รายงานวิจยั ในชน้ั เรยี น การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน วิชา วิทยาการคานวณ โดยใชบ้ ทเรียนออนไลน์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2/5 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชยั จังหวดั บรุ รี มั ย์ ภาคเรียนที่ 2 นางฐติ ยิ าภรณ์ ทวี ปีการศึกษา ตาแหน่ง ครู 2562 โรงเรียนประโคนชยั พิทยาคม สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 32 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ชื่อเรอื่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน วชิ า วิทยาการคานวณ โดยใชบ้ ทเรียนออนไลน์ สาหรบั นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรยี นประโคนชยั พิทยาคม ชอื่ ผวู้ จิ ัย อาเภอประโคนชัย จงั หวดั บุรีรมั ย์ สถานศกึ ษา นางฐิตยิ าภรณ์ ทวี ปกี ารศึกษา โรงเรยี นประโคนชัยพิทยาคม 2562 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพ่ือพัฒนาบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการ คานวณ สาหรบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2/5 2) เพอ่ื เปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนก่อนและ หลังเรียนของนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/5 ท่ีเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ 3) เพ่ือสง่ เสรมิ ทักษะการทางานรว่ มกัน และ 4) เพ่อื ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 2/5 ท่มี ตี ่อบทเรยี นออนไลน์ วชิ า วิทยาการคานวณ กลมุ่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 2/5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จงั หวัดบุรีรมั ย์ จานวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ใน การวิจัยประกอบด้วย 1) บทเรียนออนไลน์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา วิทยาการคานวณ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ 3) แบบประเมินการ ทางานร่วมกัน และ 4) แบบสอบถามความพงึ พอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ สถติ ิในการวิเคราะหข์ ้อมูล คอื ค่าเฉลยี่ ร้อยละ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบว่า ดา้ นผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรียนด้วยบทเรียน ออนไลน์ วชิ า วิทยาการคานวณ สาหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 จานวน 40 คน ผลท่ีได้จาก การทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ซ่ึงมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 13.38 คิดเป็นร้อยละ 66.88 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.32 และผลทไี่ ด้จากการทาแบบทดสอบหลังเรยี นซงึ่ มีคะแนนเตม็ 20 คะแนนเท่ากัน นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/5 สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 16.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเทา่ กับ 1.78 ผลปรากฏว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ด้านการทางานร่วมกันของ นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2/5 มผี ลการประเมนิ การทางานร่วมกัน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 ที่จัดการเรียนการสอนด้วยบทเรียนออนไลน์ มีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 4.43 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 0.62 เมือ่ นามาเปรียบเทยี บเกณฑท์ ่ไี ดก้ าหนดไว้พบว่าอยู่ในเกณฑ์มาก ส่วนด้าน ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ บทเรียน พบวา่ นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2/5 มีความพึงพอใจต่อ บทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ เท่ากับ 4.43 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.58 เม่ือ นามาเปรยี บเทยี บเกณฑท์ ่ไี ด้กาหนดไว้พบว่าอยู่ในเกณฑ์มาก (1)
กติ ติกรรมประกาศ รายงานการวิจยั ในช้ันเรยี น เรอ่ื ง การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน วิชา วิทยาการคานวณ โดยใช้บทเรียนออนไลน์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวดั บุรรี มั ย์ เลม่ นี้ สาเร็จสมบรู ณ์ได้ด้วยความกรุณาเป็นอย่างดียิ่งจาก นายชานาญ บุญวงศ์ ผู้อานวยการโรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ที่ได้ให้คาแนะนาและให้คาปรึกษา ผู้วิจัยรู้สึก ซาบซึ้งและขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบคณุ คณะครู กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรียนประโคนชัย พทิ ยาคมทกุ ท่าน ที่ใหก้ ารสนบั สนนุ ให้กาลังใจในการจัดทารายงานวจิ ยั ในช้ันเรยี นเล่มน้ี คณุ คา่ และประโยชน์ของรายงานวิจัยในชั้นเรียนเล่มน้ี ขอมอบเป็น เครื่องบูชาพระคุณบิดา มารดา และครอู าจารย์ทกุ ท่านท่ไี ด้อบรมส่งั สอน ประสทิ ธ์ปิ ระสาทความรูแ้ ก่ผู้วิจยั ฐติ ยิ าภรณ์ ทวี 13 กรกฎาคม 2563 (2)
สารบัญ หน้า (1) บทคัดยอ่ (2) กิตติกรรมประกาศ (3) สารบญั (5) สารบญั ตาราง 1 บทที่ 1 บทนา 1 2 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 3 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 3 สมมุติฐานของการวิจยั 3 ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะไดร้ ับ 3 ขอบเขตของการวจิ ัย 5 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 เอกสารเก่ียวขอ้ ง หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานพุทธศักราช 2551 9 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) 21 บทเรียนออนไลน์ 24 การทางานร่วมกัน 27 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 30 งานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง 30 บทท่ี 3 วิธีดาเนินการวจิ ยั 30 ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง 30 เครื่องมือทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 31 การสร้างเครื่องมอื 32 การดาเนนิ การศกึ ษา 33 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 33 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 35 สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 37 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ 38 ผลการประเมินการทางานร่วมกนั ผลการประเมินความพึงพอใจตอ่ บทเรียนออนไลน์ (3)
สารบญั (ตอ่ ) หน้า 40 บทท่ี 5 สรุปผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ 40 สรุปผลการวิจัย 41 ขอ้ เสนอแนะ 42 43 บรรณานุกรม 44 ภาคผนวก 47 50 บทเรียนออนไลน์ 52 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน แบบประเมนิ การทางานร่วมกัน แบบสอบถามความพงึ พอใจของผู้เรียน (4)
สารบญั ตาราง หน้า 32 ตารางท่ี 35 1 แสดงระยะเวลาในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 2 แสดงผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน วชิ า วิทยาการคานวณ 37 ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2/5 3 แสดงผลประเมนิ การทางานร่วมกัน วชิ า วิทยาการคานวณ 38 ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2/5 4 สรุปผลการประเมินความพงึ พอใจตอ่ การเรียนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ โดยนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2/5 (5)
บทท่ี 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ การให้การศึกษาสาหรับศตวรรษท่ี 21 จะมีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ ท้าทาย และซับซ้อน เป็นการศึกษาที่จะทาให้โลกเกิดการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเต็มไปด้วยสิ่งท้าทาย ลักษณะของ หลกั สตู รในศตวรรษที่ 21 จะเป็นหลักสูตรท่ีเน้นคุณลักษณะเชิงวิพากษ์ (critical attributes) เชิงสห วิทยาการ (interdisciplinary) ยึดโครงงานเป็นฐาน (project-based) และขับเคลื่อนด้วยการวิจัย (research-driven) เชื่อมโยงท้องถ่ินชุมชนเข้ากับภาค ประเทศ และโลก ในบางโอกาสนักเรียน สามารถร่วมมือ (collaboration) กบั โครงงานตา่ งๆ ได้ทวั่ โลก เปน็ หลกั สูตรที่เน้นทักษะการคิดข้ันสูง พหุปัญญา เทคโนโลยีและมัลติมีเดีย ความรู้พื้นฐานเชิงพหุศตวรรษท่ี 21 และการประเมินผลตาม สภาพจริง ทักษะทคี่ าดหวังสาหรบั ศตวรรษท่ี 21 ที่เรยี นรผู้ า่ นหลักสูตรท่ีเป็นสหวิทยาการ บูรณาการ ยึดโครงงานเปน็ ฐานและอนื่ ๆ ดังกล่าวจะเนน้ เรือ่ ง 1) ทักษะการเรยี นรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะชีวิต และอาชีพ 3) ทกั ษะสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ทค่ี าดหวงั ว่าจะเกิดข้ึนได้จากความร่วมมือ ในการ ทางานเปน็ ทมี การคิดเชิงวิพากษ์ ในปญั หาทซี่ ับซ้อน การนาเสนอด้วยวาจาและด้วยการเขียน การใช้ เทคโนโลยี ความเป็นพลเมืองดี การฝึกปฏิบัติอาชีพ การวิจัย และการปฏิบัติส่ิงต่างๆ ที่กล่าวมา ขา้ งตน้ (สานักแผนและประกนั คุณภาพการศึกษา. ม.ป.ป. : 1) สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทา ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในการน้ีได้กาหนดให้รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) อยู่ในกลุ่ม สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ซึ่งมเี ป้าหมายมุ่งพฒั นาผ้เู รยี นให้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเทคโนโลยี เพือ่ ดารงชวี ิตในสังคมทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม บูรณาการกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์อย่างเหมาะสม เลอื กใช้เทคโนโลยีโดยคานึงถึงผลกระทบต่อ ชีวติ สงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2560 : 4) การจดั การเรียนการสอนรายวิชา วิทยาการคานวณ เป็นรายวิชาใหม่ท่ีสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกาหนดให้เป็นรายวิชาพ้ืนฐานท่ีนักเรียนทุกคนต้องเรียน เพ่ือให้ ผเู้ รยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับเทคโนโลยีเพ่อื ดารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรม บูรณาการกับศาสตร์อื่นโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์อย่าง เหมาะสม เลือกใช้เทคโนโลยีโดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สังคมและส่งิ แวดลอ้ ม
2 ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนปัจจบุ นั มีปัญหามากมายหลายด้าน เช่น ปัญหาการส่ง งานไมต่ รงตามเวลาที่กาหนด หรือไม่ส่งงานของนักเรียนอยู่บ่อยครั้ง ซ่ึงทาให้ครูไม่สามารถวัดทักษะ และความก้าวหนา้ ของนักเรียนได้ อกี ทงั้ ปัญหาในเรื่องเวลาเรียนไม่เพียงพอ เนื่องจากโรงเรียนมีการ จัดกิจกรรมหลายๆ กิจกรรมท่ีนักเรียนต้องเข้าร่วม ทาให้เวลาเรียนในห้องเรียนไม่เพียงพอต่อการ จดั การเรยี นการสอน บทเรียนออนไลน์ คือบทเรียนท่ีจัดทาขึ้นเป็นส่ือการสอน ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ประกอบไปด้วยโครงสร้างหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ การวางแผนการจัดการ เรยี นรู้ เนอื้ หา แบบทดสอบ แบบฝกึ ทกั ษะเพื่อให้นกั เรียนและผูท้ ี่สนใจศึกษา สามารถศึกษาค้นคว้า ความรู้ ได้ด้วยตนเอง โดยออกแบบไว้ ให้โต้ตอบกับผู้เรียนได้ (อรอนงค์ เวชจันทร์. ออนไลน์. ม.ป.ป.) บทบาทของผู้สอนในบทเรียนออนไลน์จะเปล่ียนไปเป็นผู้ให้คาแนะนา (Guide) เป็นผู้ฝึก (Coach) เป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) และเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ต่อกระบวนการเรียนรู้ ของผูเ้ รียน ในขณะท่บี ทบาทของผู้เรียนจะเปลย่ี นแปลงจากการเป็นผู้รับมาเป็นผ้สู ารวจสารสนเทศ ผูค้ ดิ ผู้ลงมอื ปฏิบตั ิ ในลกั ษณะเรียนรู้ร่วมกันกบั ผเู้ รียนคนอืน่ อย่างมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน (งานพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา. ออนไลน์. ม.ป.ป) จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทาให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะใช้บทเรียนออนไลน์ วิทยาการ คานวณ สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/5 เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เรียนรู้ ได้ทุกที่ทุกเวลา และเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะในการทางานร่วมกันและมีผลสัมฤทธิ์ในการจัดการเรียน การสอนมีประสิทธิภาพทสี่ ูงขนึ้ วัตถุประสงคข์ องกำรวจิ ยั 1. เพื่อพัฒนาบทเรยี นออนไลน์ วชิ า วิทยาการคานวณ สาหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2/5 2. เพ่ือเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนกอ่ นและหลังเรียนของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษา ปีที่ 2/5 ที่เรียนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ 3. เพอื่ สง่ เสริมทกั ษะการทางานรว่ มกัน 4. เพอ่ื ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2/5 ทมี่ ีตอ่ บทเรียนออนไลน์ วชิ า วิทยาการคานวณ
3 สมมุติฐำนของกำรวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 หลังเรียนด้วยบทเรียน ออนไลน์ วชิ า วิทยาการคานวณ สงู กวา่ กอ่ นเรียน 2. นกั เรยี นมีทักษะในการทางานร่วมกนั 3. นักเรียนมคี วามพงึ พอใจต่อการเรยี นดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ ระดับมาก ประโยชนท์ ่คี ำดว่ำจะไดร้ บั ไดพ้ ฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วชิ า วิทยาการคานวณ ดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ เพื่อให้ นักเรียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี นและนกั เรียนทกุ คนมีทกั ษะในการทางาน รว่ มกนั ขอบเขตของกำรวิจยั 1. ประชำกรและกลุม่ ตัวอย่ำง 1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ทก่ี าลงั ศกึ ษาอยู่ในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จงั หวัดบรุ ีรมั ย์ จานวน 492 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/5 ทีก่ าลังศกึ ษาอยใู่ นภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม อาเภอประโคนชยั จงั หวดั บรุ รี ัมย์ จานวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอยา่ งแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) 2. ตัวแปรที่ศกึ ษำในกำรวจิ ัย 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ บทเรยี นออนไลน์ 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น วิชา วทิ ยาการคานวณ และทกั ษะการ ทางานร่วมกัน 3. เนือ้ หำทใี่ ช้ในกำรทดลอง การวจิ ยั ครง้ั น้ีใชเ้ นอื้ หาตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะเวลำท่ีใช้ในกำรวิจัย ระยะเวลาท่ใี ช้ในการวิจัย คือ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 โดยดาเนนิ การและ เก็บรวบรวมขอ้ มูล ระหว่างวนั ที่ 5 พฤศจกิ ายน 2562 - 4 กุมภาพนั ธ์ 2563 จานวน 14 ช่ัวโมง
4 นยิ ำมศพั ทเ์ ฉพำะ 1. บทเรียนออนไลน์ หมายถงึ การเรียนการสอนผ่านคอมพิวเตอร์บนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต เรื่อง การสือ่ สารขอ้ มูลและเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หา/แหลง่ เรียนรู้ ใบงาน และ แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน 2. ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน หมายถงึ คะแนนท่ีนักเรียนไดจ้ ากการทาแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นท่ีผวู้ ิจัยสรา้ งข้ึน วิชา วิทยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 3. กำรทำงำนรว่ มกนั หมายถึง การร่วมกันทางานของสมาชิกท่มี ากกวา่ 1 คน โดยที่ สมาชิกทุกคนนน้ั จะต้องมีเปา้ หมายเดยี วกนั จะทา อะไรแลว้ ทกุ คนตอ้ งยอมรับรว่ มกนั มีการวาง แผนการทางานรว่ มกัน การทางานเปน็ ทมี 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น หมายถงึ เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวดั ความสามารถ ของนักเรียน วิชา วิทยาการคานวณ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ
5 บทท่ี 2 เอกสำรท่เี กีย่ วข้อง การศกึ ษาวจิ ยั ครง้ั น้ีเปน็ การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น วิชา วิทยาการคานวณ โดยใช้ บทเรยี นออนไลน์ สาหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2/5 โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม ผ้วู ิจยั ได้ ศึกษาค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง ดังต่อไปน้ี 1. หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ 2. บทเรียนออนไลน์ 3. การทางานรว่ มกัน 4. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 5. งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง หลักสูตรกลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์ วทิ ยาศาสตร์มบี ทบาทสาคัญยิง่ ในสงั คมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เก่ียวข้อง กับทุกคน ทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมือเครื่องใช้และ ผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางาน เหล่าน้ีล้วนเป็นผลของ ความรู้วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกบั ความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืน ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้ พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผลคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการ ค้นคว้าหาความรู้ ใช้ความรู้และทักษะเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการออกแบบเชิง วิศวกรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบ รวมท้งั สามารถคน้ หาข้อมูลหรอื สารสนเทศ ประเมินสารสนเทศ ประยุกต์ใช้ทักษะการคิดเชิงคานวณและความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ส่ือ ดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์ สามารถ ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลท่ีหลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรม ของโลกสมัยใหม่ ซ่ึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังน้ันทุกคนจึง จาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รวู้ ิทยาศาสตร์ เพ่ือท่จี ะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี ท่มี นษุ ย์สรา้ งสรรคข์ ึ้น สามารถนาความรไู้ ปใชอ้ ยา่ งมีเหตผุ ล สร้างสรรค์ และมคี ุณธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการเช่ือมโยง ความรู้กบั กระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการ สืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีการทา กจิ กรรมดว้ ยการลงมอื ปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยกาหนดสาระสาคัญ 4 สาระ
6 1. สำระกำรเรียนรู้ 1.1 วทิ ยำศำสตรช์ ีวภำพ เรียนรู้เกยี่ วกับ ชีวิตในสงิ่ แวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต การดารงชวี ิตของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ การดารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ ววิ ัฒนาการของสิง่ มชี ีวิต 1.2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ เรยี นรเู้ กี่ยวกบั ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลอื่ นที่พลงั งาน และคลน่ื 1.3 วทิ ยำศำสตร์โลก และอวกำศ เรียนรู้เก่ยี วกับ องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อสง่ิ มชี วี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม 1.4 เทคโนโลยี 1) กำรออกแบบและเทคโนโลยี เรยี นรเู้ กี่ยวกับเทคโนโลยเี พอ่ื การดารงชวี ิตในสังคม ท่มี ีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์ อ่ืน ๆ เพอื่ แกป้ ญั หาหรอื พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคานึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สังคม และสิ่งแวดล้อม 2) วทิ ยำกำรคำนวณ เรยี นรเู้ กีย่ วกับการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา เป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารในการแกป้ ญั หาท่พี บในชวี ติ จริงไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ 2.1 สำระท่ี 1 วทิ ยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง สิง่ ไม่มชี วี ติ กับสิง่ มชี ีวิตและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี ีวิตกบั สิง่ มชี วี ติ ต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การ ถา่ ยทอดพลังงาน การเปลย่ี นแปลงแทนทใ่ี นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ ผลกระทบที่มตี ่อทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ การแกไ้ ขปญั หาสิ่งแวดลอ้ ม รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว 1.2 เข้าใจสมบัตขิ องสงิ่ มีชวี ติ หน่วยพื้นฐานของส่ิงมชี ีวติ การลาเลยี ง สารเข้าและออกจากเซลล์ ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ทีข่ องระบบตา่ งๆ ของสตั ว์และมนุษย์ ท่ีทางานสมั พนั ธก์ นั ความสัมพนั ธ์ของโครงสรา้ งและหน้าทีข่ องอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทางานสัมพนั ธ์ กนั รวมท้ังนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทาง พันธกุ รรมสารพนั ธุกรรม การเปล่ยี นแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมผี ลต่อส่ิงมชี ีวิต ความหลากหลายทาง ชวี ภาพและววิ ฒั นาการของส่งิ มชี ีวิต รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
7 2.2 สำระท่ี 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี มำตรฐำน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจาวัน ผลของแรงทก่ี ระทาต่อ วัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนท่ีแบบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมท้งั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ยี นแปลงและการถ่ายโอน พลงั งาน ปฏิสมั พันธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวติ ประจาวัน ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณท์ เี่ กีย่ วข้องกับเสียง แสง และคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทัง้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 2.3 สำระที่ 3 วทิ ยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว 3.1 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ฒั นาการ ของเอกภพ กาแลก็ ซีดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทงั้ ปฏิสมั พันธ์ภายในระบบสุรยิ ะท่ีส่งผลตอ่ สงิ่ มชี วี ิตและการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ มำตรฐำน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบและความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปล่ยี นแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี ิบัติภัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟา้ อากาศและ ภูมอิ ากาศโลก รวมทงั้ ผลต่อส่งิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อม 2.4 สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวิตในสังคมทมี่ กี าร เปล่ียนแปลงอย่างรวดเรว็ ใช้ความร้แู ละทกั ษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ่นื ๆ เพอ่ื แก้ปัญหาหรอื พฒั นางานอย่างมีความคดิ สรา้ งสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ิตสังคม และสิ่งแวดล้อม มำตรฐำน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคานวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวติ จริง อย่างเปน็ ขัน้ ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจรยิ ธรรม คณุ ภำพผเู้ รียน จบชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 1) เขา้ ใจลกั ษณะและองค์ประกอบที่สาคัญของเซลลส์ ง่ิ มชี ีวิต ความสมั พันธ์ของการทางาน ของระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายมนุษย์ การดารงชวี ติ ของพืช การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การ เปลีย่ นแปลงของยนี หรอื โครโมโซมและตัวอย่างโรคทีเ่ กดิ จากการเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดดั แปรพันธกุ รรมความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพนั ธ์ของ องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ และการถ่ายทอดพลังงานในส่ิงมชี ีวิต 2) เข้าใจองค์ประกอบและสมบตั ิของธาตุ สารละลาย สารบรสิ ุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร
8 การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ยี นสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยา เคมีและสมบตั ิทางกายภาพและการใชป้ ระโยชนข์ องวสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวัสดุผสม 3) เขา้ ใจการเคลือ่ นท่ี แรงลัพธแ์ ละผลของแรงลัพธ์กระทาต่อวตั ถุ โมเมนตข์ องแรง แรงท่ี ปรากฏในชวี ติ ประจาวัน สนามของแรง ความสัมพันธข์ องงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักยโ์ นม้ ถ่วง กฎ การอนุรักษพ์ ลังงานการถา่ ยโอนพลังงาน สมดุลความรอ้ น ความสมั พนั ธ์ของปริมาณทางไฟฟา้ การ ต่อวงจรไฟฟ้าในบ้านพลงั งานไฟฟ้า และหลักการเบอ้ื งตน้ ของวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ 4) เขา้ ใจสมบตั ิของคลื่น และลักษณะของคล่ืนแบบต่าง ๆ แสง การสะทอ้ น การหักเหของ แสงและทัศนอุปกรณ์ 5) เขา้ ใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ การเกดิ ฤดู การเคลื่อนท่ีปรากฏของดวง อาทิตย์การเกดิ ข้างข้ึนขา้ งแรม การข้ึนและตกของดวงจันทร์ การเกดิ นา้ ข้ึนน้าลง ประโยชนข์ อง เทคโนโลยีอวกาศและความก้าวหน้าของโครงการสารวจอวกาศ 6) เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องคป์ ระกอบและปัจจยั ทม่ี ตี ่อลมฟา้ อากาศ การเกดิ และ ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตรอ้ น การพยากรณ์อากาศ สถานการณก์ ารเปลยี่ นแปลง ภมู ิอากาศโลกกระบวนการเกดิ เชื้อเพลงิ ซากดึกดาบรรพแ์ ละการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและ การใชป้ ระโยชน์ ลกั ษณะโครงสรา้ งภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวทิ ยาบนผวิ โลก ลกั ษณะชัน้ หน้าตดั ดิน กระบวนการเกดิ ดิน แหลง่ น้าผวิ ดนิ แหล่งนา้ ใต้ดนิ กระบวนการเกดิ และ ผลกระทบของภัยธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบัติภัย 7) เขา้ ใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลย่ี นแปลงของ เทคโนโลยีความสมั พนั ธ์ระหว่างเทคโนโลยกี ับศาสตรอ์ ่ืน โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรียบเทียบและตดั สินใจเพอื่ เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี โดยคานึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สังคม และ สง่ิ แวดล้อม ประยุกตใ์ ช้ความรู้ทักษะ และทรพั ยากรเพอื่ ออกแบบและสร้างผลงานสาหรับการ แกป้ ญั หาในชวี ิตประจาวนั หรอื การประกอบอาชพี โดยใชก้ ระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม รวมท้ัง เลือกใชว้ ัสดุ อุปกรณ์ และเคร่อื งมอื ได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสมปลอดภยั รวมทง้ั คานึงถึงทรัพย์สนิ ทาง ปัญญา 8) นาขอ้ มูลปฐมภมู เิ ข้าสรู่ ะบบคอมพวิ เตอร์ วเิ คราะห์ ประเมิน นาเสนอขอ้ มลู และ สารสนเทศได้ตามวตั ถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคานวณในการแกป้ ญั หาทพ่ี บในชวี ติ จริง และเขียน โปรแกรมอยา่ งง่ายเพ่ือช่วยในการแกป้ ัญหา ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทัน และรบั ผดิ ชอบต่อสังคม 9) ตั้งคาถามหรือกาหนดปญั หาที่เช่อื มโยงกบั พยานหลกั ฐานหรอื หลกั การทางวิทยาศาสตร์ ท่มี ีการกาหนดและควบคุมตวั แปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสามารถ นาไปสกู่ ารสารวจ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดแุ ละเครอ่ื งมือ
9 ที่เหมาะสม เลอื กใชเ้ ครอ่ื งมือและเทคโนโลยีสารสนเทศท่เี หมาะสมในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ทั้งในเชงิ ปริมาณและคุณภาพทไ่ี ด้ผลเทย่ี งตรงและปลอดภัย 10) วเิ คราะหแ์ ละประเมินความสอดคลอ้ งของข้อมูลทีไ่ ด้จากการสารวจตรวจสอบจาก พยานหลักฐานโดยใช้ความรูแ้ ละหลักการทางวิทยาศาสตรใ์ นการแปลความหมายและลงข้อสรุปและ ส่ือสารความคดิ ความรู้ จากผลการสารวจตรวจสอบหลากหลายรปู แบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให้ผู้อืน่ เขา้ ใจได้อย่างเหมาะสม 11) แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ มน่ั รับผดิ ชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในสงิ่ ทจี่ ะเรียนรู้ มี ความคดิ สร้างสรรค์เก่ียวกับเรือ่ งท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมอื และวิธกี ารที่ให้ ไดผ้ ลถกู ตอ้ ง เชอื่ ถือได้ ศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ตา่ ง ๆ แสดงความคิดเหน็ ของตนเอง รับฟังความคดิ เห็นผอู้ นื่ และยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรทู้ ี่คน้ พบเมือ่ มีขอ้ มูลและประจักษพ์ ยาน ใหมเ่ พ่มิ ขึ้นหรอื แยง้ จากเดิมตระหนักในคุณค่าของความรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที ่ีใช้ใน ชวี ติ ประจาวนั ใช้ความร้แู ละกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยใี นการดารงชวี ิต และการ ประกอบอาชพี แสดงความช่ืนชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดคน้ เข้าใจผลกระทบทง้ั ด้านบวกและด้านลบของการพฒั นาทางวิทยาศาสตร์ต่อสงิ่ แวดลอ้ มและตอ่ บรบิ ทอื่นๆ และศกึ ษาหา ความรูเ้ พม่ิ เตมิ ทาโครงงานหรอื สรา้ งชิ้นงานตามความสนใจ 12) แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤตกิ รรมเกย่ี วกับการดแู ลรกั ษาความสมดลุ ของระบบ นิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ สรุปได้ว่า หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 4 สาระ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และเทคโนโลยี ในการ จัดการเรยี นรู้ควรมีการวิเคราะหห์ ลกั สูตร เพอื่ ใหก้ ารจดั การเรยี นรสู้ อดคล้องกับมาตรฐานและตัวชี้วัด ทีก่ าหนดไว้ และมีคณุ ภาพตามทก่ี าหนดไวใ้ นคณุ ภาพผเู้ รยี น บทเรยี นออนไลน์ 1. ควำมหมำยของบทเรียนออนไลน์ ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2541 : 55-56) ให้ความหมายของบทเรียนออนไลน์วา่ เป็น การผสมผสานกนั ระหวา่ งเทคโนโลยปี ัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเพื่อเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพทางการเรียนร้แู ละแก้ปญั หาในเร่ืองข้อจากัดด้านสถานทแ่ี ละเวลา โดยการสอนบนเว็บ จะประยุกต์ใชค้ ุณสมบัตแิ ละทรพั ยากรของเวิลด์ ไวด์ เวบ็ ในการจดั สภาพแวดล้อมที่สง่ เสริมและ สนับสนนุ การเรยี นการสอน ซงึ่ การเรียนการสอนผา่ นเว็บนี้ อาจเปน็ บางส่วนหรือทง้ั หมดของ กระบวนการเรยี นการสอนก็ได้
10 ใจทิพย์ ณ สงขลา (2542 : 18-28) ได้ให้ความหมายของบทเรียนออนไลน์วา่ เป็นการ ผนวกคุณสมบัติไฮเปอร์มีเดีย เข้ากับคุณสมบัตขิ องเครือข่ายเวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ เพื่อสร้างส่ิงแวดล้อมแห่ง การเรยี น ในมติ ทิ ไี่ ม่มขี อบเขตจากัดดว้ ยระยะทางและเวลาท่ีตา่ งกันของผเู้ รียน กดิ านันท์ มลิทอง (2543 : 334) ไดใ้ ห้ความหมายของบทเรียนออนไลนว์ ่าเปน็ การ นาเสนอบทเรยี นในลักษณะสื่อหลายมติ ิ ของวชิ าทัง้ หมดตามหลักสตู รหรือใชเ้ พียงการนาเสนอข้อมูล บางอยา่ งเพอ่ื ประกอบการสอนกไ็ ด้ รวมทั้งใช้ประโยชนจ์ ากคณุ ลักษณะต่างๆ ของการส่อื สารใน ระบบอินเทอร์เน็ต เชน่ การเขียนโตต้ อบกนั ทางไปรษณียอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ และการพูดคุยสดด้วย ขอ้ ความและเสียง มาใชป้ ระกอบดว้ ยเพ่อื ให้เกดิ ประสทิ ธิภาพสูงสดุ รสริน พิมลบรรยงก์ (2551 : 364) ไดใ้ ห้ความหมายของบทเรียนออนไลน์ว่าเปน็ การนา คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนทกี่ าหนดเนอ้ื หาเฉพาะในหน่วยการเรียนการสอนตามหลักสูตรมาผนวกกับ เคร่อื งมอื ตา่ งๆ ในเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต เพอ่ื ชว่ ยในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เว็บบราวเซอร์ เปน็ ตัวจัดการ กระบวนในการจัดการเรียนการสอนจะประกอบดว้ ยวธิ ีสอน (Method) สอื่ ในการใช้ เพื่อเปน็ ตวั กลาง (Mean) และวัสดอุ ปุ กรณ์ประกอบการสอน (Materials) สรปุ ได้ว่า บทเรยี นออนไลน์น้นั เป็นการนาเสนอเน้ือหาบทเรียนในลักษณะสื่อหลายมิติ ผ่านทางบริการเวิลด์ ไวด์ เวบ็ บนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต ซ่ึงเป็นส่อื กลางในการถ่ายทอดความรู้ เป็น ขอ้ มูลข่าวสารระหว่างกนั และเป็นการติดต่อส่ือสารทไ่ี ม่มขี อบเขตข้อจากัดด้วยระยะทางและเวลาที่ ตา่ งกนั โดยผู้เรยี นและผู้สอนมปี ฏิสัมพนั ธก์ ันผ่านระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 2. ลกั ษณะของบทเรยี นออนไลน์ Doherty (1998 : 61-63) กล่าวว่า การเรียนการสอนของบทเรยี นออนไลน์ มอี ยู่ 3 ลกั ษณะ ดงั นี้ 2.1 การนาเสนอ (Presentation) ในลักษณะของเว็บไซต์ท่ปี ระกอบไปดว้ ยขอ้ ความ ภาพกราฟกิ โดยวิธกี ารนาเสนอ คอื 2.1.1 การนาเสนอแบบส่ือเดีย่ ว เชน่ ข้อความ หรือรูปภาพ 2.1.2 การนาเสนอแบบส่อื คู่ เชน่ ข้อความกบั รูปภาพ 2.1.3 การนาเสนอแบบมัลตมิ เี ดียประกอบดว้ ย ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว และเสยี ง 2.2 การส่อื สาร (Communication) การส่ือสารเปน็ สิ่งจาเป็นต่อชีวิตประจาวัน ซ่ึงเปน็ ลักษณะสาคญั ของอนิ เทอร์เน็ต โดยมีการส่อื สารบนอนิ เทอรเ์ นต็ หลายแบบ เชน่ 2.2.1 การส่ือสารทางเดียว เชน่ การศึกษาข้อมูลจากบทเรียนออนไลน์ 2.2.2 การสื่อสารสองทาง เชน่ การสง่ ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์โต้ตอบกนั
11 2.2.3 การสอ่ื สารแบบทีห่ นงึ่ ไปหลายท่ี เป็นการสง่ ขอ้ ความจากแหลง่ เดียว แพรก่ ระจายไปหลายแหลง่ เช่น การอภิปรายจากคนเดยี วให้คนอืน่ ๆ ได้รบั ฟังด้วยหรือการประชุม ผ่านคอมพวิ เตอร์ 2.2.4 การส่ือสารหลายแหลง่ ไปสู่หลายแห่ง เชน่ การใช้กระบวนการกล่มุ ในการ สอื่ สารของบทเรียนออนไลน์ โดยมีผ้ใู ชห้ ลายคนและผู้รับหลายคนเช่นกัน 2.3 การทาใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์ (Dynamic interaction) เปน็ คุณลักษณะที่สาคญั ของ อินเทอร์เน็ตมี 3 ลักษณะ คอื 2.3.1 การสบื คน้ ขอ้ มูล 2.3.2 การหาวิธกี ารเขา้ สู่บทเรียนออนไลน์ 2.3.3 การตอบสนองของมนุษย์ตอ่ การใช้เครือข่าย 3. ประเภทของกำรจดั กำรเรียนกำรสอนบทเรยี นออนไลน์ เนือ่ งจากอินเทอรเ์ น็ตเปน็ แหล่งทรัพยากรทมี่ ีคณุ สมบัตหิ ลากหลายต่อการนาไป ประยุกต์ใชใ้ นการศกึ ษา ดงั นน้ั การเรยี นการสอนแบบบทเรียนออนไลน์จงึ สามารถทาได้ในหลาย ลกั ษณะ ซ่ึงมีนกั การศกึ ษาหลายท่าน ได้ให้ขอ้ เสนอแนะเกีย่ วกับประเภทของการเรยี นการสอน บทเรียนออนไลน์ ดังตอ่ ไปน้ี Parson (1997 : 15-16) ไดแ้ บ่งประเภทของการเรียนการสอนบทเรียนออนไลน์ ออกเปน็ 3 ลกั ษณะ คือ 3.1 เว็บรายวิชา (Stand-alone courses) เว็บรายวิชาเปน็ เวบ็ ทีม่ กี ารบรรจุ เนือ้ หา (Content) หรือเอกสารในรายวิชา เพื่อการสอนเพียงอย่างเดียว เปน็ เว็บรายวิชาทมี่ ี เครือ่ งมอื และแหล่งที่เข้าไปถงึ และเขา้ หาได้ โดยผา่ นระบบอนิ เทอร์เน็ต ลกั ษณะของการเรียนการ สอนบทเรียนออนไลนน์ ้มี ลี กั ษณะเปน็ แบบวทิ ยาเขต มนี ักศกึ ษาจานวนมากทเ่ี ข้ามาใช้งานจริง แต่ จะมีลักษณะการส่อื สารส่งขอ้ มลู ระยะไกลและมกั จะเป็นการส่อื สารทางเดียว 3.2 เว็บทรพั ยากรการศกึ ษา (Web pedagogical resources) เป็นเวบ็ ทมี่ ี รายละเอียดทางการศึกษา เครื่องมือ วตั ถดุ ิบและรวมรายวิชาตา่ งๆ ท่ีมีอยใู่ นสถาบนั การศึกษาไว้ ด้วยกันและยงั รวมถงึ ขอ้ มูลเกยี่ วกบั สถาบันการศึกษาไวบ้ ริการทั้งหมด แหลง่ สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ทางการศึกษา ท้งั ดา้ นวชิ าการและไมว่ ชิ าการ โดยการใชส้ ือ่ ท่ีหลากหลายรวมถงึ การส่ือสารระหวา่ ง บคุ คลดว้ ย 4. รูปแบบของกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนบทเรียนออนไลน์ บทเรียนออนไลน์ถือว่ามสี ถานะเป็นสือ่ การเรียนรู้แบบหนึง่ โดยใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ในการจดั การเรยี นรู้ท่มี ีประสิทธิภาพสูงมากซงึ่ ครูผูส้ อนควรจะไดน้ ามาใช้ และจะตอ้ งใชใ้ หเ้ ป็น โดย นามาใช้ในรูปแบบตา่ งๆ ไดด้ ังน้ี 4.1 สื่อการเรียนรู้บทเรยี นออนไลน์จาแนกตามระบบการเชื่อมโยงข้อมูล ได้ 2 ชนิด คือ
12 4.1.1 ชนิด Stand Alone หมายถงึ บทเรียนออนไลน์ แบบปิด ( Offline ) ที่ สามารถแสดงผล ไดบ้ นเครอื่ งคอมพิวเตอร์บคุ คลเคร่อื งใด ๆ โดยทไ่ี ม่ไดเ้ ชือ่ มโยงกับเครอื่ งอ่ืน ๆ และเครอ่ื งอืน่ ๆ ไมส่ ามารถเรยี กดูข้อมูลเน้ือหาได้ 4.1.2 ชนดิ Online หมายถึง บทเรยี นออนไลน์ แบบเปิดท่ีสามารถแสดงผลได้ โดยเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์อ่นื ๆ ท่ีมีระบบใกล้เคียงกันโดยมีการเชอ่ื มโยงเปน็ เครือข่ายรว่ มกัน ซึ่งอาจ เป็นระบบเครือขา่ ยภายใน (LAN) หรอื ระบบอนิ เตอรเ์ นต็ ก็ได้ 4.2 สื่อการเรยี นรู้บทเรยี นออนไลน์ จาแนกตามลักษณะวธิ กี ารส่ือสาร ได้ 2 ชนิด คือ 4.2.1 ชนดิ ส่ือสารทางเดยี ว (One-way Communication) คอื การสอ่ื สารใน ลกั ษณะทผ่ี ู้ให้สารไมเ่ ปดิ โอกาสให้ผู้รับการสอ่ื สารไดเ้ ป็นฝ่ายให้สารและไมส่ นใจต่อปฏิกริ ยิ าตอบกลับ ของอกี ฝ่ายหนึ่ง สื่อชนดิ น้ี ได้แก่ สือ่ ชนิด E – Books ภาพนง่ิ ภาพเคล่อื นไหว ท่ีเน้นการใหข้ ้อมลู ถึงแม้จะให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างปฏิสมั พนั ธ์กบั สอื่ แตก่ เ็ ปน็ ไปเพ่อื การเลอื กศึกษาเน้อื หา ไมไ่ ดเ้ ปน็ การ โต้ตอบกลบั 4.2.2 ชนดิ สอ่ื สารสองทาง (Two-way Communication) คือ การสอื่ สารทม่ี ที ้ัง ใหแ้ ละรบั ข่าวสารระหว่างกนั โดยท่ีแตล่ ะฝา่ ยเปน็ ทงั้ ผสู้ ่งสารและผรู้ บั สาร มีการโต้ตอบให้ข้อมูล ยอ้ นกลบั ไปมา ส่อื ชนดิ นี้ ไดแ้ ก่ บทเรยี น CAI ชนดิ ทมี่ ีปฏิสัมพนั ธ์ หรอื ระบบจัดการบทเรยี น ( LMS ) 4.3. สือ่ การเรยี นรู้ E-Learning จาแนกตามระดบั การใชง้ าน ได้ 3 ชนดิ คอื 4.3.1 ส่อื เสรมิ ( Supplementary ) เป็นสอื่ ทใ่ี ชป้ ระกอบในการเรยี นการสอน ปกติ ผู้เรยี นเรียนแบบปกติ เป็นเพยี งสือ่ ประกอบบทเรียนบา้ งเพื่อให้ผู้เรยี นศกึ ษาเพม่ิ เติมทผี่ ้เู รียน อาจจะใช้หรือไม่ใช้กไ็ ด้ หรอื เปน็ การที่ครูคัดลอกเนอ้ื หาจากแบบเรียนไปบรรจุไวใ้ นอนิ เตอร์เนต็ แล้วแนะนาให้ผเู้ รยี นไปเปิดดู 4.3.2 สอ่ื เพม่ิ เตมิ ( Complementary ) เป็นสื่อท่ใี ช้ในการเรียนการสอนปกติ ผู้เรยี นเรยี นแบบปกติ แตม่ กี ารกาหนดเน้อื หาให้ศึกษา หรอื สืบค้นจากส่อื อเิ ลคทรอนิคส์ หรือ Website เป็นบางเนื้อหา และมีการกาหนดกจิ กรรมให้ผ้เู รียนไดเ้ ข้าไปศกึ ษาเนอื้ หา โดยถือเปน็ สว่ น หนึง่ ของการจัดการเรียนรู้ที่จะต้องมกี ารวัดและประเมนิ การเรียนรูป้ ระกอบไปดว้ ย ปัจจบุ ันในการ จัดการเรียนการสอนของครูมกั จะเปน็ แบบน้ีเพม่ิ มากขึน้ 4.3.3 สื่อหลัก (Comprehensive Replacement) เป็นส่ือใช้ทดแทนการเรียน การสอนหรอื การบรรยายในชน้ั เรียน โดยท่ีเนอ้ื หาทัง้ หมดมีความสมบรู ณ์แบบในตวั เองครบ กระบวนการเรยี นรู้ หรอื เป็นเนื้อหา Online ท่ีมีการออกแบบใหใ้ กลเ้ คยี งกับครูผ้สู อนมากท่ีสดุ เพ่อื ใช้ ทดแทนการสอนของครูโดยตรง สือ่ ชนิดนไ้ี ดแ้ ก่ บทเรียนสาเร็จรูป หรือ สื่อคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนที่มี การออกแบบไว้อยา่ งเหมาะสม ครบวงจร หรอื ใช้ระบบจดั การบทเรยี น (LMS)
13 5. องค์ประกอบกำรจัดกำรเรียนกำรสอนบทเรียนออนไลน์ องคป์ ระกอบของบทเรยี นออนไลน์ การใหบ้ รกิ ารการเรียนแบบออนไลน์ หรือ E-Learning มอี งคป์ ระกอบที่สาคญั 4 ส่วน โดยแตล่ ะสว่ นจะต้องไดร้ ับการออกแบบมาเป็นอย่างดี เพราะเม่อื นามาประกอบเขา้ ด้วยกันแล้วระบบทงั้ หมดจะต้องทางานประสานกนั ได้อย่างลงตวั 5.1 เน้ือหาของบทเรยี น สาหรับการเรียนการศึกษาแลว้ ไมว่ ่าจะเรยี นอย่างไรก็ตามเนือ้ หาถือว่าเปน็ ส่งิ ท่ี สาคญั ท่ีสุดเช่นกนั อยา่ งไรกต็ ามเนื่องจากบทเรียนออนไลนน์ นั้ ถือวา่ เป็นการเรยี นร้แู บบใหมส่ าหรับ วงการการศึกษาในประเทศไทย ดังน้ันเนือ้ หาของการเรยี นแบบนี้ที่พัฒนาเสร็จเรยี บร้อยแล้ว จงึ มอี ยู่ น้อยมากทาให้ไมเ่ พยี งพอกับความต้องการในการฝกึ อบรม เพิ่มพนู ความรู้ พัฒนาศกั ยภาพทัง้ ของ บคุ คลโดยสว่ นตัวและของหนว่ ยงานต่างๆ ใหม้ ีการพัฒนาเนือ้ บทเรยี นออนไลน์ (Course Ware) ใหม้ ากขึ้น 5.2 ระบบบริหารจดั การการเรยี นรู้ เนือ่ งจากการเรียนออนไลนน์ ั้น เปน็ การเรยี นท่สี นับสนนุ ให้ผ้เู รยี น ไดศ้ กึ ษาเรยี นรู้ ได้ด้วยตัวเอง ระบบบริหารการเรียนทที่ าหน้าที่เป็นศนู ยก์ ลาง กาหนดลาดับของเน้ือหา ในบทเรยี น นาสง่ บทเรยี นผา่ นเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ไปยังผู้เรยี น ประเมินผลความสาเร็จของบทเรียน ควบคุม และสนับสนุนการให้บรกิ ารทัง้ หมดแกผ่ ู้เรยี น จงึ ถอื วา่ เป็นองคป์ ระกอบของบทเรยี นออนไลน์ทสี่ าคญั มาก เราเรยี กระบบน้ีวา่ ระบบบรหิ ารจัดการการเรียนรู้ ( LMS : E-learning Management System ) ถ้าจะกล่าวโดยรวม LMS จะทาหน้าท่ีตงั้ แต่ผ้เู รยี นเริม่ เขา้ มาเรยี น โดยจัดเตรยี มหลกั สูตร บทเรียนทง้ั หมดเอาไวพ้ รอ้ มท่ีจะใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ ขา้ มาเรียน เม่อื ผ้เู รยี นไดเ้ ริ่มต้นบทเรยี นแลว้ ระบบจะ เรมิ่ ทางานโดยส่งบทเรียนตามคาขอของผู้เรียนผ่านเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ (อนิ เทอรเ์ นต็ , อนิ ทราเนต็ หรอื เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์อืน่ ๆ ) ไปแสดงที่ Web Browser ของผเู้ รียน จากน้นั ระบบกจ็ ะตดิ ตาม และบันทึกความกา้ วหนา้ รวมทั้งสรา้ งรายงานกิจกรรมและผลการเรียนของผเู้ รียนในทุกหนว่ ยการ เรียนอย่างละเอียด จนกระท่งั จบหลักสูตร 5.3 การติดต่อสอ่ื สาร การเรยี นทางไกลโดยท่ัวไปแล้วมักจะเปน็ การเรียนดว้ ยตวั เอง โดยไม่ตอ้ งเข้าช้นั เรยี นปกติ ซึง่ ผเู้ รยี นจะเรียนจากส่ือการเรยี นการสอนประเภทส่ิงพิมพ์ วิทยกุ ระจายเสยี ง วทิ ยุ โทรทัศน์ และส่ืออืน่ การเรียนบทเรยี นออนไลน์ กเ็ ชน่ กนั ถอื ว่าเปน็ การเรียนทางไกลแบบหน่ึง แต่สิ่งสาคัญที่ทาให้ บทเรียนออนไลน์มคี วามโดดเด่นและแตกตา่ งไปจากการเรียนทางไกลทัว่ ๆ ไปก็ คอื การนารปู แบบการติดตอ่ สื่อสารแบบ 2 ทาง มาใช้ประกอบในการเรียนเพื่อเพมิ่ ความสนใจความ ตน่ื ตวั ของผเู้ รยี นท่มี ี ตอ่ บทเรียนให้มากยงิ่ ข้ึน เชน่ ในระหว่างเรียนถ้ามคี าถามซ่ึงเป็นการทดสอบ ยอ่ ยในบทเรียนเมอื่ คาถามปรากฏขน้ึ มา ผูเ้ รยี นกจ็ ะตอ้ งเลือกคาตอบและสง่ คาตอบกลบั มายงั ระบบ ในทนั ที เหตุการณ์ดงั กล่าวจะทาให้ผ้เู รียนรักษาระดบั ความสนใจในการเรียนได้เปน็ ระยะเวลามากข้นึ
14 นอกจากนวี้ ัตถปุ ระสงค์สาคญั อกี ประการของการตดิ ต่อแบบ 2 ทาง ก็คือ ใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ที่จะช่วยให้ ผเู้ รยี นไดต้ ดิ ตอ่ สอบถาม ปรกึ ษาหารอื และแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ ระหวา่ งตัวผูเ้ รียนกับครู อาจารย์ ผสู้ อน และระหว่างผูเ้ รยี นกบั เพือ่ นร่วมช้นั เรียนคนอนื่ ๆ โดยเครอื่ งมอื ที่ใช้ในการตดิ ต่อสือ่ สารอาจ แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท ดังนี้ 5.3.1 ประเภท Real - Time ได้แก่ Chat ( Message, Voice) White Board/Text Slide, Real-Time Annotations, Interactive Poll, Conferencing และอน่ื ๆ 5.3.2 ประเภท Non Real - Time ไดแ้ ก่ Web - Board, E - Mail 5.4 การสอบและการวดั ผลการเรยี น โดยทั่วไปแล้วการเรยี นไม่ว่าจะเปน็ การเรยี นในระดับใด หรอื เรียนวธิ ใี ด ก็ยอ่ มต้อง มีการสอบ การวดั ผลการเรยี นเป็นสว่ นหนงึ่ อยูเ่ สมอ การสอบและการวดั ผลการเรียนจึงเป็น ส่วนประกอบสาคญั ทจ่ี ะทาให้การเรียนบทเรียนออนไลน์เป็นการเรยี นทสี่ มบูรณ์ กลา่ วคือ ในบางวิชา จาเป็นต้องวดั ระดับความรู้กอ่ นเขา้ สมัครเข้าเรยี น เพ่ือใหผ้ ู้เรียนไดเ้ ลอื กเรียนในบทเรยี น หลักสูตรท่ี เหมาะสมกบั เขามากท่ีสดุ ซ่ึงจะทาใหก้ ารเรียนทจี่ ะเกดิ ข้นึ เป็นการเรียนทีม่ ีประสทิ ธภิ าพสงู สดุ เมือ่ เข้าสบู่ ทเรียนในแตล่ ะหลกั สตู รกจ็ ะมีการสอบย่อยทา้ ยบท และการสอบใหญก่ อ่ นทจี่ ะจบหลกั สตู ร 6. กำรออกแบบและกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนบทเรยี นออนไลน์ การจดั การสอนในรปู แบบบทเรียนออนไลน์ เปน็ การจดั การเรยี นการสอนผ่านระบบ เครือข่ายแบบออนไลน์ ซง่ึ มขี ัน้ ตอนการดาเนนิ การดงั ต่อไปนี้ 6.1 การออกแบบและจัดทาบทเรียนออนไลน์ ถือเปน็ ขั้นตอนท่สี าคัญที่สุด เรียกไดว้ ่า เป็น “หวั ใจ” ของการเรียนการสอนเลยทเี ดยี ว เพราะบทเรียนท่มี คี ณุ ภาพสงู จะสามารถพัฒนาผ้เู รยี น ให้เกิดการเรยี นรู้ไดด้ เี ท่าๆ กับหรอื มากกว่าการเรียนการสอนในชนั้ เรยี น ขัน้ ตอนนี้มวี ธิ ีการดาเนนิ การ ดงั น้ี 6.1.1 การออกแบบบทเรยี น (Courseware) เรม่ิ จากการศกึ ษาวิเคราะห์หลกั สูตร ทีใ่ ชอ้ ยู่ในปัจจุบนั ศึกษาสภาพความพร้อมของผเู้ รียน เวลาทใ่ี ชใ้ นการเรียน โอกาสในการเรยี นของ ผเู้ รียน จากนั้นวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั คดั เลอื กเน้ือหา กาหนดเนอื้ หาออกเป็นหนว่ ยการ เรยี น กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรแู้ ต่ละหนว่ ย ออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้แต่ละหน่วย ส่อื การ เรียนรู้ และแหลง่ เรียนร้ทู ่สี าคัญและจาเปน็ กาหนดวิธกี ารวดั และประเมนิ กจิ กรรมของแต่ละหนว่ ย การเรยี น 6.1.2 การจัดทาบทเรียน โดยการกาหนดกิจกรรมการเรียนรูใ้ นแต่ละหน่วยให้ สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ และเนอื้ หาที่กาหนดไว้ จัดทาส่อื การสอนในรปู แบบต่างๆ ที่ เหมาะสมต่อการเรียนรแู้ ละนา่ สนใจ จดั สรา้ งเครื่องมอื ในการวดั และประเมินผลกจิ กรรมหรอื ผลงานท่ี กาหนดในบทเรยี น กาหนดเกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผลใหช้ ัดเจน เหมาะสม สอดคลอ้ งกบั เนื้อหาและ กิจกรรม การใชข้ ้อความ รปู ภาพ หรือสญั ลักษณ์ใดๆ ในบทเรียน ต้องคานงึ ถึงความถูกต้อง สมบูรณ์
15 ละเอียดชัดเจนในตวั เอง เนือ่ งจากบทเรยี นออนไลน์ถอื เปน็ การจดั การเรียนการสอนทางไกลทีผ่ ูเ้ รยี น และผ้สู อนอาจไมม่ โี อกาสพบปะกัน ดงั น้ัน การจดั ทาบทเรียนจงึ ตอ้ งคานงึ ถงึ คุณภาพใหม้ าก 6.1.3 การบรรจุบทเรียนลงในระบบ หลังจากทีจ่ ัดทาบทเรยี นเสรจ็ เรียบรอ้ ย ครบถ้วนแล้ว นาบทเรยี นบรรจลุ งในระบบ หรอื ครูผู้สอนอาจจัดทาบทเรียนลงในตัวระบบเลยกไ็ ด้ ซง่ึ ทางระบบส่งเสรมิ การเรียนรไู้ ด้จัดเตรียมไวใ้ ห้พร้อมแลว้ หากมรี ปู แบบข้อมลู ทางอเิ ลคทรอนคิ สแ์ บบ อื่นประกอบในบทเรยี นด้วย กจ็ ะต้องมีการ Upload file ดงั กล่าวเขา้ ไปด้วย ซงึ่ จะทาให้ตวั บทเรียนมี ความน่าสนใจมากขึน้ และหลงั จากทไี่ ดบ้ รรจุบทเรยี นเขา้ ในระบบแลว้ ควรมีการทดสอบการใช้งาน ของบทเรยี น โดยการทดลองเขา้ ดูเนอื้ หาหลายๆ ครั้งเพื่อให้เกดิ ความมน่ั ใจมากขนึ้ ว่าบทเรียนมคี วาม สมบรู ณพ์ รอ้ มแลว้ 6.2 การจัดการเรยี นรู้ เปน็ ขั้นตอนของการนาบทเรยี นไปใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน ดงั น้ี 6.2.1 การนาเสนอบทเรียน เป็นการนาเสนอข้อมลู เบอื้ งต้นเกย่ี วกับบทเรยี น หรือ เรียกว่าเปน็ ส่วนแนะนาบทเรยี น โดยนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ คาอธิบายรายวิชา ผลการเรียนรทู้ ่ี คาดหวงั รายวชิ า จุดประสงค์ของแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ วธิ ีการเรยี น เงอ่ื นไขการเรยี น การนัดหมาย การส่งงาน ชว่ งเวลาที่มกี ารทดสอบ เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ฯลฯ เพือ่ ให้ผู้เรยี นได้ รู้จกั และเขา้ ใจถึงวิธกี ารใช้บทเรียน ทาให้การเข้าใช้บทเรียนมปี ระสทิ ธภิ าพในการพัฒนาการเรยี นรู้ ของผูเ้ รียนมากขึ้น จากน้ันกแ็ นะนาให้ผเู้ รยี นสมัครเข้าเรียน 6.2.2 การรับสมคั รและอนุมัติสทิ ธิ์ผเู้ รียน หลงั จากที่ผ้เู รยี นสมคั รเข้าเรียน และ เลือกรายวิชาที่ต้องการเรียนแล้ว ครูผู้สอนจะทาการอนุมัติสทิ ธใ์ิ นการเรยี นของผูเ้ รียนที่อยู่ในเงอื่ นไข ตามท่คี รูผู้สอนกาหนด นอกจากน้คี รผู ู้สอนยงั สามารถตัดสิทธิ์การเข้าเรยี นของผู้เรียนออกจากรายวิชา ไดใ้ นกรณที ีผ่ ู้เรียนไม่ปฏิบตั ติ ามเงอ่ื นไขท่ีกาหนด 6.2.3 การตดิ ต่อส่อื สาร ติดตามการเรยี น ในระหวา่ งเรยี นครผู สู้ อนอาจนัดหมาย เวลาพบปะ เพอื่ ให้ผเู้ รยี นได้ปรกึ ษาปญั หา พบปะ พูดคยุ แสดงความคิดเหน็ ตอ่ การเรียน หรือ ครผู ู้สอนอาจใชโ้ อกาสนีช้ แี้ จงบทเรยี น แนะนา ติดตาม ทาการสอน พจิ ารณางาน แกไ้ ขงาน รวมถึง ตรวจผลงานของผเู้ รียนได้ ในการเรียนการสอนบทเรียนออนไลน์ ครูผสู้ อนควรกาหนดเงือ่ นไขให้ ผเู้ รยี นไดพ้ บปะกับผูส้ อนในชอ่ งทางติดตอ่ อย่างใดอย่างหนงึ่ อยา่ งน้อยสองสปั ดาห์ตอ่ ครง้ั เพ่ือเป็น การตดิ ตามงาน และกระตนุ้ ไมใ่ หผ้ เู้ รยี นละเลยการทากิจกรรมที่กาหนด ทง้ั นขี้ น้ึ อย่กู บั ลกั ษณะการ เรยี นแตล่ ะรายวิชา 6.3 การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ เป็นส่วนสาคัญอีกสว่ นหนึง่ ของกระบวนการ จดั การเรยี นรู้ ซึ่งหลังจากท่ีผเู้ รยี นศกึ ษาแล้วจะตอ้ งมกี ารประเมินการเรยี นรู้ของผเู้ รียนเพอ่ื นาผลมา พจิ ารณาวา่ ผู้เรียนเกิดการเรยี นรหู้ รอื ไม่ มากนอ้ ยอย่างไร การวัดผลการเรยี นรสู้ ามารถกระทาได้ ดังน้ี
16 6.3.1 การจดั ทาแบบทดสอบ โดยการทาแบบทดสอบออนไลน์ ทีค่ รูผู้สอนจดั ทา ไว้ในระบบ ซึ่งมวี ธิ ีการให้ครผู ้สู อนสามารถจัดทาไดใ้ นหลายๆ รูปแบบ ข้ึนอยูก่ บั ลักษณะของเนอ้ื หา ความรู้ท่ตี อ้ งการวดั การทดสอบอาจทาซ้าได้หลายๆ ครั้ง หรือให้ทาเพยี งครง้ั เดยี วกไ็ ด้ และเมื่อทา แบบทดสอบเสรจ็ สิ้น ทางระบบจะทาการประเมนิ ผลการสอบให้ผเู้ รยี นทราบทันที หรอื อาจปรับ ระบบให้ผเู้ รยี นทราบในภายหลงั กไ็ ด้ 6.3.2 การประเมินผลการเรยี นรู้ เป็นการประเมนิ การเรยี นรขู้ องผู้เรยี นในด้าน ตา่ งๆ เชน่ ด้านความรู้ ความคิด ด้านทกั ษะ ด้านเจตคติ โดยพจิ ารณาจากขอ้ มูลทรี่ วบรวมไว้ ท้ังจาก ผลงานที่ผู้เรยี นจัดทาและส่งใหป้ ระเมินตามท่ีผู้สอนกาหนด การทาแบบฝึกหัด แบบทดสอบ รวมถึง การพจิ ารณาการเขา้ เรยี น การส่งงาน ความรับผดิ ชอบ การมีปฏิสมั พันธ์กบั ผู้สอนหรือกบั ผเู้ รยี นคน อ่ืนๆ หรือคุณลกั ษณะอ่นื ๆ ตามทีไ่ ดก้ าหนดไว้ในบทเรยี น ครผู ู้สอนจะตอ้ งรวบรวมข้อมลู ตา่ งๆ เหล่านี้ เพ่อื ทาการประเมินการเรยี นรู้เป็นรายบุคคล 6.3.3 การอนุมตั ิผลการเรยี น หลกั จากประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเรียบร้อย แล้ว ก็แจง้ ผลการประเมินการเรียนรใู้ หผ้ เู้ รียนทราบตามระดับ หรือเกณฑ์คุณภาพท่ีกาหนด ผู้เรียนท่ี ไมผ่ า่ นการประเมนิ อาจมกี ารซ่อมเสริมในบางเนอ้ื หา ผลการเรียนสามารถแจ้งไปยังผเู้ รยี นทราบได้ โดยตรงเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรทางไปรษณยี ์ เพอื่ เป็นหลักฐานใหผ้ ู้เรียนเกบ็ รวบรวมไวใ้ ช้ในการประเมนิ อย่างอน่ื ๆ ตอ่ ไป การอนุมัตผิ ลการเรียน จะกระทาในกรณีทมี่ ีการจัดการเรียนการสอนตลอดทัง้ รายวชิ า สาหรับรายวิชาทม่ี ีการเรยี นการสอนออนไลนเ์ ป็นบางบทเรยี น หรือบางเน้อื หา ก็อาจ รวบรวมผลการเรียนรู้ท่ไี ด้รวมกับผลการเรยี นการสอนปกติกไ็ ด้ ทั้งน้ขี ้นึ อยกู่ ับนโยบายและเง่อื นไข การจัดการเรยี นรู้บทเรียนออนไลน์ ของสถานศกึ ษาแตล่ ะแหง่ 7. ประโยชน์ของกำรเรียนกำรสอนบทเรยี นออนไลน์ บทเรียนออนไลน์ ถือไดว้ ่าเปน็ การปรับกระบวนทศั นใ์ หมท่ างการศกึ ษาเพราะบทเรยี น ออนไลน์สามารถนาไปใชเ้ พ่อื พัฒนาการเรยี นการสอนให้มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลยง่ิ ขึน้ ประโยชน์ของบทเรยี นออนไลน์มอี ยดู่ ้วยกนั หลายประการ ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้ 7.1 บทเรียนออนไลน์ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพมากยิง่ ขึ้น งานวิจยั หลายชน้ิ สนับสนุนเนื้อหาการเรียนซงึ่ ถูกถา่ ยทอดผ่านทางมัลตมิ เี ดียนั้นสามารถทาให้ผู้เรียน เกดิ การเรยี นรู้ไดด้ ีกว่าการเรยี นจากสือ่ ขอ้ ความแตเ่ พียงอย่างเดียว ดงั นั้น หากจะเปรยี บบทเรยี น ออนไลน์กับการสอนท่ีเนน้ การบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk ซง่ึ ผู้สอนในปจั จุบนั ยงั คงใช้กนั อยูน่ ้ัน บทเรยี นออนไลน์ท่ีได้รบั การออกแบบและผลิตมาอยา่ งมีระบบจะช่วยให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพมากกวา่ นอกจากในด้านของประสิทธิภาพการเรียน อนั เกดิ จากสอื่ แล้วใน ด้านของระบบบทเรียนออนไลน์ยังมกี ารจัดหาเคร่ืองมอื (Course Management Tool ) ซ่งึ ทาให้ ผู้สอนสามารถตรวจสอบความกา้ วหน้าของพฤติกรรมการเรียนของผเู้ รยี นไดอ้ ย่างละเอยี ดและ ตลอดเวลา
17 7.2 บทเรียนออนไลน์จะมีการใชเ้ ทคโนโลยี Hypermedia ซงึ่ เปน็ การเช่อื มโยงของ ขอ้ มลู ไมว่ ่าจะเป็นในรูปของขอ้ ความ ภาพน่ิง เสียง กราฟิก วดิ โี อ ภาพเคลอ่ื นไหว ที่เกย่ี วเนือ่ งกนั เขา้ ไว้ดว้ ยกนั ในลกั ษณะ Non – Linear เพ่อื ความสะดวกในการเข้าถงึ ข้อมูลของผู้ใช้ ประโยชน์ของการ ประยกุ ต์ใช้ Hypermedia ไวว้ า่ Hypermedia สามารถใช้เป็นวิธีการนาเสนอความรู้สาหรับสื่อการ เรียนการสอนท่มี ีประสทิ ธภิ าพได้ ทัง้ น้เี นอื่ งจากการที่ Hypermedia น้ี สามารถนาเสนอเนือ้ หาใน ลักษณะของกรอบความคิดแบบใยแมงมุม (Web Framework) ซง่ึ เป็นกรอบความคิดทเี่ ชื่อวา่ จะมี ลักษณะทีค่ ล้ายคลงึ กนั กับวธิ ีท่ีมนษุ ยจ์ ดั ระบบความคดิ ภายในจิตใจ ดังนัน้ ผ้เู รียนทเี่ รยี นจากบทเรยี น ออนไลน์จะสามารถควบคุมการเรยี นของตนไดแ้ ละยอ่ มจะได้รับความร้แู ละมีการจดจาได้ดีขึน้ 7.3 บทเรียนออนไลน์ทาให้ผเู้ รียนสามารถเรียนรไู้ ด้ตามจังหวะของตน (Self - paced Learning) ผูเ้ รยี นสามารถที่จะควบคมุ การเรียนของตนในด้านของลาดับการเรียน (Sequence) ตามพ้นื ฐานความรู้ ความถนดั และความสนใจของตน ผ้เู รียนสามารถเลือกเรียนเฉพาะเนื้อหาสว่ นท่ี ตอ้ งการทบทวนโดย ไม่ต้องเรียนในสว่ นทเี่ ข้าใจแลว้ ซงึ่ ในลักษณะนี้ ถอื เป็นการให้อิสระแกผ่ ู้เรยี น ในการควบคมุ การเรยี นของตน (Learner Control) 7.4 บทเรียนออนไลน์เอื้อให้เกิดการโตต้ อบ (Interaction) ทีห่ ลากหลาย ไม่ว่าจะเปน็ การโตต้ อบกับเน้อื หา การโต้ตอบกับครูผูส้ อนและกบั เพือ่ น คอรส์ แวร์ท่ีได้รับการออกแบบมาอย่างดี น้ันจะเอ้อื ใหเ้ กดิ ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างผู้เรียนกบั เนอ้ื หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ตัวอยา่ ง เชน่ การ ออกแบบเน้ือหาในลกั ษณะเกม หรือ การจาลอง เปน็ ตน้ นอกจากนี้ บทเรียนออนไลน์ยงั เอ้ือให้ ผู้เรยี นเกดิ การโต้ตอบกับครผู ูส้ อนและกบั เพื่อนได้ อย่างที่เราทราบกนั ดวี า่ การเรยี นการสอนท่ีดีท่ีสุด ก็คอื การเรียนการสอนที่เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้มกี ารโตต้ อบกับผู้สอนหรอื กับผูเ้ รยี นอื่น ๆ ไดม้ ากท่ีสุด เพราะการเรียนในลกั ษณะนี้ผู้สอนจะสามารถตอบสนองความต้องการ ปญั หา และคาถามต่างๆ ของ ผเู้ รียนไดท้ นั ที บทเรยี นออนไลน์ให้โอกาสผ้เู รยี นในการโตต้ อบกบั ครูผู้สอนและ/หรอื การได้รับผล ปอ้ นกลับทงั้ ในลักษณะเวลาเดียวกนั ( Synchronous ) เชน่ การสนทนา (Chat) หรอื การ ออกอากาศสด (Live Broadcast) และในลักษณะตา่ งเวลากัน (Asynchronous) เช่น การทิ้ง ข้อความไว้บนเวบ็ บอร์ด (Web Board) 7.5 บทเรยี นออนไลน์สง่ เสริมใหเ้ กดิ การเรยี นรทู้ กั ษะใหม่ๆ รวมทง้ั เนื้อหาท่มี คี วาม ทนั สมยั และตอบสนองต่อเร่ืองราวตา่ งๆ ในปัจจุบันไดอ้ ย่างทนั ท่วงที เพราะการทีเ่ น้อื หาการเรยี น อยู่ในรปู ของข้อความอิเลก็ ทรอนิกส์ ( E–Text ) ซ่ึงได้แก่ ขอ้ ความซง่ึ ไดร้ ับการจัดเกบ็ ประมวลผล นาเสนอ และเผยแพร่ทางคอมพิวเตอร์จึงทาใหม้ ีข้อไดเ้ ปรียบสอ่ื อ่ืนๆ หลายประการ โดยเฉพาะ อย่างยงิ่ ในด้านของความสามารถในการปรับปรุงเนือ้ หาสารสนเทศให้ทันสมัยไดต้ ลอดเวลา การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ทีต่ อ้ งการดว้ ยความสะดวกและรวดเรว็ และความคงทนของขอ้ มูล 7.6 ข้อความซง่ึ ไดร้ ับการจัดเก็บ ประมวลผล นาเสนอ และเผยแพรท่ างคอมพิวเตอร์จงึ ทาใหม้ ขี อ้ ได้เปรยี บสือ่ อ่ืน ๆ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในดา้ นของความสามารถในการ
18 ปรบั ปรงุ เนื้อหาสารสนเทศให้ทันสมยั ไดต้ ลอดเวลา การเข้าถึงข้อมลู ท่ีต้องการ ดว้ ยความสะดวกและ รวดเรว็ และความคงทนของขอ้ มลู 7.7 บทเรยี นออนไลน์ถอื เปน็ รูปแบบการเรยี นท่สี ามารถจดั การเรียนการสอนใหแ้ ก่ ผเู้ รยี นในวงกวา้ งข้ึน เพราะผู้เรียนใช้การเรยี นในลกั ษณะบทเรียนออนไลน์ จะไม่มีข้อจากดั ในดา้ นการ ทจ่ี ะต้องเดินทางมาศึกษาในเวลาใดเวลาหนง่ึ และสถานทใ่ี ดสถานที่หนึง่ ดังนัน้ บทเรยี นออนไลน์ยงั สามารถนาไปใช้เพ่ือสนับสนนุ การเรยี นในลักษณะตลอดชวี ติ (Life Long Learning) ได้ดว้ ย และยงิ่ ไปกว่านั้น เราสามารถนาบทเรียนออนไลน์ไปใชเ้ พื่อเปดิ โอกาสสาหรบั ผู้เรยี นทีข่ าดโอกาสในการศึกษา ในระดบั อดุ มศึกษาได้เป็นอยา่ งดี ซึง่ จากงานวิจัยในประเทศไทย พบวา่ ยงั มีผเู้ รียนที่ขาดโอกาสใน การศกึ ษา ข้ันอุดมศกึ ษาอนั เนือ่ งมาจากข้อจากัดของสถาบนั การศึกษาท่ีจากัดจานวนในการรับผเู้ รยี น อยอู่ ีกเปน็ จานวนมาก และมีแนวโนม้ ทีจ่ ะเพิ่มมากข้ึนเรอ่ื ยๆ ในอกี ทศวรรษข้างหนา้ ซ่งึ การจัดการ เรียนการสอนสาหรับผูเ้ รยี นจานวนทม่ี ากขนึ้ โดยมคี ่าใช้จ่ายเท่าเดิม ก็เทา่ กับเปน็ การลดต้นทนุ ใน การจดั การศึกษานนั้ ๆ ถนอมพร เลาหจรสั แสง (2544) ไดก้ ล่าวถึงการสอนบนเวบ็ มีข้อดีอยู่หลายประการ กลา่ วคือ 1. การสอนบนเว็บเปน็ การเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนที่อย่หู ่างไกล หรอื ไม่มเี วลาในการมาเข้าชั้น เรียนได้เรียนในเวลาและสถานที่ ๆ ต้องการ ซ่งึ อาจเปน็ ทบ่ี า้ น ทีท่ างาน หรอื สถานศกึ ษาใกลเ้ คยี งที่ ผู้เรียนสามารถเข้าไปใช้บรกิ ารทางอนิ เทอรเ์ น็ตได้ การทีผ่ ู้เรยี นไมจ่ าเปน็ ต้องเดินทางมายังสถานศกึ ษา ทกี่ าหนดไวจ้ ึงสามารถช่วยแกป้ ัญหาในดา้ นของขอ้ จากดั เก่ยี วกบั เวลา และสถานท่ีศึกษาของผูเ้ รียน เป็นอย่างดี 2. การสอนบนเว็บยังเปน็ การสง่ เสรมิ ให้เกิดความเทา่ เทียมกนั ทางการศกึ ษา ผู้เรียนทศี่ กึ ษา อยใู่ นสถาบนั การศกึ ษาในภมู ิภาคหรือในประเทศหนึ่ง สามารถที่จะศกึ ษา ถกเถียง อภปิ ราย กับ อาจารย์ ครูผู้สอน ซ่ึงสอนอย่ทู ่สี ถาบันการศึกษาในนครหลวงหรือในต่างประเทศก็ตาม การสอนบน เวบ็ นี้ ยังช่วยสง่ เสรมิ แนวคิดในเรอื่ งของการเรียนรตู้ ลอดชีวติ เนื่องจากเวบ็ เป็นแหล่งความรทู้ ่เี ปิด กวา้ งให้ผูท้ ต่ี อ้ งการศกึ ษาในเร่ืองใดเรอื่ งหนึ่ง สามารถเขา้ มาคน้ ควา้ หาความรู้ได้อยา่ งต่อเนือ่ งและ ตลอดเวลาการสอนบนเวบ็ สามารถตอบสนองตอ่ ผู้เรยี น ท่มี คี วามใฝร่ ู้ รวมทัง้ มที กั ษะในการ ตรวจสอบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ( Meta - Cognitive Skills ) ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ 3. การสอนบนเวบ็ ชว่ ยทลายกาแพงของหอ้ งเรียนและเปลยี่ นจากห้องเรียน 4 เหลยี่ ม ไปสู่ โลกกวา้ งแหง่ การเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นสามารถเขา้ ถงึ แหล่งข้อมลู ต่าง ๆ ได้อยา่ ง สะดวกและมีประสิทธภิ าพสนับสนนุ ส่งิ แวดล้อมทางการเรยี นท่เี ชื่อมโยงสิ่งทเ่ี รยี นกบั ปญั หาท่พี บใน ความเปน็ จริง โดยเนน้ ให้เกิดการเรยี นรู้ตามบริบทในโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ (Contextualization) และการเรียนรูจ้ ากปญั หา ( Problem – Based Learning) ตามแนวคิดแบบ Constructivism
19 4. การสอนบนเวบ็ เป็นวิธกี ารเรยี นการสอนท่มี ศี ักยภาพ เนื่องจากที่เว็บไดก้ ลายเป็นแหลง่ ค้นควา้ ขอ้ มลู ทางวิชาการรูปแบบใหมค่ รอบคลุมสารสนเทศท่ัวโลก โดยไมจ่ ากดั ภาษา การสอนบน เว็บช่วยแกป้ ัญหาของข้อจากัดของแหลง่ ค้นคว้าแบบเดมิ จากห้องสมุดอนั ไดแ้ ก่ ปญั หาทรพั ยากร การศึกษาท่มี อี ยู่จากัดและเวลาทใี่ ช้ในการค้นหาข้อมูล เน่อื งจากเว็บมขี ้อมูลท่หี ลากหลายและเปน็ จานวนมาก รวมทัง้ การทเ่ี ว็บใช้การเชอื่ มโยงในลกั ษณะของ Hypermedia (ส่ือหลายมติ ิ) ซึ่งทาให้ การค้นหาทาไดส้ ะดวกและง่ายดายกว่าการค้นหาขอ้ มูลแบบเดิม 5. การสอนบนเวบ็ จะช่วยสนบั สนนุ การเรยี นรู้ทก่ี ระตอื รือร้น ท้งั นีเ้ นอ่ื งจากคณุ ลักษณะของ เวบ็ ท่เี ออ้ื อานวยให้เกดิ การศึกษา ในลกั ษณะทผี่ ู้เรยี นถกู กระตนุ้ ใหแ้ สดงความคิดเหน็ ไดอ้ ยูต่ ลอดเวลา โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งเปดิ เผยตวั ตนที่แท้จริง ตวั อยา่ งเชน่ การใหผ้ เู้ รียนรว่ มมอื กนั ในการทากิจกรรมต่าง ๆ บนเครือขา่ ยการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคดิ เห็นและแสดงไวบ้ นเวบ็ บอรด์ หรือการใหผ้ ู้เรียน มโี อกาสเขา้ มาพบปะกบั ผเู้ รยี นคนอื่น ๆ อาจารย์ หรอื ผเู้ ช่ยี วชาญในเวลาเดยี วกันที่ห้องสนทนา เป็น ตน้ 6. การสอนบนเวบ็ เอือ้ ให้เกิดการปฏิสมั พันธ์ ซ่ึงการเปิดปฏิสัมพันธ์นอี้ าจทาได้ 2 รปู แบบ คือ ปฏิสมั พันธก์ บั ผู้เรียนด้วยกนั และ/หรอื ผสู้ อน ปฏสิ มั พนั ธ์กบั บทเรยี นในเน้ือหาหรอื สอื่ การสอนบน เว็บ ซึ่งลักษณะแรกน้จี ะอยู่ในรูปของการเขา้ ไปพดู คุยพบปะ แลกเปลีย่ น ความคดิ เหน็ กัน ส่วนใน ลกั ษณะหลงั นั้นจะอยใู่ นรปู แบบของการเรียนการสอน แบบฝกึ หัดหรอื แบบทดสอบที่ผู้สอนได้จดั หาไว้ ให้แก่ผเู้ รียน 7. การสอนบนเวบ็ ยังเปน็ การเปิดโอกาสสาหรบั ผู้เรยี นในการเขา้ ถึงผู้เชยี่ วชาญสาขาตา่ ง ๆ ทัง้ ในและนอกสถาบนั จากในประเทศและต่างประเทศท่วั โลก โดยผ้เู รยี นสามารถติดตอ่ สอบถาม ปัญหาและขอขอ้ มูลตา่ ง ๆ ท่ตี ้องการศกึ ษาจากผู้เช่ียวชาญจรงิ โดยตรงซงึ่ ไมส่ ามารถทาได้ในการ เรยี นการสอนแบบดงั้ เดิม นอกจากน้ี ยังประหยดั ทั้งเวลาและค่าใช้จา่ ยเม่อื เปรยี บเทียบกบั การ ตดิ ต่อสื่อสารในลกั ษณะเดมิ ๆ 8. การสอนบนเวบ็ เปดิ โอกาสให้ผู้เรียน ไดม้ ีโอกาสแสดงผลงานของตน สู่สายตาผู้อื่น อยา่ งงา่ ยดาย ท้งั น้ี ไมไ่ ดจ้ ากัดเฉพาะเพือ่ น ๆ ในชนั้ เรยี นหากแต่เปน็ บคุ คลท่วั ไปทั่วโลกได้ ดังนัน้ จึง ถอื เป็นการสรา้ งแรงจูงใจภายนอกในการเรียนอยา่ งหนง่ึ สาหรบั ผู้เรยี น ผู้เรยี นจะพยายามผลติ ผลงาน ที่ดเี พ่ือไม่ใหเ้ สยี ช่อื เสยี งตนเองนอกจากน้ีผู้เรยี นยงั มโี อกาสได้เห็นผลงานของผอู้ น่ื เพือ่ นามาพฒั นางาน ของตนเองให้ดียิ่งขึน้ 9. การสอนบนเวบ็ เปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรบั ปรงุ เน้ือหาหลกั สตู ร ให้ทันสมัยได้อย่าง สะดวกสบายเนือ่ งจากข้อมูลบนเวบ็ มีลกั ษณะเปน็ พลวตั ร ( Dynamic ) ดงั นัน้ ผ้สู อนสามารถอัพเดต เนอ้ื หาหลักสูตรท่ีทันสมัยแก่ผเู้ รียนไดต้ ลอดเวลา นอกจากน้กี ารใหผ้ ้เู รยี นไดส้ ือ่ สารและแสดงความ คดิ เหน็ ท่เี กย่ี วข้องกับเน้อื หา ทาให้เน้ือหาการเรยี นมีความยืดหยนุ่ มากกวา่ การเรยี นการสอนแบบเดิม และเปล่ยี นแปลงไปตามความต้องการของผเู้ รียนเป็นสาคญั การสอนบนเว็บสามารถนาเสนอเนื้อหา
20 ในรูปของมัลติมเี ดีย ได้แก่ ข้อความ ภาพนงิ่ เสียง ภาพเคลอ่ื นไหว วีดที ัศน์ ภาพ 3 มติ ิ โดยผู้สอนและ ผเู้ รียนสามารถเลอื กรูปแบบของการนาเสนอเพอื่ ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสงู สุดทางการเรียน ปรัชญนันท์ นิลสุข ( 2543 ) ได้กลา่ วถึงคุณลักษณะสาคัญ ของเวบ็ ซึ่งเอื้อประโยชนต์ ่อ การจัดการเรียนการสอน มอี ยู่ 8 ประการ ไดแ้ ก่ 1. การทเ่ี วบ็ เปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสมั พนั ธ์ ( Interactive ) ระหว่างผู้เรียนกับผสู้ อนและ ผเู้ รยี นกับผ้เู รียนหรอื ผ้เู รียนกบั เน้ือหาบทเรยี น 2. การที่เวบ็ สามารถนาเสนอเนอ้ื หาในรูปแบบของส่ือประสม ( Multimedia ) 3. การทีเ่ ว็บเป็นระบบเปดิ ( Open System ) ซ่งึ อนุญาตให้ผู้ใช้มอี ิสระในการเขา้ ถึงขอ้ มูล ได้ทั่วโลก 4. การทเ่ี ว็บอุดมไปดว้ ยทรพั ยากร เพือ่ การสืบคน้ ออนไลน์ (Online Search/Resource ) 5. ความไม่มีขอ้ จากัดทางสถานท่ีและเวลาของการสอนบนเว็บ ( Device, Distance and Time Independent ) ผู้เรยี นทม่ี คี อมพวิ เตอรใ์ นระบบใดก็ได้ ซ่ึงต่อเข้ากบั อนิ เทอรเ์ นต็ จะสามารถ เข้าเรียนจากที่ใดก็ไดใ้ นเวลาใดกไ็ ด้ 6. การทีเ่ ว็บอนุญาตให้ผู้เรียนเป็นผคู้ วบคุม (Learner Controlled) ผเู้ รียนสามารถเรียนตาม ความพรอ้ ม ความถนัดและความสนใจของตน 8. การทีเ่ วบ็ มีความสมบูรณ์ในตนเอง (Self- contained) ทาให้เราสามารถจัดกระบวนการ เรียนการสอนทั้งหมดผ่านเวบ็ ได้ การทเี่ ว็บอนุญาตใหม้ ีการติดต่อส่ือสารทั้งแบบเวลาเดียว (Synchronous Communication) เชน่ Chat และต่างเวลากนั (Asynchronous Communication) เชน่ Web Board เป็นต้น สรุปได้วา่ การเรยี นการสอนบทเรยี นออนไลน์มปี ระโยชน์มากมายหลายประการ ทั้งนี้ขนึ้ อยู่ กับจดุ ประสงคข์ องการนาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซงึ่ พอสรุปได้ดงั นี้ 1. ความรวดเร็วและผลกระทบที่มตี ่อการพัฒนาตามเป้าหมายและวัตถุประสงคข์ องการ เรยี นรู้ เพราะบทเรยี นออนไลน์ให้บริการผ่านส่ือที่ใชเ้ ทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ เปน็ หลกั จึงมีข้อ ไดเ้ ปรยี บที่สามารถนาผเู้ รยี นเขา้ สู่บทเรยี นไดอ้ ยา่ งรวดเร็วโดยผู้เรยี น ไมต่ ้องเสียเวลาในการรอเพอื่ เขา้ สู่บทเรียนนนั้ ๆ เลยนอกจากนั้น ผู้เรียนสามารถเลือกท่ีจะเข้าเรียนในบทเรียนใดก่อนหรือหลังไดด้ ้วย ตัวเองโดยทไ่ี ม่ต้องเรยี นตามลาดบั ของบทเรียนในรายวิชานั้น ซง่ึ นับเปน็ จดุ เดน่ ของการเรยี นแบบ บทเรยี นออนไลน์ 2. ความทันสมยั อยเู่ สมอของหลักสตู รการอบรม การทีผ่ ู้เรยี นสามารถเลือกบทเรยี นและ จดั ลาดบั ของการเรียนดว้ ยตนเอง ในบริการแบบบทเรยี นออนไลน์ทาให้สามารถ สนองตอบ พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของแต่ละบคุ คลไดเ้ ปน็ อย่างดี เพราะผูเ้ รยี นบางคนมพี ฤติกรรมท่จี ะเลือกเรยี น ในหัวข้อหรอื บทเรียนท่ตี นคิดว่ามีประโยชน์หรือสามารถตอบปัญหาทตี่ นสงสัย ในขณะนั้นกอ่ นแล้ว จึงเรียนบทเรยี นอน่ื ๆ ภายหลัง นอกจากนน้ั การท่ผี ู้เรียนสามารถเลือกสถานที่ เวลา และ
21 ชว่ งเวลาท่ีผู้เรียนรสู้ ึกว่าสะดวกสบาย หรือเหมาะสมตอ่ การเรียนร้ขู องตนมากท่สี ุด การเรยี นย่อม เกิดจากความเตม็ ใจและมีความกระตอื รือรน้ ทจี่ ะเรียนรู้ทาให้เกดิ สมั ฤทธิผลของการเรยี นรู้และการที่ ผู้พัฒนาระบบบทเรยี นออนไลน์ มีการปรับปรุงขอ้ มูลในบทเรียนของตนใหท้ ันสมยั อยู่เสมอจะสง่ ผล ใหผ้ เู้ รียนไดร้ บั ความรู้ทีเ่ หมาะสมกบั สถานการณ์ปัจจบุ ัน 3. เปน็ การศกึ ษาทเี่ สียตน้ ทนุ ตา่ ทัง้ นเี้ พราะผู้เรยี นสามารถเรียนจากแหล่งทมี่ กี ารเชือ่ มโยง เครือข่ายท่ีใกลก้ บั ทีพ่ ักอาศัยหรือ แหล่งทผี่ เู้ รยี นสะดวกที่สุด และสว่ นใหญ่ผ้เู รียนเสยี ค่าสมัครคร้ัง เดียว แต่สามารถเรียนบทเรียนน้นั ๆ ไดห้ ลายครัง้ ไมม่ กี ารจากดั จานวนครงั้ ทเ่ี รียน การสอบเพือ่ วัดผล ก็สามารถทาได้ จากสถานทเี่ ดียวกบั ที่เรยี น ดงั น้ัน เมื่อมองในแงข่ องการเปรียบเทียบตน้ ทนุ แหง่ คา่ เสยี โอกาส (Opportunity cost) แล้วบทเรียนออนไลน์มตี ้นทุนต่อหน่วยสาหรบั ผเู้ รียนต่ากวา่ การ เรยี นโดยปกตเิ พราะไม่มคี ่าเดินทาง ค่าท่ีพัก (ในกรณีท่ผี เู้ รียนอยู่ไกลสถานศกึ ษา) และสามารถเรยี น ในขณะทกี่ าลังทางานอยใู่ นท่ีทางานด้วยในชว่ งท่ีมเี วลาว่าง หรือนายจา้ งอนุญาต โดยไมต่ ้องทิง้ งาน เพ่ือเดนิ ทางไปเรียนในสว่ นของผ้พู ัฒนาบทเรียนเองกเ็ สยี ตน้ ทนุ ตา่ เพราะเสียตน้ ทุนในการพฒั นาครง้ั เดียวกส็ ามารถนาไปใช้งานไดห้ ลายตอ่ หลายคร้ัง โดยจะเสียค่าใช้จ่ายเพ่มิ เป็นครั้งคราว เฉพาะเพื่อ การบารงุ รกั ษาขอ้ มลู อปุ กรณท์ ่ีให้บริการและค่าใชจ้ า่ ยในการปรบั ปรงุ ข้อมลู เทา่ นนั้ ซ่งึ จะต่ากวา่ ที่ จะต้องพัฒนาบทเรยี นใหม่ทุกครัง้ ทจี่ ะใหบ้ รกิ ารอย่างเหน็ ไดช้ ัด ดังน้ันผูใ้ หบ้ รกิ ารสามารถคิดค่าบริการ ในการเรยี นในราคาไมแ่ พงนกั เพอ่ื แข่งขนั กับผ้ปู ระกอบการรายอื่น กำรทำงำนร่วมกัน 1. ควำมหมำยของกำรทำงำนรว่ มกัน การร่วมกนั ทางานของสมาชิกทม่ี ากกว่า 1 คน โดยทส่ี มาชกิ ทุกคนนั้นจะตอ้ งมเี ป้าหมาย เดียวกนั จะทาอะไรแลว้ ทกุ คนตอ้ งยอมรบั ร่วมกัน มกี ารวางแผนการทางานรว่ มกัน การทางานร่วมกนั มคี วามสาคญั ในทกุ องคก์ ร การทางานร่วมกนั เปน็ สิง่ จาเป็นสาหรับการเพ่มิ ประสิทธภิ าพและ ประสทิ ธิผลของการบรหิ ารงาน การทางานรว่ มกนั มีบทบาทสาคญั ทจี่ ะนาไปสู่ความสาเรจ็ ของงานที่ ต้องอาศัยความรว่ มมือของกลมุ่ สมาชิกเป็นอย่างดี 2. ทักษะกำรทำงำนร่วมกัน ข้นั ตอนการทางานมีหลกั การดงั น้ี 2.1 รู้จกั บทบาทหน้าทีภ่ ายในกลมุ่ ในการทางานร่วมกบั คนอ่นื นนั้ ควรรูจ้ กั หนา้ ท่ี และความรบั ผิดชอบของตนเอง 2.2 มีทกั ษะในการพูดแสดงความคิดเหน็ และอภิปรายในกลมุ่ เมอ่ื ทางานรว่ มกบั คน อื่นควรฝกึ ฝนทจ่ี ะเป็นผ้ฟู ังท่ดี ี ยอมรบั ความคดิ เห็นของคนอนื่ 2.3 มีคุณธรรมในการทางานร่วมกนั เพื่อความสขุ ในการทางานรว่ มกับผู้อ่ืน และ หลีกเลยี่ งไม่ใหเ้ กิดความขดั แย้ง
22 2.4 สรุปผลโดยการจัดทารายงาน การทางานกลมุ่ ใดๆก็ตามควรมกี ารสรุปผลออกมา อยา่ เป็นรปู ธรรม อาจอยูใ่ นรูปแบบของการจัดทารายงาน 2.5 นาเสนองาน เมอ่ื มรี ายงานออกมาอยา่ งชดั เจน เปน็ เอกสารแลว้ ควรมที ักษะในการ นาเสนองานการปฏิบตั ิงานของกลุม่ ในรปู แบบตา่ งๆ 3. องคป์ ระกอบท่ีสำคญั ในกำรทำงำนเปน็ ทมี การทางานเป็นทีมของกลุ่มใดกลุม่ หน่งึ จะมปี ระสทิ ธภิ าพนอ้ ยเพยี งใด ข้ึนอยกู่ บั ความ เหมาะสมและความสมบูรณ์ของปจั จัยต่างๆ เช่น ความเขา้ ใจในจุดมงุ่ หมายของการทางาน บทบาท ของผ้รู ่วมกลุม่ ในการทางาน การสอื่ ความหมาย การประสานงาน และการจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกนั เปน็ ต้น ปัจจยั เหล่านถ้ี อื ไดว้ า่ เป็นองคป์ ระกอบท่สี ง่ ผลต่อการทางานรว่ มกัน ซงึ่ หลกั ในการทางาน เป็นทีมท่ดี ไี ดต้ อ้ งมีองคป์ ระกอบ ดังน้ี (สุทธชิ ัย ปัญญโรจน์. ออนไลน์. 2555) 3.1 เป้าหมาย กล่าวคอื การทางานเปน็ ทมี ผู้ทางานจะต้องมีเปา้ หมายสว่ นตวั และ เปา้ หมายของทีมสอดคลอ้ งกนั เช่น การขายประกันชวี ติ บริษทั ทุกแห่งยอ่ มมเี ป้าหมายรายปี รายไตร มาส รายเดอื น นักบรหิ าร ตัวแทนหรือทีมงานกเ็ ช่นกัน ยอ่ มจะตอ้ งมเี ปา้ หมาย รายปี รายไตรมาส รายเดือน ใหส้ อดคลอ้ งกบั ของบริษัทจึงจะทาให้การทางานได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 3.2 บทบาท ของผนู้ าทีมและผู้ตาม ถ้าหากองคก์ รใดมีผู้นาทีมท่ีเกง่ และมผี ู้ตามทีเ่ ก่ง องค์กรนนั้ กจ็ ะเจรญิ กา้ วไปขา้ งหน้า ซ่ึงหลักในการทางานร่วมกนั เป็นทีมย่อมตอ้ งมคี วามขดั แยง้ กนั เปน็ ธรรมดา ผนู้ าทมี จะตอ้ งเปน็ นกั บรหิ ารความขัดแยง้ ในการทางานของทีมอาจจะตอ้ งใชข้ บวนการ ทางานโดยหาความร่วมมอื กบั ทีมงานมากขนึ้ เช่น การจดั กจิ กรรมระดมสมอง มกี ารจดั การประชุมเป็นประจา , มกี ารทากิจกรรมรว่ มกันของทมี งานเช่นการจัดการอบรม สมั มนา งานเลีย้ งสงั สรรคป์ ระจาปี เพือ่ ให้ทีมงานเกิดความผูกพันกันในทีม 3.3 กระบวนการทางาน เป็นสง่ิ ที่สาคญั ในการทางาน หากว่ามีกระบวนการทางานที่ดี เป็นระบบ เปน็ ระเบยี บ ก็จะช่วยประหยัดเวลา ประหยัดคา่ ใช้จา่ ยๆ ขององค์กรไดม้ าก เชน่ สมัยกอ่ นคนรบั จ้างแบกนา้ ขายตามหมูบ่ า้ นซึ่งเหนื่อยมาก กว่าจะไดค้ า่ แรงงาน แต่ พอมีคนจดั ระบบ น้าประปาขึ้น ทาให้เกิดความสะดวกสบาย ทาให้ใช้แรงนอ้ ยลง ดังนน้ั การแสวงหากระบวนการ ทางานจะทาให้ประหยดั ส่งิ ต่างๆ และทาให้การทางานง่ายขึ้น สาหรับในยคุ ปัจจบุ ัน เรามีเทคโนโลยีที่ ทันสมัยเข้ามาชว่ ยจึงทาใหก้ ระบวนการทางานมคี วามทันสมยั รวดเร็ว ยง่ิ ขน้ึ 3.4 ความสมั พันธร์ ะหว่างบคุ คล เป็นสิ่งที่ต้องคานึงถึงในการทางานเปน็ ทมี ความสมั พนั ธ์ในทมี งานจะต้องมีการตดิ ตอ่ สอ่ื สารกัน ต้องมกี ารเช่อื มโยงกนั ในทมี เรื่องของมนุษย์ สมั พันธ์จึงมีความสาคญั ในการทางานร่วมกัน เพราะการทางานเปน็ ทีม เราตอ้ งทางานกับคน ไมใ่ ช่ ทางานกบั เคร่ืองจกั ร 3.5 การเสรมิ สรา้ งกาลังใจ ก็เปน็ สิ่งหนึง่ ทค่ี วรตอ้ งมี เพราะคนเรามักทางานหรอื ไม่ ทางาน โดยสว่ นใหญ่แล้ว มักจะตอ้ งมแี รงกระตนุ้ ไม่ว่าจะเปน็ เงินทอง ช่ือเสยี ง เกียรติยศ ศกั ด์ิศรี
23 ฯลฯ คนที่ดแู ลองคก์ รไมว่ า่ จะเปน็ งานบุคคล ก็ควรจะมีการเสริมสรา้ งกาลังใจ โดย อาจมีรางวัลมอบ ให้เม่อื ทีมงานหรือหนว่ ยงานใดทางานได้ถงึ เปา้ หมาย อาจจะต้องจัดการแข่งขนั หากว่าองค์กรนั้นเปน็ บริษทั ทมี่ ีการแขง่ ขันในการขายสูง อาจจะต้องแบ่งคนเป็นทมี ๆ แลว้ จัดการแข่งขนั การขายขึ้น ก็จะ ชว่ ยให้เกิดการกระต้นุ การทางานได้อกี วธิ ีหน่งึ จากองค์ประกอบท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า องคป์ ระกอบท่ีมีผลต่อการทางานรว่ มกนั เป็นทีมนัน้ สมาชกิ จะตอ้ งมีการวางเป้าหมายความสาเร็จรว่ มกัน มีการแบง่ บทบาทหน้าที่กนั อย่าง ชดั เจน มีกระบวนการทางานอย่างเปน็ ระบบ การปฏิสัมพันธก์ นั ในทีมระหว่างการทางานจะทาใหม้ ี ความเข้าใจกันมากขึ้นและการให้กาลังใจซึ่งกันและกันจะเป็นแรงกระตุ้นเสรมิ สร้างกาลงั ใจ ซึ่ง องค์ประกอบเหล่านี้จะชว่ ยให้การทางานรว่ มกันประสบผลสาเร็จตามเปา้ หมายท่ีวางไว้ 4. กำรวดั กำรทำงำนเป็นทมี และเคร่ืองมอื ทใี่ ช้วัด ศจี อนนั ต์นพคุณ (2542) อา้ งถึงใน สาลนิ ี เกล้ียงเกลา (2555 : 65) กล่าวถงึ วิธีการวดั การทางานเปน็ ทีมว่าใช้วธิ ีการสารวจ ซึง่ มอี ยู่ 4 วิธี ดังน้ี 4.1 การสงั เกตการณ์ โดยสงั เกตการณ์เปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมของผปู้ ฏบิ ตั งิ านจากการ แสดงออก การฟัง การพดู สงั เกตจากการกระทา แลว้ นาขอ้ มูลท่ไี ด้จากการสงั เกตมาวิเคราะห์ 4.2 การสัมภาษณ์ เปน็ วิธกี ารวดั การทางานเป็นทมี โดยวธิ กี ารสัมภาษณ์ ซ่งึ ต้อง เผชิญหน้ากันเปน็ สว่ นตวั หรอื สนทนากันโดยตรง แลกเปลีย่ นข่าวสารและแสดงความคิดเห็นต่างๆ ด้วยวาจา 4.3 การออกแบบสอบถาม เปน็ วธิ ีท่ีนิยมกันมากโดยให้ผปู้ ฏิบตั ิงานแสดงความคิดเหน็ และแสดงความรู้สึกลงในแบบสอบถาม การสร้างคาถามต้องพิจารณาอย่างดี ตอ้ งใชส้ ่ือทีต่ ัง้ คาถาม ใหค้ รอบคลมุ วตั ถปุ ระสงคไ์ ด้ทั้งหมดและลกั ษณะของคาถามต้องใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่เี กย่ี วข้องกบั การทางาน ทีส่ มบูรณ์ครบถ้วน 4.4 การเกบ็ บนั ทึก คือ การเกบ็ ประวัตเิ กี่ยวกับการปฏิบตั งิ านแตล่ ะคน จากที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับการวัดและการประเมนิ ทักษะการทางานเปน็ ทีม สามารถสรุปไดว้ า่ การพฒั นาความสามารถในการทางานเป็นทีมรว่ มกันของผู้เรียน มคี วามเก่ียวข้อง กับการวัดผลประเมนิ ผลใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความรู้ความเขา้ ใจของผเู้ รยี นเกย่ี วกับมโนทศั น์และสาระ ของกลุ่มสัมพันธห์ รอื กระบวนการทางานเป็นทมี 2) เจตคตขิ องผเู้ รียนเกี่ยวกบั กระบวนการทางาน เปน็ ทีม 3) ทักษะหรอื ความชานาญในการกระทาหรือการดาเนนิ การดา้ นกระบวนการทางานเปน็ ทมี โดยทกั ษะทงั้ 3 ด้านน้ี คอ่ นข้างจะเปน็ ข้อมูลในเชิงปริมาณ การวัดและประเมินอาจทาในเชิง คุณลกั ษณะได้ เชน่ ผู้สอนใช้การสังเกตการณ์ร่วมงานของผู้เรียนในสถานการณต์ ่างๆ และจดบันทกึ พฤตกิ รรมของผู้เรยี นที่แสดงให้เหน็ ถงึ ความเขา้ ใจ เจตคติ และทักษะดา้ นการทางานร่วมกันกับผอู้ ่นื ซ่งึ ใชเ้ ปน็ หลกั ฐานการเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ ของผเู้ รยี นได้ นอกจากนัน้ ผสู้ อนอาจใชว้ ิธีสอบสมั ภาษณ์ ผ้เู รียน เพือ่ น และผูท้ ่ีเกี่ยวข้อง เพอื่ สอบถามถึงพฤตกิ รรมหรือการกระทาตา่ งๆ ซง่ึ ผู้เรียนอาจ
24 แสดงออกหรืออาจให้ผ้เู รยี นประเมนิ ตนเองกไ็ ด้ ขอ้ มลู เหล่านีผ้ ูส้ อนสามารถนามาใช้ในการประเมิน ความสามารถในการทางานเป็นทมี ของผ้เู รียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น 1. ควำมหมำยของผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรียน นกั วิชาการ ผู้เชีย่ วชาญด้านการศึกษา ไดใ้ หน้ ยิ ามหรอื ความหมายของผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน ดังน้ี ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2543 : 18) ได้กลา่ วว่า การวัดผลสมั ฤทธ์ิ เป็น การมองการวัดความสามารถทางการเรยี นหลังจากไดเ้ รยี นเน้อื หาของวชิ าใดวิชาหนง่ึ แล้วผเู้ รียนมี ความสามารถเรียนรูม้ ากนอ้ ยเพยี งใด นน่ั คือการวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ยึดเนื้อหาวิชาเปน็ หลกั สวุ ิทย์ มูลคา และอรทยั มูลคา (2546 : 34) ได้กล่าววา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ ความสามารถในการเรียนวิชาใดวิชาหน่ึง ซึ่งวัดได้จากความสามารถในการทาแบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธใ์ิ นวิชาน้ัน ๆ ในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ความรู้ความจา ความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การนาไปใช้ การประเมินค่า ด้านทักษะกระบวนการและเจตคติของผู้เรียนว่าบรรลุจุดมุ่งหมายของ หลักสตู รมากน้อยเพียงใด พรอ้ มกบั เป็นข้อย้อนกลบั ให้กบั ผ้สู อนได้วเิ คราะหเ์ พ่อื ปรับปรงุ การเรียนการ สอนให้มปี ระสทิ ธิภาพยง่ิ ขน้ึ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555 : 10) ได้กล่าวว่า การวัด ผลสมั ฤทธิ์เป็นการประเมินผลท่ีม่งุ เนน้ ตามสภาพจรงิ ดว้ ยการวดั และประเมินการปฏิบัติงานในสภาพ ที่เกดิ ขึ้นจรงิ หรือทใ่ี กลเ้ คยี งกบั สภาพจรงิ รวมท้ังการประเมินเกี่ยวกับสมรรถภาพของผู้เรียนเพิ่มเติม จากความรู้ท่ีได้จากการทอ่ งจา โดยใชว้ ิธีการท่ีหลากหลาย จากการท่ีผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้เผชิญ กบั ปัญหาหรอื สถานการณ์ท่เี ป็นจริง หรอื สถานการณ์จาลอง ได้แก้ปัญหา สืบค้น และนาความรู้ไปใช้ รวมทั้งแสดงออกทางการคิด ตามสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง สรปุ ได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถึง ความสามารถ ความรู้ ทกั ษะทางการเรียนท่ี ผู้เรยี นไดร้ บั จากการพฒั นาในด้านต่าง ๆ จากกระบวนการเรียนการสอน ซงึ่ สง่ ผลใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลง พฤติกรรมในการเรียนรู้ ซง่ึ สามารถวัดไดด้ ว้ ยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนท่ัวไป 2. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรียน สมบูรณ์ ตนั ยะ (2545 : 40-41) ได้กลา่ วว่าการทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของ ผู้เรยี นสามารถทาได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1. การทดสอบแบบอิงกลุ่มหรอื วดั ผลแบบองิ กลมุ่ เป็นการทดสอบหรือการวดั ท่เี กิดจาก แนวความเช่ือในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลที่วา่ ความสามารถของบุคคลใด ๆ ในเรื่องนั้นมไี ม่ เท่ากนั บางคนมีความสามารถเดน่ บางคนมีความสามารถด้อย และส่วนใหญม่ ีความสามารถปานกลาง
25 ถ้านามาเขียนจะมลี ักษณะเปน็ กราฟคลา้ ย ๆ โคง้ รปู ระฆงั หรอื ทเ่ี รยี กวา่ โค้งปกติ น่นั คือคนทีม่ ี ความสามารถสงู จะได้คะแนนสูง คนที่มีความสามารถด้อยกว่าจะได้คะแนนลดหลน่ั ลงมาจนถึงระดับต่า 2. การทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หรือการวัดผลแบบอิงเกณฑ์ เป็นการทดสอบหรอื การวัด ท่ยี ดึ ความเชอ่ื ในเรือ่ งการเรยี นรู้ กล่าวคือ ยดึ หลักว่าในการสอนนนั้ จะตอ้ งมงุ่ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทัง้ หมด ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น แม้ว่าผู้เรียนจะมีความแตกต่างกันก็ตาม แต่ทกุ คนควรไดร้ ับการสง่ เสริม ให้พัฒนาไปถึงขดี ความสามารถสงู สดุ ของตน โดยอาจใช้เวลาที่แตกต่างกนั ในแต่ละบุคคล เกณฑ์ หมายถึง กล่มุ พฤตกิ รรมทีไ่ ด้กาหนดไว้ในแตล่ ะวิชาตามจดุ ประสงคข์ องการสอนแต่ละบทหรือ แต่ละหนว่ ยการเรียนวิชานน้ั ๆ จุดมุง่ หมายของการทดสอบแบบนี้จงึ เป็นการตรวจสอบดวู ่า ใครท่ีเรียน ได้ถึงเกณฑ์ และใครเรียนไม่ถงึ เกณฑค์ วรได้รบั การปรบั ปรุงตอ่ ไป สมนกึ ภัททิยธนี (2551 : 73) ได้แบง่ ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ าง การเรยี นออกเป็น 2 ชนดิ คือ 1. แบบทดสอบที่ครสู ร้างข้ึน (teacher made test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวดั ผลสมั ฤทธขิ์ องผเู้ รยี นเฉพาะกลมุ่ ท่ีครสู อน จะไม่นาไปใชก้ บั นกั เรียนกลมุ่ อ่นื เปน็ แบบทดสอบท่ใี ช้กัน ท่วั ๆ ไปในโรงเรยี น 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) หมายถึง แบบทดสอบทมี่ ุ่งวดั ผลสมั ฤทธิ์ เช่นเดยี วกับแบบทดสอบที่ครูสร้างข้นึ แต่มีจุดมงุ่ หมายเพือ่ เปรียบเทียบคุณภาพต่าง ๆ ของนกั เรยี นที่ ต่างกลุ่มกนั เช่น เปรยี บเทยี บคุณภาพของนกั เรยี นในโรงเรยี นแหง่ หนงึ่ กับนกั เรยี นกลุ่มอน่ื ๆ ทวั่ ประเทศ (แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาต)ิ หรือกับนักเรยี นกลุม่ อน่ื ๆ ทว่ั จงั หวัด (แบบทดสอบมาตรฐาน ระดบั จังหวดั ) เปน็ ตน้ บญุ ชม ศรสี ะอาด (2554 : 53) ไดแ้ บ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธเิ์ ปน็ 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (criterion referenced test) หมายถงึ แบบทดสอบที่สร้างขึ้น ตามจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม มีคะแนนจุดตดั หรือคะแนนเกณฑ์ สาหรับใช้ตดั สินวา่ ผู้สอบมีความรู้ ตามเกณฑท์ ีก่ าหนดไว้หรือไม่ การวัดตรงตามจดุ ประสงคเ์ ปน็ หัวใจสาคัญของขอ้ สอบในแบบทดสอบ ประเภทน้ี 2. แบบทดสอบองิ กลุ่ม (norm referenced test) หมายถึง แบบทดสอบท่มี ุ่งสร้างเพ่ือ วัดใหค้ รอบคลุมหลกั สตู ร จงึ สร้างตามตารางวเิ คราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจาแนกผสู้ อบ ตามความเก่งออ่ นไดด้ ี เป็นหัวใจสาคัญของขอ้ สอบในแบบทดสอบประเภทน้ี การรายงานผลการสอบ อาศยั คะแนนมาตรฐาน ซ่ึงเปน็ คะแนนทีส่ ามารถใหค้ วามหมายแสดงถงึ สถานภาพ ความสามารถของ บคุ คลน้นั เมอื่ เปรยี บเทยี บกับบุคคลอื่น ๆ ท่ใี ชเ้ ป็นกลุ่มเปรียบเทียบ สรุปไดว้ า่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ แบ่งตามวัตถุประสงค์ในการสร้าง แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ (criterion referenced test) และแบบทดสอบองิ กลุม่ (norm
26 referenced test) แบง่ ตามขอบเขตของการใช้งาน แบ่งได้ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบท่ีครสู ร้างข้ึน (teacher made test) และแบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) 3. กำรสรำ้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ พรทิพย์ ไชยโส (2545 : 66-70) ได้กล่าวถึงขัน้ ตอนการสร้างแบบสอบ หรือแบบทดสอบ ดงั น้ี 3.1 ข้นั ตอนแรกในการสรา้ งแบบทดสอบ คอื การกาหนดวตั ถุประสงค์ของการวัดให้ ชัดเจนว่าจะวดั อะไร วดั กับใครและวัดไปทาไม ทง้ั นกี้ เ็ พอ่ื ผ้สู รา้ งแบบทดสอบจะสามารถสรา้ ง แบบทดสอบไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ ถา้ สงิ่ ทตี่ อ้ งการวดั คอื maximum performance ของผูต้ อบที่ ไดต้ ้องการใหผ้ ้ตู อบไดแ้ สดงความสามารถสูงสดุ ทีเ่ ขามี ลกั ษณะคาตอบมีจะเกณฑ์ตัดสนิ ว่าเป็นคาตอบ ถกู หรอื ผิด อย่างเด่นชัด แบบทดสอบประเภทนจ้ี ะเป็นประเภทที่เรียกว่าแบบทดสอบความสามารถ (ability test) ซึง่ ความสามารถที่ตอ้ งการวัดน้นั อาจจะเปน็ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ความถนัดทาง การเรียน ความถนดั เฉพาะด้านหรอื ความพร้อมทางการเรยี น 3.2 ขนั้ ตอนท่ีสองเปน็ ขั้นตอนสาคญั ที่ผู้สรา้ งแบบสอบต้องแปลงสง่ิ ทต่ี ้องการวดั ให้อยู่ใน รปู ของนิยามปฏบิ ัติการ (operational definition) คอื นยิ ามสง่ิ ทีต่ ้องการวัดใหม้ ีลกั ษณะเป็นพฤติกรรม ทสี่ ามารถสงั เกตได้ วดั ได้ ในกรณีของการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ผู้สร้างขอ้ สอบคือครูมคี วาม จาเป็นต้องออกขอ้ สอบให้ครอบคลมุ เนอื้ เร่อื งทคี่ รูใช้สอนในหลกั สตู รวชิ า และสอดคล้องกับเนอ้ื เร่อื งที่ กาหนดไวใ้ นหลกั สูตรการเรยี นการสอนน้นั ในขณะเดียวกันครตู อ้ งกาหนดความสาคัญของเนื้อเร่ือง โดยพิจารณาจากเวลาที่ใช้สอนว่าเร่ืองใดควรมนี า้ หนักมากน้อยอยา่ งไรในการทามาออกข้อสอบ โดยทั่วไปการออกข้อสอบครูควรทาตารางผังข้อสอบ (Test Blueprint หรือ Table of Specification) 3.3 การเขียนขอ้ สอบ ในขั้นตอนของการกาหนดวตั ถุประสงค์ในการสอบ การใหน้ ยิ าม ปฏบิ ตั ิการเกย่ี วกบั ส่ิงทวี่ ัดและการกาหนดขอบเขตของคณุ ลักษณะทีต่ ้องการวดั ทผี่ ่านมาแลว้ จะชว่ ย ให้ผู้สร้างข้อสอบเหน็ แนวทางในการกาหนดรูปแบบของข้อสอบที่จะนามาใชไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสม 3.4 ขอ้ สอบที่เขยี นข้ึนแล้วต้องตรวจสอบถึงความเหมาะสมในความสอดคลอ้ ง (consistency) ระหวา่ งคาถามที่สร้างขึน้ กับวัตถปุ ระสงคท์ ่ตี อ้ งการวดั ตลอดจนความเหมาะสม (adequacy) ของการใช้ภาษาและถ้อยคา สานวนที่ใช้และความเหมาะสมกบั กลุ่มที่จะใช้วดั การตรวจสอบเชงิ เหตผุ ล (logical review) เพ่อื ตรวจสอบคุณลักษณะดงั กล่าวของขอ้ สอบ ซึ่งอาจจะ ต้องใชผ้ ู้เช่ยี วชาญทางด้านเน้ือหาในการตรวจสอบหรอื แม้กระทงั่ การนาไปทดลองกบั กลมุ่ จานวนนอ้ ย ๆ เพื่อดูความเหมาะสมของถ้อยคา เป็นสิ่งทผ่ี ู้สร้างพึงดาเนนิ การตรวจสอบและแกไ้ ขใหเ้ หมาะสมใน ขั้นแรกก่อนทจ่ี ะนาไปทดลองใชใ้ นข้นั ต่อไป 3.5 ทดลองใช้ขอ้ สอบและการวิเคราะห์ ข้นั ตอนน้เี พ่ือทดลองใช้เคร่อื งมือท่สี รา้ งทง้ั ฉบับ
27 กับกลุม่ ตวั อยา่ งที่มีลักษณะเหมอื นกับกลุ่มเป้าหมายทจี่ ะนาแบบทดสอบไปใชจ้ ริง ทงั นเี้ พอ่ื ใชเ้ กณฑ์ เชงิ ประจกั ษ์ (empirical criteria) ในการตรวจสอบความเหมาะสมของขอ้ สอบที่สร้าง ไดแ้ ก่ ความยาก อานาจจาแนก และความเหมาะสมของตวั ลวงหรอื ตวั เลือกตา่ ง ๆ ขอ้ สอบท่มี ีความยากและอานาจ จาแนกเหมาะสม ตัวลวงมีคณุ ภาพจงึ จะเหมาะที่จะนาไปใช้เป็นเครอ่ื งมอื ในการวัดต่อไป การทดลอง ใช้แบบสอบที่สร้างขน้ึ ยังช่วยให้ผู้สร้างแบบทดสอบสามารถกาหนดเวลาในการตอบแบบทดสอบได้ เหมาะสม ตลอดจนการกาหนดคาชแี้ จงในการตอบให้ผู้ตอบได้แสดงพฤตกิ รรมในการตอบตรงกับที่ แบบสอบตอ้ งการ 3.6 การเก็บรวบรวมขอ้ สอบเข้าชุดของแบบทดสอบ ในขั้นตอนนีข้ อ้ สอบทม่ี คี วามยาก และอานาจจาแนกเหมาะสมก็จะได้รบั การคัดเลอื กเข้าชุดของแบบทดสอบ ในขณะเดียวกนั การตัด ขอ้ สอบบางขอ้ ทไี่ ม่เหมาะสมออกไปควรได้รบั การตรวจสอบดว้ ยวา่ ไม่ทาให้ความเปน็ ตัวแทนของ พฤติกรรมทีต่ อ้ งการวดั ในของเขตท่มี ุ่งศึกษาไม่ขาดหายไป จึงเปน็ การสมควรทผี่ ูส้ ร้างขอ้ สอบจะสร้าง ขอ้ สอบกอ่ นการทดลองใหม้ ากพอในแตล่ ะองค์ประกอบท่มี ่งุ วัด เพราะเมือ่ พบความไม่เหมาะสมกับ ขอ้ สอบที่จะต้องถกู ตดั ออกไปจะไมท่ าใหพ้ ฤตกิ รรมทตี่ อ้ งการวดั ส่วนนน้ั ขาดหายไป ขอ้ สอบบางข้อที่ ควรไดร้ บั การปรบั ปรุงใหม้ คี ณุ ภาพดขี น้ึ หลงั จากการวเิ คราะห์แลว้ กค็ วรได้รับการปรับปรงุ กอ่ นที่จะ นาเขา้ ในแบบทดสอบ 3.7 หลังจากการรวบรวมข้อสอบเขา้ ชุดของแบบทดสอบแล้ว การกาหนดความเปน็ มาตรฐาน (standardization) ของแบบทดสอบที่สรา้ งขนึ้ เป็นกระบวนการที่สาคัญในข้ันตอนหน่ึง ของการสร้างแบบสอบมาตรฐาน ขน้ั ตอนน้ีคือการเขยี นคมู่ ือการสอบเพอ่ื ใหก้ ารจดั ดาเนนิ การสอบ เป็นไปในรปู แบบเดียวกนั อย่างเป็นทางการ การกาหนดคาสั่ง คาชี้แจงในการตอบขอ้ สอบ การกาหนด เวลาในการสอบ นอกจากนก้ี ารกาหนดเกณฑใ์ นการให้คะแนนจะทาให้เกดิ ความเป็นปรนยั ในการให้ คะแนน สรุปได้ว่า การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ควรมีความเป็นมาตรฐานปฏิบัติตามขั้นตอน โดยเร่มิ จากการกาหนดวัตถุประสงค์ กาหนดนิยามปฏบิ ตั ิการ เพือ่ ให้แบบทดสอบมีความสอดคลอ้ ง เหมาะสม และทดลองใช้ข้อสอบ วเิ คราะห์ขอ้ สอบ เมอ่ื แบบทดสอบมีคุณภาพตามเกณฑ์ จึงจัดเขา้ ชุด และเขยี นคู่มือการใช้ งำนวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง รายงานการวิจัยท่เี กย่ี วข้องกบั การศกึ ษาในครง้ั น้ี ผู้วจิ ัยได้ทาการศกึ ษาคน้ คว้าโดยรวบรวม งานวจิ ัยในด้านต่างๆ เช่น งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้องกบั การใชบ้ ทเรียนออนไลน์ ในการจัดการเรียนการสอน ดังรายละเอยี ด ต่อไปนี้ กติ ติพงศ์ ณ นคร (2553) ได้ทาการวจิ ยั เกี่ยวกับการสรา้ งบทเรยี นออนไลน์ผา่ นระบบ การจดั การเรียนรู้บนเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน(PBL) เรอ่ื งระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
28 โดยมวี ตั ถุประสงค์ 1) เพ่อื สรา้ งบทเรียนออนไลน์ผ่านระบบการจัดการเรียนร้เู ครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (PBL) เร่ืองระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2) เพื่อหาคณุ ภาพของ บทเรยี น ออนไลน์ 3) เพ่อื ศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรยี นทเ่ี รียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ และ 4) เพื่อ ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นทมี ตี ่อบทเรยี นออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างทีใ่ ช้ในการวิจยั คอื นกั เรียน ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นไทยรัฐวทิ ยา 22 (ใต้รม่ เย็น) ภาคเรยี นท่ี 2/2553 จานวน 30 คน ผลการวจิ ยั พบว่า บทเรียนออนไลนท์ ่สี ร้างขึ้นมคี ุณภาพด้านเน้ือหาของบทเรยี นออนไลน์อยใู่ นระดบั มาก(X = 4.00, S.D. = 0.17) ผลการประเมนิ คณุ ภาพดา้ นสอื่ และนาเสนอของบทเรียนอยใู่ นระดบั มากท่สี ุด (X = 4.65, S.D. = 0.38) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนพบว่า คา่ เฉลย่ี ของคะแนน ก่อนเรียน (X = 6.80, S.D. = 1.82) และค่าเฉลย่ี ของคะแนนหลังเรียน (X = 14.83, S.D. = 0.38) มคี วามแตกต่างกันอยา่ งมี ระดบั นัยสาคญั ทางสถิติที่ .05 (t = 24.575) และผู้เรียนมีความพงึ พอใจ ต่อบทเรยี นออนไลน์อยใู่ นระ ดบั มากทส่ี ุด (X = 4.58, S.D. = 0.43) สรปุ ไดว้ า่ บทเรยี นออนไลนท์ ่ี สรา้ งขน้ึ มคี ณุ ภาพอย่ใู นระดับ ที่สดุ ชว่ ยให้ผู้เรียนมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขึน้ และมีความพึงพอใจ ในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ท่สี รา้ งข้นึ อยู่ในระดบั มากที่สดุ แสดงว่าบทเรียนออนไลนผ์ า่ นระบบ การจัดการเรยี นรู้บนเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน (PBL) เรือ่ งระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์สามารถนาไปประกอบการเรยี นการสอนได้ วิสทุ ธิพงษ์ ยอดเสาดี (2555) ไดท้ าการวิจัยเกี่ยวกบั การพฒั นาบทเรยี นออนไลน์ กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยีเรือ่ งเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพวิ เตอร์ สาหรบั นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื 1) เพ่อื สร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียน ออนไลน์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรอ่ื ง เทคโนโลยสี ารสนเทศและคอมพวิ เตอร์ สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ตามเกณฑ์ 75/75 2) เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี เรอ่ื ง เทคโนโลยี สารสนเทศและคอมพวิ เตอร์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 หลังเรยี นโดยใช้บทเรยี นออนไลน์ กับเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ และ 3) เพ่ือศึกษาความคดิ เห็นของนกั เรียนทมี่ ตี ่อการเรยี น การสอนแบบ ออนไลน์ กลุม่ สาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรอื่ งเทคโนโลยีสารสนเทศและ คอมพวิ เตอร์ สาหรับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั คือ นักเรยี นช้นั มธั ยม ศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นพลหู ลวงวิทยา สังกดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาตากเขต 1 จานวน 30 คน ผลการวิจัยพบวา่ 1. บทเรยี นออนไลน์ กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี เรอ่ื ง เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพวิ เตอร์ สาหรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 77.22/86.78 สงู กวา่ เกณฑ์ 75/75 2. นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรอื่ ง เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพวิ เตอรห์ ลังเรยี นโดยใช้บทเรียนออนไลน์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงาน อาชีพและเทคโนโลยี เรอื่ งเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่1ี สูงกวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 75 อยา่ งมรี ะดบั นยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ ระดับ .01 3. นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1
29 มคี วามคิดเห็นตอ่ การเรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์ กลุม่ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี เรอื่ งเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ สาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 อยู่ในระดบั มาก
30 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ กำรวจิ ัย การดาเนนิ การวิจัยคร้ังนีใ้ ชว้ ิธีวจิ ยั เชิงทดลอง โดยพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน วชิ า วิทยาการคานวณ โดยใช้บทเรียนออนไลน์ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2/5 โรงเรียนประโคน ชัยพทิ ยาคม ซึ่งมีรายละเอียดเก่ยี วกับวธิ ดี าเนนิ การวจิ ัยทจ่ี ะนาเสนอตามลาดบั ตอ่ ไปนี้ ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทีก่ าลงั ศกึ ษาอยู่ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 โรงเรียนประโคนชัยพทิ ยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรมั ย์ จานวน 492 คน 2. กลุ่มตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2/5 ทกี่ าลังศึกษาอยู่ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม อาเภอประโคนชยั จงั หวัดบรุ ีรัมย์ จานวน 40 คน โดยการสุ่มตวั อย่างแบบกลุม่ (Cluster Sampling) เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นกำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู คร้งั น้ี ประกอบด้วย 1. บทเรียนออนไลน์ 2. แบบประเมนิ การทางานรว่ มกนั 3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น วิชา วทิ ยาการคานวณ เป็นแบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้ กำรสรำ้ งเครอ่ื งมือ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา วิทยาการคานวณ โดยใช้บทเรียนออนไลน์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/5 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2561) มรี ายละเอียดดงั น้ี 1. กำรสรำ้ งบทเรียนออนไลน์ 1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษา รายวิชา วทิ ยาการคานวณ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เพือ่ ทาความเข้าใจเก่ียวกับมาตรฐานและตัวชี้วดั เนือ้ หาวธิ กี ารสอน และการวดั ผลประเมนิ ผล 2) ศกึ ษาเนื้อหา รายวิชา วิทยาการคานวณ ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 3) กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
31 4) สร้างบทเรียนออนไลน์ ตามเนอ้ื หาวิชาและกิจกรรมการเรยี นรู้ทก่ี าหนด โดยอาศัย หลกั การองค์ประกอบและเครือ่ งมอื สนับสนุนต่าง ๆ ของเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต 5) นาบทเรียนออนไลน์ ไปทดลองใช้กบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2/5 2. กำรสรำ้ งแบบประเมนิ กำรทำงำนรว่ มกนั ศกึ ษาวธิ กี ารสรา้ งแบบประเมนิ การทางานรว่ มกนั 3. กำรสร้ำงแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น ศกึ ษาวิธกี ารสรา้ งแบบทดสอบและสร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์การเรียนรู้ เป็น แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ 4. กำรสรำ้ งแบบสอบถำมควำมพึงพอใจ 1) ศึกษาวธิ กี ารสรา้ งแบบสอบถามความพงึ พอใจ โดยใช้ทฤษฎีของ Likert แล้วจึง ออกแบบประเมินความพึงพอใจสาหรับกล่มุ ตวั อยา่ ง ซึ่งไดก้ าหนดระดับความพึงพอใจไว้ 5 ระดับ ดังน้ี ระดบั 5 หมายถึง มากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง มาก ระดบั 3 หมายถึง ปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง นอ้ ย ระดับ 1 หมายถึง น้อยที่สุด นาคะแนนรวมทไ่ี ด้มาหาคา่ เฉลี่ย โดยใช้เกณฑต์ ัดสนิ เฉล่ยี ดงั น้ี 4.50 - 5.00 หมายความว่า มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ 3.50 - 4.49 หมายความว่า มีความพงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก 2.50 - 3.49 หมายความวา่ มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายความว่า มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั นอ้ ย 1.00 - 1.49 หมายความว่า มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั นอ้ ยท่ีสดุ 2) สรา้ งแบบประเมินความพงึ พอใจ กำรดำเนนิ กำรศกึ ษำ 1. ทดสอบกอ่ นเรยี น (Pretest) ผูว้ จิ ัยใหน้ กั เรียนเขา้ สู่บทเรยี นออนไลน์ที่สรา้ งด้วย google sites และทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ดว้ ย Google Forms เพ่อื วัดความรพู้ ืน้ ฐานของผูเ้ รยี น 2. นักเรียนเขา้ ไปศึกษาเนือ้ หาที่ผวู้ ิจัยเตรยี มไว้ แล้วทางานรว่ มกันผา่ น google doc พร้อม ท้งั ส่งงานในหอ้ งเรยี นท่ีสรา้ งดว้ ย google classroom
32 3. ทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลงั จากท่ีผู้เรียนไดศ้ กึ ษาและทางานร่วมกันผา่ น google doc ในหอ้ งเรยี นทสี่ ร้างด้วย google classroom แล้ว ให้ผู้เรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธห์ิ ลงั เรียน ด้วย Google Forms เพื่อวัดความรู้ของผเู้ รียนหลังจากเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ 4. ประเมนิ ความพงึ พอใจ หลังจากเรยี นและทาแบบทดสอบหลงั เรยี นแลว้ ให้ผู้เรียนทา แบบประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ การเรียนรูผ้ ่าน Google Forms กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั คือ ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562 โดยดาเนนิ การและ เก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างวันท่ี 5 พฤศจิกายน 2562 - 4 กมุ ภาพันธ์ 2563 จานวน 14 ชว่ั โมง มีรายละเอยี ด ดงั น้ี ตำรำงท่ี 1 แสดงระยะเวลาในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วนั เดอื น ปี กจิ กรรม หมำยเหตุ บันทกึ คะแนน 5 พ.ย. 2562 - นักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน วชิ า วทิ ยาการคานวณ เป็นแบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ข้อ - นักเรยี นเขา้ ไปศึกษาเนอ้ื หาและทางานร่วมกนั ในบทเรยี น ออนไลน์ ผา่ น google doc 12 พ.ย. 2562 - นักเรียนเขา้ ไปศึกษาเนอ้ื หาและทางานรว่ มกันในบทเรยี น ออนไลน์ ผ่าน google doc 19 พ.ย. 2562 - นกั เรยี นเขา้ ไปศกึ ษาเนอ้ื หาและทางานร่วมกันในบทเรียน ออนไลน์ ผา่ น google doc 26 พ.ย. 2562 - นกั เรียนเขา้ ไปศึกษาเนอ้ื หาและทางานร่วมกันในบทเรียน ออนไลน์ ผ่าน google doc 3 ธ.ค. 2562 - นักเรยี นเข้าไปศึกษาเนื้อหาและทางานรว่ มกนั ในบทเรยี น ออนไลน์ ผ่าน google doc 10 ธ.ค. 2562 - นักเรียนเข้าไปศกึ ษาเนื้อหาและทางานรว่ มกันในเวบ็ ไซต์ google site ผา่ น google doc 17 ธ.ค. 2562 - นักเรียนเขา้ ไปศกึ ษาเนอ้ื หาและทางานรว่ มกันในบทเรยี น ออนไลน์ ผา่ น google doc 24 ธ.ค. 2562 - นักเรียนเขา้ ไปศกึ ษาเนื้อหาและทางานรว่ มกนั ในบทเรียน ออนไลน์ ผ่าน google doc
33 วนั เดอื น ปี กจิ กรรม หมำยเหตุ 31 ธ.ค. 2562 7 ม.ค. 2563 - นักเรียนเขา้ ไปศกึ ษาเน้อื หาและทางานรว่ มกนั ในบทเรยี น 14 ม.ค. 2563 21 ม.ค. 2563 ออนไลน์ ผ่าน google doc 28 ม.ค. 2563 4 ก.พ. 2563 - นักเรยี นเข้าไปศึกษาเน้อื หาและทางานรว่ มกันในบทเรยี น ออนไลน์ ผา่ น google doc - นกั เรียนเขา้ ไปศกึ ษาเนือ้ หาและทางานรว่ มกันในบทเรียน ออนไลน์ ผ่าน google doc - นกั เรียนเข้าไปศึกษาเน้ือหาและทางานร่วมกนั ในบทเรียน ออนไลน์ ผ่าน google doc - นักเรียนเข้าไปศึกษาเนอื้ หาและทางานร่วมกนั ในบทเรยี น ออนไลน์ ผา่ น google doc - นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี น วชิ า วทิ ยาการคานวณ บันทกึ คะแนน เปน็ แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้ - ทาแบบประเมนิ ความพึงพอใจต่อการเรียนดว้ ย Google Forms กำรวิเครำะห์ข้อมลู การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์คะแนนวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กอ่ นเรียนและคะแนนวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี โดย ใช้ค่าเฉล่ีย ร้อยละ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และผลการประเมินการทางานร่วมกัน โดยใช้ คา่ เฉลยี่ ร้อยละ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถติ ิทีใ่ ชใ้ นกำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. รอ้ ยละ (Percentage) โดยใชส้ ูตรดังน้ี (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2555 : 260) P= เมอ่ื P แทน ร้อยละ F แทน ความถ่หี รอื คะแนนที่ตอ้ งการแปลงใหเ้ ป็นรอ้ ยละ N แทน จานวนความถท่ี ้ังหมดหรอื คะแนนเตม็ 2. คา่ เฉลย่ี (Mean) ของคะแนน โดยใชส้ ูตรดงั นี้ (สมนกึ ภัททิยธน.ี 2555 : 237) x̅ = ∑x N เมอ่ื x̅ แทน ค่าเฉล่ีย ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด N แทน จานวนคนทง้ั หมด
34 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังน้ี (สมนึก ภทั ทิยธน.ี 2555 : 249) S.D. = เมอ่ื S.D แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของแต่ละคน N แทน จานวนคนทัง้ หมด แทน ผลรวม
35 บทที่ 4 ผลกำรวิเครำะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดาเนินการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา วิทยาการ คานวณ โดยใช้บทเรยี นออนไลน์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ไดด้ าเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล เพอ่ื นาผลทีไ่ ดม้ าวิเคราะห์ข้อมูล โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ จากการให้นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2/5 ทดลองเรียนดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ วิชา วิทยาการ คานวณ มีผลการเปรียบเทียบผลตา่ งทีไ่ ดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลังเรียนกบั ผลท่ีได้จากการทา แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ดังนี้ ตำรำงที่ 2 แสดงผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2/5 ท่ี ช่ือ – สกลุ คะแนนแบบทดสอบ ผลต่ำงระหวำ่ ง ก่อน หลัง คะแนน 1 เด็กชาย กันตธีร์ ขจรภยั 15 16 1 2 เด็กชาย ชชั ชล ปะกาเร 13 17 4 3 เดก็ ชาย ธนกฤต พรหมเอาะ 14 14 0 4 เดก็ ชาย ธรรมชาติ ไชยอินทร์ 11 16 5 5 เด็กชาย ธรรมธัช ชัยวิเศษ 13 16 3 6 เด็กชาย ธาดา เพ็งประโคน 16 16 0 7 เด็กชาย ปฏิภัทร พลวัน 12 17 5 8 เด็กชาย ภูตะวนั ไชยปลดั 9 15 6 9 เดก็ ชาย ภูริพฒั น์ พนัดรมั ย์ 17 18 1 10 เด็กชาย สทิ ธินันท์ ดที วี 13 13 0 11 เด็กชาย อินทนนท์ เงินขาว 13 14 1 12 เดก็ หญงิ กีรติกานต์ บุบผารัตน์ 16 19 3 13 เด็กหญิง กุลธิดา อสุ า่ ห์รัมย์ 14 14 0 14 เด็กหญิง ขวญั จริ า เสง่ียมศกั ดิ์ 13 15 2
36 ท่ี ช่ือ – สกลุ คะแนนแบบทดสอบ ผลต่ำงระหวำ่ ง ก่อน หลงั คะแนน 15 เดก็ หญงิ ชณัญพร ยามประโคน 14 18 4 16 เดก็ หญงิ ณปภา เพิ่มพนู 12 17 5 17 เด็กหญิง ณัฏฐ์กฤตา วฒั นะภัทร์ 16 16 0 18 เด็กหญิง ณัฐธิชา อนนั ต์ 16 18 2 19 เด็กหญงิ ธรี ์กานต์ สงิ ห์รมั ย์ 13 17 4 20 เด็กหญิง นงนภสั รอยประโคน 16 18 2 21 เดก็ หญิง นันทพร พิมพา 12 15 3 22 เด็กหญงิ นาลิน สวดประโคน 12 18 6 23 เดก็ หญงิ นิภาพรรณ การกระสงั 9 11 2 24 เดก็ หญงิ ปาลินี สายบตุ ร 15 17 2 25 เดก็ หญงิ พมิ พกิ า ธระเสนา 10 14 4 26 เด็กหญงิ พรี ยา จานิล 13 18 5 27 เด็กหญิง แพรวา ทรงประโคน 9 16 7 28 เด็กหญิง ภัชรภี รณ์ ชาญประโคน 16 18 2 29 เดก็ หญิง วาสติ า หาญเช่ียว 14 16 2 30 เดก็ หญงิ ศศิธร ชัยมาสขุ 13 15 2 31 เด็กหญิง ศริ ิวรรณ ผลพันธ์ุ 15 15 0 32 เด็กหญิง ศุกลภัทร ดาวรีรัมย์ 9 13 4 33 เด็กหญิง สิริยานลิ อินพิทกั ษ์ 17 18 1 34 เด็กหญงิ สณุ สิ า บษุ มงคล 10 16 6 35 เด็กหญิง อัมพชุ นาฏ ปฐวีขจรไชยกลุ 16 17 1 36 เดก็ หญงิ อัยรดา ก่มิ พะเก้า 13 16 3 37 เด็กหญงิ อสิ รยี ์ ภวนาคโสภณ 12 13 1 38 เด็กหญงิ จุฑาภรณ์ สหนุ าลุ 15 16 1 39 เดก็ หญิง พจรี จติ พรหมเอาะ 16 18 2 40 เด็กชาย เมธสั พรมดว้ ง 13 16 3 535 640 รวม 13.38 16.00 คำ่ เฉลยี่ 66.88 80.00 รอ้ ยละ 2.32 1.78 สว่ นเบ่ียงเบนมำตรฐำน
37 จากตารางที่ 2 ผลการศึกษาพบวา่ ผลทไี่ ด้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ซ่ึงมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/5 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉล่ียได้ 13.38 คิดเปน็ ร้อยละ 66.88 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.32 และผลทไ่ี ด้จากการทาแบบทดสอบหลัง เรยี นซงึ่ มีคะแนนเตม็ 20 คะแนนเท่ากนั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2/5 สามารถทาคะแนนเฉล่ีย ได้ 16.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.78 ผลปรากฏว่าคะแนนหลัง เรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี น ผลกำรประเมนิ กำรทำงำนร่วมกนั จากการใหน้ ักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/5 จานวน 40 คน ท่ีกาลังศึกษาอยู่ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรยี นประโคนชยั พิทยาคม ทดลองเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการ คานวณ สามารถสรปุ ผลการประเมินการทางานรว่ มกนั ได้ ดังน้ี ตำรำงที่ 3 แสดงผลการประเมนิ การทางานร่วมกัน ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 2/5 ท่ีจัดการ เรียนการสอนดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ หัวข้อกำรประเมนิ x̅ S.D. สรุป 1. สมาชิกในกลุม่ มีส่วนร่วมในการกาหนดเปา้ หมายในการ 0.89 มาก ทางานร่วมกนั 4.35 2. มกี ารแบ่งหน้าท่กี ารทางานเหมาะสมและตรงความสามารถ 0.50 มาก ของสมาชกิ 4.40 3. สมาชิกในกลุ่มมกี ารทางานร่วมกันอยา่ งเป็นขั้นตอน 0.76 มาก 4. สมาชกิ ในกลุ่มมคี วามรับผิดชอบในหนา้ ท่ที ไี่ ด้รับมอบหมาย 4.20 0.68 มากที่สดุ 5. สมาชิกในกลมุ่ ได้ใช้ทกั ษะความสามารถในการทางานได้ 4.53 0.48 มากทส่ี ดุ อยา่ งเต็มท่ี 4.65 6. สมาชกิ ทกุ คนในกลมุ่ สามารถปฏิบัติงานไดส้ าเร็จตาม 0.49 มาก เปา้ หมาย 4.38 7. สมาชิกในกลุ่มมีการแลกเปลย่ี นเรยี นร้รู ่วมกนั 0.51 มากทส่ี ุด 8. สมาชิกในกลมุ่ มีการปฏิสัมพันธอ์ ย่างเปน็ กันเอง 4.50 0.50 มากที่สดุ 9. สมาชกิ ในกลมุ่ ยอมรับฟงั ความคิดเห็นซึ่งกนั และกนั 4.58 0.68 10. สมาชิกในกลุ่มยอมรับความผิดพลาดของเพอื่ รว่ มทมี 4.43 0.72 มาก 4.30 0.62 มาก เฉลยี่ 4.43 มำก
38 จากตารางท่ี 3 ผลการศกึ ษาพบว่า ผลการประเมินการทางานร่วมกัน ของนักเรียน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2/5 ที่จัดการเรยี นการสอนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ มีคา่ เฉลี่ย เท่ากับ 4.43 และ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน เท่ากบั 0.62 เม่ือนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้กาหนดไว้พบว่าอยู่ในเกณฑ์ มาก ผลกำรประเมินควำมพึงพอใจ จากการทดลองโดยให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 จานวน 40 คน กาลังศึกษาในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ทาแบบประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อ การเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ วชิ า วิทยาการคานวณ สามารถสรุปผลการประเมนิ ได้ดังนี้ ตำรำงที่ 4 สรปุ ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ การเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ วชิ า วทิ ยาการคานวณ โดยนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2/5 รำยกำรที่ประเมิน x̅ S.D. สรุป 1. ด้ำนเน้อื หำและกำรดำเนนิ เร่ือง 1.1 ปริมาณของเนือ้ หาเหมาะสมกับวัยของผู้เรยี น 4.45 0.68 มาก 1.2 ความชัดเจนในการอธบิ ายเน้ือหา 4.35 0.70 มาก 1.3 ความนา่ สนใจในการดาเนนิ เรื่อง 4.33 0.66 มาก 2. ดำ้ นรปู ภำพ และภำษำ 2.1 ขนาดของภาพท่ีใช้ประกอบบทเรียน 4.40 0.59 มาก 2.2 รปู ภาพท่ีใช้ประกอบบทเรียน 4.45 0.50 มาก 2.3 ภาพเคลือ่ นไหวทใี่ ชป้ ระกอบบทเรยี น 4.25 0.71 มาก 2.4 ภาพกราฟกิ ท่ใี ชป้ ระกอบบทเรยี น 4.28 0.64 มาก 2.5 ความเข้าใจเกี่ยวกบั ภาษาท่ีใช้ในบทเรียน 4.33 0.62 มาก 3. ดำ้ นตัวอักษร และสี 3.1 รูปแบบของตัวอักษรทีใ่ ช้ 4.58 0.50 มากทสี่ ดุ 3.2 ขนาดของตัวอกั ษร และพน้ื หลังของบทเรียน 4.53 0.51 มากทส่ี ุด 4. ด้ำนแบบทดสอบ 4.1 แบบทดสอบมีความสอดคลอ้ งกับบทเรียน 4.53 0.51 มากทส่ี ุด 4.2 ความเหมาะสมของจานวนแบบทดสอบ 4.55 0.50 มากทส่ี ดุ 4.3 ความเหมาะสมของคาถามตอ่ เน้ือหา 4.30 0.46 4.4 ความรวดเร็วในการรายงานผลคะแนน 4.53 0.51 มาก มากที่สุด
39 รำยกำรท่ีประเมิน x̅ S.D. สรุป 5. ด้ำนกำรจัดกำรบทเรยี น มากทสี่ ุด มากที่สุด 5.1 การใชง้ านของบทเรียน ง่าย และสะดวก 4.58 0.55 มากทส่ี ุด 5.2 บทเรยี นมีความนา่ สนใจ 4.60 0.59 มาก มำก 5.3 หลังจากศึกษาจบบทเรยี นแลว้ ผเู้ รยี นมคี วามรูเ้ พ่ิมข้นึ 4.50 0.59 5.4 นาความร้ทู ่ไี ดไ้ ปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน 4.23 0.70 เฉล่ีย 4.43 0.58 จากตารางท่ี 4 ผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า ข้อคาถามที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ บทเรียนมีความน่าสนใจ มีคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.60 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.59 รองลงมาคือข้อคาถาม รปู แบบของตัวอกั ษรทใี่ ช้ มีคะแนนเฉล่ียเทา่ กับ 4.58 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.50 และการใช้งานของบทเรียน ง่าย และสะดวก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.55 ส่วนข้อคาถามท่ีมีคะแนนความพึงพอใจต่าสุด คือ นาความรู้ท่ีได้ไป ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.23 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 และมีค่าเฉลี่ยรวมทุกรายการ เท่ากับ 4.43 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.58 เม่ือนามา เปรียบเทียบเกณฑ์ทไ่ี ด้กาหนดไวพ้ บวา่ อยู่ในเกณฑม์ าก
บทท่ี 5 สรปุ ผลกำรวจิ ัย และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชา วิทยาการคานวณ โดยใช้ บทเรียนออนไลน์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอ ประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2/5 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 ท่ีเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ เพื่อ สง่ เสริมทกั ษะการทางานร่วมกัน และเพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/5 ทีม่ ตี อ่ บทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ จานวน 40 คน สรุปผลกำรวจิ ยั จากการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชา วิทยาการคานวณ โดยใช้บทเรียน ออนไลน์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ได้ผลดังนี้ ด้าน ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นก่อนเรียนและหลงั เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ วชิ า วทิ ยาการคานวณ สาหรับ นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2/5 จานวน 40 คน ผลทไี่ ด้จากการทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ซ่ึงมีคะแนน เต็ม 20 คะแนน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/5 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 13.38 คิดเป็นร้อยละ 66.88 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.32 และผลที่ได้จากการทา แบบทดสอบหลังเรียนซึ่งมีคะแนนเต็ม 20 คะแนนเท่ากัน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 16.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.78 ผล ปรากฏว่าคะแนนหลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรียน ด้านการทางานร่วมกันของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/5 มีผลการประเมินการทางาน ร่วมกัน ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2/5 ที่จัดการเรียนการสอนด้วยบทเรียนออนไลน์ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.43 และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 0.62 เม่ือนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้กาหนดไว้ พบวา่ อยใู่ นเกณฑม์ าก สว่ นในด้านผลการประเมินความพึงพอใจต่อบทเรียน พบว่า ข้อคาถามท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุดคือ บทเรียนมีความน่าสนใจ มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 4.60 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.59 รองลงมาคือข้อคาถาม รูปแบบของตัวอักษรทีใ่ ช้ มคี ะแนนเฉลี่ยเทา่ กับ 4.58 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.50 และการใช้งานของบทเรียน ง่าย และสะดวก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ส่วน
41 เบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.55 ส่วนข้อคาถามท่ีมีคะแนนความพึงพอใจต่าสุด คือ นาความรู้ที่ได้ไป ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.23 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 และมีค่าเฉล่ียรวมทุกรายการ เท่ากับ 4.43 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.58 เม่ือนามา เปรยี บเทียบเกณฑท์ ่ีได้กาหนดไวพ้ บว่าอยู่ในเกณฑ์มาก ดงั นั้น จะเห็นได้ว่าการเรียนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ วิชา วิทยาการคานวณ สาหรับนักเรียน ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2/5 ทาให้ผเู้ รยี นมีการศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง มกี ารปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันภายใน กลุ่ม มีทักษะในการทางานร่วมกัน และมีทักษะในการใช้เทคโนโลยี จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของผู้เรยี นสงู ข้นึ ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรมกี ารใช้บทเรยี นออนไลน์ ในรายวิชาอน่ื ๆ ดว้ ย 2. ควรมกี ารนารูปแบบการเรียนการสอนอ่นื ๆ มารว่ มกับบทเรยี นออนไลน์
42 บรรณำนุกรม กติ ตพิ งศ์ ณ นคร. (2553). กำรสร้ำงบทเรียนออนไลนผ์ ำ่ นระบบกำรจดั กำรเรยี นรบู้ นเครอื ข่ำย อินเทอร์เน็ต โดยใช้ปญั หำเปน็ ฐำน(PBL) เรอื่ งระบบเครอื ข่ำยคอมพิวเตอร์. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าครศุ าสตรเ์ ทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี. บุญชม ศรีสะอาด. (2554). กำรวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งท่ี 9). กรงุ เทพฯ : สุรีวทิ ยาสาสน์ . พรทพิ ย์ ไชยโส. (2545). เอกสำรคำสอนวชิ ำ 153521 หลักกำรวัดและกำรประเมนิ ผลกำรศึกษำ ข้นั สงู . กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ รสรนิ พมิ ลบรรยงก.์ (2551). ระบบกำรสอนและกำรฝึกอบรม : กำรออกแบบ กำรพัฒนำและ กำรนำไปใช.้ นครราชสมี า : โปรแกรมวชิ าเทคโนโลยแี ละสือ่ สารการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า. โรงเรียนประโคนชยั พิทยาคม. (2561). หลักสตู รสถำนศกึ ษำโรงเรยี นประโคนชัยพทิ ยำคม พทุ ธศักรำช 2561. ล้วน สายยศและองั คณา สายยศ. (2543). เทคนิคกำรวจิ ัยทำงกำรศึกษำ. พิมพ์คร้งั ที่ 3. กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาส์น. วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วิถสี รำ้ งกำรเรียนร้เู พื่อศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี 21. พมิ พ์คร้ังที่ 1. กรงุ เทพฯ : มูลนิธสิ ดศรี-สฤษวงศ.์ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555 ก). กำรวัดผลประเมินผลคณิตศำสตร์. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชนั . สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2560). คมู่ อื กำรใชห้ ลกั สูตรรำยวิชำพ้นื ฐำน วทิ ยำศำสตร.์ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. สานักแผนและประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา. (ม.ป.ป.). กำรให้กำรศกึ ษำสำหรับศตวรรษท่ี 21. [ออนไลน]์ . แหล่งที่มา : www.ptu.ac.th/quality/data/levyp1.pdf [ 20 กรกฎาคม 2562]. สมนึก ภทั ทิยธน.ี (2551). กำรวดั ผลกำรศึกษำ. พิมพค์ รัง้ ที่ 5. กาฬสินธ์ุ : ประสานการพมิ พ์. สมบรู ณ์ ตนั ยะ. (2545). กำรประเมินทำงกำรศึกษำ. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาล์น. สุวทิ ย์ มูลคา และอรทัย มูลคา. (2546). 19 วธิ ีจัดกำรเรยี นรู้ : เพื่อพัฒนำควำมรแู้ ละทักษะ. กรงุ เทพฯ : ภาพพมิ พ์
ภำคผนวก
Search