ตอ้ งไม่ใช่ผพู้ ิพากษาประจาศาลเกิน 1 คน และนนั่ กห็ มายรวมถึงศาลจงั หวดั ดว้ ย มีคาพิพากษาศาลฎีกาอย่เู ร่ืองหน่ึงที่น่าสนใจเกี่ยวกบั องคค์ ณะผพู้ ิพากษาซ่ึงจะ ยกข้ึนเป็นกรณีศึกษาของการนงั่ ไม่ครบองคค์ ณะ ฎ.7651/52 “โจทกฟ์ ้ องขอให้ ลงโทษจาเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 326, 328 ซ่ึง ตามมาตรา 328 การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลช้นั ตน้ ตอ้ งมีผูพ้ ิพากษาอยา่ ง นอ้ ยสองคนจึงเป็ นองคค์ ณะที่มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม มาตรา 26 แมโ้ จทก์จะขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 326 ซ่ึงผู้พิพากษาคนเดียวมีอานาจพิจารณา พิพากษาคดี ตามพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม มาตรา 25(5) มาดว้ ย แต่โจทกฟ์ ้ อง ว่า จาเลยกระทาผิดเพียงกรรมเดียวต่อศาลช้นั ตน้ ซ่ึงเป็นศาลจงั หวดั ศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้ องโดยผพู้ ิพากษาคนเดียวเป็นผพู้ ิจารณาพพิ ากษาคดี จึงเป็นการไม่ ชอบดว้ ยพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม มาตรา 25(5)และ มาตรา 26” จากการท่ีนักศึกษาได้ไปสังเกตการณ์ ณ ศาลจังหวดั สงขลา ศาล จงั หวดั ยะลา ศาลจงั หวดั ปัตตานี ศาลจงั หวดั นราธิวาสและศาลจงั หวดั สุราษฎร์ ธานี กลบั พบว่าไม่มีศาลใดเลยที่ผูพ้ ิพากษาจะนัง่ ครบองคค์ ณะดงั ท่ีกฎหมาย บัญญัติไว้ ซ่ึงในพ้ืนที่สามจังหวดั ชายแดนภาคใต้โดยส่วนใหญ่จะเป็ นคดี เก่ียวกับความมั่นคง เป็ นคดีที่มีอัตราโทษสูงซ่ึงถือได้ว่าคดีเหล่าน้ีมีความ ละเอียดอ่อน จึงมีความจาเป็นอยา่ งย่งิ ที่การพิจารณาคดีในแต่ละคร้ังผพู้ ิพากษา จะตอ้ งนง่ั ใหค้ รบองคค์ ณะเพือ่ ร่วมกนั วินิจฉยั และพิจารณาคดี หากแต่ความเป็น จริงท่ีปรากฏกลบั พบว่าไม่มีคดีใดเลยที่ผพู้ ิพากษาจะนงั่ ครบองคค์ ณะ นอกจาก จะเป็นการพิจารณาท่ีไม่ชอบดว้ ยกฎหมายตามคาพิพากษาศาลฎีกาดงั กล่าวแลว้ ยงั ส่งผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนโดยตรงอีกด้วย และในโอกาสน้ีเอง นกั ศึกษาจึงลองสอบถามท่านผพู้ ิพากษาศาลจงั หวดั ยะลาท่านหน่ึงถึงเหตุผลใน การน่ังไม่ครบองค์คณะ และท่านก็ได้ให้คาตอบว่า ศาลยะลาเป็ นศาลที่มีคดี โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 47
ความเยอะแต่ในทางกลบั กนั มีผพู้ ิพากษาเพียงไม่กี่นายซ่ึงนบั ว่านอ้ ยมาก ไม่พอ ต่อการพิจารณาคดีในแต่ละคร้ังจึงจาเป็ นตอ้ งแยกกนั นง่ั พิจารณาในแต่ละคดี อีกท้งั ในเร่ืองของทฤษฎีที่เรียนมนั มกั จะแตกต่างกบั หลกั ปฏิบตั ิจริงเสมอ นน่ั ก็ คือเหตุผลท่ีท่านผพู้ พิ ากษาไดย้ กใหน้ กั ศึกษาฟัง คาอธิบายดงั กล่าวจะพอฟังเป็น เหตุผลได้หรือไม่ก็ข้ึนอยู่กบั ดุลยพินิจของแต่ละคนจะพิจารณาดู แต่สาหรับ นกั ศึกษาที่เป็นผสู้ งั เกตการณ์เห็นวา่ ไม่มีเหตุผลใดท่ีจะมาบนั่ ทอดความยตุ ิธรรม ใหน้ อ้ ยลงได้ เมื่อไดฟ้ ังกร็ ู้สึกสลดใจ เพราะคาพดู เหล่าน้ีมนั ออกมาจากปากของ ผูท้ ี่ได้ช่ือว่า ผูท้ รงบงั คบั ใช้กฎหมาย แมแ้ ต่ผูท้ รงบงั คบั ใช้กฎหมายยงั ไม่ถือ ปฏิบตั ิตามกฎหมายแลว้ นบั ประสาอะไรกบั ประชาชนธรรมดาจะถือปฏิบตั ิตาม นอกจากมาตรา 26 แห่งพระราชบญั ญตั ิพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 แลว้ กฎหมายสูงสุดของประเทศกล่าวคือ กฎหมายรัฐธรรมนูญยงั ได้ บญั ญตั ิถึงสิทธิของประชาชนในกระบวนการยตุ ิธรรมไวอ้ ยา่ งชดั เจน ในมาตรา 40 “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดงั ต่อไปน้ี (1) สิทธิเขา้ ถึง กระบวนการยตุ ิธรรมไดโ้ ดยง่าย สะดวก รวดเร็วและทวั่ ถึง (2) สิทธิพ้ืนฐานใน กระบวนพิจารณา ซ่ึงอยา่ งนอ้ ยตอ้ งมีหลกั ประกนั ข้นั พ้ืนฐานเรื่องการไดร้ ับการ พิจารณาโดยเปิ ดเผย การไดร้ ับทราบขอ้ เทจ็ จริงและตรวจเอกสารอยา่ งเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แยง้ และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้ พิพากษาหรือตุลาการ การไดร้ ับการพิจารณาโดยผพู้ ิพากษาหรื อตุลาการที่นง่ั พิจารณาคดีครบองคค์ ณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคาวินิจฉัย คา พิพากษา หรือคาส่ัง (3)บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนไดร้ ับการพิจารณา อยา่ งถูกตอ้ ง รวดเร็วและเป็นธรรม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย” จะบท มาตราดงั กล่าวที่บญั ญตั ิวา่ “...การไดร้ ับการพิจารณาโดยผพู้ พิ ากษาหรือตุลาการ ท่ีนงั่ พิจารณาคดีครบองคค์ ณะ...” ท่านผพู้ ิพากษาจะใชเ้ หตุผลต่างๆมาลบลา้ ง หรือลดหย่อนกฎหมายสูงสุดของประเทศกระน้ันหรือ และถา้ หากว่าท่านผู้ 48 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
พิพากษาท่ีน่ังพิจารณาทุกคนใช้เหตุผลเช่นน้ีมาลดหย่อนกฎหมายกันหมด ประชาชนที่มาขอรับความเป็ นธรรม จะรับสิทธิในกระบวนการยตุ ิธรรมอยา่ ง เตม็ ท่ีไดอ้ ยา่ งไรกนั แทนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการลดหย่อนกฎหมาย นักศึกษาผู้ สังเกตการณ์ขออนุญาตแนะนาและแสดงความเห็นให้กระทรวงยุติธรรมหรื อ หน่อยงานที่เก่ียวขอ้ งจัดสรรผูพ้ ิพากษาให้เพียงพอตามความเหมาะสมของ จานวนคดีความในแต่ละศาล โดยการเปิ ดรับผพู้ ิพากษาเพิ่มเติม หรือวิธีอ่ืนใดท่ี กระทบกบั สิทธิของประชาชนให้นอ้ ยที่สุด และควรมีการตรวจสอบการทางาน ของผพู้ พิ ากษาใหช้ ดั เจนเพ่ือจะป้ องกนั ปัญหาเหล่าน้ีไม่ใหเ้ กิดข้ึนอีก เพราะหาก เป็ นเช่นน้ีอยู่ทุกคร้ัง ผูท้ ่ีได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือประชาชนตาดาๆท่ี ตอ้ งการพ่ึงพงิ กระบวนการยตุ ิธรรมอยา่ งช้นั ศาลซ่ึงเป็นตวั เลือกสุดทา้ ยในการที่ พวกเคา้ เหล่านน้นั จะไดร้ ับความเป็นธรรมอยา่ งแทจ้ ริง 2. บุคคลทม่ี ขี ้อจากดั ในการสื่อสาร ป.ว.ิ อ. มาตรา 13* การสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้ อง หรือ พิจารณา ใหใ้ ช้ ภาษาไทย แต่ถา้ มี ความจาเป็น ตอ้ งแปล ภาษาไทยทอ้ งถ่ิน หรือ ภาษาถิ่น หรือ ภาษาต่างประเทศ เป็ นภาษาไทย หรือ ตอ้ งแปลภาษาไทย เป็ น ภาษาไทยทอ้ งถิ่น หรือ ภาษาถิ่น หรือ ภาษาต่างประเทศ ใหใ้ ชล้ ่ามแปล ในกรณีที่ ผเู้ สียหาย ผตู้ อ้ งหา จาเลย หรือ พยาน ไม่สามารถ พดู หรือ เขา้ ใจ ภาษาไทย หรือ สามารถพูดหรือเข้าใจ เฉพาะ ภาษาไทยทอ้ งถิ่น หรือ ภาษาถ่ิน และ ไม่มีล่าม ให้ พนกั งานสอบสวน พนกั งานอยั การ หรือ ศาล จดั หา ล่ามให้ โดยมิชกั ชา้ ในกรณีท่ี ผเู้ สียหาย ผตู้ อ้ งหา จาเลย หรือ พยานไม่สามารถ พดู หรือได้ ยิน หรือ สื่อความหมายได้ และ ไม่มี ล่ามภาษามือ ให้ พนักงานสอบสวน โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 49
พนกั งานอยั การ หรือ ศาล จดั หา ล่ามภาษามือ ให้ หรือ จดั ให้ถาม ตอบ หรือ สื่อความหมาย โดยวิธีอื่น ที่เห็นสมควรเม่ือมีล่าม แปลคาใหก้ าร คาพยาน หรือ อื่น ๆ ล่าม ตอ้ งแปล ให้ถูกตอ้ ง ล่าม ตอ้ งสาบาน หรือ ปฏิญาณตนว่า จะทา หน้าที่ โดยสุจริตใจ จะไม่เพ่ิมเติม หรือ ตดั ทอน ส่ิงที่แปลให้ ล่าม ลงลายมือ ชื่อ ในคาแปลน้นั ให้ พนกั งานสอบสวน พนกั งานอยั การ หรือ ศาล สั่งจ่าย ค่า ป่ วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และ ค่าเช่าท่ีพกั แก่ ล่าม ที่จดั หาให้ ตาม มาตราน้ี ตามระเบียบ ท่ี สานักงานตารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวง ยุติธรรม สานักงานอยั การสูงสุด หรือ สานักงานศาลยุติธรรม แล้วแต่กรณี กาหนด โดยไดร้ ับ ความเห็นชอบ จาก กระทรวงการคลงั โดยเน้ือความในมาตราขา้ งตน้ น้ีเป็ นมาตราที่กล่าวว่าดว้ ยเร่ืองของ สิทธิของการไดร้ ับการบริการในกระบวนการยุติธรรมทางศาล คือ การที่ศาล จะตอ้ งจดั หาล่ามมาเพื่อแปลภาษาให้กบั ตวั พยานท่ีมาเบิกความอนั เกี่ยวดว้ ยคดี อนั จะเกิดทางปฏิบตั ิที่สอดคลอ้ งกบั หลกั การของกฎหมายในส่วนท่ีว่า “การ สอบสวน ไต่สวนมูลฟ้ อง หรือ พิจารณา ใหใ้ ช้ ภาษาไทย”จึงทาใหก้ ารพิจารณา พิพากษาอรรถคดีของศาลในประเทศไทย จะพิจารณาอรรถคดีโดยใชภ้ าษาอื่น มิได้ จากหลักกฎหมายเร่ื อง การจัดการบริ การ ล่าม ในกระบวนการ ยุติธรรมน้ี จากการไดร้ ่วมโครงการในคร้ังน้ี จึงไดป้ ระสบกบั แง่คิดหรือความ บกพร่อง ของตวั ล่ามอนั เป็นหน่วยของการดาเนินกระบวนการทางศาล อนั เป็น บุคคลซ่ึงมีความสาคญั ในการท่ีจะเป็น ส่ือกลางในการแปลภาษาที่ทางตวั พยาน ไดเ้ บิกความอนั ไม่ใช่ภาษาไทย อย่างที่กฎหมายวางหลกั เกณฑไ์ ว้ ซ่ึงหากศาล รับฟังไปโดยไม่มีการแปลโดยบุคคลท่ีมีความรู้ ความเขา้ ใจกย็ อ่ มตอ้ งเกิดความ คลาดเคลื่อน เปลี่ยนความหมาย อนั จะส่งผลต่อรูปคดี อีกท้งั ยงั เป็นการกระทาท่ี ผิดกฎหมาย แตกต่างจากที่กฎหมายกาหนดไว้ โดยในส่วนปัญหาเรื่อง ล่าม 50 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ดงั กล่าวมาน้ี ประเด็นปัญหาท่ีทางกลุ่มของขา้ พเจา้ ไดป้ ระสบมา ขอแบ่งแยก อธิบายเป็น 2 ต่อไปน้ี 1. - ประเด็นในเรื่องมาตรฐานของล่าม ในการบริการแก่คู่ความใน กระบวนการยตุ ิธรรม 2. - ประเดน็ ในเรื่องจานวนของล่าม กบั ความเพยี งพอต่อคดีในศาล 1. ประเด็นในเร่ืองมาตรฐานของล่ามในการ บริการแก่คู่ความใน กระบวนการยตุ ิธรรม จากความเขา้ ใจโดยส่วนตวั ก่อนท่ีจะเริ่มเขา้ ร่วมโครงการ Court Watch ในคร้ังน้ี พึงเขา้ ใจวา่ บุคคลท่ีจะสามารถมาปฏิบตั ิหนา้ ท่ี ล่าม ใน กระบวนการยตุ ิธรรม อนั เป็ นตาแหน่งหนา้ ที่ท่ีมีความสาคญั ยิ่ง หรืออาชีพที่มี ผลอย่างยิ่งต่อความเป็ นความตายของตวั คู่ความ เพราะตอ้ งเป็ นผูท้ าหนา้ ที่เป็ น สื่อกลางของเช่ือมกลางระหว่างตัวพยานซ่ึงไม่สามารถจะเบิกความเป็ น ภาษาไทยตามที่กฎหมายกาหนดกฎเกณฑไ์ ว้ กบั ทางตวั ผพู้ ิพากษาหรือศาล เพื่อ ยงั ผลให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดี การพิสูจน์หาขอ้ เท็จจริงเป็ นไปดว้ ย ความถูกตอ้ ง และเที่ยงธรรม โดยหลงั จากเขา้ ร่วมโครงการและลงพ้ืนที่จริงในการสังเกตการณ์คดี จึงทาใหพ้ บวา่ ในกระบวนการยตุ ิธรรมของไทย ในประเดน็ ปัญหาเรื่องล่ามน้ี ยงั มีขอ้ สังเกตทีน่าสนใจในเรื่องของมาตรฐานของล่าม ในกระบวนการยุติธรรม ของไทย ซ่ึงจากการลงไปสังเกตการณ์คดีพบว่า ล่ามในพ้ืนท่ีที่การลงไป สังเกตการณ์คดีน้ี คือ สามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ( ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ) ซ่ึงโดยส่วนมากแลว้ ประชาชนในพ้ืนที่จะสามารถพดู ฟัง และเขา้ ใจภาษา มาลา ยูทอ้ งถ่ินได้ดีกว่าหรือแทบจะไม่สามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยไดเ้ ลย แมแ้ ต่นิดเดียวดงั น้นั เม่ือบุคคลเช่นว่าน้ี ตอ้ งเขา้ รับการดาเนินการทางศาลหรือ ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี ไม่ว่าในฐานะใดๆก็ตาม ประเด็นในเร่ืองการ แปลภาษา จากการเบิกความก็ยอ่ มจะตอ้ งเกิดข้ึน ในส่วนน้ีจากการประสบพบ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 51
เหตุการณ์ในระหว่างการสังเกตการณ์คดี อนั เป็ นขอ้ สังเกตช้ีชดั ว่าการบริการ ดา้ น ล่าม ในกระบวนการยตุ ิธรรมของศาลไทย ยงั มีขอ้ ผิดพลาด ขอ้ ปรับปรุงอยู่ อาทิ เช่น - ผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ที่ล่าม มิไดท้ าการสาบานตนก่อนปฏิบตั ิหนา้ ที่ ซ่ึงอาจ เกิดจากความเคยตวั หรือความสนิทสนมคุน้ ชินกบั ทางศาลเอง ซ่ึงโดยทางรูปคดี แล้วหากมองผิวเผินก็มิได้ส่งต่อคดีแต่อย่างใด แต่หากมองในแง่ของ จรรยาบรรณของการปฏิบตั ิหน้าท่ี ท่ีมีความสาคญั น้ี การสาบานตนก่อนเร่ิม ปฏิบตั ิหน้าท่ีก็ถือว่ามีผลในแง่ของหลกั ความเช่ือ การปฏิบตั ิหน้าที่โดยสุจริต ไม่แปลเอนเอียง เขา้ ขา้ งฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง - ผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ที่ล่าม มิสามารถจดจาคาพูดท่ีพยานเบิกความตอบได้ หมดทุกคาพูด เหตุอาจเกิดจากปัจจยั แวดลอ้ ม เช่น สาเนียง เสียงพูดท่ีเบา หรือ อาจเกิดจากความไม่มีสมาธิของตวั ล่ามเอง อนั ส่งผลก่อให้เกิดประเด็นว่า ตวั ล่ามน้ัน มิได้แปลคาพูดที่พยานเบิกความแก่ศาล ได้ถูกตอ้ งครบถ้วนไม่ แต่ กลบั ไปแปลความขาดตกบกพร่อง ในส่วยที่เป็นสาระสาคญั จนทาใหท้ นายฝ่ าย ของตวั พยานที่เบิกความถ่วงติง และเสนอขอเปลี่ยนตวั ผทู้ าหนา้ ที่ล่ามแปล โดย เสนอขออนุญาตใหต้ นเป็นผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ที่เป็นล่ามแปลความเอง - ผูป้ ฎิบตั ิหนา้ ท่ีล่าม ขาดซ่ึงมาตรฐานหรืออบรมมีเป็นหลกั เกณฑท์ ่ี เป็นหลกั สูตรท่ีไดร้ ับการยอมรับ หรือแมจ้ ะมีการอบรมก่อนเขา้ มาทาหนา้ ท่ีล่าม ก็ตาม แต่เน่ืองจากแต่ละทอ้ งท่ี ทอ้ งถ่ิน แมจ้ ะห่างกนั เพียง หน่ึงกิโลเมตรหรือ สองกิโมเมตร ก็อาจจะมีคาเรียก ของหรือวตั ถุ บางส่ิงบางอยา่ งต่างชื่อเรียกกนั หรือมีความเขา้ ใจถึงความหมายของ คาๆน้นั ลึกซ่ึงแตกต่างกนั ไป เช่น มีกรณีท่ี ล่ามไปแปลคาเบิกความของพยานที่ได้ให้การว่าได้ยินผูต้ อ้ งหาท่ี 1 และ 2 พูดคุยในระหว่างการตรวจคน้ ว่า “ ฆากู ” ซ่ึงคาๆน้ี หากตวั ผตู้ อ้ งหาที่พูด พูด โดยลากเสียงส้ัน จะแปลว่า “ยอมรับ” แต่หากผพู้ ูดลากเสียงยาวจะแปลว่า “จะ 52 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ยอมรับไหม” ซ่ึงจะเห็นว่า แค่การลากเสียงส้ันหรือลากเสียงยาวแค่น้ี ความหมายของคาๆน้ี ก็จะเปลี่ยนแปลงไป แตกต่างไปอยา่ งสิ้นเชิง อนั จะส่งผล ต่อรูปคดีได้ 2. ประเด็นในเรื่องจานวนของล่าม กบั ความเพียงพอต่อคดีในศาล ซ่ึง จากการเขา้ ร่วมโครงการคร้ังน้ี และได้ลงไปสังเกตการณ์คดีท้งั ยงั สามารถ มองเห็นถึงกระบวนการยุติธรรมของศาลในมุมมองที่กวา้ งข้ึนมาก นอกจาก การศึกษาจากกฎเกณฑท์ ฤษฎีในตารากฎหมาย โดยประเด็นเร่ืองล่ามในส่วนน้ี จะเก่ียวข้องว่าด้วยเรื่อง จานวนของผูม้ ีหน้าที่หรือประกอบอาชีพล่ามใน กระบวนการยตุ ิธรรมต่อจานวนคดีที่ตอ้ งการ การรับบริการเรื่องล่ามแปลภาษา ซ่ึงจากการสอบถามเจา้ หนา้ ที่ของศาล ไดค้ วามวา่ การจะเรียกใชล้ ่ามของศาล จะ ไมสามารถระบุได้แน่นอนว่าวนั น้ี ศาลบลั ลงั ก์ไหนหรือห้องพิจารณาใดจะ เรียกใชล้ ่ามแปลภาษาเมื่อไรเวลาใด แต่จะข้ึนอยกู่ บั ตวั พยานผมู้ าเบิกความว่าจะ ไม่สามรถเบิกความ ฟัง อ่าน เขียน อนั เก่ียวกบั การดาเนินการในกระบวนการ พิจารณาพิพากษาอรรถคดีโดยทางเจา้ หนา้ ที่หนา้ บลั ลงั กจ์ ะเป็ นผโู้ ทรตามล่าม ประจาศาล มาปฏิบตั ิหนา้ ที่ ณ บลั ลงั กท์ ี่ตอ้ งการล่ามแปลภาษาน้นั ๆ ซ่ึงจากการ เขา้ สงั เกตการณ์คดี กลุ่มของขา้ พเจา้ ไดพ้ บเห็นขอ้ เทจ็ จริงในทางปฏิบตั ิของศาล ว่าเมื่อปรากฏว่าหากวนั น้ัน มีคดีที่ตอ้ งการล่ามแปลภาษาหลายห้องพิจารณา และจานวนล่ามประจาของศาลหรือล่ามของศาลน้ันๆ ไม่เพียงพอกับความ ตอ้ งการ ทางศาลกจ็ ะแกป้ ัญหาโดยการหาล่ามจาเป็น โดยทางผพู้ ิพากษาประจา บลั ลงั กน์ ้นั ๆ ก็จะใหบ้ ุคคลที่อยภู่ ายในห้องพิจารณาท่ีพอจะสามารถแปลภาษา ดงั กล่าวได้ ปฏิบตั ิหนา้ ที่ล่ามแปลภาษาโดยจาเป็น เพื่อใหก้ ารพิจารณาพิพากษา คดีในขณะน้นั ไม่สะดุดหยดุ ลงต่อเน่ืองสืบต่อกนั ไปซ่ึงหากหนั มาพิจาณาดา้ น คุณภาพหรือความรู้ความเขา้ ใจของล่ามจาเป็นหรือหลกั การวางตวั เป็นกลางของ ล่ามจาเป็ น อีกท้งั หามีหลกั ประกนั ใดๆ ประกนั ว่าล่ามจาเป็ นที่ศาลใช้อานาจ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 53
ต้งั ข้ึนน้นั จะแปลภาษาเป็นกลางไม่เอนเอียงเขา้ ขา้ งฝั่งของตนเองหรือฝ่ังตรงกนั ขา้ ม ถึงแมว้ ่าจะมีกฎหมายอยหู่ ลายฉบบั ในการคุม้ ครองสิทธิของผตู้ อ้ งหา ในการที่จะมีล่ามเพือ่ อานวยความยตุ ิธรรมในระหวา่ งการพจิ ารณาคดี แต่ในทาง ปฏิบตั ิน้ันกลบั ไม่สามารถคุม้ ครองถึงสิทธิเหล่าน้ีไดอ้ ย่างจริงจงั โดยเฉพาะ จริยธรรมของล่ามแปลภาษา และการปฏิบตั ิหนา้ ที่ของล่ามจาเป็ น จึงส่งผลให้ คู่ความตกเป็นเหยอ่ื ของกระบวนการยตุ ิธรรมท่ีไม่ชอบ ฉะน้นั จึงควรใหท้ ุกฝ่ าย ท่ีเกี่ยวขอ้ งร่วมมือแกไ้ ขเยยี วยาปัญหาน้ีไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. บทบาทของทนายฝ่ ายจาเลย ทนายความขอแรง คือ ทนายความที่ศาลแต่งต้งั ให้จาเลยในคดีอาญา ในกรณีที่เม่ือศาลถามเร่ืองสิทธิการมีทนายความของจาเลย ซ่ึงจาเลยตอ้ งการ ทนายความท่ีศาลแต่งต้งั ให้ เน่ืองจากเหตุซ่ึงปัจจยั ทางฐานะของตวั จาเลยเอง โดยจาเลยไม่ตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายใดๆ ท้งั สิ้น โดยทางศาลจะมีค่าตอบแทนให้แก่ ทนายความ โดยคานึงถึงสภาพแห่งคดีและภาวะทางเศรษฐกิจ ท้ังน้ี ตาม ระเบียบท่ี คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกาหนด โดยความเห็นชอบ จากกระทรวงการคลงั ซ่ึงการไดม้ าซ่ึงทนายความขอแรง คือ ทนายความจะไป ลงชื่อแจง้ ความจานงไวท้ ี่ศาลและเมื่อมีคดีท่ีตอ้ งมีทนายความ เจา้ หน้าที่ก็จะ เลือกตามรายชื่อและเสนอศาลเพ่ือมีหนังสือแจ้งทนายความ จาเลยก็ได้ ทนายความตามกฎหมาย แต่จะเป็นทนายความที่มีประสบการณ์อยา่ งไม่พียงใด จึงเป็นปัญหาที่ขา้ พเจา้ ไดป้ ระสบพบเห็นมาในกระบวนการพจิ ารณาคดีในศาล ปัญหาดงั กล่าวไดเ้ กิดข้ึน ในคดีอาญาคดีหน่ึงซ่ึงเป็ นฐานพยายามฆ่า ผอู้ ื่นโดยเจตนา เหตุเกิดข้ึนในศาลจงั หวดั สงขลา ซ่ึงวนั น้นั เป็นวนั สืบพยานนดั แรก อยั การฟ้ องจาเลยในขอ้ หาดงั กล่าว ศาลได้ต้งั ทนายความขอแรงให้แก่ จาเลย ซ่ึงปัญหาที่พบ ทนายความไม่เคยพบเจอกนั มาก่อนเลย มาเจอคร้ังแรกใน 54 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
วนั สืบพยาน และแค่พดู คุยกนั ก่อนที่ศาลจะข้ึนบลั ลงั ก์ แมแ้ ต่ตวั ทนายความเอง ยงั ไม่ไดอ้ ่านสานวนของอยั การท่ีจ่ายให้แก่จาเลย เห็นไดช้ ดั ว่าทนายความมิได้ ทาหน้าที่เสมือนการเป็ นทนายความแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่าน้ันเม่ือศาลได้ข้ึน บลั ลงั ก์แลว้ เมื่อศาลอ่านความผิดที่จาเลยได้ทา และศาลถามจาเลยว่าจะรับ สารภาพหรือปฏิเสธ จาเลยตอ้ งการที่จะปฏิเสธ แต่ตวั ทนายความไดบ้ อกจาเลย ว่า ให้รับสารภาพซะ คดีจะไดจ้ บๆ ไม่ตอ้ งมาเร่ืองมากอยู่ ถึงอย่างไรตวั ของ จาเลยเองกไ็ ม่มีพยานหลกั ฐานที่จะมาหกั ลา้ งพยานของโจทยไ์ ดเ้ ลย และ ถา้ รับ สารภาพแลว้ โทษจะลดลงเหลือคร่ึงหน่ึง อาจจะจาคุกมากสุดแลก้ ไ็ ม่เกิน 8-10 ปี และข่จู าเลยดว้ ยคาท่ีไม่เหมาะสมและเหยียดยามความเป็ นมนุษยข์ องจาเลย ยิ่ง ไปกว่าน้ันพนักงานอยั การท่ีเป็ นโจทยย์ งั ช้ีนาให้ตวั จาเลยรับสารภาพอีกดว้ ย จนสุดทา้ ยจาเลยตอ้ งรับสารภาพ เมื่อจาเลยรับสารภาพแล้วศาลให้พนักงาน อยั การ สืบพยานบุคคลแค่ปากเดียว คือ ตวั ผูเ้ สียหายน้ันเอง เมื่อสืบพยานจบ ทนายความมิไดซ้ กั คา้ นแต่อยา่ งใด และศาลจึงนดั ฟังคาพพิ ากษา ในกรณีน้ีจึงเห็นไดช้ ดั วา่ ทนายความขอแรงมิได้ ทาหนา้ ที่ทนายความ ไดอ้ ย่างเต็มความสามารถ มิไดป้ กป้ องลูกความแต่อย่างใด ท้งั ยงั ใชค้ าเหยียด ยามลูกความอีกดว้ ย ทนายความขอแรงคิดเพียงแต่จะวา่ คดีใหเ้ สร็จไปอยา่ งเดียว ซ่ึงเป็นปัญหาอยา่ งมากในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 55
5 ผลการสังเกตการณ์ของมหาวทิ ยาลยั แม่ฟ้ าหลวง บทนา สานักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟ้ าหลวง ไดเ้ ขา้ ร่วมโครงการ เรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชนมาเป็ น ระยะเวลา 3 ปี โดยไดร้ ่วมกบั สถาบนั สิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี และในปี ล่าสุด คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณได้เข้าร่วมด้วย ในการดาเนิน โครงการน้นั ไดร้ ับการสนบั สนุนจากองคก์ ร Open Society Foundation (OSF) การเขา้ ร่วมโครงการฯ ของสานักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟ้ าหลวง มี เจตนารมณ์ที่จะใหก้ ารดาเนินการในโครงการฯ เป็นส่วนหน่ึงของวิชากฎหมาย สิทธิมนุษยชน เพ่ือให้นกั ศึกษาในรายวิชาดงั กล่าว ไดม้ ีความรู้ความเขา้ ใจใน กระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในส่วนที่เก่ียวข้องกับสิทธิ มนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม นกั ศึกษาจะไดเ้ รียนรู้จากสถานการณ์จริง โดยการสังเกตการณ์คดีในศาลด้วยตนเอง ซ่ึงจะทาให้นักศึกษาได้เขา้ ใจถึง สภาพปัญหาการคุม้ ครองสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมในความเป็ น จริงไดเ้ ป็นอยา่ งดี จึงผนวกการดาเนินโครงการฯดงั กล่าว ไวใ้ นรายวชิ ากฎหมาย สิทธิมนุษยชน แต่มิไดก้ าหนดให้นักศึกษาทุกคนเขา้ ร่วมโครงการ โดยในปี 2555-2556 นกั ศึกษาที่เขา้ ร่วมโครงการเป็นนกั ศึกษาท่ีสนใจและสมคั รเขา้ ร่วม โครงการ จานวน 42 คน 56 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ในการดาเนินโครงการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลใน มุมมองสิทธิมนุษยชนของสานักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟ้ าหลวง ผู้ ประสานงานโครงการไดเ้ ตรียมความพร้อมของนกั ศึกษาผเู้ ขา้ ร่วมโครงการโดย จดั การอบรมนกั ศึกษาในประเด็นเร่ืองหลกั การพิจารณาคดีอยา่ งเป็ นธรรม ซ่ึง รวมถึงหลกั กฎหมายวิธีพิจารณาความในศาล และอบรมวิธีการบนั ทึกแบบ สารวจขอ้ มูล การอบรมดงั กล่าวไดม้ ีการจดั ข้ึนเช่นเดียวกนั ในสถาบนั เครือข่าย ทุกสถาบัน ท้ังน้ี เพ่ืออธิบายให้นักศึกษาผู้เข้าร่ วมโครงการได้ทราบถึง วตั ถุประสงคใ์ นการสารวจขอ้ มลู อนั จะส่งผลใหน้ กั ศึกษาทุกคนสามารถทาการ บนั ทึกแบบสารวจขอ้ มูลไดต้ รงตามความเป็ นจริง และตรงตามเป้ าประสงคท์ ่ี กาหนดไวส้ าหรับโครงการฯ หลังจากจากท่ีนักศึกษาผ่านการอบรมเป็ นที่เรี ยบร้อย นักศึกษา อาสาสมคั รที่ไดร้ ับการอบรม จะเขา้ ทาการสังเกตการณ์ในศาลจงั หวดั เชียงราย อย่างเช่นประชาชนผูม้ าใช้บริการที่ศาลทวั่ ไป เพื่อให้ขอ้ มูลท่ีไดเ้ ป็ นขอ้ มูลที่ ใกลเ้ คียงกบั ส่ิงที่ปรากฏกบั บุคคลธรรมดาทวั่ ไปที่ไปศาลมากท่ีสุด อยา่ งไรก็ดี ดว้ ยเหตุที่นกั ศึกษาหลายคนมีภารกิจท่ีจะตอ้ งเดินทางกลบั มาเขา้ ช้นั เรียน จึงทา ใหน้ กั ศึกษานิยมใส่ชุดนกั ศึกษาไปเขา้ สังเกตการณ์คดี ซ่ึงโดยทว่ั ไปศาลจงั หวดั เชียงรายมกั จะตอ้ นรับนกั ศึกษาฝึ กงานเป็ นประจาอย่แู ลว้ จึงทาให้นกั ศึกษาที่ เดินทางไปศาลส่วนใหญ่ในชุดนกั ศึกษาไดร้ ับการปฏิบตั ิในการเขา้ สู่ศาลจงั หวดั เชียงรายเป็นอยา่ งดี ผลการสังเกตการณ์ ในการดาเนินโครงการฯ ของสานกั วิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟ้ า หลวงในปี 2555-2556 น้นั ไดก้ าหนดให้นกั ศึกษาผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการทาการ สังเกตการณ์คดีในศาลจงั หวดั เชียงราย โดยใชแ้ บบสอบถามรวมท้งั สิ้น 235 ชุด โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 57
ซ่ึงผลจากการสังเกตการณ์ของนกั ศึกษา จาแนกไดเ้ ป็ น คดีอาญา 200 ชุด คิด เป็ นร้อยละ 85.1 และคดีแพ่ง 35 ชุด คิดเป็ นร้อยละ 14.9 โดยจานวนฐาน ความผดิ ท่ีไดเ้ ขา้ สังเกตการณ์ สามอนั ดบั แรกคือ ความผิดตามพระราชบญั ญตั ิยา เสพติดใหโ้ ทษ ถึงร้อยละ 33.61 ตามมาดว้ ยความผดิ ต่อชีวิตและร่างกาย ร้อยละ 17.02 และความผดิ เก่ียวกบั ทรัพย์ ร้อยละ 14.46 1. การเข้าบริเวณพนื้ ทศี่ าล จากการสงั เกตการณ์คดี พบว่า ผเู้ ดินทางเขา้ มายงั ศาลบางคน ตอ้ งผ่าน การตรวจกระเป๋ าและแลกบตั ร ในขณะท่ีบางคนก็สามารถผ่านเขา้ ไปได้ โดย ไม่ได้มีการตรวจตราดังกล่าวแต่อย่างได ขอ้ มูลจากการสังเกตการณ์ พบว่า ลกั ษณะดงั กล่าวน้ีเกิดข้ึนจากความไม่ต่อเนื่องของความเขม้ งวดในการตรวจ ตรามากกว่าจะเป็ นการเลือกปฏิบตั ิต่อบุคคลหน่ึงบุคคลใดอย่างมีนัยสาคญั นอกจากน้ี พบว่า ร้อยละ 68.51 ของผูส้ ังเกตการณ์ท่ีแต่งกายลาลองเขา้ สังเกตการณ์คดีไดร้ ับการปฏิบตั ิจากเจา้ หน้าที่เป็ นอย่างดี การแต่งกายจึงมิใช่ ปัจจยั หลกั ที่ทาให้เจา้ หนา้ ท่ีเลือกปฏิบตั ิต่อบุคคลใดบุคคลหน่ึงโดยเฉพาะ ใน ส่วนของการประชาสัมพนั ธ์ ผูเ้ ขา้ สังเกตการณ์ได้รับข้อมูลผ่านทางบอร์ด ประชาสัมพนั ธ์เป็ นหลกั (ร้อยละ 94.47) ตามมาดว้ ยเสียงตามสาย (ร้อยละ 66.38) และการประชาสัมพนั ธ์ของเจา้ หนา้ ท่ี (ร้อยละ 61.70) ผสู้ งั เกตการณ์ร้อย ละ 64.26 พบว่า มีคอมพิวเตอร์สาหรับคน้ ฐานขอ้ มูลคดีใหบ้ ริการ แต่สังเกตว่า เคร่ืองคอมพิวเตอร์ดงั กล่าวไม่ไดเ้ ปิ ดสาหรับบริการ ส่วนสปอร์ตโฆษณา ผู้ สงั เกตการณ์พบวา่ แทบจะไม่ถูกใชเ้ ป็นช่องทางการประชาสมั พนั ธ์ของศาลเลย 58 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
การอบรมหลกั การปฏบิ ัตติ นในช้ันศาลความรู้พนื้ ฐานเกยี่ วกบั กระบวนการยุติธรรม ในช้ันศาลและหลกั การกรอกแบบสารวจข้อมูล วนั ท่ี 22 ธันวาคม 2555 ณ มหาวทิ ยาลยั แม่ฟ้ าหลวง โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 59
2. การเข้าห้องพจิ ารณาคดี ผูส้ ังเกตการณ์สามารถเขา้ ฟังการพิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีได้ ตามปกติ มีเพยี งร้อยละ 22.35 ที่เจา้ หนา้ ที่ศาลไดซ้ กั ถามผสู้ งั เกตการณ์ก่อนหรือ ระหว่างการพิจารณาคดี ในส่วนบริเวณห้องพิจารณาคดี ผูส้ ังเกตการณ์ส่วน ใหญ่ สังเกตเห็นป้ ายขอ้ ความเตือนให้แต่งกายสุภาพและปิ ดอุปกรณ์สื่อสาร และมีเพียงจานวนน้อยที่สามารถสังเกตเห็นป้ ายขอ้ ความ (หรือไม่สังเกตเห็น เลย) ให้สวมรองเทา้ หุ้มส้น หรือห้ามสวมรองเทา้ แตะ ห้ามรับประทานอาหาร และเครื่องดื่ม ห้ามเค้ียวหมากฝร่ัง และห้ามน่ังไขว่ห้างและกอดอกขณะ พิจารณาคดี อยา่ งไรก็ตาม เจา้ หนา้ ท่ีศาลจะไดว้ ่ากล่าวตกั เตือนแก่กรณีเหล่าน้ี เสมอ ในระหว่างการพิจารณาคดี เจ้าหน้าท่ีบลั ลงั ก์ ได้ห้ามหรือเตือนมิให้ผู้ สงั เกตการณ์คดี มิใหป้ ฏิบตั ิตนฝ่ าฝื นขอ้ หา้ มและคาเตือนต่างๆตามท่ีมีป้ ายบอก ไวเ้ ป็ นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 30 ยกเวน้ แต่กรณีปิ ดเคร่ืองมือสื่อสาร (ร้อยละ 30.65) และการหา้ มพดู คุยเสียงดงั ในหอ้ งพจิ ารณาคดี (ร้อยละ 32.35) ที่จะไดร้ ับ การเตือนอยา่ งเขม้ งวด นอกจากน้ี พบว่า มีป้ ายที่ติดว่าห้องพิจารณาคดีเป็นเขต หวงหา้ มเฉพาะติดอยเู่ ป็นเพยี งบางหอ้ งพิจารณาคดีเท่าน้นั 3. หลกั การพจิ ารณาคดอี ย่างเป็ นธรรม 3.1 บทบาทของผู้พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา โดยปกติศาลจะอธิบายฟ้ อง และขอ้ กล่าวหาในวนั ท่ีฟ้ องคดี หรือวนั นดั พร้อมให้จาเลยฟัง โดยจากการสังเกตการณ์ในวนั นดั พร้อม หรือวนั ท่ีฟ้ อง คดี พบว่า ศาลอธิบายฟ้ อง และขอ้ กล่าวหา ร้อยละ 29.79 (จากร้อยละ 33 ของ จานวนคดีที่สังเกตการณ์) ในขณะท่ีศาลไม่ไดอ้ ธิบายฟ้ อง และขอ้ กล่าวหา ร้อย ละ 2.55 ท่ีน่าสงั เกตคือ ผลในส่วนของการสงั เกตการณ์ในวนั นดั พร้อม ศาลมิได้ 60 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ถามจาเลยว่ามีทนายความหรือไม่ก่อนการสอบถามคาให้การ (ในคดีที่มีโทษ ประหารชีวิต หรือจาเลยมีอายไุ ม่เกิน 18 ปี ) เป็นจานวนถึงร้อยละ 5.96 (จากร้อย ละ 20 ของคดีที่สงั เกตการณ์ในกรณีดงั กล่าว) และในส่วนของการแต่งต้งั ทนาย ขอแรงใหก้ บั จาเลยที่ไม่มีทนายความน้นั ผสู้ ังเกตการณ์ไดส้ งั เกตว่า ศาลมิไดต้ ้งั ทนายขอแรงเป็นสดั ส่วนสูงถึงร้อยละ 16.17 จากจานวนคดีท่ีสงั เกตการณ์ในวนั นดั พร้อมหรือวนั ฟ้ องคดี ขอ้ มูลดา้ นการสอบคาใหก้ ารจาเลยก่อนการพิจารณาคดีน้นั พบวา่ ศาล ไดส้ อบคาใหก้ าร (รับสารภาพหรือปฏิเสธ) ของจาเลยก่อนการพิจารณาคดี คิด เป็นร้อยละ 26.81 (จากจานวนร้อยละ 31 ท่ีไดส้ ังเกตการณ์ในวนั พิจารณาคดี) และศาลไดบ้ นั ทึกคาให้การตรงตามคาเบิกความของพยานให้การสูงถึงร้อยละ 39.57 (จากประมาณร้อยละ 46 ที่ไดส้ งั เกตการณ์ในวนั พิจารณาคดี) ในการที่ศาลสั่งให้พยานสาบานตนน้ัน คิดเป็ นจานวนร้อยละ 27.66 (จากจานวนประมาณร้อยละ 40 ท่ีไดส้ งั เกตการณ์ในวนั พิจารณาคดี) โดยในการ นาสาบานตนหรือกล่าวคาปฏิญาณน้ัน ศาลให้ผูน้ าการสาบาน ได้แก่ หน้า บลั ลงั ก์ ทนายความ อยั การ และล่าม ตามแต่ที่ศาลเห็นสมควร ขอ้ สังเกตเพ่ิมเติมของนกั ศึกษา คือ ในบางคดีท่ีสังเกตการณ์ศาลจะส่ัง ให้มีผนู้ าการสาบานต่อเมื่อพยานอ่านหนงั สือไม่ออก มองเห็นไม่ชดั หรือกรณี เป็นผสู้ ูงอายเุ ท่าน้นั และบางคดีก็พบวา่ พยานที่เบิกความไม่ตรวจสอบคาใหก้ าร ตนเอง แต่จะลงนามในคาให้การน้นั เลย นอกจากน้นั ในบางคดีเมื่อศาลอ่านคา พพิ ากษาเสร็จแลว้ ยงั ไดม้ ีการกล่าวตกั เตือนสั่งสอนจาเลยไม่ใหก้ ระทาความผิด อีก 3.2 บทบาทของผู้พพิ ากษาและองค์คณะ เป็นที่น่าสังเกตว่าจากขอ้ มูลท้งั หมดประมาณร้อยละ 99 ท่ีมีการบนั ทึก การสังเกตการณ์ ศาลน่ังไม่ครบองค์คณะต้งั แต่เร่ิมตน้ การพิจารณาจนจบ มี โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 61
สัดส่วนท่ีสูงถึงร้อยละ 60.42 และยงั พบอีกว่าศาลน่ังพิจารณาคดีไม่ตรงเวลา (09.00 น. และ 13.30 น.) สูงถึงร้อยละ 59.15 ของขอ้ มูลที่มีการสังเกตการณ์ ท้งั หมด นอกจากน้ี พบว่าองค์คณะผูไ้ ม่ใช่เจ้าของสานวนมีส่วนช่วยในการ ซกั ถามพยานเพ่ิมเติมสูงถึงร้อยละ 84.68 จากจานวนท้งั สิ้นประมาณร้อยละ 95 ของคดีที่สังเกตการณ์ และยงั พบว่าโดยปกติผพู้ ิพากษาซ่ึงไม่ใช่เจา้ ของสานวน ในศาลจงั หวดั เชียงรายมีสมาธิดีต่อการพิจารณาคดีแมจ้ ะไม่ใช่คดีของตนเองก็ ตาม อาจมีการหยิบเอกสารคดีอ่ืนมาอ่านบา้ ง ไม่มีสมาธิในบางช่วงบา้ ง ทา กิจกรรมอื่นๆ บา้ ง แต่กไ็ ม่ไดแ้ สดงปริมาณมากอยา่ งมีนยั สาคญั สกั เท่าไร ใ น ส่ ว น ข อ ง ก า ร ใ ช้ค า พูด ข อ ง ศ า ล เ พ่ื อ ชัก จู ง โ ด ย ห ว ัง ใ ห้จ า เ ล ย รั บ สารภาพน้นั พบว่ามีในปริมาณที่นอ้ ยมาก เช่นเดียวกนั กบั การที่ศาลอธิบายถึง ผลที่จะตามมาหลงั จากที่จาเลยรับสารภาพ (เช่น หากสารภาพจะไดร้ ับการลด โทษ หรือใหร้ อลงอาญา) กม็ ีอตั ราส่วนที่นอ้ ยเช่นกนั ท่ีน่าสงั เกตคือ แมจ้ ะไม่มี การชักจูงให้จาเลยรับสารภาพแต่ศาลก็แสดงออกถึงการสั่งสอนจาเลย โดย กล่าวถึงบาป บุญ คุณ โทษ สูงถึงร้อยละ 22.55 ในขณะที่บางคดีศาลไดแ้ สดง อาการข่มขู่ หรืออากปั กิริยารุนแรงในห้องพิจารณาคดี แต่อย่ใู นสัดส่วนที่นอ้ ย เพยี งร้อยละ 0.85 ของคดีที่มีการสงั เกตการณ์ท้งั หมด นอกจากน้ีแลว้ นกั ศึกษาผูส้ ังเกตการณ์ยงั มีขอ้ สังเกตเพ่ิมเติมในบาง ประเดน็ เช่น ในบางคดีผพู้ ิพากษาอา้ งว่าที่ข้ึนพิจารณาชา้ เพราะโจทกแ์ ละจาเลย มาสาย ในคดีหน่ึงทนายจาเลยมิไดม้ าตามนดั ในการพิจารณาคดีของศาล ศาลได้ ใชเ้ พียงพยานเอกสารในการพิจารณาคดีเท่าน้นั ในบางคดีการพิจารณาคดีใช้ เวลาประมาณ 4 ชวั่ โมง และมีการพิจารณาคดีซ้าซอ้ นในเวลาเดียวกนั ถึง 3 คดี โดยมีการพิจารณาเน้ือหาและการซกั ถามพยานที่วกวนไปมา จนบางคร้ังพยาน หรือจาเลยมีการเขา้ ใจเน้ือหาในคาถามที่ผิดเพ้ียนไป ในส่วนของการท่ีศาลว่า กล่าวตกั เตือน ส่ังสอนจาเลยน้นั บางคร้ังมีการบอกนกั ศึกษาผสู้ ังเกตการณ์ดว้ ย 62 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ว่าอย่าเอาเป็ นเย่ียงอย่าง ในขณะท่ีบางคดีศาลได้พูดกบั จาเลยว่าหนีกฎหมาย อาจจะหนีได้ แต่หนีบาปบุญคุณโทษน้นั หนีไม่ไดใ้ นบางคดี ระหว่างพิจารณา คดีจะมีการพิจารณาคดีซ้าซ้อนกนั คือ มีการอ่านคาพิพากษาในขณะท่ีมีการ สืบพยานในอีกคดีหน่ึง 3.3 บุคคลทมี่ ขี ้อจากดั ในการส่ือสาร เน่ืองจากการสังเกตการณ์ในส่วนน้ีจะบนั ทึกขอ้ มูลเฉพาะกรณีที่จาเลย หรือพยาน ไม่สามารถสื่อสารดว้ ยภาษาไทยได้ จึงทาใหส้ ถิติที่ได้ อาจไม่มีความ ชดั เจนเท่าท่ีควร อย่างไรก็ดี ในประมาณร้อยละ 3.5 จากจานวนคดีท่ีนกั ศึกษา ได้สังเกตการณ์ เป็ นกรณีที่ศาลต้องจัดหาล่ามให้กับจาเลยท่ีไม่สามารถพูด ภาษาไทยได้ พบว่า ศาลไดจ้ ดั ล่ามให้ ประมาณร้อยละ 1.70 ในขณะท่ีไม่ไดจ้ ดั ล่ามให้ ร้อยละ 0.85 โดยล่ามที่ใช้ในช้ันศาลจากการสังเกตการณ์ ได้แก่ ทนายความ เพื่อนนกั โทษ และคนท่ีรู้จกั กบั จาเลย เป็นสัดส่วนเท่ากนั ลาดบั รอง ลงมือการใช้พยานเป็ นล่าม ซ่ึงแสดงนัยให้เห็นว่าการใช้ล่ามน้ันเป็ นไปตาม ความสะดวกของศาลในการหาผแู้ ปลภาษา ส่วนในกรณีที่จาเลย หรือ พยาน ไม่ สามารถอ่านและเขา้ ใจความเอกสารที่ใชร้ ะหว่างการดาเนินคดี ศาลไดม้ ีการจดั ให้มีล่ามอธิบาย ที่น่าสังเกตคือ ในกรณีที่คู่ความหูหนวกเป็ นใบแ้ ละจะตอ้ งมี การจัดหาล่ามภาษามือ ซ่ึงคิดเป็ นจานวนประมาณ ร้อยละ 2.5 ของคดีท่ี สงั เกตการณ์มาท้งั หมดน้นั พบวา่ ศาลจดั ล่ามภาษามือใหเ้ พียงร้อยละ 0.85 ทาให้ น่าสงสยั วา่ การส่ือสารในศาลจะดาเนินการไปไดอ้ ยา่ งไร ขอ้ สงั เกตเพิ่มเติมจากนกั ศึกษาท่ีเขา้ ร่วมการสงั เกตการณ์ ไดแ้ ก่ ในบาง คดีทนายความมีการใช้คาถามให้จาเลยเกิดความสับสน และในคดีดังกล่าว จาเลยเป็ นชนเผ่าที่เขา้ ใจภาษาไทยไดแ้ ต่ออกเสียงไม่ชดั ในบางคดีจาเลยเป็ น ชาวพม่าไม่เขา้ ใจภาษาไทย ศาลจึงใหน้ กั โทษมาเป็นล่ามให้ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 63
3.4 บทบาทของอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ ผสู้ ังเกตการณ์คดี พบว่า พนกั งานอยั การ หรือทนายฝ่ ายโจทก์ เขา้ หอ้ ง พิจารณาไม่ตรงเวลาในอตั ราร้อยละ 27.66 ซ่ึงเป็นอตั ราท่ีมากกว่าการเขา้ ห้อง พิจารณาคดีไม่ตรงเวลาของทนายฝ่ ายจาเลย (ร้อยละ 18.72) แต่นอ้ ยกว่าการเขา้ ห้องพิจารณาคดีไม่ตรงเวลาของผพู้ ิพากษา (ร้อยละ 40.85) พนกั งานอยั การ แสดงท่าทางข่มขู่ หรือเหยียดศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษยข์ องพยานต่ามาก โดย ปรากฏเพียงร้อยละ 1.70 อยา่ งไรก็ตาม ผสู้ ังเกตการณ์ไดส้ ังเกตว่า มีการแสดง ท่าทีดุดันและสร้างความกดดันให้จาเลย รวมถึงการตัดบทจาเลยในการ สืบพยาน ในระหว่างการพิจารณาคดี พบว่า พนักงานอยั การ หรือทนายฝ่ าย โจทก์ ต้งั ใจฟังและจดบนั ทึกขณะการสืบพยาน ร้อยละ 62.98 แต่ปรากฏความ กระตือรือร้นของการทาหนา้ ท่ีในระดบั ต่า เช่น การทกั ทว้ งเพื่อประโยชน์ของ จาเลย ปรากฏเพียงร้อยละ 6.81 และการใชค้ าถามนา ปรากฏเพียงร้อยละ 32.34 ซ่ึงน่าท่ีจะเป็ นเร่ืองปกติของอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ นอกจากน้ี จากการ สังเกตการณ์ พบว่า มากกว่าร้อยละ 20 ของคดีท่ีเขา้ สังเกตการณ์ อยั การ หรือ ทนายฝ่ ายโจทก์ ไดท้ ากิจกรรมอื่นๆนอกหนา้ ที่ในระหวา่ งการพิจารณาคดี และ การสลบั สับเปล่ียนไปปฏิบตั ิหนา้ ที่ในห้องพิจารณาคดีอื่นน้นั อย่ใู นสัดส่วนท่ี ใกลเ้ คียงกนั ดว้ ย 3.5 บทบาทของทนายฝ่ ายจาเลย ผูส้ ังเกตการณ์ พบว่า ทนายฝ่ ายจาเลยมาห้องพิจารณาคดีไม่ตรงเวลา ร้อยละ 18.72 ซ่ึงเป็นอตั ราที่ต่ากวา่ การเขา้ หอ้ งพิจารณาไม่ตรงเวลาของอยั การ หรือทนายฝ่ ายโจทก์ (ร้อยละ 27.66) ทนายความแสดงความกระตือรือร้นใน ระหวา่ งการพจิ ารณาคดีมากกวา่ อยั การ หรือทนายฝ่ ายโจทก์ เช่น มีการถามคา้ น ถามนา ถึงร้อยละ 40.85 อยา่ งไรก็ตาม การทกั ทว้ งการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีเพ่ือรักษา ผลประโยชน์ใหจ้ าเลยน้นั อยใู่ นระดบั ต่า เพียงร้อยละ 13.62 นอกจากน้ี การท่ี 64 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ทนายแสดงท่าทางข่มขู่ หรือเหยียดหยามศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษยต์ ่อพยานฝ่ าย ตรงขา้ ม กอ็ ยใู่ นระดบั ต่ามากเช่นเดียวกบั อยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ หรือเพียง ร้อยละ 1.28 เท่าน้นั ในระหว่างการพิจารณาคดีน้นั ทนายจาเลยต้งั ใจฟังและจด บนั ทึกในระดบั ที่ใกลเ้ คียงกบั อยั การ หรือทนายฝ่ ายโจทก์ ไดแ้ ก่ ร้อยละ 58.30 เป็นที่น่าสงั เกตวา่ นอกจาก ทนายฝ่ ายจาเลย ร้อยละ 11.49 เสียสมาธิระหวา่ งการ พิจารณาคดี เน่ืองจากการทากิจกรรมอื่นนอกหน้าท่ีแลว้ ทนายความยงั มีการ สลบั สบั เปลี่ยนไปปฏิบตั ิหนา้ ที่ในหอ้ งพิจารณาอื่นถึงร้อยละ 25.11 โดยอตั ราน้ี เป็นอตั ราท่ีสูงกวา่ ในพ้นื ท่ีอื่นๆอยา่ งมีนยั สาคญั ดว้ ย 4. การกระทาอ่ืนๆ ในศาลที่ไม่ปกป้ องสิทธิ หรือการละเมิดสิทธิของ ผู้ต้องหาและจาเลย ในเร่ืองการใส่ตรวนกบั ผูต้ อ้ งหาหรือจาเลยน้ัน พบว่ามีการใส่ตรวน ร้อยละ 28.09 ซ่ึงอยใู่ นสัดส่วนที่ไม่มาก นกั เม่ือเปรียบเทียบกบั ขอ้ มูลท่ีสารวจ มาท้งั หมด เช่นเดียวกบั การใส่กญุ แจมือผตู้ อ้ งหาหรือจาเลย ซ่ึงมีสดั ส่วนร้อยละ 25.96 สาหรับการปล่อยตวั ชว่ั คราวโดยไม่มีการวางหลกั ประกนั น้ัน พบว่ามี เพียงร้อยละ 9.79 ของขอ้ มูลท้งั หมดที่สังเกตการณ์เท่าน้ันที่มีการปล่อยตวั ช่ัวคราวโดยไม่มีการวางหลักประกัน ในขณะที่ร้อยละ 82.98 ของขอ้ มูลที่ สังเกตการณ์ ศาลจะปล่อยตวั ชว่ั คราวต่อเมื่อมีการวางหลกั ประกนั ท้งั น้ีการท่ี ศาลไม่อนุญาตให้ประกนั ตวั ประกอบดว้ ยเหตุผลต้งั แต่การขาดทุนทรัพย์ ขาด หลักประกัน กลวั การหลบหนี และกลวั ไปยุ่งเกี่ยวกับคดี แต่ท้งั หมดอยู่ใน อตั ราส่วนที่นอ้ ยเม่ือเทียบกบั สดั ส่วนคดีท่ีมีการสงั เกตการณ์ท้งั หมด นอกจากน้ันแล้วข้อสังเกตอ่ืนๆ ที่มาจากนักศึกษาผู้เข้าทาการ สงั เกตการณ์คดี เช่น ในบางคดีมีการใส่โซ่ตรวนผตู้ อ้ งหาผชู้ ายแต่ไม่มีการใส่โซ่ ตรวนแก่ผตู้ อ้ งหาหญิง ในคดีหน่ึงจาเลยเป็ นชาวต่างชาติ เร่ิมแรกท่ีศาลอ่านคา พิพากษา จาเลยให้การปฏิเสธ แต่พอศาลบอกว่าโทษไม่ไดห้ นกั อะไร เพียงแค่ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 65
รายงานความประพฤติและชดใช้ค่าเสียหายเท่าน้ัน จาเลยก็ให้การยอมรับ สารภาพ บทสรุป จากการสังเกตการณ์คดีในศาลจังหวดั เชียงราย พบว่าศาลจังหวดั เชียงรายให้การตอ้ นรับนักศึกษาจากทางมหาวิทยาลยั เป็ นอย่างดี เน่ืองจาก คุน้ เคยกบั การรับนกั ศึกษาฝึกงานเป็นอยา่ งดี และดว้ ยความที่นกั ศึกษาส่วนใหญ่ นิยมใส่เครื่องแบบนกั ศึกษาไปสงั เกตการณ์คดีท่ีศาล ดงั น้นั ประเดน็ ในการเขา้ สู่ ศาลจึงเกิดจากการสังเกตพฤติการณ์ท่ีเกิดข้ึนกบั บุคคลอื่นๆ เป็ นหลกั ซ่ึงโดย สรุปพบว่าการตรวจตราก่อนเขา้ ศาลน้ัน มกั จะเกิดจากความไม่ต่อเนื่องของ ความเขม้ งวดในการตรวจตรามากกว่าจะเป็ นการเลือกปฏิบตั ิต่อบุคคลหน่ึง บุคคลใดอยา่ งมีนยั สาคญั และศาลจงั หวดั เชียงราย มีการประชาสมั พนั ธ์ผา่ นสื่อ ต่างๆรวมถึงการให้บริการฐานขอ้ มูลคดีผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ ตาม อาจมีปัญหาในเร่ืองความพร้อมของอุปกรณ์ดงั กล่าว ในส่วนของการเขา้ ฟังการพิจารณาคดี การเขา้ ถึงห้องพิจารณาคดี เป็ นไปโดยสะดวก ในบริเวณห้องพิจารณาคดีมีป้ ายขอ้ ความเตือนต่างๆท้งั ท่ี สังเกตเห็นได้ชดั เจนและสังเกตเห็นได้ไม่ชัด (หรือที่อาจไม่มีอยู่เลยในห้อง พจิ ารณาคดี) พบวา่ แมป้ ้ ายเตือนที่เห็นไม่ชดั เจน หรือที่อาจไม่มีอยเู่ ลย เช่น การ หา้ มนง่ั ไขว่หา้ ง การหา้ มเค้ียวขนม เจา้ หนา้ ที่ของศาลจะไดเ้ ตือนใหผ้ เู้ ขา้ ฟังการ พิจารณาคดีปฎิบตั ิตามคาเตือนเหล่าน้ันเสมอ ป้ ายขอ้ ความกรณีปิ ดเครื่องมือ ส่ือสาร และการห้ามพูดคุยเสียงดังในห้องพิจารณาคดี เป็ นกรณีที่เจ้าหน้าท่ี ปฏิบตั ิตามอยา่ งเขม้ งวด นอกจากน้ี สงั เกตไดว้ า่ ป้ ายที่ติดว่าเขตหวงหา้ มเฉพาะ ไดป้ รากฏอยตู่ ามหอ้ งพจิ ารณาคดีเพยี งไม่กี่หอ้ งเท่าน้นั 66 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
สาหรับบทบาทของศาล การอธิบายคาฟ้ องและขอ้ กล่าวหาโดยศาล เป็ นไปโดยไม่ปรากฏกรณีที่ผิดปกติ อย่างไรก็ตาม การถามว่ามีทนายความ หรือไม่ก่อนการสอบถามคาให้การในคดีท่ีมีอตั ราโทษสูง และการต้งั ทนายขอ แรงให้แก่จาเลย ยังเป็ นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากแม้จานวนคดีท่ีผู้ สงั เกตการณ์ไดบ้ นั ทึกว่าไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามหลกั การดงั กล่าว มีอยใู่ นสัดส่วนที่ไม่ สูงมากนกั แต่เป็ นกรณีที่กระทบสิทธิผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยอยา่ งชดั เจน ส่วนการ สอบคาใหก้ าร (รับสารภาพหรือปฏิเสธ) ของจาเลยก่อนการพิจารณาคดี เป็นไป โดยปกติ ในการบนั ทึกคาให้การของศาลตรงตามคาเบิกความของพยาน อยใู่ น สัดส่วนที่สูง กรณีการนาสาบาน ผนู้ าสาบานอาจเป็ นหน้าบลั ลงั ก์ ทนายความ อยั การ และล่าม ท้งั น้ี แลว้ แต่ท่ีศาลเห็นสมควร สาหรับการนงั่ ครบองคค์ ณะ เป็ นท่ีน่าสังเกตว่า กรณีที่ศาลนง่ั ไม่ครบ องค์คณะ (ต้งั แต่เริ่มต้นการพิจารณาจนจบ) มีสัดส่วนที่สูง รวมถึงการน่ัง พิจารณาคดีไม่ตรงเวลา องค์คณะผูไ้ ม่ใช่เจ้าของสานวนมีส่วนช่วยในการ ซักถามพยานเพ่ิมเติมสูง และสมาธิดีต่อการพิจารณาคดีแมจ้ ะไม่ใช่คดีของ ตนเองก็ตาม การใชค้ าพูดของศาลเพื่อชกั จูงโดยหวงั ให้จาเลยรับสารภาพ การ อธิบายถึงผลที่จะตามมาหลงั จากที่จาเลยรับสารภาพ (เช่น หากสารภาพจะไดร้ ับ การลดโทษ หรือให้รอลงอาญา) พบว่า อยู่ในสัดส่วนที่ต่า อย่างไรก็ตาม ยงั ปรากฏกรณีที่ศาลแสดงออกถึงการสั่งสอนจาเลย โดยกล่าวถึงบาป บุญ คุณ โทษ ในสัดส่วนที่สูง ส่วนการแสดงอาการข่มขู่ หรืออากปั กิริยารุนแรงในห้อง พจิ ารณาคดีมีปรากฏเพียงไม่กี่กรณีเท่าน้นั กรณีบุคคลที่มีปัญหาการสื่อสาร พบวา่ ศาลไดจ้ ดั ล่ามให้ โดยล่ามท่ีใช้ ในช้นั ศาล อาจเป็น ทนายความ เพ่ือนนกั โทษ และคนท่ีรู้จกั กบั จาเลย รองลงมา คือ การใชพ้ ยานเป็นล่าม ซ่ึงแสดงนยั ใหเ้ ห็นว่าการใชล้ ่ามน้นั เป็นไปตามความ สะดวกของศาลในการหาผแู้ ปลภาษา และจากการสังเกตการคดี ผสู้ ังเกตการณ์ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 67
ยงั มีขอ้ สงสัยเกี่ยวกบั การดาเนินการของศาลกรณีล่ามภาษามือ ซ่ึงไม่ชดั เจนใน แนวทางการสื่อสารระหวา่ งการพิจารณาคดี นอกจากน้ี ยงั พบขอ้ สังเกตเก่ียวกบั กรณีชนเผา่ ท่ีพูดภาษาไทยได้ แต่ไม่สามารถใชภ้ าษาไทยไดด้ ี ซ่ึงอาจจะเขา้ ข่าย ของการเป็นบุคคลท่ีมีปัญหาในการส่ือสารดว้ ย สาหรับความตรงเวลาในการเขา้ ห้องพิจารณาคดี พบว่าท้งั ผพู้ ิพากษา พนกั งานอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ และทนายความฝ่ ายจาเลย เขา้ หอ้ งพิจารณา คดีไม่ตรงเวลาในสัดส่วนที่สูง โดยผพู้ ิพากษาเขา้ ห้องพิจารณาไม่ตรงเวลาเป็ น สดั ส่วนสูงสุด ตามมาดว้ ย พนกั งานอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ และทนายความ ตามลาดบั พนักงานอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์และทนายฝ่ ายจาเลย ได้แสดง ท่าทางข่มขู่ หรือเหยียดศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษยข์ องพยานในสัดส่วนท่ีต่ามาก ซ่ึงเป็ นผลดีต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนของพยาน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผู้ สังเกตการณ์พบว่า พนกั งานอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ และทนายความฝ่ าย จาเลย ต่างต้งั ใจฟังและจดบนั ทึกขณะการสืบพยานในสัดส่วนท่ีสูง แต่ในส่วน ของความกระตือรือร้นในการทางานของบุคคลดงั กล่าว กลบั ปรากฏในสัดส่วน ท่ีต่า โดยสังเกตไดจ้ ากคดีจานวนนอ้ ยท่ีมีการทกั ทว้ งเพื่อประโยชน์ของจาเลย หรือการใชค้ าถามนาระหวา่ งการสืบพยาน นอกจากน้ี ในระหว่างการพิจารณาคดี แมว้ ่าท้งั อยั การหรือทนายฝ่ าย โจทก์และทนายความ ใช้สมาธิในการทาหน้าที่ระหว่างการพิจารณาคดีใน สัดส่วนท่ีสูงพอสมควร ผูส้ ังเกตการณ์ พบว่า ท้งั อยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ และทนายความ ต่างทากิจกรรมอ่ืนๆนอกหนา้ ที่ในระหวา่ งการพิจารณาคดีดว้ ย เช่นการใชโ้ ทรศพั ทม์ ือถือ หรือการเดินออกนอกหอ้ ง โดยสัดส่วนของกลุ่มแรก มากกวา่ ถึงกลุ่มท่ีสองถึงหน่ึงเท่าตวั ส่วนการสลบั สับเปล่ียนไปปฏิบตั ิหนา้ ที่ใน 68 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ห้องพิจารณาคดีอื่นน้ัน อยู่ในสัดส่วนท่ีสูงของท้ังสองกลุ่ม และมีอัตราที่ ใกลเ้ คียงกนั ในส่วนของการกระทาอ่ืนๆ ในศาลท่ีไม่ปกป้ องสิทธิ หรือการละเมิด สิทธิของผูต้ อ้ งหาและจาเลย จากการสังเกตการณ์คดี พบว่า ประมาณหน่ึงใน สามของคดีที่เขา้ สงั เกตการณ์ มีการใส่ตรวน หรือการใส่กญุ แจมือผตู้ อ้ งหาหรือ จาเลย และอยใู่ นสดั ส่วนที่ใกลเ้ คียงกนั ในส่วนของการปล่อยตวั ชวั่ คราว พบวา่ คดีท่ีมีการปล่อยตัวช่ัวคราวส่วนใหญ่ จะเป็ นการปล่อยตัวช่ัวคราวอย่างมี หลกั ประกนั ท้งั น้ีการที่ศาลไม่อนุญาตใหป้ ระกนั ตวั ประกอบดว้ ยเหตุผลต้งั แต่ การขาดทุนทรัพย์ ขาดหลกั ประกนั กลวั การหลบหนี และกลวั ไปยงุ่ เก่ียวกบั คดี โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 69
6 ผลการสังเกตการณ์ของมหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี บทนา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานีไดร้ ่วมโครงการเรียนรู้และ สังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชนในปี 2555 และ 2556 โดยมีนักศึกษาช้ันปี ที่ 3 และ 4 เขา้ ร่วมโครงการจานวน 30 คน การ สังเกตการณ์เป็ นการสังเกตการณ์ ณ ศาลจงั หวดั อุบลราชธานี ในช่วงระหว่าง เดือนธันวาคม 2555 ถึงเดือนกุมภาพนั ธ์ 2556 โดยการสังเกตการณ์น้ันได้ กาหนดใหน้ กั ศึกษาสังเกตการณ์ในคดีอาญา ซ่ึงนกั ศึกษาไดส้ ่งแบบบนั ทึกการ สงั เกตการณ์จานวนท้งั สิ้น 239 ชุด เนื่องจากแบบบนั ทึกการสังเกตการณ์ซ่ึงใชบ้ นั ทึกการสังเกตการณ์คดี เป็นแบบที่มีเน้ือหาท่ีจะตอ้ งเก็บขอ้ มูลเป็นแบบเดียวกนั แมว้ ่ากระบวนพิจารณา ของศาลในวนั ที่มีการสังเกตการณ์น้นั จะมีกระบวนการพิจารณาที่แตกต่างกนั เช่น กระบวนพิจารณาในวนั ฟ้ องท่ีแตกต่างกบั กระบวนพิจารณาในวนั อ่านคา พิพากษาในประเด็นเกี่ยวกับการสอบถามคาให้การและการสอบถามความ ต้องการทนายความ ซ่ึงผู้สรุ ปเห็นว่าเม่ือนาข้อมูลจากแบบบันทึกการ สงั เกตการณ์ไปสรุปในภาพรวมของแต่ละกระบวนพิจารณาแลว้ อาจจะสะทอ้ น ขอ้ มูลของภาพรวมในรายละเอียดของแต่ละกระบวนพิจารณาไดไ้ ม่สมบูรณ์ อยา่ งท่ีควรจะเป็น จากแบบบันทึกการสังเกตการณ์พบว่าเป็ นการสังเกตการณ์ในวนั พิพากษาคดีจานวน 77 ชุด วนั สืบพยานนัดแรกจานวน 22 ชุด วนั ฟ้ องคดี 70 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
จานวน 10 ชุด วนั สืบประกอบคารับสารภาพจานวน 1 ชุด วนั ฟังคาพิพากษา ศาลอุทธรณ์ 2 ชุด วนั นดั พร้อม 74 ชุด และวนั สืบพยานต่อเนื่อง 53 ชุด การอบรมหลกั การปฏบิ ัตติ นในช้ันศาลความรู้พนื้ ฐานเกย่ี วกบั กระบวนการยุตธิ รรม ในช้ันศาลและหลกั การกรอกแบบสารวจข้อมูล วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2555 ณ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 71
การสรุปผลการสังเกตการณ์ตามแบบบนั ทึกการสังเกตการณ์คดีของ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในปี น้ีจะนาเสนอใน ประเดน็ เกี่ยวกบั 1.การเขา้ ไปในพ้ืนท่ีอาคารศาลและห้องพิจารณาคดีซ่ึงเป็นประเด็นท่ี จะสะทอ้ นถึงหลกั ในการพจิ ารณาคดีโดยเปิ ดเผยของศาล 2.การพิจารณาคดีอย่างเป็ นธรรมซ่ึงเป็ นประเด็นเกี่ยวกับ (1) การ ปฏิบตั ิหน้าที่ของศาล (2) การทาหน้าท่ีของผูพ้ ิพากษาซ่ึงเป็ นองค์คณะ (3) บทบาทของพนกั งานอยั การหรือทนายโจทก์ และ (4) บทบาทของทนายจาเลย ซ่ึงจะเป็นประเด็นที่สะทอ้ นถึงคุณภาพขององคก์ รและกระบวนการพิจารณาว่า จะเป็นไปตามท่ีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไดบ้ ญั ญตั ิเพ่ือคุม้ ครอง สิทธิเอาไวห้ รือไม่ 3.การกระทาอ่ืนๆในศาลที่ถือเป็นการไม่ปกป้ องสิทธิหรือละเมิดสิทธิ ของผูต้ อ้ งหาหรือจาเลย เป็ นประเด็นท่ีสะทอ้ นถึงองคป์ ระกอบอ่ืนๆ ที่ไม่ได้ เก่ียวกบั เน้ือหาของคดีโดยตรงแต่อาจมีการกระทาท่ีละเมิดสิทธิมนุษยชน และ 4.ประเด็นอ่ืนๆ ซ่ึงเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและกระบวนการ ยตุ ิธรรมซ่ึงไม่ใช่ประเดน็ ตาม 1-3 ผลการสังเกตการณ์ 1. การเข้าบริเวณพนื้ ทศี่ าล ในการเขา้ สู่บริเวณอาคารศาลแม้จะพบว่ามีการเลือกตรวจเฉพาะ ประชาชนทวั่ ไป ทนายความหรือนกั ศึกษาจะไม่มีการตรวจก็ตาม แต่การเลือก ตรวจดงั กล่าวก็ไม่ปรากฏว่าศาลจงั หวดั อุบลราชธานีมีการเลือกปฏิบตั ิที่ชดั เจน หรือมีนยั ยะสาคญั อนั จะเป็นอุปสรรคในการเขา้ ถึงศาลแต่อยา่ งใด 72 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ในส่วนของการประชาสัมพนั ธ์เพื่อให้ขอ้ มูลแก่ประชาชนของศาล พบวา่ ศาลจงั หวดั อุบลราชธานีมีการจดั ทาป้ ายประชาสัมพนั ธ์เพ่ือแนะนาถึงการ ปฏิบตั ิตวั ในศาลและข้นั ตอนการฟ้ องคดี แต่เป็นการจดั ทาไวท้ ี่ช้นั 2 ของอาคาร และมีเจา้ หนา้ ท่ีของศาลคอยใหค้ าแนะนาก่อนเขา้ ไปภายในอาคารศาล 2. การเข้าห้องพจิ ารณาคดี การเขา้ สังเกตการณ์คดีของนกั ศึกษาหากเป็นการเขา้ ฟังการพิจารณาคดี โดยไม่แต่งกายในชุดนกั ศึกษา เจา้ หนา้ ที่ศาลจะไม่สอบถามถึงหนงั สือแจง้ ถึง การเขา้ สังเกตการณ์คดีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี แต่หาก นกั ศึกษาแต่งกายในชุดนกั ศึกษาเจา้ หนา้ ท่ีศาลจะสอบถามถึงหนงั สือแจง้ จาก คณะนิติศาสตร์ และเมื่อมีหนังสือแจ้งจากทางคณะแล้วเจ้าหน้าที่ศาลจะให้ ความร่วมมือกบั ผสู้ งั เกตการณ์มากข้ึนอยา่ งชดั เจนถึงร้อยละ 97.50 ท้งั เจา้ หนา้ ที่ ของศาลไดข้ อใหน้ กั ศึกษาแสดงหนงั สือแจง้ ของคณะถึงร้อย 35.14 ซ่ึงอาจเกิด จากการท่ีเจา้ หนา้ ที่พบว่าเป็ นเรื่องที่ไม่ปกติท่ีพบนกั ศึกษาไปศาลมากกว่าปกติ แต่ปรากฏการณ์ดงั กล่าวก็สะทอ้ นถึงความไม่เขา้ ใจถึงหลกั ในการพิจารณาคดี อยา่ งเปิ ดเผยของศาลท่ีประชาชนสามารถที่จะเขา้ ฟังการพิจารณาคดีของศาลได้ ของเจา้ หนา้ ที่ของศาล อย่างไรก็ดีมีขอ้ สังเกตจากนกั ศึกษาผูส้ ังเกตการณ์ว่ามี การใหค้ าแนะนาจากเจา้ หนา้ ท่ีศาลถึงขอ้ มูลเกี่ยวกบั คดีท่ีกาลงั พิจารณาและการ ปฏิบตั ิตวั ของผสู้ งั เกตการณ์ในหอ้ งพจิ ารณาคดี 3. หลกั การพจิ ารณาคดอี ย่างเป็ นธรรม 3.1 บทบาทของผู้พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จากแบบบนั ทึกพบว่าส่วนใหญ่ศาลไดอ้ ธิบายฟ้ องและขอ้ กล่าวหาให้จาเลยฟัง โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 73
ร้อยละ 49.79 และไม่ไดอ้ ธิบายฟ้ องและขอ้ กล่าวหาใหจ้ าเลยฟังร้อยละ 5.43 ใน กรณีท่ีจาเลยไม่มีทนายความศาลไม่ต้งั ทนายความขอแรงให้แก่จาเลยเป็ น จานวนถึงร้อยละ 15.89 ซ่ึงถือว่าเป็ นสัดส่วนท่ีสูง สาหรับการบนั ทึกถอ้ ยคา พยานพบว่าศาลบนั ทึกถอ้ ยคาพยานไม่ตรงกบั คาเบิกความถึงร้อยละ 16.73 ซ่ึง ถือว่าเป็ นสัดส่วนที่สูง อย่างไรก็ดีจากแบบบนั ทึกพบว่าศาลไดเ้ ปิ ดโอกาสให้ พยานไดต้ รวจสอบและโตแ้ ยง้ ก่อนลงนาม และสาหรับการทาหนา้ ท่ีนาสาบาน มีบุคคลท่ีเป็ นผู้นาสาบานหลากหลาย มีท้ังท่ีเป็ นเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ทนายความ อยั การและล่าม อนั ถือว่าเป็ นการปฏิบตั ิที่ไม่ชดั เจนเกี่ยวกบั การ ปฏิบตั ิหนา้ ที่นาสาบานซ่ึงแทจ้ ริงแลว้ หนา้ ที่นาสาบานดงั กล่าวควรดาเนินการ อยา่ งเป็นทางการและมีผนู้ าสาบานท่ีชดั เจน 3.2 บทบาทของผู้พพิ ากษาและองค์คณะ จากแบบบนั ทึกการออกนง่ั พจิ ารณาของศาลพบวา่ ศาลออกนงั่ พิจารณา ไม่ครบองคค์ ณะตามที่กฎหมายบญั ญตั ิอยู่ในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 56.06 ซ่ึง ผลดงั กล่าวส่วนหน่ึงอาจจะเกิดการสังเกตการณ์ท่ีเป็ นการสังเกตการณ์ในวนั อ่านคาพพิ ากษาถึงร้อยละ 33.05 (79 ชุด) ศาลออกนงั่ พิจารณาไม่ตรงเวลาอยใู่ น สัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 59.42 ซ่ึงจะออกนง่ั พิจารณาในเวลาประมาณ 10.00 น. โดยในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์จะโทรศัพท์แจ้งให้ศาลทราบเมื่อ พนกั งานอยั การ ทนายความและพยานมาพร้อมแลว้ การออกนง่ั พิจารณาล่าชา้ ดงั กล่าวอาจจะส่งผลใหม้ ีการเร่งรัดในการพิจารณาคดีและการสืบพยาน การทาหน้าท่ีของศาลที่ร่วมเป็ นองค์คณะไม่มีบทบาทในการช่วย ซักถามเพิ่มเติมในการสืบพยานในสัดส่วนท่ีสูงถึงร้อยละ 62.76 แต่อย่างไรก็ ตามผรู้ ่วมเป็นองคค์ ณะดงั กล่าวยงั มีการกระทาท่ีแสดงออกถึงการไม่มีสมาธิใน การพิจารณา เช่น การนาสานวนหรือเอกสารของคดีอ่ืนอ่าน การนงั่ เหม่อลอย 74 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
หรื อการใช้โทรศัพท์มื อถื อในขณะออกน่ังพิจารณามาอยู่ในสัดส่ วนท่ี ต่ า ระหวา่ งร้อยละ 1.67 – 4.19 ในการห้องพิจารณาผูพ้ ิพากษาได้ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับผลของคดีหาก จาเลยใหก้ ารรับสารภาพ เช่นการจะพิพากษาลดโทษหรือรอลงอาญาถึงร้อยละ 28.47 ท้งั มีการกระทาที่เป็ นการแสดงออกที่เป็นการส่ังสอนจาเลยในเร่ืองบาป บุญคุณโทษถึงร้อยละ 44.35 ซ่ึงถือว่าเป็ นสัดส่วนดงั กล่าวถือว่าเป็ นสัดส่วนท่ี สูงอย่างมีนยั ยะสาคญั เพราะการให้ขอ้ มูลเก่ียวกบั ผลของคดีเป็ นการจูงใจให้ จาเลยรับสารภาพ ท้งั การสั่งสอนจาเลยก็ไม่ใช่บทบาทหนา้ ท่ีตามกฎหมายของ ศาลแต่อยา่ งใด 3.3 บทบาทของอยั การหรือทนายฝ่ ายโจทก์ การมาศาลของพนักงานอัยการหรื ออัยการจากแบบบันทึกการ สังเกตการณ์คดีพบว่ามาศาลไม่ตรงเวลาถึงร้อยละ 40.58 ซ่ึงผลดงั กล่าวน้ีย่อม เป็นส่วนหน่ึงท่ีส่งผลต่อการเริ่มพิจารณาคดีท่ีล่าชา้ ของศาล และเม่ือพิจารณาถึง ความต้งั ใจฟังการเบิกความและจดบนั ทึกขณะท่ีพยานเบิกความพบว่าอยู่ใน ระดบั ร้อยละ 43.51 ส่วนการเดินเขา้ ออกหอ้ งพิจารณาและการใชโ้ ทรศพั ทข์ อง พนักง านอัยการในร ะหว่าง ก าร สื บพยานซ่ึ ง อาจจ ะส่ ง ผล ต่ อการ มี สมาธิ ใน ระหว่างการพิจารณาคดีของพนกั งานอยั การพบว่ามีการกระทาดงั กล่าวมีอยใู่ น ระดบั ท่ีต่า 3.4 บทบาทของทนายฝ่ ายจาเลย จากแบบบนั ทึกการสังเกตการณ์คดี 339 ชุด ทนายของจาเลยในคดี แบ่งเป็นทนายท่ีจาเลยจดั หาเองจานวน 215 ชุด และเป็นทนายขอแรงจานวน 24 ชุด พบว่าทนายจาเลยมาศาลตรงเวลาร้อยละ 62.34 และมาศาลไม่ตรงเวลาร้อย ละ 17.57 ในส่วนของการทาหนา้ ที่ของทนายความพบว่าทนายความของจาเลย มีความต้งั ใจฟังคาเบิกความและจดบนั ทึกเป็ นจานวนร้อยละ 43.51 ซ่ึงเป็ น โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 75
สัดส่วนท่ีสูง อย่างไรก็ตามยงั พบว่าทนายจาเลยกิจกรรมอื่นๆในระหว่างการ พิจารณาคดี เช่น การใชโ้ ทรศพั ทม์ ือถือ การเดินเขา้ ออกห้องพิจารณาดว้ ยเป็ น จานวนถึงร้อยละ 25.10 ส่วนการสลบั ไปปฏิบตั ิหน้าท่ีในห้องพิจารณาอ่ืนมี จานวนนอ้ ยเพยี งร้อยละ 0.83 4. การกระทาอนื่ ๆในศาลที่ถือเป็ นการไม่ปกป้ องสิทธิหรือละเมิดสิทธิ ของผู้ต้องหาหรือจาเลย ในประเด็นเกี่ยวกบั การใชเ้ ครื่องพนั ธนาการในการควบคุมผูต้ อ้ งหา หรือจาเลยน้ัน พบว่าเป็ นการพนั ธนาการโดยใช้โซ่ตรวนเป็ นจานวนร้อยละ 32.65 ใช้กุญแจมือร้อยละ 30.12 ส่วนประเด็นเกี่ยวกบั การปล่อยชว่ั คราวน้ัน พบว่าผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยไดร้ ับการปล่อยชว่ั คราวโดยไม่ตอ้ งทาสัญญาประกนั เป็นจานวนร้อยละ 20.08 สาหรับประเด็นเกี่ยวกบั เหตุที่ผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยไม่ไดร้ ับอนุญาตจาก ศาลให้ปล่อยช่ัวคราวเม่ือมีการร้องขอให้ปล่อยช่ัวคราวน้ัน พบว่ามีสาเหตุ เน่ืองจากการขาดทุนทรัพยเ์ ป็ นจานวนร้อยละ 2.1 การขาดนายประกันเป็ น จานวนร้อยละ 2.92 การกลวั วา่ จะหลบหนีจานวนร้อยละ 1.25 และกลวั จะไปยงุ่ กบั เก่ียวแก่คดีจานวนร้อยละ 3.34 ท้งั ส่วนหน่ึงก็มีสาเหตุจากการเป็ นคดีที่มี ความผิดรุนแรง ซ่ึงจากขอ้ มูลดงั กล่าวน้ีแสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่ผูต้ อ้ งหาหรือ จาเลยไดร้ ับอนุญาตให้ปล่อยชวั่ คราว อย่างไรก็ตามจากแบบสอบบนั ทึกการ สงั เกตการณ์คดีพบวา่ ผสู้ งั เกตการณ์ไม่ไดบ้ นั ทึกขอ้ มลู ในประเดน็ น้ีเป็นสดั ส่วน ที่สูงถึงร้อยละ 95 ข้ึนไป ขอ้ มูลที่ปรากฏจึงอาจจะไม่สะท้อนข้อเท็จจริงที่ เกิดข้ึนอยา่ งที่ควรจะเป็น 76 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ตวั แทนนักศึกษาเข้าร่วมนาเสนอผลงานในการสัมมนาเวทสี าธารณะเร่ือง “คดสี ิทธิมนุษยชน กรณกี ารพจิ ารณาคดดี ้วยความเป็ นธรรม” วนั จันทร์ท่ี 27 พฤษภาคม พ.ศ.2556 ณ สานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 77
78 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ภาคผนวก โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 79
สรุปโครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาล ในมุมมองสิทธิมนุษยชน โดย คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี สานักวชิ านิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั แม่ฟ้ าหลวง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลคดที วั่ ไป สถาบนั จานวนคดที เี่ ข้าสังเกตการณ์ ม.ทกั ษณิ 177 ม.อุบลราชธานี 239 ม.เชียงใหม่ 285 ม.แม่ฟ้ าหลวง 235 สถาบนั ประเภทของคดี อนื่ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ แพ่ง อาญา 4.0 3.4 ม.อุบลราชธานี 19.8 72.9 0 0 ม.เชียงใหม่ 0 100 1.9 0.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 29.4 68.1 0 0 14.9 85.1 80 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ข้อหา สถาบนั พรบยาเสพติด พรบ ่ปาไ ้ม ฯ พรบการคนเ ้ขาเมือง ท ัรพ ์ย ุบก ุรก เพศ ีชวิตและ ่รางกาย เส ีรภาพและ ื่ชอเ ีสยง ละเ ิมด อื่นๆ ไ ่มตอบ ม.ทกั ษิณ 29.4 1.7 0 10.2 0 1.7 19.2 2.3 2.3 27.1 6.2 ม. - - - - - - - - - - - อุบลราชธานี ม.เชียงใหม่ 14.7 4.7 0.3 15.3 0.9 0.6 6.6 0 4.4 36.9 2.5 ม.แม่ฟ้ า 33.61 0.43 14.46 1.7 5.96 17.02 1.28 หลวง โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 81
ส่วนท่ี 2 การบริหารงานธุรการในศาลยุติธรรม 2.1 ก่อนเข้าห้องพจิ ารณาคดี 1. เจ้าหน้าทเี่ ลอื กปฏบิ ตั ใิ นการตรวจบุคคลทเี่ ข้าในบริเวณศาลหรือไม่ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 45.8 52.5 1.7 ม.อุบลราชธานี 8.37 89.53 2.1 ม.เชียงใหม่ 21.9 74.4 2.2 1.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 31.06 69.09 0.85 2. เจ้าหน้าทศี่ าลให้ความร่วมมอื กบั ผู้สังเกตการณ์ เมือ่ มหาวทิ ยาลยั ได้ส่ง หนังสือขออนุญาตจากศาลล่วงหน้า สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 54.8 22.6 22.6 ม.อบุ ลราชธานี 97.5 1.25 1.25 ม.เชียงใหม่ 9.1 33.8 27.8 29.4 ม.แม่ฟ้ าหลวง 38.30 51.06 10.64 82 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
3. เจ้าหน้าทศี่ าลขอให้ผู้สังเกตการณ์แสดงจดหมายขออนุญาตก่อนเข้า สังเกตการณ์คดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 19.2 74.6 6.2 ม.อบุ ลราชธานี 35.14 60.67 4.19 ม.เชียงใหม่ 4.1 70.9 12.8 12.2 ม.แม่ฟ้ าหลวง 8.09 88.94 2.97 4. เจ้าหน้าทศี่ าลปฏบิ ตั ติ ่อผู้สังเกตการณ์ทไี่ ม่สวมชุดนักศึกษาหรือสวมชุด ลาลองเป็ นอย่างดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 53.7 37.9 8.5 ม.อุบลราชธานี 34.30 61.51 4.19 ม.เชียงใหม่ 72.8 15.6 5.0 6.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 68.51 31.06 0.43 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 83
2.2 การเข้าห้องพจิ ารณาคดี 1. เจ้าหน้าทศี าลซักถามผู้สังเกตการณ์ก่อนหรือระหว่างการอยู่ในห้องพจิ ารณา คดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 33.9 62.7 3.4 ม.อุบลราชธานี 62.35 36.82 0.83 ม.เชียงใหม่ 41.3 57.5 0.0 1.3 ม.แม่ฟ้ าหลวง 22.35 77.22 0.43 2. ในบริเวณห้องพจิ ารณาคดี มปี ้ ายข้อความดงั ต่อไปนี้ ตดิ ไว้ 2.1 โปรดแต่งกายสุภาพ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ 0.9 ม.ทกั ษณิ 61 32.2 6.8 ม.อบุ ลราชธานี 75.74 20.5 3.76 ม.เชียงใหม่ 85.9 13.1 0 ม.แม่ฟ้ าหลวง 83.82 15.75 0.43 84 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
2.2 กรุณาสวมรองเท้าหุ้มส้น หรือ ห้ามสวมรองเท้าแตะ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 63.3 29.9 6.8 ม.อุบลราชธานี 72 25.52 2.48 ม.เชียงใหม่ 74.7 21.3 0 4.1 ม.แม่ฟ้ าหลวง 40 59.15 0.85 2.3 ปิ ดอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิคส์ และเครื่องมอื สื่อสาร ทุกชนิดก่อนการพจิ ารณา คดี เช่น โทรศัพท์มือถอื , แท๊ปเลต, คอมพวิ เตอร์ ฯลฯ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 75.1 20.9 4 ม.อุบลราชธานี 82 12.14 5.86 ม.เชียงใหม่ 94.1 5.3 0 0.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 73.19 23.83 2.98 2.4 ห้ามรับประทานอาหารและเคร่ืองดม่ื สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 4.7 ม.อุบลราชธานี 38.4 52.5 9 ม.เชียงใหม่ ม.แม่ฟ้ าหลวง 41.84 54.39 3.77 23.4 71.6 0.3 36.17 63.40 0.43 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 85
2.5 ห้ามเคยี้ วหมากฝรั่ง สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 7.2 ม.อุบลราชธานี 27.1 63.8 9 ม.เชียงใหม่ ม.แม่ฟ้ าหลวง 34.31 61.92 3.77 13.8 77.8 1.3 32.76 66.39 0.85 2.6 ห้ามพดู คุยส่งเสียงดงั ในห้องพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ 4.7 ม.ทกั ษณิ 66.1 27.1 6.8 ม.อุบลราชธานี 62.76 34.35 2.92 ม.เชียงใหม่ 77.5 17.2 0.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 64.68 34.47 0.85 2.7 ห้ามน่ังไขว่ห้าง และกอดอกขณะผู้พพิ ากษาพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 53.1 39 7.9 ม.อบุ ลราชธานี 38.91 51.89 9.2 ม.เชียงใหม่ 79.7 16.6 0.3 3.4 ม.แม่ฟ้ าหลวง 45.53 54.04 0.43 86 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
2.8 ห้ามจดบนั ทกึ หรือบนั ทกึ ภาพและเสียงขณะผู้พพิ ากษาพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 48 43.5 8.5 ม.อุบลราชธานี 59.02 38.5 2.48 ม.เชียงใหม่ 15.9 75 3.1 5.9 ม.แม่ฟ้ าหลวง 68.51 30.64 0.85 3. เจ้าหน้าทห่ี น้าบลั ลงั ก์ หรือเจ้าหน้าทศี่ าล ได้กล่าวตกั เตอื นผู้เข้าร่วมฟังการ พจิ ารณาคดี รวมถงึ ผู้สังเกตการณ์ เมื่อ 3.1 แต่งกายไม่สุภาพ เช่น สวมกางเกงขาส้ัน ฯลฯ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 18.6 64.4 16.9 ม.อุบลราชธานี 28.04 62.76 9.2 ม.เชียงใหม่ 6.9 64.7 12.8 15.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 25.97 70.21 3.82 สถาบนั 3.2 สวมรองเท้าแตะ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ ใช่ ไม่ใช่ 15.3 13.8 ม.อบุ ลราชธานี 47.5 37.3 4.6 ม.เชียงใหม่ 46.44 48.96 10.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 7.2 68.4 2.97 27.67 69.36 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 87
3.3 มกี ารเปิ ดอปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนิคส์ และเคร่ืองมอื ส่ือสาร ทกุ ชนิดก่อนการ พจิ ารณาคดี เช่น โทรศัพท์มือถอื , แท๊ปเลต, คอมพวิ เตอร์ ฯลฯ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 49.7 33.3 16.9 ม.อุบลราชธานี 41.84 52.3 5.86 ม.เชียงใหม่ 30.3 52.2 2.8 14.7 ม.แม่ฟ้ าหลวง 30.65 66.38 2.97 3.4 รับประทานอาหารและเครื่องดมื่ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 19.1 ม.อบุ ลราชธานี 14.1 66.7 19.2 ม.เชียงใหม่ ม.แม่ฟ้ าหลวง 17.99 75.31 6.7 5.3 62.8 12.8 27.23 68.52 4.25 สถาบนั 3.5 เคยี้ วหมากฝร่ัง ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ ใช่ ไม่ใช่ 19.2 18.8 ม.อบุ ลราชธานี 16.9 63.8 5.86 ม.เชียงใหม่ 17.15 76.99 12.5 ม.แม่ฟ้ าหลวง 7.2 61.6 3.40 19.16 77.44 88 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
สถาบนั 3.6 ส่งเสียงดงั ในห้องพจิ ารณาคดี ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ 18.8 ม.อบุ ลราชธานี 48 35.6 16.4 ม.เชียงใหม่ 41.84 53.13 5.03 ม.แม่ฟ้ าหลวง 11.9 57.2 12.2 32.35 63.40 4.25 3.7 น่ังไขว่ห้าง และกอดอกขณะผู้พพิ ากษาพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 41.8 41.8 15.4 ม.อบุ ลราชธานี 32.63 63.67 3.76 ม.เชียงใหม่ 14.1 64.4 8.4 13.1 ม.แม่ฟ้ าหลวง 27.67 68.08 4.25 3.8 จดบนั ทกึ หรือบนั ทกึ ภาพและเสียงขณะผู้พพิ ากษาพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 26.6 54.8 18.6 ม.อบุ ลราชธานี 46.02 52.73 1.25 ม.เชียงใหม่ 7.5 67.5 9.7 15.3 ม.แม่ฟ้ าหลวง 27.67 68.93 3.40 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 89
4. มปี ้ ายตดิ ทหี่ น้าห้องพจิ ารณาคดี เป็ นทหี่ วงห้ามเฉพาะบุคคลทไ่ี ด้รับอนุญาต เท่าน้ัน สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 39 50.3 10.7 ม.อบุ ลราชธานี 45.18 51.05 3.76 ม.เชียงใหม่ 47.8 43.1 1.9 7.2 ม.แม่ฟ้ าหลวง 45.55 50.63 3.82 90 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
ส่วนท่ี 3 หลกั การพจิ ารณาคดีอย่างเป็ นธรรม 3.1 บทบาทของศาลตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา 1.ศาลได้อธิบายฟ้ อง และข้อหาในวนั ทฟ่ี ้ องคดี หรือ วนั นัดพร้อมให้จาเลยฟัง สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 15.3 1.1 83.6 ม.อบุ ลราชธานี 49.79 5.43 44.78 ม.เชียงใหม่ 31.3 2.5 0.0 66.3 ม.แม่ฟ้ าหลวง 29.79 2.55 67.66 2.ศาลได้ถามว่าจาเลยมที นายความก่อนการสอบถามคาให้การ (ในคดที ม่ี ีโทษ ประหาร ชีวติ หรือจาเลยมีอายุไม่เกนิ 18 ปี ) สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 5.1 6.8 88.1 ม.อบุ ลราชธานี 51.88 4.18 43.94 ม.เชียงใหม่ 7.2 15.3 4.4 73.1 ม.แม่ฟ้ าหลวง 14.89 5.96 79.15 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 91
3. ศาลได้บันทกึ คาให้การตรงตามคาเบกิ ความพยานทใี่ ห้การ (ฟังหรือสังเกต จากการทศ่ี าลพดู ใส่เคร่ืองบนั ทกึ เสียง) สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 32.8 2.8 64.4 ม.อบุ ลราชธานี 51.04 16.73 32.23 ม.เชียงใหม่ 38.4 3.1 0.3 0 ม.แม่ฟ้ าหลวง 39.57 5.54 54.89 4. ศาลสั่งให้พยานสาบานตนหรือกล่าวคาปฏิญาณ ก่อนการสืบพยาน สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 27.7 7.3 65 ม.อบุ ลราชธานี 28.03 33.47 38.50 ม.เชียงใหม่ 34.1 5.3 0.3 60.3 ม.แม่ฟ้ าหลวง 27.66 12.34 60.00 5. ศาลเปิ ดโอกาสให้พยานได้ตรวจสอบคาให้การและมีการโต้แย้งก่อน การลงนาม สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 0 0 0 0 ม.อุบลราชธานี 52.30 2.10 45.60 ม.เชียงใหม่ 30.9 2.8 0.6 65.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 31.06 4.68 64.26 92 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
6. ศาลอ่านคาพพิ ากษาหรือคาส่ังศาลโดยเปิ ดเผยในวนั ทเี่ สร็จการพจิ ารณาหรือ ภายใน 3 วนั นับแต่วนั เสร็จสิ้นการพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 20.9 13 66.1 ม.อบุ ลราชธานี 68.20 14.22 17.58 ม.เชียงใหม่ 10.6 3.1 2.2 84.1 ม.แม่ฟ้ าหลวง 21.70 1.28 77.02 7. ศาลอ่านคาพพิ ากษาหรือคาสั่งศาลภายใน 15 ด้วยมีเหตุอนั สมควรในการ เลอื นการพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 11.3 13 75.7 ม.อุบลราชธานี 19.68 58.15 22.17 ม.เชียงใหม่ 2.2 7.2 3.8 86.9 ม.แม่ฟ้ าหลวง 6.81 14.89 78.30 8. ศาลอ่านคาพพิ ากษา ห้องเดย่ี วกบั ห้องทมี่ ีการพจิ ารณาคดี สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ 84.4 ม.ทกั ษณิ 16.9 19.2 63.8 ม.อุบลราชธานี 3.35 84.10 12.55 ม.เชียงใหม่ 6.3 9.4 0 ม.แม่ฟ้ าหลวง 15.74 5.96 78.30 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 93
3.2 บาทหน้าทข่ี องศาลและองค์คณะ 1. ศาลนั่งครบองค์คณะจนจบการพจิ ารณาคดใี นวนั น้ัน (กรณศี าลแขวง 1 ท่าน, ศาลสถาบนั มี 2 ท่าน , ศาลแรงงาน 3ท่าน, ศาลเยาวชน 3 ท่าน) สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 23.7 67.2 9 ม.อบุ ลราชธานี 41.42 56.06 2.52 ม.เชียงใหม่ 58.1 41.3 0 0.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 39.15 60.42 0.43 2 การน่ังพจิ ารณาคดขี องศาลตรงเวลา (09.00 น. และ 13.30 น.) สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ 1.9 ม.ทกั ษณิ 20.9 68.9 10.2 ม.อบุ ลราชธานี 59.42 37.23 3.35 ม.เชียงใหม่ 11.3 85.9 0.9 ม.แม่ฟ้ าหลวง 40.85 59.15 0.00 94 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
3. สมาธิของศาลต่อการพจิ ารณาคดี 3.1 องค์คณะผู้ไม่ใช่สานวนช่วยกนั ซักถามเพม่ิ เตมิ ในขณะทม่ี ีการสืบพยาน สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 5.6 57.1 37.3 ม.อบุ ลราชธานี 9.63 62.76 27.61 ม.เชียงใหม่ 20 67.5 0.6 11.9 ม.แม่ฟ้ าหลวง 10.64 84.68 4.68 3.2 องค์คณะผู้ไม่ใช่เจ้าของสานวนให้ความสนใจคดอี น่ื หรือ หยบิ เอกสารของคดอี นื่ ขนึ้ มาอ่าน สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 2.8 61 36.2 ม.อบุ ลราชธานี 3.35 80.75 15.9 ม.เชียงใหม่ 28.8 60 0.6 10.6 ม.แม่ฟ้ าหลวง 23.40 73.62 2.98 3.3 องค์คณะทไ่ี ม่ใช่เจ้าของสานวนไม่มีสมาธิระหว่างการพจิ ารณาคดี ช่น นั่งหลบั ,เหม่อลอย เป็ นต้น สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 1.1 62.7 36.2 ม.อบุ ลราชธานี 1.67 80.75 17.58 ม.เชียงใหม่ 10 77.8 0.9 11.3 ม.แม่ฟ้ าหลวง 2.98 95.32 1.70 โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch) ๏ 95
3.4 องค์คณะทากจิ กรรมอนื่ ๆขณะพจิ ารณาคดี เช่น ใช้โทรศัพท์มือถอื ขณะมกี ารพจิ ารณาคดี เป็ นต้น สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ 0 ม.ทกั ษณิ 0 0 0 10.6 ม.อบุ ลราชธานี 4.19 75.31 20.50 ม.เชียงใหม่ 4.4 84.1 0.9 ม.แม่ฟ้ าหลวง 5.11 93.19 1.70 4. ศาลได้ใช้คาพูดชักจูงโดยหวงั ผลเพอื่ ให้จาเลยรับสารภาพ สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ 8.1 ม.ทกั ษณิ 6.8 67.8 25.4 ม.อบุ ลราชธานี 5.03 88.70 6.27 ม.เชียงใหม่ 2.2 89.7 0 ม.แม่ฟ้ าหลวง 1.28 94.89 3.83 5. ศาลได้อธิบายถงึ ผลของคาพพิ ากษา หากจาเลยรับสารภาพ ตวั อย่างเช่น หาก จาเลย รับสารภาพจะได้ลดโทษ, หากรับสารภาพ จะให้รอลงอาญา สถาบนั ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ ไม่ระบุ ม.ทกั ษณิ 9 58.8 32.2 ม.อุบลราชธานี 28.47 63.59 7.94 ม.เชียงใหม่ 4.7 85.3 0 10 ม.แม่ฟ้ าหลวง 15.74 80.00 4.26 96 ๏ โครงการการเรียนรู้และสังเกตการณ์กระบวนการทางศาลในมุมมองสิทธิมนุษยชน (Court Watch)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137