วิถชี วี ติ วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพิสัย จงั หวัดนครสวรรค ๓๕ วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค
๓๔ วถิ ีชีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จงั หวดั นครสวรรค
วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพิสยั จงั หวดั นครสวรรค ๓๕ คาํ ปรารภ อธิบดีกรมสง เสริมวฒั นธรรม วัฒนธรรมเปนส่ิงท่ีแสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเปน ระเบียบ เรียบรอย เปนมรดกทางสังคมไทย ที่บรรพบุรุษไดสรางสรรค และสั่งสมมาตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน ถายทอดจากรุนสูรุน มีขนบธรรมเนียม ประเพณีอันเปนที่ยอมรับรวมกันในสังคมน้ันๆ ศิลปวัฒนธรรมของไทย มีความแตกตางกันในแตละทองถ่ิน ทั้ง ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูด ภาษาเขียน การแตงกาย อาหาร วิถีชีวิต และความเชื่อ ซึ่งมีเอกลักษณเฉพาะที่บงบอกถึงคานิยม ความเช่ือ ศาสนา วิถีชีวิตความเปนอยู ตลอดจนสภาพแวดลอมของ ผูคนในทองถ่นิ แสดงใหเห็นถึงความเจริญรุงเรืองทางวฒั นธรรมท่แี ฝง ไปดวยภูมิปญญา และความเปนชาติที่มีอารยธรรมเกาแกมาชานาน จนกลายเปน รากฐานขององคค วามรทู างศลิ ปวฒั นธรรม และภมู ปิ ญ ญา ในดานตางๆ ทม่ี ีคณุ คาของไทย ในการนี้ เพื่อประโยชนในการอนุรักษหรือฟนฟูจารีตประเพณี ภูมิปญญาทองถ่ิน ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของทองถ่ินและของชาติ และประสานการดาํ เนนิ งานวฒั ธรรมซงึ่ ภาคประชาสงั คม และประชาชน มสี ว นรว ม กรมสง เสรมิ วฒั นธรรม จงึ ไดใ หก ารสนบั สนนุ สภาวฒั นธรรม จังหวัดนครสวรรค ดําเนินการจัดทําหนังสือวิถีชีวิตวัฒนธรรมอําเภอ
๓๔ วิถีชีวติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จงั หวัดนครสวรรค ตางๆ ในจังหวัดนครสวรรค เพอื่ รวบรวมและเผยแพรขอมลู ซ่งึ เปน ทุน ทางวัฒนธรรมของจงั หวัดนครสวรรค เพื่อใหเกิดประโยชนสําหรบั เด็ก เยาวชน และบุคคลท่ัวไป ไดศึกษาและรวมภาคภูมิใจในวัฒนธรรม ทองถน่ิ จนกอใหเกิดความรกั ความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรม ของตน ตระหนักและเห็นคุณคาของวัฒนธรรมทองถิ่น ปลูกจิตสํานึก ความรักชาติ รักถ่ิน รักแผนดินนครสวรรค และรวมอนุรักษสืบสาน วฒั นธรรมเหลานี้ใหอนชุ นคนรุนหลังสืบตอไป (นายชาย นครชยั ) อธิบดีกรมสงเสริมวฒั นธรรม
วิถชี วี ติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสยั จังหวัดนครสวรรค ๓๕ คํานิยม ผูวาราชการจงั หวัดนครสวรรค การจัดทาํ หนังสือ วิถีชีวิต วัฒนธรรมอําเภอตางๆ ของจงั หวดั นครสวรรค เปนการทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรม เพ่ือใหเกิด การสบื สาน และการสรา งองคค วามรทู างดา นวฒั นธรรมนบั เปน พนั ธกจิ ท่ีสําคัญของงานวัฒนธรรม การที่กรมสงเสริมวัฒนธรรม สนับสนุน ใหส ภาวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรคร ว มกบั สาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค ดําเนินการจัดทําหนังสือวิถีชีวิต วัฒนธรรมอําเภอ ๑๕ อาํ เภอ จงั หวดั นครสวรรค เพอื่ ดแู ลรกั ษา สืบสานมรดกทางวฒั นธรรม และเผยแพรขอมูล ซ่ึงเปนทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัดนครสวรรค ขอมูลดังกลาวไดมาจากการสังเคราะหและเรียบเรียงเน้ือหาจาก คณะกรรมการสภาวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค นกั วชิ าการสาํ นกั งาน วฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค และผมู คี วามรทู หี่ ลากหลาย โดยรวบรวม ประวัติ ตํานาน ชุมชนด้ังเดิมโบราณสถาน-โบราณวัตถุ ศาสนา และความเช่ือ บุคคลสําคัญทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมทองถ่ิน รกุ ขมรดก แหลงทองเทยี่ วเชิงวัฒนธรรม บุคคลผูทําคณุ ประโยชนดาน วฒั นธรรมทค่ี วรยกยอ งอนั สะทอ นถงึ วฒั นธรรมของจงั หวดั นครสวรรค ซึ่งจะเปนประโยชนตอการสืบคน การเก็บรวบรวมเรื่องราวตางๆ ใน รปู แบบหนังสือ บนั ทึกลงแผนซีดี และจัดทํา QR Code
๓๔ วถิ ีชีวติ วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพิสยั จงั หวัดนครสวรรค ในนามของจังหวัดนครสวรรค ขอแสดงความชื่นชมและขอ ขอบคุณคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค นักวิชาการ วัฒนธรรม สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค และผูเก่ียวของ ทไ่ี ดทุมเทแรงกาย แรงใจในการจดั ทาํ หนงั สือวิถีชีวิต วฒั นธรรมอาํ เภอ ๑๕ อาํ เภอ จงั หวดั นครสวรรค เพอ่ื อนรุ กั ษและเผยแพรขอมลู อนั จะ เปน ประโยชนตอคนรุนหลังตอไป (นายอรรถพร สิงหวิชยั ) ผูวาราชการจงั หวัดนครสวรรค
วิถชี ีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จังหวดั นครสวรรค ๓๕ คาํ นิยม วัฒนธรรมจงั หวัดนครสวรรค หนังสือวิถีชีวิต วัฒนธรรมของแตละอาํ เภอนี้ เปน การรวบรวม ขอมลู ความรตู างๆ ทเ่ี ปน เรอ่ื งราวของทองถนิ่ ทมี่ ีมาอยางยาวนาน ดาน ศิลปะและวัฒนธรรม วิถีชีวิต ประเพณี ชุมชนดั้งเดิม โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ความเปน อยทู ส่ี อ่ื การรกั ษาอารยธรรมของบรรพบรุ ษุ ทเี่ ปน เอกลักษณของแตละอําเภอไว เพื่อใหคนรุนหลังไดเรียนรู ไดสืบทอด และตอยอดทางวัฒนธรรม กระผมตองขอขอบคุณและช่ืนชมนักวิชาการวัฒนธรรม ผูประสานงานประจําอําเภอทุกทาน ผูเกี่ยวของทุกฝายทุกทานท่ีไดให ขอมูล คําแนะนํา ขอเสนอแนะ ท่ีเปนประโยชนในการจัดทําหนังสือ ในครงั้ นี้ เพอ่ื เกบ็ รวบรวมขอ มลู จนสาํ เรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงคข องโครงการ ทายนี้หวังเปนอยางย่ิงวาหนังสือเลมน้ีจะเปนประโยชนในการ ศึกษาคนควา สําหรบั นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และผูสนใจทั่วไป และขอใหทุกทานรวมอนุรักษสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีของทองถิ่น นั้นไวใหคงอยูกบั ลกู หลานสืบไป (นายประสิทธ์ิ พุมไมชยั พฤกษ) วัฒนธรรมจังหวดั นครสวรรค
๓๔ วถิ ีชีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จงั หวดั นครสวรรค
วิถีชีวติ วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จังหวดั นครสวรรค ๓๕ คํานาํ ประธานสภาวัฒนธรรมจงั หวดั นครสวรรค วัฒนธรรม หมายถึงวิถีการดําเนินชีวิต ความคิด ความเชื่อ คานิยม จารีตประเพณี พิธีกรรม และมรดกภูมิปญญา ซึง่ กลุมคนและ สังคมไดรวมกันสรางสรรค ส่ังสม ปลูกฝง เรียนรู สืบทอด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพ่ือใหเกิดความเจริญงอกงาม ท้ังดานจิตใจและวัตถุ ใหเกิดสันติสุขและความยั่งยืนสืบไป หนังสือวิถีชีวิต วัฒนธรรมเลมนี้ มาจากการสังเคราะหและ เรยี บเรยี งเนอ้ื หาจากนกั วชิ าการสาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค และคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค ซ่ึงแบงออก เปน เลม เลมละ ๑ อาํ เภอ รวม ๑๕ เลม ๑๕ อาํ เภอ เนื้อหาไดแก ประวตั ิ ตํานาน สภาพปจจบุ ัน ชมุ ชนดั้งเดิม ศิลปะทองถิน่ วัฒนธรรมทองถน่ิ แหลงทองเทย่ี วเชิงวฒั นธรรม บคุ คลผูทําคณุ ประโยชนดานวฒั นธรรม ที่ควรยกยองในอําเภอตางๆ ของจังหวัดนครสวรรค จัดทําในรูปแบบ หนงั สอื แผน ซดี ี และจดั ทาํ QR Code ทง้ั นไ้ี ดร บั การสนบั สนนุ งบประมาณ จากกรมสงเสริมวัฒนธรรม โดยความรวมมือของจังหวัดนครสวรรค เปนอยางดีย่งิ หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือวิถีชีวิตวัฒนธรรมอําเภอเลมน้ี จะเปนประโยชนแกนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป และขอใหเรา
๓๔ วถิ ีชวี ติ วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จังหวดั นครสวรรค ชวยกันสงเสริม อนรุ กั ษ วฒั นธรรมใหเจริญงอกงามย่งิ ขึ้น ขอขอบคณุ ผูเก่ียวของ ที่ใหขอมูลทุกทาน ลวนเปนผูกอใหเกิดความสําเร็จในการ จัดทําหนังสือในคร้ังนี้ หนังสือวิถีชีวิตวัฒนธรรม เลมนี้จึงถือไดวา มี คณุ คาอยางยงิ่ เปน สมบัติของเราชาวจงั หวดั นครสวรรคตอไป (นายนัทธี พุคยาภรณ) ประธานสภาวัฒนธรรมจงั หวัดนครสวรรค
วถิ ชี วี ิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จังหวัดนครสวรรค ๓๕ สารบญั หนา เรือ่ ง ๑ ๖ บทที่ ๑ ประวตั ิ ตาํ นาน คําขวญั และสภาพปจ จุบนั ๙ ประวตั ิ ตํานาน ๒๓ คําขวญั ๒๙ บทที่ ๒ ชมุ ชนด้งั เดิม ๓๓ ชมุ ชนด้ังเดิม ๔๙ โบราณสถาน ๕๓ บทท่ี ๓ ศาสนาและความเชอ่ื ศาสนสถาน ๕๗ บุคคลสําคัญทางศาสนา บทที่ ๔ ศิลปะทองถ่ิน ศิลปการแสดง บทท่ี ๕ วฒั นธรรมทอ งถน่ิ วิถีชีวิต
๓๔ วถิ ชี ีวติ วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จงั หวดั นครสวรรค ๕๙ ๖๒ มรดกภมู ิปญ ญาทองถ่ิน ๗๒ ประเพณีทองถิน่ รกุ ขมรดก ๗๕ บทท่ี ๖ แหลง ทอ งเท่ยี วเชิงวฒั นธรรม สถานที่ บรรณานุกรม ภาคผนวก
วิถีชวี ติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสยั จังหวดั นครสวรรค ๓๑๕ ๑บทท่ี ประวัติ ตํานาน คําขวัญ และสภาพปจ จุบัน ประวัติอาํ เภอบรรพตพิสัย ท่ีวาการอาํ เภอบรรพตพิสยั ในสมัยโบราณอาํ เภอบรรพตพิสยั มีฐานะเปน เมืองจัตวา มีชอ่ื วา “เมืองบรรพตพิสัย”มีผูวาราชการปกครองท่ีวาการเมืองเดิมต้ังอยู บนฝงตะวันออกของแมนํ้าปง คือบานคลองมะเดือ่ หมูที่ ๕ ตาํ บลตาสัง ในปจจบุ นั ตอมาในป พ.ศ. ๒๔๕๓ ไดยกฐานะเปน อําเภอและไดยาย ที่วาการอําเภอบรรพตพิสัยมาอยูท่ีฝงตะวันตกของแมน้ําปง ที่บาน
๓๒๔ วถิ ชี วี ติ วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพิสัย จงั หวัดนครสวรรค เทศบาลตาํ บลบรรพตพิสยั สมเสี้ยว หมูที่ ๒ ตําบลทางิ้ว จนทกุ วันนี้ เหตุทเ่ี รียกวา “บรรพตพิสยั ” เพราะในทอ งทนี่ มี้ ภี เู ขาลกู หนง่ึ ชอ่ื เขาหนอ และภเู ขาอกี หลายลกู บรเิ วณ ใกลเคียงกนั ต้ังอยูท่บี านเขาหนอ หมูท่ี ๒ ตาํ บลบานแดน มองในระยะ ไกล ๆ จะเห็นเปนรูปคลายพระปรางค ตั้งเรียงรายกันเปนระเบียบดู สวยงามจึงไดชอ่ื วา “บรรพตพิสัย” ทีต่ งั้ และอาณาเขต อาํ เภอบรรพตพสิ ยั ตงั้ อยทู างทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของจงั หวดั นครสวรรค มีพื้นท่ีประมาณ ๘๙๘ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๕๖๘,๖๘๔ ไร สภาพพื้นทเ่ี ปนทีร่ าบลุม เหมาะแกการเกษตรกรรม และอยูหางจากตัวจังหวัดนครสวรรค ประมาณ ๔๕ กิโลเมตร มี อาณาเขตติดตอกบั จงั หวัดใกลเคียง คือ
วถิ ชี ีวติ วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพิสัย จงั หวดั นครสวรรค ๓๕ ทศิ เหนอื ตดิ ตอ กบั อาํ เภอขาณวุ รลกั ษบรุ ี จงั หวดั กาํ แพงเพชร และอาํ เภอโพทะเล จังหวดั พิจิตร ทิศใต ติดตอกับ อาํ เภอเกาเลี้ยว และ อําเภอเมือง จงั หวดั นครสวรรค ทิศตะวันออก ติดตอกบั อาํ เภอโพทะเล จงั หวัดพิจิตร ทิศตะวันตก ติดตอกบั อําเภอลาดยาว จังหวดั นครสวรรค การคมนาคม ในเขตอําเภอบรรพตพิสยั มีถนนเชื่อมติดตอถึงกนั ทุกตาํ บล มี ถนนสายหลกั เชอื่ มตดิ ตอ ระหวา งตาํ บล และจงั หวดั ใกลเ คยี ง ถา จะเดนิ ทางมาอาํ เภอบรรพตพิสัย โดยทางรถยนต ดงั นี้ ทางหลวงแผนดินหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) จากจังหวัด เชยี งใหม ผา นตาํ บลบางแกว บา นแดน และ ตาํ บลทา งวิ้ แยกบา นหนองสงั ข เขาถนนทาง หลวงแผนดินหมายเลข ๑๐๗๓ ถึงอําเภอบรรพตพิสัย ทางหลวงแผนดินหมายเลข ๑๐๘๔ จากจงั หวดั นครสวรรคถึง จงั หวดั กาํ แพงเพชร ผา นตาํ บลบางตาหงาย ตาํ บลเจรญิ ผล ตาํ บลตาสงั และตาํ บลตาขีด แยกเขาทางหลวงแผนดินหมายเลข ๑๐๗๓ ถึงอาํ เภอ บรรพตพิสยั ทางหลวงแผนดินหมายเลข ๑๐๗๓ จากอาํ เภอบรรพตพิสัย ถงึ อาํ เภอโพทะเล จงั หวดั พจิ ติ ร ผา นตาํ บลทา งว้ิ ตาํ บลเจรญิ ผล ตาํ บล ดานชาง ตําบลบึงปลาทู และตําบลหนองตางู
๓๔ วถิ ชี ีวิต วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จงั หวัดนครสวรรค ทางหลวงแผน ดนิ สายเอเชยี จากจงั หวดั นครสวรรค ถงึ จงั หวดั พิษณุโลก ผานตําบลหนองกรด แยกเขาทางหลวงแผนดินหมายเลข ๑๐๗๓ ถึงอําเภอบรรพตพิสัย ทางหลวงจงั หวดั จากจงั หวดั นครสวรรค ถงึ อาํ เภอบรรพตพสิ ยั ผาน ตาํ บลหูกวาง และ ตาํ บลทางิ้ว อาชีพหลกั ทํานา, ทาํ ไร, ทาํ สวน อาชีพเสริม การประมงเลี้ยงปลา เลี้ยงสัตวปก งานฝมือ แปรรูปอาหาร วฒั นธรรม ประชาชนในเขตอําเภอบรรพตพิสยั เกือบท้ังหมด นบั ถือพทุ ธ ศาสนา มหี ลกั ในการดาํ เนนิ ชวี ติ เหมอื นกบั ชาวพทุ ธทว่ั ๆ ไป รกั ความสงบ มีความสามัคคีปรองดองกัน ยึดมั่น และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามมาต้ังแตตั้งเดิม
วถิ ีชวี ติ วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จังหวัดนครสวรรค ๕๓๕ การปกครองสว นทอ งถน่ิ ทองท่ีอําเภอบรรพตพิสัยประกอบดวยองคกรปกครองสวน ทองถ่นิ ๑๔ แหง ไดแก เทศบาลตาํ บลบรรพตพิสยั ครอบคลมุ พื้นทบี่ างสวนของตาํ บล ทางิ้วและตาํ บลเจริญผล เทศบาลตาํ บลบา นแดน ครอบคลมุ พน้ื ทตี่ าํ บลบา นแดนทงั้ ตาํ บล • องคการบริหารสวนตําบลทางิ้ว ครอบคลุมพื้นทต่ี าํ บล ทางิ้ว (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตําบลบรรพตพิสยั ) • องคการบริหารสวนตําบลบางตาหงาย ครอบคลมุ พื้นท่ี ตําบลบางตาหงายทั้งตําบล • องคการบริหารสวนตาํ บลหูกวาง ครอบคลุมพื้นท่ตี ําบล หูกวางท้ังตาํ บล • องคการบริหารสวนตาํ บลอางทอง ครอบคลมุ พื้นทต่ี าํ บล อางทองทั้งตาํ บล • องคการบริหารสวนตําบลบางแกว ครอบคลมุ พื้นท่ตี าํ บล บางแกวทั้งตาํ บล • องคการบริหารสวนตําบลตาขีด ครอบคลุมพื้นทต่ี าํ บล ตาขีดท้ังตาํ บล • องคการบริหารสวนตําบลตาสัง ครอบคลมุ พื้นท่ตี าํ บล ตาสงั ท้ังตาํ บล
๓๖๔ วิถชี วี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ัย จังหวดั นครสวรรค • องคการบริหารสวนตาํ บลดานชาง ครอบคลมุ พื้นท่ตี าํ บล ดานชางท้ังตําบล • องคก ารบรหิ ารสว นตาํ บลหนองกรด ครอบคลมุ พนื้ ทต่ี าํ บล หนองกรดท้ังตาํ บล • องคก ารบรหิ ารสว นตาํ บลหนองตางู ครอบคลมุ พน้ื ทตี่ าํ บล หนองตางูทั้งตาํ บล • องคการบริหารสวนตาํ บลบึงปลาทู ครอบคลมุ พื้นทต่ี าํ บล บึงปลาททู ั้งตาํ บล • องคการบริหารสวนตําบลเจริญผล ครอบคลมุ พื้นท่ตี ําบล เจริญผล (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตาํ บลบรรพตพิสยั ) ตํานานอาํ เภอบรรพตพิสยั เมอื งโบราณดงแมน างเมอื ง (ธานยบรุ )ี เปน หนงึ่ ในเมอื งโบราณ ที่อยูในเขตเมืองนครสวรรค จากการสัมภาษณชาวบานในพื้นท่ีและ พระภกิ ษใุ นวดั ดงแมน างเมอื งพบวา สภาพแวดลอ มของเมอื งดงแมน างเมอื ง ในสมัยกอนประมาณ ๔๐-๕๐ ปกอนน้ัน พื้นท่ีโดยรอบเปนปาไมและ ปาไผ แลวจึงมี การสรางวัดและการเขามาจับจองพ้ืนท่ีในภายหลัง โดยสวนใหญชาวบานที่เขามาจะหนีนํ้าทวมมาจากพ้ืนท่ีอื่นและเขามา ปลกู บาน โดยอพยพมาจากหลายพื้นท่ี คือ ทาซดุ , บางละมุง อาํ เภอ โกรกพระ จงั หวดั นครสวรรค, จงั หวดั อทุ ยั ธาน,ี จงั หวดั ศรสี ะเกษ เปน ตน
วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จังหวดั นครสวรรค ๗๓๕ โดยแรกเริ่มภายในบริเวณเมืองโบราณดงแมนางเมือง เปนสถานที่ ในการทํานาและเผาถานของชาวบานแตไมไดต้ังถ่ินฐานประจําอยูท่ีนี่ ตอมาในภายหลังจึงเร่ิมเขามาต้ังถ่ินฐาน (ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ เศษ ๆ) การเขามาของกลุมคนมีท้ังที่เปนคนไทยและคนลาวเวียงจันทรท่ีอาศัย อยบู รเิ วณบา น มาบมะขามในปจ จบุ นั ซง่ึ อยทู างตอนลา งของเมอื งโบราณ ดงแมน างเมอื ง มกี ารสรา งบา นเรอื นและ วดั ประจาํ ชมุ ชน โดยมลี กั ษณะ การตงั้ ถน่ิ ฐานบา นเรอื นรวมอยเู ปน กลมุ ใหญล อ มรอบบรเิ วณวดั ถดั จาก กลมุ เรอื นออกไปจงึ เปน พนื้ ทท่ี าํ กนิ ตอ มาเมอื่ ประชากรมากขน้ึ จงึ มกี าร ขยบั ขยายเรอื นออกไป บา นเรอื นสว นใหญต งั้ อยบู นพน้ื ทภี่ ายในเขตเมอื ง โบราณเปนพื้นท่ีของกรมธนารักษ มีเพียงบางหลังเทานั้นท่ีมีโฉนดเปน ของตนเอง เดิมทีชาวบานจะอยูทางทิศเหนือ มีการต้ังบานเรือนอยูเปน จาํ นวนนอยและแยกกนั อยแู บบบานใครบานมนั แตในปจ จบุ นั มีการเขา มาอยูเพ่ิมเติมทําใหมีจํานวนมากขึ้น ชาวบานในพื้นท่ีมักจะพบ โบราณวตั ถมุ าโดยตลอดทงั้ จากการขดุ หาโบราณวตั ถตุ ามกรุ และจาก การพบโดยบังเอิญบนพ้ืนดินจากการสํารวจในปจจุบันพบวาสวนของ กําแพงคันดินท่ี ลอมรอบเมืองนั้นไดถูกทําใหหมดสภาพไปเกือบหมด ชาวบานเลาวาเม่อื กอนยงั เหน็ คันดินชดั เจน แต ปจ จบุ นั ถกู ปรับสภาพ สําหรับการใชพ้ืนท่ีทางเกษตรกรรมและตัดถนนสําหรับการสัญจร โดยทั่วไปมีเพียงกําแพงคันดินทางดานทิศใตเทานั้นที่ยังปรากฏใหเห็น สภาพอยู
๓๘๔ วถิ ีชีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค หลักศาลาจารึกดงแมน างเมือง
วถิ ีชวี ติ วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพิสยั จงั หวัดนครสวรรค ๙๓๕ คาํ ขวัญอําเภอบรรพตพิสัย กรงุ เกา ดงแมนางเมือง ลือเล่อื งฝงู คา งคาว เขาหนอ แพรวพราว สายน้าํ ยาวนามแมปง กรุงเกา ดงแมน างเมือง
๑๓๐๔ วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพิสยั จงั หวดั นครสวรรค “ดงแมน างเมอื ง” เปน แหลง โบราณคดสี าํ คญั แหง หนงึ่ ในจงั หวดั นครสวรรค ต้ังอยูระหวางแมนํ้าปงทางทิศตะวันตกกับแมน้ํายมและ แมน า้ํ นา นทางทศิ ตะวนั ออก เมอื งโบราณดงแมน างเมอื งจงึ อยใู นภมู นิ เิ วศ ของลุมน้ําเกรียงไกร-นานตอนปลาย ท่มี ีลํานํา้ หนองบึง มาบ ท่ีสําคญั คือ บริเวณนี้เคยพบจารึกหินชนวนเขียนดวยอกั ษรอินเดียและขอม ซึง่ กรมศิลปากรกําหนดใหเปนจารึกหลักที่ ๓๕ ระบุนามเมืองแหงนี้วา “ธานยปุระ” อีกท้ังกลาวถึง กษัตริยศรีธรรมาโศกราช (องคท่ี ๒) โปรดเกลาฯ ให เจาสนุ ตั ิแหงธานยปุระกัลปนาทด่ี ิน ผูคน สตั วแรงงาน และพชื ผล ถวายแดพ ระสถปู อนั บรรจพุ ระบรมอฐั ขิ อง “กมรเตงชคตศรี ธรรมาโศก” (องคท่ี ๑) ผูเปนพระราชบิดาเม่อื ป พ.ศ. ๑๗๑๐ อันแสดง ใหเ หน็ วา เมอื งธานยปรุ ะหรอื ดงแมน างเมอื งเคยเปน บา นเมอื งมาแตก อ น พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ แลว อีกท้ังพื้นทล่ี มุ นํ้าเจาพระยาตอนบนมีรฐั อิสระ รบั นบั ถอื พทุ ธศาสนาเถรวาท ดงั เหน็ ไดจ ากการเรยี กนามพระมหากษตั รยิ วา ศรีธรรมาโศกราช อันเปนประเพณีนิยมในวัฒนธรรมพุทธศาสนา แบบเถรวาท แตกตางจากท่เี คยปลกู ฝงตามประวตั ิศาสตรกระแสหลกั มาแตเดิมวา ดินแดนสยามประเทศกอนพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ นั้นตกอยู ใตการปกครองของอาณาจักรขอม ทั้งเมืองธานยปรุ ะนาจะสมั พนั ธกบั เมอื งเจนลฟี ทู ปี่ รากฏในจดหมายเหตจุ นี ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗-๑๘ รวมถงึ มีการติดตอสัมพันธกับเมืองโบราณหลายแหงท่ีพบในเขตนครสวรรค เชน เมืองบน (เขาโคกไมเดน) เมืองลาง (หางนํ้าสาคร) เมืองทาตะโก
วถิ ชี ีวติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จงั หวัดนครสวรรค ๑๓๕๑ เมืองไพศาลี ฯลฯ ซ่งึ เมืองเหลานี้เกาะกลุมกันในพื้นท่ลี ุมน้ําเจาพระยา และลุมน้ํานาน รวมถึงลุมน้ําเกรียงไกรท่ีเปนสาขาหน่ึงของแมน้ํานาน ดวย ลือเล่อื งฝูงคา งคาว ในเวลาเยน็ ใกลพลบค่ํา ฝงู คางคาวจะพากนั โบยบินออกหากิน บนิ ออกมาจากถาํ้ ของเขาหนอ -เขาแกว คา งคาวฝงู ใหญบ นิ ออกมาจาก ถา้ํ เปน สายสีดาํ ยาวเหยียด เปน ภาพทตี่ น่ื ตามาก เขาหนอเปน เขาหินปนู ท่ีมีวัดเขาหนออยูเชิงเขา มีบันไดข้ึนสูถํ้าบนยอดเขาและมีพระพุทธรูป นอนองคใหญอยูปากถ้ํา เม่ือครั้นพระเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จ ภาคเหนือทางสายแมนํ้าปง เคยประทับพักแรมตอมาจังหวัดไดสราง
๓๑๒๔ วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จงั หวดั นครสวรรค พระบรมรปู ไวเปน อนสุ รณ บริเวณเชิงเขา มีฝงู ลิง จาํ นวนมาก คอยรับ อาหาร จากนกั ทองเที่ยว ทีม่ าเยือน นอกจากนี้ ในเวลาเย็นจะมองเหน็ ฝูงคางคาวท่ี อาศยั อยูตามถ้ํานอยใหญ ในภูเขาบินออกไปหากิน ดเู ปน สายยาวสดี าํ อยบู นทอ งฟา สว นเขาแกว อยใู นบรเิ วณเดยี วกนั กบั เขาหนอ ปจจุบันมีถนนค่ันกลางแบงเขตกันอยางชัดเจน มีถ้ําหลายถํ้าซึ่งเปนที่ อยขู องคา งคาวมากมาย ในเวลาเยน็ ใกลพ ลบคา่ํ ฝงู คา งคาวจะพากนั บนิ ออกหากินนับลานตวั คางคาวบินออกหากินจากถํา้ ๓๐ นาที ก็ยังออก จากถา้ํ ไมห มด ปจ จบุ นั อบต.บา นแดนพฒั นาใหเ ปน แหลง ทอ งเทยี่ ว โดย สรางศาลาไวชมคางคาวไวบริการนักทองเที่ยว โดยเฉพาะวันเสาร- อาทติ ย จะมผี คู นจากตา งถนิ่ มาชมคา งคาวและรบั ประทานอาหารคาํ่ มี ชาวบานนาํ อาหารมาจาํ หนายไวบริการ
วิถชี ีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ัย จงั หวัดนครสวรรค ๑๓๕๓ เขาหนอ แพรวพราว ภูเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาที่มองเห็นมาแตไกลทุกครั้งเวลา สญั จรผา นไปมาบนถนนพหลโยธนิ ชว งรอยตอ ระหวา งจงั หวดั นครสวรรค กบั กาํ แพงเพชร ทเ่ี รยี กกนั วา เขาหนอ -เขาแกว แหง นี้ เปน แหลง ทอ งเทย่ี ว ทีน่ าสนใจอีกแหงหนง่ึ ของนครสวรรค เริม่ จากเขาหนอ ซึ่งเปน สถานที่ ที่มีความสําคัญทางประวัติศาสตรเมื่อพระเจาอยูหัวรัชกาลที่ ๕ เคย เสด็จประพาส โดยเสด็จภาคเหนือทางชลมารคผานแมน้ําปง เมื่อป พ.ศ. ๒๔๔๙ และตอมาในปพ.ศ. ๒๔๕๒ ไดพระราชทานสง่ิ ของใหแก หลวงพอแหยม วัดบานแดน เขาหนอแหงนี้แบงออกไดเปน ๒ สวนดวย กนั ไดแ ก ๑.เขานางพนั ธรุ ตั ซง่ึ เปน เขาลกู เลก็ ทคี่ ณุ สามารถเดนิ ขน้ึ ไปชม วิวบนยอดเขาผานบันได ๖๐ ขั้น ๒.เขาพระพุทธบาทหรือเขาลูกใหญ ที่บริเวณหนาเขาจะมีโรงเรียนรางเปนจุดสังเกต ที่น่ีอยูหางจาก
๑๓๔ วิถชี วี ิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสยั จงั หวดั นครสวรรค เขานางพันธุรัตราวๆ ๓๐๐ เมตร ดานบนเปนที่ประดิษฐานรอย พระพทุ ธบาทและเจดียเกาแกอายปุ ระมาณ ๔๐๐ ป สายนา้ํ ขาวนามแมป ง แมนํ้าปงเปนแมนํ้า สายสาํ คญั ทไ่ี หลอยใู นหบุ เขา ระหวา งทวิ เขาถนนธงชยั กลาง กับทิวเขาผีปนน้ําตะวันตก มีตนน้ําอยูที่ดอยถวย ใน พื้นท่ีเขตอําเภอเชียงดาว จงั หวดั เชียงใหม กระแสน้ําไหลลงมาจากทางทิศใตผานหบุ เขาเขาสเู ขต อําเภอแมแตง แมนํ้าปงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต แมนํ้าปง ตอนลางใตเขื่อนภูมิพลนั้นจะไหลผานที่ราบลุมมาบรรจบกับแมน้ําวัง ไหลผานจังหวัดกําแพงเพชร ไปบรรจบกับแมน้ํายมและแมน้ํานาน ท่ี ป า ก นํ้ า โ พ จั ง ห วั ด นครสวรรค รวมเปน แมนาํ้ เจา พระยาซงึ่ เปน สายเลอื ด ใหญของประเทศไทย
วถิ ีชวี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพิสยั จงั หวัดนครสวรรค ๑๓๕ ประวัติการตง้ั ถิ่นฐาน อาํ เภอบรรพตพสิ ยั ในสมยั โบราณมฐี านะเปน เมอื งจตั วา มชี อ่ื วา “เมืองบรรพตพิสัย”มีผูวาราชการปกครองท่ีวาการเมืองเดิมต้ังอยู บนฝงตะวันออกของแมน้ําปง คือบานคลองมะเดื่อ หมูที่ ๕ ตําบลตาสงั ในปจ จุบัน ตอมาในป พ.ศ. ๒๔๕๓ ไดยกฐานะเปนอําเภอและไดยาย ทวี่ า การอาํ เภอบรรพตพสิ ยั มาอยทู ฝ่ี ง ตะวนั ตกของแมน า้ํ ปง ทบี่ า นสม เสย้ี ว หมูที่ ๒ ตําบลทางิ้ว จนทุกวันนี้ เหตุทเ่ี รียกวา “บรรพตพิสยั ” เพราะใน ทอ งทน่ี ม้ี ภี เู ขาลกู หนง่ึ ชอื่ เขาหนอ และภเู ขาอกี หลายลกู บรเิ วณใกลเ คยี ง กัน ตั้งอยูท่ีบานเขาหนอ หมูท่ี ๒ ตําบลบานแดน มองในระยะไกลๆ จะเหน็ เปน รปู คลา ยพระปรางค ตง้ั เรยี งรายกนั เปน ระเบยี บดสู วยงามจงึ ไดชื่อวา “บรรพตพิสัย” ชุมชนดัง้ เดิม ดงแมน างเมือง ประวัติ เมอื่ เดอื นสงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ผวู า ราชการจงั หวดั นครสวรรค แจงขาวราษฎรขุดคนพบโบราณวัตถุ โบราณสถานในปาแหงหนึ่ง ซึ่ง เรยี กกนั วา ดงแมน างเมอื ง ตาํ บลบางตาหงาย อาํ เภอบรรพตพสิ ยั มายงั กรมศิลปากร กรมศิลปากรกองโบราณคดี กับนายจํารัส เกียรติกอง หวั หนา แผนกสาํ รวจ เดนิ ทางไปตรวจพจิ ารณาโบราณวตั ถโุ บราณสถาน
๓๑๖๔ วถิ ชี วี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จงั หวัดนครสวรรค รายนี้ ดงแมน างเมอื ง อยหู า งทว่ี า การอาํ เภอบรรพตพสิ ยั ไปทางทศิ เหนอื ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ภูมิลักษณะเปนเมืองราง ขนาดกวางใหญ ประมาณ ๑ กโิ ลเมตร มคี ชู น้ั นอกและชนั้ ในเทนิ ดนิ กาํ แพงเมอื งอยรู ะหวา ง กลาง ทางดานตะวันตกของเมืองอยูไมหางไกลแมนํ้าปงนัก ทางดาน ตะวนั ออกมคี ลองวงั ตะเคยี น เปน ทางนาํ้ ตดิ ตอ กบั แมน า้ํ นา น ทป่ี ากแมน าํ้ เชิงไกร ยาวประมาณ ๔๕ กิโลเมตร โบราณวตั ถุท่ีขดุ คนพบในบริเวณ นี้เปนพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ และศิลา ศิลปกรรมทวารวดีรุนหลังบาง พระพิมพดินเผาศิลปะแบบลพบุรีบาง ตลับหรือผอบสังคโลก ฝมือ ชางจีนบาง ในจําพวกเหลานี้มีศิลาจารึกหลักหน่ึงปกจมดินอยูที่โคก โบราณสถานใหญ แรกขดุ พบปก ตง้ั อยบู นฐานกอ ดว ยอฐิ รอบๆ ฐานอฐิ มีพระพิมพดินเผาและอัฐิบรรจุตลับ หรือผอบสังคโลกจีนฝงอยูดวย พระภกิ ษสุ วสั ดิ์ ฉนทฺ ธมโฺ ม เจา อาวาสวดั บา นไผ มคี วามหว งใย เกรงศลิ า จารึกจะเปนอันตรายเสียหาย จึงขอแรงราษฎรบรรทุกเกวียนขนยาย ไปรักษาไวท่ีวัดบานไผ แลวมอบหมายใหเจาหนาท่ีกองโบราณคดี กรมศิลปากร รบั ลงมายงั พิพิธภณั ฑสถานแหงชาติ พระนคร ศิลาจารึก หลักนี้ดานท่ี ๑ จารึกเปนภาษาบาลี ดานท่ี ๒ จารึกเปน ภาษาเขมร และ มีภาษาไทยปรากฏอยูดวย เชนคาํ วา “พระ” และ “นาํ ” เปนตน จารึก ดงแมนางเมืองนี้ เมื่อพิมพในศิลาจารึก ภาคท่ี ๓ ใชชอ่ื วา “หลกั ๓๕ ศิลาจารึกดงแมนางเมือง”
วถิ ชี วี ติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จงั หวัดนครสวรรค ๓๑๕๗ ตาํ บลตาขีด เดิมเปน ชมุ ชนหนง่ึ ของ ต.ตาสงั โดยมีคนเชื้อสายจีน ชอ่ื พายขีด ไดอ พยพมาจาก อ.ลาดยาว มาทาํ มาหากนิ โดยการคา ขายทางแมน า้ํ ปง จนมคี วามเจรญิ เตบิ โตขน้ึ เปน ชมุ ชน มกี ารซอ้ื ขายระหวา งอาํ เภอบรรพต และอําเภอขาณุวรลกั ษณบุรี จ.กาํ แพงเพชร ตอมามีประชากรมากขึ้น จึงจดั ต้ังเปนตําบล เรียกวา ต.ตาขีด ตําบลบานแดน เปนหมูบานดั้งเดิมมาต้ังแตสมัยโบราณ ตั้งแตสมัย รศ.๑๑๒ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา เจา อยหู วั ร.๕ ยงั ไดเ สดจ็ ประพาสทาง ชลมารค (ทางเรือ) ทรงเยีย่ มราษฎรทีว่ ดั บานแดน ยงั ไดพระทานนาม วัดบานแดนเสียใหมวา “วดั อรุณราชนาราม” มีหลวงพออุปทานแหยม เปนเจาอาวาส และยังพระราชทานส่ิงของใหวัด เชน ดวงตรากงจักร (ทองเหลือง) ดวงตราอรญั จกรโคมไฟหลวง ปนโตขนาดใหญ-เลก็ ฯลฯ และยงั เสดจ็ ประพาสชมเขาหนอ จากวดั ไปถงึ เขาหนอ ระยะทาง ๓,๐๐๐ เมตร ราษฎรไดสรางถนนปจจุบันเรียกถนนเสนนี้วา ทางเสด็จ จนถึง ทกุ วันนี้ ตําบลหนองตางู ตาํ บลหนองตางตู ง้ั อยทู างทศิ เหนอื ของอาํ เภอบรรพตพสิ ยั เมอื่ กอน ตําบลหนองตางนู ้ันเต็มไปดวยปาไม หนองนาํ้ ลําลอง เต็มไปดวย สัตวปา จนกระทงั่ มีกลุมชาวบานอพยพเขามาหกั ลางถางพง เพือ่ ทาํ ไร
๓๑๔๘ วถิ ีชวี ิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค นา เพราะเปนพื้นที่มีแหลงน้ําอุดมสมบูรณ โดยในกลุมชาวบานนั้น มีผูนําชาวบานเคารพนบั ถือของทุกคน ช่อื นายคง ซง่ึ เปน ผูนําชาวบาน และปกครอง ชาวบนดวยความเปนธรรม ไมมีความลําเอียงเสมอมา ตราบจนนายคงเสยี ชวี ติ ลง ชาวบา นทมี่ คี วามเคารพคณุ ธรรมของนายคง จึงพรอมใจตั้งศาลเจาขึ้นมาใหถูกหลานไดระลึกถึงคุณงามความดี เรียกวา ศาลปูคง โดยสรางบริเวณหนองนํ้าใหญใกลหมูบาน หลงั จากนน้ั ไดป รากฎเหตกุ ารณป ระหลาด คอื ชาวบา นทไี่ ปหา ปูปลา บริเวณนั้นโดยไมไดบอกปูคง หรือลบ หลูปูคง จะพบงูจํานวน มากในหนองนํ้านั้น จนไมกลาหาปูปลาแถวน้ัน จะตองบอกกลาวหรือ ถวายเครื่องเชนปูคงกอน จะไมมี ฝูงงูมารบกวน และกลับหาปลาได จํานวนมาก และไดกลาวกันวาในวันข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๖ ตรงกับ วันวิสาขบูชาของทุกปจะมี พญางูขนาดใหญเทาตนตาล ดวงตาสีเขียว มรกตทั้งคู ยาวประมาณ ๕ วา กลาวกนั วาเปน ปูคงมาดแู ลทุกขสขุ ของ ถกู หลาน ใน บางครั้งเวลาคาํ่ คืนชาวบานผานหนองน้ําทต่ี ้ังศาลปูคง จะ ปรากฏเห็นแสงสีเขียวมรกตขนาดใหญสองดวง ซ่ึงคาควาปนดวงตา ของพญางู ตอมาจึงไดเรียกกลาวขานหนองน้ําแหงนั้นวา “หนองตาง”ู และปจ จุบันนี้คือตําบลหนองตางู ตาํ บลดา นชา ง เดิมกอนท่ี ต.ดานชาง จะมีช่อื วา ต.ดานชางนน้ั มีชางอยูโขลง หนึ่งอาศัยอยูในปาเขต จ.กําแพงเพชร ประมาณ ๑๐๐ กวาเชือก
วถิ ชี วี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ัย จังหวัดนครสวรรค ๓๑๕๙ เดนิ มาขน้ึ ทบี่ า นดา นชา งซง่ึ เปน ทลี่ มุ และดอน เปน บรเิ วณทม่ี โี ปรง เกลอื สมยั โบราณเรยี กกนั วา “โปรง ดา นชา ง” ในสมยั นนั้ เปน ปา ดงดบิ จากเขต กาํ แพงเพชร มีแตปาไมสงู ใหญ และหนาทึบมาก โขลงชางเดินมาตาม สนั เนิน บานทุงนาดี -บานวงฆอง -บานฤกษสาํ ราญ -บานเนินทราย -บานหนองปลาไหล -บานดานชาง และบานหนองคลา และโขลงชาง ก็แยกยายหาอาหารในบริเวณนี้ ตอมาจึงทําใหเกิดเปนคลองดานชาง และผูเฒาผูแก จึงเรียกวา “ดานชาง” มาจนถึงทกุ วันนี้ บานอางทอง ต้ังอยูที่ตําบลอางทอง อาํ เภอบรรพตพิสยั จงั หวดั นครสวรรค เปนหมูบานเกาแก กอตั้งมา ๑๒๐ ป ตั้งอยูในพื้นที่ที่มีคลองสงน้ํา ซึ่งไหลมาจากแมนํ้าปงของอํากอบรรพตพิสัยและเปนแหลงพรรณไม นานาชนิด ชาวบานท่ี อพยพเขามาอาศยั ในรุนแรก ๆ น่ันคือตนตระกูล ของตระกลู “สรี ะวตั ร” อพยพมาจากหมบู า นบอ กุ อาํ เภอเดมิ บางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี มาต้ังรกรากถ่ินฐานอยูบริเวณท่ีทาหินแร ตําบล หนองกระโดน อาํ เภอเมือง จังหวัดนครสวรรค ในปพ.ศ. ๒๔๔๒ (นับ จากปเกิดของนายแกะ สีระวัตร) เพราะนายแกะ สีระวัตร เกิดเปน คนแรกในปท ตี่ ั้งบานทาหินแรซงึ่ เปน บตุ รของ นายตา นางสาลี สีระวตั ร ชาวบานทอ่ี พยพมาอยูท่ที าหินแร ยายมาอยูดวยกัน ๗ ครอบครวั คือ นายตา นายอํา่ นายจุน นายบญุ นางแทน นายพู นายทาํ มา เม่อื มา อาศัยอยูไดประมาณ ๘ เดือน เกิดฤดูน้ําหลาก ทําใหนํ้าทวมบริเวณ
๓๒๐๔ วิถชี ีวิต วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพิสยั จงั หวัดนครสวรรค ทอ่ี าศยั ชาวบานทาหิน ทั้งหมดจึงพรอมใจกนั ยายมาอยูบนเนินสงู ของ ท่ดี ินท่นี ้ําทวมไมถึง ปจจบุ ัน คือ คุมปางิ้วทองของหมูบานอางทอง ผูใหญเสา สีระวัตร ผูใหญบานหนองปลาไหล ตําบลดานชาง อําเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค ให ขอมูลประวัติความเปนมา ของหมูบานอางทองวา นางจําป ซ่ึงเปนภรรยาของนายอ่ํา สีระวัตร ทองแกใกลคลอด และคลอดลูก ออกมาเปนทารกเพศหญิงและญาติ คนหนึ่งไดไปหานํ้า เพ่ือนํามาทําคลอดและทําความสะอาดใหกับเด็ก ไดไ ปพบแอง นาํ้ ขนาดใหญไ มไ กลจากทอี่ าศยั มากนกั เปน อา งนาํ้ ลกึ และ น้ําใสมากไมเหมือนกับน้ําท่ีเคยพบเห็นทั่วๆไป ดังน้ันจึงตักน้ําในอาง นํ้าน้ีมาไวด่ืมกิน และนํามาทําความสะอาดใหกับตัวเด็กพอไดสักครู ก็เกิดเหตุการณประหลาดขึ้นกับเด็ก คือมีเปลวแสงสีทอง เกิดขึ้นตาม รางกายของเด็ก สรางความประหลาดใจใหกับผูที่ไดพบเห็น ชาวบาน จงึ พากนั ไปดทู อ่ี า งนาํ้ นนั้ ชาวบา นจงึ ไดต งั้ ชอ่ื อา งนา้ํ นว้ี า “อา งทอง” และ ตั้งช่ือเด็กผูหญิงท่ีเกิดมานี้วา”ทอง” และขนานนามหมูบานน้ีวา “บานอางทอง” ซ่งึ อางนํ้านี้ก็ยังคง อยูจนถึงปจจุบนั ชมุ ชนบานอางทองมีการพฒั นาการทางชมุ ชนสงู มาก จนไดรบั การยอมรับใหเปนหมูบานตนแบบตานยาเสพ ติดหมูบานตนแบบ เทิดพระเกียรติแดในหลวงรชั กาลที่ ๙ และเปน หมูบานตนแบบแมของ แผน ดนิ ตลอดจนเปน หมบู า นเศรษฐกจิ พอเพยี งอนั ดบั ๒ ในป พ.ศ. ๒๕๕๐
วิถชี วี ิต วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จงั หวัดนครสวรรค ๒๓๑๕ สภาพปจจบุ นั ภูมิประเทศและภมู ิอากาศ ลักษณะภูมิศาสตรโดยท่ัวไป สวนใหญเปนท่ีราบลุมเหมาะแก การเกษตร เปนทีร่ าบประมาณ ๓ ใน ๔ ของพื้นท่จี ังหวดั มีแมน้ําสาย สําคัญคือ แมนํ้าปง สภาพภูมิอากาศ ปริมาณนํ้าฝนในแตละป หากปใดปริมาณ นาํ้ ฝนมากกวา ๑,๒๐๐ มลิ ลเิ มตรตอ ป จะเกดิ ปญ หานาํ้ ทว ม ถา ปรมิ าณ ฝนตํ่ากวา ๑,๐๐๐ มิลลิเมตรตอป จะประสบปญหาฝนแลง ท้ังนี้ สืบเน่ืองจากสภาพพ้ืนท่ีของอําเภอที่มีลักษณะคลายทองกระทะ หรือ ผีเสื้อกางปกบิน
๓๒๔๒ วถิ ีชวี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ัย จังหวัดนครสวรรค การคมนาคมการคมนาคม ในเขตอําเภอบรรพตพิสัย มีถนน เชื่อมติดตอถึงกันทุกตําบล มีถนนสายหลักเช่ือมติดตอระหวางตําบล และจงั หวดั ใกลเ คยี ง ถา จะเดนิ ทางมาอาํ เภอบรรพตพสิ ยั โดยทางรถยนต ดงั นี้ ... ทางหลวงแผนดินหมายเลข ๑๐๗๓ จากอาํ เภอบรรพตพิสยั ถึง อําเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ผานตําบลทางิ้ว ตําบลเจริญผล ตําบล ดานชาง ตาํ บลบึงปลาทู และตําบลหนองตางู
วิถชี ีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จงั หวดั นครสวรรค ๒๓๓๕ ๒บทท่ี ชมุ ชนดง้ั เดิม แหลง โบราณ ชมุ ชนกลมุ คนดั้งเดิม ชุมชน / กลมุ คนดั้งเดิม วิถีชีวิตชาวโซง ชาวโซง ชาวโซง ลาวโซง ไทยโซง ลาวทรง (ชง) คาํ ลาวชวงดํา ผูไทยดํา ผูไทยชงดาํ ไทยดํา ไทยทรงดาํ หรือใน พงศาวดารเรียกวา ลาวทรงดาํ เปน ชอื่ เรียกชนกลมุ นอยหนงึ่ ทมี่ ีลกั ษณะเฉพาะกลมุ กลา วคือ การนิยม นุงผาสีดํา ดังท่ีเสถียร โกเศศกลาววา “สง โซง ทรง ดูทวงทีจะเปน คําเดียวกนั หมายความวา กางเกงดวยกันทรงดํา นาจะหมายความวา กางเกงดาํ ” ชอ่ื เรยี กชาวโซง โดยรวมแลว จงึ หมายถงึ “คนไทยนงุ กางเกง สีดาํ ” กลา วกนั วา แตเ ดมิ ชาวโซง อยรู ว มกบั ไทยสาขาอน่ื ๆ เปน อาณาจกั ร นานเจา ท่ีแถบภูเขาอัลไตทางตอนเหนือ ของจีน กอนท่ีจะอพยพ มาบริเวณแมนํ้าอู ในแควนสิบสองจไุ ท รวมทั้งลานชาง หลวงพระบาง ลวนแตอยูในอาณาเขตประเทศ สยามโบราณ
๒๓๔ วถิ ชี ีวิต วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพิสยั จังหวัดนครสวรรค จนเม่ือถึงสมัยกรุงธนบุรี เจานครเวียงจันทรผูปกครองแควน กระดางกระเดอ่ื งจึงโปรดฯ ใหกองทัพไทยไปตี เมืองเวียงจันทรไดในป พ.ศ.๒๓๒๑ และ ...ครนั้ ปร งุ ขนึ้ จงึ โปรดเกลา ใหก องทพั เมอื งหลวงพระบาง ไปตเี มอื งทนั เมอื งมอ ย ซง่ึ เปน เมอื งของผไู ทยซง ดาํ พาครอบครวั ไทยเวยี ง ไทยซงดํา ลงมากรุงธนบุรีในเดือนย่ี ไทยดําใหไป อยูเมืองเพชรบุรี...” เมอื่ พ.ศ.๒๓๗๐ ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั กลา เจา อยหู วั ทรงโปรดฯ ใหเจาพระยาธรรมายกกองทัพ ไปปราบเมืองแถง มีการกวาดตอน ครอบครวั ลาวทรงดาํ ครง้ั ใหญอ กี ครงั้ หนง่ึ และใหไ ปอยเู พชรบรุ ี จงึ อาจ กลาวไดวาจงั หวดั เพชรบรุ ีเปน เมืองทช่ี าวโซงเรมิ่ ต้ังรกรากในเมืองไทย และมีชาวโซงอาศัยอยูมากที่สุดสวนการท่ีมีชาวโซงกระจัดกระจายอยู ตามบริเวณตางๆ ของประเทศไทย เปนเพราะเมอ่ื ลูกหลานเกิดมากขึ้น ทาํ ใหป ระชากรหนาแนน จงึ มกี ารอพยพทที่ าํ กนิ ไปตามบรเิ วณตามจงั หวดั ใกลเคียง เชน ราชบรุ ี สุพรรณบรุ ี นครปฐม กาญจนบุรี ประกอบกับ ชาวโซงรนุ เกาตองกลบั ถน่ิ ฐานบานเกิดของตน จงึ เดนิ ทางขน้ึ เหนือ เมอื่ ถึงฤดูฝน จะพักทํานาเพื่อตุน เสบียง ซ่ึงเมื่อคนเฒาคนแกลมหาย ตายจากไป จึงเหลือแตชาวโซงรุนลูกหลานและไมคิด อพยพตอไป จึงตั้งหลกั แหลงตาม ชยั ภมู ิทอ่ี ดุ มสมบรู ณ เชน จงั หวดั พิษณโุ ลก พิจิตร เพชรบรู ณ นครสวรรค และตั้งรกรากทํามาหากินตามบริเวณดังกลาว สืบมา จนถึงทุกวันนี้
วิถชี ีวติ วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จงั หวดั นครสวรรค ๓๒๕ ประวตั ิไทภูคงั ขอมูลพื้นฐาน: ไทภคู ัง(ไท=คน, หมูคน, ชาว / ภูคัง=ชือ่ เมือง, ภูเขา, เทือกเขา) คาํ วา “ไท” ไมมี ย.ยกั ษ ในภาษาถ่นิ ของเราน้ันหมายถึง คน, กลมุ ชน, กลมุ ผคู น ยกตวั อยางเชน เจาเปน ไทบานได? (คณุ เปน คนบาน ไหน) ขอยเปน ไทบานบอกรุ (ฉันเปน คนบานบอกร)ุ ขอยเปนไทบานไฮ (ฉันเปนคนบานไร) ดงั น้ันคาํ วา ไทภคู งั จึง หมายถึง คนเมืองภูคังหรือ กลมุ ชาตพิ นั ธไุ ทภคู งั เปน กลมุ ชาตพิ นั ธทุ อี่ พยพมาจากเทอื กเขาภคู งั (ภฆู งั ) ซึ่งมีลักษณะคลาย ระฆัง อยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ หลวงพระบาง (เชื่อกนั วาคือ เมืองงอย ในปจ จุบัน) และแขวงซําเหนือ คนทว่ั ไปใน แดนสยามเรียกชนกลุมนี้วาลาวครัง่ (เพี้ยน) [๑] สวนผคู น ในลานซางสมัยปจจุบัน พ.ศ.๒๕๖๑ พวกเขาชอบเรียกตนเองวา “ไทคัง” เพราะมาจากเมืองคัง(คงกรอนมาจากภูคัง) อันเกาแกใน หลวงพระบาง เชน กลุมคนท่อี พยพมาต้ังหลักแหลงอยูทบ่ี าน โพนตาน แขวงบอลิคําไซ และเมืองนากาย แขวงคํามวน นอกจากน้ันคนในสยาม ยงั เรียกชื่อคนกลุมนี้แตกตางกนั ไปอีกไม นอยกวา ๑๕ ชื่อ ซง่ึ ตอไปนี้ ขอเรียกวา “ไทภูคัง” เพ่ือใหตรงกับแหลงกําเนิดชาติพันธุด้ังเดิมยอน รอยชาติพนั ธุ: ยคุ ขุนลอ(โอรสของโกะลอฝงหรือขนุ บรมราชาธิราช) ได กอตั้งอาณาจักรลานซางใน พ.ศ. ๑๓๐๐ เม่ือสิ้น ยุคขุนลอบานเมือง ไมส งบราบรน่ื มกี ารชงิ อาํ นาจกนั ในราชวงศเ รอ่ื ยมา“ไทภคู งั ” เมอื่ จาํ กดั
๒๓๖๔ วิถชี วี ิต วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จังหวัดนครสวรรค กรอบเวลาไวที่ยุคอาณาจักรลานซางอันมีเมืองเอกคือหลวงพระบาง ยุคน้ันไมมีไทย-ไมมี ลาว เพราะปกครองกันแบบ “นครรัฐ” หลายๆ นครรัฐรวมกันเปนอาณาจักร เชนอาณาจักร นานเจา ละโว สุโขทัย ลานซาง ลานนา ฯลฯ...เมืองภูคัง(ตามบันทึกไทยเขียนคาํ วา ภคู รงั -มี ร.เรอื แตภ าษาทอ งถนิ่ ไมม ี ร.เรอื ) อยใู นลา นซา งทาง ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของเมืองหลวงพระบาง เปนเมืองยุทธศาสตรสําคัญทั้งทางทหารและ การคามาแตโบราณ ต้ังอยูริมฝง แมน้ําอูซง่ึ ไหลลงสูแมน้ําโขงทบ่ี ริเวณ ถ้ําต่ิง เมืองปากอู แขวงหลวงพระบาง ลํานํ้าอูจึงเปนเสนทางการคา ระหวา งเมอื งเดยี น เบยี นฟู (เมอื งแถน เมอื งหลวงของไทดาํ ในญวน) กบั หลวงพระบางมาแตกอนเกาจนกระทง่ั ถึงยุคสยามรตั นโกสินทร เมอื งภคู งั เปน ยทุ ธศาสตรส าํ คญั ทางทหาร และมกั เกดิ สงคราม บอ ยๆ ฝา ยตา งๆกพ็ ยายามเขา ยดึ พนื้ ทขี่ องเมอื งนไ้ี ว เพอ่ื ความ ไดเ ปรยี บ ทางทหาร ทาํ ให “ชาวเมอื งภคู งั ” ทะยอยกนั หนสี งคราม ไปตง้ั หลกั แหลง ตามลําน้ําโขงทางตอนใตลงมา ต้ังแตเมือง หลวงพระบาง ลงไปถึง ไซยะบุรี เวียงจนั และตอนใตของเวียงจนั ลงไปอีก เชน บอลิคําไซ และ คํามวน ตอมาลานซางเกิดแตกแยกกัน ระส่ําระสายหนักบรรดา เชอื้ พระวงศต า งกต็ งั้ ตนเปน อสิ ระ ไมข นึ้ ตอ กนั ไม ไวว างใจซง่ึ กนั และกนั จนแตกออกเปน ๓ อาณาจกั รคอื ลา นชา งเวยี งจนั ลา นชา งหลวงพระบาง และลา นชา งจาํ ปาสกั เมอ่ื เจา นครเวยี งจนั คดิ ตง้ั ตนเปน ใหญ ไดส ง กาํ ลงั มารกุ ลาํ้ ฆา ผคู นในแดนสยาม พระเจา กรงุ ธนบรุ ไี มพ อใจ จงึ สง เจา พระยา
วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จังหวดั นครสวรรค ๒๓๕๗ มหากษตั รยิ ศ กึ และพระยาสรุ สหี (ผนู อ งตา งมารดา) ยกทพั ผา นจาํ ปาสกั ไปอยางราบรื่น ขึ้นไปตีเวียงจันสําเร็จ สวนลานชางหลวง พระบางซึ่ง ขัดแยงกับเวียงจัน ก็มาเขามารวมกับสยามดวย อาณาจักรลานชาง ทั้งสามจึงรวมกนั กบั สยามเปนหนง่ึ เดียวกันในป พ.ศ. ๒๓๒๑ ชาวเมือง ภคู งั ในเวยี งจนั เรม่ิ อพยพหนภี ยั สงคราม เขา มาอยใู นสยามประเทศหรอื สวุ รรณภมู ิ ต้ังแตยคุ กรงุ ธนบรุ ี จากคําบอกเลาของ “แมเฒาวัง” อายุ ๙๐ ป (พ.ศ.๒๕๖๑) บ.หนองขอน ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค ทายาทรุนที่ส่ีของ บรรพบรุ ษุ ไทภคู งั เวยี งจนั ผรู เู รอ่ื งการอพยพจากคาํ บอกเลา ของพอ โซน หมอ น-แมโ ซน หมอ น ทา นถา ยทอดใหฟ ง วา สว นมาก เปน ผมู ฐี านะมงั่ คงั่ จากเวียงจนั ต้ังใจอพยพหนีสงคราม มากนั เปน ขบวนชาง มิไดถกู บงั คบั หรือถูกกวาดตอนมา พากันขนยาย-หอบหิ้ว-พกพาทรัพยสินมีคาท้ัง ทอง เงิน นาก (โลหะผสม ทองแดง ทองคาํ และเงิน) มาคนละมาก ๆ มี ทหารนาํ ทางและคมุ กนั ภยั จงึ ไมต อ งกลวั โจรปลน กลางทาง มาปก หลกั อยูที่ บ.เขากระจิว(เพชรบรุ )ี แลวแยกยายกนั ไปตั้งหลกั แหลงในทตี่ าง ๆ การอพยพครง้ั สาํ คญั เกดิ ขน้ึ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา เจาอยูหัว รัชกาลท่ี ๓ ขณะน้ันลานซางกบั สยามประเทศ เปนเแผนดิน เดียวกนั กองทพั ไทยเคยไปตั้งมัน่ ชัว่ คราวเพอ่ื ทําสงครามกบั เวียดนาม ท่ี “เมืองภคู ัง” หลังเจรจายตุ ิศึก ชาวเมืองไท ภคู ังไดอพยพครั้งใหญมา กันท้ังเมือง (พ.ศ. ๒๓๙๐) มากับกองทัพสยาม ไปตั้งบานเรือนอยูท่ี
๓๒๘๔ วิถีชีวิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพิสัย จงั หวัดนครสวรรค นครชยั ศรีและสพุ รรณบรุ ี ซง่ึ ยังคงมีผูใชนามสกลุ “ภฆู งั ” อยูในชมุ ชน อ.หนองหญา ไซ อ.เดมิ บางนางบวช จากนนั้ กเ็ คลอื่ นยา ยไปสทู อี่ น่ื ๆ เชน กาญจนบรุ ี ชยั นาท อทุ ยั ธานี นครสวรรคก าํ แพงเพชร พษิ ณโุ ลก สโุ ขทยั ฯลฯ ถงึ รชั กาลท่ี ๕ ฝรงั่ เศสไดเ ขา มายดึ เอาดนิ แดนฝง ซา ยของแมน า้ํ โขง (พ.ศ.๒๔๓๖) จนเปน เหตใุ หสยามกบั ลานซางแยกออกจากกนั เปน ประเทศไทยกบั ประเทดลาว เมอื งภคู งั จงึ ถกู ลบออกจากแผนที่ เหลอื แต ช่อื เทือกเขาเปน ภาษา ฝรั่งเศส PhouKhangMountain ตอมาอาณาจกั ร ลา นซา งไดล ม สลาย ราชวงคท กุ สายสญู สน้ิ แผน ดนิ เมอื งภคู งั กลายเปน สังคม นิยมคอมมิวนิสต (พ.ศ.๒๕๑๘) เอกลกั ษณไ ทภคู งั : คอื ภาษาพดู ประเพณยี กธงในเดอื นเมษายน ประเพณขี น้ึ ศาลจา วนาย เปน ผรู กั สงบและมี ความผกู พนั ทางเครอื ญาติ สงู มาก การแตงกายไทภคู งั : ในชีวิตประจําวันจะแตงกายตามปกติ แต ในวาระพเิ ศษผชู ายจะมผี า ขาวมา ๕ สลี าย ตารางหมากรกุ คาดเอว สว น ผูหญิง แตงกายดวยผาทอมัดหม่ี ผาซ่นิ ตีนจก
วถิ ีชวี ิต วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จงั หวัดนครสวรรค ๒๓๕๙ แหลงโบราณสถาน ดงแมนางเมือง “ดงแมน างเมอื ง” เปน แหลง โบราณคดสี าํ คญั แหง หนงึ่ ในจงั หวดั นครสวรรค ต้ังอยูระหวางแมน้ําปงทางทิศตะวันตกกับแมนํ้ายมและ แมน้ํานานทางทิศตะวนั ออก ในพื้นทร่ี อยตอของตาํ บลตาสงั และตาํ บล เจริญผล ในอําเภอบรรพตพิสัย เปนเมืองโบราณรูปส่ีเหลี่ยมผืนผา ขนาด ๕๐๐ x ๖๐๐ เมตร มีคลองคดซ่ึงมีตนกําเนิดจาก เขากะลอน ท่ีอยูในอําเภอขาณุวรลักษณบุรี จังหวัดกําแพงเพชร ไหลผานตัวเมือง ทางดา นเหนอื มาลงคลองตะเคยี นทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต กอ นไปออก แมน้ําเกรียงไกรหรือแมนํ้าเชิงไกรในอดีต แลวจึงไหลไปบรรจบกับ แมน าํ้ นา นทอี่ าํ เภอชมุ แสง จงั หวดั นครสวรรค เมอื งโบราณดงแมน างเมอื ง
๓๔๐ วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ัย จงั หวัดนครสวรรค จึงอยูในภมู ินิเวศของลุมน้ําเกรียงไกร-นานตอนปลาย ทีม่ ีลาํ น้าํ หนอง บึง มาบ เชน หนองปลาไหล มาบมะขาม คลองคด รวมทั้งเขากะลอน เปน องคป ระกอบหลกั ปจ จบุ นั สภาพพน้ื ทข่ี องอาณาบรเิ วณเมอื งโบราณ แหงนี้เปนทองไรทองนาสลับกับทุงรางและปาละเมาะมากฝงอยูในทา นอนหงายเหยียดยาว และทานอนหันขางงอเขา อันเปนวัฒนธรรม ยุคกอนประวัติศาสตร นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปและพระพิมพ สมยั ทวารวดตี อนปลายตอ สมยั ลพบรุ ี ไหขอม เครอื่ งถว ยจนี สมยั ราชวงศ ซอง ที่สําคัญคือ บริเวณนี้เคยพบจารึกหินชนวนเขียนดวยอักษร อนิ เดยี และขอม ซงึ่ กรมศลิ ปากรกาํ หนดใหเ ปน จารกึ หลกั ท่ี ๓๕ ระบนุ าม เมืองแหงน้ีวา “ธานยปุระ” อีกท้ังกลาวถึง กษัตริยศรีธรรมาโศกราช (องคท่ี ๒) โปรดเกลาฯ ให เจาสุนัตแหงธานยปุระจัดท่ี ผูคน สัตว แรงงาน และพืชผล ถวายแดพระสถูปอนั บรรจพุ ระบรมอัฐิของ “กมร เตงชคตศรธี รรมาโศก” (องคท ี่ ๑) ผเู ปน พระราชบดิ าเมอื่ ป พ.ศ. ๑๗๑๐ อนั แสดงใหเหน็ วา เมืองธานยปรุ ะหรือดงแมนางเมืองเคยเปน บานเมือง มาแตก อ นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ แลว อกี ทง้ั พนื้ ทล่ี มุ นาํ้ เจา พระยาตอนบน มีรัฐอิสระ รับนับถือพุทธศาสนาเถรวาท ดังเห็นไดจากการเรียกนาม พระมหากษตั รยิ ว า ศรธี รรมาโศกราช อนั เปน ประเพณนี ยิ มในวฒั นธรรม พุทธศาสนาแบบเถรวาท แตกตางจากทเ่ี คยปลกู ฝงตามประวัติศาสตร กระแสหลกั มาแตเ ดมิ วา ดนิ แดนสยามประเทศกอ นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘
วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จงั หวัดนครสวรรค ๓๕๑ น้ันตกอยูใตการปกครองของอาณาจักรขอม ทั้งเมืองธานยปุระนาจะ สัมพันธกับเมืองเจนลีฟูที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษ ที่ ๑๗-๑๘ รวมถึงมีการติดตอสมั พันธกับเมืองโบราณหลายแหงทพ่ี บ ในเขตนครสวรรค เชน เมอื งบน (เขาโคกไมเ ดน) เมอื งลา ง (หางนา้ํ สาคร) เมืองทาตะโก เมืองไพศาลี ฯลฯ ซ่ึงเมืองเหลานี้เกาะกลุมกันในพ้ืนที่ ลมุ นาํ้ เจา พระยาและลมุ นา้ํ นา น รวมถงึ ลมุ นาํ้ เกรยี งไกรทเ่ี ปน สาขาหนง่ึ ของแมน้ํานานดวย บรรดาเมืองโบราณในเขตน้ีมีรองรอยแสดงถึงการติดตอกับ บานเมืองในดินแดนภาคอีสานจากซากโบราณสถานและโบราณวัตถุ
๓๒๔ วถิ ีชวี ิต วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จังหวดั นครสวรรค ทข่ี ดุ พบบง บอกวา เมอื งโบราณแหง นม้ี กี ารตง้ั ถน่ิ ฐานมาตง้ั แตส มยั กอ น ประวตั ศิ าสตรต อนปลาย ตอ เนอื่ งมาจนถงึ สมยั ทวารวดแี ละสมยั ลพบรุ ี ตอนตน ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๘ ดงั ปรากฏหลักฐานทีพ่ ระสถปู ท่ี เพง่ิ ขดุ พบใหม เปน พระสถปู สมยั ทวารวดี และใตฐานพระสถปู ไมลึกนกั พบโครงกระดูกจํานวนตอนบน ดังปรากฏประเพณีการปกหินต้ัง หรือเสมาแสดงเขตศักด์ิสิทธ์ิของศาสนสถาน เชนที่รอบพระสถูปของ ดงแมนางเมือง บริเวณทองถ่ินน้ีเปนแหลงท่ีอุดมดวยแรเหล็กอันเปน ทรัพยากรสําคัญทางการคา จึงพบตะกรันท่ีหลงเหลือจากการถลุงแร กระจายอยูทว่ั ไป
วิถชี ีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จงั หวดั นครสวรรค ๓๓๕ ๓บทท่ี ศาสนาและความเช่อื ศาสนสถาน วดั ทสี่ าํ คญั เขาหนอ -เขาแกว เขาหนอ -เขาแกว เปน เขาหนิ ปนู ทมี่ วี ดั เขาหนอ อยเชงิ เขามบี นั ได ขึ้นสูถ้ําบนยอดเขาและมีพระพทุ ธรปู นอนองคใหญอยูปากถ้ํา เมอ่ื ครน้ั พระเจาอยูหัวรัชกาลท่ี ๕ เสด็จภาคเหนือทางชลมารคสายแมนํ้าปง เคยประทับพกั แรมตอมาจงั หวดั ไดสรางพระบรมรูปไวเปนอนุสรณ
๓๔ วถิ ีชวี ติ วฒั นธรรม อาํ เภอบรรพตพสิ ัย จงั หวัดนครสวรรค ลกั ษณะเดน บรเิ วณเชงิ เขามฝี งู ลงิ จาํ นวนมากคอยรบั อาหารจาก นักทองเที่ยว ท่ีมาเยือนนอกจากนี้ในเวลาเย็นจะมองเห็นฝูงคางคาว ท่ีอาศัยอยูตามถํ้านอยใหญในภูเขาบินออกไปหากินดูเปนสายยาวสีดํา อยูบนทองฟาชมคางคาว -ใหอาหารลิง -จุดชมวิว
วิถชี วี ิต วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จังหวัดนครสวรรค ๓๕ วดั เจริญผล ตาํ บลเจรญิ ผล อาํ เภอบรรพตพสิ ยั จงั หวดั นครสวรรคน อกจาก วัดเจริญผลมีการเปดสอนพระปริยัติธรรมมาโดยตลอดและมีโรงเรียน ประถมศึกษาในวดั แลว วัดยังมีการพัฒนาพื้นท่ี ในบริเวณวดั ใหสะอาด สวยงามและนา เยยี่ มชม ผนวกกบั วดั อยรู มิ ฝง แมน า้ํ ปง ทาํ ใหก ารคมนาคม คอนขางสะดวก จึงทําใหวัดเจริญผลเปนท่ีนับถือของประชาชนภายใน ตําบลเจริญผล และตําบลใกลเคียงตั้งแตอดีตจนปจจุบัน วัดเจริญผล เดิมเปนวัดราง เรียกกันวา “วัดบางตาเสือ” ตอมาชาวบานไดจัดการ บรู ณะปฎิสงั ขรณขึ้นมาใหมนบั ต้ังแตวนั ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘
๓๖๔ วถิ ชี วี ติ วฒั นธรรม อําเภอบรรพตพสิ ยั จังหวดั นครสวรรค และเรียกนามใหมวา “วัดใหมเจริญผล” ตอมาในป พ.ศ. ๒๔๘๓ ได เปล่ียนเปน “วัดเจริญผล” สืบตอมา มีพระประธานองคใหญภายใน อโุ บสถ เจดยี ส ที อง อรา มตา จาํ ลองแบบมาจากพระธาตใุ นจงั หวดั ลาํ พนู อุโบสถสวยเดนเปนตระหงาน แสดงถึงความศรัทธาของประชาชน ในตําบลทม่ี ีตอพระพทุ ธศาสนา
วิถีชีวิต วัฒนธรรม อําเภอบรรพตพสิ ัย จงั หวดั นครสวรรค ๓๗๕ วดั ดงแมนางเมือง ไดกอสรางเม่ือป พ.ศ.๒๔๘๔ โดยมี พอฮวด-แมหอ พันธดี ถวายที่ดิน จํานวน ๑๐ ไรเศษ เพื่อทําการกอสราง วัด ถวายใหกับ พระครวู ฒุ วิ รคณุ (หลวงพอ หอ ย) เจา คณะตาํ บลบางตาหงาย เจา อาวาส วดั เจรญิ ผล เปน ผเู รมิ่ กอ สรา งวดั และใชชอื่ วา ทพ่ี กั สงฆด งแมน างเมือง มีพระสงฆรูปแรกจําพรรษา คือ พระอาจารยเผ่ือน (บุตรของพอฮวด แมหอ พันธดี) เปนเจาอาวาสวัดรูปแรก พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๓๐ พระอาจารยทรัพย อาภากโร ไดดํารงตําแหนง เจาอาวาสวัดรปู ตอมา พ.ศ.๒๕๓๐-๒๕๔๓ มีพระสงฆหลายรูป เดินทางมาจําพรรษาที่วัด เปลี่ยนรักษาการเจาอาวาส ครั้งละ ๒-๓ ปวดั “ดงแมนางเมือง” ไดขอ อนญุ าตจัดต้ังวัด ตอกรมศาสนา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106