รายงานวิจยั ในชัน้ เรียน การใช้ Google Apps ในการจดั การเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพอื่ สง่ เสรมิ การทางานร่วมกนั สาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3/4 โรงเรียนประโคนชัยพทิ ยาคม อาเภอประโคนชยั จังหวัดบรุ ีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2/2561 นางฐติ ิยาภรณ์ ทวี ตาแหนง่ ครู โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 32 สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
ช่อื เร่อื ง การใช้ Google Apps ในการจดั การเรยี นการสอน วิชา การงานอาชีพและ เทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสรมิ การทางานร่วมกัน สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 ชอ่ื ผู้วิจยั โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบรุ ีรัมย์ สถานศึกษา นางฐติ ิยาภรณ์ ทวี ปกี ารศกึ ษา โรงเรยี นประโคนชยั พทิ ยาคม 2561 บทคดั ย่อ การวจิ ัยครง้ั นม้ี ีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื 1) เพอ่ื ใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 2) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 ท่ีเรียนโดยใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 3) เพื่อส่งเสริม ทกั ษะการทางานร่วมกนั และ 4) เพอื่ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/4 ท่ีมีต่อ การใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 กลุ่ม ตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3/4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรียนประโคนชัย พิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ จานวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) Google Apps 2) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ 3) แบบประเมนิ การทางานรว่ มกนั และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของ ผู้เรยี นท่มี ีต่อการเรียนด้วย Google Apps สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉล่ีย ร้อยละ และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย Google Apps วชิ า การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/3 จานวน 39 คน ผลทีไ่ ด้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ซึ่งมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6/3 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 14.73 คิด เป็นร้อยละ 75.51 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.04 และผลที่ได้จากการทาแบบทดสอบหลัง เรยี นซ่ึงมคี ะแนนเตม็ 20 คะแนนเท่ากัน นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 สามารถทาคะแนนเฉลี่ย ได้ 17.35 คิดเป็นร้อยละ 88.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.41 ผลปรากฏว่าคะแนนหลัง เรยี นสงู กว่าก่อนเรยี น ดา้ นการทางานร่วมกันของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3/4 มีผลการประเมิน การทางานรว่ มกัน ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 ที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้ Google Apps มีค่าเฉลี่ย เทา่ กับ 4.24 และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 0.66 เมอื่ นามาเปรียบเทียบเกณฑ์ท่ีได้ กาหนดไว้พบว่าอยู่ในเกณฑ์มาก ส่วนด้านผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/4 มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชีพและ (1)
เทคโนโลยี 6 เพ่ือส่งเสริมการทางานร่วมกัน เท่ากับ 4.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.67 เมื่อนามาเปรยี บเทียบเกณฑท์ ี่ได้กาหนดไวพ้ บวา่ อยใู่ นเกณฑ์มาก (2)
กติ ติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วชิ า การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพื่อสง่ เสรมิ การทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี 3/4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เล่มน้ี สาเร็จสมบูรณ์ได้ด้วย ความกรุณาเป็นอย่างดีย่ิงจาก นายชานาญ บุญวงศ์ ผู้อานวยการโรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ที่ได้ให้ คาแนะนาและใหค้ าปรกึ ษา ผู้วจิ ยั รสู้ กึ ซาบซง้ึ และขอขอบพระคณุ เปน็ อย่างสงู ขอขอบคณุ คณะครู กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรียนประโคนชัย พิทยาคมทุกท่าน ทีใ่ ห้การสนับสนุน ให้กาลังใจในการจดั ทารายงานวจิ ยั ในชน้ั เรียนเล่มน้ี คณุ คา่ และประโยชน์ของรายงานวิจัยในช้ันเรียนเล่มน้ี ขอมอบเป็น เครื่องบูชาพระคุณบิดา มารดา และครูอาจารยท์ ุกท่านที่ได้อบรมสง่ั สอน ประสทิ ธป์ิ ระสาทความรูแ้ ก่ผู้วจิ ัย ฐิติยาภรณ์ ทวี 19 มนี าคม 2562 (3)
สารบัญ หนา้ (1) บทคดั ยอ่ (2) กติ ตกิ รรมประกาศ (3) สารบญั (5) สารบญั ตาราง 1 บทท่ี 1 บทนา 1 3 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 3 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 3 สมมตุ ิฐานของการวจิ ยั 3 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รบั 4 ขอบเขตของการวิจยั 5 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 5 บทท่ี 2 เอกสารเกีย่ วขอ้ ง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระ 7 การเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี 17 Google Apps 20 การทางานรว่ มกนั 24 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 26 งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง 26 บทท่ี 3 วิธีดาเนนิ การวจิ ัย 26 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 26 เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู 27 การสร้างเครอ่ื งมือ 28 การดาเนินการศึกษา 29 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 29 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 31 สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล (4)
สารบัญ (ตอ่ ) หน้า 36 บทที่ 5 สรุปผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ 36 สรุปผลการวิจยั 37 ข้อเสนอแนะ 38 39 บรรณานกุ รม 40 ภาคผนวก 44 49 Google Apps 51 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน แบบประเมนิ การทางานรว่ มกนั แบบสอบถามความพงึ พอใจของผเู้ รยี น (5)
สารบญั ตาราง หน้า 28 ตารางท่ี 31 1 แสดงระยะเวลาในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 2 แสดงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 33 ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/4 3 แสดงผลประเมินการทางานรว่ มกนั วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 34 ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 4 สรุปผลการประเมินความพงึ พอใจต่อการเรยี นด้วย Google Apps วชิ า การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 โดยนกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3/4 (6)
บทท่ี 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำ การให้การศึกษาสาหรับศตวรรษท่ี 21 จะมีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ ท้าทาย และซับซ้อน เป็นการศึกษาท่ีจะทาให้โลกเกิดการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเต็มไปด้วยส่ิงท้าทาย ลักษณะของ หลกั สูตรในศตวรรษท่ี 21 จะเป็นหลักสูตรท่ีเน้นคุณลักษณะเชิงวิพากษ์ (critical attributes) เชิงสห วิทยาการ (interdisciplinary) ยึดโครงงานเป็นฐาน (project-based) และขับเคล่ือนด้วยการวิจัย (research-driven) เช่ือมโยงท้องถ่ินชุมชนเข้ากับภาค ประเทศ และโลก ในบางโอกาสนักเรียน สามารถรว่ มมอื (collaboration) กบั โครงงานต่างๆ ไดท้ ว่ั โลก เปน็ หลักสูตรท่ีเน้นทักษะการคิดขั้นสูง พหุปัญญา เทคโนโลยีและมัลติมีเดีย ความรู้พ้ืนฐานเชิงพหุศตวรรษที่ 21 และการประเมินผลตาม สภาพจรงิ ทักษะทค่ี าดหวงั สาหรบั ศตวรรษที่ 21 ท่เี รยี นรผู้ ่านหลักสูตรที่เป็นสหวิทยาการ บูรณาการ ยึดโครงงานเป็นฐานและอนื่ ๆ ดงั กล่าวจะเน้นเรื่อง 1) ทกั ษะการเรยี นรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะชีวิต และอาชีพ 3) ทกั ษะสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี ท่คี าดหวงั ว่าจะเกดิ ขึ้นได้จากความร่วมมือ ในการ ทางานเปน็ ทมี การคิดเชงิ วพิ ากษ์ ในปัญหาท่ีซับซ้อน การนาเสนอด้วยวาจาและด้วยการเขียน การใช้ เทคโนโลยี ความเป็นพลเมืองดี การฝึกปฏิบัติอาชีพ การวิจัย และการปฏิบัติสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา ข้างตน้ (สานักแผนและประกนั คณุ ภาพการศึกษา. ม.ป.ป. : 1) หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน ทุกคน ซึง่ เปน็ กาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทางด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึก เปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมขุ มคี วามรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ จึงกาหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศกึ ษา ศิลปะ การงานอาชพี และเทคโนโลยี และภาษาตา่ งประเทศ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 4-6) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมี ความรู้ ความเขา้ ใจ มีทักษะพื้นฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิต และรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลงสามารถ นาความรู้เกี่ยวกับการดารงชีวิต การอาชีพ และเทคโนโลยี มาใช้ประโยชน์ในการทางานอย่างมี ความคิดสร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทยและสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพรักการ ทางาน และมีเจตคติท่ีดีต่อการทางาน สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างพอเพียงและมีความสุข กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมเพ่ือให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะในการทางาน เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อได้อย่างมี
2 ประสิทธิภาพ โดยมีสาระสาคัญ ดังนี้ การดารงชีวิตและครอบครัว การออกแบบและเทคโนโลยี เทคโนโลยีและการสือ่ สาร และการอาชีพ (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 183) จากสภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนรายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เป็น รายวิชาทม่ี ีเนื้อหาทต่ี ้องเรียนจานวนมาก และเปน็ วชิ าพ้ืนฐานท่นี ักเรียนทกุ คนต้องเรียนเพือ่ นาความรู้ ที่ได้ไปต่อยอดการเรียนเนื้อหาคอมพิวเตอร์ในระดับท่ีสูงขึ้น ปัญหาการส่งงานไม่ตรงตามเวลาท่ี กาหนด หรอื ไม่ส่งงานของนักเรียนอย่บู อ่ ยคร้งั ซ่งึ ทาใหค้ รูไมส่ ามารถวดั ทักษะและความก้าวหน้าของ นักเรียนได้ อีกท้ังปัญหาในเร่ืองเวลาเรียนไม่เพียงพอ เนื่องจากโรงเรียนมีการจัดกิจกรรมหลายๆ กิจกรรมท่นี ักเรยี นตอ้ งเข้ารว่ ม ทาให้เวลาเรียนในห้องเรียนไม่เพียงพอตอ่ การจดั การเรียนการสอน Google Apps คอื แอปพลิเคชนั ท่ีถกู พัฒนาขึน้ มาโดย Google เพ่ือใหบ้ ริการทางด้านการ บรหิ ารจัดการภายในองค์กร ซ่ึงได้มกี ารรวมแอปพลเิ คชนั ต่างๆ ทถ่ี ือวา่ มีความจาเปน็ ตอ่ องคก์ รใน ปัจจุบนั อนั ได้แก่ Gmail เป็นการให้บริการอเี มล์ของ Google ถูกพฒั นาข้ึนมาเม่ือปี ค.ศ. 2006 โดย ในชว่ งแรกของการเปิดให้บริการจะใหบ้ รกิ ารเฉพาะบางกลมุ่ เทา่ นั้น ยังไม่มีการเปดิ ให้บรกิ ารฟรี เหมือนกับในปจั จุบัน และให้พ้นื ทีก่ ารใช้งานทีเ่ ยอะมาก ซึ่งถอื ไดว้ า่ เยอะทีส่ ุดในตอนน้นั คอื 2 GB โดย Gmail รองรบั การใชง้ านทั้ง POP3 และ IMP สามารถทางานได้ทงั้ บนเวบ็ ไซต์ http://gmail.com และ บนเครอ่ื ง PC โดยใช้โปรแกรม Mail Client เช่น Outlook,Tunderbird เป็นต้น Google Calendar เป็นโปรแกรม Calendar ออนไลนท์ างานบนเว็บไซตโ์ ดยผ้ใู ช้งานสามารถสรา้ งตารางงาน หรอื ตาราง นัดหมายงานของตัวเองได้ Google Docs นน้ั เป็นทไ่ี ด้รบั ความนิยมกนั อยา่ งแพรห่ ลายในปจั จุบัน Google Docs เป็นการนาโปรแกรมประเภท Word Processing และ Spreadsheet ไปไว้บน เวบ็ ไซต์ ผ้ใู ชง้ านสามารถสรา้ งเอกสาร Word หรือ Excel เหมอื นกับโปรแกรม Word และ Excel ของ Microsoft ได้ นอกจากนั้นยงั สามารถ Export ให้เป็นไฟล์ PDF ได้อีกด้วย โดยไฟลเ์ อกสารต่างๆ ทีเ่ ราสร้างข้ึนจะถูกเกบ็ ไว้ทีเ่ วบ็ ไซต์ของ Google Google Talk เปน็ โปรแกรมสาหรับใชส้ นทนากัน ผ่านระบบเครอื ขา่ ยอเิ ทอรเ์ น็ต เหมือนกับโปรแกรม Yahoo , MSN Google Site เปน็ บริการสร้าง หนา้ เวบ็ ไซต์ออนไลน์ ผใู้ ช้งานสามารถสรา้ งเว็บไซต์ของตัวเองขนึ้ มาใชง้ านได้ ซ่ึงจะมี Template ตา่ งๆให้เราไดเ้ ลอื ก การใช้งานก็เหมือนกับการสร้างเวบ็ บล็อกทว่ั ๆไป ข้อดีของการใชบ้ รกิ าร Google Apps นนั้ น่าจะอยูท่ ี่ความสามารถในการทางานร่วมกบั โปรแกรมต่างๆได้อย่างลงตัว เชน่ การใชง้ าน Gmail ร่วมกับ Google Docs หรอื Google Calendar นอกจากนัน้ ผู้ใช้งานผู้ใชง้ านยงั สามารถใช้ เครื่องมือต่างๆได้อยา่ งเต็มที่และยังมฟี ังก์ชัน API (Application Programming Interface) ใหเ้ รา สร้างโปรแกรมเพ่อื ใช้ตดิ ต่อกบั Google Apps ไดอ้ กี ด้วย (เพม่ิ พล โอนธรรม. ออนไลน.์ ม.ป.ป.) จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทาให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะใช้ Google Apps ในการจัดการ เรยี นการสอน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 เพ่ือสง่ เสริมการทางานร่วมกนั สาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล เพ่ือให้นักเรียนมีทักษะในการทางานร่วมกัน และมีผลสมั ฤทธิ์ในการจดั การเรยี นการสอนมีประสิทธภิ าพท่สี งู ขึน้
3 วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรวิจยั 1. เพือ่ ใช้ Google Apps ในการจัดการเรยี นการสอน วชิ า การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพอื่ ส่งเสรมิ การทางานร่วมกนั สาหรบั นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3/4 2. เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนกอ่ นและหลงั เรียนของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 3/4 ท่เี รยี นโดยใช้ Google Apps ในการจดั การเรยี นการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 3. เพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการทางานร่วมกนั 4. เพือ่ ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 ทมี่ ีตอ่ การใช้ Google Apps ในการจดั การเรยี นการสอน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 สาหรับนกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 สมมุติฐำนของกำรวิจยั 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 หลังเรียนโดยใช้ Google Apps ในการจดั การเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 สงู กวา่ ก่อนเรยี น 2. นกั เรียนมีทักษะในการทางานร่วมกัน 3. นักเรียนมีความพงึ พอใจตอ่ การเรยี นโดยใช้ Google Apps ระดบั มาก ประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะได้รับ ไดพ้ ัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 โดยใช้ Google Apps ในการจดั การเรยี นการสอน เพ่อื ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรียนสงู กวา่ กอ่ น เรยี นและนกั เรียนทกุ คนมีทักษะในการทางานรว่ มกัน ขอบเขตของกำรวจิ ัย 1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ทก่ี าลังศึกษาอยูใ่ นภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรรี ัมย์ จานวน 485 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/4 ทีก่ าลงั ศึกษาอยใู่ นภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรยี นประโคนชยั พิทยาคม อาเภอประโคนชยั จงั หวัดบุรีรัมย์ จานวน 40 คน โดยการสมุ่ ตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) 2. ตวั แปรที่ศกึ ษำในกำรวจิ ยั 2.1 ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ Google Apps 2.2 ตวั แปรตาม ได้แก่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น วชิ า การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 และทักษะการทางานร่วมกัน
4 3. เนือ้ หำทใี่ ช้ในกำรทดลอง การวจิ ัยครงั้ นใ้ี ชเ้ นอ้ื หาตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ระยะเวลำทใ่ี ช้ในกำรวิจัย ระยะเวลาทใี่ ช้ในการวิจยั คือ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2561 โดยดาเนินการและ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ระหวา่ งวนั ที่ 21 พฤศจิกายน 2561 - 26 ธนั วาคม 2561 จานวน 10 ชวั่ โมง นิยำมศพั ทเ์ ฉพำะ 1. Google Apps หมายถงึ การจดั การเรียนการสอนท่ใี ชเ้ ครื่องมือต่างๆ จาก google ท่ี สนับสนนุ การเรียนการสอนของ เชน่ การใช้งาน Google Docs สาหรับทางานร่วมกนั , Google form สาหรบั ทาแบบทดสอบ , Google site สาหรับสร้างเว็บไซต์ และ Google Classroom สาหรบั สร้างช้ันเรียน 2. ผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรียน หมายถึง คะแนนทนี่ ักเรยี นได้จากการทาแบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนทีผ่ ูว้ ิจัยสรา้ งขึ้น วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 3. กำรทำงำนรว่ มกนั หมายถงึ การร่วมกันทางานของสมาชิกท่ีมากกวา่ 1 คน โดยที่ สมาชกิ ทกุ คนนัน้ จะตอ้ งมีเปา้ หมายเดยี วกันจะทา อะไรแลว้ ทกุ คนต้องยอมรบั ร่วมกนั มีการวาง แผนการทางานร่วมกัน การทางานเป็นทีม 4. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรยี น หมายถงึ เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการวดั ความสามารถ ของนักเรยี น วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เปน็ แบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ้
5 บทที่ 2 เอกสำรที่เกยี่ วขอ้ ง การศึกษาวิจัยคร้งั นเี้ ปน็ การใช้ Google Apps ในการจดั การเรียนการสอน วิชา การงาน อาชีพและเทคโนโลยี 6 เพ่ือสง่ เสรมิ การทางานรว่ มกนั สาหรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม ผวู้ ิจัยได้ศกึ ษาค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กีย่ วขอ้ ง ดังต่อไปน้ี 1. หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี 2. Google Apps 3. การทางานร่วมกนั 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. งานวิจยั ทเี่ ก่ียวข้อง หลกั สูตรกลุ่มสำระกำรเรียนรู้กำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียน มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะพ้ืนฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิต และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถนาความรู้เกยี่ วกับการดารงชีวิต การอาชีพ และเทคโนโลยี มาใช้ประโยชน์ในการทางาน อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทยและสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทางาน และมีเจตคติท่ีดีต่อการทางาน สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างพอเพียง และมีความสุข กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี มงุ่ พฒั นาผู้เรียนแบบองค์รวม เพือ่ ให้มี ความรู้ความสามารถ มีทกั ษะในการทางาน เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศกึ ษาต่อ ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยมสี าระสาคัญ ดังนี้ 1. กำรดำรงชีวิตและครอบครัว เป็นสาระเกย่ี วกับการทางานในชีวติ ประจาวนั ช่วยเหลอื ตนเอง ครอบครัว และสงั คมได้ในสภาพเศรษฐกิจท่พี อเพียง ไมท่ าลายส่งิ แวดล้อม เน้น การปฏิบัติจรงิ จนเกดิ ความม่นั ใจและภูมิใจในผลสาเรจ็ ของงาน เพอื่ ให้คน้ พบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเอง 2. กำรออกแบบและเทคโนโลยี เปน็ สาระการเรียนร้ทู เี่ กยี่ วกบั การพัฒนาความสามารถ ของมนุษยอ์ ย่างสร้างสรรค์ โดยนาความรมู้ าใชก้ ับกระบวนการเทคโนโลยี สร้างสิง่ ของ เคร่ืองใช้ วธิ ีการ หรอื เพิ่มประสทิ ธภิ าพในการดารงชีวติ 3. เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสือ่ สำร เป็นสาระเก่ียวกับกระบวนการเทคโนโลยี สารสนเทศ การติดตอ่ สอื่ สาร การคน้ หาข้อมูล การใชข้ ้อมูลและสารสนเทศ การแกป้ ัญหาหรือ การสร้างงาน คุณค่าและผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร
6 4. กำรอำชพี เปน็ สาระทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับทกั ษะทจ่ี าเปน็ ตอ่ อาชพี เห็นความสาคญั ของ คุณธรรม จรยิ ธรรม และเจตคตทิ ่ดี ีต่ออาชีพ ใช้เทคโนโลยไี ด้เหมาะสม เหน็ คณุ คา่ ของอาชีพสุจรติ และเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู้ สำระที่ 1 กำรดำรงชวี ติ และครอบครัว มาตรฐาน ง1.1 เข้าใจการทางาน มคี วามคดิ สร้างสรรค์ มที ักษะกระบวนการ ทางาน ทักษะ การจดั การ ทักษะกระบวนการแกป้ ญั หา ทกั ษะการทางานร่วมกนั และทักษะการ แสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลกั ษณะนิสัยในการทางาน มีจิตสานึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสง่ิ แวดล้อมเพือ่ การดารงชวี ติ และครอบครวั สำระที่ 2 กำรออกแบบและเทคโนโลยี มาตรฐาน ง2.1 เขา้ ใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและ สรา้ งสง่ิ ของเครือ่ งใช้ หรอื วิธกี าร ตามกระบวนการเทคโนโลยอี ยา่ งมคี วามคดิ สร้างสรรค์ เลอื กใช้ เทคโนโลยใี นทางสร้างสรรค์ตอ่ ชวี ติ สงั คม ส่งิ แวดล้อม และมสี ว่ นร่วมในการจัดการเทคโนโลยีท่ี ย่งั ยืน สำระท่ี 3 เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสอ่ื สำร มาตรฐาน ง3.1 เข้าใจ เห็นคณุ ค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยี สารสนเทศในการสบื ค้นขอ้ มูล การเรยี นรู้ การสอื่ สาร การแกป้ ญั หา การทางาน และอาชพี อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ ประสิทธิผล และมคี ุณธรรม สำระท่ี 4 กำรอำชพี มาตรฐาน ง4.1 เขา้ ใจ มีทกั ษะที่จาเปน็ มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงาน อาชพี ใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ พัฒนาอาชพี มีคณุ ธรรม และมีเจตคติทดี่ ีต่ออาชพี คณุ ภำพผู้เรยี น จบช้ันมธั ยมศกึ ษำปีที่ 3 1. เข้าใจกระบวนการทางานที่มปี ระสทิ ธภิ าพ ใช้กระบวนการกล่มุ ในการทางาน มีทักษะ การแสวงหาความรู้ ทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหาและทกั ษะการจดั การ มลี กั ษณะนิสยั การทางาน ทีเ่ สยี สละ มีคุณธรรม ตัดสินใจอยา่ งมีเหตุผลและถกู ต้อง และมจี ติ สานึกในการใช้พลงั งาน ทรพั ยากร และส่งิ แวดล้อมอยา่ งประหยัดและคุม้ ค่า 2. เขา้ ใจกระบวนการเทคโนโลยแี ละระดับของเทคโนโลยี มคี วามคดิ สร้างสรรค์ ในการ แกป้ ัญหาหรอื สนองความต้องการ สรา้ งส่ิงของเครือ่ งใชห้ รือวิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยี อยา่ งถกู ตอ้ งและปลอดภยั โดยถา่ ยทอดความคิดเป็นภาพฉายเพือ่ นาไปสกู่ ารสร้างชิน้ งานหรอื แบบจาลองความคดิ และการรายงานผล เลอื กใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรคต์ ่อชีวิต สังคม
7 สิง่ แวดล้อม และมีการจดั การเทคโนโลยีด้วยการลดการใช้ทรพั ยากรหรอื เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีทีไ่ มม่ ี ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม 3. เข้าใจหลกั การเบอื้ งตน้ ของการสอ่ื สารข้อมลู เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ หลกั การและวิธี แก้ปัญหา หรือการทาโครงงานด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มีทกั ษะการค้นหาขอ้ มูล และการติดตอ่ สอื่ สารผ่านเครือข่ายคอมพวิ เตอรอ์ ยา่ งมคี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรม การใชค้ อมพิวเตอร์ ในการแก้ปญั หา สร้างชิน้ งานหรือโครงงานจากจินตนาการ และการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศนาเสนอ งาน 4. เขา้ ใจแนวทางการเลอื กอาชพี การมเี จตคติทดี่ ีต่อและเหน็ ความสาคัญของการประกอบ อาชีพ วธิ กี ารหางานทา คุณสมบตั ิท่ีจาเปน็ สาหรับการมีงานทา วเิ คราะห์แนวทางเขา้ สอู่ าชีพ มีทกั ษะ พ้นื ฐานทีจ่ าเปน็ สาหรบั การประกอบอาชพี และประสบการณ์ต่ออาชีพท่ีสนใจ และประเมินทางเลือก ในการประกอบอาชีพท่สี อดคล้องกับความรู้ ความถนัด และความสนใจ Google Apps 1. ควำมหมำยของ Google Apps Google Apps หมายถึง บรกิ ารอเี มลไ์ มไ่ ด้ให้สาหรับบุคคลท่ัวไป แต่มไี ว้ให้สาหรับ ผู้ที่มี โดเมนเป็นของตวั เอง ซงึ่ เป็นอกี หนง่ึ บริการจาก Google ท่ีม่งุ เนน้ ให้บรกิ ารทางดา้ นระบบอเี มลแ์ ละ ระบบ Hostingโดยนาเอาเทคโนโลยี Could Computing เข้ามาใชง้ าน เข้าไปกับโดเมนของ คณุ Google Apps เปน็ การใช้ application อยา่ ง Google mail, Google Calendar, Google Talk, Google Docs และ Google Sitesผา่ นช่ือโดเมนของคณุ เอง โดยผ่านทาง Web Base แคม่ ี การใชง้ านอนิ เตอร์เนต็ กส็ ามารถใช้งาน Google Apps ไดเ้ ตม็ รูปแบบ 2. ประโยชนโ์ ดยรวมของ Google Apps 1) การประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายท่ไี ด้รบั การพสิ จู นแ์ ลว้ 2) แอปพลิเคชนั การส่งขอ้ ความและการทางานร่วมกันท่ที างานแบบเวบ็ ของ Google ไม่จาเป็นต้องใชฮ้ าร์ดแวรห์ รือซอฟต์แวร์ และต้องการการดแู ลระบบน้อยทีส่ ุด สรา้ งเวลาเพิ่มขึ้นอย่าง มากมาย และประหยัดค่าใช้จา่ ยสาหรบั ธุรกิจ 3) พ้ืนท่ีเก็บขอ้ มูลมากกว่าคา่ เฉลย่ี ของอตุ สาหกรรม 50 เทา่ พนกั งานแต่ละรายจะมี พนื้ ทเี่ กบ็ ขอ้ มลู อีเมลขนาด 25 กิกะไบต์ ดังนนั้ จงึ สามารถเก็บขอ้ มลู สาคัญและคน้ หาได้ทันทีด้วยการ ค้นหาของ Google ทมี่ อี ย่ภู ายในระบบ 4) การเข้าถึงอเี มล ปฏิทิน และ IM บนโทรศพั ท์มอื ถอื 5) ดว้ ยการใช้ตวั เลือกมากมายสาหรับการเข้าถงึ ข้อมลู ขณะเดินทาง พนักงานสามารถ ทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพด้วย Google Apps แม้ว่าจะไม่อย่ทู ี่โตะ๊ ของตนก็ตาม
8 6) รบั ประกนั ความน่าเชือ่ ถือของความพร้อมในการทางาน 99.9% รับประกนั วา่ Google Apps จะมีความพรอ้ มในการทางานอยา่ งน้อย 99.9% ดังนน้ั พนักงานของคุณจะสามารถ เพ่ิมประสทิ ธิภาพในการทางานได้มากขน้ึ และคณุ จะกังวลใจนอ้ ยลงเกีย่ วกับการหยุดทางานของ ระบบ 7) ความปลอดภัยของขอ้ มูลและเปน็ ไปตามข้อกาหนด เมื่อคุณวางใจที่จะมอบข้อมูล ของบริษัทแก่ Google คุณสามารถม่นั ใจได้ว่าข้อมลู สาคัญของคณุ จะปลอดภัย 8) การควบคุมการดแู ลระบบและขอ้ มูลแบบสมบูรณ์ 9) ผู้ดูแลระบบสามารถปรบั แต่ง Google Apps ในเชิงลกึ เพือ่ ให้สอดคลอ้ งกับ ขอ้ กาหนดดา้ นเทคนคิ ตราสินค้า และธุรกิจของตนได้ 10) การสนับสนุนลูกค้าทุกวนั ตลอด 24 ชั่วโมงท่ีเป็นประโยชน์ 11) Google Apps มีความนา่ เชอื่ ถอื ในระดับสูงและทางานไดอ้ ยา่ งง่ายดาย แต่การ สนบั สนุนมีให้สาหรบั ผดู้ ูแลระบบ หากคณุ ตอ้ งการใชง้ าน 3. กำรใชง้ ำน Google Apps 3.1 กำรเข้ำใชง้ ำน Google Docs 1) กำรเข้ำถงึ Google Docs - เขา้ ถงึ ได้จาก http://docs.google.com หรือเมอ่ื login อยใู่ นระบบแล้ว ทีเ่ มนู Google Apps เลอื ก \"Docs\" - จะปรากฏหน้าจอ google docs ดงั น้ี
9 2) กำรสร้ำงเอกสำร เราสามารถสรา้ งเอกสารโดยเลอื กจากแม่แบบท่ีมีอย่กู ไ็ ด้ (โดยเลอื กแม่แบบที่ ใกล้เคียงกับท่ีเราต้องการ แลว้ เอามาแก้ไขเน้อื หาใหเ้ ปน็ แบบท่ีเราต้องการ) หรอื สร้างจากเอกสาร เปล่าๆ (blank) ข้ึนมาใหม่กไ็ ด้ ซ่ึง Google Docs จะมรี ปู รา่ งหน้าตาและการใชง้ านคลา้ ยๆ microsoft word
10 โปรแกรมจะทาการบนั ทกึ เอกสารใหเ้ องโดยอัตโนมตั ิเมื่อมกี ารพมิ พ์ หรอื แก้ไข เอกสาร และเมื่อปิดโปรแกรมไฟล์เอกสารจะไปอยู่ใน Google Drive โดยอตั โนมัติ 3) กำรสร้ำง sheets (Google Sheets) - เลอื กเมนู และเลือก \"Sheets\"
11 - จะปรากฏโปรแกรมการสร้าง sheet ดังนี้ เราสามารถสร้างเอกสารโดยเลอื กจากแม่แบบทีม่ ีอยู่ก็ได้ (โดยเลอื กแม่แบบที่ ใกลเ้ คียงกบั ที่เราต้องการ แล้วเอามาแก้ไขก็ได้) หรอื สร้างจากเอกสารเปลา่ ๆ (blank) ขน้ึ มาใหม่ก็ ได้ ซง่ึ Google Sheets จะมีรูปร่างหน้าตาและการใช้งานคลา้ ยๆ โปรแกรม microsoft Excel สามารถแทรกแผนภมู ิ / ใส่สตู รการคานวณได้
12 - ทดลองใชส้ ูตรคานวณ เหมอื นกบั MS Excel จะเป็นการใชส้ ูตร =AVERAGE(number1,[number2],….) เพ่ือหาค่าเฉล่ีย
13 4) กำรสร้ำง slides (Google Slides) - เลอื กเมนู และเลือก \"Slides\" - จะปรากฏโปรแกรมการสรา้ ง slides ดังน้ี เราสามารถสรา้ งเอกสารโดยเลือกจากแม่แบบท่มี ีอยู่กไ็ ด้ (โดยเลอื กแม่แบบที่ใกลเ้ คยี งกับท่ี เราตอ้ งการ แลว้ เอามาแกไ้ ขก็ได้) หรอื สร้างจากเอกสารเปล่าๆ (blank) ขน้ึ มาใหมก่ ไ็ ด้ ซึง่ Google Slide จะมีรูปร่างหน้าตาและการใชง้ านคล้ายๆ โปรแกรม microsoft Powerpoint
14 - กำรเพมิ่ ลูกเลน่ Animations เลอื กเมนู insert -> Animations. /ทหี่ น้าตา่ งAnimation เลือกรปู แบบ Animation ที่ตอ้ งการ /กด play เพื่อดู Animation 5) กำรทำงำนร่วมกันแบบออนไลน์ การทางานรว่ มกันแบบออนไลน์ การสรา้ งเอกสารหรือทารายงานบน Google Docs นั้นไมไ่ ดแ้ ตกต่างจากการใชง้ าน MS Office มากนัก ความสามารถในหลายๆ ด้านยงั ไม่อาจ เทียบกนั ได้ แตท่ ่ี Google Docs พิเศษกว่ากค็ ือเราสามารถ เขา้ ไปแก้ไขเอกสารของเราจากท่ีใดกไ็ ด้ ผ่านอนิ เทอร์เน็ต และยังสามารถแกไ้ ขเอกสารรว่ มกับผอู้ ่ืนไดพ้ ร้อมกันอีกดว้ ย ซง่ึ ช่วยประหยัดเวลา และคา่ ใชจ้ ่าย สมาชกิ ในกลุ่มไม่จาเป็นตอ้ งเดินทางมานั่งทางานร่วมกนั เราสามารถชว่ ยกนั คดิ ช่วยกัน ทารายงานไดจ้ ากทกุ สถานที่เพียงแค่นัดเวลากันลว่ งหน้า หรือหากจาเป็นจริงๆ เวลาไม่ตรงกนั คนๆ
15 นั้น ก็สามารถเข้ามาดคู วามคืบหนา้ และแก้ไขในภายหลังไดเ้ ชน่ กัน ซ่งึ คนอน่ื ๆ ในกลมุ่ สามารถ ตรวจสอบยอ้ นหลังไดว้ ่าใครเป็นผู้เข้ามาแกไ้ ขเพมิ่ เติม พรอ้ มท้งั ตรวจสอบเวลาการแกไ้ ขได้ดว้ ย รวมถึงเนือ้ หาส่วนใดบา้ งทีถ่ ูกแก้ไขไป - การแชรแ์ ละการกาหนดสิทธิ์การใช้เอกสารร่วมกัน การสรา้ งเอกสารแต่ละประเภทจะมีปมุ่ การ share อยู่ / กดเมื่อตอ้ งการแชร์ เอกสาร หรอื สามารถแชรเ์ อกสารจาก \"Google drive\" กไ็ ด้ - จะปรากฏหนา้ ตา่ งแชร์ /ใหท้ ่านกรอกบคุ คลท่ีต้องการแชรเ์ อกสารดว้ ย / กาหนด สทิ ธ์ิ / และเขยี นอธบิ ายรายละเอียด และกด send - เมอื่ เพ่อื นร่วมงานเข้ามาแกไ้ ขเอกสารร่วมกนั กบั เรา เราจะสามารถเห็นการทางาน ของเพอ่ื นรว่ มงานแบบเรียลไทม์
16 - กำรติดตำมกำรใช้งำน และแกไ้ ขเอกสำรร่วมกัน หากเราตอ้ งการดูประวัติการแก้ไขเอกสาร สามารถทาไดโ้ ดยไปทเี่ มนู “File” แลว้ คลิกเลอื ก “See revision history” - ระบบจะทาการแสดงประวัตกิ ารทางาน และสามารถ restore กลบั มาเวอรช์ นั ที่ เราต้องการได้อกี ดว้ ย
17 6. กำรดำวนโ์ หลดไฟล์ หลงั จากที่เราได้ทาการสรา้ งเอกสารบน Google Docs แลว้ หากต้องการนาไฟล์ นัน้ ออกมา สามารถทาได้โดย คลกิ เมนู “File” เลือก “Download as” แล้วเลอื กชนดิ ของไฟลท์ ี่เรา ตอ้ งการ กำรทำงำนร่วมกนั 1. ควำมหมำยของกำรทำงำนรว่ มกัน การรว่ มกันทางานของสมาชกิ ทีม่ ากกว่า 1 คน โดยทส่ี มาชกิ ทุกคนนนั้ จะต้องมีเป้าหมาย เดียวกนั จะทาอะไรแลว้ ทกุ คนตอ้ งยอมรบั ร่วมกนั มีการวางแผนการทางานร่วมกัน การทางานรว่ มกนั มีความสาคัญในทุกองค์กร การทางานร่วมกัน เปน็ สง่ิ จาเปน็ สาหรบั การเพม่ิ ประสิทธิภาพและ
18 ประสิทธิผลของการบรหิ ารงาน การทางานรว่ มกัน มีบทบาทสาคญั ทจี่ ะนาไปสู่ความสาเรจ็ ของงานที่ ต้องอาศัยความร่วมมอื ของกล่มุ สมาชิกเปน็ อยา่ งดี 2. ทกั ษะกำรทำงำนรว่ มกนั ขั้นตอนการทางานมหี ลักการดังน้ี 2.1 ร้จู ักบทบาทหนา้ ท่ีภายในกลมุ่ ในการทางานรว่ มกับคนอ่นื นนั้ ควรรจู้ ักหน้าท่ี และความรับผิดชอบของตนเอง 2.2 มีทักษะในการพดู แสดงความคิดเห็นและอภปิ รายในกลุ่ม เมอ่ื ทางานรว่ มกบั คน อื่นควรฝึกฝนทจ่ี ะเปน็ ผ้ฟู ังท่ีดี ยอมรบั ความคิดเห็นของคนอื่น 2.3 มีคุณธรรมในการทางานร่วมกนั เพอ่ื ความสขุ ในการทางานรว่ มกบั ผูอ้ น่ื และ หลกี เล่ียงไม่ใหเ้ กิดความขดั แย้ง 2.4 สรปุ ผลโดยการจัดทารายงาน การทางานกล่มุ ใดๆก็ตามควรมกี ารสรุปผลออกมา อยา่ เปน็ รูปธรรม อาจอยใู่ นรูปแบบของการจดั ทารายงาน 2.5 นาเสนองาน เมื่อมรี ายงานออกมาอยา่ งชัดเจน เป็นเอกสารแลว้ ควรมที กั ษะในการ นาเสนองานการปฏบิ ัติงานของกล่มุ ในรปู แบบตา่ งๆ 3. องค์ประกอบทีส่ ำคญั ในกำรทำงำนเป็นทมี การทางานเป็นทมี ของกลุม่ ใดกลุ่มหนึ่งจะมีประสทิ ธภิ าพนอ้ ยเพยี งใด ขนึ้ อยกู่ ับความ เหมาะสมและความสมบรู ณ์ของปัจจยั ต่างๆ เช่น ความเขา้ ใจในจุดมุ่งหมายของการทางาน บทบาท ของผ้รู ่วมกลมุ่ ในการทางาน การสือ่ ความหมาย การประสานงาน และการจดั สรรผลประโยชน์รว่ มกนั เป็นตน้ ปจั จัยเหล่าน้ถี อื ได้ว่าเป็นองคป์ ระกอบท่ีสง่ ผลต่อการทางานร่วมกนั ซ่ึงหลกั ในการทางาน เปน็ ทีมทดี่ ไี ดต้ อ้ งมีองค์ประกอบ ดังน้ี (สุทธิชยั ปัญญโรจน.์ ออนไลน.์ 2555) 3.1 เปา้ หมาย กล่าวคือ การทางานเป็นทมี ผทู้ างานจะต้องมเี ปา้ หมายส่วนตัวและ เปา้ หมายของทมี สอดคลอ้ งกัน เชน่ การขายประกนั ชีวติ บรษิ ทั ทกุ แห่งยอ่ มมีเปา้ หมายรายปี รายไตร มาส รายเดอื น นกั บรหิ าร ตวั แทนหรือทมี งานก็เช่นกัน ยอ่ มจะตอ้ งมเี ป้าหมาย รายปี รายไตรมาส รายเดอื น ให้สอดคลอ้ งกบั ของบริษทั จึงจะทาใหก้ ารทางานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ 3.2 บทบาท ของผนู้ าทมี และผู้ตาม ถ้าหากองคก์ รใดมีผนู้ าทมี ที่เก่ง และมผี ู้ตามที่เก่ง องค์กรน้นั ก็จะเจรญิ กา้ วไปขา้ งหนา้ ซ่ึงหลกั ในการทางานรว่ มกนั เปน็ ทีมย่อมต้องมคี วามขัดแย้งกัน เปน็ ธรรมดา ผู้นาทมี จะตอ้ งเปน็ นกั บริหารความขัดแยง้ ในการทางานของทมี อาจจะต้องใช้ขบวนการ ทางานโดยหาความรว่ มมอื กบั ทีมงานมากขึน้ เช่น การจดั กจิ กรรมระดมสมอง มีการจัดการประชุมเป็นประจา , มกี ารทากิจกรรมรว่ มกันของทีมงานเช่นการจัดการอบรม สัมมนา งานเล้ียงสังสรรคป์ ระจาปี เพ่ือให้ทีมงานเกิดความผกู พนั กนั ในทีม 3.3 กระบวนการทางาน เป็นส่งิ ที่สาคญั ในการทางาน หากว่ามกี ระบวนการทางานที่ดี เปน็ ระบบ เปน็ ระเบียบ ก็จะช่วยประหยดั เวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายๆ ขององคก์ รได้มาก เชน่ สมยั กอ่ นคนรบั จ้างแบกนา้ ขายตามหมู่บา้ นซง่ึ เหนือ่ ยมาก กวา่ จะได้คา่ แรงงาน แต่ พอมคี นจัดระบบ
19 น้าประปาข้นึ ทาให้เกดิ ความสะดวกสบาย ทาให้ใช้แรงน้อยลง ดงั นน้ั การแสวงหากระบวนการ ทางานจะทาใหป้ ระหยดั ส่ิงต่างๆ และทาใหก้ ารทางานง่ายขน้ึ สาหรับในยคุ ปัจจุบนั เรามีเทคโนโลยีท่ี ทนั สมยั เขา้ มาชว่ ยจงึ ทาใหก้ ระบวนการทางานมีความทันสมัย รวดเรว็ ยง่ิ ข้ึน 3.4 ความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คล เป็นส่ิงท่ีตอ้ งคานงึ ถึงในการทางานเป็นทีม ความสัมพนั ธใ์ นทีมงานจะตอ้ งมกี ารตดิ ตอ่ สื่อสารกัน ต้องมกี ารเช่อื มโยงกนั ในทีม เร่อื งของมนุษย์ สมั พันธจ์ งึ มคี วามสาคญั ในการทางานร่วมกัน เพราะการทางานเป็นทมี เราตอ้ งทางานกบั คน ไมใ่ ช่ ทางานกับเครอื่ งจกั ร 3.5 การเสรมิ สรา้ งกาลงั ใจ ก็เปน็ สง่ิ หน่งึ ทคี่ วรต้องมี เพราะคนเรามกั ทางานหรือไม่ ทางาน โดยส่วนใหญแ่ ลว้ มักจะต้องมีแรงกระตนุ้ ไมว่ า่ จะเป็นเงนิ ทอง ชอื่ เสียง เกียรตยิ ศ ศักด์ิศรี ฯลฯ คนที่ดูแลองค์กรไมว่ า่ จะเปน็ งานบุคคล กค็ วรจะมกี ารเสรมิ สร้างกาลงั ใจ โดย อาจมรี างวลั มอบ ใหเ้ มื่อทีมงานหรือหนว่ ยงานใดทางานได้ถึงเป้าหมาย อาจจะตอ้ งจัดการแขง่ ขัน หากวา่ องค์กรนน้ั เป็น บริษทั ท่ีมีการแขง่ ขันในการขายสงู อาจจะต้องแบ่งคนเปน็ ทีมๆ แล้วจัดการแขง่ ขนั การขายขน้ึ ก็จะ ช่วยให้เกดิ การกระตุ้นการทางานได้อีกวธิ ีหนึง่ จากองค์ประกอบทีก่ ล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า องคป์ ระกอบทีม่ ีผลต่อการทางานรว่ มกนั เปน็ ทีมนั้น สมาชกิ จะต้องมีการวางเปา้ หมายความสาเร็จร่วมกนั มีการแบง่ บทบาทหน้าท่กี ันอย่าง ชดั เจน มีกระบวนการทางานอย่างเป็นระบบ การปฏสิ ัมพนั ธ์กนั ในทมี ระหว่างการทางานจะทาใหม้ ี ความเข้าใจกนั มากข้นึ และการใหก้ าลังใจซง่ึ กนั และกนั จะเปน็ แรงกระตุน้ เสริมสร้างกาลังใจ ซ่งึ องค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยใหก้ ารทางานร่วมกนั ประสบผลสาเร็จตามเปา้ หมายที่วางไว้ 4. กำรวดั กำรทำงำนเปน็ ทมี และเครือ่ งมอื ท่ีใช้วดั ศจี อนนั ต์นพคุณ (2542) อ้างถึงใน สาลินี เกล้ียงเกลา (2555 : 65) กล่าวถึงวิธกี ารวดั การทางานเป็นทีมวา่ ใช้วธิ กี ารสารวจ ซ่งึ มอี ยู่ 4 วธิ ี ดังนี้ 4.1 การสังเกตการณ์ โดยสังเกตการณเ์ ปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของผปู้ ฏบิ ัตงิ านจากการ แสดงออก การฟงั การพูด สังเกตจากการกระทา แล้วนาขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการสังเกตมาวิเคราะห์ 4.2 การสัมภาษณ์ เปน็ วิธกี ารวดั การทางานเป็นทมี โดยวธิ กี ารสัมภาษณ์ ซึง่ ต้อง เผชิญหนา้ กนั เป็นสว่ นตัวหรือสนทนากันโดยตรง แลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคดิ เห็นต่างๆ ดว้ ยวาจา 4.3 การออกแบบสอบถาม เปน็ วธิ ที ี่นิยมกนั มากโดยให้ผปู้ ฏิบตั งิ านแสดงความคิดเหน็ และแสดงความรู้สกึ ลงในแบบสอบถาม การสร้างคาถามต้องพิจารณาอยา่ งดี ตอ้ งใชส้ ือ่ ทตี่ ้ังคาถาม ใหค้ รอบคลมุ วตั ถุประสงค์ได้ทง้ั หมดและลักษณะของคาถามตอ้ งใหไ้ ด้ขอ้ มูลทีเ่ ก่ียวข้องกับการทางาน ที่สมบรู ณ์ครบถว้ น
20 4.4 การเก็บบันทกึ คือ การเกบ็ ประวตั เิ ก่ียวกับการปฏิบัตงิ านแต่ละคน จากท่ีกลา่ วมาขา้ งต้นเกยี่ วกบั การวัดและการประเมนิ ทักษะการทางานเป็นทีม สามารถสรปุ ได้ว่า การพัฒนาความสามารถในการทางานเป็นทีมร่วมกันของผ้เู รยี น มีความเกยี่ วขอ้ ง กับการวัดผลประเมนิ ผลใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความรู้ความเข้าใจของผ้เู รยี นเก่ยี วกบั มโนทศั น์และสาระ ของกลมุ่ สมั พันธ์หรอื กระบวนการทางานเปน็ ทีม 2) เจตคตขิ องผู้เรียนเก่ยี วกบั กระบวนการทางาน เป็นทมี 3) ทักษะหรอื ความชานาญในการกระทาหรอื การดาเนินการดา้ นกระบวนการทางานเป็นทมี โดยทกั ษะทง้ั 3 ด้านนี้ คอ่ นขา้ งจะเป็นขอ้ มลู ในเชิงปริมาณ การวัดและประเมินอาจทาในเชงิ คณุ ลักษณะได้ เชน่ ผู้สอนใชก้ ารสังเกตการณ์รว่ มงานของผเู้ รียนในสถานการณต์ ่างๆ และจดบันทกึ พฤติกรรมของผู้เรยี นท่ีแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเข้าใจ เจตคติ และทักษะด้านการทางานร่วมกนั กับผู้อนื่ ซึง่ ใช้เปน็ หลกั ฐานการเรียนรู้ตามสภาพจริงของผ้เู รยี นได้ นอกจากนั้นผ้สู อนอาจใชว้ ธิ สี อบสัมภาษณ์ ผเู้ รยี น เพอ่ื น และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพอ่ื สอบถามถึงพฤตกิ รรมหรอื การกระทาตา่ งๆ ซ่ึงผูเ้ รียนอาจ แสดงออกหรืออาจให้ผ้เู รียนประเมินตนเองกไ็ ด้ ขอ้ มูลเหล่านีผ้ สู้ อนสามารถนามาใชใ้ นการประเมิน ความสามารถในการทางานเป็นทีมของผ้เู รียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรยี น 1. ควำมหมำยของผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรียน นักวิชาการ ผู้เชยี่ วชาญดา้ นการศกึ ษา ได้ใหน้ ยิ ามหรอื ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี น ดังนี้ ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2543 : 18) ไดก้ ล่าววา่ การวดั ผลสัมฤทธิ์ เปน็ การมองการวดั ความสามารถทางการเรยี นหลงั จากไดเ้ รียนเน้ือหาของวชิ าใดวิชาหน่ึงแลว้ ผ้เู รยี นมี ความสามารถเรยี นร้มู ากนอ้ ยเพยี งใด น่ันคือการวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ยึดเนอื้ หาวชิ าเป็นหลกั สวุ ิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2546 : 34) ไดก้ ลา่ วว่า ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถงึ ความสามารถในการเรียนวิชาใดวิชาหน่ึง ซึ่งวัดได้จากความสามารถในการทาแบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธ์ใิ นวชิ าน้ัน ๆ ในด้านตา่ ง ๆ เช่น ความรู้ความจา ความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การนาไปใช้ การประเมินค่า ด้านทักษะกระบวนการและเจตคติของผู้เรียนว่าบรรลุจุดมุ่งหมายของ หลกั สูตรมากนอ้ ยเพยี งใด พร้อมกบั เป็นขอ้ ยอ้ นกลบั ใหก้ บั ผ้สู อนได้วเิ คราะหเ์ พ่ือปรบั ปรงุ การเรียนการ สอนใหม้ ีประสทิ ธภิ าพย่ิงขึ้น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555 : 10) ได้กล่าวว่า การวัด ผลสมั ฤทธ์เิ ป็นการประเมินผลทีม่ ุง่ เนน้ ตามสภาพจริง ด้วยการวัดและประเมินการปฏิบัติงานในสภาพ ทเี่ กิดขึน้ จริงหรอื ทีใ่ กล้เคยี งกับสภาพจรงิ รวมทั้งการประเมินเก่ียวกับสมรรถภาพของผู้เรียนเพิ่มเติม จากความร้ทู ่ไี ดจ้ ากการทอ่ งจา โดยใชว้ ธิ ีการทีห่ ลากหลาย จากการที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้เผชิญ
21 กับปัญหาหรอื สถานการณ์ที่เป็นจรงิ หรอื สถานการณ์จาลอง ได้แก้ปัญหา สืบค้น และนาความรู้ไปใช้ รวมทัง้ แสดงออกทางการคิด ตามสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ และผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง สรปุ ไดว้ า่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน หมายถึง ความสามารถ ความรู้ ทกั ษะทางการเรียนที่ ผู้เรยี นได้รับจากการพฒั นาในด้านตา่ ง ๆ จากกระบวนการเรยี นการสอน ซง่ึ สง่ ผลใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง พฤติกรรมในการเรียนรู้ ซง่ึ สามารถวัดไดด้ ว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นท่วั ไป 2. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียน สมบรู ณ์ ตันยะ (2545 : 40-41) ได้กลา่ วว่าการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของ ผ้เู รยี นสามารถทาได้ 2 ลักษณะ คือ 1. การทดสอบแบบองิ กลุม่ หรอื วัดผลแบบองิ กลุ่ม เป็นการทดสอบหรอื การวัดทเี่ กิดจาก แนวความเช่อื ในเรอื่ งความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ว่า ความสามารถของบคุ คลใด ๆ ในเรอ่ื งนั้นมีไม่ เท่ากนั บางคนมีความสามารถเดน่ บางคนมีความสามารถด้อย และส่วนใหญม่ ีความสามารถปานกลาง ถ้านามาเขยี นจะมลี กั ษณะเป็นกราฟคล้าย ๆ โคง้ รปู ระฆงั หรอื ทเ่ี รียกว่าโคง้ ปกติ นัน่ คือคนทีม่ ี ความสามารถสงู จะได้คะแนนสูง คนท่ีมีความสามารถด้อยกว่าจะได้คะแนนลดหลัน่ ลงมาจนถึงระดับต่า 2. การทดสอบแบบองิ เกณฑ์ หรอื การวดั ผลแบบอิงเกณฑ์ เปน็ การทดสอบหรอื การวัด ท่ียึดความเชอ่ื ในเรอื่ งการเรยี นรู้ กล่าวคือ ยึดหลักวา่ ในการสอนน้นั จะต้องมงุ่ ส่งเสริมให้ผู้เรียนท้ังหมด ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น แม้ว่าผู้เรียนจะมีความแตกต่างกนั ก็ตาม แต่ทกุ คนควรได้รับการส่งเสริม ใหพ้ ัฒนาไปถึงขดี ความสามารถสงู สดุ ของตน โดยอาจใช้เวลาทแ่ี ตกต่างกนั ในแตล่ ะบุคคล เกณฑ์ หมายถึง กล่มุ พฤตกิ รรมท่ีได้กาหนดไว้ในแต่ละวชิ าตามจดุ ประสงคข์ องการสอนแต่ละบทหรือ แต่ละหน่วยการเรยี นวิชานัน้ ๆ จุดมุง่ หมายของการทดสอบแบบนีจ้ ึงเป็นการตรวจสอบดูว่า ใครที่เรียน ได้ถึงเกณฑ์ และใครเรยี นไมถ่ งึ เกณฑ์ควรได้รบั การปรับปรุงตอ่ ไป สมนกึ ภทั ทิยธนี (2551 : 73) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรยี นออกเป็น 2 ชนิด คอื 1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างขนึ้ (teacher made test) หมายถงึ แบบทดสอบท่มี งุ่ วัด ผลสัมฤทธ์ิของผเู้ รยี นเฉพาะกล่มุ ที่ครูสอน จะไมน่ าไปใช้กับนักเรียนกลุม่ อ่นื เป็นแบบทดสอบทีใ่ ช้กัน ทั่ว ๆ ไปในโรงเรียน 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) หมายถึง แบบทดสอบทมี่ ุ่งวดั ผลสมั ฤทธิ์ เช่นเดียวกับแบบทดสอบที่ครูสรา้ งขึน้ แตม่ จี ุดมุ่งหมายเพ่อื เปรียบเทยี บคุณภาพต่าง ๆ ของนักเรยี นท่ี ตา่ งกลมุ่ กนั เช่น เปรียบเทียบคุณภาพของนกั เรียนในโรงเรียนแห่งหนงึ่ กบั นักเรียนกลมุ่ อน่ื ๆ ทว่ั ประเทศ (แบบทดสอบมาตรฐานระดบั ชาต)ิ หรอื กับนกั เรยี นกล่มุ อ่ืน ๆ ทั่วจังหวดั (แบบทดสอบมาตรฐาน ระดับจงั หวดั ) เป็นตน้
22 บญุ ชม ศรีสะอาด (2554 : 53) ไดแ้ บง่ ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธเ์ิ ป็น 2 ประเภท คอื 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (criterion referenced test) หมายถงึ แบบทดสอบที่สรา้ งข้นึ ตามจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม มีคะแนนจดุ ตัดหรือคะแนนเกณฑ์ สาหรับใช้ตัดสนิ วา่ ผู้สอบมคี วามรู้ ตามเกณฑท์ กี่ าหนดไวห้ รอื ไม่ การวดั ตรงตามจดุ ประสงค์เปน็ หัวใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบ ประเภทนี้ 2. แบบทดสอบอิงกลุม่ (norm referenced test) หมายถึง แบบทดสอบท่มี งุ่ สร้างเพื่อ วดั ให้ครอบคลุมหลกั สูตร จงึ สรา้ งตามตารางวเิ คราะห์หลกั สตู ร ความสามารถในการจาแนกผสู้ อบ ตามความเก่งอ่อนได้ดี เปน็ หวั ใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทน้ี การรายงานผลการสอบ อาศัยคะแนนมาตรฐาน ซง่ึ เป็นคะแนนท่สี ามารถใหค้ วามหมายแสดงถึงสถานภาพ ความสามารถของ บคุ คลนั้น เมื่อเปรยี บเทียบกบั บคุ คลอืน่ ๆ ท่ีใช้เป็นกลุม่ เปรยี บเทยี บ สรปุ ไดว้ ่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบง่ ตามวตั ถุประสงค์ในการสร้าง แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบแบบองิ เกณฑ์ (criterion referenced test) และแบบทดสอบอิงกลุ่ม (norm referenced test) แบ่งตามขอบเขตของการใชง้ าน แบ่งได้ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบที่ครสู ร้างข้ึน (teacher made test) และแบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) 3. กำรสร้ำงแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ พรทพิ ย์ ไชยโส (2545 : 66-70) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการสร้างแบบสอบ หรือแบบทดสอบ ดังน้ี 3.1 ขั้นตอนแรกในการสร้างแบบทดสอบ คือการกาหนดวัตถุประสงคข์ องการวดั ให้ ชดั เจนว่าจะวดั อะไร วดั กบั ใครและวัดไปทาไม ท้งั น้กี เ็ พื่อผ้สู รา้ งแบบทดสอบจะสามารถสร้าง แบบทดสอบไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ ถ้าสิ่งทต่ี อ้ งการวดั คอื maximum performance ของผูต้ อบท่ี ไดต้ อ้ งการใหผ้ ตู้ อบไดแ้ สดงความสามารถสงู สุดที่เขามี ลกั ษณะคาตอบมีจะเกณฑ์ตัดสินว่าเป็นคาตอบ ถูกหรือผดิ อยา่ งเด่นชัด แบบทดสอบประเภทน้ีจะเปน็ ประเภทท่ีเรยี กว่าแบบทดสอบความสามารถ (ability test) ซึง่ ความสามารถท่ตี ้องการวดั นน้ั อาจจะเป็นผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ความถนัดทาง การเรยี น ความถนัดเฉพาะด้านหรือความพรอ้ มทางการเรยี น 3.2 ข้นั ตอนท่สี องเป็นข้นั ตอนสาคญั ที่ผสู้ ร้างแบบสอบต้องแปลงสิ่งท่ีตอ้ งการวดั ใหอ้ ยู่ใน รปู ของนยิ ามปฏบิ ัติการ (operational definition) คือนิยามสงิ่ ทตี่ ้องการวัดให้มีลกั ษณะเป็นพฤตกิ รรม ท่สี ามารถสังเกตได้ วัดได้ ในกรณขี องการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ผู้สร้างขอ้ สอบคอื ครูมคี วาม จาเป็นตอ้ งออกขอ้ สอบให้ครอบคลมุ เนอ้ื เรือ่ งทีค่ รูใชส้ อนในหลกั สตู รวชิ า และสอดคลอ้ งกับเนอ้ื เร่ืองท่ี กาหนดไว้ในหลักสตู รการเรยี นการสอนน้นั ในขณะเดยี วกันครตู ้องกาหนดความสาคัญของเนือ้ เร่ือง โดยพิจารณาจากเวลาทีใ่ ชส้ อนว่าเรื่องใดควรมีน้าหนกั มากนอ้ ยอย่างไรในการทามาออกข้อสอบ
23 โดยท่ัวไปการออกขอ้ สอบครคู วรทาตารางผังข้อสอบ (Test Blueprint หรอื Table of Specification) 3.3 การเขียนขอ้ สอบ ในข้นั ตอนของการกาหนดวัตถปุ ระสงคใ์ นการสอบ การให้นิยาม ปฏบิ ตั ิการเก่ยี วกบั สงิ่ ทว่ี ดั และการกาหนดขอบเขตของคุณลักษณะทต่ี อ้ งการวัดทผ่ี ่านมาแล้วจะชว่ ย ให้ผู้สร้างขอ้ สอบเห็นแนวทางในการกาหนดรูปแบบของขอ้ สอบที่จะนามาใช้ไดอ้ ย่างเหมาะสม 3.4 ข้อสอบทเ่ี ขียนข้ึนแลว้ ต้องตรวจสอบถงึ ความเหมาะสมในความสอดคลอ้ ง (consistency) ระหว่างคาถามที่สร้างข้นึ กบั วัตถุประสงคท์ ่ีต้องการวดั ตลอดจนความเหมาะสม (adequacy) ของการใช้ภาษาและถอ้ ยคา สานวนทีใ่ ช้และความเหมาะสมกับกลุ่มท่ีจะใช้วดั การตรวจสอบเชงิ เหตุผล (logical review) เพ่อื ตรวจสอบคุณลักษณะดังกลา่ วของข้อสอบ ซึ่งอาจจะ ตอ้ งใชผ้ เู้ ชย่ี วชาญทางดา้ นเนื้อหาในการตรวจสอบหรือแม้กระทง่ั การนาไปทดลองกบั กลมุ่ จานวนน้อย ๆ เพื่อดูความเหมาะสมของถอ้ ยคา เป็นส่งิ ทผ่ี ู้สรา้ งพึงดาเนินการตรวจสอบและแก้ไขใหเ้ หมาะสมใน ขั้นแรกก่อนท่จี ะนาไปทดลองใช้ในขน้ั ตอ่ ไป 3.5 ทดลองใชข้ อ้ สอบและการวิเคราะห์ ข้นั ตอนนเ้ี พ่อื ทดลองใชเ้ ครือ่ งมอื ทส่ี รา้ งทั้งฉบับ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีมีลักษณะเหมือนกับกลมุ่ เปา้ หมายทจี่ ะนาแบบทดสอบไปใชจ้ ริง ทังนเี้ พ่อื ใชเ้ กณฑ์ เชงิ ประจกั ษ์ (empirical criteria) ในการตรวจสอบความเหมาะสมของขอ้ สอบที่สรา้ ง ไดแ้ ก่ ความยาก อานาจจาแนก และความเหมาะสมของตัวลวงหรือตวั เลอื กต่าง ๆ ข้อสอบทีม่ ีความยากและอานาจ จาแนกเหมาะสม ตัวลวงมีคณุ ภาพจงึ จะเหมาะทจี่ ะนาไปใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือในการวดั ตอ่ ไป การทดลอง ใช้แบบสอบท่ีสรา้ งข้นึ ยังช่วยให้ผู้สรา้ งแบบทดสอบสามารถกาหนดเวลาในการตอบแบบทดสอบได้ เหมาะสม ตลอดจนการกาหนดคาชแี้ จงในการตอบให้ผู้ตอบไดแ้ สดงพฤตกิ รรมในการตอบตรงกบั ที่ แบบสอบต้องการ 3.6 การเกบ็ รวบรวมขอ้ สอบเข้าชดุ ของแบบทดสอบ ในขน้ั ตอนน้ีขอ้ สอบทมี่ ีความยาก และอานาจจาแนกเหมาะสมกจ็ ะไดร้ ับการคดั เลอื กเข้าชดุ ของแบบทดสอบ ในขณะเดยี วกันการตดั ข้อสอบบางข้อที่ไม่เหมาะสมออกไปควรได้รับการตรวจสอบดว้ ยวา่ ไม่ทาใหค้ วามเปน็ ตัวแทนของ พฤตกิ รรมท่ีตอ้ งการวดั ในของเขตท่ีมงุ่ ศกึ ษาไม่ขาดหายไป จงึ เป็นการสมควรทีผ่ สู้ ร้างข้อสอบจะสร้าง ขอ้ สอบกอ่ นการทดลองให้มากพอในแต่ละองค์ประกอบทม่ี ุ่งวดั เพราะเมื่อพบความไมเ่ หมาะสมกับ ข้อสอบที่จะต้องถูกตัดออกไปจะไมท่ าใหพ้ ฤติกรรมท่ีต้องการวัดสว่ นนนั้ ขาดหายไป ขอ้ สอบบางขอ้ ท่ี ควรไดร้ บั การปรบั ปรุงให้มคี ุณภาพดีข้ึนหลังจากการวเิ คราะหแ์ ล้วกค็ วรได้รับการปรับปรงุ กอ่ นทีจ่ ะ นาเขา้ ในแบบทดสอบ 3.7 หลงั จากการรวบรวมขอ้ สอบเข้าชุดของแบบทดสอบแลว้ การกาหนดความเปน็ มาตรฐาน (standardization) ของแบบทดสอบท่ีสร้างขน้ึ เป็นกระบวนการทสี่ าคัญในข้นั ตอนหนึ่ง ของการสรา้ งแบบสอบมาตรฐาน ข้นั ตอนนคี้ อื การเขียนค่มู อื การสอบเพอื่ ใหก้ ารจัดดาเนนิ การสอบ เป็นไปในรปู แบบเดียวกนั อย่างเป็นทางการ การกาหนดคาสงั่ คาชีแ้ จงในการตอบข้อสอบ การกาหนด
24 เวลาในการสอบ นอกจากนก้ี ารกาหนดเกณฑใ์ นการใหค้ ะแนนจะทาใหเ้ กิดความเป็นปรนัยในการให้ คะแนน สรปุ ได้วา่ การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิควรมีความเป็นมาตรฐานปฏิบตั ิตามข้ันตอน โดยเร่มิ จากการกาหนดวตั ถุประสงค์ กาหนดนยิ ามปฏบิ ตั ิการ เพือ่ ให้แบบทดสอบมีความสอดคลอ้ ง เหมาะสม และทดลองใช้ข้อสอบ วิเคราะห์ขอ้ สอบ เมอ่ื แบบทดสอบมคี ุณภาพตามเกณฑ์ จงึ จดั เขา้ ชุด และเขียนคมู่ อื การใช้ งำนวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง รายงานการวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับการศึกษาในคร้งั นี้ ผวู้ ิจัยได้ทาการศกึ ษาคน้ คว้าโดยรวบรวม งานวจิ ัยในด้านต่างๆ เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ google Apps ในการจัดการเรยี นการสอน ดัง รายละเอียด ต่อไปนี้ อานนท์ วงศว์ ิศิษฏร์ ังสี (2552) ไดท้ าการวจิ ยั เก่ียวกบั ชดุ ฝึกอบรมออนไลน์การใช้ โปรแกรม Google Applications: กรณศี ึกษาเครือข่ายการนเิ ทศการมธั ยมศกึ ษา โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือ 1) หาประสิทธิภาพของชดุ ฝกึ อบรมออนไลนก์ ารใช้โปรแกรม Google Applications:กรณศี กึ ษา เครือข่ายการนเิ ทศการมธั ยมศึกษา และ 2) เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการอบรมของผ้เู ขา้ รับการ อบรมก่อนและหลังการอบรมชดุ ฝกึ อบรมออนไลนก์ ารใชโ้ ปรแกรม Google Applications: กรณีศึกษาเครือข่ายการนิเทศการมัธยมศึกษา กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวิจยั คอื ศึกษานเิ ทศก์ประจา เครอื ข่ายการนิเทศการมัธยมศกึ ษา 19 เครือขา่ ย แห่งละ 2 คน รวม 38 คน ได้มาโดยวิธีการเลอื ก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกอบรมบทเรียนคอมพิวเตอรผ์ า่ น อินเทอรเ์ นต็ มีประสิทธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ท่ตี ้ังไวใ้ นสมมุติฐาน และผ้เู ขา้ รับการอบรมมี ผลสมั ฤทธห์ิ ลงั การอบรมสูงกวา่ ก่อนเข้ารบั การอบรมอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 Jacqueline L. Cahill (2011) ได้ทาการวจิ ยั เกย่ี วกบั การทางานรว่ มกนั โดยใช้ Google Apps Education ในระดบั อดุ มศึกษา การศึกษาโดยการวิจัยเชิงคณุ ภาพ ใช้การสัมภาษณ์ขอ้ มลู จาก อาจารย์มหาวิทยาลัยและนกั ศึกษา เพอื่ ตรวจสอบว่า Google Apps มปี ระโยชน์ในการจัดการเรียน การสอนและการทางานรว่ มกนั ในระดบั อดุ มศกึ ษาหรอื ไม่ โดยการสมั ภาษณอ์ าจารยผ์ ู้สอนท่ีใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนรู้รว่ มกันในชน้ั เรียนและกลุ่มนักศกึ ษา จากการวิจยั พบวา่ อาจารย์ มหาวทิ ยาลัยและนกั ศึกษามองเห็นประโยชนใ์ นการใช้ Google Apps Education ในการจัดการ เรียนการสอน เน่ืองจากชว่ ยลดเวลาในการจัดการเรยี นการสอนลงและส่งเสริมทกั ษะการทางาน รว่ มกนั ของผู้เรียนและทักษะการเรียนรู้ผ่าน Google Apps Kenneth Agcaoili (2012) ได้ทาการวิจัยเก่ียวกับ การทางานร่วมกันใน Google Apps จากการศึกษาคร้งั นี้กลุม่ การศึกษาของฮาวาย(HIDOE) พยายามที่จะศึกษาว่า Google Apps สามารถ ทางานร่วมกันไดห้ รอื ไมแ่ ละอะไรเปน็ อปุ สรรค์ของการการดาเนินงานของ Google Apps ใน HIDOE
25 ผลการศึกษาพบว่า Google Apps สามารถทาให้โครงสร้างและการทางานร่วมกันและการจัดการ เรียนการสอนของการศึกษาใน HIDOE เพ่ิมขน้ึ
26 บทท่ี 3 วิธีดำเนินกำรวจิ ัย การดาเนินการวิจัยครง้ั น้ใี ชว้ ิธวี จิ ยั เชงิ ทดลอง โดยการใช้ Google Apps ในการจัดการเรียน การสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพ่ือส่งเสริมการทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/4 โรงเรยี นประโคนชัยพิทยาคม ซ่ึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีดาเนินการวิจัยท่ีจะ นาเสนอตามลาดับต่อไปนี้ ประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง 1. ประชากร ไดแ้ ก่ นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ทกี่ าลงั ศึกษาอย่ใู นภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นประโคนชัยพทิ ยาคม อาเภอประโคนชยั จงั หวดั บุรีรัมย์ จานวน 485 คน 2. กลุม่ ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/4 ที่กาลงั ศกึ ษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2561 โรงเรยี นประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จงั หวัดบุรรี มั ย์ จานวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอยา่ งแบบกล่มุ (Cluster Sampling) เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในกำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู คร้ังน้ี ประกอบด้วย 1. โปรแกรม Google Apps 2. แบบประเมนิ การทางานรว่ มกัน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 เปน็ แบบ ปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ กำรสร้ำงเครอื่ งมอื การใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 เพ่ือสง่ เสริมการทางานร่วมกัน สาหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3/4 โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 มีรายละเอียดดงั น้ี 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางและหลกั สตู รสถานศึกษา รายวิชา การงานอาชีพและ เทคโนโลยี 6 ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เพ่ือทาความเข้าใจเก่ียวกับมาตรฐานและตวั ชวี้ ดั เน้อื หา วธิ กี ารสอน และการวดั ผลประเมนิ ผล 2. ศึกษาเน้อื หา รายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 3. กาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้
27 4. สร้างสอื่ การเรียนร้ดู ้วย Google Apps ตามเน้ือหาวิชาและกิจกรรมการเรียนรู้ที่ กาหนด โดยอาศยั หลกั การองค์ประกอบและเคร่ืองมอื สนบั สนนุ ต่าง ๆ ของเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต 5. นาส่อื การเรียนรู้ดว้ ย Google Apps ไปทดลองใช้กบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 กำรสร้ำงแบบประเมินกำรทำงำนรว่ มกนั ศึกษาวธิ ีการสรา้ งแบบประเมนิ การทางานร่วมกัน กำรสร้ำงแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบทดสอบและสร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ เป็นแบบ ปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ กำรสรำ้ งแบบสอบถำมควำมพงึ พอใจ 1. ศึกษาวธิ กี ารสร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจ โดยใช้ทฤษฎีของ Likert แลว้ จงึ ออกแบบ ประเมนิ ความพึงพอใจสาหรับกล่มุ ตวั อยา่ ง ซง่ึ ไดก้ าหนดระดับความพึงพอใจไว้ 5 ระดับ ดงั นี้ ระดบั 5 หมายถงึ มากทสี่ ุด ระดับ 4 หมายถึง มาก ระดับ 3 หมายถึง ปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ น้อย ระดบั 1 หมายถึง นอ้ ยทส่ี ุด นาคะแนนรวมที่ไดม้ าหาคา่ เฉลยี่ โดยใช้เกณฑต์ ัดสินเฉลย่ี ดงั น้ี 4.50 - 5.00 หมายความวา่ มีความพึงพอใจอยูใ่ นระดบั มากทส่ี ุด 3.50 - 4.49 หมายความวา่ มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดบั มาก 2.50 - 3.49 หมายความวา่ มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายความวา่ มคี วามพงึ พอใจอย่ใู นระดับน้อย 1.00 - 1.49 หมายความวา่ มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั นอ้ ยทส่ี ุด 2. สร้างแบบประเมินความพึงพอใจ กำรดำเนนิ กำรศึกษำ 1. ทดสอบกอ่ นเรียน (Pretest) ผวู้ จิ ัยให้นักเรยี นเข้าสู่หอ้ งเรยี นทส่ี ร้างดว้ ย google sites และทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ดว้ ย Google Forms เพอ่ื วดั ความรพู้ นื้ ฐานของผู้เรยี น 2. นักเรียนเขา้ ไปศึกษาเนื้อหาที่ผู้วจิ ัยเตรียมไว้ แล้วทางานร่วมกันผา่ น google doc พรอ้ ม ท้ังส่งงานในห้องเรยี นทส่ี รา้ งด้วย google classroom
28 3. ทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลงั จากที่ผู้เรยี นได้ศกึ ษาและทางานรว่ มกันผ่าน google doc ในหอ้ งเรยี นทสี่ ร้างด้วย google classroom แล้ว ให้ผู้เรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์หิ ลงั เรียน ท่ีสรา้ งดว้ ย Google Forms 4. ประเมินความพงึ พอใจ หลังจากเรียนและทาแบบทดสอบหลงั เรยี นแล้ว ให้ผเู้ รียนทา แบบประเมนิ ความพึงพอใจตอ่ การเรียนรู้ผา่ น google site กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ระยะเวลาที่ใช้ในการวจิ ยั คือ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2561 โดยดาเนินการและ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ระหว่างวนั ท่ี 21 พฤศจิกายน 2561 - 26 ธนั วาคม 2561 จานวน 10 ชั่วโมง มีรายละเอยี ด ดงั น้ี ตำรำงท่ี 1 แสดงระยะเวลาในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล วัน เดอื น ปี กิจกรรม หมำยเหตุ บนั ทกึ คะแนน 21 พ.ย. 2561 - นักเรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน วิชา การงานอาชพี และ บนั ทึกคะแนน เทคโนโลยี 6 เป็นแบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ข้อ - นักเรยี นเข้าไปศกึ ษาเนื้อหาและทางานรว่ มกันในเว็บไซต์ google site ผ่าน google doc 28 พ.ย. 2561 - นกั เรียนเข้าไปศึกษาเนอ้ื หาและทางานรว่ มกนั ในเวบ็ ไซต์ google site ผา่ น google doc 12 ธ.ค. 2561 - นักเรยี นเขา้ ไปศกึ ษาเนอ้ื หาและทางานร่วมกนั ในเว็บไซต์ google site ผ่าน google doc 19 ธ.ค. 2561 - นกั เรียนเขา้ ไปศึกษาเนอ้ื หาและทางานรว่ มกันในเว็บไซต์ google site ผา่ น google doc 26 ธ.ค. 2561 - นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน วชิ า การงานอาชพี และ เทคโนโลยี 6 เป็นแบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ - ทาแบบประเมินความพงึ พอใจต่อการเรียนด้วย Google Forms
29 กำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์คะแนนวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนเรียนและคะแนนวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน รายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 โดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และผลการประเมินการทางานร่วมกัน โดยใช้ ค่าเฉลีย่ รอ้ ยละ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน สถิติที่ใชใ้ นกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล 1. ร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรดงั น้ี (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2555 : 260) P= เม่ือ P แทน รอ้ ยละ F แทน ความถ่หี รือคะแนนท่ีต้องการแปลงให้เปน็ ร้อยละ N แทน จานวนความถีท่ งั้ หมดหรือคะแนนเตม็ 2. คา่ เฉล่ีย (Mean) ของคะแนน โดยใชส้ ตู รดังนี้ (สมนึก ภทั ทยิ ธน.ี 2555 : 237) x̅ = ∑x N เม่อื x̅ แทน ค่าเฉลย่ี ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมด N แทน จานวนคนทั้งหมด 3. สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังน้ี (สมนกึ ภัททิยธนี. 2555 : 249) S.D. = เมอ่ื S.D แทน ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของแตล่ ะคน N แทน จานวนคนทั้งหมด แทน ผลรวม
30 บทท่ี 4 ผลกำรวิเครำะหข์ อ้ มลู ในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยดาเนินการวิจัย การใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 เพื่อสง่ เสริมการทางานร่วมกนั สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ได้ดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนาผลท่ีได้มา วิเคราะห์ขอ้ มูล โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี นด้วยบทเรยี นออนไลน์ จากการให้นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 ทดลองใช้ Google Apps ในการจดั การเรียนการ สอน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 เพ่อื ส่งเสรมิ การทางานรว่ มกนั มีผลการเปรยี บเทยี บ ผลต่างที่ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนกับผลท่ีไดจ้ ากการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ดังนี้ ตำรำงท่ี 2 แสดงผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วย Google Apps ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3/4 ท่ี ชื่อ – สกุล คะแนนแบบทดสอบ ผลตำ่ งระหว่ำง ก่อน หลงั คะแนน 1 เด็กชาย สุรศักดิ์ พลนติ ย์ 12 17 2 เด็กชาย กฤตนยั สดุ ฉลาด 16 18 5 3 นาย กมั พล ชาญประโคน 13 17 2 4 เดก็ ชาย กติ ติธชั ปาประโคน 12 17 4 5 เด็กชาย คุณภทั ร บญุ มา 10 18 5 6 เดก็ ชาย ณรงคศ์ กั ดิ์ กนั รัมย์ 15 16 8 7 เด็กชาย ธนรัตน์ อาสาประโคน 14 17 1 8 นาย นนทวฒั น์ ตอรัมย์ 12 18 3 9 เด็กชาย ปณั ณธร ต้นเสมอไทย 13 13 6 10 เดก็ ชาย ปาณสั ม์ จดุ โต 16 16 0 11 เดก็ ชาย พรลภสั ชิดปลัด 15 18 0 12 นาย พศิน ศรสี ุริยชยั 17 18 3 13 นาย พิรภพ ศักดิ์วรากิจสกลุ 15 17 1 14 เดก็ ชาย รพีพัฒน์ ทาประโคน 16 18 2 2
31 ท่ี ชอื่ – สกุล คะแนนแบบทดสอบ ผลต่ำงระหวำ่ ง ก่อน หลัง คะแนน 15 นาย สรวชิ ญ์ เตือประโคน 18 19 1 16 เดก็ ชาย สธุ น นุชประโคน 15 18 3 17 เด็กหญงิ จันทรานน ปลงใจ 16 18 2 18 เดก็ หญิง จติ รลดา บุตรแสง 12 17 5 19 เด็กหญิง ณฐั จริ า พนั ลิ 12 17 5 20 เด็กหญิง ณฐั พร คลังเงิน 19 20 1 21 เด็กหญิง ณิชกลุ ทองทวีชยั กุล 16 18 2 22 เดก็ หญงิ ธวัลรตั น์ แนก่ ลาง 18 19 1 23 นางสาว ธนั ยธรณ์ ชุมหริ ญั 19 19 0 24 เดก็ หญงิ นิจวรยี ์ บุตรคาน 15 18 3 25 นางสาว ปณติ า ทณิ วงษ์ 14 18 4 26 นางสาว ปวรา เรอื งรมั ย์ 15 20 5 27 เดก็ หญิง ปทั มา แกว้ ประดษิ ฐ์ 16 18 2 28 เด็กหญงิ เปรมยุดา ทาหนองเภา 14 18 4 29 นางสาว พรชนก รตั น์ประโคน 15 15 0 30 เดก็ หญิง พลอยไพลิน ภูอาจ 14 17 3 31 นางสาว พมิ พน์ รา กรุณา 14 17 3 32 เด็กหญงิ พิยดา คณั ทกั ษ์ 16 16 0 33 เดก็ หญงิ รักษิตา นมิ นต์รมั ย์ 17 18 1 34 เดก็ หญิง วนดิ า ละอองแกว้ 13 14 1 35 นางสาว วรัญญา พรงิ้ เพราะ 16 18 2 36 เดก็ หญิง ศริ าณี งามเลิศ 14 17 3 37 นางสาว สาวณิ ี โพยประโคน 14 18 4 38 นางสาว สชุ าดา ราชประโคน 14 17 3 39 นางสาว อภิชญา ครบอยู่ 15 17 2 40 นางสาว อมรศรี พรมประโคน 12 15 3 589 694 รวม 14.73 17.35 คำ่ เฉลีย่ 75.51 88.97 รอ้ ยละ 2.04 1.41 ส่วนเบ่ยี งเบนมำตรฐำน
32 จากตารางท่ี 2 ผลการศกึ ษาพบวา่ ผลทีไ่ ดจ้ ากการทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ซงึ่ มีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 14.73 คิดเปน็ ร้อยละ 75.51 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 2.04 และผลที่ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลัง เรียนซ่ึงมคี ะแนนเตม็ 20 คะแนนเทา่ กนั นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 สามารถทาคะแนนเฉลี่ย ได้ 17.35 คิดเป็นร้อยละ 88.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.41 ผลปรากฏว่าคะแนนหลัง เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน ผลกำรประเมินกำรทำงำนรว่ มกัน จากการให้นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/4 จานวน 40 คน ท่ีกาลังศึกษาอยู่ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ทดลองใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการ สอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการทางานร่วมกัน สามารถสรุปผลการ ประเมนิ การทางานร่วมกันได้ ดังนี้ ตำรำงที่ 3 แสดงผลการประเมินการทางานรว่ มกนั ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/4 ท่จี ัดการ เรยี นการสอนโดยใช้ Google Apps หวั ขอ้ กำรประเมนิ x̅ S.D. สรปุ 1. สมาชกิ ในกลุ่มมสี ว่ นรว่ มในการกาหนดเป้าหมายในการ 3.38 1.03 มาก ทางานรว่ มกนั 2. มกี ารแบง่ หน้าทีก่ ารทางานเหมาะสมและตรง 4.10 0.63 มาก ความสามารถของสมาชิก 3. สมาชิกในกลมุ่ มกี ารทางานร่วมกันอยา่ งเปน็ ขั้นตอน 4.15 0.74 มาก 4. สมาชกิ ในกลุ่มมีความรบั ผดิ ชอบในหนา้ ทท่ี ี่ได้รับ 4.73 0.45 มากทส่ี ุด มอบหมาย 5. สมาชกิ ในกลมุ่ ไดใ้ ช้ทักษะความสามารถในการทางานได้ 3.90 0.78 มาก อย่างเต็มที่ 6. สมาชกิ ทุกคนในกล่มุ สามารถปฏบิ ัติงานได้สาเร็จตาม 4.43 0.50 มาก เปา้ หมาย 7. สมาชิกในกลมุ่ มกี ารแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน 4.65 0.48 มากทสี่ ุด 8. สมาชกิ ในกลุ่มมีการปฏิสมั พนั ธอ์ ย่างเปน็ กันเอง 4.60 0.50 มากทสี่ ดุ 9. สมาชกิ ในกลุ่มยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ซ่ึงกนั และกัน 4.13 0.79 มาก 10. สมาชิกในกลุ่มยอมรับความผิดพลาดของเพื่อนร่วมทมี 4.33 0.73 มาก เฉล่ยี 4.24 0.66 มำก
33 จากตารางท่ี 3 ผลการศกึ ษาพบวา่ ผลการประเมินการทางานร่วมกัน ของนักเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 ทจี่ ัดการเรยี นการสอนโดยใช้ Google Apps มีคา่ เฉล่ีย เทา่ กบั 4.24 และ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน เทา่ กบั 0.66 เมื่อนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้กาหนดไว้พบว่าอยู่ในเกณฑ์ มาก ผลกำรประเมินควำมพึงพอใจ จากการทดลองโดยให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 จานวน 40 คน กาลังศึกษาในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ทาแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนการสอนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการ ทางานร่วมกนั สามารถสรปุ ผลการประเมนิ ไดด้ งั น้ี ตำรำงท่ี 4 สรุปผลการประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนการสอนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 เพอื่ สง่ เสริมการทางานรว่ มกัน โดยนักเรยี น ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 รำยกำรทีป่ ระเมนิ x̅ S.D. สรปุ 1. ช่วยใหบ้ รรลเุ ป้าหมายของการเรยี น 4.35 0.70 มาก 2. ชว่ ยสง่ เสริมทักษะการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 4.45 0.64 มาก 3. ตัวอยา่ งที่ใช้อธิบายสอดคล้องกับบทเรยี น 4.30 0.72 มาก 4. ช่วยให้มีความกระตือรือร้นในการเรียนมากขึน้ 4.20 0.69 มาก 5. กจิ กรรมการเรยี นช่วยใหเ้ ขา้ ใจบทเรียน 4.08 0.69 มาก 6. ช่วยให้มสี ว่ นร่วมและการแสดงความคดิ เหน็ 4.13 0.79 มาก 7. ชว่ ยใหป้ ระหยดั เวลาในการเรยี น 4.13 0.79 มาก 8. แบบทดสอบมีความยากงา่ ยเหมาะสมและตรงกับเนอื้ หา 4.15 0.66 มาก ท่ีเรียน 9. การจดั การเรียนการสอนดว้ ย Google Apps สามารถ 4.58 0.50 มากท่สี ุด เรียนรู้ไดท้ ุกท่ี ทุกเวลา 10. การจดั การเรยี นการสอนด้วย Google Apps ส่งเสรมิ 4.68 0.47 มากทส่ี ุด การทางานร่วมกัน เฉล่ยี 4.30 0.67 มำก จากตารางที่ 4 ผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า รายการคาถามประเด็นที่ 10 การ จัดการเรียนการสอนดว้ ย Google Apps สง่ เสริมการทางานร่วมกัน มีคะแนนเฉลี่ยมากท่ีสุด เท่ากับ
34 4.58 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.50 รองลงมาคอื รายการคาถามประเดน็ ที่ 9 การจัดการเรียน การสอนด้วย Google Apps สามารถเรียนรู้ได้ทุกท่ี ทุกเวลา มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.58 ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 และรายการคาถามท่ีมีคะแนนความพึงพอใจต่าสุด คือ รายการ คาถามประเด็นท่ี 5 กิจกรรมการเรียนช่วยให้เข้าใจบทเรียน มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.08 ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.69 และมคี า่ เฉลี่ยรวมทกุ รายการ เท่ากับ 4.30 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 0.67 เมอื่ นามาเปรียบเทียบเกณฑท์ ่ไี ด้กาหนดไวพ้ บว่าอยู่ในเกณฑ์มาก
บทท่ี 5 สรปุ ผลกำรวิจยั และขอ้ เสนอแนะ ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นการจัดการเรียนการสอนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชีพและ เทคโนโลยี 6 เพ่ือส่งเสริมการทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 โรงเรียน ประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3/4 ท่ีเรียนโดยใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพ่ือส่งเสริมทักษะการทางานร่วมกัน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/4 ท่ีมีต่อการใช้ Google Apps ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 สาหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอ ประโคนชัย จงั หวัดบุรีรมั ย์ จานวน 40 คน สรุปผลกำรวจิ ยั จากการศึกษาการจัดการเรียนการสอนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชีพและ เทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการทางานร่วมกัน ได้ผลดังนี้ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 จานวน 40 คน ผลที่ได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ซงึ่ มคี ะแนนเตม็ 20 คะแนน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนน เฉลย่ี ได้ 14.73 คิดเป็นร้อยละ 75.51 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.04 และผลที่ได้จากการ ทาแบบทดสอบหลังเรียนซึ่งมีคะแนนเต็ม 20 คะแนนเท่ากัน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/4 สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 17.35 คิดเป็นร้อยละ 88.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.41 ผล ปรากฏวา่ คะแนนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น ด้านการทางานร่วมกันของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 มีผลการประเมินการทางาน รว่ มกัน ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/4 ทจี่ ัดการเรียนการสอนโดยใช้ Google Apps มีค่าเฉล่ีย เทา่ กบั 4.24 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เทา่ กบั 0.66 เมื่อนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้กาหนดไว้ พบว่าอยใู่ นเกณฑ์มาก
37 สว่ นในด้านผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า รายการคาถามประเด็นท่ี 10 การจัดการ เรยี นการสอนดว้ ย Google Apps สง่ เสริมการทางานร่วมกัน มีคะแนนเฉลี่ยมากท่ีสุด เท่ากับ 4.58 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 รองลงมาคือรายการคาถามประเด็นที่ 9 การจัดการเรียนการ สอนด้วย Google Apps สามารถเรียนรไู้ ดท้ กุ ที่ ทกุ เวลา มคี ะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.50 และรายการคาถามที่มีคะแนนความพึงพอใจต่าสุด คือ รายการคาถาม ประเด็นที่ 5 กิจกรรมการเรียนช่วยให้เข้าใจบทเรียน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.08 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเทา่ กบั 0.69 และมีค่าเฉลี่ยรวมทุกรายการ เท่ากับ 4.30 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.67 เม่อื นามาเปรียบเทยี บเกณฑ์ที่ได้กาหนดไวพ้ บว่าอยู่ในเกณฑ์มาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนการสอนด้วย Google Apps วิชา การงานอาชีพและ เทคโนโลยี 6 เพื่อส่งเสริมการทางานร่วมกัน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ทาให้ผู้เรียนมี การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกลุ่ม มีทักษะในการทางานร่วมกัน และมที กั ษะในการใช้เทคโนโลยี จึงส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผเู้ รยี นสงู ขน้ึ ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรมกี ารใช้ Google Apps ในรายวชิ าอืน่ ๆ ด้วย 2. ควรมีการนารูปแบบการเรยี นการสอนอน่ื ๆ มารว่ มกบั การใช้ Google Apps
38 บรรณำนกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำข้ันพน้ื ฐำน พุทธศักรำช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. บุญชม ศรสี ะอาด. (2554). กำรวิจัยเบอ้ื งต้น. (พมิ พ์ครั้งที่ 9). กรงุ เทพฯ : สุรีวทิ ยาสาสน์ . พรทพิ ย์ ไชยโส. (2545). เอกสำรคำสอนวิชำ 153521 หลักกำรวัดและกำรประเมนิ ผลกำรศึกษำ ขน้ั สงู . กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพมิ่ พล โอนธรรม. (ม.ป.ป.) Google Apps คอื อะไร มปี ระโยชนแ์ ละการใชง้ านอย่างไร. [ออนไลน]์ . แหล่งท่มี า : https://fishingtoyou.wordpress.com/assignment /assignment3. [ 20 กรกฎาคม 2561]. รสริน พมิ ลบรรยงก.์ (2551). ระบบกำรสอนและกำรฝึกอบรม : กำรออกแบบ กำรพฒั นำและ กำรนำไปใช้. นครราชสีมา : โปรแกรมวิชาเทคโนโลยแี ละสอ่ื สารการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครราชสมี า. ลว้ น สายยศและองั คณา สายยศ. (2543). เทคนคิ กำรวจิ ัยทำงกำรศกึ ษำ. พมิ พค์ รั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาสน์ . วจิ ารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้ำงกำรเรียนรเู้ พื่อศษิ ย์ ในศตวรรษที่ 21. พิมพ์ครงั้ ที่ 1. กรุงเทพฯ : มลู นธิ สิ ดศรี-สฤษวงศ์. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555 ก). กำรวดั ผลประเมนิ ผลคณิตศำสตร.์ กรงุ เทพฯ : ซเี อ็ดยูเคชัน. สวลี มูลวณิชย.์ (2555). ผลกำรพฒั นำบทเรียนบนเวบ็ เร่ือง กำรออกแบบระบบ เครอื ขำ่ ยและเครอื ขำ่ ยอนิ เทอรเ์ น็ตด้วยกำรเรียนแบบผสมผสำนของนักศึกษำ ระดับชนั้ ประกำศนียบตั รวิชำชพี ชน้ั สงู . วทิ ยานิพนธ์ศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศกึ ษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. สานกั แผนและประกันคุณภาพการศกึ ษา. (ม.ป.ป.). กำรให้กำรศกึ ษำสำหรบั ศตวรรษที่ 21. [ออนไลน]์ . แหล่งท่มี า : www.ptu.ac.th/quality/data/levyp1.pdf [ 20 กรกฎาคม 2561]. สมนกึ ภัททิยธนี. (2551). กำรวัดผลกำรศึกษำ. พมิ พค์ รง้ั ที่ 5. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพมิ พ์. สมบูรณ์ ตนั ยะ. (2545). กำรประเมินทำงกำรศึกษำ. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาลน์ . สวุ ทิ ย์ มูลคา และอรทยั มูลคา. (2546). 19 วธิ ีจัดกำรเรยี นรู้ : เพื่อพัฒนำควำมรู้และทักษะ. กรุงเทพฯ : ภาพพมิ พ์ Doherty,B. (1998, September-October). “The interment : Destined to become a passive surfing teachnology.” Educational Technology. 38(5) : 221-247. Parson, P. (1997). An investigation into instruction available on the www. [Online]. Availabe : http://www.osie.on.ca/~rparson/out1d.html [2016, September 20].
39 ภำคผนวก
บทเรียนออนไลนท์ ่สี รำ้ งด้วย google sites
41 แบบทดสอบก่อนเรยี น
42 นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษำปีที่ 3/4
43 นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษำปีที่ 3/4
Search