Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore HMO14

HMO14

Published by Jatuporn Sangthikul, 2019-07-31 00:30:02

Description: HMO14

Search

Read the Text Version

HMO14-1    การนิยามและการแสดงตวั ตนของส่วยบ้านเปื อยใหม่ผ่านพธิ ีกรรมรําแถน Self-Definition and Self-Expression of the Suai in Pueai Mai Village through the RamThaen Ritual ธนาภา ศกนุ ะสิงห์ (Tanapa Sakunasingh)* ดร.จกั รพนั ธ์ ขดั ชุ่มแสง (Dr.Jaggapan Cadchumsang)** บทคดั ย่อ บทความน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาการธาํ รงชาติพนั ธุ์ของชาวส่วยบา้ นเปื อยใหม่ จงั หวดั ศรีสะเกษ อนั เป็ น พ้ืนท่ีซ่ึงประกอบดว้ ยชาวส่วยเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์หลกั การศึกษาน้ีใชร้ ะเบียบวิธีวิจยั เชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ย วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเชิงลึกผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลกั และการศึกษาคน้ ควา้ จาก หนงั สือและเอกสารทางวชิ าการ ผลการศึกษาพบวา่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วฒั นธรรมและการพฒั นาของ รัฐในระดบั ทอ้ งถิ่น อตั ลกั ษณ์ทางชาติพนั ธุ์ของชาวส่วยถูกประกอบสร้างผา่ นการนิยามตนเองวา่ เป็ น “ส่วย” ในขณะที่ หน่วยงานของรัฐในระดบั ทอ้ งถ่ินเรียกพวกเขาวา่ “กยู ” นอกจากน้ี ชาวส่วยยงั แสดงตวั ตนผา่ นพิธีกรรม “รําแถน” ท่ีจดั ข้ึนเป็นประจาํ ทุกปี ABSTRACT This paper aims to investigate the ethnicity of the Suai in Pueai Mai Village of Srisaket Province, where the Suaiconstitue the village’s major ethnic population.Based on qualitative research,the data used in this paper were collected through participant and non-participant observations,in-depth interviews of key informants, and documentary study. The research shows that in the middle of socio-cultural changes as well as local-government development, ethnicity of the Suai has been constructed through self-definition in response to “Kui”, an ethnonym widely called by local governmental organizations. In addition, they emphasize what it means to be “Suai” through self-expression evidently found in an annually-organized ritual called “Ram Thaen” คาํ สําคญั : อตั ลกั ษณ์ทางชาติพนั ธุ์ ชาวส่วย ราํ แถน Key Words: Identity of ethnicity, Suai, Ram Thaen * นักศึกษา หลกั สูตรศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาสังคมวิทยาการพฒั นา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ** อาจารย์ สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานษุ ยวิทยา คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น   1518

  HMO14-2 บทนํา ตะวนั ออกเฉียงเหนือของดินแดนกมั พูชาในอดีต เมื่อ 3, 000 ปี มาแลว้ โดยมีหลกั ฐานระบุเอาไวว้ ่า ชาวกูย ลุ่มน้ําโขงเป็ น อนุ ภูมิ ภาคสําคัญ และมี เป็ นชนกลุ่มน้อยท่ีพูดภาษามุณฑ์ (MUNDA) ซ่ึงอยู่ ลกั ษณะพิเศษในฐานะเป็ น “ชุมทางชาติพนั ธุ์” (ethnic แควน้ อสั สัมของประเทศอินเดีย ไดอ้ พยพเขา้ มาอยใู่ น crossroad) ที่สําคญั มากท่ีสุดแห่งหน่ึงของโลก กล่าว ดินแดนแถบลุ่มน้ําแม่โขง เมื่อคร้ังถูกพวกอารยนั ได้ว่าภูมิภาคแห่งน้ีเป็ นแหล่งปะทะสังสรรค์ทาง รุกรานและต่อมาไดเ้ ป็ นบรรพบุรุษของชาวเขมรหรือ วัฒนธรรม เป็ นเส้นทางการเคล่ือนย้ายของกลุ่ม แขมร์ บางกลุ่มได้อาศัยอยู่ตามดิ นแดนบริ เวณ วัฒนธรรมต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน จนกระท่ังได้ ทะเลสาบใหญ่ของกมั พชู าจนกระทงั่ กลายเป็นปึ กแผน่ กลายเป็ นที่ชุมนุมในการต้งั ถ่ินฐานของคนกลุ่มชาติ มีอาณาเขตการปกครองตนเองอย่างมั่นคงตลอดมา พนั ธุ์ต่าง ๆ จาํ นวนมากกว่าหลายร้อยกลุ่ม อาทิ กลุ่ม (ศูนยม์ านุษยวทิ ยาสิริธร, 2556) ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก (Austro-asiatic) กลุ่ม ตระกูลภาษาไท-กะได (Thai-Kadai) กลุ่มตระกูล ต่อมาในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18-20 ภาษาจีน-ทิเบต-พม่า (Sino-Thibeto-Burman) กลุ่ม อาณาจักรของชาวกูย ซ่ึงต้ังอยู่ในเขตท่ีราบลุ่มของ ตระกูลภาษามง้ -เยา้ (Hmong-Yao) รวมท้งั กลุ่มตระกูล ดินแดนแม่น้าํ โขงตอนใต(้ แถบเมืองอตั ตะปื อแสนแป ภาษาออสโตรนีเชียน (Austronesian) (พิเชษ,2556) แควน้ จาํ ปาศกั ด์ิตอนใต้ของลาวในปัจจุบัน) ได้สูญ ประเทศไทยเป็ นดินแดนส่วนหน่ึงในภูมิภาคน้ีที่พบวา่ สลายไป เนื่องมาจากถูกกลืนหรือถูกผนวกเขา้ กบั ชน มี ก ลุ่ ม ค น ห ล า ก ห ล า ย ว ัฒ น ธ ร ร ม อ า ศัย อ ยู่ร ว ม กัน เผา่ ไทย ถึงอยา่ งน้นั กต็ ามยงั มีชาวกูยอีกจาํ นวนหน่ึงได้ โ ด ย เฉ พ า ะ จํ า น ว น ป ร ะ ช า ก ร ข อ ง ภ า ค อพยพมาจากเมืองอตั ตะปื อแสนแปและสาละวนั เขา้ มา ตะวนั ออกเฉียงเหนืออนั ประกอบด้วยกลุ่มชนหลาย ต้งั หลกั แหล่งถ่ินฐานเป็ นรัฐอิสระในเขตแดนอนั ว่าง เผ่าพนั ธุ์ท่ีอาศยั กระจดั กระจายกนั อยู่เป็ นกลุ่ม ๆ ตาม เปล่าเขตอีสานในแถบเมืองสุรินทร์ในปัจจุบนั (วีระ, พ้ืนที่ท่ัวไป มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ย่อมมีร่องรอยทาง 2545) จนกระทง่ั ในสมยั กรุงศรีอยุธยาเม่ือประมาณปี ประวตั ิศาสตร์ที่บอกเล่าถึงความเป็ นมา ลกั ษณะของ พุทธศกั ราช 2302 เกิดเหตุการณ์ชา้ งเผือกในพระที่นั่ง ชนชาติ เช้ือชาติและวฒั นธรรมเช่นกลุ่มชาวภูไทศูนย์ สุริยามรินทร์แห่งกรุงศรีอยุธยาแตกโรงหนีเขา้ ป่ ามา มานุษยวิทยาสิรินธร (2557) ได้เสนอเรื่องราวของ ทางทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือเขา้ สู่เขตเมืองพิมายผ่าน ประวตั ิศาสตร์ชาวภูไทหรือผูไ้ ทวา่ ด้งั เดิมอยูใ่ นแควน้ ไปยงั ถิ่นท่ีอยู่ของชาวกูยอนั เป็ นป่ าดงดิบจึงทาํ ให้คน สิบสองจุไท ประเทศเวียดนาม ต่อมาไดม้ ีการอพยพ ไทยเรียกกลุ่มคนท่ีอาศยั อยู่บริเวณน้ีว่า “เขมรป่ าดง” เคล่ือนยา้ ยมาบริเวณประเทศลาวและประเทศไทย การ คร้ันเม่ือชา้ งเผือกหนีมาทางเขตเขมรป่ าดง สมเด็จพระ เคลื่อนยา้ ยเขา้ มาในประเทศไทยคร้ังแรกในสมยั สมเดจ็ เจา้ อยู่หัวพระท่ีน่ังสุริยามรินทร์จึงไดโ้ ปรดให้สองพ่ี พระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ. 2321 การอพยพคร้ังท่ีสอง น้อง (พระยาจักรี กับพระยาสุ รสี ห์) เป็ นหัวหน้า เกิดข้ึนในสมัยกรุงรัตนโกสิ นทร์ เม่ือเกิดกบฏเจ้า รวบรวมไพร่พลประมาณ 30 คน ออกติดตามหา อนุวงศเ์ วียงจนั ทร์ ประมาณ พ.ศ. 2369 กองทพั ไทจึง ชา้ งเผือกมาจนถึงเมืองพิมายจนไดท้ ราบข่าวว่าเขตดง ไดย้ กทพั ไปปราบปรามแลว้ มีนโยบายนาํ กลุ่มคนพวก ดิบริมเขาทางทิศตะวนั ออกเฉียงใตน้ ้ันมีพวกกูยซ่ึงมี ผไู้ ท กะโซ่ กะเลิง ฯลฯ เขา้ มาในดินแดนของไทย ความชาํ นาญในการจบั ชา้ งป่ าอาศยั อยู่ เมื่อทราบดงั น้นั จึงไดอ้ อกติดตามและสืบหาข่าวคราวของชา้ งเผือกจาก ในกรณีของกลุ่มชาติพนั ธุ์กูยก็เช่นเดียวกัน ชาวกูยกลุ่มน้ี จึงไดพ้ บและรู้จกั เชียงสีหรือตากะอามที่ จากขอ้ มูลประวตั ิศาสตร์พบวา่ ชาวกูยเป็ นคนกลุ่มแรก บ้านกุดหวาย (ปั จจุบันคืออําเภอรัตนบุรี จังหวัด ที่ เข้ าม าต้ั ง ถ่ิ น ฐ าน ท าง ต อ น เห นื อ แ ล ะ ภ า ค   1519

  HMO14-3 สุรินทร์) พร้อมดว้ ยเชียงปุมเชียงไชยตากะจะเชียงขนั พระเดชพระคุณรับใชป้ ระเทศชาติเสมอมาบทบาทชาว และเชียงฆะ (ดาํ เกิง, 2556) กูยมีความเด่นชัดมากข้ึนในปี พ.ศ. 2321 เม่ือสมเด็จ พระยามหากษัตริ ย์ศึก (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เชียงฆะหัวหน้าชาวกูยไดเ้ ล่าให้พระยาจกั รี มหาราช) โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาสุรสีห์เป็ นแม่ทัพ และพระยาสุรสีห์ฟังวา่ เคยพบเห็นชา้ งเผอื กหน่ึงเชือกมี ยกข้ึนไปทางเมืองพมิ ายและสงั่ ใหเ้ จา้ เมืองพิมายแต่งต้งั เครื่องประดบั ที่งาท้งั สองขา้ งพาโขลงชา้ งป่ ามาเล่นน้าํ ทัพหลวงออกมาเกณฑ์กาํ ลังจากเมืองปะทายสมันต์ ท่ีหนองโชกช่วงบ่ายของทุกวนั คร้ันทราบข่าวดงั น้ัน เมืองขุขันธ์ เมืองสังขะ เมืองรัตนบุรี เพ่ือให้เป็ น พ ระยาจัก รี และพ ระยาสุ รสี ห์ จึ งให้ บ รรด าหั วห น้า กองทพั ยกไปลอ้ มเมืองเวียงจนั ทร์จนไดร้ ับชยั ชนะใน หมู่บ้านท่ีได้กล่าวมาเหล่าน้ันพาไปบริ เวณที่พบ ที่สุดในขณะเดียวกนั ในยามที่บา้ นเมืองมีความสงบสุข ช้างเผื อ ก แ ล ะ ไ ด้ท ําพิ ธี ก ร ร ม ท า ง ค ช ศ าส ต ร์ จับ เอ า หัวเมืองชาวกูยเหล่าน้ียงั ไดจ้ ดั นาํ สิ่งของไปทูลเกลา้ ฯ ชา้ งเผือกมาไดส้ ําเร็จดว้ ยความช่วยเหลือของหัวหน้า ถวายแด่สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวเป็ นประจาํ มิไดข้ าด เช่น ชาวเขมรป่ าดงท้งั 6 คนเมื่อความทราบถึงสมเด็จพระ ช้างม้า แก่นสน ยางสน ปี กนก นอระนาด (นอแรด) เจา้ อยหู่ วั พระท่ีนงั่ สุริยามรินทร์จึงทรงพระกรุณาโปรด งาชา้ ง ข้ีผ้ึง น้าํ ผ้ึง และสิ่งของอีกมากมาย ซ่ึงเป็ นการ เกลา้ ฯ แต่งต้งั หัวหนา้ หมู่บา้ นท้งั 6 คน ไดแ้ ก่เชียงปุม ส่ งส่ วยตามพระราชประเพณี อันแสดงถึงความ เป็นหลวงสุรินทร์ภกั ดี (บา้ นเมืองที) ตากะจะเป็นหลวง จงรักภกั ดีตอ่ พระมหากษตั ริยไ์ ทย แก้วสุวรรณ (บ้านโคกลําดวน) เชียงขันเป็ นหลวง ปราบ (บ้านโคกลําดวน) เชียงฆะ เป็ นหลวงเพชร ส่ วยคือใคร (บา้ นอจั จะปะนึง) เชียงสีเป็นหลวงศรีนครเตา (บา้ นกดุ ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2367-2394 มี หวาย) และเชียงไชยเป็ นขนุ ไชยสุริยงค(์ บา้ นกุดปะไท) การแบ่งประเภทของชนชาติท่ีอาศัยอยู่ในป่ าลึกอัน พร้อมท้งั พระราชทานตราต้งั โปรดเกลา้ ฯ ให้ปกครอง ห่างไกลจากศูนยก์ ลางการปกครอง กลุ่มคนเหล่าน้นั มี หมู่บา้ นเดิมและให้ข้ึนตรงต่อเมืองพิมายต้งั แต่บดั น้ัน หน้าที่ส่งส่วยเป็ นของป่ าแทนที่การเก็บส่วยเงินและ เป็ นตน้ มา จนกระทัง่ เม่ือปี พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทร์ การถูกเกณฑ์แรงงานไปรับใชเ้ จา้ ขนุ มูลนายตามระบบ ภกั ดี(เชียงปุม) ไดข้ อยา้ ยจากหมู่บา้ นเมืองทีไปอยบู่ า้ น เรียกว่า “เขา้ เดือน” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม ปะทายสมนั ต์ (เมืองสุรินทร์ในปัจจุบนั ) ต้งั แต่น้ันมา เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่ 4) กลุ่มเขมรป่ าดงหรือกูยขาด ชาวกูยจึงเป็ นที่รู้จกั กนั ดีในราชสํานักพร้อมกบั ไดร้ ับ แคลนสิ่งของในการส่งส่วย ดงั น้นั ทางราชสาํ นกั จึงนาํ การเลื่อนบรรดาศกั ด์ิและยกฐานะหมู่บ้านเหล่าน้ีข้ึน ตวั กลุ่มคนเหล่าน้ีไปแทนสิ่งของและเรียกคนกลุ่มน้ีวา่ เป็ นเมือง ไดแ้ ก่หลวงสุรินทร์ภกั ดี (เชียงปุม) เป็ นเจา้ “ส่วย”(จิตร, 2519)เหตุการณ์เช่นน้ีล่วงเลยมาถึงช่วงตน้ เมื องป กครองเมื องปะทายส มัน ต์ห รื อเมื องสุ ริ น ท ร์ รัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็ นเจา้ เมืองปกครองเมืองอจั จะ (รัชกาลที่ 5) ในราวปี พ.ศ. 2411 เม่ือประเทศไทยเร่ิมมี ปะนึงหรือเมืองสังขะ หลวงศรีนครเตา (เชียงสีหรือตา การคา้ ขายกบั ตา่ งประเทศมากข้ึน ชาวกยู ไม่สามารถนาํ กะอาม) เป็ นเจา้ เมืองปกครองบา้ นกุดหวายหรืออาํ เภอ ของมาส่งส่วยให้กบั ทางเมืองหลวงไดท้ นั ตามตอ้ งการ รัตนบุรี หลวงแก้วสุวรรณ (ตากะจะ) เป็ นเจ้าเมือง คร้ันเม่ือทางราชสํานักไดท้ าํ การเร่งรัดให้หาเงินทอง ปกครองบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลาํ ดวนหรือเมืองขุ ส่งไปแทนฝ่ ายกรมการเมืองบางส่วนจึงใช้วิธีการจบั ขนั ธ์ เอาคนพ้ืนเมืองชาวกูยไปขายเพ่ือนาํ เงินไปส่งส่วย คร้ัน ค ว า ม ท ร า บ ถึ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เด็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เก ล้า คร้ ั นระยะเวลาล่วงมาถึ งยุคกรุ งธนบุ รี และ เจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ ห้ามจับชาวกูยไปขายอีก กรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าเมืองชาวกูยได้มีโอกาสสนอง   1520

  HMO14-4 อย่างไรก็ตาม จึงมีคาํ เรียกว่าคนกลุ่มน้ีว่า “ไพร่ส่วย ปรับเปลี่ยนใหส้ อดคลอ้ งกบั สงั คมในปัจจุบนั ดงั น้นั จึง หรือคนส่วย” เกิดข้ึนจากอดีตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบนั จึง เป็ นที่น่าสนใจว่าชาวกูยมีการธาํ รงชาติพนั ธุ์ของกลุ่ม เหลือเพยี งคาํ วา่ “ส่วย” เพียงอยา่ งเดียว เป็นอยา่ งไรท่ามกลางการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึน ปัจจุบนั ถึงแมว้ า่ กลุ่มชาติพนั ธุ์กลุ่มน้ีจะมีช่ือ วตั ถุประสงค์การวจิ ัย เรียกว่า ส่วย กูย กวย หรือ โกย ท้งั หมดลว้ นเป็ นกลุ่ม ชาติพนั ธุ์เดียวกนั คาํ วา่ “กูย” มีความหมายแปลวา่ คน บทความน้ีมีวตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษาถึงการ คนกลุ่มน้ีมีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นของตนเอง มี ธาํ รงชาติพนั ธุ์ของชาวส่วยบา้ นเปื อยใหม่ จงั หวดั ศรีสะ ภาษาพูดท่ีออกสําเนียงคลา้ ยภาษาเขมร แต่ไม่มีภาษา เกษเน้ือหาในบทความน้ีเป็นส่วนหน่ึงของวทิ ยานิพนธ์ เขียนหรือไม่มีตวั อกั ษร พวกเขาเป็ นกลุ่มที่มีระเบียบ ในหวั ขอ้ ส่วยบา้ นเปื อยกบั การธาํ รงชาติพนั ธุ์ในบริบท วินยั เคารพและเคร่งครัดในศีลธรรมสูง มีความเคารพ พหุสังคมอีสานใต้ เชื่อฟังต่อผูน้ ําเป็ นอย่างมาก พร้อมท้ังมีความเช่ือใน เรื่องภูตผีปี ศาจและพิธีกรรมต่าง ๆ อนั มีความผูกพนั แนวคดิ และระเบียบวธิ ีวจิ ยั กับชีวิตประจาํ วนั ของพวกเขา เช่น ความเช่ือเรื่องผี ปะกาํ เครื่องรางของขลงั (พนัส, 2553) ได้ให้ข้อมูล การศึกษาคร้ังน้ีใชแ้ นวคิดการธาํ รงชาติพนั ธุ์ เบ้ืองตน้ ว่าชาวกูยหรือส่วยโดยทว่ั ไปกลุ่มชาติพนั ธุ์น้ี ในแนวทางการสร้างความหมาย การศึกษาน้ีได้มอง จะมี ลักษณ ะทางกายภาพและวัฒ นธรรมที่ เป็ น ความเป็ นชาติพันธุ์ในฐานะการถูกสร้างจากบริบท เอกลักษณ์เฉพาะ ท้ังด้านการแต่งกาย ความเช่ือ ประวตั ิศาสตร์ ให้ความสนใจในกระบวนการสร้าง พิธีกรรมและภาษา ซ่ึงถือเป็ นภาษาท่ีอยู่ในตระกูล ความหมาย (Constructivist Model) มองว่ากลุ่มชาติ ภ า ษ า อ อ ส โ ต ร เอ เชี ย ติ ก พ บ ม า ก ใ น ภ า ค พันธุ์เป็ นเพียงความสํานึกความเข้าใจหรือรูปแบบ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยปัจจุบนั มีชาวกูยอาศยั องค์กรทางสังคมท่ีถูกสร้างความหมายข้ึนมาอย่าง กระจายอยู่ทั่วไปในเขตพ้ืนที่ต่าง ๆ ในเขตภาค ต่อเนื่อง เพื่อจาํ แนกแยกแยะผูค้ นดว้ ยลกั ษณะทวั่ ๆไป ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ เพื่อแสดงความมีตวั ตน ซ่ึงถูกกาํ หนดดว้ ยสถานการณ์ อุบลราชธานี นครราชสีมา และบางส่วนของจังหวดั บริ บ ท ท่ี เปลี่ยน แป ลงอยู่ตลอดเวลาภายใต้การ มหาสารคามอยา่ งไรกด็ ี ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงทาง ปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างกนั ดงั น้ันการศึกษาในแนวน้ีจึง สังคมในปัจจุบนั วถิ ีชีวติ ของชาวกูยเริ่มถูกปรับเปลี่ยน หันมาทาํ ความเขา้ ใจกบั ความหมายของชาติพนั ธุ์ใน ไปตามค่านิยมและวิถีชีวิตสมัยใหม่ การดาํ เนินชีวิต ลกั ษณะที่เป็นกระบวนการสร้างความหมาย ซ่ึงกาํ หนด ความเป็ นอยรู่ ูปแบบใหม่กาํ ลงั เขา้ มาแทนที่ อนั มีผลมา กลุ่มต่าง ๆ ข้ึนมาแทนที่ แนวคิดการธาํ รงชาติพนั ธุ์ใน จากนโยบายการพัฒนาของภาครัฐนํามาซ่ึ งการ แนวทางการสร้างความหมายน้ีจึงเป็ นแว่นขยายเพื่อ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรมและ ค้นหาการสร้างอัตลักษณ์ ของชาวส่ วยท่ีมีความ สังคมในสังคมทุกระดับ รวมถึงกลุ่มชาติพนั ธุ์อยู่ไม่ หลากหลาย น้อย (สมศักด์ิ, 2532: 2)โดยเฉพาะการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจและการท่องเท่ียวความผนั ผวนทางสังคมที่ รายละเอียดของขอ้ มูลในบทความน้ีไดจ้ าก เกิดข้ึนเป็ นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนทุกกลุ่มทุกเผา่ พนั ธุ์ การรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยระเบียบวิธีวิจยั เชิงคุณภาพ โดย ตอ้ งเผชิญกบั สถานการณ์ดงั กล่าว ชาวกูยเองไดเ้ ปิ ดรับ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทุติยภูมิ ตาํ รา บทความ รายงาน เอาวฒั นธรรมกระแสหลักมาปรับใช้ในชีวิต ทําให้ ก า ร วิ จั ย วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ใ น ป ร ะ เด็ น เก่ี ย ว กั บ ค่านิ ยม ประเพณี วัฒ นธรรมบางประการมีการ ประวัติศาสตร์ความเป็ นมาของกลุ่มชาติพันธุ์กูย ประวตั ิศาสตร์จงั หวดั ศรีสะเกษและการใหค้ วามหมาย   1521

  HMO14-5 ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ อีกท้งั ยงั ใชก้ ารรวบรวมขอ้ มูลปฐม ไปถวายพระเจา้ อยหู่ วั พระท่ีนงั่ สุริยามรินทร์ จนไดร้ ับ ภูมิ โดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์ แบ บเชิ งลึ กร่ วมกับ บรรดาศกั ด์ิเป็นพระยาไกรภกั ดีศรีนครลาํ ดวนปกครอง ก าร สั งเก ต แ บ บ มี ส่ ว น ร่ ว ม แ ล ะ ไ ม่ มี ส่ ว น ร่ ว ม ก าร เมืองขุขันธ์ในสมัยกรุงธนบุรีเมืองขุขันธ์ เกิดการ สัมภาษณ์ผใู้ หข้ อ้ มูลที่เป็นผนู้ าํ ชุมชนอยา่ งทางการและ เปล่ียนแปลงอยา่ งต่อเนื่อง เร่ิมต้งั แต่สมเดจ็ พระเจา้ กรุง ไม่เป็ นทางการ ไดแ้ ก่ อดีตกาํ นนั อดีตผใู้ หญ่บา้ น ผรู้ ํา ธนบุรี (พระเจา้ ตากสินมหาราช) ไดก้ อบกูเ้ อกราชและ ผีแถน ชาวบา้ น เพ่ือให้ไดม้ าซ่ึงขอ้ มูลเกี่ยวกบั ประวตั ิ ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็ นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2321 ชุมชน จิตสาํ นึกทางประวตั ิศาสตร์ชาติพนั ธุ์ การแสดง เวียงจนั ทร์เป็ นกบฏต่อไทย สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี ตวั ตนและนิยามตนเองของกลุม่ ชาติพนั ธุ์ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกและ เจา้ พระยาสุรสีห์เป็นแม่ทพั ยกข้ึนไปทางเมืองพิมาย แม่ ผลการวจิ ยั ทพั จึงส่งั ใหเ้ จา้ เมืองพิมายแต่งต้งั ขา้ หลวงออกมาเกณฑ์ กาํ ลงั เมืองประทายสมนั ต์ (จงั หวดั สุรินทร์) เมืองสังฆะ จากข้อมูลประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมาของ เมืองขุขันธ์ เมืองรัตนบุรี เป็ นทัพยกไปตีเมืองเวียง จงั หวดั ศรีสะเกษท่ีคณะกรรมการฝ่ ายประมวลเอกสาร จนั ทร์ เมืองจาํ ปาศกั ด์ิ จนไดร้ ับชัยชนะ คร้ันเดินทาง และจดหมายเหตุ (2544) พิจารณาพบว่าเป็ นดินแดน กลบั มา หลวงปราบ(เซียงขนั ) ทหารในกองทพั ไดห้ ญิง ของชาวกูยหรือส่วย คนท่ัวไปเรียกชาวศรีสะเกษว่า ม่ายชาวลาวคนหน่ึงกลบั มาเป็ นภรรยาและมีบุตรชาย “ส่ วยศรี ส ะเกษ” ศรี ส ะเกษ เป็ น จังห วัดใน ภาค ติดตามมาด้วยช่ือท้าวบุญจันทร์ ในระยะเวลา 3 ปี ตะวนั ออกเฉียงเหนือที่มีประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมา ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2324 เมืองเขมรเกิดจาราจลข้ึน สมเด็จ อยา่ งยาวนานต้งั แต่ก่อนสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ในยคุ ที่ขอม เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกกบั พระยาสุรสีห์ไดร้ ับพระ เรื องอาํ นาจ พ้ืนที่บริ เวณจังหวดั ศรี สะเกษเคยเป็ น บรมราชโองการใหเ้ ป็ นแม่ทพั ไปปราบจราจลในคร้ังน้ี ดินแดนแห่งหน่ึงของขอมที่ใช้เป็ นเส้นทางเดินทาง โดยเกณฑ์กาํ ลังเมืองปะทายสมันต์ เมืองขุขันธ์และ ระหว่างเมืองประเทศราช ละโว้ (ลพบุรี ) พิมาย เมืองสังฆะ ออกไปปราบปรามและไดร้ ับชยั ชนะ จึงถือ (นครราชสี มา) และสกลนคร กับขอม เน่ื องจาก ว่าหัวหน้าชาวกูยไดม้ ีบทบาทการทาํ ศึกกบั กรุงธนบุรี ป ระม าณ พ .ศ . 2512 ก รม ศิ ล ป าก รสํ ารวจพ บ ถึง 2 คร้ัง ดว้ ยเหตุน้ี พวกเขาจึงไดร้ ับการปูนบาํ เหน็จ โบราณสถานโบราณวตั ถุของขอมในจงั หวดั ศรีสะเกษ เล่ือนบรรดาศกั ด์ิใหก้ บั เจา้ เมืองท้งั 3 คน เจา้ เมืองขขุ นั ธ์ จาํ นวน 15 แห่ง เช่น ปราสาทสระกาํ แพงนอ้ ย ปราสาท ไดบ้ รรดาศกั ด์ิใหม่จาก พระยาไกรภกั ดีศรีนครลาํ ดวน สระกาํ แพงใหญ่ ปราสาทโดนต็อล ปราสาทลุมพุก เป็ นพระยาขขุ นั ธ์ภกั ดี(ตากะจะ) ต่อมาไม่นานพระยาขุ สั น นิ ษ ฐ าน ว่าโ บ ร าณ ส ถ าน เห ล่ าน้ี มี อ ายุป ร ะ ม าณ ขันธ์ภักดีถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดให้หลวงปราบ 1,000 ปี ขอมคงสร้างข้ึนเพื่อเป็ นที่พกั และประกอบ (เซียงขนั )ข้ึนเป็ นพระยาไกรภกั ดีศรีนครลาํ ดวน เจ้า พิธีกรรมทางศาสนาระหว่างเดินทางจากนครวดั นคร เมืองขุขันธ์ ปกครองเมืองขุขันธ์ที่บ้านปราสาท ธมมายงั ศูนยก์ ลางการปกครองท้งั 3 เมืองดงั กล่าว ใน ส่ีเหล่ียมดงลาํ ดวน พ้ืนท่ีบริเวณแห่งน้ีค่อยข้างขาด ระยะเวลาต่อมาขอมเริ่มเสื่อมอาํ นาจลง ประเทศไทย แคลนน้ํา พระยาไกรภกั ดีฯ จึงเคล่ือนยา้ ยเมืองมาอยู่ เร่ิมมีอาํ นาจครอบครองดินแดนที่เคยเป็ นของขอม ต้ังอยู่บ้านแตระ ตาํ บลห้วยเหนือ เมืองขุขันธ์มีการ รวมท้งั พ้ืนท่ีที่เป็นจงั หวดั ศรีสะเกษ เปล่ียนแปลงผูป้ กครองเมืองอยเู่ รื่อยมา เมื่อพระยาไกร ภกั ดีสรีนครลาํ ดวน(เซียงขนั ) ได้เล่ือนเป็ นพระยาขุ เดิมทีจงั หวดั ศรีสะเกษมีชื่อวา่ เมืองขขุ นั ธ์ ซ่ึง ขนั ธ์ภกั ดี ท่านจึงไดก้ ราบบงั คมทูลใหต้ ้งั ทา้ วบุญจนั ทร์ ถูกสถาปนาข้ึนเม่ือชาวกูยช่ือ ตากะจะ หน่ึงในชาวกยู ท่ี เป็ นพระยาภกั ดีศรีนครลาํ ดวนแทนที่ กลายเป็ นผูช้ ่วย มีบทบาทสาํ คญั ในการทาํ พธิ ีคชศาสตร์เพอ่ื นาํ ชา้ งเผอื ก   1522

  HMO14-6 เจา้ เมือง พระยาขขุ นั ธ์ดาํ รงตาํ แหน่งไดไ้ ม่นานเกิดเรื่อง ปราสาทหิ นโบราณ (ปราสาทสระกําแพงใหญ่) ผิดใจกบั พระยาไกรภกั ดีศรีนครลาํ ดวน จนทาํ ให้พระ (สาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ศรีสะเกษ, 2557) ยาขุขนั ธ์ถูกลงโทษจาํ คุกดว้ ยกลอุบายของพระยาไกร ภกั ดีศรีนครลาํ ดวน เม่ือเป็ นเช่นน้นั จึงโปรดเกลา้ ฯ ให้ ปัจจุบันจงั หวดั ศรีสะเกษประกาศตวั เองว่า ต้งั ผูช้ ่วยเจา้ เมือง พระยาไกรภกั ดีศรีนครลาํ ดวน (ทา้ ว เป็ นจังหวดั ท่ีประกอบด้วยชนพ้ืนเมือง 4 เผ่า ได้แก่ บุญจนั ทร์) เป็ นเจา้ เมืองขุขนั ธ์ต่อมาท่านมีความเห็นวา่ ส่วย (กูย) ลาว เขมร เยอ และมีมรดกทางวฒั นธรรมมา จาํ ตอ้ งมีการเคล่ือนยา้ ยเพื่อหาทาํ เลที่ต้งั ท่ีเหมาะสมมาก จากชาวส่วยหรือนักวิชาการหลายท่าน เช่น สมศกั ด์ิ ท่ีสุด ในปี พ.ศ. 2325 เป็ นอีกช่วงหน่ึงท่ีพระยาภักดี และคณะ (2532) จิตร (2525) และช่ืน (2550) จะใชค้ าํ ภูธรสงคราม (ทา้ วอุน้ ) ปลดั เมืองขขุ นั ธ์กราบบงั คมทูล วา่ “กูย”หรือ “กวย” ในการเรียกกลุ่มชาติพนั ธุ์ดงั กล่าว มีประสงคต์ อ้ งการขอแยกจากเมืองขุขนั ธ์ไปต้งั ที่บา้ น แต่เม่ือผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยในพ้ืนท่ีบ้านเปื อยใหม่ โนนสามขา แลว้ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กบา้ น ชาวบา้ นเองไดใ้ ห้นิยามว่าพวกเขาคือส่วย ซ่ึงวารสาร โนนสามขาข้ึนเป็ นเมือง “ศรีสะเกศ” ในอีก 3 ปี ต่อมา ทางวิชาการเร่ือง “ส่วย กวย โกย กูย ศรีสะเกษและ จึงไดย้ า้ ยเมืองศรีสะเกศจากที่ต้งั บา้ นโนนสามขามาต้งั เมืองลาว” (ศูนยศ์ รีสะเกษศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฎั บา้ นพนั ทาเจียงอี ในเขตเมืองศรีสะเกษทุกวนั น้ี ศรี สะเกษ, 2555) ได้อธิบายความหมายของคําว่า “ส่วย” หมายถึงการส่งส่วยเป็นเครื่องบรรณาการใหก้ บั จากขอ้ มูลดงั กล่าวจึงพิจารณาไดว้ ่าในช่วงน้ี กรุงศรีอยธุ ยาในอดีต จึงเป็นเหตุใหท้ ้งั ชาวไทยและชาว การเกิดเมืองขุขนั ธ์และเมืองศรีสะเกศกเกิดในบริเวณ ลาวเรียกชาวกยู วา่ “ส่วย” มาถึงปัจจุบนั ซ่ึงมีนยั ยะของ ใกลเ้ คียงกนั ในทา้ ยท่ีสุดเมืองศรีสะเกศกต็ อ้ งถูกยบุ ไป การลอ้ เลียน การดูถูกดูแคลนและการกดข่ีเคลือบแฝง ซ่ึงสันนิษฐานว่าไดย้ ุบกลายเป็ นอาํ เภอข้ึนต่อเมืองขุ อยู่ ดงั น้ันกลุ่มชาติพนั ธุ์กูยจึงมกั ถูกเรียกอีกอย่างหน่ึง ขนั ธ์ ในส่วนเมืองขุขนั ธ์ก็ยงั คงมีการเปล่ียนแปลงการ วา่ “ส่วย” ถึงแมค้ าํ น้ีจะมีความหมายในเชิงลบสาํ หรับ ปกครองจนมาถึงในช่วง พ.ศ. 2435 รู ปแบบการ กลุ่มชาติพนั ธุ์ แต่จากการสํารวจขอ้ มูลบา้ นเปื อยใหม่ ปกครองเปล่ียนเป็ นแบบมณฑลเมืองศรีสะเกษข้ึนตรง ในเบ้ืองตน้ พบว่าผูค้ นในท้องถิ่นใช้คาํ ว่า “ส่วย” มา กับมณฑลอีสานอยู่ที่จงั หวดั อุบลราชธานีและมีการ เป็ นส่วนหน่ึงของการประกอบสร้างอตั ลกั ษณ์ ดงั น้ัน เปล่ียนชื่อมณฑลอีสานเป็ นมณฑลอุบลราชธานี โดยมี จึงเกิดเป็ นคาํ ถามข้ึนว่าการนิยามคาํ ว่าส่วยและกูยใน การปกครอง 3 เมือง ไดแ้ ก่ อุบลราชธานี ขุขนั ธ์ และ จังหวดั ศรีสะเกษเป็ นอย่างไรบ้างและพวกเขามีการ สุรินทร์ จึงทาํ ใหเ้ มืองขขุ นั ธ์มีการยา้ ยที่ต้งั อีกคร้ังมาอยู่ แสดงตวั ตนผา่ นพ้นื ท่ีทางสังคมอยา่ งไรบา้ ง ท่ีตาํ บลเมืองเก่า (ตาํ บลเมืองเหนือ จงั หวดั ศรีสะเกษใน ปัจจุบนั ) จนกระทงั่ ใน พ.ศ. 2459 กระทรวงมหาดไทย จากการศึกษางานของ ประจวบ (2552) ประกาศให้เปล่ียนช่ือเมืองเป็ นจังหวดั ทาํ ให้เมืองขุ พบวา่ การนิยามความหมายคาํ วา่ ส่วยของชาวส่วยใน 4 ขันธ์เป็ นจังหวดั ขุขันธ์เม่ือวนั ท่ี 9 พฤศจิกายน พ.ศ แขวงลาวใตใ้ นเขตจาํ ปาศกั ด์ิ สาละวนั เซกอง อตั ปื อ มี 2459 ช่ือดงั กล่าวจึงถูกเปล่ียนเม่ือมีพระราชกฤษฎีกา ลกั ษณะเป็ นคู่ตรงขา้ มกบั การนิยามของจงั หวดั ศรีสะ เปล่ียนชื่อจงั หวดั ขขุ นั ธ์เป็ นจงั หวดั ศรีสะเกษต้งั แต่บดั เกษอยา่ งสิ้นเชิง กล่าวคือ ชาวส่วยในแขวงลาวใตม้ ีการ น้นั มาจนถึงปัจจุบนั การต้งั ช่ือเมืองวา่ “เมืองศรีสะเกษ” นิยาม “ส่วย” ว่าหมายถึง การช่วยเหลือเก้ือกูลกัน คณะกรรมการฝ่ ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ระหว่างพี่นอ้ ง เพื่อนฝูง เครือญาติ โดยให้คาํ อธิบายว่า (2544:12)ไดใ้ ห้ขอ้ มูลการสนบั สนุนวา่ เป็นชื่อท่ีมาจาก มีความหมายหรือการออกเสียงคลา้ ยกับคาํ ว่า “ซวย ตาํ นานการท่ีมีบุคคลสาํ คญั มาสระผมบริเวณสระน้าํ ใน เหลือ” ชาวลาวจะออกเสียงคาํ ว่า “ส่วย” เป็ น “ซวย” หมายถึง การช่วยเหลือจะเห็นได้ว่าคาํ น้ีได้รับการ   1523

  HMO14-7 ยอมรับและใหค้ วามหมายเป็นไปในเชิงบวกบ่งบอกถึง อนั เดียวกนั น่ันละ ส่วยก็คือกูยกูยก็คือส่วย มนั มี 2 คาํ ความสัมพันธ์อันดี การมีความรักให้กันและกัน บางคนเรียกภาษาส่วย บางคนเรียกภาษากูย คาํ ว่ากูย เอ้ื อ เฟ้ื อ เผ่ื อ แ ผ่ซ่ึ งกัน แ ล ะกัน ใน ท างก ลับ กัน เป็ นในภาษาพูด กูยน้ัน กูยน้ี แปลว่า คนน้ัน คนน้ี แต่ สถานการณ์ในจังหวดั ศรีสะเกษกลับพบว่าภาครัฐ ภาษาส่วยมนั ไม่มีตวั หนงั สือ ไม่มีภาษาเขียน เพราะว่า พยายามปรับคาํ ว่าจาก “ส่วย” ให้เป็ น “กูย” โดยมีขอ้ ไม่มีพระเจา้ แผ่นดิน ไม่มีใครคิดตวั หนังสือ ตวั อกั ษร ถกเถียงว่าคาํ ว่า “ส่วย” เป็ นคาํ ท่ีไม่เหมาะสมจะนาํ มา ให้ใช้ ส่วยแต่ละกลุ่มก็จะพูดไม่เหมือนกนั ดว้ ยนะ เช่น เรียกคนศรีสะเกษ เพราะมีนัยยะของการดูถูกเหยียด นะเนีย กบั นะนา ไมจีนา กบั มองจีเนีย” ในขณะท่ีพ่อ หยาม ความพยายามดงั กล่าวเห็นไดจ้ ากตวั อย่างกรณี ใหญ่ประเสริฐ จิรังดา อายุ 70 ปี อดีตผใู้ หญ่บา้ น เล่าวา่ งานเทศกาลดอกลาํ ดวนบานปี 2554 จงั หวดั ศรีสะเกษ “ผมเป็ นคนส่ วยหน่ึ งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราไม่มี มีการปรับชื่อกลุ่มชาติพนั ธุ์ “ส่วย” เป็ นกูย ดังในชื่อ ตวั หนงั สือ คาํ วา่ ส่วยก็มาจาก เขาวา่ ส่วยเป็ นพวกข้ีเหร่ งาน ส่ี เผ่าศรี สะเกษกูย เขมร ลาว เยอ ตามท่ีผู้ว่า ไม่แต่งตวั ทาํ อะไรก็ทาํ เหมือนคนส่วย ทาํ เหมือนคน ราชการจงั หวดั มีคาํ ส่ังลงนามในหนังสือราชการให้ ทุกข์ แต่ส่วยกบั กูยมนั ก็คืออนั เดียวกนั นะ เรียกยงั ไงก็ ปรับช่ือคาํ ว่า ส่วย เป็ น กูยพร้อมท้ัง องค์การบริหาร ได”้ คาํ บอกเล่าอีกชุดหน่ึงมาจากพ่อใหญ่ เลิศ จิรังดา ส่วนจังหวดั (2556) มีการพฒั นาและยกระดับผา้ เก็บ อายุ 63 ปี อดีตกาํ นัน เล่าว่า “กูย โกย ส่วย มันคืออนั ของชาวส่วยให้เป็ นผา้ ไหมลายลูกแกว้ เป็ นสินคา้ โอ เดียวกัน มันแปลว่าคนน้ันแหละ ส่วยแปลว่า กูยกูย ทอป พร้อมท้งั ให้คุณค่าว่าเป็ นผา้ ประจาํ จงั หวดั เพ่ือ แปลว่า คน ภาษากูยก็คือภาษาส่วย ส่วยคาํ น้ีเอามาไว้ ต อ บ ส น อ ง ต่ อ ก า ร พัฒ น า ด้า น เศ ร ษ ฐ กิ จ แ ล ะ ก า ร เรี ยกตัวบุคคล แต่ส่ วยจะไม่รู้จักตัวหนังสื อ จะมี ท่องเที่ยว ภาครัฐพยามปรับเปลี่ยนอตั ลกั ษณ์บางอยา่ ง ตัวหนังสือ จอ จาน เช่น คาํ ว่า จา1 จี2โจว3จาโดย4จา ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ส่วย และสร้างวาทกรรมชุดหน่ึง เด้ียะ5จีแซ6โดยส่วนมากคาํ ส่วยจะมีแต่จอ จาน” ส่ิงน้ี ว่ากูยกับส่วยไม่ใช่ส่ิงเดียวกัน สิ่งน้ีกลายเป็ นข้อทก กําลังส ะ ท้อ น ว่าก ารนิ ยาม ค ําว่าส่ วย แ ล ะกู ยใน ล าว เถี ย งข อ งนั ก วิช าระ ดับ ท้อ งถ่ิ น ม าอ ย่างต่ อ เนื่ อ งใน จงั หวดั ศรีสะเกษและบา้ นเปื อยใหม่ เกิดข้ึนต้งั แต่ระดบั บริบทจังหวดั ศรีสะเกษ คาํ ว่า “ส่วย” กลายเป็ นวาท ชุมชน ระดบั จงั หวดั โดยเฉพาะในบริบทจงั หวดั ศรีสะ กรรมท่ีถูกสร้างการรับรู้ให้คนทว่ั ไปเขา้ ใจวา่ หมายถึง เกษ ภาครัฐพยายามท่ีจะปรับเปล่ียนการนิยามช่ือของ กลุ่มเขมรป่ าดงเป็ นกลุ่มคนท่ีอพยพเขา้ มาอาศยั ยงั ผา่ น กลุ่มชาติพนั ธุ์ แต่กลุ่มชาติพนั ธุ์เหล่าน้ันกลบั เสนอขอ้ ดินไทยและได้มีการส่ งส่ วยเกิดข้ึนตามพระราช โตแ้ ยง้ กบั การนิยามพวกเขาวา่ เป็นกูยหรือส่วย พวกเขา ประเพณี การนิยามในลกั ษณะน้ีเห็นไดจ้ ดั วา่ เป็ นไปใน ให้คาํ อธิบายวา่ ท้งั สองคาํ น้นั คือส่ิงเดียวกนั ดงั น้นั การ ลักษณ ะการดูถูก เห ยียดห ยาบ การที่ กลุ่มห น่ึ ง ที่รัฐสร้างวาทกรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ว่าเป็ น “ส่วย เหนือกวา่ อีกกลุ่มหน่ึงในลกั ษณะของผดู้ อ้ ยกวา่ หรือกูย” จึงเป็ นการครอบงาํ กลุ่มชาติพนั ธุ์ในลกั ษณะ หน่ึง เพื่อเป็ นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม หากพิจารณาในระดบั ชุมชน บา้ นเปื อยใหม่ หมู่ที่ 10 ซ่ึงเป็ นพ้ืนที่การวิจัยคร้ังน้ีกลบั พบว่า ส่วย                                                             และกูยมีรากฐานความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี เดียวกนั พ่อใหญ่นารถ บุญศรัทธา อายุ 83 ปี ผอู้ าวุโส 1จา หมายถึง กิน ประจาํ หมู่บ้าน ให้ขอ้ มูลว่า “กูยก็เหมือนส่วยนั่นละ ภาษาส่วยเรียกเป็ นภาษา แต่ถา้ เป็ นคนเรียกว่ากูย ถา้ 2จี หมายถึง ไป เรียกคนธรรมดาก็เรียกคนกูย ส่วยกบั กูยมีความหมาย 3โจว หมายถึง มา 4จาโดย หายถึง กินขา้ ว 5จาเด้ียะ หมายถึง กินน้าํ 6จีแซ หมายถึง ไปนา   1524

  HMO14-8 และผลประโยชน์ต่อการพฒั นาดา้ นเศรษฐกิจและการ สร้างอตั ลกั ษณ์ของชาวส่วยแลว้ ยงั เป็ นกิจกรรมในการ ท่ อ งเท่ี ยว อ ย่างไรก็ต าม ก ลุ่ ม ช าติ พัน ธุ์ ได้ให้ สร้างปฏิสัมพนั ธ์ของกลุ่มคนท้งั สามกลุ่มในหมู่บา้ น ความหมายวา่ ตนเองเป็ นชาวส่วยแลว้ พวกเขายงั สร้าง พ้ืนท่ีเพ่ือแสดงตวั ตนอย่างต่อเน่ืองผ่านปฏิบตั ิการใน การรําแถนเริ่มตน้ ดว้ ยหัวหนา้ คณะอนั เชิญผี รูปแบบพธิ ีกรรมความเชื่อราํ แถน บรรพบุรุษอยบู่ นบา้ นให้เขา้ มาอยใู่ นร่างตนเอง พร้อม กบั เดินร่ายรําเขา้ มาในปะรําพิธี ถึงตอนน้ีชาวคณะและ การรําแถนเป็ นปฏิบัติการผ่านระบบความ บริวารจะลุกข้ึนฟ้อนรําไปพร้อมกนั ในช่วงเวลาน้ีมี เช่ือของชาวส่วยสะทอ้ นถึงความเป็ นตวั ตนของกลุ่ม ดนตรีประกอบการรําของผีแถน โดยอาศยั เครื่องดนตรี ชาติพนั ธุ์ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี จากการสัมภาษณ์นางนิล ทรง เช่น ฆอ้ ง ฉาบ แคน ฉิ่ง กลอง กลุ่มนกั ดนตรีส่วนใหญ่ กลด อายุ 68 ปี หัวหนา้ รําแถน และสังเกตการณ์แบบมี เป็นผชู้ ายซ่ึงเป็นคนในหมู่บา้ นที่มีความสามารถในการ ส่วนร่วม ผูเ้ ขียนสรุปความไดว้ า่ กลุ่มชาติพนั ธุ์ส่วยจะ เลน่ ดนตรี กลุ่มนกั ดนตรีเหล่าน้ีไม่มีเงื่อนไขวา่ ตอ้ งเป็น ป ร ะ ก อ บ พิ ธี รํ าแ ถ น ข้ ึ น ใ น ช่ ว งเดื อ น ส าม ข อ ง ทุ ก ปี ชาวส่วยหรือเป็นญาติของฝ่ ายรําแถนเท่าน้นั เม่ือทราบ พิธีกรรมน้ีทาํ ข้ึนเพ่ือเหตุผลสองประการคือ การรํา วา่ มีการรําแถนข้ึนพวกเขาอาสามาช่วยงานอยา่ งเตม็ ที่ แถนเพื่อรักษาอาการเจ็บป่ วย ซ่ึงชาวส่วยเชื่อว่าอาการ ลกั ษณะการรําของแถนจะไม่มีรูปแบบตายตวั เป็ นการ เจ็บป่ วยมีสาเหตุมาจากการกระทาํ ผิดจารีตประเพณี เดินรําไปรอบ ๆ ปะรําพิธีการรําแถนจะดาํ เนินไปเร่ือย ผิดผีบรรพบุรุษหรือผีแถนนั่นเอง การรําแถนจึงเป็ น ๆ จนถึงรุ่งเชา้ อีกวนั ในระหวา่ งน้ีผูป้ ่ วยจะรําไปพร้อม การออ้ นวอน ขอขมา บวงสรวงผีแถนเพ่ือให้หายจาก กบั คณะรําแถนสักระยะแลว้ จึงหยุดเพ่ือรับประทาน อาการเจบ็ ป่ วยและส่ิงไม่ดีท้งั หมดท้งั ปวง พร้อมกบั ให้ ของเซ่นไหวท้ ่ีลูกหลานไดเ้ ตรียมไวใ้ ห้ พร้อมท้งั พดู คุย คาํ มน่ั สัญญาว่าจะไม่กระทาํ ผิดจารีตประเพณีอีกและ กบั บรรดาคณะรําแถนและลูกหลาน ซ่ึงพวกเขามีความ ต้อ งป ฏิ บัติ ต าม ค ร ร ล อ งค ล อ งธ ร ร ม อ ย่างเค ร่ งค รั ด เชื่อว่าบรรพบุรุษท่ีเสียชีวิตไปไดม้ าเขา้ ร่างของผูป้ ่ วย อยา่ งไรก็ตาม เหตุผลการรําแถนประการที่สองคือการ เพื่อทาํ การรักษาอาการเจ็บป่ วยและอาศยั ร่างดงั กล่าว สักการบูชาผีแถนหลงั จากที่เคยเข้าทรงรักษาอาการ มากล่าวตักเตื อน ส่ั งสอน เครื อญ าติ ไม่ ให้กระทําผิด เจ็บป่ วยของบุคคลน้นั ๆ ให้หายขาด นนั่ หมายถึงหาก จารีตประเพณี ผใู้ ดเคยรักษาดว้ ยการรําแถนแลว้ ในปี ถดั มาตอ้ งทาํ การ รําแถนเพอ่ื บูชา ใหค้ วามเคารพกบั ผแี ถนอยา่ งต่อเน่ือง จากการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมผูว้ ิจัย พบว่า การแต่งกายของหัวหนา้ คณะผีแถนและบริวาร การรําแถนตอ้ งประกอบดว้ ย หัวหน้าคณะผี นิยมสวมใส่เส้ือผา้ เก็บสีดาํ แลว้ พาดทบั ดว้ ยสไบสีต่าง แถน ชาวคณะ หมอแคน และบริวาร บุคคลเหล่าน้ีตอ้ ง ๆ พร้อมกบั นุ่งผา้ ซ่ินและมีดอกจาํ ปาทดั หู เส้ือผา้ เก็บ มีเครื่องคายไดแ้ ก่ ไข่ไก่ 1ฟอง หมากพลู 5 คู่ ดา้ น ธูป ได้ถูกนํามาใช้ในพิธีกรรมน้ีอย่างเข้มข้น ซ่ึงมีท้ังท่ี เทียน ขา้ วสาร เหลา้ บุหร่ี หวี กระจก เงิน กรวยดอกไม้ เส้ื อ ผ้าเก็บ ที่ ไม่ มี ล ายแล ะเส้ื อเก็บ ท่ี มี ลวดลาย 1 อัน ใส่ดอกจาํ ปาและเทียน รําแถนจะถูกจัดข้ึนใน องค์ประกอบดา้ นเส้ือผา้ ของผูร้ ําแถนดงั กล่าวมีความ สถานที่ท่ีหนา้ บา้ นผปู้ ่ วย บริเวณดงั กล่าวถูกการจดั เป็ น แ ต ก ต่ างจาก ค น ทั่วไป ท่ี เข้าร่ วม ช ม อ ย่างเห็ น ได้ชัด ปะรําพิธีประดบั ตกแต่งดว้ ยดอกจาํ ปา การจัดเตรียม เส้ือผา้ เกบ็ เป็ นมรดกทางวฒั นธรรมของชาวส่วยที่พวก งานอาศัยความร่ วมมือจากชาวบ้านบริ เวณบ้าน เขาเลื อกนําม าใช้ใน ก ารแส ดงถึ งความ เชื่ อเรื่ องผีที่ ใกล้เคียงท้ังชาวส่ วย ชาวลาวและชาวเขมร ด้าน ผกู พนั กบั วิถีชีวิตของพวกเขามาต้งั แต่ในอดีต ขอ้ มูลท่ี สถานที่หรื อบางคนจะไปช่วยในด้านอาหารที่ใช้ ไดจ้ ากการสัมภาษณ์หน่ึงในผูร้ ําแถนได้ เล่าว่า “ รํา สําหรับการเซ่นผีแถน พิธีกรรมน้ีถือเป็ นพ้ืนที่ในการ แถนถือเป็ นของด้งั เดิมมีมาต้งั แต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นป่ ูยา่   1525

  HMO14-9 การรําแถนเป็ นเหมือนการที่บรรพบุรุ ษท่านอยากมาอยู่ การสร้างวาทกรรมการพฒั นามาครอบงาํ ดว้ ยอาํ นาจ กบั เรามาช่วยปกปักรักษาเราให้หายจากอาการเจ็บป่ วย ความรู้จากงานวิชาการต่างๆ โดยเฉพาะการพฒั นาดา้ น เวลารําคนรําก็ตอ้ งใส่เส้ือสีดาํ น้ีละ พร้อมกบั นุ่งผา้ ซ่ิน เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซ่ึงมีความขดั แยง้ กบั การ มีสไบพาดบ่า ในสมยั ก่อนก็แต่งแบบน้ีถา้ ไม่แต่งตวั นิยามจากคนในพ้ืนที่ท้งั ในลาวและบา้ นเปื อยใหม่ ใน แบบน้ีเขาวา่ กนั วา่ ผบี รรพบุรุษจะไม่มาเขา้ แถน” (ปาน, ฐานะกลุ่มคนท่ีถูกนิยามไปในทิศทางเชิงลบ แต่พวก 2555)“รําแถนเป็ นรําตามกาํ เนิดป่ ูยา่ ตายาย ท่านอยาก เขากลบั ให้ความหมายของพวกตนเองกลบั เป็ นไปใน เขา้ มาทรงพวกเรา พอถึงวนั ก็ตอ้ งเล้ียงขา้ วปลาอาหาร ทิศทางเชิงบวกมากกวา่ พร้อมท้งั เนน้ ย้าํ ถึงความหมาย ท่าน สมมุติวา่ นางเกิดมา ผีฟ้าผีแถนกม็ าพร้อมตอนเกิด กูยและส่วยนั่นเป็ นส่ิงเดียวกัน นอกจากการนิยาม ถ้าเจ็บป่ วยข้ึนมา เราต้องเซ่นไหวถ้ วายของให้ท่าน ตวั ตนวา่ เป็ นส่วยแลว้ กลุ่มชาติพนั ธุ์ดงั กล่าวยงั ตอกย้าํ ไม่ใช่การรําธรรมดาทว่ั ไป คนที่ตายไปแลว้ จะมาเขา้ ความเป็ นตัวตนผ่านระบบความเชื่อรําแถน ซ่ึงเป็ น วญิ ญาณท่านจะมาเขา้ มา ท่านเสียใจกจ็ ะร้องไห้ พอเขา้ เหมือนพ้ืนที่ศกั ด์ิสิทธ์ิของชาวส่วยบา้ นเปื อยใหม่ท่ีใช้ มาก็จะขอกินขา้ ว กินเหลา้ สูบบุหรี่ ผมคิดวา่ ถา้ คนดีๆ เป็ นส่ือกลางในการสื่ อสารกับผีบรรพบุรุษ โดยมี จะกินเหลา้ ไดม้ ากขนาดน้ีเลยหรือ คงจะเมาหวั ราน้าํ ไป องค์ประกอบท่ีสําคัญคือเส้ือผา้ เก็บสีดาํ สิ่งที่เกิดข้ึน แล้ว ถ้าแกล้งทําก็คงไม่ใช่ คงเป็ นบรรพบุรุษมาเข้า ลว้ นเป็ นการประกอบสร้างความหมายของกลุ่มชาติ จริงๆ ลูกหลายคนไหนทาํ ดีก็ดี คนไหนทาํ ตวั ไม่ดีท่าน พนั ธุ์ภายใต้การมีปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างกลุ่มชาติพนั ธุ์ จะวา่ กล่าวตกั เตือน” (มุม, 2556)เส้ือผา้ เก็บจึงทาํ หนา้ ท่ี ส่วยกบั รัฐ กลุ่มชาติพนั ธุ์ส่วยกบั กลุ่มอ่ืน ปรากฏการณ์ เป็ นองคป์ ระกอบที่สําคญั ในดา้ นการแต่งกายของชาว ที่เกิดข้ึนจึงเป็ นการสร้างความหมายหรือการประกอบ ส่ วยเพื่ อ ส ร้ างค วาม แ ต กต่ างระห ว่างบุ ค ค ล ใน พ้ื น ที่ สร้างความหมาย “ความเป็ นส่วย” ผา่ นการปฏิสัมพนั ธ์ ศกั ด์ิสิทธ์ิและบุคคลภายนอก การสร้างตวั ตนของชาว เชิงอาํ นาจของกลุ่มคนในระดับกลุ่มชาติพนั ธุ์กับรัฐ ส่วยในพ้ืนท่ีพิธีกรรมรําแถนดงั กล่าว สะทอ้ นให้เห็น กลุ่มชาติพนั ธุ์กบั กลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ามกลางสถานการณ์ การตอกย้าํ ความเป็ นส่วยท่ีมีความเช่ือเร่ืองผีแถน ซ่ึง ทางสังคมในปัจจุบัน ซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของการธํารง ชาวส่วยเช่ือว่าเป็ นผีบรรพบุรุษ องค์ปรกอบของรํา ชาติพนั ธุ์ แถน เช่น เส้ือผา้ เก็บก็ถูกมาทาํ หน้าท่ีเป็ นตัวแทนผี บรรพบุรุษท่ีส่ือสารผา่ นผูส้ วมใสเส้ือน้ีในพิธีกรรม ดงั กติ ตกิ รรมประกาศ ขอ้ มูลจากนางเปล่ียน วงศด์ ี อายุ 65 ปี หน่ึงในผรู้ ําแถน เล่าวา่ “เส้ือผา้ เก็บเปรียบเหมือนของโบราณสมยั บรรพ การวิจัยน้ีไดร้ ับทุนสนับสนุนจากศูนยว์ ิจัย บุรุษยงั มีชีวิตอยทู่ ี่ท่านนิยมสวมใส่ การที่เรานาํ มาใส่ก็ พหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ําโขง คณะมนุษยศาสตร์และ เป็นการแสดงความเคารพ การระลึกถึงบรรพบุรุษ เป็ น สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (Center for ตัวแทนของท่าน ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองเรา เพราะ Research on Plurality in the Mekong Region [CERP]) หากไม่ใส่เส้ือสีดาํ น้ี บรรพบุรุษท่านจะไม่มาเขา้ เรา” เอกสารอ้างองิ อภิปรายและสรุปผลการวจิ ยั จิตร ภูมิศกั ด์ิ. ขอ้ เทจ็ จริงวา่ ดว้ ยชนชาติขอม. การนิยามคาํ วา่ ส่วยและกยู ระหวา่ งรัฐกบั กลุ่ม กรุงเทพฯ: สาํ นกั พิมพม์ ติชน; 2540. ชาติพนั ธุ์มีความแตกต่างกนั การนิยามโดยรัฐจึงเป็ น คณะกรรมการฝ่ ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. วฒั นธรรม พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์   1526

  HMO14-10 เอกลกั ษณ์และภูมิปัญญาจังหวดั ศรีสะเกษ. ก รอ บ ป ร ะช าค ม อ าเซี ยน Isan-Laos-Khmer กรุงเทพฯ: คุรุสภา; 2544. Studies in ASEAN Community; 2 8 -2 9 ช่ืน ศรีสวสั ด์ิและคณะ. การท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรม: พ ฤ ศ จิ ก า ย น 2 5 5 6 ; ม ห า วิ ท ย า ลั ย กรณีศึกษาวฒั นธรรมของชุมชนชาวกวยใน อุบลราชธานี. เขตอีสานใต้และลาวใต้ การพัฒนาและ วีระ สุดสังข์. ชนชาติกวย ชนกลุ่มน้อยจากลุ่มน้ําแม่ จัดการท่องเที่ยวเชิงพ้ืนท่ีอย่างยงั่ ยืนกลุ่ม โขงถึงลุม่ น้าํ มูล. นนทบุรี: โป๊ ยเซียน; 2545. จงั หวดั อีสานใต.้ รายงานการวจิ ยั . กรุงเทพฯ: ศูนยศ์ ึกษาศรีสะเกษ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ศรีสะเกษ. สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั ; 2550. เร่ืองของ ส่วย กวย โกยกูย ศรีสะเกษและ ดาํ เกิง โถทอง. อตั ลกั ษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มชาติ เมืองลาว [จุลสาร]. ศรีสะเกษ: มหาวิทยาลยั พั น ธุ์ กู ย ใ น อ าณ าบ ริ เว ณ พ น ม ด ง รั ก ราชภฎั ศรีสะเกษ; [ม.ป.ป.]. [วิทยานิพนธ์ ปริ ญญาดุษฎีบัณฑิต สาขา ศูนยม์ านุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). ว่าด้วย สังคมวิทยา]. สุ ริ นทร์: บัณ ฑิ ตวิทยาลัย แ น ว ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ช า ติ พั น ธุ์ . ศู น ย์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั สุรินทร์; 2554. มานุษยวทิ ยาสิรินธร: กรุงเทพฯ; 2547. ประจวบ จนั ทร์หมื่น. “ส่วย” ศรีสะเกษกบั “ซอย” 4 ศูนยม์ านุษยวทิ ยาสิรินทร. กยู [ออนไลน์] 2538. [อา้ ง แขวงลาวใต้ (จาํ ปาศกั ด์ิ สาละวนั แซปง อตั ปื อ) สําเนียงของคาํ และวาทกรรมท่ีแตกต่าง เมื่อวนั ท่ี 3 ตุลาคม 2557]. จาก ข อ ง ไ ท ย -ล าว .ว าร ส าร ม นุ ษ ย ศ าส ต ร์ แ ล ะ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฎอุดรธานี http://www.sac.or.th/databases/ethnic/Conte 2555; 1(1): 79-85. ประจวบ จนั ทร์หม่ืน. “ส่วยและกูย” ความหลากหลาย nt/Information/kui.html ในการนิยามตวั ตน. เอกสารประกอบสัมมนา วิชาการประจําปี 2556 อีสาน ลาว ขแมร์ สาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ศรีสะเกษ. ประวตั ิจงั หวดั ศึกษา ในกรอบประชาคมอาเซียนIsan-Laos- Khmer Studies in ASEAN Community; 28- ศรีสะเกษ [ออนไลน์] 2556. [อา้ งเมื่อวนั ที่ 3 2 9 พ ฤ ศ จิ ก าย น 2 5 5 6 ; ม ห าวิ ท ย าลัย อุบลราชธานี. มีนาคม 2557]. จาก http://province.m- พนัส ดอกบัว. รูปแบบการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟ้ื นฟูภาษาบรูโดยกลุ่มชาติพนั ธุ์บรูบา้ น culture.go.th/sisaket/pavatjungvat.htm ท่าลง้ ตาํ บลห้วยไผ่ อาํ เภอโขงเจียม จงั หวดั อุบลราชธานี [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา สมศกั ด์ิ ศรีสันติสุข, ปนัทดา เผือกพนั ธ์และรุ่งอรุณ บัณฑิต สาขาไทคดีศึกษา]. มหาสารคาม: ที ฆ ชุ ณ ห เถี ยร. ก ารเป ล่ี ยน แ ป ล งท าง บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม; เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวฒั นธรรมใน 2553. ชุมชนชาติพันธุ์กวยและญ้อ: การศึกษา พิเชษ สายพนั ธ์. การเปล่ียนแปลงมุมมองศึกษากลุ่ม เปรียบเทียบเฉพาะกรณี. รายงานการวิจัย. ชาติพนั ธุ์. เอกสารประกอบสัมมนาวิชาการ ข อ น แ ก่ น : ส ถ า บั น วิ จั ย แ ล ะ พั ฒ น า ประจาํ ปี 2556 อีสาน ลาว ขแมร์ ศึกษา ใน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น; 2532. อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์. แนวความคิดพ้ืนฐานทางสังคม และวฒั นธรรม. เชียงใหม่: ภาควิชาสังคม วิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่; 2533. องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั ศรีสะเกษ. แผนพฒั นา [ออนไลน์] 2556. [อา้ งเม่ือวนั ท่ี 16 มีนาคม   1527

HMO14-11   2557]. จาก http://www.paosisaket.go.th/2013/. Fredrik Barth. Ethnic Group and Boundaries. Boston: Little Brown and Company; 1969.   1528


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook