปรับปรุงจนถึงระดับที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผลท่ีได้จากการวิจัยอาจจะอยู่ในรูปแบบ ของหลักการ โครงสร้าง แนวทาง ชุดฝึกอบรมครู สื่อและชุดการเรียน แนวทางการประเมินและ ระบบในการบริหารจัดการหลักสูตร เป็นต้น และได้รับการทดสอบด้วยกระบวนการวิจัยเพ่ือ ยนื ยนั ประสทิ ธภิ าพแลว้
4 บทที่ 2 สว่ นประกอบของวทิ ยำนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรีมีส่วนประกอบสาคัญ 3 ส่วน คือส่วนประกอบตอนต้น (Preliminaries)ส่วนเน้ือเร่ือง (Content Part) และส่วนประกอบตอนท้าย (Auxiliaries) สว่ นประกอบแตล่ ะสว่ นดงั กลา่ วมีสว่ นยอ่ ยและรายละเอยี ดดงั จะได้กลา่ วตอ่ ไป สว่ นประกอบตอนตน้ ส่วนประกอบตอนต้น คือส่วนประกอบก่อนถึงส่วนเนื้อเรื่องของวิทยานิพนธ์ ประกอบด้วยแต่ละสว่ นตามลาดบั ดังน้ี 1. ปกนอก(Cover) ปกนอก คือส่วนประกอบของรูปเล่มของวิทยานิพนธ์ ส่วนที่เรียกว่าปก ประกอบไป ด้วย ปกหน้า (Front Cover) ปกหลัง (Back Cover) และสันปก (Spine) ต้องเป็น กระดาษแข็งสสี ภุ าพ ไมม่ ลี วดลายใช้ตวั อักษรสีดา ท้งั นี้ แตล่ ะส่วนประกอบด้วยรปู แบบและข้อความดังต่อไปน้ี 1.1 ปกหน้า คอื ส่วนท่แี สดงข้อมูลสาคัญของวิทยานิพนธ์ คือ 1.1.1 สว่ นช่อื เรื่อง คือส่วนแสดงของช่อื วทิ ยานิพนธ์ กาหนดใหอ้ ยสู่ ่วนบนของ ปก 1.1.2 ส่วนช่ือผู้จัดทาวิทยานิพนธ์ คือส่วนแสดงช่ือและสกุลของนิสิต ไม่ต้อง แจ้งคุณวุฒิและคานาหน้าช่ือ ยกเว้นคานาหน้าชื่อท่ีเป็น ฐานันดรศักด์ิ บรรดาศักดิ์ ยศ หรือสมณศักดิ์ โดยจัดไวท้ ีส่ ่วนกลางของปก 1.1.3 ส่วนสถาบันศึกษา หลักสูตร และปีการศึกษา คือส่วนท่ีระบุชื่อสถานท่ี ศึกษา ชื่อหลักสูตร และปีการศึกษา จัดอยู่ในส่วนล่างของปก ให้ระบุ ชอื่ รายวิชา ภาคการศกึ ษา ปกี ารศกึ ษา และสถานศึกษา 1.2 ปกหลงั เปน็ หนา้ กระดาษวา่ ง 2. ใบรองปก (Flyleaf) ใบรองปก เปน็ กระดาษหน้าว่าง
5 3. ปกในและปกรอง (Title Page) ปกในหรือปกรอง คือกระดาษพิมพ์แบบเดียวกันท่ีใชใ้ นส่วนเน้ือหา ใชแ้ สดงข้อความ และการจดั วาง เหมือนปกหน้าทุกประการ 4. หนา้ อนมุ ัติ (Approval Page) หนา้ อนุมัติ คอื หนา้ แสดงขอ้ ความรับรองผลการพิจารณา ซึง้ ผู้รบั รองวทิ ยานิพนธ์ คือ อาจารย์ทป่ี รกึ ษา คณะกรรมการสอบ และผู้อนุมัตคิ ือคณบดคี ณะศึกษาศาสตร์ 5. ประกาศคณุ ปู การ (Acknowledgement) หรอื คานา (Preface) ประกาศคุณูปการ คือหน้าแสดงคากลา่ วขอบคุณผู้มสี ว่ นช่วยเหลอื ด้านวิชาการใน การจดั ทาวทิ ยานพิ นธ์และแหล่งทุนสนบั สนนุ (ถ้าม)ี คานา คือหน้าอธิบายหรือช้ีแจงเก่ียวกับการศึกษาค้นคว้าวิทยานิพนธ์ เช่น ที่มาของ การศกึ ษาคน้ คว้า เน้อื หาสาคัญ หรอื การจัดเนื้อความ เป็นตน้ รวมทง้ั อาจแสดงความ ขอบคุณผมู้ ีสว่ นช่วยเหลอื ดา้ นวิชาการ ส่วนท้ายของประกาศคุณูปการหรือคานา ให้ระบุชื่อผู้จัดทาวิทยานิพนธ์ด้วยตัวพิมพ์ ไมใ่ ช้ลายเซ็น 6. บทคัดยอ่ (Abstract) บทคดั ย่อ คอื สว่ นสรุปสาระสาคญั ของวิทยานิพนธ์ ประกอบด้วยสว่ นสาคญั ดังนี้ ส่วนหัวเร่ือง ได้แก่ ช่ือเรื่อง ชื่อผู้จัดทาวิทยานิพนธ์ ที่ปรึกษา ประเภทวิทยานิพนธ์ และคาสาคัญ ส่วนบทคัดย่อ ประกอบด้วย จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า กระบวนการศึกษา ค้นคว้าผลการศึกษาวิจัย และอาจระบุข้อเสนอแนะสาคัญด้วย ท้ังน้ี เนื้อหาของ บทคัดย่อควรเป็นความบรรยายสรุปย่อหน้าเดียว ความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4 สาหรับวิทยานิพนธ์ภาษาไทย และประมาณไม่เกิน 400 คา ในวิทยานิพนธ์ ภาษาอังกฤษ 7. .สารบัญ (List of Contents) สารบัญ คือส่วนแสดงหัวข้อเรื่องและเลขหน้าตามท่ีปรากฏในวทิ ยานิพนธ์ โดยท่ัวไป ให้ระบชุ ่อื บท หัวขอ้ ใหญ่ และหัวข้อรอง โดยลาดับ
6 8. สารบัญตาราง (List of Tables) สารบัญตาราง คือส่วนแสดงลาดับที่ ชื่อตาราง และเลขหน้าตาราง ตามท่ีปรากฏใน วิทยานพิ นธ์ 9. สารบญั ภาพ (List of Figures) สารบัญภาพ คอื สว่ นแสดงลาดบั ท่ี ช่อื ภาพ และเลขหนา้ ตามทปี่ รากฏในวิทยานพิ นธ์ 10. อักษรย่อ (Abbreviations) อักษรย่อ คือส่วนท่ีแสดงตัวอักษรย่อพร้อมคาเต็มท่ีใช้เฉพาะสาขาวิชา ตามท่ีใช้ใน วิทยานิพนธ์ สว่ นเน้อื เรอื่ ง ส่วนเน้อื เร่อื งประกอบดว้ ยสว่ นสาคัญ 2 สว่ น คอื 1.ส่วนเนอื้ หา (Main Text) ส่วนเนื้อหา หมายถึงส่วนที่เป็นการนาเสนอเน้ือหาของการศึกษาค้นคว้าทั้งหมด ซึ่ง จะตอ้ งมกี ารเรยี บเรยี งและนาเสนออยา่ งเปน็ แบบแผน เนื้อหาของวิทยานิพนธ์ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนนา (Leading Chapter) ตวั เรือ่ ง (Content Body) และสว่ นสรุป (Ending Chapter) โดยเสนอเป็น 5 บท ดงั น้ี 1.1 บทนา 1 บทนา (Introduction) บทนาประกอบด้วยหวั ขอ้ ต่าง ๆ คอื 1.1.1 ความเป็นมาของปัญหา (Rationale for the Study) คือส่วนท่ีแสดงสภาพหรือความเป็นมาของปัญหา ความน่าสนใจ ตลอดจนความสาคัญหรือความจาเป็น ของหวั ข้อทีศ่ กึ ษาวจิ ัย 1.1.2 จุดมุ่งหมายของการวิจัย (Purpose of the Study) คือข้อกาหนดความต้องการเพื่อหาคาตอบในการ ศกึ ษาวิจัย
7 1.1.3 ความสาคัญของการวิจัย (Significance of the Study) คือการแสดงคุณค่าและประโยชน์ที่ได้รับจาก การศกึ ษาวจิ ัย 1.1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั (Scope of the Study) คอื การ แสดงขอบข่าย วงจากัดหรือความครอบคลุมของ ประเด็นการศึกษาวิจัย ตลอดจนขอบข่ายหรือความ ครอบคลุมในการนาผลท่ีได้รับจากการศึกษาไปใช้ ปฏิบตั ิ 1.1.5 ข้อตกลงเบ้ืองต้น (Basic Assumption) คือการ กาหนดความคิดพ้ืนฐานของประเด็นและปัญหาท่ี เกีย่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาวจิ ยั 1.1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ (Definition of Terms) คือการ กาหนดความหมายของคาศัพท์ท่ีใช้ในการศึกษาวิจัย ให้มีความเฉพาะ หรือมีความชัดเจน รัดกุม เป็นท่ี เข้าใจตรงกัน 1.1.7 สมมติฐ านของการวิจัย (Hypothesis) คือการ คาดคะเนผลของการศึกษาวิจัยซึ่งสอดคล้องกับการ ตอบคาถามของการศึกษาวจิ ัย หัวข้อดังกล่าวนี้ ถ้าหัวข้อใดไม่จาเป็นในการ ศึกษาวิจัยน้ัน ก็ไม่ต้องระบุไว้ เช่น ข้อตกลงเบื้องต้น นยิ ามศัพท์เฉพาะ สมมติฐานของการวิจยั เป็นต้น 1.2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง (Literature Review) เปน็ การนาเสนอเอกสารความรแู้ ละงานวิจัยเก่ยี วกบั เร่ืองทีท่ าการศึกษาวิจัย โดยนาเสนอแบบสรุปและบูรณาการ
8 1.3 บทที่ 3 วธิ ีการดาเนินการวจิ ัย (Research Methodology) เป็นการนาเส นอกระบวนการศึกษาวิจัยตามลาดับขั้นตอนโดย ทั่วไป ประกอบดว้ ยหัวข้อต่าง ๆ ดงั นี้ 1.3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (Population and sample) คือการกาหนดลักษณะของประชากรและ กล่มุ ตัวอย่างของการศึกษาวจิ ยั 1.3.2 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย (Research Instrument) คอื การกาหนดเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการศึกษาวิจยั 1.3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) คือการ อธิบายขั้นตอนและรายละเอียดการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู 1.3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of Data) คือการ กาหนดวิธีวิเคราะห์ข้อมูลซ่ึงรวมถึงการวิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยวิธกี ารทางสถิติ หัวข้อต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้ บางหัวข้ออาจไม่ จาเป็นในการศกึ ษาวิจยั บางเร่อื ง เช่น ประชากร/กลมุ่ ตัวอย่าง เป็นต้น และอาจเพิ่มเติมหัวข้อที่จาเป็นใน การวิจัยของแต่ละสาขา อาทิ วัสดุ/อุปกรณ์ (Materials) 1.4 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล/ผลการทดลอง/ผลการวจิ ยั (Results) เปน็ การนาเสนอผลของการวเิ คราะห์ข้อมูล การทดลอง หรอื การศึกษาวิจัย เพอื่ ตอบประเดน็ ปัญหาซ่ึงกาหนดไว้ในจดุ ม่งุ หมายของการวิจยั
9 1.5 บทท่ี 5 บทสรปุ (Conclusions) ประกอบด้วยสาระสาคัญ 3 ส่วน คอื 1.5.1 สรุปผลการวิจัย (Findings) คือการสรุปผลการ วเิ คราะหข์ ้อมูลและผลทคี่ น้ พบจากการศึกษาคน้ ควา้ 1.5.2 อ ภิ ป ร า ย ผ ล (Discussion) คื อ ก า ร น า เ ส น อ ผลการวิจัยเปรียบเทียบกับสมมติฐานของการวิจัย พร้อมการวิเคราะห์และอภปิ รายผลอย่างเป็นเหตุเป็น ผลด้วยข้อสนับสนุนจากเอกสารและงานวิจัยท่ี เก่ียวขอ้ ง 1.5.3 ข้อเสนอแนะ (Recommendations) คือการเสนอ หรือช้ีแนะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลการวิจัย หรือ กระบวนการศึกษาวิจัย ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ และ ขอ้ เสนอแนะหัวขอ้ วจิ ัยที่เก่ียวข้องหรือสบื เนอื่ ง ท้ังน้ี งานวิจัยใดที่ต้องการนาเสนอผลการวิเคราะห์ ข้อมูล/ผลการทดลอง และ การอภิปรายผลพร้อมกัน ให้ปรับบทที่ 4 เป็น ผลการวิเคราะห์ข้อมูล/ผลการ ท ด ล อ ง แ ล ะ ก า ร อ ภิ ป ร า ย ผ ล (Results and Discussion) รวมทั้งบทสรุปและข้อเสนอแนะ เป็น บทสุดท้าย หรือเพ่ิมเติมบทที่ 5 โดยแยกบทสรุปและข้อเสนอแนะ (Conclusions and Recommendations) เปน็ อีกบทหน่งึ กรณีวิทยานิพนธ์มีปริมาณน้อย ส่วนนาอาจเป็นส่วนหนึ่งของบทแรก และส่วน สรุปเปน็ ส่วนหนึ่งของบทสุดท้ายของเนอื้ หา งานวจิ ัยบางเร่อื งอาจมีการนาเสนอแตกต่างจากข้อกาหนดขา้ งตน้ ทั้งนี้ ให้อยใู่ น ความเห็นชอบของอาจารย์ท่ปี รึกษาหรอื กรรมการทปี่ รึกษา
10 2.สว่ นประกอบในเน้อื หา (Content Supplement) ส่วนประกอบในเนื้อหา หมายถึง ลักษณะการเขียนและส่วนท่ีใช้ประกอบเพ่ือ ความสมบูรณข์ องเน้ือหา ได้แก่ 2.1 อัญพจน์ (Quotations) คือข้อความที่ผู้เรียบเรียงวิทยานิพนธ์อ้างจาก ข้อเขยี นหรือคาพูด หรือจากกงานวจิ ยั จากแหลง่ ข้อมลู ต่าง ๆ 2.2 ตาราง (Tables) คือข้อมูลที่นาเสนอในรูปแบบของตาราง โดยทั่วไปใช้เพ่ือ การนาเสนอข้อมลู ให้มีความชดั เจนเขา้ ใจง่าย 2.3ภาพ (Figures) คือข้อมลู ประเภทภาพถา่ ย ภาพเขยี น แผนท่ี แผนผงั แผนภมู ิ และกราฟ ที่ใชป้ ระกอบเนอ้ื หาของงานศึกษาวจิ ยั ใหม้ คี วามชดั เจนสมบรู ณย์ ่งิ ขึ้น 2.4 การขยายความ (Expansion) คือส่วนของข้อความทผ่ี ู้เรยี บเรยี งวทิ ยานิพนธ์ อธบิ ายขยายความ ตลอดจนยกตวั อย่างเพ่ิมเติมประกอบอัญพจน์ ตาราง และภาพทีน่ ามาอ้าง 2.5 การอ้างอิง (Citations) คือส่วนที่ระบุแหล่งท่ีมาของเน้ือหาหรือข้อมูลท่ีผู้ เรยี บเรียงนามาอ้างในวทิ ยานิพนธ์ ส่วนประกอบตอนทำ้ ย ส่วนประกอบตอนท้ายของวิทยานิพนธ์ คือส่วนประกอบที่ต่อจากส่วนเนื้อหา ประกอบดว้ ยแต่ละส่วนตามลาดับ ดงั น้ี 1. หนา้ บอกตอน (Half Title Page) หน้าบอกตอน คือหน้ากระดาษคั่นระหว่างแต่ละส่วนของส่วนประกอบ ตอนทา้ ยของวทิ ยานิพนธ์ ได้แก่ บรรณานกุ รม ภาคผนวก อภธิ านศัพท์ และ ประวตั ผิ วู้ ิจัย 2. บรรณานกุ รม (References) บรรณานุกรม คือส่วนของการเสนอรายการวัสดุสารสนเทศท่ีใช้อ้างอิงใน วิทยานิพนธ์ตามรูปแบบและข้อมูลที่กาหนดเป็นหลักเกณฑ์การเรียบเรียง วิทยานพิ นธ์ ท้งั น้ี การจดั ลาดบั รายการบรรณานุกรม มี 2 ลักษณะ คอื
11 2.1 กรณีใช้ระบบอ้างอิงแทรกในเน้ือหา ให้ลาดับรายการโดยเรียบ เรียงลาดับอกั ษรตวั แรกของแต่ละรายการตามการเรียงลาดับอักษร ของพจนานกุ รม 2.2 กรณีใช้ระบบอ้างอิงแบบใช้ตัวเลข ให้ลาดับรายการตามลาดับ หมายเลขทอ่ี า้ งในเน้อื หา 3. ภาคผนวก (Appendix) ภาคผนวก คือส่วนที่นาเสนอข้อมลู บางประการที่มีความเกย่ี วข้องกับเน้อื หา ของวิทยานิพนธ์ในระดับท่ีไม่จาเป็นต้องนาเสนอในส่วนเน้ือหา แต่ยังเห็น ควรรวบรวมไว้เป็นส่วนผนวกข้างท้าย โดยคาดว่าจะเปน็ ประโยชน์ในทางใด ทางหนึ่งต่อผู้อ่านและผู้ศึกษาวิทยานิพนธ์ ท้ังน้ี ไม่ควรเสนอข้อมูลท่ีไม่เป็น ประโยชน์ เช่น หนังสือราชการหรือจดหมายสว่ นตัวเพ่ือขอความอนเุ คราะห์ เป็นต้น 4. อภิธานศัพท์ (Glossary) อภิธานศัพท์ คือส่วนท่ีนาเสนอความหมายของคาศัพท์เฉพาะที่ใช้ใน วิทยานิพนธ์ ส่วนอภิธานศัพท์นใ้ี หม้ ีตามความจาเป็นสาหรับวิทยานพิ นธ์บาง เรือ่ ง 5. ประวัติผู้วจิ ยั (Biography) ประวัติผู้วิจัย หรือผู้ศึกษาค้นคว้า คือส่วนท่ีแสดงประวัติส่วนตัวบาง ประการ ประวัตกิ ารศึกษา ตาแหน่งหนา้ ทก่ี ารงาน ประสบการณก์ ารทางาน เปน็ ต้น ของผู้วจิ ยั โดยมคี วามยาวไม่เกินหนึ่งหนา้ กระดาษ ตามรปู แบบและ เน้ือหาท่ีกาหนด ให้ระบุผลงานตีพิมพ์ของผู้วิจัยที่เก่ียวข้องกับวิทยานิพนธ์ และผลงานตพี มิ พท์ ส่ี าคญั อ่นื ๆ
12 ส่วนประกอบและรูปแบบของวทิ ยานิพนธ์ดังกลา่ วมาท้งั หมดนี้ เปน็ การ กาหนดเพ่ือวิทยานิพนธ์มีความเป็นระเบียบ มีการจัดเรียบเรียงและวาง ลาดับของส่วนประกอบท้ังหมดอย่างเป็นแบบแผน ทาให้สะดวกตอ่ การอ่าน ตลอดจนการศกึ ษาค้นควา้ ของผู้สนใจท่วั ไป
13 บทท่ี 3 รปู แบบกำรเรยี บเรยี งและกำรจดั พิมพว์ ิทยำนิพนธ์ การจัดทาวิทยานิพนธ์นั้น นอกจากจะต้องมีข้อมูลท่ีถูกต้อง สมบูรณ์ เป็นข้อมูลที่มีความ เป็น ปัจจุบัน ทันสมัยและน่าสนใจแล้ว เอกสารท่ีนาเสนอยังต้องประกอบด้วย รูปเล่มที่จัดทา อย่างประณีตและท่ีสาคัญอย่างยิ่งก็คือความถูกต้องของรูปแบบการเรียบเรียงและการพิมพ์ตาม แบบแผนการเรียบเรียงงานวิชาการท่ีเป็นสากลนิยม แบบแผนหรือข้อกาหนดอันเป็นที่นิยม ยอมรับโดยทั่วไปน้ัน แม้จะมีหลักสาคัญคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีรายละเอียดท่ีแตกต่างกันอยู่ด้วย สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจึงมัก จาเป็นต้องกาหนดรูปแบบการเรียบเรียงวิทยานิพนธ์ของ สถาบันเพอื่ ให้ผูเ้ รียนมหี ลักปฏิบัติเป็นมาตรฐาน เดยี วกนั ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรจึงได้กาหนดรูปแบบการ เรยี บ เรียงและการจัดพมิ พว์ ิทยานิพนธด์ ังรายละเอยี ดท่ีจะไดก้ ล่าวตอ่ ไป กำรจดั หน้ำและกำรจดั ขอ้ ควำม การจดั หนา้ และข้อความในวิทยานิพนธ์มขี ้อกาหนดดังน้ี 1. กระดำษและขนำดหนำ้ กระดำษ ดังได้กล่าวแล้วว่า เอกสารวิชาการ คืองานที่ต้องจัดทาอย่างประณีตเพื่อความเหมาะ ควร แก่ความเป็นงานวิชาการ ความประณีตนี้เริ่มต้ังแต่กระดาษท่ีใช้และขนาดหน้ากระดาษซึ่ง กาหนดใหใ้ ช้ มาตรฐานเดยี วกนั ดงั น้ี 1.1 กระดาษที่จดั ทาวิทยานิพนธท์ กุ ประเภทใช้กระดาษสขี าวขนาด 21 x 29.70 ซ.ม. (ขนาด A4) มนี า้ หนกั ไมน่ อ้ ยกว่า 80 กรัม/ตารางเมตร 1.2 พ้ืนที่ของกระดาษที่ใช้พิมพ์ ให้เว้นขอบบน 3.75 ซ.ม. ขอบหน้า 3.75 ซ.ม. ขอบหลัง 2.50 ซ.ม. และขอบล่าง 2.50 ซ.ม. 1.3 ใช้กระดาษพิมพ์หน้าเดียวเท่านั้น กระดาษต้องสะอาด ไม่มีเส้นหรือจุดใด ๆ ท่ีไม่ใช่ ส่วนหนึ่งของขอ้ ความทนี่ าเสนอ
14 2. แบบและขนำดตวั อกั ษรในวิทยำนิพนธ์ภำษำไทย วทิ ยานิพนธภ์ าษาไทยกาหนดการใช้ตัวอักษรดงั นี้ 2.1 ตวั อกั ษรไทยใช้ TH Sarabun PSK ในขนาดและลกั ษณะตา่ ง ๆ คือ 2.1.1 ข้อความท่ัวไปใช้ขนาด 16 ถ้าเป็นคาหรือความท่ีต้องการเน้น เช่น ชื่อ หนังสอื ให้ใช้ตวั หนาหรือใชอ้ ัญประกาศ 2.1.2 คา “บทที่” และ ตัวเลขกากับบท วางกลางหน้ากระดาษของบรรทัดแรก โดย เว้น 2 ชว่ งตัวอักษร ระหวา่ ง “บทที่” กับตัวเลข และเว้น 1 บรรทัดถัดลงมาเป็นช่ือ บท โดยพมิ พ์กลาง หน้ากระดาษ ใช้ขนาด 18 ตวั หนาทง้ั หมด 2.1.3 หัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อย่อยทุกระดับใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวหนา อาจมีเลขกากบั หัวข้อหรือไม่ ตามความเหมาะสม 2.2 ตัวอักษรภาษาอังกฤษในวิทยานิพนธ์ภาษาไทยใช้ตัวอักษรแบบ TH Sarabun PSK ขนาด 16 2.3 ตัวอักษรภาษาอ่ืน ๆ ตลอดจนตัวเลขและสัญลักษณ์ที่ใช้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ใน วิทยานพิ นธ์ภาษาไทย ให้ใชแ้ บบและขนาดทีใ่ กลเ้ คยี งกบั ขนาดตัวอักษรภาษาไทย 3. แบบและขนำดตวั อกั ษรในวทิ ยำนพิ นธภ์ ำษำอังกฤษ วิทยานิพนธภ์ าษาองั กฤษโดยทั่วไปให้ใช้ตัวอกั ษรแบบ Times New Roman ดงั น้ี 3.1 ข้อความท่ัวไปใช้ตัวอักษรขนาด 12 วางระยะห่างบรรทัด 1.5 ถ้ามีคาหรือ ความที่ ต้องการเน้นให้ใชต้ ัวหนา 3.2 คา “CHAPTER” และ ตัวเลขกากับ วางกลางหน้ากระดาษของบรรทัดแรก โดยเว้น ระยะระหว่าง “CHAPTER” กับตัวเลข 2 ตัวอักษร เว้น 1 บรรทัดถัดลงมาเป็น ชื่อบทกลางหน้ากระดาษ ใช้อักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ขนาด 14 ตัวหนา ยกเว้นคา บุพบทให้ใช้ตัวพิมพ์เล็ก ส่วนตัวเลขระบุ ลาดับบทใช้ตัวเลขโรมัน เช่น CHAPTERI CHAPTER II กรณีวิทยานิพนธ์ไม่ได้แบ่งเป็นบท ให้วางหัวข้อใหญ่ที่เทียบได้กับชื่อบทกลาง หน้ากระดาษ ของบรรทัดแรก
15 3.3 หัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อย่อยทุกระดับใช้ตัวอักษรขนาด 12 ตัวหนา โดย อักษรตัวแรกใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ อาจมีเลขกากับหัวข้อหรือไม่ ตามความ เหมาะสม 3.4 ตัวอักษรภาษาอื่น ๆ ตลอดจนตัวเลขและสัญลักษณ์ที่ใช้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ใน วิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษ ให้ใช้แบบและขนาดท่ีใกล้เคียงกับขนาดตัวอักษร ภาษาอังกฤษ 4. กำรจดั ลำดับและกำรจัดวำงหัวขอ้ การจดั ลาดับและการจัดวางหวั ขอ้ ให้ใช้หลักปฏิบตั ิตอ่ ไปนี้ 4.1 การลาดับหัวข้อกรณีมีเลขข้อกากับ ให้ใช้ระบบตัวเลข โดยใส่มหัพภาคหลัง ตัวเลข และเวน้ 2 ช่วงตัวอกั ษร ก่อนเร่ิมคาหรือข้อความตอ่ ไป 4.2 การจัดวางหัวข้อใหเ้ ปน็ ไปตามระดบั ความสาคัญของหัวขอ้ ดงั น้ี หัวข้อใหญ่ หัวข้อระดับนี้วางชิดขอบหน้า ถ้าไม่ได้อยู่ในบรรทัดแรกของหน้าให้เวน้ จาก ข้อความข้างบน 1 บรรทัด ทั้งน้ี หัวข้อใหญ่นี้ไม่นิยมใส่ตัวเลขกากับ คาอธิบายของหัวข้อใหญ่ให้ ขึ้น บรรทัดใหม่ยอ่ หน้า 1.50 ซ.ม. โดยเวน้ บรรทดั ปกติ หัวข้อรอง หัวข้อระดับน้ีให้เริ่มอักษรตัวแรกของหัวข้อหรือเลขกากับหัวข้อ โดยเว้น จาก ขอบหนา้ 1.50 ซ.ม. หรอื ย่อหน้าปกติ คาอธิบายของหัวข้อรองอาจอยู่ในบรรทัดเดียวกันหรือข้ึนย่อหน้าใหม่ ตามความ เหมาะสมแกบ่ ริบท หัวข้อย่อย ในกรณีท่ีหัวข้อรองมีเลขกากับหัวข้อ หัวข้อย่อยให้เร่ิมหัวข้อหรือเลข กากับหวั ขอ้ ท่อี กั ษรตัวแรกของหวั ข้อรอง ดังนี้ (เคร่ืองหมาย ✓ แทนการเวน้ 1 ช่วงตัวอักษร) 1.✓………………………………………. 1.1✓✓………………………………………. 1.1.1✓✓………………………………………. 1) ✓✓………………………………………. ถ้ามีหัวข้อย่อย ๆ อีก ให้ใช้การย่อหนา้ ระบบเดียวกัน ทั้งน้ี ไม่ควรมีหัวข้อย่อยมากเกนิ ไป สว่ นคาอธบิ ายในหวั ข้อยอ่ ย โดยทัว่ ไปควรอยู่ในบรรทดั เดียวกนั
16 4.3 กรณีหัวข้อรองไม่มีเลขกากับหัวข้อ เริ่มหัวข้อย่อยหรือเลขกากับหัวข้อย่อยโดยให้ อักษรตัวแรกตรงกบั หัวข้อรอง 4.4 คาอธิบายในแต่ละหัวข้อ ถ้าขึ้นย่อหน้าใหม่ให้ย่อหน้าตรงกับอักษรตวั แรกของหวั ข้อ นน้ั ๆ ส่วนขอ้ ความในบรรทัดตอ่ มาใหช้ ดิ ขอบหนา้ ตามปกติ 5. กำรย่อหน้ำ กำรเว้นวรรค และเวน้ ชอ่ งไฟ การย่อหน้า การเว้นวรรค ตลอดจนการเว้นชอ่ งไฟ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดข้อความให้มี ความเป็นระเบียบ สวยงาม และสอื่ ความได้อย่างมีประสิทธิภาพ มหี ลกั เกณฑ์ดงั นี้ 5.1 การย่อหน้าข้อความทั่วไป เว้นจากเส้นขอบหน้า 1.50 ซ.ม. หรือเป็นขนาดของการ ยอ่ หน้าปกตทิ ั้งฉบับ 5.2 วทิ ยานพิ นธ์ภาษาไทย ให้เว้นระหว่างประโยค 2 ชว่ งตัวอักษร 5.3 หลังอักษรย่อ เว้น 1 ชว่ งตัวอักษร เช่น พ.ศ. 2548 ยกเว้นคานาหน้าช่ือท่ีเป็นอกั ษร ยอ่ เช่น พล ต. ม.ร.ว.คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช 6. กำรใช้เครือ่ งหมำยวรรคตอน การใช้เครื่องหมายวรรคตอนในวิทยานิพนธ์มีหลักการใช้เช่นเดียวกับการเรียบเรียงงาน เขียนท่ัว ๆ ไป ส่วนการใช้เครอ่ื งหมายวรรคตอนในลักษณะหรือความหมายพิเศษในบางสาขาวชิ า นน้ั ให้ เป็นไปตามกฎเกณฑข์ องแตล่ ะสาขาวชิ า ท้งั นี้ มีขอ้ พึงระวงั ดังนี้ 6.1 ข้อความที่ต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศซ้อนกัน ให้ใช้อัญประกาศเดี่ยวสาหรับ ข้อความหรอื คาข้างใน ตัวอยำ่ ง ปารชิ าติ จึงวิวฒั นาภรณ์ (2547, หนา้ 25) กลา่ วว่า องคค์ วามรทู้ ี่ไดร้ ับจากการวจิ ัยครง้ั นี้ แสดงให้ เห็นวา่ “นักวิจารณ์ควรจะแสวงหาวิธกี ารวิจารณ์ที่เป็นตัวของตัวเอง และมีความจาเป็นที่ จะต้อง พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไมเ่ ชน่ น้นั มโนธรรมหรอื ความภกั ดีตอ่ อาชพี “นักวิจารณ์” ก็จะตกต่า 6.2 การใช้เครื่องหมายจุลภาค ทวิภาค และอัฒภาค ให้พิมพ์ต่อเนื่องกับอักษรตัวหน้า และเว้น 1ช่วงตัวอักษรก่อนข้อความต่อไป เช่น กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เธียรศรี วิวิธสิริ, 2527, หน้า 32-38; นวลลออ สุภาผล, 2527
17 7. กำรกำกับเลขหน้ำและกำรใช้ตัวเลข การใส่เลขกากับหน้าและการใช้ตัวเลขในโอกาสต่าง ๆในวิทยานิพนธ์ มหี ลักเกณฑด์ ังนี้ 7.1 หนา้ สาคญั ทีไ่ ม่ต้องใสเ่ ลขกากบั หน้า . 7.1.1 ทกุ หน้าของสว่ นประกอบตอนตน้ 7.1.2 หนา้ แรกของแต่ละบท 7.1.3 หน้าบอกตอนของส่วนประกอบตอนท้าย 7.1.4 หน้าแรกของแตล่ ะตอนในสว่ นประกอบตอนทา้ ย ทง้ั นี้ ทกุ หน้าซึ่งระบุใน 7.1.2 ถึง 7.1.4 ท่ีไม่ใสเ่ ลขกากบั หน้าน้ี ใหน้ บั หนา้ ตามปกติ โดย เริ่มต้งั แต่ หนา้ แรกของบทที่ 1 เปน็ หน้า 1 7.2 หนา้ ทีใ่ สเ่ ลขกากับหน้า หน้าที่จะต้องใส่เลขกากับหน้า คือส่วนอื่น ๆ นอกจากที่ระบุในข้อ 7 ซึ่งเริ่มต้ังแต่หน้า 2 ของบทที่ 1โดยใช้ตัวเลขอารบิกท้ังวิทยานิพนธ์ภาษาไทยและวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษตาแหน่ง ของเลขกากบั หน้า คอื ดา้ นขวาตรงเส้นขอบหลัง เวน้ ขอบบน 2.50 ซ.ม. 7.3 กรณีแสดงตัวเลขหลายจานวนเรียงต่อกัน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคค่ันระหว่าง จานวน เชน่ 25, 36, 42 7.4 โดยท่ัวไป ตัวเลขในวิทยานิพนธ์ภาษาไทยและวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษให้ใช้ เลขอารบิกตลอดทั้งฉบับ ยกเว้นตัวเลขลาดับบทของวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษให้ใช้ตัวเลขโรมัน และ ในอญั พจน์ตรงทตี่ อ้ งการรักษาอกั ขรวิธีตรงตามตน้ ฉบบั เดิม หนำ้ สำคัญและกำรจัดวำงขอ้ ควำม การจัดวางขอ้ ความในหน้าสาคัญของวิทยานิพนธ์มหี ลกั ปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ปกหน้ำ ปกใน และสนั ปก 1.1 ปกหน้าและปกในมีข้อความและการจัดหน้าเหมือนกันทุกประการ ประกอบด้วย ข้อความทจ่ี ัดวางเปน็ 3 สว่ น ไดแ้ ก่ 1.1.1 ส่วนบน คือส่วนแสดงช่ือเร่ือง ชื่อเรื่องของวิทยานิพนธ์ท้ังภาษาไทยและ ภาษา อ่ืน ๆ ที่มีความยาวกว่าหน่ึงบรรทัด ให้จัดข้อความอยู่ในรูปสามเหลี่ยมจ่ัวกลับ
18 ท้ังน้ี ให้พิจารณาแบ่ง ความและใช้ขนาดของตัวอักษรให้เหมาะสมแก่หน้ากระดาษ ใช้ ตัวอักษรขนาด 16 ตัวหนา น วิทยานิพนธ์ภาษาไทย ส่วนวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษใช้ ตัวอักษร Times New Roman ตัวพิมพ์ใหญ่ ขนาดไม่ต่ากว่า 12 ตัวหนา สาหรับ วิทยานพิ นธ์ท่จี าเปน็ ตอ้ งใชต้ วั อกั ษรรปู แบบเฉพาะ ให้ใช้ขนาด ตัวอักษรโดยเทยี บเคียง 1.1.2 ส่วนกลาง คือส่วนแสดงช่ือและสกุลผู้เขียน ใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวหนา สาหรับวิทยานิพนธ์ภาษาไทย ส่วนวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษใช้ตัวอักษร Times New Roman ตัวพิมพ์ ใหญ่ ขนาดไมต่ า่ กวา่ 12 ตวั หนา โดยทั่วไป ส่วนแสดงช่ือและสกุลผู้เขียนไม่ต้องระบุคานาหน้าชื่อ ยกเว้น คาหน้าชื่อที่เป็นฐานันดร ศักด์ิ บรรดาศักด์ิ ยศ สมณศักด์ิ และคานาหน้าชื่อนักบวชในศาสนา เช่น ม.ร.ว. พระยา พล อ.อ. พระ St. Sir Masterกรณีที่ยศของสังกัดต่างกันแต่ใช้อักษรย่อเหมือนกัน เช่น ร.ต. ซ่ึงเป็นอักษร ย่อ ของ ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ให้ใช้คาเต็มกรณีคาลงท้ายแสดงสังกัดของทหารเรือ คือ ร.น. คาลงท้ายชื่อชาวต่างชาติ เช่น Sr, และ Jr. ซึ่งหมายถึง Senior และ Junior ตามลาดับ ให้ ระบุไวต้ ามปกติ 1.1.3 ส่วนล่างสาหรับวิทยานิพนธ์ เป็นส่วนแสดงช่ือสถานศึกษา หลักสูตร การศึกษา สาขาวิชา และเดือนปีท่ีส่งวิทยานิพนธ์ ให้ใช้ขนาดของตัวอักษรเช่นเดียวกับ สว่ นกลาง 1.2 การเว้นขอบหน้า ขอบหลังของปกหน้าและปกใน ให้เว้นขอบบน 3.75 ซ.ม. ขอบ หนา้ 3.75 ซ.ม. ขอบหลัง 2.50 ซ.ม. และขอบล่าง 2.50 ซ.ม. 2. หนำ้ อนุมตั ิ หน้าอนุมัติเป็นส่วนต่อจากปกใน ประกอบด้วยข้อความรับรองผลการพิจารณา วิทยานพิ นธ์ ใช้อกั ษรปกติ สว่ นคาวา่ อนมุ ตั ิ หรอื Approved ใช้ตวั หนา 3. หน้ำประกำศคุณปู กำร หรอื คำนำ หน้าประกาศคุณูปการมีหัวเร่ือง ประกาศคุณูปการ ขนาด 18 ตัวหนา หรือ ACKNOWLEDGEMENT ขนาด 14 ตัวหนา กลางหน้ากระดาษ ลงช่ือผู้เขียนด้วยตัวพิมพ์ขนาด ปกติ
19 4. หน้ำบทคัดยอ่ ส่วนต้นของบทคดั ยอ่ คือส่วนแสดงลักษณะสาคัญของวิทยานิพนธ์ ไดแ้ ก่ ชอ่ื เร่อื ง ผวู้ ิจัย ประธานทีป่ รึกษา กรรมการทป่ี รึกษา ประเภทวทิ ยานิพนธ์ และคาสาคญั หรือ Title, Author CAM 01, CO - Advisor, Academic Paper และ Keywords ชิดขอบหน้า ตามลาดับ ใช้ ตัวอกั ษรปกติ หนา เฉพาะชือ่ เร่ืองวทิ ยานพิ นธ์ในบทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษนี้ ให้ใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญท่ ัง้ หมด ชอ่ื ประธานที่ปรกึ ษา กรรมการทีป่ รกึ ษา ผวู้ ิจัย ให้ระบตุ าแหนง่ ทางวิชาการโดยใชค้ าเตม็ (ถา้ ม)ี ส่วนแสดงเนื้อหาของบทคัดย่อ ให้วางหัวเร่ือง บทคัดย่อ ขนาด 16 ตัวหนา หรือ ABSTRACT ขนาด 12 ตวั หนา กลางหนา้ กระดาษ วิทยานิพนธ์ภาษาไทยให้เรียงบทคัดย่อภาษาไทยก่อนบทคัดย่อภาษาอังกฤษ สาหรับ บทคัดยอ่ ในวิทยานพิ นธภ์ าษาอังกฤษไมต่ ้องมีบทคัดยอ่ ภาษาไทย 5. หนำ้ สำรบญั สำรบญั ตำรำง และสำรบัญภำพ 5.1 หน้าแรกของสารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญภาพ ให้วางหัวเรื่องคือคาว่า สารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญภาพ ใช้ตัวอักษรขนาด 18 ตัวหนา หรือ LIST OF CONTENTS, LIST OF BLES และ LIST OF FIGURES ใชต้ ัวอักษรขนาด 14 ตวั หนา ที่กึ่งกลางของบรรทัดแรก เว้น 1 บรรทัดแล้วใส่คาว่า บทที่ ตาราง หรือ ภาพ ชิดขอบหน้า และใส่คาว่า หน้า ใช้ตัวอักษร ขนาด 16 ตัวหนา ชิดขอบหลัง ในวิทยานิพนธ์ภาษาไทย สาหรับวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษให้ใช้ อักษรตัวแรกของคาเปน็ ตัวพิมพใ์ หญ่ คือ Chapter, Table, Figure และ Page ใช้ตัวอักษรขนาด 12 ตวั หนา สารบัญที่มีมากกว่า 1 หน้า ในหน้าถัดไปทุกหน้าให้แสดงหัวเรื่อง และมีคาว่า ต่อ หรือ CONT ในวงเล็บ แล้วแต่กรณี เช่น สารบญั ภาพ (ตอ่ ) LIST OF FIGURES (CONT.) 5.2 หวั ขอ้ ที่แสดงในสารบญั ทงั้ หมด ตอ้ งมีความถูกต้องตรงกับทีป่ รากฏในวทิ ยานพิ นธ์ รวมทง้ั เลขกากบั หัวข้อ (ถ้าม)ี หัวข้อที่เป็นส่วนเนื้อหาให้แสดงเฉพาะหัวข้อใหญ่และหัวข้อรองเท่าน้ัน ถ้ามี ตาราง ย่อย ภาพย่อย ก็ไมแ่ สดงในสารบัญเชน่ เดียวกนั
20 5.3 หัวข้อใหญ่หรือหัวข้อรองที่มีเลขข้อกากับ ให้ตัวเลขกากับหัวข้อใหญ่ตรงกับอักษรตัว เรก ของช่ือบท ตัวเลขกากับหัวข้อรองตรงกับอักษรตวั แรกของหัวข้อใหญ่ และให้เว้น 2 ช่วงตัวอักษร ระหว่างตัวเลขกากับหัวขอ้ กับหัวขอ้ ส่วนหัวข้อใหญ่หรือหัวข้อรองท่ีไม่มีเลขข้อกากับ ให้อักษรตัวแรกของหัวข้อใหญ่ตรงกับ อกั ษรตวั ที่ 3 ของชือ่ บท และอกั ษรตัวแรกของหวั ขอ้ รองตรงกับอักษรตัวที่ 4 ของหวั ขอ้ ใหญ่ 5.4 ระหวา่ งหัวขอ้ กับเลขระบหุ น้าให้ใส่เส้นประหรือจุดไข่ปลา 5.5 ส่วนประกอบตอนต้นของวิทยานิพนธไ์ มแ่ สดงในสารบญั 5.6 ตัวเลขระบบุ ทท่ี ตาราง ภาพ หรอื Chapter, Table, Figure ใหย้ ่อหน้า 3 ตวั อักษร ส่วน ตวั เลขระบุหนา้ ให้วางตัวสุดทา้ ยชิดขอบหลงั 5.7 ระหว่างเลขกากับบทกับช่ือบท เลขกากับตารางกับช่ือตาราง และเลขกากับภาพบ ชื่อ ภาพ ใหเ้ วน้ ระยะตามความเหมาะสม โดยอกั ษรตัวแรกตรงกัน กรณีช่ือบท ชื่อตาราง หรือชื่อภาพ มีข้อความมากกว่าหนึ่งบรรทัด ให้อักษรตัวแรก ใน บรรทดั ตอ่ ๆไปตรงกบั อกั ษรตวั ท่สี ี่ของขอ้ ความในบรรทัดแรก 6. หนำ้ แรกของแตล่ ะบท หน้าแรกของแต่ละบท ให้จัดคาว่า บทท่ีและตัวเลขกากับบทที่กลางหน้ากระดาษ ท้ัง วิทยานิพนธ์ภาษาไทยและวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษ โดยเว้นระยะ 2 ตัวอักษรระหว่าง “บทท่ี” กับ ตัวเลข และเว้น 1 บรรทัด เป็นชือ่ บท หากชอ่ื บทยาวกว่าหนึ่งบรรทัด ให้จัดแบ่งบรรทัดในรูป สามเหลอ หน้าจ่ัว โดยระวงั มิให้เสียความหมาย กำรจัดหนำ้ ตำรำง หนา้ แสดงตารางมขี ้อกาหนดดังนี้ 1. ลาดับท่ีและชื่อตาราง ท่ีกากับส่วนบนของตาราง ใช้ขนาดตัวอักษรปกติตัวหนา ชิด ขอบ หนา้ เวน้ หา่ งจากเสน้ ตาราง 1 บรรทดั กรณีชื่อตารางมีความยาวมากกว่า 1 บรรทัด อักษรตวั แรกในบรรทัดต่อ ๆ ไป ให้วาง ตรง กับอักษรตัวแรกของชื่อตาราง 2. เส้นตาราง ประกอบด้วยเส้นแนวนอน ไม่ใชเ้ ส้นแนวต้ัง เส้นบนและเสน้ ล่างของตาราง เปน็ เสน้ ทบึ ขนาด 1.5 พ. สว่ นเส้นแนวนอนอ่นื ๆ ภายในตารางใหใ้ ช้เสน้ ขนาดปกติ
21 3. ขนาดของตัวอักษรและตัวเลขในตารางให้ใช้ขนาดปกติ แต่ในกรณีท่ีจาเป็นอาจลด ขนาด เพื่อให้สามารถแสดงตารางทั้งหน้าได้ ท้ังนี้ ขนาดของตัวอักษรต้องไม่ต่ากว่า 10 สาหรับ ภาษาไทย และ ขนาด 6 สาหรับภาษาองั กฤษ 4. ตารางที่มีความยาวมากกว่า 1 หน้า ให้ปิดท้ายตารางด้วยเส้นปกติ และตารางในหน้า ต่อไปให้ระบุลาดับท่ีตาราง กากับด้วยคาว่า “ต่อ” หรือ “ Cont.” ในวงเล็บ ใช้อักษรขนาดปกติ ตัวหนา ทงั้ หมด เช่น ตาราง 6 (ต่อ) , Table 6 (Cont.) 5. กรณีระบุข้อความแสดงนัยทางสถิติข้างท้ายตาราง เช่น “มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05\" โดยทั่วไปกากับด้วยเครื่องหมายดอกจัน หรืออาจใชเ้ ครื่องหมายอ่ืนตามความเหมาะสม โดย ใหข้ ้อความ หา่ งจากเส้นล่างของตาราง 1 บรรทัด ชิดขอบหนา้ ใชอ้ กั ษรขนาดปกติ 6. การระบุท่ีมา คือแจ้งแหล่งที่มาของตาราง หรือแสดงหมายเหตุเพ่ืออธิบายความ เก่ียวกับ ตาราง ให้แสดงไว้ส่วนท้ายของตารางโดยใช้คา “ที่มา” หรือ “Source” และ “หมาย เหตุ” หรือ “Note” ตัวหนา กากับด้วยเคร่ืองหมายทวิภาคสาหรับคาภาษาอังกฤษ วางชิดขอบ หน้า และห่างจาก เส้นล่างของตาราง 1 บรรทัด ตามด้วยข้อความอธิบายโดยเว้น 1 ชว่ งตัวอักษร และคาอธบิ ายบรรทดั ต่อ ๆ ไป ใหว้ างชดิ ขอบหนา้ กรณีท่ีมีการระบุข้อความแสดงนัยทางสถิติ ดังในข้อ 5 ให้ลาดับ “ที่มา” หรือ “หมาย เหต”ุ ต่อจากการแสดงนยั ทางสถิติ กำรจัดหน้ำแสดงภำพ ข้อมูลประเภทภาพถ่าย ภาพเขียน แผนที่ แผนผัง แผนภูมิ และกราฟ ที่ใช้ประกอบ เน้ือหา ของงานศกึ ษาวจิ ัย ใหจ้ ดั หนา้ โดยมีขอ้ กาหนดดังนี้ 1. ภาพทีน่ ามาแสดงต้องมีความคมชัด คาอธิบายสามารถอา่ นได้ 2. ลาดับท่ีและช่ือภาพ ให้กากับที่ส่วนล่างของภาพ ใชข้ นาดตวั อกั ษรปกติ ตวั หนา จัดไว้ กลางหน้า เว้นห่างจากภาพ 1 บรรทดั กรณีช่ือภาพมีความยาวมากกว่า 1 บรรทัด อักษรตัวแรกในบรรทัดต่อ ๆ ไปให้วางตรงกับ อักษร ตัวแรกของช่ือภาพ . 3. การระบุทม่ี า คือแจง้ แหล่งทีม่ าของภาพ หรือแสดงหมายเหตุเพื่ออธบิ ายความเกี่ยวกับ ภาพ ให้แสดงในบรรทัดต่อจากชื่อภาพ โดยใช้คา “ท่ีมา” หรือ “Source” และ “หมายเหตุ”
22 หรือ “Note” ตัวหนา กากับด้วยเคร่ืองหมายทวิภาคสาหรับคาภาษาอังกฤษ วางชิดขอบหน้า และเว้น ระยะห่างจากชื่อภาพ 1 บรรทัด ตามด้วยข้อความอธิบายโดยเว้น 1 ช่วงตัวอักษร และ คาอธบิ ายบรรทดั ตอ่ ๆ ไป ใหว้ างชิดขอบหนา้ 4. สว่ นของการแสดงภาพให้เวน้ บรรทัด 1.5 จากขอ้ ความสว่ นบนและสว่ นลา่ ง นอกจากข้อกาหนดการจัดรูปแบบการเรียบเรียงและการจัดพิมพ์วิทยานิพนธ์ซ่ึงถือเป็น ส่วนสาคัญที่จะทาให้วิทยานิพนธ์มีความเป็นแบบแผนสมควรแก่ความเป็นงานวิชาการดังกล่าว แล้ว ผู้จัดทาวิทยานิพนธ์ควรคานึงถึงความประณีตในรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ความสะอาดของ หน้า กระดาษพิมพ์ ความชัดเจนของตัวพิมพ์ ความสม่าเสมอของสีและขนาดหน้ากระดาษ ตลอดจนรปู เลม่ เปน็ ต้น
23 บทที่ 4 อญั พจนแ์ ละกำรอำ้ งอิง การเรียบเรียงวิทยานิพนธ์จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าและอ้างถึงข้อมูลความรู้ ตลอดจน การศึกษาวิจัยจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ข้อความที่นามาอ้างน้ีเรียกว่า “อัญพจน์” ซึ่งต้องเสนอ ควบคู่กับ การระบุแหล่งท่ีมาของอัญพจน์ท่ีเรียกว่า “การอ้างอิง” ทั้งนี้ เป็นรูปแบบปกติของการ เสนองานศึกษา ค้นควา้ อันถือเป็นมาตรฐาน เพราะเป็นการแสดงถึงการศึกษาค้นคว้าท่ีเปน็ ระบบ ประกอบด้วยข้อมูล ความรู้ที่มีความน่าเชื่อถือ มีการอ้างแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ตรวจสอบได้ ผู้จัดทาวิทยานิพนธ์จึงต้องมี ความรู้ความเข้าใจในระเบียบแบบแผนการเรียบเรียง “อัญพจน์” และ “การอา้ งอิง” นเ้ี ปน็ อยา่ งดี ควำมหมำยและลกั ษณะของอัญพจน์ อัญพจน์ คือข้อความในวิทยานพิ นธ์ท่ีผูจ้ ัดทานามาจากขอ้ เขยี นหรือคากล่าวของบุคคลใด บุคคลหน่งึ ซึง่ อาจนาเสนอในลกั ษณะตอ่ ไปนี้ 1. อัญพจน์ตรง (Direct Quotation) คอื อัญพจนท์ นี่ ามาอ้างโดยคัดลอกตามขอ้ ความเดิม 2. อัญพจน์รอง (indirect Quotation) คืออัญพจน์ที่นามาอ้างในลักษณะการจับใจความ ถอดความ สรุปความ หรอื แปลมาจากข้อความเดมิ การเรียบเรียงในลักษณะอัญพจน์รองจึงต้องเรียบเรียงข้ึนใหม่ด้วยถ้อยคาภาษาของ ผูจ้ ดั ทา วทิ ยานพิ นธ์ ไม่ใช้ภาษาของขอ้ ความที่นามาอา้ งแบบอัญพจนต์ รง กำรเรยี บเรยี งอญั พจน์ การอา้ งอญั พจนในลักษณะใดลักษณะหนง่ึ ดงั กลา่ วขา้ งต้น มีแนวการเรียบเรียง ดงั ต่อไปน้ี 1. ตอ้ งระบุแหล่งที่มาของอัญพจนท์ ่เี รียกว่า “การอ้างองิ ” อยา่ งเปน็ ระบบ ตามรูปแบบที่ มหาวิทยาลัยกาหนด
24 ทั้งนี้ ผู้จัดทาวิทยานิพนธ์พึงระวังว่า การอ้างข้อความใด ๆ ของผู้อ่ืนโดยไม่มีการอ้างอิง แหล่งท่ีมา นอกจากจะผิดมารยาททางวิชาการ ไม่ให้เกียรติแก่ผู้เป็นเจ้าของข้อความที่นามาอ้าง แล้ว ยัง ถือเป็นการผิดกฎหมายวา่ ดว้ ยลิขสิทธ์ิอกี ดว้ ย 2. โดยทว่ั ไป ควรใชอ้ ญั พจนร์ องเพื่อให้การใช้ภาษาของวทิ ยานิพนธ์เป็นภาษาของผ้เู รียบเรียง โดย ราบรน่ื กลมกลนื ตวั อยำ่ ง อัญพจน์ตรง ชยั วัฒน์ คุประตกุล (2543, หน้า 50-51) กล่าวถึงทฤษฎสี ัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ว่า “โดยท่ัว ๆ ไป เมื่อเปรียบเทียบกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ทฤษฎีสัมพัทธภาพท่ัวไป ก็ ทดสอบได้ ยากกว่ามาก จนกระท่ังนักฟิสิกส์ผู้มีช่ือเสียงคนหนึ่งคือจอห์น วีลเลอร์ ( John Wheeler) ถึงกับกล่าวว่า “ในครึ่งศตวรรษแรกของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีนี้เป็นสวรรค์ ของนักทฤษฎี แตเ่ ป็นนรกของนักทดลอง อัญพจน์รอง ชัยวัฒน์ คุประตกุล ให้ความเห็นว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพท่ัวไปทดสอบได้ยากกว่าทฤษฎี สัมพัทธภาพพิเศษ โดยยืนยันด้วยคากล่าวของวีลเลอร์ (John Wheeler) นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียงท่ี แสดง ความเห็นว่า ในช่วงคร่ึงศตวรรษแรกของการเผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพน้ันจัดเป็น ความสาเร็จอย่าง ย่ิงใหญ่ของนักทฤษฎีแต่เป็นความยากลาบากอย่างมากของนักทดลอง (2543, หน้า 50-51) 3. การใช้อญั พจนต์ รงมกั ใชใ้ นกรณอี ้างจากข้อความท่ีมลี กั ษณะตอ่ ไปนี้ 3.1 บทประพันธ์ที่มรี ปู แบบเฉพาะซงึ่ ผู้เรียบเรียงวิทยานิพนธ์ประสงคใ์ ห้ผอู้ ่านไดอ้ ่าน รูปแบบที่สมบรู ณ์ของขอ้ เขยี นทน่ี ามาอา้ ง เช่น บทร้อยกรอง โวหาร คาคม 3.2 ข้อความที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น สุภาษิต คาพังเพย นิยามศัพท์ กฎระเบียบ ขอ้ บังคบั กฎหมาย 3.3ข้อความท่ีผู้จัดทาวิทยานิพนธ์พิจารณาว่ามีความกระชับ สละสลวย หรือให้ ความหมายอารมณ์ที่พึงประสงค์ดแี ล้ว ไม่ควรนาเสนอเป็นถ้อยคาทีเ่ รยี บเรยี งขนึ้ ใหม่
25 4. อัญพจน์ตรงท่ีมีความยาวไม่เกิน 4 บรรทัด ให้เรียบเรียงต่อเน่ืองกับความก่อนหน้า ตามปกติ โดยใช้เครื่องหมายอัญประกาศกากับข้อความที่เป็นอัญพจน์ ถ้ามีคาหรือความท่ีกากับ อัญประกาศอยู่ในอัญพจน์ด้วย ให้เปล่ียนอัญประกาศของคาหรือความข้างในเป็นอัญประกาศ เดี่ยว ตวั อยำ่ ง จักษ์ พันธ์ชูเพชร (2548, หน้า 27) กล่าวว่า “รัฐศาสตร์จึงเป็นวิชาท่ีช่วยให้ผู้ ศึกษาได้รู้จัก กลไกแห่งการปกครองและรู้จักการใช้สิทธิ หน้าท่ีและความรับผิดชอบของตนใน ฐานะพลเมืองทด่ี ขี อง สงั คม” 5. อัญพจน์ตรงท่ียาวเกิน 4 บรรทัด ให้จัดแยกจากข้อความอื่น ๆ ไม่ต้องมีเคร่ืองหมาย อญั ประกาศกากบั โดยเวน้ 2 บรรทดั จากขอ้ ความทัง้ สว่ นบน และสว่ นล่าง กรณีเป็นข้อความย่อหน้า ความบรรทัดแรกให้ย่อหน้า 2.50 ซม. บรรทัดต่อ ๆ ไปให้เว้น ขอบหน้า 1.50 ซม. ถ้าไม่ใช่ข้อความย่อหน้า ซึ่งต้องใช้เครื่องหมายละข้อความก่อนหน้านี้ ให้ถือเคร่ืองหมาย ละ เป็นจุดเร่ิมต้น โดยเว้นขอบหน้า 1.50 ซม. บรรทัดต่อ ๆ ไปให้เว้นขอบหน้า 1.50 ซม. เช่นเดียวกัน ตัวอยา่ ง ลักษณะอันงามของพระพุทธรูปปางลีลา ซึ่งสร้างสรรค์โดยสกุลช่างสุโขทัยนั้น จะเห็นได้ จาก ความพรรณนาตอ่ ไปน้ี (จิตร ภูมิศักด์ิ, 2547, หนา้ 375-376) ...ลักษณะพระพุทธรูปลีลาของสุโขทัยนั้น มีการแสดงออกอนั อ่อนชอ้ ยราวกับการลีลา ของหญิง งาม เส้นรูปนอกระทวยพล้ิวไหวไปทุกสัดส่วน และมีลักษณะพุ่งพวยราวกับ เปลวเพลิงที่กาลังลุก โชติช่วง พระพักตร์อ่มิ เอบิ แสดงถึงความรักในสนั ติภาพ ความก้าวหนา้ ท่ีก้าวไปบนเสน้ ทางพฒั นา ที่ยึดม่ันในความผาสุกใหม่ของเสรีชนท่ีหลุดพ้นจากแอกของ รัฐสังคมทาส และความปีติใน เสรภี าพอนั เพียบพร้อมไปดว้ ยมนุษยธรรม 6. การละข้อความบางส่วนของอัญพจน์ตรง ให้ใส่เครื่องหมายจุดไข่ปลา 3 จุด แทน ข้อความส่วนท่ีสะ ซึ่งอาจเป็นข้อความในส่วนต้น ส่วนกลาง หรือส่วนท้ายของข้อความก็ได้ ดัง ตวั อยา่ งขา้ งต้น
26 7. การเสนออัญพจน์อาจมีการเกร่ินนา ขยายความ หรือสรุปความของผู้เรียบเรียง วทิ ยานพิ นธ์ เพอ่ื ช่วยให้เนื้อความสมบรู ณ์ยง่ิ ขน้ึ 8. อญั พจน์รองให้เรียบเรยี งในบรรทัดเดียวกับเนอ้ื ความที่เปน็ สว่ นเกริ่นหรืออธิบายความ ของผู้เรยี บเรียง โดยไมจ่ ากัดความยาว 9. อัญพจน์ตรงท่ีเป็นบทร้อยกรอง แม้จะมีความยาวไม่เกิน 4 บรรทัด ก็อาจจัดไว้กลาง หน้ากระดาษ หากผู้เรียบเรียงเห็นเหมาะสม ท้ังน้ี ให้จัดแยกจากข้อความส่วนบนและส่วนล่าง โดย เว้น 2 บรรทัด ตามข้อกาหนดข้อ 5 โดยอนุโลม และให้ระบุชือ่ ผู้ประพันธใ์ นวงเล็บกากับทา้ ย บท ร้อยกรอง ส่วนวงเลบ็ อ้างอิง ใหก้ ากบั ท้ายความอธิบายตามปกติ ตัวอย่าง เกี่ยวกับความทุกข์อันเกิดจากความรัก กวีไทยหลายท่านได้พรรณนาไว้อย่างเร้า อารมณ์ สะเทอื นใจ ดงั เช่น พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั , 2508, หนา้ 305) แลว้ ว่าอนจิ จาความรกั ตัง้ แตจ่ ะเชีย่ วเปน็ เกลยี วไป เพิง่ ประจกั ษ์ดังสายนา้ ไหล ท่ีไหนเลยจะไหลคนื มา (พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย) 10.กรณีอ้างบทร้อยกรองจากหนังสือที่ผู้แต่งมิใช่เป็นผู้ประพันธ์บทร้อยกรอง ให้ระบุชื่อ ผปู้ ระพันธก์ ากบั ทา้ ยบทร้อยกรอง และระบแุ หล่งอา้ งอิงดว้ ย เช่น ตัวอยา่ ง บทกลอนบทหน่ึงไดแ้ สดงถึงความรักและความหวงั ของพอ่ แม่ท่ีมีต่อลูกได้อย่างจับใจ ดังน้ี (สมพร พุฒตาล เบ็ทซ์, 2546, หน้า 88) แกว้ รไู้ หมตวั แกว้ น้ีมคี า่ กวา่ จะเติบใหญม่ าถงึ บัดน้ี พอ่ กบั แมถ่ นอมเล้ยี งเพียงชีวี หยาดเหง่ือพลีเพอ่ื แกว้ มณีปริญญา อย่าทอดกายใหใ้ ครเขางา่ ยงา่ ย พอ่ จะโศกแมจ่ ะอายขายหน้า ตัวแกว้ เองก็จะเศร้าเฉาวญิ ญา เป็นแก้วร้าวไรร้ าคาคา่ ของคน (วนิดา บารงุ ไทย)
27 11.การอ้างอัญพจน์จากภาษาต่างประเทศในวิทยานิพนธ์ภาษาไทย โดยทั่วไปควรเป็น การ แปลหรอื ถอดความเปน็ ภาษาไทย ซึง่ จดั เปน็ อญั พจน์รอง ตัวอย่ำง เพรสคอตต์กล่าวว่า นวนิยายประวัตศิ าสตร์เป็นงานท่ปี ระพันธ์ยากที่สุด เพราะต้องมี การ ค้นคว้าข้อมูลข้อเท็จจริงมาก ตัวละครท้ังที่เป็นบุคคลจริงและตัวละครสมมุติ ต้องมีอารมณ์ ความนึกคิด และความเช่ือตามยคุ สมัยของบา้ นเมอื งทเ่ี ขามชี วี ิตอยู่ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังตอ้ งระวงั ไม่เสนอ รายละเอียดทางประวัติศาสตร์มากจนกลายเป็นบทความวิชาการ ไม่ใช่เร่ืองแต่ง (Prescott, 1963, pp. 135-136 อา้ งองิ ใน วนิดา บารงุ ไทย, 2544, หน้า 61) 12. ในบางครง้ั การอ้างอญั พจนห์ นง่ึ ๆ อาจเสนอทั้งในรูปอัญพจน์ตรงและอญั พจนร์ อง ตัวอย่ำง เก่ียวกับข้อพิจารณาว่า วรรณคดีควรสอนศีลธรรมหรือไม่นั้น วิทย์ ศิวะศริยานนท์ อธิบาย ว่า เน่ืองจากวรรณคดีสร้างขึ้นจากชีวิตจริง เป็นการจาลองชีวิต ความนึกคิด และ เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นใน ชวี ิตของมนุษย์ วรรณคดจี ึงต้องมีความข้องเก่ียวกับปัญหาทางศีลธรรม แต่ ก็ไม่ไดห้ มายความว่า วรรณคดีมีหน้าที่สอนศีลธรรม ท้ังน้ี วิทย์ ศิวะศริยานนท์ (2531, หน้า 116) ได้อา้ งคากล่าวของสก็อต ในหนังสือ The making of literature วา่ นกั วทิ ยาศาสตรม์ หี น้าท่ีเรียนรู้และพิสจู น์ นกั สนุ ทรพจนม์ ีหนา้ ท่ีพดู จูงใจ นักศีลธรรมมีหน้าทส่ี อน แตศ่ ลิ ปนิ มหี นา้ ทีแ่ สดง นักศีลธรรมจะกล่าววา่ ชวี ิตควรจะเป็นเชน่ น้ัน แต่กวจี ะพูดวา่ “ชวี ติ เป็นเช่นนั้น” 13. โดยปกติการเรียบเรียงวิทยานิพนธ์ควรอ้างอญั พจน์จากแหล่งเดิม (Direct Citation) เช่น อ้างพระดารัสของพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ จากหนังสือพระ นิพนธ์ ของพระองค์ อ้างนิยามศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานจากหนังสือพจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑติ ยสถาน เป็นตน้
28 14. ถ้าไม่อาจสืบค้นจากแหล่งข้อมูลแหล่งเดิม จาเป็นต้องอ้างจากแหล่งรอง (Indirect Citation) คือเป็นแหล่งข้อมูลที่ได้อ้างมาแล้วจากแหล่งเดิม การเรียบเรียงต้องมีการอ้างอิงที่ให้ ความชดั เจนถงึ แหลง่ เดิม ตัวอยำ่ ง เก่ียวกับปัญหาภาวะล้นข้อมูลข่าวสารของโลกยุคโลกาภิวัตน์น้ี โรซาคิส ได้แสดงข้อ เปรียบเทียบจานวนข้อมูลระหว่างอดีตกับปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจ เช่น ข้อมูลข่าวสารใน หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ 1 ฉบับ มีจานวนมากกว่าข้อมูลท่ีผู้มีการศึกษาดีในศตวรรษที่ 16 ไดร้ ับตลอดชวี ิต ข้อมูล ทเี่ ป็นหนังสือและนิตยสารก็ทวจี านวนท่ีแตกตา่ งจากสมยั ก่อนมาก เฉพาะ ในสหรัฐอเมริกา มีหนังสือ ประมาณ 5 พันเล่ม และนิตยสาร 1 หม่ืนฉบับ ต่อ 1 ปี ด้านงานวจิ ัยมี จานวน 7 พันเรื่องที่ตีพิมพ์ เผยแพร่ทั่วโลกต่อ 1 วัน นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของข้อมูลก็จะเป็น จานวนท่ีทวีข้ึนเรื่อย ๆ โดยในปัจจุบันมีจานวนเพ่ิมข้ึนเป็น 2 เท่าในเวลาไม่ถึง 2 ปี (Rozakis, 1995, p.5 อ้างองิ ใน กิจจา กาแหง, 2547 หน้า 98) 15. ข้อความอธิบายให้ความรู้หรือความเข้าใจแก่ผู้อ่านเป็นส่วนเพ่ิมเติมนอกเหนือจาก เนื้อเรื่อง ซง่ึ แต่เดิมเรียกว่า “เชิงอรรถขยายความ” และข้อความที่ระบุให้ติดตามอ่านเนื้อความใน แหล่ง อื่นเพิ่มเติมท่ีเรียกว่า “เชิงอรรถโยงความ” น้ัน ให้แสดงการบ่งช้ีแหล่งด้วยความในวงเล็บ แทรกใน เนื้อหา โดยมีเลขกากับรายการตามลาดับการอ้าง เช่น (ดูท่ีเชิงอรรถ 1) หรือ (see Footnote 1) ใน วทิ ยานิพนธ์ภาษาอังกฤษ เพอ่ื โยงใหด้ ทร่ี ายการ “เชิงอรรถ” ซ่ึงจะแสดงตอ่ จาก รายการบรรณานุกรม โดยใชห้ ัวเรอ่ื ง “เชิงอรรถ” หรอื “Footnote” กลางหนา้ กระดาษ ตัวอย่ำง ในพระนิพนธอ์ ีกเรื่องหน่ึง พระราชวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ์ ทรงปรารภว่าคาท่ี ทรงใช้ว่า “อพยบ” ตั้งแต่คร้ังทรงเป็นนักเรียน ได้มีการแก้ไขการสะกดคาเป็น “อพยพ” โดย มี คาอธิบายว่าเป็นคาที่มาจากศัพท์สันสกฤตว่า อวยว แตเ่ มื่อทรงค้นความหมายของศัพท์ สันสกฤต คานี้ก็ไม่ทรงพบความหมายว่า ย้ายครอบครัว เปล่ียนภูมิลาเนา ดังความหมายท่ีใช้ ในภาษาไทย จึงทรงเรียกลักษณะความพยายามเปลี่ยนตัวสะกดคาไทยที่ไม่ทราบที่มาให้เปน็ คาสันสกฤตอย่าง มพี ระอารมณข์ ันวา่ “โรคอพยบ” ทรงอธิบายไว้ด้วยว่า โรคนี้บางทีก่ ็มอี าการ ตรงกันข้าม คือเมอื่ รู้
29 คาไทยถ่ินนอกประเทศมาก ๆ เข้าก็มีการ “อพยบ” คา ให้กลับเป็นคา ไทยอีก (2513, หน้า 49- 55) (ดทู ี่เชิงอรรถ 3) ...such as the knowledge-based augmentation of detection...(as defined in Footnote 3) กรณีอ้างเชิงอรรถเดิม ให้แสดงความในวงเล็บแทรกในเนื้อหาเป็น (อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3) หรอื (as defined in Footnote 3) ในวทิ ยานพิ นธภ์ าษาองั กฤษ ควำมหมำยและควำมสำคญั ของกำรอำ้ งองิ การอ้างอิง หมายถึงการระบุแหล่งท่ีมาของข้อมูลที่วิทยานิพนธ์นามาอ้างถึง คืออัญพจน์ การอ้างอิงจึงเปน็ ส่งิ ทคี่ วบคู่กับอัญพจน์เสมอ ในการจัดทาวิทยานิพนธ์ การอ้างอิงถือเป็นส่วนประกอบอันสาคัญยิ่ง ด้วยเหตุผล ดังตอ่ ไปน้ี 1. การอา้ งอิงคือการระบุแหล่งที่มาข้อมูลสารสนเทศ เป็นการให้ความเชื่อม่ันแก่ผู้อา่ นว่า ผจู้ ัดทาวิทยานพิ นธไ์ ดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ มาเป็นอยา่ งดีจากแหลง่ ความรู้ทีเ่ ชื่อถือได้ 2. เปน็ การให้ข้อมูลแกผ่ ูอ้ า่ นทต่ี อ้ งการตรวจสอบหรือศึกษาคน้ ควา้ แหล่งข้อมูลเดิม 3. เป็นการแสดงคุณธรรมความรับผิดชอบของนักวชิ าการที่จะไม่ล่วงละเมิดหรือแอบอ้าง ผลงานของผู้อ่ืน ซ่ึงนอกจากจะผิดแบบแผนของการเรียบเรียงงานวิชาการแล้ว ยังถือเป็นการผิด กฎหมายวา่ ดว้ ยลิขสิทธิ์ อีกดว้ ย การอ้างอิงในวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร กาหนดไว้ 2 รูปแบบ ทั้งนี้ ผู้จัดทา วิทยานิพนธเ์ ร่ืองหน่ึงๆ ตอ้ งใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเปน็ แบบแผนเดียวกันตลอดท้ังเรื่อง รูปแบบ การ อา้ งองิ ดงั กล่าว ไดแ้ ก่ การอ้างองิ แทรกในเน้ือหา และ การอ้างอิงแบบใชต้ ัวเลข กำรอ้ำงองิ แทรกในเน้ือหำ การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา เป็นการวงเล็บระบุแหล่งท่ีมาของอัญพจน์อย่างกว้างๆ แทรก อยู่ใน เน้ือหาของวิทยานิพนธ์ ส่วนรายละเอียดท่ีสมบูรณ์ของแหล่งข้อมูลจะแสดงใน “บรรณานุกรม” ใน สว่ นท้ายของวทิ ยานิพนธ์ การลงรายการของแหลง่ ขอ้ มูลทอี่ ้างองิ แทรกในเนื้อหา มขี ้อกาหนดดงั ต่อไปนี้
30 1. ข้อมูลท่ีต้องระบุในการอ้างอิง คือแหล่งท่ีมาของข้อมูลหรืออัญพจน์ โดยทั่วไป ประกอบด้วย ชื่อผู้แต่งหรือผู้ผลิต ปีที่พิมพ์หรือปีที่ผลิต และหน้าท่ีอ้าง อยู่ในเครื่องหมายวงเล็บ โดยใช้ เครอื่ งหมายจลุ ภาคคัน่ ระหวา่ งรายการ 1.1 ช่ือผแู้ ตง่ หรือผ้ผู ลิต 1.1.1 แหล่งข้อมูลภาษาไทยให้ระบุทั้งชื่อและนามสกุลของผู้แต่ง ส่วน แหล่งข้อมูล ภาษาต่างประเทศให้ใช้เฉพาะนามสกุลของผู้แต่งเท่านั้น กรณีผู้แต่งเป็นคนไทยใน วทิ ยานพิ นธภ์ าษาต่างประเทศ ใหใ้ ชเ้ ฉพาะนามสกุลของผู้แต่งเชน่ เดียวกัน 1.1.2 ผ้แู ตง่ 2 คน ให้ใชค้ าเช่อื ม “และ” หรอื “and” ระหวา่ งชอ่ื ผู้แต่ง สาหรับ แหล่งขอ้ มูลภาษาไทย และแหล่งข้อมูลภาษาองั กฤษ ตามลาดับ 1.1.3 ผู้แต่ง 3 คน ให้ใช้เคร่ืองหมายจุลภาคคั่นระหว่างชื่อผู้แต่งสองคนแรก และใช้ คาวา่ “และ” หรอื “and” แล้วแต่กรณี คนั่ ระหวา่ งชื่อผูแ้ ต่งคนทสี่ องกับคนทส่ี าม 1.1.4 ผู้แต่งมากกว่า 3 คน ให้ใส่ชื่อผู้แต่งคนแรก ตามด้วยคาว่า “และคณะ” ใน แหล่งข้อมูลภาษาไทย หรือ “et al.” (ย่อมาจากภาษาละตินว่า et ali หรือ et alia) ใน แหล่งข้อมลู ภาษาอังกฤษ เพ่อื มิให้การอ้างอิงยึดยาวเกินจาเป็น ท้ังนี้ รายละเอยี ดแหลง่ ขอ้ มูลโดย สมบูรณ์จะปรากฏ ในรายการ “บรรณานุกรม” ข้างท้ายวทิ ยานพิ นธ์ 1.2 ปีท่พี มิ พห์ รือปีท่ีผลติ แหล่งข้อมูลภาษาไทยให้ระบุปี พ.ศ. สาหรับแหล่งข้อมูลภาษาต่างประเทศ โดยท่วั ไป ให้ระบุปี ค.ศ. ทั้งนี้ ระบเุ พียงตวั เลข และใช้ปีท่ีพิมพค์ ร้งั ล่าสดุ 1.3 หน้าทอ่ี ้าง แหล่งข้อมูลภาษาไทยให้ใช้คาว่า “หน้า” ตามด้วยเลขหน้าของข้อมูลที่อ้างถึง สาหรับแหล่งขอ้ มลู ภาษาอังกฤษใหแ้ ทนคาวา่ “หนา้ ” ด้วย p. ในการอา้ งหน้าเดียว และ pp. ใน การอา้ ง มากกวา่ หนงึ่ หน้า รูปแบบและตวั อยำ่ ง ในการแสดงรูปแบบต่อไปนี้ ใช้เคร่ืองหมาย ✓ แทนการเว้น 1 ช่วงตัวอักษร ผู้ แต่ง 1 คน (ผ้แู ต่ง, ✓ปที พี่ มิ พ,์ ✓หนา้ ✓เลขหนา้ ทอ่ี า้ ง)
31 (จักษ์ พนั ธุ์ชูเพชร, 2545, หน้า 28, 39-41) (สมพร พุฒตาล เพท็ ซ์, 2546, หน้า 25-32) (Brown, 1999, p. 9) ผูแ้ ตง่ 2 คน (ผู้แต่งคนแรก ✓และผู้แต่งคนท่ี 2, ✓ปีที่พิมพ์, ✓ หน้า ✓ เลข หน้าที่อ้าง) (ชูศักดิ์ เวชแพศย์ และสมศรี ดาวฉาย, 2543, หน้า 82) (Syananondh and Padgate, 2005, pp. 69, 80-87) ผู้แตง่ 3 คน (ผู้แต่งคนแรก , ✓ ผู้แต่งคนที่ 2 ✓และผู้แต่งคนท่ี 3, ✓ปีที่พิมพ์, ✓หนา้ ✓เลขหน้าทีอ่ ้าง) (แสงหล้า พลนอก, เชาวน้ี ล่องชูผล และสุวนีย์ เก่ียวก่ิงแก้ว, 2548, หนา้ 38-39) (Chokmaviroj, Rakwichian and Ketjoy, 2004, p. 1101) ผู้แตง่ มากกว่า 3 คน (ผแู้ ต่งคนแรก” ✓ละคณะ ✓,ปที พ่ี มิ พ,์ ✓หนา้ ✓เลขหน้าที่อา้ ง) (มัลลกิ า ตงั้ คา้ วานิช และคณะ, 2545, หน้า 140) (Kerdoin, et al., 2004, pp. 7839-7840) 2. ผู้แต่งที่มีคานาหน้าช่ือเป็นฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักด์ิ ยศ และสมณศักดิ์ เช่น พระบาทสมเด็จพระ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ม.ร.ว. พระยา หลวง พล อ.อ. Duke Pope St. (อักษรย่อของ Saint) ให้ระบคุ านาหน้าชอื่ เหล่าน้ีตามปกติ กรณีท่ียศของสังกัดต่างกันแต่ใช้อักษรย่อเหมือนกัน เช่น ร.ต. ซ่ึงเป็นอักษรย่อของ ร้อยตรี เรอื ตรแี ละเรอื อากาศตรี ให้ใช้คาเตม็
32 กรณีคาลงท้ายแสดงสังกัดของทหารเรือ คือร.น. และคาลงท้ายช่ือชาวต่างชาติ เช่น Sr. และ Jr. (อกั ษรย่อของ Senior และ Junior) ให้ระบุไวต้ ามปกติ ตวั อย่ำง (สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, 2546, หนา้ 5 - 11) (พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยทุ ธ ปยทุ โต), 2546, หนา้ 36 -40) (พระสิงห์ทอง ธมมวโร, 2531, หนา้ 21-36) (พล ต. ม.ร.ว.คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช, 2547, หนา้ 9) (พล อ.เปรม ติณสลู านนท,์ 2544, หน้า 13 - 19) (พระยาศรีสุนทรโวหาร, 2508, หนา้ 63 - 74) (ขนุ วิจติ รมาตรา, 2541, หน้า 135-139) (น.อ.สมภพ ภริ มย์ ร.น., 2548, หน้า 60) 3. วัสดุท่ีจัดพิมพ์ในชื่อของหน่วยงาน ให้ใช้ช่ือหน่วยงานอย่างต่าในระดับกรม หรือ หน่วยงาน เทียบเท่ากรม เป็นรายการผู้แต่ง หากไม่ปรากฏชื่อหน่วยงานระดับกรม หรือเป็น หนว่ ยงานทีไ่ ม่ใชส่ ว่ น ราชการ ใหร้ ะบชุ ่อื หน่วยงานตามท่ีปรากฏในวัสดุอ้างองิ เปน็ รายการผแู้ ต่ง รูปแบบและตัวอย่ำง (หนว่ ยงาน,✓ปที พ่ี มิ พ,์ ✓หนา้ ✓เลขหน้าทอี่ า้ ง) (หนว่ ยงานแรก, ✓ และหนว่ ยงานที่ 2 ,✓ปีท่ีพิมพ,์ ✓หนา้ เลขหน้าที่อา้ ง) (หน่วยงานแรก, ✓หน่วยงานท่ี 2 ✓และหน่วยงานที่ 3, ✓ ปีที่พิมพ์, ✓หน้า ✓เลขหน้าทอี่ า้ ง) (มหาวิทยาลัยมหดิ ล, 2543, หน้า 17) (สานักราชบัณฑิตยสถาน, 2545, หนา้ 96-105) (สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสมาคมวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2542, หนา้ 79.98)
33 (สานกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาต,ิ สมาคมวิจัยเชิงคุณภาพแหง่ ประเทศ ไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2536, หน้า 86) (Thailand. Ministry of Public Health. The Chemical Safety Section of the Food and Drug Administration, 2000, pp.175-183) (United States. Department of Defense, 1988, pp. 55-63) 4. วัสดุที่ไม่ปรากฏชื่อผ้แู ตง่ หรือผู้จดั ทา ให้ใช้ชอ่ื เอกสารแทนรายการช่อื ผแู้ ต่งสาหรับช่ือ เอกสารภาษาอังกฤษ ให้ปรับชื่อเป็นอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด ยกเว้นอักษรตัวแรกของช่ือเอกสาร อักษรตัว แรกของชื่อรองหลังเคร่ืองหมายทวภิ าค (ถ้ามี) และอักษรตัวแรกของคาท่ีเป็นช่ือเฉพาะ ใหใ้ ชอ้ กั ษรพิมพ์ ใหญ่ ตัวอย่ำง (คู่มือสาหรับผู้ปกครองเด็กออทิสติก, 2539, หนา้ 3-6) (ลลิ ิตพระลอ, 2516, หนา้ 5-6) (The new international Webster's comprehensive dictionary of the English language, 1998, pp. 325-327) 5. หนงั สือแปล ให้ใส่ช่ือสกลุ ผแู้ ตง่ เปน็ ภาษาแปลของเอกสารนั้น ๆ หากไม่ทราบชอื่ ผู้แต่ง ให้ ใชช้ อ่ื เร่อื งในภาษาทแ่ี ปล รูปแบบและตวั อยำ่ ง (ชอื่ สกุลผแู้ ต่ง,✓ปที ีพ่ ิมพ,์ ✓ หนา้ ✓ เลขหนา้ ทอี่ ้าง) (ชื่อเรอ่ื งในภาษาทแี่ ปล, ✓ ปที พ่ี ิมพ,์ ✓หนา้ ✓เลขหนา้ ท่ีอ้าง) (เชก็ สเปียร,์ 2498, หนา้ 200) (เสียงเพรยี กจากขุนเขา, 2528, หนา้ 60) 6. ผ้แู ตง่ ทใ่ี ชน้ ามแฝง ใหใ้ ชน้ ามแฝงเป็นชือ่ ผู้แตง่ รปู แบบและตัวอยา่ ง (นามแฝง✓ปที ีพ่ มิ พ,์ ✓หนา้ ✓เลขหน้าทีอ่ า้ ง) (น. ณ ปากํน้า, 2525, หนา้ 15) (เสฐียรโกเศศ, 2515, หน้า 54 - 59) (Twain, 1965, pp. 21-35)
34 (Dr.Seuss, 1959) 7. วัสดุที่ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ให้ใช้อักษรย่อ ม.ป.ป. ย่อมาจากคาว่า ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ สาหรับ วสั ดุอ้างอิงภาษาองั กฤษใหใ้ ช้ n.d. ยอ่ มาจากคาว่า no date รปู แบบและตัวอยำ่ ง (ผู้แต่ง, ✓ม.ป.ป., ✓ หนา้ ✓เลขหน้าทอ่ี า้ ง) (ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์, ม.ป.ป., หน้า 45) (Naresuan University, n.d., p. 20) 8. วัสดุภาษาไทยท่ีไม่มีเลขหน้าให้ใช้คาว่า ไม่มีเลขหน้า สาหรับวัสดุอ้างอิงภาษาอังกฤษ ให้ใช้ unpaged รูปแบบและตวั อยำ่ ง (ผู้แตง่ , ✓ปที ่พี ิมพ,์ ✓ ไมม่ เี ลขหน้า) (มณฑล สงวนเสริมศรี, 2549, ไม่มีเลขหน้า) (Thompson, 1988, unpaged) 9. การอ้างวัสดุท้ังเล่มโดยไม่เจาะจงหน้า ซ่ึงส่วนมากจะเป็นผลสรุปจากรายงานการ ศึกษาวิจยั หรอื วทิ ยานพิ นธ์ ให้ระบเุ ฉพาะผู้แตง่ กับปที พี่ ิมพ์ รูปแบบและตวั อยำ่ ง (ผูแ้ ต่ง, ✓ ปีทีพ่ มิ พ)์ (กาญจน์ เร่อื งมนตร,ี 2547) (Darling, 1976) (Singnoi, 2000) 10.การอ้างวัสดุมากกว่าหน่ึงรายการประกอบเนื้อหาเดียวกัน ให้ใส่รายการวัสดุอ้างอิง ท้ังหมด โดยใช้เคร่ืองหมายอัฒภาคค่ันระหว่างรายการวัสดุอ้างอิง ท้ังนี้ ให้เรียงปีท่ีพิมพ์ก่อนหลัง ตามลาดบั ถา้ เป็นวสั ดทุ ่พี มิ พป์ เี ดยี วกนั ให้เรยี งตามลาดบั อกั ษรช่ือผูแ้ ต่ง รูปแบบและตัวอย่าง
35 (ผู้แต่ง, ✓ ปีท่ีพิมพ์, หน้า✓เลขหน้าท่ีอ้าง; ✓ ผู้แต่ง, ✓ปีท่ีพิมพ์, หน้า ✓เลขหน้าทอ่ี ้าง; ✓ผแู้ ตง่ , ✓ ปที ่พี ิมพ,์ หนา้ ✓ เลขหน้าท่อี า้ ง) (เธียรศรี วิวิธสิริ, 2527, หน้า 32-38; นวลละออ สุภาผล, 2527, หน้า 27-33; สชุ า จันทน์เอม, 2536, หนา้ 12-17) (Stolotsky, 1992, pp. 18 - 20; Heckels, 1996, pp. 23 -24; Jones, 1998, p.30) 11. วัสดุหลายเรื่องของผู้แต่งคนเดียวกัน และจัดพิมพ์ปีเดียวกันในวิทยานิพนธ์กา ใช้ อักษร ก ข ค ง หรือ a b c d ในวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษกากับหลังปีที่พิมพ์ โดยเรียงตาม การอา้ งอิง รูปแบบและตัวอยำ่ ง (ผู้แต่ง, ✓ ปีทพ่ี ิมพแ์ ละลาดับที่วสั ดอุ า้ งอิง.✓หนา้ ✓ เลขหนา้ ที่อา้ ง) (วลลุ ี โพธริ ังสิยากร, 2539ก, หน้า 171-173) (วลลุ ี โพธริ ังสยิ ากร, 2539ข, หนา้ 26) (วลลุ ี โพธิรังสิยากร, 2539ค, หน้า 80-82) (Drucker, 1995a, p. 101-110) (Drucker, 1995b, p. 121-127) (Drucker, 1995c, p. 98-96) 12. กรณีจาเป็นต้องอ้างถึงวัสดุท่ีอ้างในเอกสารอื่น เพราะไม่สามารถค้นและอ้างอิงจาก แหล่ง เดิมได้ เรียกว่าเป็นการอ้างจากแหล่งรอง ให้อ้างจากแหล่งเดิมเท่าท่ีสามารถระบุได้ วิทยานิพนธ์ ภาษาไทยให้ใช้คาว่า “ อ้างอิงใน” สาหรับวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษให้ใช้คาว่า “as cited in” รูปแบบและตัวอยำ่ ง (ผู้แตง่ เดิม, ✓ ปที ี่พิมพเ์ ดมิ , ✓หน้า✓เลขหน้าท่ีอา้ ง✓ อ้างอิงใน ผู้แต่ง, ✓ ปที ่ีพิมพ์, ✓หนา้ ✓เลขหน้าท่อี า้ ง) (Prescott, 1963, pp. 135-136 อา้ งอิงใน วนดิ า บารงุ ไทย, 2544, หนา้ 61) (Anderson, 1982, p. 21 as cited in Hernon, 1999, p. 35 c)
36 กรณอี ้างท้ังฉบับ (ผู้แต่งเดิม, ✓ ปีที่พิมพ์เดิม✓ อ้างอิงใน ผู้แต่ง, ✓ ปีที่พิมพ์, ✓หน้า✓เลข หน้าทีอ่ า้ ง) (เสถียร โพธินนั ทะ, 2496 อ้างอิงใน ประภาศรี สหี อาไพ, 2535, หน้า 164) (Allwright and Bailey, 1991 as cited in Syananondh and Padgate, 2548,p. 73) 13. การอ้างบทความหรอื คอลมั น์ในหนังสือพมิ พ์ รูปแบบและตวั อย่าง (ผ้แู ต่ง, ✓ปที พี่ มิ พ,์ ✓หนา้ ✓เลขหน้าท่อี ้าง) (สมบตั ิ นพรกั , 2548, หน้า 30) (Wiriyapons, 2001, p. B1) 14. การอา้ งขา่ วในหนงั สอื พิมพ์ เน่ืองจากหัวข้อข่าวส่วนใหญ่ค่อนข้างยาว การลงหัวขอข เท่านั้นกรองหมาย อัญประกาศ ท้งั น้ี หัวข้อเต็มจะปรากฏในรายการบรรณานุกรมขา วิทยานพิ นธ์ รูปแบบและตัวอย่ำง (“หวั ข้อขา่ ว”, ✓ ปีทีพ่ มิ พ,์ /✓หนา้ ✓เลขหนา้ ท่อี า้ ง) (“สคบ. เขม้ ”, 2549, หนา้ 1, 15) (“Court rejects EC”, 2006, p. 1, 10) 15. การอา้ งบทความในวารสาร ใหล้ งรายการอ้างอิงเชน่ เดียวกับการอา้ งองิ จากหนงั สือ รปู แบบและตัวอย่ำง (ผู้เขียนบทความ, ✓ ปที ีพ่ มิ พ,์ ✓หนา้ ✓เลขหนา้ ที่อา้ ง) (จันทิมา ซมิ สัน, 2547, หน้า 125) (มสิ เตอร์ไอที, 2544, หน้า 104-105) (วลุลี โพธริ งั สิยากร, 2543, หนา้ 111) (สภุ าพร คงศริ ิรตั น,์ 2548, หนา้ 79-80) (Limpeanchob, 2005, p. 48)
37 (Ounaroon, Frick and Kutchan, 2005, pp. 161-162) (Toile, 2000, pp. 310-317) กรณีไมป่ รากฏชอ่ื ผูแ้ ตง่ ใหล้ งชอื่ บทความแทนช่อื ผู้แตง่ สาหรับบทความภาษาอังกฤษ ให้ปรับช่ือบทความเป็นอักษรพิมพ์เล็กท้ังหมด ยกเว้น อักษรตัวแรกของชื่อบทความ อักษรตัวแรกของชื่อรองหลังเคร่ืองหมายทวิภาค (ถ้ามี) และอักษร ตัวแรก ของคาท่ีเปน็ ชื่อเฉพาะ ใหใ้ ชอ้ กั ษรพมิ พ์ใหญ่ รปู แบบและตัวอยำ่ ง (ช่อื บทความ, ✓ปที ีพ่ ิมพ,์ ✓ หนา้ ✓ เลขหน้าท่อี ้าง) (การจดั การและแกไ้ ขความขดั แย้งอย่างสนั ตวิ ธิ :ี การอบรม, 2546, หนา้ 90 - 101) (ไทยยกแผนพัฒนาการเงิน: ย้ือเปิดเสรีกับสหรัฐฯ อีก 3 ปี, 2548, หน้า 49 51 (Foreign direct investment: Why Japan, 2004, pp. 6 -11) (Thailand's soda ash project, 1977, pp. 9 - 12) 16. การอ้างอิงเอกสารพิเศษ เช่น จดหมายเหตุ คาสัง่ ประกาศ แผน่ ปลิว ฯลฯ รปู แบบและตัวอย่ำง (หน่วยงาน, ✓วนั ที่ เดือน✓ ปีท่ีประกาศหรอื บนั ทึก) สาหรับเอกสารพิเศษภาษาองั กฤษ ใหล้ าดับ เดอื น ก่อน วนั ที่ การอา้ งอิงจดหมายเหตุ (หอสมดุ แหง่ ชาต,ิ จ.ศ.1206) การอ้างอิงคาสั่ง (มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, 10 เมษายน 2549) การอา้ งอิงประกาศ (มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, 23 กรกฎาคม 2547) การอา้ งองิ แผน่ ปลิว (มหาวิทยาลยั นเรศวร, ม.ป.ป.)
38 17. การอ้างองิ กฎหมายทป่ี ระกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือเอกสารอื่น รูปแบบและตวั อยำ่ ง (ช่ือกฎหมาย, ✓วนั ท✓ี เดือน✓ปีท่ปี ระกาศ, ✓ หนา้ ✓ เลขหน้าทอ่ี า้ ง) กรณีเปน็ ภาษาองั กฤษ ใหใ้ ช้รูปแบบดงั น้ี (ชอื่ กฎหมาย, ✓ ปที ีป่ ระกาศ) (พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2533, 29 กรกฎาคม 2533, หน้า 1 - 33) (กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2519) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการพลเรอื นในมหาวทิ ยาลยั พ.ศ. 2507, 11 มีนาคม 2519, หน้า 39) (RU486: The Import Ban, 1990) - (Urban America's Need, 1992) 18. การอา้ งอิงจากรายการวทิ ยุหรือโทรทัศน์ รูปแบบและตัวอย่ำง (ผจู้ ัดทา, ✓วนั ท✓่ี เดือน✓ปีทจี่ ัดทา) กรณภี าษาองั กฤษ ให้ลาดับ เดือน กอ่ น วันที่ (ปญั ญา นริ ันดร์กลุ , 26 พฤษภาคม 2549) (Keillor and Smith, October 2, 1993) 19. การอา้ งอิงจากส่อื โสตทศั นูปกรณท์ เ่ี ป็นภาพ สง่ิ จาลอง หรือภาพถ่ายของเอกสาร เชน่ P) ภาพถ่าย (Picture) ภาพวาด (Painting) ลูกโลกจาลอง (Globe) ภาพยนตร์ (Film) วีดิทัศน์ (Videotape) วีดิทัศน์ซีดี (VCD) ดิจิทัลอเนกประสงค์ (DVD) ภาพเล่ือน (Filmstrip) ภาพน่ิง (Side) ไมโครฟลิ ม์ (Microfilm) ไมโครฟชิ (Microfiche) รูปแบบและตวั อยำ่ ง (ผ้จู ดั ทา, ✓ ปีที่จดั ทา, ✓ ประเภทสอื่ ) (ม.จ.ชาตรีเฉลมิ ยุคล, 2544, ภาพยนตร์) (สุดแดน วสิ ุทธลิ กั ษณ์, 2538, วีดิทัศน์) (มหาวทิ ยาลัยนเรศวร, ม.ป.ป., วดี ิทัศนซ์ ดี )ี
39 (สานกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาต,ิ 2540, ภาพน่งิ ) (Redford, 1980, Film) (Weir and Harrison, 1992, Videotape) (Ferguson, 1984, Microfilm) 20. การอา้ งองิ จากส่ือโสตทัศนูปกรณ์ประเภทสอื่ เสยี งท้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ เชน่ แผ่นเสยี ง (Phonodisc) แถบบันทึกเสยี ง (Cassette) ซดี ี (CD) รปู แบบและตัวอยำ่ ง (ผขู้ ับร้อง หรือผู้บรรยาย หรอื ผู้ผลติ , ✓ปที จ่ี ัดทา✓ประเภทส่ือ) (พูนพงษ์ งามเกษม, 2548, แถบบันทึกเสยี ง) (อาร.์ เอส., 2543, ซีดี) (Lake, 1989, Cassette) (Martin, 1991, CD) (Young, 2004, Cassette) 21. การอ้างอิงงานแสดงศิลปะ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม งานแกะสลัก งานหัวาน แกะสลกั งานหัตถกรรมฯลฯ รปู แบบและตวั อยำ่ ง (ผูส้ รา้ ง,✓ ปที ี่สร้าง, ✓ ประเภทงานศลิ ปะ) (เฉลิมชยั โฆษติ พิพฒั น์, 2539, จิตรกรรม) (Gogh, 1888, Painting) 22. การอ้างอิงจากฐานขอ้ มลู สาเรจ็ รปู ซีด-ี รอม (CD-ROM) ใหใ้ ช้รูปแบบดงั น้ี รูปแบบและตวั อย่ำง (ผ้แู ตง่ , ✓ ปีท่จี ัดทา✓ฐานขอ้ มลู สาเร็จรปู ซดี ี-รอม) (Bower, 1997, CD-ROM) (McNicol, 1980, CD-ROM) 23. การอ้างอิงข้อมูลจากสื่อออนไลน์ (Online) จากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ อินทราเน็ต ซ่ึงปรากฏในประเภทต่าง ๆ เช่น บทความ หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ บทเรียน อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-learning) เป็นตน้
40 รูปแบบการอา้ งองิ ประกอบดว้ ยขอ้ มลู เชน่ เดียวกบั ส่อื สงิ่ พมิ พท์ ั่วไป รปู แบบและตัวอย่ำง (ผู้แตง่ , ✓ ปีที่จดั ทา) (จิรวัฒน์ พระสันต์ และวนดิ า บารุงไทย, 2543) (ลกั ษณา ลขิ ติ เกียรตขิ จร, 2545) (แสมดา, 2544) (American Psychological Association, 1995) (Bain, 2006) (Munson and Degelman, 1997) (Sleek, 1996) 24. การอ้างอิงจากการปาฐกถา บรรยาย อภิปราย การประชุมเชิงปฏิบัติการ การ ประชมุ สมั มนาทางวชิ าการ ประชาพจิ ารณ์ การแสดง ให้ลงรายการหลักเวลาเผยแพร่ กรณีการแสดงเปน็ หมู่คณะ ใหล้ งชื่อการแสดง แทนรายการผู้แสดง รูปแบบและตวั อยำ่ ง (ผูบ้ รรยาย หรอื ผู้แสดง, ✓ วันท✓ี่ เดือน✓ ปที ่บี รรยาย) กรณเี ปน็ ภาษาอังกฤษ ใหล้ าดับเดือน ก่อนวันท่ี (เกษม วฒั นชยั , 26 กรกฎาคม 2546) (การสัมมนาเรื่อง “อุดมศึกษาไทยในยุคเปิดเสรีทางการค้าโลกด้านการศึกษา” 23 – 25 มกราคม 2547) (คู่กรรม, 15-25 สิงหาคม 2549.) (รัฐภูมิ โตคงทรัพย,์ 28 พฤษภาคม 2549) (Burns, March 20, 1987) 25. การอ้างอิงจากการสัมภาษณท์ เ่ี ผยแพรใ่ นส่ิงพิมพห์ รือวสั ดุสารสนเทศ
41 รปู แบบและตัวอย่ำง (ชอ่ื ผใู้ หส้ มั ภาษณ์, ✓ ปที ่ีสมั ภาษณ์) (มณฑล สงวนเสรมิ ศรี, 2549) (Chumsai and Sirisumphan, 1985) 26. การอา้ งองิ จากการสมั ภาษณ์โดยตรงที่ไมม่ ีการเผยแพร่ รปู แบบและตวั อยำ่ ง (ชอ่ื ผู้ให้สมั ภาษณ,์ ผูใ้ หส้ ัมภาษณ,์ ✓ วนั ที่ ✓ เดือน✓ ปที ่สี ัมภาษณ)์ กรณีเป็นภาษาอังกฤษ ใหร้ ะบชุ อ่ื สกลุ ผ้ใู ห้สมั ภาษณ์ และระบเุ ดือนก่อนวนั ท่ี (สจุ ินต์ จินายน, ผใู้ ห้สัมภาษณ,์ 27 มนี าคม 2549) (Eaton, personal communication, September 4, 1987) การสัมภาษณ์โดยไม่มีการเผยแพร่นี้ ให้ระบุการอ้างองิ ในเน้ือหาเทา่ น้ัน ไม่ต้องลง ใน รายการ “บรรณานุกรม” เนอื่ งจากไมป่ รากฏหลักฐานให้สามารถสืบคน้ ได้ 27. การอ้างอิงจากการทัศนศึกษา หรือการสังเกต หรือการสารวจ ท่ีเผยแพร่ในส่ิงพิมพ์ หรอื วสั ดุสารสนเทศใด ๆ ใหอ้ า้ งอิงตามรูปแบบของวสั ดุน้ัน ๆ การอ้างอิงจากประสบการณ์ท่ไี มม่ กี ารเผยแพรด่ ังกรณีน้ี ให้ระบุการอา้ งอิงในเน้ือหา เท่านั้น ไมต่ ้องลงในรายการ “บรรณานกุ รม” เพราะไมป่ รากฏหลักฐานที่จะสืบค้นได้ รูปแบบและตัวอยำ่ ง (ช่ือผู้ทัศนศึกษา หรือสังเกต, ✓ ผู้ทัศนศึกษาหรือสังเกตหรือสารวจ, ✓ วัน ✓ เดือน ✓ ป)ี ถา้ อา้ งอิงเป็นภาษาอังกฤษ ให้ระบชุ ื่อสกุลของผทู้ ัศนศึกษา และระบุเดอื นกอ่ น วันท่ี (ธิติมา สุบนิ , ผทู้ ัศนศกึ ษา, 4 – 6 สิงหาคม 2549) (Conley, observer, March 19 - 20, 2007)
42 กำรอ้ำงองิ แบบใชต้ ัวเลข การอ้างอิงแบบใช้ตัวเลขนี้ จะไม่แสดงรายการแหล่งที่มาของข้อมูลอ้างอิงในเน้ือหาแบบ การ อ้างอิงแทรกในเนื้อหา เพียงแต่ใช้ตัวเลขกากับอัญพจน์เพื่อบ่งช้ีไปท่ีรายการบรรณานุกรมท่ี สว่ นท้ายเลม่ ซึ่งจะกากับตัวเลขตรงกัน การอ้างองิ แบบใชต้ วั เลข มีขอ้ กาหนดดงั นี้ 1. ตัวเลขกากับอัญพจน์อยู่ในวงเล็บเหล่ียม ข้างท้ายหรือหน้าอัญพจน์ หรือที่ชื่อผู้แต่ง แลว้ แต่ ความเหมาะสม ท้ังน้ี ตัวเลขกากับนีต้ อ้ งตรงกับตวั เลขกากับรายการบรรณานกุ รม 2. ตวั เลขกากับอัญพจนใ์ ห้ลาดบั ตามการอ้าง 3. ถ้าอา้ งซ้า ให้ใชต้ ัวเลขเดิมกากบั 4. กรณีมี “เชิงอรรถขยายความ” หรือ “เชิงอรรถโยงความ” ใช้วงเล็บบ่งชี้ให้ดูที่รายการ “เชงิ อรรถ” เชน่ เดียวกบั การอา้ งอิงแทรกในเน้ือหา ดังรายละเอยี ดในหน้า 25 ของคูม่ อื ฯ ฉบับน้ี ตัวอย่ำง จันทมิ า ซมิ สนั [3] กลา่ วว่า พระยาอนมุ านราชธน [14] เสนอแนะวา่ .... พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สรุปเร่อื งราวท่ีเล่าถงึ พระราชกรณียกิจของสมเดจ็ พระ นเรศวรมหาราช ในตอนน้ีว่า ทาให้ได้ประจักษ์ในพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วยพระมหา กรณุ าธิคณุ ต่อ ราษฎรผู้ยากจนขดั สน [13] Freud [4] viewed... Saint Laurent [16] described that... ปนดา เตชทรัพย์อมร และบญุ รุ่ง อรยิ ชัยกลุ [6] กลา่ วว่า Cornuelle and Gronefeld [7] stated that... ปริญญา เลิศสินไทย กนั ยา ปาละววิ ัธน์ และวรรธนะ ชลายเดชะ [8] กล่าวว่า Brumfit, Robert and Richards [9] conducted... ไพโรจน์ ศรีอรุณ และคณะ [10] กลา่ วว่า Kitbunnadaj, et al. [11] suggested that... โดยทว่ั ไปเปน็ ที่ยอมรับกันวา่ ภาษาเป็นกระเปา๋ ใบใหญ่ของวฒั นธรรม (91..
43 5. กรณีอ้างข้อมูลเดียวกันจากหลายแหล่งอาจระบุแยกเป็นรายแหล่งข้อมูล หรืออ้าง รวมกัน ตัวอยำ่ ง พระยาอนุมานราชธน [12], นายตารา ณ เมืองใต้ [13], คุณหญิงกุหลาบ มัลลิ กะมาส [14] แสดงความเห็นวา่ ... Robinson and Munbuy [7], Brumfit, Robert and Richards [8] mentioned that... การเพิ่มปริมาณการใช้ยาในทางที่ผิดมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติอย่าง มาก [3,4, 5] The increased drug abuse had an impact on the nation's stability (10,11, 12) กล่าวโดยสรุป การเสนออัญพจน์และการอ้างอิงแหล่งท่ีมาเป็นส่ิงท่ีผู้จัดทาวิทยานิพนธ์ ต้องให้ ความเอาใจใส่ทั้งความถูกต้องน่าเช่ือถือของเนื้อหาที่นามาอ้าง และรูปแบบการเขียน อ้างอิง ซ่ึงต้อง เป็นไปตามข้อกาหนดของมหาวิทยาลัย ท้ังน้ี ผู้จัดทาวิทยานิพนธ์พึงเข้าใจว่า รูปแบบการเรียบเรียงอัญพจน์และการอ้างอิงท่ีกาหนดเป็นแบบแผนในแต่ละสถาบัน แม้จะมี หลักการและโครงสร้างสาคัญ เช่นเดียวกัน แต่ก็มักมีความแตกต่างกันในรายละเอียด จึงไม่อาจ ยึดถือวิทยานิพนธ์ของตา่ งสถาบันเป็น แบบได้ และแม้จะยดึ ถือรูปแบบของวิทยานิพนธท์ ่ีจดั ทาใน สถาบันเดียวกันเป็นตัวอย่างก็อาจผิดพลาดได้ เพราะอาจเป็นฉบับทลี่ ะเลยการใชร้ ูปแบบทีถ่ ูกตอ้ ง ผู้จัดทาวิทยานิพนธ์จึงควรระมัดระวังศึกษาและ ตรวจสอบรูปแบบท่ีถูกต้องจากคู่มือการจัดทา วทิ ยานิพนธท์ ม่ี หาวิทยาลยั กาหนดขน้ึ เปน็ สาคัญ
44 บทท่ี 5 กำรจดั ทำบรรณำนกุ รม บรรณานุกรม (References) คือบัญชีรายการวัสดุสารสนเทศที่ผู้จัดทาวิทยานิพนธ์ใช้ ประกอบการศึกษาค้นคว้า ซ่ึงบางสถาบันอาจกาหนดเรียกเป็นอย่างอ่ืน เช่น เอกสารอ้างอิง รายการ อา้ งอิง เป็นต้น บรรณานกุ รมเป็นส่วนสาคัญของวทิ ยานพิ นธ์ เพราะเปน็ สว่ นท่ใี ห้ความเชื่อม่นั แก่ผู้อ่านว่า วิทยานิพนธ์นั้น ๆ ได้มีการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารดังแสดงไว้อย่างชัดเจน ทั้งเป็นประโยชน สาหรับ ผู้อ่านในกรณีท่ีต้องการตรวจสอบข้อมูลหรือประสงค์จะศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยงั เปน็ การให้ เกยี รตแิ กเ่ จ้าของข้อมลู ที่เป็นแหลง่ คน้ คว้าอ้างองิ อกี ด้วย หลกั ท่วั ไปของกำรจัดทำบรรณำนุกรม การจัดทาบรรณานุกรมท้ังในวิทยานิพนธ์ท่ีใช้รูปแบบการอ้างอิงแทรกในเนื้อหาและ รูปแบบ การอา้ งองิ แบบใชต้ ัวเลข มรี ปู แบบดังตอ่ ไปนี้ 1. ก่อนถึงหน้าแสดงรายการบรรณานุกรม ให้มีหน้าบอกตอน ซึ่งมีคาว่า บรรณานุกรม หรือ References แลว้ แต่กรณี ท่ีกลางหน้ากระดาษ โดยวทิ ยานิพนธภ์ าษาไทยใหใ้ ชต้ ัวอักษรแบบ TH Sarabun PSK ขนาด 18 ตัวหนา วิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษให้ใช้ตัวอักษรแบบ Times New Roman ขนาด 14 ตัวหนา หน้าบอกตอนรายการบรรณานุกรมนี้ไม่ใส่เลขกากับหน้า แต่ให้นับ หนา้ 2. หน้าแสดงรายการบรรณานุกรม ใช้หัวเรื่องว่า บรรณานุกรม หรือ References แล้วแต่ กรณี ที่บรรทัดแรกของหน้า กลางหน้ากระดาษ โดยวิทยานิพนธ์ภาษาไทยให้ใช้ตัวอักษร แบบ TH Sarabun PSK ขนาด 18 ตัวหนา วิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษให้ใช้ตัวอักษรแบบ Times New Roman ขนาด 14 ตัวหนา ภาษาอื่น ๆ ให้ใช้ขนาดตัวอักษรโดยเทียบเคียง ทั้งนี้ หน้าแรก ของรายการ บรรณานกุ รมไม่ใส่เลขกากบั หนา้ แต่ใหน้ บั หนา้ 3. บรรณานุกรมแต่ละรายการให้เร่ิมที่เส้นขอบหน้า ถ้ารายการบรรณานุกรมมีความยาว มากกว่า 1 บรรทัด ในบรรทัดต่อ ๆ ไปให้เว้น 1.50 ซม. จากระยะขอบหน้า โดยวิทยานิพนธ์
Search