Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการเรียนรู้โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดและลดปัญหาคุณแม่วัยใส

สื่อการเรียนรู้โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดและลดปัญหาคุณแม่วัยใส

Description: สื่อการเรียนรู้โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดและลดปัญหาคุณแม่วัยใส ระหว่างวันที่ 9 - 20 สิงหาคม 2564

Search

Read the Text Version

สื่อการเรียนรู้ โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด และลดปัญหาคุณแม่วัยใส ระหว่าง 9-20 สิงหาคม 2564 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอทับคล้อ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิจิตร สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

พฒั นาการของวยั รุ่น วัยรนุ่ ยังจดั เปน็ ส่วนหนง่ึ วัยเดก็ เนือ่ งจากยงั มีพฒั นาการอกี มากมายเกดิ ขึน้ จนกวา่ วัยรุ่นจะพฒั นา เปน็ บคุ ลิกภาพเต็มที่ในวยั ผู้ใหญ่ตอนตน้ ในระหวา่ งวยั 12 – 18 ปีน้ี วยั รุ่นจะมพี ัฒนาการไปทางดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้ 1. พฒั นาการทางรา่ งกาย ร่างกายจะเตบิ โตสูงใหญ่ แขน – ขายาวขึน้ โดยเร่ิมตง้ั แต่ก่อนวยั ร่นุ ประมาณ 2 – 3 ปี เพศหญิงจะเรว็ กว่าเพศชาย วัยรุ่นชาย จะเปน็ หนมุ่ คอื นมขน้ึ พาน เสยี งแตก มีหนวดเคราขึ้น และเริ่มมีฝนั เปียก วยั รุน่ หญงิ จะเปน็ สาว คอื มเี ต้านม สะโพกผายมที รวดทรง และมีประจำเดือนครงั้ แรก ท้งั สองเพศ จะมสี วิ ข้นึ มกี ลน่ิ ตวั มีการเปลี่ยนแปลงในอวัยวะเพศ ซง่ึ การเปล่ียนแปลงท้ังหมดน้ี เกดิ จากฮอรโ์ มนเพศ และฮอร์โมนการเจริญเติบโตภายในรา่ งกาย 2. พัฒนาการทางจติ ใจ วัยนี้สติปัญญาจะพัฒนาสูงขึ้น จนมีความคิดเป็นแบบ “นามธรรม” มีการใช้เหตุผล วิเคราะห์ สงเคราะห์และความคิดรเิ ร่ิมมากขน้ึ สามารถเขา้ ใจเหตกุ ารณ์ ความเป็นไปของสงิ่ แวดล้อมได้ลึกซ้งึ มีความคิด เป็นของตนเอง เกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเองได้มาก ต้องการเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น และต้องการให้คนอื่น มองเห็นคุณค่าของตนเอง พอใจกับความรู้สึกต่อตนเองในด้านบวก มีการพิจารณาตนเองได้บ้าง แต่บางครั้ง ก็ยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่ มีการควบคุมความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ได้มากขึ้น ต้องการเป็นอิสระ อยากรู้อยากเห็นอยากลอง อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ชอบความตื่นเต้นสนุกสนาน รู้จักมีมโนธรรม จริยธรรม ร้จู กั กาลเทศะ รจู้ กั ผดิ ชอบช่วั ดี และมคี วามคิดเป็นอดุ มคติ 3. พฒั นาการทางสังคม วัยน้ีจะเริม่ ห่างพอ่ แมญ่ าตผิ ้ใู หญ่ ไปสนทิ สนมกลมุ่ เพอ่ื น และใช้เวลากับเพอื่ นมาก เพ่อื หาเอกลกั ษณ์ ตนเอง แสวงหาการยอมรบั จากผอู้ ่ืน ฝึกทกั ษะสงั คม และสนุกสนานกบั สังคมเพอ่ื น วัยรุ่นอาจมองพ่อแม่ไม่ดี เหมือนตอนเมื่อเขายังเด็ก อาจพูดถึงความบกพร่องของพ่อแม่ หรือครอู าจารย์ และแสดงออกอย่างไม่สภุ าพเรียบร้อย วัยรนุ่ จะเรียนรพู้ ฤตกิ รรมจากเพือ่ น ๆ อยา่ งมาก เกิดเปน็ คา่ นิยม ทัศนคติ แนวปฏบิ ตั ิจนเกดิ เปน็ นิสยั หรือพฤตกิ รรมใหม่ ๆ ขน้ึ ไดม้ ากมาย พัฒนาการทางเพศ จะแสดงออกเป็น เอกลักษณ์ทางเพศ และความสนใจทางเพศ ซึ่งเกิดจาก อารมณเ์ พศ ในวัยน้ีบางคนจะมีมากและควบคมุ ได้น้อย เกดิ เป็นปัญหาทางเพศขน้ึ ได้

ปญั หาทางเพศในวยั รนุ่ ในปัจจุบันพบวา่ วัยรนุ่ เกดิ ปญั หาทางเพศขน้ึ มาก เนอื่ งจากสภาพสงั คมสง่ิ แวดล้อม มกี ารกระต้นุ ยั่วยุ ในเรอ่ื งเพศอยา่ งมาก วัยรนุ่ สว่ นใหญจ่ ะไดข้ อ้ มูลจากสือ่ ท่ีไม่เหมาะสม ทำให้เกดิ พฤติกรรมทางเพศท่เี ปน็ ปัญหา ดงั นี้ 1. การสำเร็จความใครด่ ว้ ยตนเอง 2. การมเี พื่อนต่างเพศอย่างไมเ่ หมาะสมในวัยเรียน 3. การมีเพศสัมพนั ธก์ ันในวยั รนุ่ 4. การตง้ั ครรภใ์ นวยั รุ่น 5. การทำแท้ง 6. การมเี พศสัมพนั ธ์กบั หญงิ บรกิ ารทางเพศ 7. การเกดิ โรคติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ 8. การแตง่ งานในวัยรุ่น 9. การมีบตุ รในวยั รนุ่ 10.การมีปัญหาครอบครวั ในวยั รนุ่ การเรียนรูใ้ นวยั รนุ่ ท่เี กี่ยวขอ้ งกับเรื่องเพศและครอบครวั วัยรุ่นเปน็ วัยทีเ่ หมาะสมในการเรียนรู้เรือ่ งเพศและครอบครัว เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านจิตใจ มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้ มีความพร้อมทางร่างกาย เนื่องจากเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ ตนเอง และมคี วามพร้อมทางสังคม เน่ืองจากเขาไดม้ ีโอกาสพบปะมปี ฏิสมั พนั ธ์กับเพศตรงขา้ มตามปกติอยแู่ ล้ว ปจั จัยสง่ เสริมการเรยี นรูเ้ รอ่ื งเพศและครอบครัวในวยั รุ่น ในการเรยี นรู้เรือ่ งเพศและครอบครัวในวัยรุน่ ปัจจยั ท่สี ่งเสริมใหเ้ กิดการเรยี นรไู้ ด้ดมี ดี ังน้ี 1. ผู้สอน ผู้สอนทีด่ ีมลี ักษณะ ดังนี้.- 1.1. ทศั นคติดี ผ้สู อนควรต้องมที ัศนคตทิ ่ีดีตอ่ เรือ่ งเพศ ไม่มองเปน็ เร่อื งสกปรกนา่ อายเปิดใจ กว้าง ยอมรับในพฤติกรรมทางเพศได้มาก แต่ก็มีขอบเขตตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี มองเด็กนักเรียน ในทางท่ีดี มองโลกในแง่ดี และมที ศั นคติตอ่ การสอนเรื่องเพศ ไม่ได้มองวา่ เปน็ การยั่วยุให้เด็กมีพฤติกรรมทาง เพศมากขึน้ 1.2 มีความรู้เรื่องเพศและครอบครัว ผู้สอนควรมีความไผ่รูใ้ นเรื่องต่าง ๆ มีโลกทัศน์กว้าง มีแหล่งข้อมูลข่าวสาร และที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ เพื่อสามารถกำหนดเนื้อหา ของการเรยี นการสอน และถ่ายทอดขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ไดต้ ามวัตถุประสงค์ 1.3 มีทักษะในการสอน ทักษะการสอนเร่อื งเพศและครอบครวั เป็นเรอ่ื งสำคญั มากเพราะ จะตอ้ งครอบคลุมการสอนทัง้ ในด้านเจตคติ (Affective domain) , ดา้ นความรู้ (Cognitive domain) และ ด้านทักษะ (Psychomotor domain) ผู้สอนตอ้ งรู้จักการเตรียมความพร้อมแกผ่ ู้เรียน กระต้นุ ให้วยั รนุ่ อยากรู้ตงั้ แตก่ ่อนเข้าเรียน กระต้นุ ให้ วยั รุ่นพร้อมที่จะเรยี นในห้อง

ผู้สอนควรมที ักษะในการสอนแบบกลุม่ ยอ่ ย , กลุ่มใหญ่ และสอนหรอื ให้คำปรกึ ษาเปน็ รายบุคคล (Group and individual counselling) ผสู้ อนควรมที กั ษะในการกระตนุ้ ให้นกั เรยี นแสดงออก ซกั ถาม แลกเปลยี่ นขอ้ คิดเหน็ เรยี นรู้ร่วมกนั สร้างค่านยิ มใหมท่ ่ีถูกตอ้ ง นักเรยี นควรมโี อกาสมสี ่วนรว่ มอย่างมาก เนอ่ื งจากวยั รุ่นมักจะเรยี นรู้จากเพอ่ื นดว้ ย กนั เอง ผู้สอนควรแยกแยะเนอ้ื หา และปัญหาทจี่ ะสอนเปน็ รายกลุ่ม หรือรายบุคคล รจู้ ักจัดกระบวนการเรียน การสอนไดส้ อดคลอ้ งกับเน้ือหา วตั ถุประสงค์ และวัยของเดก็ ผู้สอนควรมที กั ษะในการสือ่ ความหมายใหช้ ดั เจนแจ่มแจ้ง เข้าใจไดง้ า่ ย ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้มีการซักถามในระยะท้ายของการสอนด้วยเสมอ เพื่อจะได้มีโอกาสตอบข้อ สงสยั ใหก้ ระจ่าง 1.4 เปน็ แบบอยา่ งทดี่ ี (role model) ผ้สู อนควรเปน็ แบบอย่างทีด่ ี ทั้งในการสอนและการดำเนิน ชวี ิตจรงิ เด็กจะเกดิ การเลียนแบบ (identification) ความประพฤตขิ องผู้สอนโดยไมร่ ้ตู วั ผ้สู อนท่ีดี อาจเปน็ ครูอาจารย์ , พ่อแม่ , ญาติสนิท ซ่งึ วยั รุ่นมคี วามสำคญั อย่แู ล้ว 2. ผเู้ รยี น ผู้เรียนอาจมีวัยแตกต่างกันตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้นถึงวัยรุ่นตอนปลาย ทำให้ความพร้อมในการรับรู้ แตกตา่ งกนั ด้วย เชน่ วัยรุ่นตอนต้น 12 – 14 ปี มีความพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ ในวัยรุ่น การคบเพื่อนต่างเพศ ความผิดปกติทางเพศที่พบได้บ่อย รักร่วมเพศ และการสำเร็จความใคร่ ดว้ ยตนเอง วัยรุ่นตอนกลาง 14 – 16 ปี มีความพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่อง การเลือกคบแฟน การเลือกคู่ครอง การแต่งงานและชีวิตครอบครัว เพศสัมพันธ์และปฏิกิริยาตอบสนองทางเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์และการแท้งบุตร การคุมกำเนิดวัยรุ่นตอนปลาย 16 – 18 ปี มีความพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่อง การวางแผนครอบครวั การคลอดบุตร การปอ้ งกนั ปญั หาทางเพศจะเห็นวา่ เนอื้ หาส่วนใหญจ่ ะสอดคล้องกบั วัย ของเดก็ วยั รุ่น น่นั คือเดก็ จะเรยี นรู้ก่อนจะเกิดปัญหา และ สามารถปอ้ งกนั ปญั หาทอ่ี าจจะเกดิ ข้นึ ได้ ผู้เรยี นอาจจะมคี วามอยากรู้อยากเหน็ เรอื่ งเพศแตกตา่ งกัน บางคนอยากรมู้ าก บางคนอยากรนู้ อ้ ย บางคนทำเป็นไมอ่ ยากรู้ แต่ส่วนมากทุกคนจะอยากรู้ และไม่คอ่ ยกลา้ แสดงออกว่าอยากรู้ วัยร่นุ ท่ีเป็นหนมุ่ สาวเรว็ จะมคี วามสนใจมากกว่าเดก็ ท่ยี งั ไม่เรมิ่ เข้าสู่วยั รนุ่ วยั รุ่นที่กล้าพดู กล้าแสดงออก กล้าถามจะเป็นผูก้ ระตุ้นให้เดก็ ท่ไี ม่กล้าถามไดแ้ สดงออกมากขึน้ การ เรยี นเป็นกลุ่มจึงมบี รรยากาศที่กระตุ้นไดด้ ี - กลุ่มท่วี ัยเดียวกัน จะแสดงออกไดด้ ีกว่ากลุม่ ต่างวยั - กลมุ่ ต่างวัยจะมคี วามหลากหลายของความคิดเหน็ เกดิ การเรยี นรู้ไดก้ ว้างขวางกวา่ กล่มุ วัย เดียวกนั - กลมุ่ เพศเดยี วกัน จะแสดงออกเปดิ เผยกวา่ กลมุ่ คละเพศ

- กลุ่มคละเพศ จะได้เรยี นรูค้ วามแตกตา่ งของเพศไดด้ กี วา่ กลุ่มเพศเดยี วกนั และมโี อกาสฝกึ ทกั ษะสงั คมระหว่างเพอื่ น ทำงานไดด้ ีขน้ึ 3. สอ่ื การสอน จากพื้นฐานจิตวิทยาในการเรียนรู้ในวัยรุ่น สื่อการสอนที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี ควรมี ลกั ษณะดังนี้ 1. ต่ืนเต้นสนกุ สนานเรา้ ใจท้าทาย ชวนคดิ ชวนให้มีสว่ นร่วม ให้วยั รนุ่ ได้กระทำด้วยตนเอง 2. นำเสนอโดยบุคคลซึง่ วัยรุ่นชื่นชม ชนื่ ชอบ เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง นกั กีฬา ซ่งึ มชี วี ติ เปน็ แบบอยา่ งท่ดี ี เป็นตวั อย่างใหเ้ ลียนแบบได้ดี 3. มกี ารกระตุ้นประสาทสัมผัสหลายดา้ น เชน่ ท้ังทางประสาทตา – ประสาทหู – ประสาทสมั ผัส ชวนให้คดิ หรอื จนิ ตนาการ 4. มกี ารส่ือสารสองทาง (interactive) คอื สามารถตอบสนองต่อการแสดงความคิดเห็น คำถาม หรอื คำตอบชวนใหน้ ักศกึ ษาด้วยตนเอง 5. กระต้นุ ให้คดิ และตดั สนิ ใจด้วยตนเอง มากกว่าการบังคับยัดเยียดให้วยั รุ่นยอมรบั 6. มีข้อมลู เพม่ิ เตมิ ที่สามารถคน้ หาไดง้ า่ ยด้วยตนเอง (references) สอื่ ทีด่ ีจะสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ และกระบวนการเรยี นการสอน โดยอาจทำใหม้ คี วามหลากหลาย เช่น หนังสือ แผน่ ผับ โปสเตอร์ เทปวิทยุ เทปโทรทศั น์ เป็นตน้ 4. การจัดการเรยี นการสอน (Learning process) ผสู้ อนควรจัดการเรียนการสอนโดยมีหลกั ดงั นี้ 1. สนกุ 2. ผเู้ รยี นมีส่วนรว่ มมากที่สดุ 3. เกดิ การเรียนร้รู ่วมกัน 4. มีการสือ่ สารไดส้ องทาง ผู้สอนถ่ายทอดข้อมูล ผูเ้ รยี นตอบสนองให้เหน็ ดว้ ย 5. มโี อกาสให้ผูเ้ รียนซักถาม

ความหมายของเพศศึกษา (Definition of sex education) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “เพศ” หมายถึง “รูปที่แสดงให้รู้ว่า หญิงหรือชาย ซึ่งหากจะตีความกันแต่เพียงว่า “เพศ” คือ ลักษณะบอกให้ใครๆ รู้ว่า บุคคลนั้นๆ เป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย” ในลักษณะของรูปธรรมเท่านั้น ก็เป็นการยากที่จะเข้าใจความหมายของความรู้เรื่องเพศ ได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับความหมายของเพศในลักษณะนามธรรมนั้น “เพศ” หมายถึง “ความรู้สึก และความต้องการทางเพศ หรอื กามารมณ”์ ในทรรศนะของคน ทวั่ ไป คำว่า “เรื่องเพศ” หรือ ในภาษาองั กฤษ เรียกว่า ”เซ็กส์ (sex)” มีความหมายที่กำกวม ตีความได้หลายความหมาย เช่น บางครั้งคำว่า เซ็กส์ (sex) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพที่บอกว่าเป็นเพศชาย หรือหญิง บางครั้งหมายถึงแรงขับหรือสัญชาตญาณ ตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ทีแ่ สดงออกเปน็ พฤติกรรม บางครง้ั หมายถงึ พฤตกิ รรมทางเพศ หรือการมเี พศสมั พันธ์ อย่างไรกต็ าม จากหลักฐานทางภาษาในวาทกรรมของสังคมไทย นกั สังคมวิทยา 2 ทา่ น คือ เนริดา คุค และ ปเี ตอร์ แจกสัน (Nerida M. Cook and Peter A. Jackson, 1999) อภปิ รายไวใ้ นหนังสือ “Genders & Sexualities in Modern Thailand” ว่า ในวาทกรรมไทยคำว่า “เพศ (phet)” คำเดียวมีความหมาย ครอบคลุมวาทกรรมในสังคมตะวนั ตกปัจจุบันดังน้ี 1. ลกั ษณะทางชีวเพศ (biological sex) ทีบ่ อกว่าเปน็ เพศชายหรอื หญงิ เช่น เพศผู้ เพศเมยี 2. ความเปน็ เพศ (gender) เชน่ เพศชาย เพศหญิง 3. ภาวะทางเพศ (sexuality) เช่น รักร่วมเพศ (รว่ มสงั วาส) รกั สองเพศ และรักต่างเพศ 4. การร่วมเพศ (sexual intercourse) เช่น รว่ มเพศ เพศสมั พันธ์ (Cook and Jackson, 1999) ดังนั้น คำวา่ เพศในภาษาไทย จึงมคี วามหมายครอบคลุมคำว่า sex, gender หรอื sexuality ดว้ ย ส่วนคำว่า “ศึกษา (education)” หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม เมื่อนำคำทั้งสองมาผสมกัน เป็นคำว่า เพศศึกษา จึงมีนักวิชาการ ให้คำจำกดั ความทีห่ ลากหลาย แตค่ ำจัดกัดความเหล่าน้นั มคี วามหมายทคี่ ลา้ ยคลงึ กัน โดยสรุป เพศศกึ ษา คอื กระบวนการทกี่ ่อให้เกิดประสบการณ์ อันเปน็ ผลทำให้บุคคล เข้าใจพฤตกิ รรมที่ เกีย่ วกบั ชวี ติ นบั แตเ่ กดิ จนตาย ทั้งในดา้ นความรู้ ทศั นคติและการปฏิบตั ิท่ีเหมาะสมในเร่ืองเพศ เพอ่ื สามารถ ปรบั ตวั ดำเนนิ ชีวิตในสังคมรว่ มกับคนเพศเดียวกัน หรอื ต่างเพศไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

ความรู้เร่ืองเพศ (Sex information) ลักษณะของเนอื้ หาเกย่ี วกับเรอ่ื งเพศ สามารถแบ่งเป็นลกั ษณะใหญ่ ๆ 4 ด้าน ได้แก่ 1. ความรู้ด้านชีววิทยา (Biological aspect) เช่น กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบสืบพันธ์ุ ของมนษุ ยท์ ้ังชายและหญิง ลกั ษณะทางพันธุกรรมและสพุ ันธุกรรม (Genetic and Eugenic) 2. ความรู้ด้านสุขวิทยา (Hygienic aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการเจ็บป่วยและส่งเสริม สขุ ภาพทางเพศ สขุ วิทยาส่วนบคุ คลเกยี่ วกบั อวัยวะเพศ 3. ความรู้ด้านจิตวิทยา (Psychological aspect) เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับสภาวะจิตใจและอารมณ์ ในเรื่องเพศ พัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ทางเพศในวัยต่างๆ การปรับตัวเข้ากับเพศเดยี วกันและต่างเพศ ความรสู้ กึ ทัศนคตติ อ่ เรอ่ื งเพศ และตอ่ เพศตรงขา้ ม เป็นต้น 4. ความรู้ด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม (Sociological and cultural aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกับ พัฒนาการทางเพศในด้านสังคม เช่น ความสมั พนั ธก์ ับเพศเดียวกันและต่างเพศ เพศสัมพนั ธ์ ปัจจัยด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม การเกี้ยวพาราสี การเลือกคู่ครอง การใช้ชีวิตคู่ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี และวฒั นธรรมทางเพศตา่ ง ๆ สถานการณ์เกย่ี วกับพฤตกิ รรมทางเพศ ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศยังเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่มาก เนื่องจากพฤติกรรมทางเพศ ถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นความลับ ดังนั้นข้อมูลที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงอาจมีหลายส่วนที่ต้องพิจารณา อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกคร้ัง ในอเมริกามีบางรายงานแจ้งว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของเพศชาย และ 28 เปอร์เซ็นต์ ของเพศหญิง มีเพศสัมพันธ์เพียงบางโอกาสในรอบ 1 ปี ในประเทศอังกฤษพบว่าประชาชนใช้เวลา 3.5 ปี ในชีวิตสำหรับการกนิ 2.5 ปีสำหรบั การพดู โทรศพั ท์ 2 สัปดาหส์ ำหรับการจมุ พิต และมีเพศสมั พันธ์ 2580 ครั้ง กบั คู่ (โดยเฉล่ีย) 5 คน แม้ว่าอัตราการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่พบว่าระยะเวลาความสัมพันธ์ หรือการแต่งงานกลับมีผลผกผันกับอัตราการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าอายุ นอกจากนี้อัตราการมีเพศสัมพันธ์ ยังแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เพศสัมพันธ์หลังอายุ 40 ปี จะลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญในบางประเทศ ของทวปี เอเชยี เมอื่ เทียบกบั ทวีปยโุ รป เชน่ ในประเทศอินเดียคสู่ มรสหลายๆคู่หยดุ มีเพศสัมพันธ์หลงั อายุ 50 ปี หรอื เมือ่ บตุ รสาวแต่งงานหรอื เม่ือมหี ลายยายคนแรก เมื่อเรื่องเพศมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อสังคมหลาย ๆด้าน จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้อง ศึกษา เพื่อให้เข้าใจเรื่องเพศ และพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในสังคม ตลอดจนการทำความเข้าใจใน วัฒนธรรมทางเพศของกลุ่มสังคมยอ่ ย และเข้าใจความขัดแยง้ ของวฒั นธรรมทางเพศทอี่ าจทำให้เกิดปัญหาขึ้น ในสงั คมได้

รปู แบบของเพศสัมพนั ธ์ (Forms of sexual relation) รูปแบบของเพศสัมพนั ธ์ในสังคมสามารถจดั ได้เปน็ สองลักษณะ 1. เพศสมั พนั ธแ์ บบรักตา่ งเพศ (Heterosexuality) เป็นเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง และถือว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหน้าที่ของเพศสัมพันธ์ในด้านการขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยอมรับ และเข้าใจว่า เพศสมั พันธ์แบบชายกับหญงิ เทา่ น้นั ที่เปน็ พฤตกิ รรมปกติสงั คมไทยในปัจจุบนั เปน็ สังคมระบบสามีเดียวภรรยา เดียว (Monogamy) หมายถึงการที่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา แต่คนบางกลุ่มมีระบบ ครอบครวั แบบหลายสามหี ลายภรรยา ซึง่ ในสังคมไทยสว่ นใหญเ่ ปน็ แบบสามเี ดยี วหลายภรรยา (Polygamy) 2. เพศสัมพนั ธ์แบบรักเพศเดยี วกนั (Homosexuality) เป็นความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงอย่างใดอย่างหน่ึง เนื่องจากสังคมไทยถือว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ดังนั้นพฤติกรรมรักร่วมเพศ จึงกลายเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคม อย่างไรก็ตาม บางคนอาจ จะมีพฤติกรรมทางเพศแบบรักทั้งสองเพศ (Bisexuality) ซึ่งมีเพศสัมพันธ์ทั้งกับเพศตรงข้ามและกับเพศ เดยี วกนั

วฒั นธรรมทางเพศในสงั คมไทย (Sexual culture in Thai society) วัฒนธรรมความเชื่อเรื่องเพศ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมภาวะทางเพศของคนในสังคม และเป็นแนวทางในการแสดงออกของพฤตกิ รรมทางเพศของปัจเจกบุคคลท้ังเพศหญิง และเพศชายท่ีแตกต่าง กัน เช่น ความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นมนุษย์เพศที่เหนือกว่าผู้หญิง ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย และผู้หญิงเป็นทรัพย์ สมบัติของผู้ชาย ความเชื่อที่ว่าความต้องการทางเพศของผู้ชายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการตอบสนอง และหาทางปลดปล่อย ในขณะที่เพศหญิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นผู้ชาย ความเชื่อที่ว่า ผู้ชายชาตรี ตอ้ งมคี วามสามารถในเรอ่ื งเพศ แต่ผูห้ ญงิ ที่ดีไมค่ วรแสดงออกเก่ยี วกบั เรือ่ งเพศ เป็นตน้ ในปัจจบุ ันแมว้ ่าสภาพสงั คมจะเปลีย่ นไป มกี ารผสมผสานวัฒนธรรมทางเพศของไทยและต่างประเทศ ผา่ นกระแสโลกาภิวัฒน์ แต่วฒั นธรรมไทยด้ังเดมิ หลายอย่าง ยงั มสี ่วนกำหนดพฤตกิ รรมของคนในสังคมอยู่มาก การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้มีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก การอพยพแรงงาน จากภาคเกษตรกรรมเข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรม หนุ่มสาวต้องพรากจากสังคมเดิมเข้ามาอยู่ในสภาพใหม่ ไม่มีพ่อแมห่ รือญาติให้การคุ้มครองหรือปรึกษาหารือ การพบปะของหนุม่ สาวง่ายขนึ้ ประกอบกับการยอมรับ วฒั นธรรมอืน่ ท้งั วฒั นธรรมตะวันตกและตะวันออก ทำใหก้ ารแสดงออกทางเพศของคนในสงั คมเปลย่ี นไป

โรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ Sexual tranmitted disease รู้จักกันไหมเอ่ย ว่า \" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ \" คืออะไร และมีโรคอะไรที่เป็น โรคติดต่อ ทางเพศสัมพนั ธ์ บ้าง วันนีเ้ ราจะไปทำความรจู้ กั \"โรค\" ทส่ี ามารถติดต่อผ่านทางเพศสมั พันธก์ ัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ (ตามที่บัญญัติในราชบัณฑิตยสถาน) (Sexually transmitted disease; STD) อาจเรียกว่า \"กามโรค\" (Venereal disease) หรือ \"วีดี\" เกิดข้ึน จากการติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก กับผทู้ ก่ี ำลังมเี ชอื้ ปัจจุบันใชค้ ำว่า \"การติดเชือ้ ทางเพศสัมพันธ์\" เพ่ือให้มีความหมายกว้างข้ึน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคที่สามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุก วัย แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น เนื่องจากวัยร่นุ ในปจั จุบัน นิยมมีเพศสมั พันธ์กอ่ นการแตง่ งาน โดยที่ขาดความรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกับการป้องกัน ตัวเอง รวมทั้ง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต่าง ๆ นอกจากนี้ในปัจจุบัน คู่แต่งงานมีอัตราการหย่าร้างสูงข้ึน ทำให้คนมสี ามี หรือภรรยาหลายคน จึงเกิด โรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ มากขึน้ สิ่งที่อันตรายของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ เมื่อเป็นแล้ว มักจะไม่เกิดอาการ บางคน จึงติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แล้วโดยไม่รู้ตัว และเป็นปัญหาในการจัดการทางระบบสาธารณสุข และทสี่ ำคัญ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ น้ี สามารถติดตอ่ ไปยังทารกในครรภไ์ ด้ สาเหตุของการเปน็ โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ สาเหตขุ องการตดิ เช้ือทางเพศสัมพันธแ์ บง่ ออกเปน็ 3 กล่มุ 1.เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดไม่มียารักษา และบางชนิดยัง สามารถฝังตัวอยู่ และกลับมาเป็นซำ้ ได้อกี โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ ที่เกิดจากเชื้อไวรสั ไดแ้ ก่ เร่ิมที่อวัยวะ เพศ หูดหงอนไก่ ไวรัสตบั อกั เสบบี ฯลฯ 2.เกิดจากเชื้อแบคทีเรยี สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใชย้ าปฏิชวี นะ ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทยี ม ทอ่ ปสั สาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ 3.เกดิ จากเชื้ออืน่ ๆ เชน่ พยาธิ สามารถรกั ษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชวี นะ กลมุ่ เสย่ี งต่อการเปน็ โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พนั ธ์ คนที่มีเพศสมั พันธ์กับชาย หรอื หญิงบรกิ าร ใน 3 เดอื นก่อนหนา้ คนทม่ี คี นู่ อนมากกวา่ 1 คน ในชว่ ง 3 เดือนก่อนหน้า คนที่มีเพศสมั พันธ์กับคู่คนใหม่ ในชว่ ง 3 เดือนก่อนหนา้ ผู้ทมี่ ีประวัตปิ ว่ ยเป็น โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพันธ์ ใน 1 ปที ่ีผ่านมา ผู้ทมี่ คี ู่ครองอย่คู นละที่ อาการแบบใด สงสัยเปน็ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากมีอาการเหลา่ น้ี สามารถสงสยั ได้วา่ เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บรเิ วณอวยั วะเพศ มเี มอื กใส หรอื หนองไหลออกมา ในผ้หู ญงิ จะรสู้ กึ เจ็บ เสียวทอ้ งนอ้ ย ขาหนีบบวม หรอื เปน็ ฝี เจ็บปวด คนั อวยั วะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บรเิ วณอวัยวะเพศ มตี กขาวสีเหลือง มีกลนิ่ เหม็น

โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธท์ ่สี ำคญั 1.โรคเอดส์ (AIDS) หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม เกิดจากการรับเชื้อ Human immunodeficiency virus หรือ HIV เขา้ ไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทเ่ี ป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภมู คิ มุ้ กนั โรคลดน้อยลง จึงทำให้เชื้อโรคฉวย โอกาสแทรกซ้อนเขา้ สรู่ ่างกายไดง้ ่ายขึ้น เช่น มะเร็ง วัณโรค และสาเหตกุ ารเสยี ชวี ิตก็มักเกิดขน้ึ จากโรคติดเชื้อ ฉวยโอกาสต่างๆ เหลา่ น้ี ท่ีจะทำให้อาการรนุ แรง และเสียชีวิตอยา่ งรวดเรว็ 2.หนองใน (Gonorrhoea) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae ทำให้เกิดอาการ ระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ และมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการ อักเสบในชอ่ งท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รบั การรกั ษา 3.หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis/Non gonococcal Cervicitis) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ทำให้มีอาการแสบปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัดและมีหนองไหล และมมี ูกออกเล็กน้อยโดยเฉพาะในช่วงเชา้ ส่วนผู้หญงิ อาจมอี าการตกขาวผดิ ปกติ 4.แผลริมอ่อน (Chancroid) เปน็ โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ เกิดจากเช้ือ Haemophilus Ducreyi ทำให้เกดิ แผลทอี่ วยั วะเพศ บวม และเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดนั บวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจาก ต่อมน้ำเหลือง มักมีหลายแผล ขอบแผลนุ่มและไม่เรียบ ก้นแผลสกปรกมีหนอง มีเลือดออกง่าย เวลาสัมผัส เจบ็ ปวดมาก บางรายต่อมน้ำเหลืองท่ีขาหนบี จะบวม และเป็นฝี เมอื่ ฝีแตกจะเปน็ แผล 5.เริมทอ่ี วยั วะเพศ (Genita Herpes Simplex Virus Infection) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบ บริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ใน รา่ งกาย เมอื่ รา่ งกายออ่ นแอ เชือ้ กจ็ ะกลบั เป็นใหม่ 6.หดู ข้าวสุก (Molluscum contagiosum) เปน็ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกดิ จากเชอ้ื ไวรัส Molluscum contagiosum virus (MCV) ทำใหเ้ กิด เป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ผิวเรียบขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร จะพบมากขึ้นในรายที่มีการติดเชื้อ HIV จำนวนตุ่มที่เกิดข้ึนอาจมีมากหรือน้อยขึ้นกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นว่าร่างกายมคี วามแขง็ แรง เพยี งใด ถา้ ใช้เขม็ สะกิดตรงกลางแลว้ บีบดูจะได้เนือ้ หูดสีขาวๆ คลา้ ยขา้ วสุก มกั เปน็ ทบ่ี รเิ วณหัวหน่าว อวัยวะ เพศภายนอกและโคนขาด้านใน 7.หดู หงอนไก่ (Condyloma Acuminata) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากไวรัส Human papilloma virus ลักษณะเป็นติ่งเนื้ออ่อน ๆ สีชมพูคล้ายหงอนไก่ ชอบขึ้นที่อุ่นและอับชื้น ในผู้ชายมักพบที่อวยั วะเพศบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ชาย ตลอดทั้งบริเวณรอบรอยเปิดขอบ,ท่อปัสสาวะ และอัณฑะ ส่วนผู้หญิงจะพบที่ปากช่องคลอด ผนังช่อง คลอด ปากมดลูก ปากทวารหนักและฝีเย็บ หูดมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ การตั้งครรภ์จะทำให้หูดโตเร็วกว่าปกติ ถา้ ไม่รบี รักษาจะเปน็ มากขนึ้ และยากต่อการรกั ษา และทารกอาจติดเช้ือได้ขณะคลอด

8.หดิ (Scabies) เปน็ โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธ์ เกิดจากตวั ไร Sarcoptes scabei ลกั ษณะจะมีตมุ่ น้ำใสและตุ่มหนอง คันขึ้นกระจายทั้ง 2 ข้างของร่างกาย มักพบตามง่ามนิ้วมือ ข้อศอก รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดือ อวัยวะ สืบพันธุ์ ข้อเท้า หลังเท้า ก้น ผู้ป่วยมักมีอาการคันมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน สามารถติดต่อได้จากการ สัมผสั ใกลช้ ิด สมั ผัสทางเพศหรือ อยใู่ กล้ชดิ กับผู้ป่วย 9.ซิฟลิ ิส (Syphilis) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี ลักษณะการติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บ ที่บริเวณอวยั วะเพศ หากไม่รกั ษาจะกลายเปน็ ระยะท่ีสองที่เรยี กว่า เขา้ ขอ้ หรือออกดอก ถ้าทงิ้ ไว้นานจะทำให้ เกิดโรคแก่ระบบต่างๆ ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท เป็นต้น นอกจากนี้ มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิสจะถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital syphilis)จงึ ถือซฟิ ลิ ิสเป็นโรคท่มี อี นั ตราย และมีอาการเร้อื รัง สามารถติดตอ่ ยาวนานกว่า 2 ปี 10.โลน (Pediculosis Pubis) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหวั เหนา่ ชอบไชตามรากขนอ่อน และดูดเลอื ดคนเป็นอาหาร ผ้ทู ่เี ปน็ โรคนี้ จะมอี าการคนั เม่อื เกาจะทำให้เจ้าตัว เชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่นได้ การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยตาเปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขนไข่จะมี ลกั ษณะวงรี ส่วนตวั แมลงเมื่อกินเลอื ดเตม็ ที่จะออกสนี ำ้ ตาล ตดิ ตอ่ ได้จากการสัมผัสทางเพศกับผู้ป่วย หรือใช้ กางเกงในรว่ มกัน การรักษาสามารถซ้ือยาทาไดต้ ามร้านขายยา แตค่ นทอ้ งหรือเด็กควรจะปรกึ ษาแพทย์ 11.พยาธิช่องคลอด (Vaginal Trichomoniasis) เป็น โรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis ผู้ป่วยจะมีอาการตก ขาวผิดปกติ มีสีเขียวขุ่นหรือเหลอื งเขม้ มีฟองอากาศและมีกลิ่นเหมน็ เกิดการระคายเคืองบรเิ วณอวัยวะเพศ เจ็บปวดขณะมีเพศสมั พันธ์ คันและแสบปากชอ่ งคลอด 12.เชื้อราในชอ่ งคลอด (Vaginal Candidiasis) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Candida ซึ่งร้อยละ 80 - 90 เกิดจาก Candida albicans ทำให้มอี าการระคายเคอื งบริเวณช่องคลอด มกี ารตกขาวขุ่นจับเป็นก้อน อาจมีอาการปัสสาวะแสบ ขดั เจบ็ ขณะร่วมเพศ 13.อุง้ เชงิ กรานอกั เสบ (Pelvic Inflammatory Diseases, PID) หรอื โรคปกี มดลกู อักเสบ เป็น โรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธ์ เกดิ จากการติดเช้ือของมดลกู รังไข่ หรือท่อ รังไข่ อาจเสยี ชีวิตไดห้ ากตดิ เช้ือรนุ แรง และหากไม่รักษา อาจเกิดโรคแทรกซอ้ นจนเปน็ หมนั หรือเสียชีวติ ได้ 14.แผลกามโรคเรอื้ รังที่ขาหนีบ (Granuloma inguinale) เปน็ โรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์ เกดิ จากเชอื้ แบคทีเรยี Donovania granulomatis โดยจะมแี ผลที่ บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ ซอกขา หรอื บรเิ วณหนา้ และไม่พบในประเทศไทย มักพบในคนผิวดำ

การป้องกนั โรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ วิธปี ้องกนั โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คอื 1. ใสถ่ งุ ยางอนามยั หากจะมีเพศสัมพนั ธ์กับคนที่ไม่แน่ใจวา่ มเี ชื้อหรือไม่ 2. รกั ษาความสะอาดของร่างกายและอวยั วะเพศอยา่ งสม่ำเสมอ 3. ไม่เปล่ียนคู่นอน ใหม้ สี ามี หรือภรรยาคนเดยี ว 4. ไม่ควรมีเพศสัมพนั ธ์ตัง้ แต่ยังอายนุ ้อย เนื่องจากมีสถิติว่า ผทู้ ่มี ีเพศสมั พันธต์ ัง้ แต่อายุยงั นอ้ ยจะมี โอกาสติด โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พนั ธ์ สงู 5. ตรวจโรคเป็นประจำทุกปี เพอ่ื หาเชอ้ื โรค แมจ้ ะไมม่ อี าการใด ๆ โดยเฉพาะค่ทู ่ีกำลังจะแตง่ งาน 6. เรียนรู้ ศึกษาอาการของโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ 7. ไม่ควรมเี พศสัมพันธข์ ณะมีประจำเดอื น เพราะจะทำใหเ้ กดิ โรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์ ไดง้ า่ ย 8. ไม่ควรมเี พศสัมพนั ธท์ างทวารหนกั หากจำเปน็ ให้สวมถุงยางอนามยั 9. ไมค่ วรสวนลา้ งชอ่ งคลอด เพราะจะทำใหเ้ กดิ การติดเชื้อ โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ ได้งา่ ย วธิ ปี ฏบิ ตั ิตวั ของผทู้ เ่ี ป็น โรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ 1. ตอ้ งรักษาอยา่ งรวดเร็ว เพอื่ ป้องกนั การแพรเ่ ชอื้ โรค 2. แจง้ คนู่ อนให้ทราบว่า เป็น โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ เพอื่ จะได้ปอ้ งกัน ไมใ่ ห้เช้ือแพร่ไปสู่คนอื่น 3. รกั ษาอาการ และปฏบิ ัตติ ัวตามคำแนะนำของแพทยอ์ ย่างเครง่ ครัด 4. หลีกเลยี่ งการมีเพศสมั พันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตวั เอง เพ่ือป้องกันไมใ่ ห้อาการอักเสบ ลกุ ลาม 5. งดดมื่ เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทกุ ชนิด 6. ไมค่ วรซ้อื ยามารกั ษาเอง ควรปรกึ ษาแพทย์ เพ่อื ให้ได้รับการรักษาทถี่ กู ต้อง ท้องก่อนวัยอันควรทำอย่างไร หากทราบแน่ชัดแล้วว่าตนเองท้อง สิ่งแรกที่ควรตระหนักคือ การแบกรับปัญหาไว้เพียงผู้เดียวไม่ได้ ช่วยใหท้ ุกอย่างดีขน้ึ ซ้ำรา้ ยยงั ทำให้เครยี ดและอาจตัดสินใจเลอื กแก้ปัญหาดว้ ยวิธีที่ไม่ถูกตอ้ ง วัยรุ่นท่ีตั้งครรภ์ โดยไมพ่ ร้อมควรปฏบิ ัตติ ามคำแนะนำต่อไปนีเ้ พื่อหาทางออกท่ดี ีท่สี ุด • พูดคุยกับพ่อแม่หรอื ญาติผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจ เป็นปกติที่ในช่วงแรกพ่อแมอ่ าจตกใจ ผิดหวัง หรือต่อว่า ทวา่ สดุ ทา้ ยแลว้ พอ่ แมก่ ค็ ือคนท่ีปรารถนาดแี ละพร้อมชว่ ยเหลอื เราทสี่ ุด • พูดคุยกับคนรักหรือผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็ก หากอีกฝ่ายรับผิดชอบ อาจช่วยให้กำหนดแนวทางการ แกป้ ัญหาได้งา่ ยข้นึ เช่น รว่ มกนั วางแผนเลย้ี งดลู ูกในอนาคต ทั้งนี้ หากอกี ฝ่ายปฏิเสธความรับผิดชอบ

ควรตั้งสติและเข้มแข็งเขา้ ไว้ เพราะยังมีพ่อแม่และคนในครอบครวั ที่คอยเปน็ ห่วงและเป็นที่พึงพาให้ เราไดเ้ สมอ • ในช่วงแรกที่พบว่าตั้งครรภ์ วัยรุ่นบางคนอาจไม่กล้าระบายให้คนใกล้ชิดฟัง แนะนำให้ใช้บริการ ปรึกษาทางโทรศัพท์ของหน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิตที่หมายเลข 1323 ซึ่งพร้อมให้คำปรึกษา ตลอด 24 ชั่วโมง หรอื สายดว่ นเรอื่ งเพศจากภาคีเครือขา่ ยของ สสส. หมายเลข 1663 • วัยรุ่นที่ท้องกอ่ นวัยอันควรบางรายอาจตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยวิธีการทำแท้ง ซึ่งถือเป็นความผิดทาง อาญาฐานทำให้แท้งลูก นอกจากนนั้ การซอื้ ยาทำแทง้ มารับประทานเองหรือทำแท้งตามคลินิกเถื่อน อาจเสี่ยงเกดิ ผลข้างเคยี งรา้ ยแรง เชน่ ตกเลือด ตดิ เชื้อ มดลูกทะลุ ซึ่งล้วนอาจเป็นอนั ตรายถงึ ชีวิต ปัญหาสุขภาพหากท้องไม่พรอ้ ม o เส่ียงตอ่ ภาวะความดันโลหิตสูงขณะต้งั ครรภ์ o เสีย่ งตอ่ ภาวะครรภเ์ ปน็ พิษ ผูป้ ่วยมักมคี วามดนั โลหติ สงู มอี าการบวมตามใบหนา้ และมือ หรือปวดทอ้ ง นอกจากนี้ หากมอี าการแทรกซอ้ นรุนแรงอาจส่งผลให้มารดาและบตุ รเสยี ชีวิต ได้ o เสีย่ งต่อภาวะโลหติ จางขณะตงั้ ครรภ์ o เส่ยี งต่อภาวะซึมเศรา้ หลังคลอดจากความเครียด ความรสู้ กึ หดหแู่ ละโดดเด่ยี วระหวา่ ง ตงั้ ครรภห์ รอื หลังคลอด หากประสบภาวะน้คี วรปรกึ ษาแพทยห์ รือคนท่ีไวใ้ จ ไมค่ วรแบกรบั ปัญหาไว้คนเดยี ว o เส่ยี งต่อการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งมักส่งผลให้ทารกมีนำ้ หนกั ตำ่ กวา่ มาตรฐานและเสย่ี งมี ปญั หาสขุ ภาพ เช่น ร่างกายและสมองเจริญเตบิ โตผิดปกติ ระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายทำงาน ผดิ ปกติ เกดิ โรคเบาหวานและโรคหัวใจในอนาคต เปน็ ต้น ป้องกันปัญหาท้องก่อนวัยอันควรอย่างไร การป้องกันปญั หาท้องกอ่ นวยั อันควรที่ได้ผลท่สี ุดคอื หลกี เล่ียงการมีเพศสัมพันธ์ ทวา่ ความรักในวัยรุ่น มักมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การคุมกำเนิดอย่างถูกต้องเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ปจั จบุ ันมวี ธิ ีการคุมกำเนิดให้เลือกใช้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัยการรบั ประทานยาคุมกำเนิด หรือยาคุมฉุกเฉิน การฉีดยาคุม การฝังยาคุม การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด หรือการใช้ห่วงอนามัย นอกจากนี้ ปัจจบุ ันทางภาครัฐไดเ้ ปิดโอกาสใหว้ ัยร่นุ อายุ 10-20 ปีเขา้ รบั บรกิ ารฝงั ยาคมุ กำเนิดชนดิ ก่ึงถาวรทีโ่ รงพยาบาล รัฐทั่วประเทศได้ฟรี อย่างไรก็ตาม วิธีคุมกำเนิดดังกล่าวมาทั้งหมดไม่อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100 เปอร์เซน็ ต์ แต่ช่วยลดความเส่ียงได้มาก และควรใชถ้ ุงยางอนามยั ทกุ ครงั้ เพื่อป้องกนั โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์

ความหมายของยาเสพติด ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ หรือสง่ิ เสพติดหมายถึง ยาหรือสารเคมหี รอื วัตถุชนิดใดๆ เมอ่ื เสพเขา้ สูร่ า่ งกายแลว้ ไมว่ ่าจะโดยรับประทาน ดม สบู ฉดี หรอื วิธใี ดกต้ าม ทำใหเ้ กดิ ผลต่อรา่ งกายและจิตใจ ดงั น้ี 1. ต้องการยาเสพติดตลอดเวลา แสดงออกทางรา่ งกายและจติ ใจ 2. ต้องเพ่มิ ขนาดของยาเสพตดิ มากขึน้ 3. มอี าการหยากหรือหวิ ยาเมื่อขาดยา (บางทา่ นจะมีอาการถอนยาเม่ือขาดยา) 4. สขุ ภาพทวั่ ไปทรดุ โทรม ถา้ พบเห็นบุคคลทมี่ พี ฤติกรรม 4 ประการ ให้พงึ สังเกตวา่ อาจจะเปน็ คนท่ใี ชย้ าเสติด ประเภทของยาเสพตดิ ปัจจบุ ันสิง่ เสพตดิ หรอื ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษมหี ลายประเภท อาจจำแนกไดห้ ลายเกณฑ์ นอกจากแบ่งตาม แหลง่ ที่มาแลว้ ยังแบง่ ตามการออกฤทธิ์และแบง่ ตามกำกฎหมายดงั น้ี ก.จำแนกตามสงิ่ เสพติดท่มี า 1. ประเภททไี่ ด้จากธรรมชาติ เช่น ฝนิ่ มอร์ฟีน กระทอ่ ม กัญชา 2. ประเภททีไ่ ดจ้ ากการสังเคราะห์ เช่น เฮโรอีน ยานอนหลบั ยาม้า แอมเฟตามนี สารระเหย ข.จำแนกสิ่งเสพติดตามกฎหมาย 1. ประเภทถูกกฎหมาย เชน่ ยาแกไ้ อนำ้ ดำ บุหรี่ เหล้า กาแฟ ฯลฯ 2. ประเภทผิดกฎหมาย เช่น มอร์ฟนี ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา กระทอ่ ม แอมเฟตามีน ฯลฯ ค.การจำแนกส่ิงเสพตดิ ตามการออกฤทธ์ิต่อระบบประสาทส่วนกลาง 1.ประเภทกดประสาท เชน่ ฝิน่ มอรฟ์ นี เฮโรอีน ยากลอ่ มประสาท ยาระงับประทสาท ยา นอนหลับ สารระเหย เครอ่ื งดื่มมึนเมา เช่นเหล้า เบียร์ ฯ 2. ประเภทกระตุน้ ประสาท เช่น แอมเฟตามีน ยาม้า ใบกระท่อม บุหรี่ กาแฟ โคคาอนี 3. ประเภทหลอนประสาท เช่น แอล เอส ดี,เอส ที พี,นำ้ มนั ระเหย 4. ประเภทออกฤทธผิ์ สมผสาน อาจกด กระตนุ้ หรือหลอนประสาทผสมรวมกันไดแ้ ก่ กญั ชา สาเหตุท่ีทำใหเ้ กิดยาเสพตดิ 1. ติดเพราะฤทธิ์ของยา เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับยาเสพติดเข้าไปฤทธิ์ของยาเสพติดจะทำให้ระบบ ต่างๆของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถ้าการใช้ยาไม่บ่อยหรือนานครั้ง ไม่ค่ยมีผลต่อร่างกาย แต่ถ้าใช้ติดต่อ เพียงชวั่ ระยะเวลาหนงึ่ จะทำให้มผี ลต่อรา่ งกายและจิตใจ มลี กั ษณะ 4 ประการ คอื 1.1 มีความต้องการอย่างแรงกลา้ ทจ่ี ะเสพยาหรือสารน้นั อีกต่อไปเร่ือยๆ 1.2 มคี วามโนม้ เอียงท่ีจะเพม่ิ ปริมาณของยาเสพติดข้ึนทดุ ขณะ 1.3 ถ้าถึงเวลาที่เกิดความต้องการแล้วไม่ได้เสพ จะเกิดอาการอยากยา หรืออาการขาดยา เชน่ หาว อาจยี น น้ำตาน้ำมูกไหล ทุรนทรุ าย คล้มุ คลงั้ โมโห ขาสติ 1.4 ยาที่เสพนั้นจะไปทำลายสุขภาพของผู้เสพทั้งร่างกาย ทำให้ซูบผอม มีโรคแทรกซ้อน และทาง จติ ใจ เกดิ อาการทางประสาท จติ ใจไม่ปกติ

2. ติดยาเสพตดิ เพราะสิง่ แวดลอ้ ม 2.1 สภาพแวดล้อมภายนอกของบ้านที่อยู่อาศัย เต้มไปด้วยแหล่งค้ายาเสพติด เช่น ใกล้บริเวณ ศนู ย์การคา้ หนา้ โรงหนัง ซึง่ เปน็ การซือ้ ยาเสพตดิ ทกุ รปู แบบ 2.2 สิ่งแวดล้อมภายในบ้านขาดความอบอุ่น รวมไปถึงปัญหาชีวิตคนในครอบครัวและฐานะทาง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมจะทำให้เด้กหันไปพึ่งยาเสพติด การขาดความเอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ และขาดการ ยอมรบั จากครอบครวั เดก็ จะหันไปคบเพอ่ื นรอ่ มกลุ่มเพื่อตอ้ งการความอบอนุ่ สภาพของกลุม่ เพ่ือน สภาพของ เพอื่ นบา้ นใกลเ้ คยี ง 2.3 สิ่งแวดล้อมทางโรงเรียน เด็กมีปัญหาทางการเรียน เนื่องจากเรียนไม่ทันเพื่อน เบื่อครู เบื่อโรงเรียน ทำให้หนีโรงเรียนไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตนพอใจ เป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของการติดยาเซบติด 3. ติดเพราะความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ ในสังคมที่วุ่นวายสับสน เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ดังเช่นปัจจุบัน ทำให้จิตใจผิดปกติง่าย หากเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอในทุกด้าน ทั้งอารมณ์ และสติปัญญา รวมทั้งร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงก็จะหาสิ่งยึดเหนี่ยว จะตกเป้นทาสยาเสพติดได้ง่าย ผู้ที่มีอารมณ์วู่วามไม่ค่อยยั้งคิดจะหันเข้าหายาเสพติดเพื่อระงับอารมณ์วู่วามของตน เนื่องจากยาเสพติด มีคุณสมบัติในการกดประสาทและกระตุ้นประสาท ผู้มีจิตใจมั่นคง ขาดความมั่นใจ มีแนวโน้มในการใช้ยา เพ่อื บรรเทาความวิตกกังวลของตนให้หมดไปและมีโอกาสตดิ ยาได้งา่ ยกวา่ ผอู้ น่ื วธิ ีสังเกตผู้ตดิ ยาหรอื สารเสพตดิ 1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สุขภาพทรุดโทรม ผอมซีด ทำงานหนักไม่ไหว ริมฝีปากเขียวคล้ำ และแห้ง ร่างกายสกปรกมีกลิ่นเหม็น ชอบใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่แว่นดำเพื่อปกปิด 2. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ อารมณ์หงุดงิดงา่ ย พูดจาร้าวขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มั่วสุมกบั คนที่มพี ฤติกรรมเกย่ี วกับยาเสพตดิ สบุ บุหรจ่ี ัด มีอุปกรณเ์ ก่ียวกับยาเสพติด หนา้ ตาซมึ เศร้า ขาดความเช่ือมั่น จิตใจอ่อนแอ ใช้เงินเปลอื ง สิง่ ของภายในบา้ นสูญหายบอ่ ย 3. แสดงอาการอยากยาเสพติด ตัวส่นั กระตุก ชัก จาม น้ำหมกู ไหล ท้องเดนิ ถ่ายอจุ จาระเป็นเลือดท่ี เรยี กว่า \"ลงแดง\" มไี ข้ปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรนแรงนอนไมห่ ลับ ทรุ นทรุ าย 4. อาสัยเทคนคิ ทางการแพทย์ โดยการเก็บปสั สาวะบคุ คลทีส่ งสยั ว่าจะติดยาเสพติดสง่ ตรวจ ใช้ยาบาง ชนดิ ท่สี ามารถลา้ งฤทธ์ิของยาเสพติด โทษของยาเสพตดิ โทษเน่อื งจากการเสพส่ิงเสพตดิ แบ่งออกไดด้ ังน้ี 1. โทษต่อร่างกาย สิ่งเสพติดทำลายทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ทำให้สมองถูกทำลาย ความจำเสื่อม ดวงตาพรา่ มัว่ น้ำหนักลด ร่างกายซบู ผอม ตาแห้ง เหมอ่ ลอย ริมฝปี ากเขียวคลำ้ เครยี ด เป็นต้น 2. โทษต่อผู้ใกล้ชิด ทำลายความหวังของพ่อแม่และทุกคนในครอบครัว ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย 3. โทษต่อสังคม เกิดปัญหาทางด้านอาชญากรรม สูญเสียแรงงาน สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการ ปราบปรามและการบำบดั รักษา 4. โทษตอ่ ประเทศไทย ทำลายเศรษฐกิจของชาติ

การปอ้ งกันส่งิ เสพตดิ วิธีการป้องกนั อันตรายจากสารเสพติดมดี ังตอ่ ไปน้ี 1. การปอ้ งกนั ตนเอง ตอ้ งออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารท่มี ปี ระโยชน์ และพักผอ่ นให้ เพียงพอ เลอื กคบเพอ่ื นทีไ่ ม่มว่ั สมสงิ่ เสพติด 2. การป้องกันในครอบครัว ต้องให้ความรักความเขา้ ใจ และอบรมสัง่ สอนใหร้ ู้ถึงโทษของส่ิงเสพติด 3. การป้องกนั ในสถานศึกษา ควรให้ความรซู้ ่ึงส่ิงเสพติด จัดนิทรรศการและการรณรงคต์ ่อต้านสิ่งเสพ ตดิ ไปศกึ ษาดงุ าน ณ สถานบำบัดผู้ติดยาเสพตดิ 4. การปอ้ งกันในชมุ ชน ควรจดั สถานท่อี อกกำลังกาย และจัดกล่มุ แม่บ้านใหค้ วามรเู้ รื่องสิ่งเสพติด

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอทับคล้อ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิจิตร สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ