Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสาร-นิติสังคมศาสตร์ ป.11 ฉ.2 ใหม่

วารสาร-นิติสังคมศาสตร์ ป.11 ฉ.2 ใหม่

Published by E-books, 2021-06-18 08:38:49

Description: วารสาร-นิติสังคมศาสตร์ ป.11 ฉ.2 ใหม่

Search

Read the Text Version

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 ก่อสงครามของสหรัฐอเมริกา จะทาให้ไทยต้องเข้าสงครามด้วย หรือบทความ วิพากษว์ ิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คดีน้ีศาลทหารได้พิพากษายกฟ้อง โดยที่ จาเลยถูกคุมขังไปกวา่ 6 ปี - คดีแนวร่วมสังคมนิยม จาเลยเป็น 4 อดีต ส.ส.ที่มีส่วนร่วมในกลุ่มแนวร่วมสังคมนิยม ทาให้ถูกกล่าวหาดว้ ยข้อหาคอมมิวนิสต์ และมาตรา 116 จาเลยรายหนึ่ง ได้แก่ พรชัย แสงชัจจ์ ทนายความและอดีต ส.ส.ศรีสะเกษ ถูกฟ้องร้องจากการที่ได้เสนอร่างพ.ร.บ. ยกเลิกพ.ร.บ.ป้องกันการกระทาอันเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอัยการ ทหารบรรยายฟ้องว่าเข้าข่ายมาตรา 116 เพราะจะเป็นแผนการให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งการกระทาอันเป็น คอมมิวนิสต์ คดีนี้ต่อมามีการถอนฟ้องในศาลทหาร โดยกลุ่มจาเลยถูกคุมขังเป็น ระยะเวลาเกอื บ 8 ปี - คดีชาวบ้านกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี 8 คน ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ และ มาตรา 116 โดยกล่าวหาว่าได้ร่วมกันเป็นคณะบุคคลเรียกว่า “คณะธรรม” มี เป้าหมายในการแบ่งแยกดินแดนทางภาคอีสาน และล้มล้างระบอบการปกครอง โดยมี การเรยี กประชมุ ราษฎร และกลา่ ววาจาวพิ ากษ์วจิ ารณ์รฐั บาลจอมพลสฤษด์ิ - คดีนายนิพนธ์ ชัยชาญ นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งถูกสั่งฟ้องในข้ อหา คอมมิวนิสต์และมาตรา 116 ในเรื่องการเขียนข้อความ 4 ข้อความไวบ้ นกาแพงห้องขัง ตารวจสันติบาล เป็นข้อความวิจารณ์ผู้ปกครอง ข้อความเกี่ยวกับการต่อสู้ของ ประชาชน และการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ โดยที่ห้องขังดังกล่าวไม่ได้มีประชาชนทั่วไป เข้าออกได้แต่อย่างใด แต่อัยการทหารระบุในคาฟ้องว่าข้อความดังกล่าวมีความมุ่ง หมายให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล เกลียดชังระหว่างประชาชน และเพื่อก่อให้เกิด ความปน่ั ป่วนหรอื กระด้างกระเดื่องในหม่ปู ระชาชนถึงขนาดจะก่อความไมส่ งบ - คดีการชุมนุมเดินขบวนประท้วงขึ้นค่ารถเมล์และประท้วงรัฐบาลทหาร เมื่อปี 2511 ซึ่งมีผู้ร่วมชุมนุม 6 ราย ถูกกล่าวหาตามมาตรา 116, ฝ่าฝืนประกาศคณะปฏิวัติเรื่อง การชุมนุมทางการเมือง และไม่ปฏิบัติตามคาสั่งเจ้าพนักงาน คดีนี้ศาลพิพากษายก ฟ้องในส่วนมาตรา 116 เนื่องจากหลายถ้อยความท่ีผู้ชุมนุมถกู อ้างว่าได้กล่าว เปน็ การ ติชมระบอบการปกครองภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ถ้อยความของจาเลย บางคนแม้หยาบคาย แสดงการดูหมิ่นรัฐบาลและตารวจ แต่ยังไม่เป็นความผิดตาม ขอ้ หาของโจทกฟ์ ้อง 42

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบบั ท่ี 2 หลังจากช่วงยุคของ จอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม เท่าที่สืบค้นไม่พบว่ามีการกล่าวหา ดาเนินคดีด้วยมาตรา 116 มากนัก โดยเท่าที่พบมีอย่างน้อย 3 กรณี ได้แก่ คดีจากเหตุการณ์สังหาร หมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งมีการจบั กุมและสั่งฟ้องแกนนานักศึกษาจานวน 18 คน ต่อศาลทหาร กรุงเทพ รวม 10 ข้อหา โดยมีข้อหาตามมาตรา 116 เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่คดีนี้ต่อมา มีการนิรโทษ กรรมตามพระราชบัญญัตนิ ริ โทษกรรม พ.ศ.2221 ทาใหไ้ มไ่ ดม้ ีคาพพิ ากษาของศาลออกมา นอกจากนั้น ยังมีคดีของนายศักดิ์สิทธิ์ สุวรรณภักดีกับพวก ตามฎีกาที่ 2048/2224 ถูก กล่าวหาจากกรณีการชักชวนนักศึกษาประชาชนให้มาชุมนุมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ขึ้นปราศรัย ขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด และจัดตั้งหน่วยฟันเฟืองจากผู้มาร่วมชุมนุม จนนาไปสู่การขว้างปาและ วางเพลิงจวนผู้ว่าฯ คดีนี้ ศาลฎีกาตัดสินให้จาเลยทั้งสองคนมีความผิดตามมาตรา 116 และ 212 ส่วนอีกคดีหนึ่ง คือคดีของพลเอกเสริม ณ นคร และพวก ตามฎีกาที่ 2824/2240 กลุ่มจาเลยถูกฟ้อง จากกรณรี ว่ มกอ่ กบฏ “0 กนั ยายน 2228” 3.2 ชว่ งความขัดแย้งทางการเมอื งหลังรฐั ประหาร 2549 การกลา่ วหาด้วยมาตรา 116 กลับมาเพ่ิมมากข้ึนหลังการรัฐประหาร 2549 (แตย่ ังไมช่ ัดเจน เท่ารัฐประหาร 2557) โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งทางการเมืองเรื่อง “สีเสื้อ” แนวโน้มคดี ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เกิดขึ้นจากการปราศรัยในการชุมนุมทางการเมืองของฝ่ายต่างๆ เพื่อคัดค้านขับไล่ รัฐบาลในขณะนั้น จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ (ilaw)18 และการค้นคว้า เพิ่มเติมของผู้เขียน พบว่าตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 จนถึงช่วงต้นปี 2224 นั้น พบการดาเนินคดี ด้วยมาตรา 116 อยา่ งน้อย 12 คดี สามารถแยกประเภทคดตี ามลกั ษณะการแสดงออกได้เป็น - กรณกี ารเคลอื่ นไหวคัดค้านกลไกของคณะรัฐประหาร 2549 จานวน 1 คดี ได้แก่ คดีปีน สภา สนช. เมื่อปี 2220 ซึ่งกลุ่มเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน 10 คน ถูกกล่าวหาจากการปีนรั้ว รฐั สภาเข้าไปพยายามหยุดย้ังการพิจารณากฎหมายท่ีไม่ชอบธรรมของสภานิติบัญญตั ิแหง่ ชาติ (สนช.) คดีนี้มีการต่อสู้ถึงชั้นศาลฎีกา โดยศาลฎีกาลงโทษในข้อหาบุกรุก แต่ให้ยกฟ้องข้อหามาตรา 116 เหมือนกบั ศาลชนั้ ตน้ และให้รอการกาหนดโทษไว้ 2 ปี - กรณีการเคล่ือนไหวท่ีเก่ียวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มขับไล่รัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ จานวน 3 คดี ได้แก่ คดีของแกนนาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 9 ราย ที่ถูกกล่าวหาด้วย 18 ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ, :116 มาตรา“ เม่ือข้อหา ”ถูกใช้เป็นเครื่องมือปิดกั้นการแสดงออก ”ยุยงปลุกป่ัน“, สืบคน้ วันที่ 2261 มีนาคม 28, จาก https://freedom.ilaw.or.th/blog/ 43

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 มาตรา 116, 215 (เรื่องการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ) จากการ ชมุ นมุ ดาวกระจายไปยงั สถานท่รี าชการตา่ งๆ ในปี 255119 อีกสองคดี ได้แก่ คดีแกนนาการชุมนุมของกล่มุ กปปส. รวม 58 คน ซ่ึงถูกทางกรมสอบสวน คดพี ิเศษ (ดเี อสไอ) ตง้ั ขอ้ หาจากการชุมนุมในชว่ งปี 2556-57 ตามมาตรา 116 ร่วมกับข้อหากบฏตาม มาตรา 114 และ 117 โดยกรณีนี้ยังอยู่ระหว่างการดาเนินคดี อีกคดีหนึ่งคือคดีของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” แกนนากลุ่มพิทักษ์สยาม ถูกกล่าวหาจากการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่ง ลักษณ์ ชนิ วัตร เมือ่ เดือนพฤศจกิ ายน 2222 - กรณีการเคลื่อนไหวท่ีเก่ียวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเส้ือแดง จานวน 5 คดี ได้แก่ คดีของ “ดีเจหนึ่ง” หรือนายจักรพันธ์ บริรักษ์ ดีเจสถานีวิทยุในจังหวัดเชียงใหม่ ถูกกล่าวหาว่าได้ ประกาศผ่านสถานีวิทยุให้ประชาชนไปร่วมชุมนุมปิดถนนสายเชียงใหม่-ลาปาง ในช่วงเดียวกับการ ชมุ นมุ ของคนเส้อื แดงเมื่อเดอื นเมษายน 2222 คดีนี้ศาลพิพากษาว่าจาเลยมีความผิดตาม (2) และ (3) แต่ให้รอการกาหนดโทษไว้ 4 ปี เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนที่ไปปิดถนนเป็นคนที่ฟัง รายการของจาเลย อกี ท้งั การลงโทษทางอาญาในคดที มี่ ีเหตุจูงใจทางการเมืองไม่ใชห่ นทางแกป้ ญั หา คดีของนายสมชาย ไพบูลย์ ส.ข. พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาจากการปราศรัยระหว่างการ ชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2224 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้มีความผิดตามมาตรา 116 ลงโทษจาคุก 1 ปี โดยศาลเห็นว่าในช่วงเวลานั้นมีประชาชนใช้กาลังและอาวุธปืน ท่อนไม้ ท่อนเหล็ก เข้าขัดขวางการทางานของเจ้าหน้าที่ จนเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งทรัพย์สินของทาง ราชการเสียหาย คดีชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดเชียงราย เพื่อประท้วงขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชา ชีวะ ในช่วงเดือนเมษายน 2552 แกนนาการชุมนุม 4 ราย ถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 และ 215 โดย กล่าวหาว่ามี “การปลุกระดม” คนให้เขา้ ร่วมชมุ นุมประท้วงตามสถานที่ราชการและปิดก้ันถนน คดีนี้ 19 คดนี ้ีศาลอาญามีคาพิพากษาในปี 2260 โดยยกฟ้องในส่วนจาเลย 6 ราย เนื่องจากประเดน็ เรอ่ื งการฟ้องซ้ากับคดอี ื่นท่ีเป็น การกระทาเดียวกัน ขณะที่จาเลยอีก 4 ราย ศาลลงโทษตามมาตรา 212 ส่วนความผิดตามมาตรา 116 ศาลเห็นว่ายังไม่ ชัดเจนว่าการกระทาของจาเลยทั้งสาม หรือการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ มิได้เป็นการกระทาภายในความมุ่งหมายแห่ง รัฐธรรมนูญ การชุมนุมโดยรวมต้องถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ จึงยังไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ดูใน กรุงเทพธุรกิจ, “ศาลพิพากษายกฟ้อง 'พันธมิตร' คดีม็อบดาวกระจายไล่รัฐบาลสมัคร”, สืบค้นวันท่ี 24 มีนาคม 2261, จาก http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/462761 44

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปีที่ 11 ฉบบั ที่ 2 ต่อมาอัยการจังหวดั เชียงรายมีคาส่ังไมฟ่ ้องคดี โดยเห็นว่าการชุมนุมของผู้ต้องหาทั้ง 4 เปน็ การชุมนุม ทางการเมืองโดยสงบ ยอ่ มได้รับความคมุ้ ครองตามรฐั ธรรมนูญ20 คดี 10 แกนนานปช. จากกรณีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 คดีนี้เพิ่งมีการฟ้องต่อศาลอาญาในเดือนมีนาคม 2561 โดยถูกฟ้องข้อหาตามมาตรา 215 และตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร่วมกับมาตรา 116 ด้วย และคดีของนายอนุวัฒน์ แกนนา นปช.โคราช จากการ ปราศรยั เมอ่ื เดือนกมุ ภาพนั ธ์ 2224 เรือ่ งการแบง่ แยกประเทศ ซึง่ ไมท่ ราบความคบื หนา้ ของคดี - กรณีการเผยแพร่ข้อมูลทางการเมืองท่ีมีลักษณะเป็นเท็จหรือก่อให้เกิดความสับสน จานวน 2 คดี ได้แก่ คดีของนายพรวัฒน์ ลูกน้องของเสธฯ แดง ถูกกล่าวหาจากกรณีการพูดระหว่าง อัดรายการในโปรแกรมแคมฟรอก ทานายว่าจะมีเหตุระเบิดในกรุงเทพในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2224 คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าถ้อยคาที่จาเลยกล่าวเป็นถ้อยคาที่คนทั่วไปรับฟัง แล้วย่อมเกิดความตระหนกตกใจ แต่ไม่ได้มีข้อความใดๆ ในทานองยุยงส่งเสริมหรือปลุกระดมให้เกิด ความป่ันป่วนหรอื กอ่ ใหเ้ กิดความกระด้างกระเดือ่ ง จนถึงขนาดจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความไม่สงบ อีกคดีหนึ่ง ได้แก่ คดีของนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ ผู้สื่อข่าว และพวกรวม 4 ราย ถูก ปอท. กล่าวหาว่าได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องข่าวลือการรัฐประหารในสมัยรัฐบาลยิ่ง ลักษณ์ และขอให้ประชาชนกักตุนน้าและอาหาร เมื่อเดือนสิงหาคม 2226 ซึ่งไม่ทราบความคืบหน้า ของคดี - กรณที ถี่ ูกฟอ้ งร่วมกบั ข้อหาหมิน่ ประมาทกษัตริย์ จานวน 1 คดี จะเหน็ ได้ว่าแนวโน้มของมาตรา 116 ในช่วงน้ีเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่สังคมอยู่ในสภาพแบ่ง ขวั้ ทางการเมืองอยา่ งรุนแรง และฝ่ายการเมืองต่างๆ พยายามใช้ยทุ ธวิธีต่างๆ เพ่ือผลักดันข้อเรียกร้อง อย่างเข้มข้น จึงทาให้มักจะถูกนามาใช้กับกรณีการจัดการชุมนุมขนาดใหญ่ เพื่อขับไล่รัฐบาลใน ขณะนั้น ผู้ถูกตั้งข้อหาส่วนใหญ่เป็นแกนนาที่มีอิทธิพลต่อการชุมนุม หลายกรณีมีลักษณะการกระทา ที่ตามมาซึ่งอาจไปละเมิดต่อกฎหมายอื่นๆ เช่น การปิดถนน หรือการเข้ายึดสถานที่ราชการ ทาให้ 20 ความเห็นอัยการในคดีน้ี ยังระบุว่าการชุมนุมดังกล่าวไม่มีผู้ใดพกพาอาวุธมาในการชุมนุมและไม่มีผู้ใดใช้กาลังประทุษร้าย แก่ชีวิตและร่างกาย ไม่มีการบุกรุกเข้าไปยังสถานที่ราชการ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการทาลายทรัพย์สินของทางราชการ แม้จะ ปรากฏว่ามีการปิดกั้นถนนบริเวณท่ีมีการชมุ นุม แต่ก็เป็นการปิดกั้นในบางส่วน ซึ่งผู้ใชย้ วดยานสามารถสัญจรไปมาได้ ถือได้ ว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ดูใน สานักข่าวประชาไท, “อัยการสั่งไม่ฟ้อง 4 เสื้อแดงเชียงราย ชุมนุม ปี52 ลุ้นปีนี้ต่อผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แถมข้อหา \"ผู้บงการ ””, สืบค้นวันที่ 23 มีนาคม 2561, จาก https://prachatai.com/journal/2010/09/30913 45

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 กรณีลักษณะนี้มักจะถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด แต่หากศาลเห็นว่ายังเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวธุ ก็มักจะยกฟ้องคดี หรืออัยการมีการสัง่ ไม่ฟ้องคดีเสยี กอ่ น 3.3 มาตรา 116 ในยคุ คณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ หลังการรัฐประหารของ คสช. การกล่าวหาและดาเนินคดีด้วยมาตรา 116 เพิ่มขึ้นอย่างมี นัยสาคัญในประวัติศาสตร์การบังคับใช้มาตรานี้ จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 จนถึงสิ้นเดือนพ.ค. 2561 (เท่าที่ทราบ) พบว่ามีการดาเนินคดีด้วยมาตรา 116 แล้ว อย่างน้อย 41 คดี มีผู้ถูกดาเนินคดีแล้วอย่างน้อย 103 คน ความผิดตามมาตรา 116 หลัง การรัฐประหาร 2557 ยังเป็นหนึ่งในหมวดความผิดที่ถูกประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 กาหนดให้ ต้องถูกพิจารณาพิพากษาในศาลทหาร อีกทั้งพบว่าคดีส่วนใหญ่ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้กล่าวหาอีก ดว้ ย แนวโน้มสาคัญที่เห็นได้ชัดเจน คอื ในด้านเนื้อหาการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น หรือ นาเสนอข้อมูลคัดค้าน วิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐประหาร หรือการใช้อานาจของคสช. กลายเป็นลักษณะ การแสดงออกที่ถูกดาเนินคดีมากที่สุด คือจานวน 25 คดี21 นอกจากนั้นเป็นกรณีนาเสนอข้อมูล ข่าวสารทางการเมืองที่คลาดเคลื่อน หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จานวน 2 คดี22, กรณีแสดงความ คิดเห็นตัดพ้อเรื่องความยุติธรรมและการแยกประเทศ จานวน 3 คดี23, กรณีแสดงความคิดเห็นเรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญก่อนหน้าการลงประชามติ ได้แก่ กรณีส่งจดหมายวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ จานวน 2 คดี และกรณีการแสดงออกที่เกย่ี วข้องกับอปุ กรณ์เชิงสญั ลักษณ์ ไดแ้ ก่ ขนั นา้ สีแดงท่ีมลี ายเซน็ พ.ต.ท. 21 อาทิเช่น คดีของจาตุรนต์ ฉายแสง ทีแ่ ถลงข่าววิพากษ์วิจารณ์การรัฐประหารท่ีสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ, คดีของสมบัติ บุญงามอนงค์ โพสต์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์เชิญชวนให้ประชาชนคัดค้านการรัฐประหาร, คดีของสิทธิทัศน์วชิร และคดีของ พลวัฒน์ โปรยใบปลวิ ตอ่ ต้านการปกครองของคสช., คดขี องพันธศ์ ักด์ิ ศรีเทพ ที่ทากิจกรรมพลเมอื งรุกเดิน เพอื่ คดั คา้ นการนา พลเรือนขนึ้ ศาลทหาร และคดีของปรีชา ท่ีมามอบดอกไมใ้ ห้กาลังใจพันธ์ศกั ด์ิ, คดีของกลมุ่ ประชาธิปไตยใหม่ 17 คน จัดการ ชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารในวันที่ 27 มิ.ย.2558, กรณีการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์คสช. โดยบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น วัฒนา เมอื งสุข, ประวิตร โรจนพฤกษ์ หรือ ร.ท.หญงิ สณุ ิสา เลิศภควัต (หมวดเจยี๊ บ) รวมทง้ั กรณแี กนนาการชุมนมุ ในช่วงปี 2561 ที่ เคลอ่ื นไหวเรียกร้องคสช. ให้กาหนดวันเลือกต้งั ทช่ี ดั เจน 22 ได้แก่ กรณีชชั วาลย์ ผู้สือ่ ขา่ วอิสระ นาเสนอภาพและขา่ วการต่อต้านรัฐประหารผดิ วัน, กรณชี ญาภา โพสต์ข่าวลือเร่ืองการ รัฐประหารซ้อน, กรณีรินดา โพสต์ข่าวลือเรื่องพล.อ.ประยุทธ์และภรรยา โอนเงินหม่ืนล้านไปยังประเทศสิงคโปร์, กรณีพระ สนิทวงค์ โพสต์ข้อความเรื่องการกระทารุนแรงของดีเอสไอต่อวัดพระธรรมกาย, กรณีองอาจ อดีตโฆษกวัดพระธรรมกาย กลา่ วและโพสตข์ ้อความเรือ่ งการใชค้ วามรุนแรงของเจ้าหนา้ ทร่ี ฐั ในวดั พระธรรมกาย 23 ทั้งหมดเป็นกรณีการติดป้ายขอ้ ความ \"ประเทศนี้ไม่มีความยตุ ิธรรม กู ขอแยกประเทศ\" ในจังหวัดเชียงรายและพะเยา โดย ผู้ถกู ดาเนนิ คดีท้ังสามคดี เปน็ กล่มุ ผู้ตอ้ งหา 4 รายเดยี วกัน 46

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ปีท่ี 11 ฉบับท่ี 2 ทักษิณ ชินวัตร จานวน 2 คดี แต่ทั้งหมดนี้แม้ไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อ คสช. โดยตรง ก็มี ลักษณะที่เป็นการแสดงออกที่จะกระทบไปถึงอานาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วยเช่นกัน ส่วนที่เหลือเป็นกรณีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์จานวน 2 คดี และกรณีไม่ ทราบรายละเอียดการกล่าวหาแน่ชัดอีก 2 คดี หากพิจารณาโดยรูปแบบการแสดงออก แนวโน้มส่วนใหญ่แตกต่างออกไปจากช่วงความ ขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสีเสื้อข้างต้น ที่การกล่าวหาดาเนินคดีมักเกิดจากการชุมนุมเคลื่อนไหว ขนาดใหญ่ มีประชาชนเข้าร่วมจานวนมาก แต่หลังรัฐประหาร 2557 ปรากฏว่ามีถึง 16 คดี ที่ถูก ดาเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นหรือนาเสนอข้อมูลในโลกออนไลน์ อย่างการจัดทาเพจหรือการ โพสต์เฟซบุ๊ก, มีจานวน 8 คดี ที่เป็นการแสดงออกในลักษณะการติดป้ายหรือเผยแพร่เอกสาร อย่าง จดหมายหรือใบปลิว, มีจานวน 7 คดี ที่เป็นการกล่าวปราศรัยในการชุมนุมขนาดเล็ก หรือการ อภิปรายสาธารณะต่างๆ และมีอีกอย่างน้อย 3 คดี เป็นกรณีที่เพียงแค่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ทางการเมอื ง โดยไม่ได้กล่าวปราศรยั ใดๆ หากดูในรายละเอียดข้อกล่าวหา ยังสะท้อนให้เห็นแนวทางการใช้อานาจของคณะ รัฐประหาร ที่มุ่งปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ การชุมนุมโดยสงบ การเสียดสีล้อเลียน หรือการเผยแพร่ ข้อมูลทใี่ หผ้ ลทางลบตอ่ ผ้ถู อื อานาจ อาทเิ ช่น - คดี 8 แอดมินที่จัดทาเพจเฟซบุ๊กชื่อ “เรารัก พล.อ.ประยุทธ์” ถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 (2) โดยระบุว่าเพจดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นการโจมตีรัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนทั่วไปที่เข้ามาอ่านเนื้อหาในเพจจะรู้สึกว่ารัฐบาล และนายกรัฐมนตรี เป็นตัวตลก ไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ เกลียดชัง ต่อต้านไม่สนับสนุน อานาจการบริหารประเทศของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี พวกที่ชอบความรุนแรงอาจ เกดิ ความกระด้างกระเดอ่ื ง หรือก่อความไม่สงบข้ึนในประเทศได้ - กรณีของฐนกร ในส่วนของมาตรา 116 ถูกฟ้องจากการโพสต์รูปแผนผัง “เปิดปมการ ทุจริตอุทยานราชภักดิ์” ซึ่งมีรูปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหลายคนในผัง ลง ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งทาให้บุคคลที่ได้เห็นภาพเข้าใจว่าบุคคลในภาพมีความเกี่ยวข้อง กับการทุจริต ลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อประชาชนทั่วไป จึงเป็นการทาให้ เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเด่ืองในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบ ขึ้นในราชอาณาจักร และโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของ ประเทศ 47

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 - คดีของชัชวาลย์ นักข่าวอิสระ ถูกกล่าวหาจากการส่งภาพและข่าวการชุมนุมต่อต้าน รัฐประหารท่ีจงั หวัดลาพูนใหส้ านักข่าวผู้จัดการ ระบุวันคลาดเคลื่อนจากเหตุท่ีเกิดขึ้น จริง โดยวันเวลาที่ระบุไม่ได้มีการชุมนุมเกิดขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งต่อมาสานักข่าวก็ได้ลบ ข่าวดังกล่าวออก แต่กลับถูกเจ้าหน้าท่ีทหารแจ้งความดาเนินคดีในข้อหามาตรา 116 โดยเห็นว่าเป็นข้อมูลข่าวสารที่ก่อให้เกิดความสับสน ย่ัวยุปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง ซ่งึ ย่อมเล็งเห็นไดว้ ่าสามารถกอ่ ให้เกดิ ความปนั่ ป่วนหรือกระด้างกระเดอ่ื งฯ คดนี ้ี ศาล ทหารมีคาพิพากษายกฟ้องหลังจากจาเลยต่อสู้คดี โดยเห็นว่าการกระทาของจาเลย เปน็ เพียงการนาเสนอข่าวในเหตกุ ารณ์ประจาวัน - คดีของพันธ์ศักดิ์ นักกิจกรรมทากิจกรรมพลเมืองรุกเดิน ถูกฟ้องว่าได้โพสต์เฟซบุ๊ก สว่ นตวั วา่ “จุดเรมิ่ เดิน ไปบอกว่าพลเรอื นต้องไมข่ น้ึ ศาลทหาร พบกนั ท.่ี .. (สถานทแ่ี ละ เวลา) ... พร้อมแผนที่แสดงจุดนัดพบ” ผู้กล่าวหาระบุว่าโพสต์ดังกล่าวมีเจตนาให้ ประชาชนท่ัวไปมาร่วมชมุ นุมทางการเมือง เพอ่ื ต่อต้านการดาเนินคดบี ุคคลพลเรือนใน ศาลทหาร ทั้งที่ในห้วงเวลาดังกล่าวมีประกาศ คสช.ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้า คนขนึ้ ไป การกระทาดังกลา่ วจงึ เปน็ ความผดิ ต่อความมนั่ คงของรัฐ - คดโี ปรยใบปลิวของพลวฒั น์ จาเลยถูกกล่าวหาไดจ้ ัดทาใบปลิวมีข้อความวา่ “ตื่น และ ลกุ ขน้ึ สู้ไดแ้ ลว้ ผรู้ กั ประชาธิปไตยทุกคน” “เผด็จการจงพนิ าศ ประชาธปิ ไตยจงเจริญ” พรอ้ มภาพชสู ามน้วิ ไปโปรยในพืน้ ทจี่ ังหวัดระยอง - คดีของธีรวรรณ ถูกกล่าวหาจากการถือขันน้าสีแดงและถือภาพโปสเตอร์สวัสดีวัน สงกรานต์ ปีใหม่ไทย ซึ่งมีรูปภาพนายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้นักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถ่ายรูป และนาไปเผยแพร่เป็นข่าว หน้าหนึ่ง ซึ่งผู้กล่าวหาเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 116 (2) ต่อมาอยั การทหารส่ังไมฟ่ อ้ งคดนี ี้ - คดีของรินดา ที่ถูกกล่าวหาจากการโพสต์ข้อความข่าวลือเรื่องพล.อ.ประยุทธ์ และ ภรรยาทจุ ริตภาษี โอนเงินไปประเทศสิงคโปร์หลายหมื่นล้านบาท คดีนี้อัยการทหารส่ัง ฟ้องคดี โดยระบุว่าข้อความจะทาให้ประชาชนที่ได้อา่ นตื่นตกใจ ทั้งยังเป็นการทาลาย ความน่าเชื่อถือของผู้นาประเทศ โดยประสงค์จะให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้าง กระเดื่องฯ แต่หลังฟ้อง ศาลเห็นเองว่าไม่เข้าข่ายความผิดฐานยุยงปลุกปั่น เป็นเพียง การหมิ่นประมาทโดยโฆษณา จึงสั่งจาหน่ายคดี ต่อมาทาง ปอท.ได้นาคดีนี้ไปฟ้องใน ขอ้ หาตามพ.ร.บ.คอมพวิ เตอรแ์ ทน 48

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ปที ่ี 11 ฉบับท่ี 2 - คดีของวัฒนา เมืองสุข ถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง \"หมุดที่หายเป็นสมบัติ ของชาติ\" โดยระบุว่ารัฐบาลสมควรถูกประณามเพราะหมุดคณะราษฎรที่สูญหายไป อยู่ในบริเวณเขตพระราชฐาน แต่ไม่มีปญั ญารักษาไวไ้ ด้ รฐั บาลจงึ ต้องรบั ผดิ ชอบหาตัว ผู้กระทาความผิดมาลงโทษ หากทาไม่ได้ก็เท่ากับรัฐบาลรู้เห็นกับฝ่ายต่อต้าน ประชาธิปไตย ผู้กล่าวหาระบุว่าข้อความดังกล่าวทาให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด มี ทัศนคติไม่ดีและเกลียดชังรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นการปลุกกระแสกลุ่ม คนที่มีความคิดเกลียดชังรัฐบาลเผด็จการ และต้องการต่อต้านการทางานของรัฐบาล เพอื่ เป็นการชนี้ าชกั ชวนให้กล่มุ คนดงั กลา่ วและประชาชนออกมาเคลื่อนไหว เพอ่ื ทาให้ เกดิ ความว่นุ วายในบ้านเมือง ตวั อย่างคดดี ังกล่าว ลว้ นมลี ักษณะเปน็ การดาเนินการกบั การแสดงความคิดเห็นที่มลี ักษณะ ต่อต้าน คสช. หรือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการตีความให้ คสช. รัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี เท่ากับ “รัฐ” การแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่ข้อมูลทางลบต่อผู้ปกครอง ทาให้ประชาชนเห็น รฐั บาลเปน็ “ตวั ตลก” หรอื เกิดความรูส้ ึกเกลียดชงั รฐั บาล กลับกลายเปน็ เร่ืองความมั่นคงของรฐั ทจี่ ะ กอ่ ให้เกดิ ความปน่ั ป่วนและกระด้างกระเดื่องในหม่ปู ระชาชน ถึงขนาดท่จี ะกอ่ ความไมส่ งบฯ การกล่าวหายังมีลักษณะเป็น “การคาดเดา” เอาเองของผู้กล่าวหาค่อนข้างสงู ว่าการแสดง ความคิดเห็นหรือเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ เก่ียวกับผู้ปกครอง แม้ในระดับการเผยแพร่ที่เล็กน้อยเพียงใดก็ ตาม อย่างการถือขันน้าที่มีลายเซ็นอดีตนายกรัฐมนตรี การโพสต์เฟซบุ๊กที่มีคนอ่านไม่มากนัก หรือ การทากจิ กรรมเดินเทา้ เพยี งลาพัง จะทาให้เกดิ ผลตามความผิดในมาตรา 116 ทั้งยังมีการตคี วามเรื่อง การเชิญชวนให้ไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองว่าเป็นการชักชวนให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย แผ่นดิน โดย “กฎหมาย” ในที่นี้ ถูกทาให้หมายถึงคาสั่งของคณะรัฐประหารเรื่องห้ามการชุมนุมทาง การเมอื ง การใช้มาตรา 116 ดาเนินคดีเหล่านี้ สะท้อนถึงลักษณะการใช้กฎหมายแบบอานาจนิยม ที่ รัฐถูกทาให้หมายถึงบุคคลหรือคณะบุคคลเพียงกลุ่มเดียว ทั้งการใช้กล่าวหาลักษณะนี้ยังทาให้ กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือของรัฐในการกากับควบคุมประชาชน จัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไม่ใช่กฎหมายในฐานะเครื่องมือในการจากัดอานาจรัฐและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน24 ในแง่ 24 ดูเรือ่ งวฒั นธรรมการใชก้ ฎหมายแบบอานาจนยิ มใน สงกรานต์ ป้องบญุ จนั ทร์, “เดินมติ รภาพ: ปฏบิ ัติการสร้างวัฒนธรรม ทางกฎหมายจากเบ้อื งล่าง”, สืบคน้ วนั ที่ 22 มนี าคม 2261, จาก https://prachatai.com/journal/2018/01/42027 49

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 หนง่ึ การตีความและบังคบั มาตรา 116 ในยุค คสช. ปัจจุบนั จึงมลี ักษณะเป็นการตีความกฎหมายแบบ ระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ ท่ีผู้ปกครองถูกทาใหเ้ ท่ากบั “รฐั ” โดยปกติในกรณีที่มีการใส่ความบุคคลโดยไม่เป็นความจริง ในทางกฎหมายก็สามารถใช้ ข้อหาเรื่องการหมิ่นประมาทมาดาเนินการได้ โดยผู้เสียหายสามารถไปแจ้งความร้องทุกข์ด้วยตนเอง การใช้ข้อหาที่อยู่ในหมวดความมั่นคงและมีลักษณะเป็นอาญาแผ่นดินเช่นนี้ มาดาเนินการทางการ เมอื ง ยงิ่ สะทอ้ นถงึ การที่เจ้าหนา้ ทร่ี ัฐใช้อานาจแบบอานาจนิยมเพมิ่ มากขนึ้ ท่ีน่าสนใจ คือในจานวนทั้งหมดนี้ มีจานวน 8 คดีแล้ว ท่ีอัยการทั้งอัยการทหารและอัยการ พลเรือนมีคาส่ังไม่ฟ้องคดี เนื่องจากเหน็ ว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดมาตราน้ี หรือศาลเห็นว่าไม่เข้า องค์ประกอบความผิด จึงให้จาหน่ายคดี การกล่าวหาดาเนินคดีจึงมีลักษณะเป็นการมุ่งสร้างภาระ ทางคดี ทาให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องใช้หลักทรัพย์จานวนมากในการประกันตัว (ข้อหานี้ ศาลกาหนด หลักทรัพย์ประกันขั้นต่า 1 แสนบาทขึ้นไป) บางรายถูกคุมขังระหว่างไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว ต้อง ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะในศาลทหารที่ใช้เวลาการต่อสู้คดีค่อนข้าง ยาวนาน ส่งผลตอ่ การใช้ชวี ิตหรอื การทากจิ กรรมทางการเมืองตอ่ ไป นอกจากนั้น การใช้กฎหมายลักษณะนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบตอ่ สังคมในวงกว้าง ทาให้เกิด ความหวาดกลัวในการแสดงความคิดเห็นหรือออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากเห็นตัวอย่าง จากผู้แสดงออกถูกดาเนินคดีจานวนมาก ในแง่นี้การดาเนินคดีมาตรานี้ในยุคของคสช. จึงมีลักษณะ เป็นการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้การดาเนินคดีเพื่อปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน ระงับการ วิพากษ์วิจารณ์หรือการเคลื่อนไหวมีส่วนร่วมของประชาชนต่อรัฐบาล และส่งผลกระทบถึงการใช้ เสรีภาพในการแสดงออกของสังคมท้ังสงั คมอีกด้วย ทั้งการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ และ คสช. ยังเป็นการรัฐประหารสองครั้งสาคัญใน สังคมไทยที่คณะรัฐประหารสามารถถือครองอานาจรัฐได้ในระยะยาว25 มีการใช้อานาจค่อนข้าง เบด็ เสรจ็ ในการปกครองและควบคุมสังคม การบังคับใชม้ าตรา 116 ดังกล่าวข้างต้นในท้ังสองช่วงเวลา จึงเกิดขึ้นในบริบทของการพยายามควบคุมการแสดงออกทางการเมือง และมุ่งปกครองสังคมอย่าง 25 รัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์เม่ือวันที่ 20 ตุลาคม 2201 สร้างระบอบปกครองของเผด็จการทหารที่ต่อเนื่องยาวนานท่ีสุด ในการเมืองไทย แม้จอมพลสฤษดิจ์ ะถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ.2206 แต่ระบอบยังดารงอยู่สืบเนื่องมาโดยจอมพลถนอม กติ ติ ขจร กวา่ จะมีการจัดการเลอื กต้ังครั้งแรกหลังรฐั ประหาร 2201 คือเมื่อวนั ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2212 รวมเวลาครองอานาจ 10 ปี 4 เดือนเศษ ขณะท่ีการรัฐประหารโดยคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ก็นบั ได้ว่าคณะรัฐประหารครั้งน้ีถือครองอานาจในระยะ ยาวนานเปน็ อันดบั ทส่ี องแลว้ ในบรรดาการรัฐประหารท้ังหมด คือมากกวา่ 7 ปี แล้ว 50

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบับที่ 2 เข้มข้นของคณะรัฐประหาร กฎหมายมาตรานี้จึงกลายเป็นเครื่องมือประการหนึ่งในการค้าจุนระบอบ การปกครองแบบอานาจนยิ มในสงั คมไทยทเ่ี กดิ ขนึ้ หลงั การรัฐประหารท้งั สองครัง้ 26 4. บทสรปุ บทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่าการตีความและบังคับใช้ “กฎหมาย” ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ปลอดพ้น ไปจากระบบการเมือง หรือบริสุทธิ์อยู่เหนือบริบทของสังคมในแต่ละช่วงเวลา ข้อหายุยงปลุกปั่นใน ประเทศไทยเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงการที่ระบอบการปกครองส่งอิทธิพลถึงลักษณะการตีความ และการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งรูปแบบการบังคับใช้กฎหมายเองก็ย้อนกลับไปค้าจุนระบอบการ ปกครองเอง โดยเฉพาะการปกครองในระบอบเผด็จการอานาจนยิ มในสังคมไทย ที่มาของข้อหายุยงปลุกป่ันสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองไทยมาตั้งแต่ต้น โดยก่อเกิดภายใต้รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้รับอิทธิพลทางกฎหมายจากตะวันตก แต่ตัวบทก็ถูก ปรับให้เข้ากับลักษณะของสังคมไทย และการปรับแก้ไขตัวบทแต่ละครั้งต่อมาก็สัมพันธ์กับ สถานการณท์ างการเมอื งมาจนถงึ หลังเปลยี่ นแปลงการปกครอง 2475 การตีความและการบังคับใช้ข้อหานี้ในเวลาต่อมา ก็สัมพันธ์กับระบอบการเมืองและ ลักษณะของผู้ปกครองในสังคม ก่อน 2475 การวิพากษ์วิจารณ์ติชมรัฐบาลหรือกฎหมายบ้านเมือง มีแนวโน้มที่จะเป็นความผิดในข้อหายุยงปลุกปั่นไปด้วย แต่หลัง 2475 ภายใต้บทบัญญัติข้อยกเว้น ความผิดที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา การวิพากษ์วิจารณ์ติชมแม้จะไม่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับ มากขึน้ ความคลุมเครือของตัวบท และความเสมือนร้ายแรงของข้อหานี้ กลายเป็นช่องว่างที่เปิด โอกาสให้ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่รัฐในแต่ละช่วงเวลา ฉวยใช้มาตรา 116 มาเป็นเครื่องมือทาง 26 “ระบอบอานาจนิยม” หรอื Authoritarian regimes หมายถึงรปู แบบหนึ่งของรัฐบาลท่ีรวบอานาจในการบริหารและการ ปกครองมาจากัดอยู่เฉพาะกลมุ่ บรหิ ารและปกครองประเทศในลักษณะทใี่ ช้อานาจในลักษณะตา่ งๆ ตามอาเภอใจเพ่ือควบคุม ผู้ใต้ปกครองเอาไว้ โดยในบางระบอบ ผู้ปกครองใช้อานาจดิบหรือความรุนแรงโดยตรงในการปกครอง เช่น การสังหาร การ อุ้มหาย การซ้อมทรมาน เป็นต้น ขณะที่บางระบอบการใช้อานาจการควบคุมปิดกั้นประชาชนในนามของกฎหมายหรือ กระบวนการยุติธรรม ในทางวิชาการมีการแยกความแตกต่างระหว่างการปกครองในระบอบนิติรัฐ (rule of law) ซึ่งให้ ความสาคัญกับการใช้กฎหมายเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลอานาจรัฐ และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน กับระบอบการ ปกครองโดยกฎหมาย (rule by law) ซึ่งมีการใช้กฎหมายในลักษณะละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน และกากับควบคุม เสรีภาพในการแสดงออกในสังคม ดูการศึกษาเรื่องกฎหมายกับศาลในระบอบอานาจนิยมเพิ่มเติมใน Tamir Moustafa, “Law and Courts in Authoritarian Regimes,” The Annual Review of Law and Social Science 10 (2014): 281- 99. 51

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 การเมืองในการดาเนินคดีกบั ประชาชน โดยเฉพาะในยุคเผด็จการทหารหลงั การรัฐประหาร ซ่ึงรัฐบาล มีความชอบธรรมทางการเมืองน้อย การใช้กฎหมายในการปิดกั้น บีบบังคับ และควบคุมสังคม จึงมี บทบาทสาคัญ โดยเฉพาะในหลังการรัฐประหารครั้งที่คณะรฐั ประหารมุ่งหมายจะครองอานาจในระยะ ยาว และพยายามควบคุมสังคมการเมืองอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ในช่วงหลัง 2501 และ ยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในปัจจุบัน ที่มีการใช้กฎหมายข้อหานี้ในลักษณะที่ตีความให้ “ผู้ปกครอง” กลายเป็น “รัฐ” การวิพากษ์วิจารณ์หรือนาเสนอข้อมูลในเชิงลบของผู้นา ถูกทาให้ กลายเป็นเรื่องของการสร้างความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ทาให้เกิดความไม่ สงบและความวุ่นวายในสังคม ผู้ถูกกล่าวหาดาเนินคดีส่วนใหญ่ก็เป็นนักกิจกรรมหรือประชาชนที่ คัดค้านการรัฐประหาร หรือฝ่ายตรงข้ามกับผู้ปกครองเป็นหลัก ข้อหานี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของ เครอ่ื งมือในการปดิ กนั้ เสรภี าพในการแสดงออกในสงั คมไทย การปล่อยให้การตีความและการใช้กฎหมายลักษณะนี้ดาเนินต่อไป จะย่ิงทาให้ “กฎหมาย ความมั่นคง” มาตรานี้ สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่รัฐใน อนาคต ทงั้ ยังสง่ ผลถงึ หลกั นติ ิรัฐในระยะยาวตอ่ ไปอกี ดว้ ย 52

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปีท่ี 11 ฉบับท่ี 2 References “กสม.-นักกฎหมาย ช้ี รฐั ใช้ ม.116 เป็นเครื่องมือปดิ ปาก พร้อมจ้ีปฏิรูปกระบวนการยตุ ิธรรม.” [State uses Article 116 to be the tools to restrict Freedom of Expression, NHRC and lawyer says]. Freedom of Expression Documentation Center. Accessed March 28, 2018. https://ilaw.or.th/node/7610. (in Thai) “มาตรา 116: เมือ่ ขอ้ หา “ยุยงปลุกปั่น” ถูกใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ปดิ กั้นการแสดงออก” [Article 116: When Sedition law become the tools to restrict Freedom of Expression]. Freedom of Expression Documentation Center. Accessed March 28, 2018. https://freedom.ilaw.or.th/blog/. (in Thai) “ศาลพิพากษายกฟ้อง 'พนั ธมิตร' คดีมอ็ บดาวกระจายไล่รัฐบาลสมัคร.” [Court Judge dismisses 'PDRC' protest against Samak Government cases]. Bangkok Biz News. Accessed March 23, 2018. http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/765461. (in Thai) “อยั การสั่งไม่ฟ้อง 7 เส้ือแดงเชยี งราย ชุมนุม ปี 22 ลุ้นปีนี้ต่อผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉนิ ฯ แถมขอ้ หา ‘ผู้บงการ’” [The Prosecutors not to indict four Chiang Rai red shirts in 2009 Protest]. Prachatai. Accessed March 23, 2018. https://prachatai.com/journal/2010/00/40014. (in Thai) Chris Baker, and Pasuk Phongpaichit. ประวัติศำสตรไ์ ทยร่วมสมัย [A Contemporary History of Thailand]. Bangkok: Matichon Publishing, 2014. (in Thai) Jitti Tingsaphat. คำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค 2 ตอน 1 [Introduction to Criminal Law Code: Sector 2 Chapter 1]. Bangkok: Kung Siam Printing Group Company Publishing, 1993. (in Thai) Kanit Na Nakorn. กฎหมำยอำญำภำคควำมผิด [Criminal Law: Offenses]. (8th Edition). Bangkok: Winyuchon Publishing, 2000. (in Thai) Loos, Tamara. Subject Siam: Family, Law and Colonial Modernity in Thailand. Bangkok: Silkworm Books, 2002. Moustafa, Tamir. “Law and Courts in Authoritarian Regimes.” The Annual Review of Law and Social Science 10 (2017): 281-299. 53

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 Nakarin Mektrairat. ควำมคิด ควำมรู้ และอำนำจกำรเมืองในกำรปฏวิ ตั ิสยำม [Concept, Knowledge and Political Power in Siam Revolution]. (2th Edition). Bangkok: Same Sky Books Publishing, 2003. (in Thai) Nakorn Kempalee. (Monk). คำพิพำกษำคดีประวัติศำสตร์ศำลทหำรกรุงเทพ [Bangkok Military Court Decision in History Cases]. Bangkok: Printing Center Publishing, 1966. (in Thai) Noppon Archamas. “การบงั คับใช้ศาลทหารตอ่ พลเรือน: ประวตั ิศาสตร์การเมืองว่าด้วยกลไกการปกครอง ของระบอบอานาจนยิ มในประเทศไทย” [Military Court Enforcement to Civilian: Political History about Government Mechanism of Authoritarian Regime in Thailand]. In ตุลำ กำรธิปไตย ศำล และกำรรัฐประหำร [Judiciary, Court and Coup]. Bangkok: Thai Lawyers for Human Rights, 2018. (in Thai) Somchai Preechasinlapakun. กำรวิจัยกฎหมำยทำงเลอื ก: แนวคิดและพรมแดนควำมรู้ [Alternative Legal Research: Concept and Knowledge Border]. Bangkok: Winyuchon Publishing, 2015. (in Thai) Songkrant Pongboonjun. “เดินมติ รภาพ: ปฏิบตั ิการสรา้ งวัฒนธรรมทางกฎหมายจากเบอื้ งล่าง” [Friendship Walk: Movement for construction legal culture from below]. Prachatai. Accessed March 22, 2018. https://prachatai.com/journal/2018/01/75054. (in Thai) Streckfuss, David. Truth on Trial in Thailand: Defamation, Treason and lèse-majesté. London and New York: Routledge, 2011. Suk Payrinawin (Lieutenant General). ธรรมนูญศำลทหำร ประมวลกฎหมำยอำญำทหำร วินัยทหำร กฎ อยั กำรศึก [Military Court Code, Military Criminal Law, Military Discipline and Martial Law]. Bangkok: Thammasat University, 1972. (in Thai) Supan Phunphat. คำอธิบำยเรียงมำตรำประมวลกฎหมำยอำญำ [Introduction to Criminal Law Code: Sort of Section]. Bangkok: Niti Bunnakhan Publishing, 1993. (in Thai) Thongbai Thongpoi. (1991). คอมมวิ นิสต์ลำดยำว: บันทึกเรื่องรำวกำรต่อส้ขู องผู้ต้องหำคอมนวิ นิสต์ในคุก ลำดยำว [Ladyao Communists: Story about Struggle of Communists in Ladyao Prison]. (2th edition). Bangkok: Khaofang Publishing, 1991. (in Thai) Yud Sang-Utai. คำอธิบำยกฎหมำยลักษณะอำณำ ร.ศ.127 [Introduction to the Penal Code of Siam R.S. 127]. (6th Edition). Bangkok: Winyuchon Publishing, 2005. (in Thai) 54

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ปีที่ 11 ฉบบั ท่ี 2 พหุลักษณ์ ของ หยุด แสงอุทัย The Plural Identity of Yoot Saeng-Uthai วัชลาวลี คาบุญเรอื ง นกั วจิ ยั อิสระ Watchalawalee Kumboonreung Independent Researcher e-mail : [email protected] Received 17 August 2018, Revised 1 November 2018, Accepted 5 November 2018 บทคดั ย่อ ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ปัญญาชนหัวก้าวหน้าร่วมสมัยได้ตั้งคาถาม ต่อการสร้างค าอธิบายกฎหมายกระแสหลักโดยเฉพาะประเด็นเรื่องพระราชอ านาจของ พระมหากษัตริย์ ท้ังได้หันกลับไปศึกษาคาอธิบายของ หยุด แสงอุทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาอธิบายถึง สถาบันพระมหากษตั ริย์ ซง่ึ ทาให้ หยดุ ถกู พิจารณาในฐานะนกั กฎหมายรฐั ธรรมนญู นิยมอยา่ งมาก อัน ปรากฏขึ้นในหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดเวทีวิชาการ บทความวิชาการ รวมถึงการตีพิมพ์ซ้าตารา เป็นต้น บทความชิ้นนี้ต้องการที่จะพิจารณา หยุด แสงอุทัย ในมุมมองอื่นที่ต่างออกไป และถูก ละเลยในห้วงทศวรรษทผี่ ่านมา กล่าวคือ บทบาทความเปน็ “มือกฎหมาย” ของ หยุด แสงอุทัย ภายใต้ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการสร้างคาอธิบายทางกฎหมายที่ประนีประนอมต่อการ รัฐประหาร ทั้งนี้ การศึกษาในแงม่ ุมดังกล่าวจะทาให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของ หยุด แสงอุทัย ในมิติอ่ืนๆ อันจะทาให้สามารถเข้าใจและประเมินความคิดของบุคคลที่มีอิทธิพลในระบบกฎหมายไทยได้อย่าง สมบูรณ์มากข้นึ คำสำคัญ: หยุด แสงอุทัย ,มือกฎหมาย, รัฐธรรมนูญนิยม, อานาจนิยม, จอมพล ป. พิบูลสงคราม 55

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 Abstract After the 2006 Coup d’état, the reformist scholars questioned on the mainstream legal explanation regarding the sovereignty of the king and traced back to Yoot Saeng-Uthai’s explanation on the monarchical institution in particular. With this regard, Yoot’s identity has been seen as a lawyer of constitutionalism that presents in various forms; for example, debates, academic journals, textbooks, and etc. This article draws on Yoot Saeng-uthai’s identity from a different view, abandoned for a decade. By focusing on Yoot’s “legal professional” identity during Plaek (Jomphon Por) Phibhunsongkhram’s government and his opinions conveyed in compromising authoritarian coup, this observation helps to illustrate portrayal of Yoot in the different angle that would fulfil understanding and delineate the influence of pivotal legal scholar’s thought affecting on Thai legal system. Key words: Yoot Saeng-Uthai, legal professional, Constitutionalism, Authoritarianism, Plaek Phibunsongkhram. 56

วารสารนิตสิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปีท่ี 11 ฉบับท่ี 2 \"...ข้าราชการประจาควรจะรู้จักหน้าที่ของตนเอง คือตนเป็นแต่เพียงที่ปรึกษา และรับใช้รัฐบาลทุกรัฐบาลสุดแต่ว่าประชาชนจะได้เลือกต้ัง หรือผู้แทนของเขา ได้ให้ความไว้วางใจให้มาเป็นรัฐบาลตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ฉะน้ันข้าราชการ ประจาจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดีท่ีสุด คือให้คาปรึกษาคณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีอย่างดีท่ีสุด และรับใช้โดยซื่อสัตย์สุจริตท่ีสุด อย่าได้คิดว่า ความเห็นของตนวิเศษกว่ารัฐบาลของประชาชน และโดยประชาชน คาว่า ข้าราชการประจาก็แสดงแล้วว่ามีฐานะม่ันคงแน่นอน ไม่เข้า ๆ ออก ๆ ตาม รัฐบาลตามวิถีทางรัฐธรรมนูญฉะนั้นเรื่องใดที่ควรทาหรือไม่ควรทาเป็นเรื่อง นโยบายของรัฐบาลซ่ึงรัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรและ ประชาชน ซ่ึงสามารถดาเนินการให้รัฐบาลออกจากตาแหน่งได้ เม่ือข้าราชการ ประจาไม่เข้า ๆ ออก ๆ ตามรัฐบาลซึ่งต้องออกตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ขา้ ราชการประจากต็ อ้ งรับใชร้ ัฐบาลทุกรัฐบาลโดยความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ ...\"1 บทนำ ช่วงระยะเวลาก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 สถานการณ์ทางการเมืองของไทย ไดเ้ กิดการแบ่งข้ัวอดุ มการณ์ทางการเมอื งออกเปน็ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ซ่ึงต่างมี การถกเถียงและขัดแย้งกันต่อประเด็นเรื่องพระมหากษัตริย์ โดยเกิดการเคลื่อนไหวและตอกย้า ความสาคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์จากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผ่านการแสดงออกของประธาน องคมนตรีซึ่งได้กล่าวต่อท่ีประชุมของกองทัพที่เน้นย้าว่า “รัฐบาลท่ีมาจากการเลือกต้ังเป็นแค่จ๊อกกี้ที่ ได้รับมอบหมายให้ขี่ม้าแข่ง ไม่ใช่เจ้าของม้า แต่กองทัพเป็นของพระมหากษัตริย์ไม่ใช่จ๊อกกี้”2 ซึ่ง กลายเป็นประเด็นที่ทาให้เกิดความขัดแย้งต่ออุดมการณ์ทางการเมือง ปรากฏการณ์ดังกล่าวเห็นได้ จากการแบ่งขั้วของนักวิชาการ ที่กลุ่มหนึ่งมุ่งอธิบายยืนยันถึงความ “เหนือการเมือง” ของสถาบัน กษัตริย์ ผ่านการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ อาทิ ธีรยุทธ บุญมี อเนก เหล่าธรรมทัศน์ที่ภายหลัง การรฐั ประหาร พ.ศ. 2549 ภาพพจน์ของนักการเมอื งถูกมองว่าฉอ้ ฉลและคดโกง ทาใหธ้ ีรยทุ ธ บุญมไี ด้ แสดงความคดิ เห็นที่สนับสนนุ ต่อการรัฐประหารคร้ังน้ีว่าเป็นขั้นตอนที่จาเป็นต่อระบอบประชาธิปไตย 1 หยุด แสงอุทัย, “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประชาธิปไตย (ตอนที่ 10)”, บรรณาธิการโดย อาสา ทรัพย์อนันต์, รัฐสภาสาร ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 29 7 กรกฎาคม 2499, (พระนคร : โรงพมิ พร์ บั พมิ พ์, 2499), หน้า 12-13. 2 ธงชยั วินิจจกุล, ประชาธปิ ไตยที่มพี ระมหากษัตริยอ์ ยเู่ หนือการเมือง, (นนทบรุ ี : ฟา้ เดยี วกนั , 2556), หน้า 110. 57

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 และเสนอให้รัฐบาลประชาธิปไตยในอนาคตควรจะมี “คณะมนตรีเพื่อความมั่นคงทางศีลธรรม” ทา หน้าที่เสมือนวุฒิสภาคอยกากับรัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประกอบด้วย องคมนตรี ผู้นากองทัพ ผู้พิพากษา เป็นต้น โดยสังเกตได้ว่าคนกลุ่มนี้ถูกมองว่ามีฐานะเป็นกลางทางการเมืองทั้ง ยังมีเครือข่ายของพระมหากษัตริย์ที่ถูกวางให้เข้ามีส่วนในการกากับดูแลรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วย หรือความเห็นของอเนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่เสนอทัศนะตอบโต้กับ ธงชัย วินิจจะกุล เรื่อง ประชาธิปไตยอันพึงปรารถนา ว่านักการเมืองท่ีมาจากเลือกตง้ั จาต้องเรียนรู้ท่ีจะดารงอยู่คู่กับบทบาท อนั ขาดไมไ่ ดข้ องอภิชนและสถาบันกษัตริย์3 อย่างไรก็ตาม 5 ปีภายหลังการรัฐประหาร ได้เกิดการตั้งคาถามต่อเรื่องสถานะของ พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งพระมหากษัตริย์มีสถานะอยู่ภายใต้ รฐั ธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ของปัญญาชนก้าวหน้าร่วมสมัยที่หันกลับไปศึกษาพระราช อานาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้วิธีการศึกษาการให้ความหมายต่อสถานะของ พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของนักกฎหมายนับตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา อาทิ หลวง ประเจิดอักษรลักษณ์ ปรีดี พนมยงค์ เดือน บุนนาค ไพโรจน์ ชยั นาม และหยุด แสงอทุ ัย ซึ่งถูกจัดกลุ่ม ให้อยู่ในสายนักกฎหมายแบบรัฐธรรมนูญนิยม หรือนักกฎหมายสายคณะราษฎร ที่ยึดมั่นต่อหลักการ แบ่งแยกอานาจ เน้นสร้างคาอธิบายที่ทาให้พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง หรือมิต้องยุ่งเกี่ยวกับ ทางการเมอื ง โดยหนึ่งในนักกฎหมายแนวรัฐธรรมนูญนิยมที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของการ ถกเถียงประเดน็ เรื่องพระราชอานาจของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ในช่วงระยะเวลานับต้ังแต่ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา คือ “หยุด แสงอุทัย” (ต่อไปจะเรียกว่า “หยุด”) คาอธิบายทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของ หยุด ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ จนทาให้ดูราว กับว่าเขาเป็นผู้ที่ยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยอย่างแนบแน่น เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญทางวิชาการท่ี กล้าจะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานะเหนือการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ เพยี งดา้ นเดยี ว แต่บทความช้ินน้ีจะมิได้นาเสนอประเด็นด้านความเป็นนักกฎหมายสายคณะราษฎรหรือนัก กฎหมายสายรัฐธรรมนูญนิยม แต่จะนาเสนออีกด้านหนึ่งของ หยุด ที่ถูกละเลยไปในช่วงทศวรรษท่ี ผ่านมา อันเป็นบทบาทความเป็น “มือกฎหมาย” ภายใต้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และผู้แสดง ความเห็นทส่ี นับสนนุ ต่อระบอบอานาจนิยมจากการรฐั ประหาร เพือ่ เป็นการสะท้อนถึงภาพลักษณด์ ้าน 3 ธงชยั วินจิ จกลู , ประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริยอ์ ยเู่ หนอื การเมอื ง, หน้า 111- 112. 58

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปีที่ 11 ฉบับท่ี 2 อื่น ๆ อันจะทาให้สามารถเข้าใจและประเมินความคิดของบุคคลท่ีมีอิทธิพลในระบบกฎหมายไทยและ วงการนิติศาสตร์ไทยได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น โดยใช้วิธีการศึกษาตามแนวคิด “กฎหมายคือการเมือง” ที่ไม่เชื่อว่ากฎหมายจะมีความเป็นกลาง มีเพียงแต่หลักวิชาเท่านั้น หากแต่ความเป็นการเมืองนั้นได้ สะท้อนออกมาในหลักการของผู้ร่างกฎหมาย นักกฎหมาย รวมถึงอาจารย์นิติศาสตร์ ที่แฝงอุดมการณ์ ทางการเมืองของตนไว้ในกฎหมายหรือตาราทางกฎหมาย ฉะนั้น บทความชิ้นนี้จึงได้แสดงให้เห็นอีก ด้านหนึ่งของอุดมการณ์ความคิดของนักกฎหมายผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่มีผู้ศึกษาถึงมากนัก เพื่อเป็นการช้ี ชวนให้กลับมาศึกษาและพิจารณาต่อความคิดและอุดมการณ์ที่แฝงไว้ในความคิดเห็น หรือคาอธิบาย ทางรัฐธรรมนูญใหม้ ากยิ่งข้ึน 1. “กำรเกิดใหมข่ อง ‘หยดุ แสงอทุ ัย’: ผลติ ภำพจำกนักวิชำกำร/ปญั ญำชนฝ่ำยก้ำวหนำ้ หยุด เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2451 จบการศึกษาจากเนติบัณฑิตไทย จากโรงเรียน กฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และด็อกเตอร์กฎหมายเยอรมันขั้นเกียรตินิยมชั้นสูง จากมหาวิทยาลัย เบอร์ลิน ประเทศสหพันธรัฐเยอรมัน ภายหลังสาเร็จการศึกษาได้เข้ารับราชการตั้งแต่ พ.ศ.2471 เป็น ต้นมา โดยได้ดารงตาแหน่งสาคัญ ๆ อาทิ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย (ฉบับช่ัวคราว) แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2490 – ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2495 ตาแหน่งเลขาธิการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และเข้าร่วมเป็น กรรมาธิการวิสามญั พจิ ารณารา่ งกฎหมายจานวนมาก อาทิ ร่างพระราชบัญญตั ิการเลือกตั้ง (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2490 ร่างพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2492 ร่างพระราชบัญญัติวิธีการพิจารณาของคณะ ตุลาการรัฐธรรมนญู ร่างพระราชบญั ญตั ิแรงงาน รวมถึงการเข้าดารงตาแหนง่ เลขาธิการคณะกรรมการ กฤษฎกี า เปน็ ต้น4 นอกจากการรับตาแหน่งข้าราชการประจาแล้ว หยุด ยังเป็นนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับ อย่างกว้างขวางในวงการนิติศาสตร์ เนื่องจากการเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายของสานักอบรมศึกษา กฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา และสถาบันการศึกษาอ่ืน ๆ รวมถึงการแต่งตาราวิชากฎหมายจานวน 32 เล่ม บทความทางกฎหมายประมาณ 50 บทความ และบันทึกท้ายคาพิพากษาศาลฎีกาประมาณ 200 เรื่อง5 ด้วยความสามารถท่ีรอบด้านในทางกฎหมายและวิชาการ จงึ ทาให้ตาราวิชาการของ หยุด ได้ถูก จดั ใหเ้ ปน็ ตาราระดบั คลาสสคิ ทนี่ ักศกึ ษาวิชากฎหมายยงั คงใชศ้ กึ ษากนั อย่างตอ่ เน่ืองจนถึงปจั จบุ ัน 4 อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศาสตราจารย์ หยดุ แสงอุทัย ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรนิ ท ราวาส วันท่ี 19 เมษายน พ.ศ. 2523, หนา้ 1-2, 14-19. 5 เรื่องเดียวกนั , หนา้ 28. 59

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 อย่างไรก็ตาม ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 สถานการณ์ ณ ห้วงเวลาน้ันตกอยู่ภายใต้ บรรยากาศทางการเมืองที่พยายามดึงพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์มาใช้ อาทิ ประเด็นนายก พระราชทาน เรยี กรอ้ งให้มีการถวายพระราชอานาจคืน หรอื การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทาให้วงวิชาการที่นาโดยปัญญาชนหัวก้าวหน้าร่วมสมัย เช่น ณัฐพล ใจจริง วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และปิยบุตร แสงกนกกุล ได้หันกลับไปศึกษาคาอธิบายทางรัฐธรรมนูญของนัก กฎหมายที่สร้างคาอธิบายตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้น ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานะและพระราช อานาจของพระมหากษตั ริย์ภายใต้รฐั ธรรมนูญ (Constitution Monarchy) และในบรรดานักกฎหมายที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาศึกษา พบว่า ปัญญาชนหัวก้าวหน้าได้มีการ อ้างอิงถึง หยุด บ่อยครั้ง โดยมักจะดึงคาอธิบายที่เกี่ยวข้องกับหมวดพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใช้เสมอ และยอมรับว่า หยุด เป็นผู้ที่สามารถไปไกลท่ีสุดในแง่การอธิบายลักษณะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ6 หรือเป็นผู้มีความเห็นตรงไปตรงมาที่สุดเกี่ยวกับสถาบัน พระมหากษัตริย์7 และได้นิยามให้ หยุด เป็นนักกฎหมายสายรัฐธรรมนูญนิยมหรือนักกฎหมายสาย คณะราษฎร ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยึดมั่นต่อการจากัดอานาจของรัฐโดยใช้กฎหมายเป็นหลัก ทั้งเชื่อมั่นใน ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ หลักนิติรัฐ หลักการแบ่งแยกอานาจ และทฤษฎีสัญญา ประชาคม8 จึงทาให้ดูราวกับว่า หยุด กลายเป็นนักกฎหมายที่ศรัทธาและยึดมั่นต่อหลักการ ประชาธปิ ไตย การแสดงออกของปัญญาชนหัวก้าวหน้าที่สร้าง หยุด ให้กลายนักกฎหมายสายคณะราษฎร หรอื รฐั ธรรมนญู นยิ ม ได้ถูกเผยแพร่อย่างมากในชว่ งระยะเวลาตัง้ แต่ พ.ศ. 2550 เป็นตน้ มา ผา่ นวิธีการ ท่ีหลากหลาย อาทิ รูปแบบของตาราและบทความวิชาการ งานของ ณัฐพล ใจจริง เรื่องขอฝันใฝ่ในฝัน อันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475 – 2500), บทความ เรื่อง “ความชอบด้วยระบอบ” : วิวาทะว่าด้วยอานาจของ “รัฏฐาธิปัตย์” นาคาอธิบายกฎหมาย รัฐธรรมนูญ (2475-2500)9 บทความเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองว่าด้วยหมวดพระมหากษัตริย์ใน 6 วรเจตน์ ภาคีรัตน์, “เสวนา เรื่อง สถาบันพระมหากษัติย์กับรัฐธรรมนูญ”, ประชาไท, วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551, สืบค้น วนั ท่ี 30 มกราคม 2561, https://prachatai.com/journal/2008/07/17284. 7 ปยิ บุตร แสงกนกกุล, ในพระปรมาภไิ ธย ประชาธปิ ไตยและตลุ าการ, (กรุงเทพฯ :openbooks, 2552), หนา้ 119. 8 ณัฐพล ใจจริง, ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลอื เชื่อ ความเคลอ่ื นไหวของขบวนการปิฏฺปักษป์ ฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475 – 2500), (นนทบุรี : ฟ้าเดียวกนั , 2556), หนา้ 74. 9 ณัฐพล ใจจริง, “ความชอบด้วยระบอบ” : วิวาทะว่าด้วยอานาจของ “รฏั ฐาธิปัตย์” นาคาอธิบายกฎหมายรฐั ธรรมนญู (2475- 2500), ศลิ ปวัฒนธรรม, วันท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีท่ี 28 ฉบบั ท่ี 03, สืบคน้ เมอ่ื 30 มกราคม 2561, 60

วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปที ี่ 11 ฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญ : การต่อสู้ระหว่างนักกฎหมายไทย 2 สานัก10 งานของปิยบุตร แสงกนกกุล ในหนังสือ เรื่องในพระปรมาภิไธย ประชาธิปไตยและตุลาการ11, หนังสือเรื่อง รัฐธรรมนูญ : ประวัติศาสตร์ข้อ ความคิด อานาจสถาปนา และการเปลี่ยนผ่าน12 เป็นต้น ทั้งมีการจัดกิจกรรมผ่านรูปแบบการจัดงาน เสวนาเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐธรรมนูญ ในประเด็น “เสวนา 100 ปีชาตกาล \"หยุด แสง อุทัย\" : สถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐธรรมนูญ” โดยมี สธุ าชัย ยิ้มประเสริฐ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ณัฐพล ใจจริง เป็นผู้บรรยาย13 รวมถึงการผลิตตาราคาอธิบายกฎหมายรฐั ธรรมนญู ของหยุด ในเร่อื งคาอธิบาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์14 ซึ่งเป็นการนาผลงานเดิมกลับมา “รีเมค” ขึ้นใหม่ ทั้งน้ี สังเกตได้ว่า ประเด็นที่ปัญญาชนหัวก้าวหน้าได้หยิบยกคาอธิบายของ หยุด มาใช้ล้วนเป็นคาอธิบาย ทางรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อาทิ หลักการ The King can do no wrong พระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และคาอธิบายในส่วนของหมวดพระมหา กษัตริย์ ท้ังสิ้น การสร้างความเป็นนักกฎหมายที่นิยมต่อระบอบประชาธิปไตยให้กับ หยุด ได้แสดงให้เห็น อย่างชัดเจนตามที่ปรากฏในหนังสือคาอธิบายรัฐธรรมนูญที่ วรเจตน์ ภาคีรัฐ ได้เขียนในคานาหนังสือ เรื่องคาอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจกั ร พทุ ธศักราช 2515 ว่าดว้ ยพระมหากษัตริย์ ว่า “คาอธิบายรัฐธรรมนูญเรียงมาตรา ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ของศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย เล่มน้ี เป็นการพิมพ์ขึ้นใหม่โดยตัดตอนจากคาอธิบาย http://info.matichon.co.th/art/art.php?srctag=0666010150&srcday=2008/07/01&search=no. 10 ณัฐพล ใจจริง, “ประวัติศาสตร์การเมืองว่าด้วยหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ : การต่อสู้ระหว่างนักกฎหมายไทย 2 สานกั ”, ฟา้ เดียวกนั , ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน 2551, (นนทบรุ ี : ฟา้ เดียวกนั ). 11 ปยิ บตุ ร แสงกนกกลุ ,ในพระปรมาภิไธย ประชาธปิ ไตยและตลุ าการ) ,กรุงเทพฯ : openbooks, 2552), หน้า .119 12 ปิยบุตร แสงกนกกุล, รัฐธรรมนูญ : ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อานาจสถาปนา และการเปล่ียนผ่าน, (นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน, 2559), หน้า 179. 13 งานเสวนาเรื่องนี้จดั ขึ้นโดยคณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิศาสตราจารย์หยุด แสงอุทยั เมื่อวันศกุ ร์ท่ี 27 มถิ ุนายน 2551. สืบคน้ เมอ่ื วันที่ 30 มกราคม 2561, https://prachatai.com/journal/2008/07/17246. 14 หยุด แสงอุทัย, คาอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์, (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2551). เป็นหนังสือที่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นามาตีพิมพ์ขึ้นใหม่ ในช่วง พ.ศ. 2551. 61

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และคาอธิบาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และคาอธิบายธรรมนูญ การปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 เฉพาะหมวดที่ว่าด้วย พระมหากษัตริย์ ซ่ึงท่านอาจารย์หยุด ได้เขียนขึ้นอย่างละเอียด มีหลักวิชา อ้างอิง และสอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรัฐที่มี รูปลักษณะของรัฐเป็นราชอาณาจักร ในส่วนท่ีเป็นความเห็นของอาจารย์หยุด เอง ท่านก็ได้แสดงไว้อย่างเปิดเผย และเห็นได้ชัดว่าในกรณีของประเทศไทย ท่านนิยมเล่ือมใสการจัดรูปของรัฐในลักษณะท่ีเป็นราชอาณาจักรยิ่งกว่า สาธารณรัฐ แม้กระนั้นหากผู้อ่านได้อ่านคาอธิบายของท่านโดยตลอดแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า ท่านได้อธิบายพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ไว้เท่าท่ีสอดคล้องกับการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยท่ีพระมหากษัตรยิ ์ทรงอยู่ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ” 15 สังเกตได้ว่า ปัญญาชนหัวก้าวหน้าทั้งสามท่านต่างได้หยิบยกคาอธิบายทางรัฐธรรมนูญของ หยุด เพียงด้านท่ีเก่ียวข้องกับพระมหากษตั รยิ ์ภายใต้รัฐธรรมนูญมาเท่านั้น แต่คาอธิบายในด้านอ่ืน ๆ ยังคงเป็นประเด็นที่ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทการทางานด้านกฎหมาย ให้กับรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และคาอธิบายทางรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นอานาจนิยมที่ยัง ไม่ได้มีการศึกษาอย่างละเอียดเท่าใดนัก ซึ่งเป็นแสดงความคิดเห็นที่ หยุด รับรองความชอบธรรมของ การรฐั ประหารอนั ไมส่ อดคล้องกับภาพลักษณ์ทถี่ ูกสร้างโดยปญั ญาชนรว่ มสมยั เท่าใดนกั 2. “มือกฎหมำยของจอมพล ป. พบิ ูลสงครำม” การรฐั ประหาร พ.ศ. 2490 กลบั กลายเปน็ จุดพลกิ ผันให้ขั้วอานาจฝ่ายเสรนี ยิ มประชาธปิ ไตย ต้องสลายไป และถูกทดแทนด้วยระบบอานาจนิยมซึ่งมีกองทัพบกเป็นแกนกลางที่รวมกับฝ่ายอนุรักษ์ นิยม โดยจอมพล ป. พิบูลสงครามถูกดึงให้มาเป็นผู้นาของทหารที่ยึดอานาจ แต่ยังมิได้ดารงตาแหน่ง นายกรัฐมนตรีในทันที กระทั่งเมื่อเกิดการรัฐประหารเงียบโดยคณะรัฐประหารของจอมพลผิน ชุนหะวัณ 15 หยุด แสงอุทัย ,คาอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 วา่ ดว้ ยพระมหากษัตริย์, หนา้ 5. 62

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปที ่ี 11 ฉบบั ที่ 2 ที่ “จี้” ให้นายควง อภัยวงศ์ออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 และนา จอมพล ป. พิบลู สงครามกลบั มาเขา้ ดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรีในอกี สองวันถัดมา16 การกลับเข้ามาดารงตาแหน่งในครั้งที่สองของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นี้มีความต่างออกไป จากสมัยแรกที่เข้ารับตาแหน่งนายกรัฐมนตรี17 เนื่องจากฐานอานาจในกองทัพ ได้ถูกช่วงชิงโดยจอม พลผิน ชุณหะวัณ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (กองทัพบก) และเผ่า ศรียานนท์ (ฝ่ายตารวจ) ทาให้การเข้าร่วม รัฐบาลกับคนกลุ่มใหม่นี้จอมพล ป. พิบูลสงครามจึงต้องปรับบทบาทแนวทางการดาเนินนโยบายใหม่ โดยการสรา้ งดุลยภาพแห่งอานาจระหว่างฝ่ายกองทพั บก และฝา่ ยตารวจเพ่ือให้สามารถอยู่ในตาแหน่ง ได้18 ทั้งยังต้องต่อสู้ทางอุดมการณ์ความคิดจากฝ่ายซ้ายที่เสนอแนวคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันรัฐบาลได้หันไปขับเน้นแนวความคิดเรื่อง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”เพื่อใช้เป็น เครื่องมือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนไม่หันไปสู่แนวคิดสังคมนิยม19 และทาการปราบปรามกลุ่ม ตอ่ ตา้ นรัฐบาลอยา่ งหนกั ในช่วงเวลาเดียวกันประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาอย่างมาก ไม่ว่าจะ เป็นความช่วยเหลือทั้งด้านทหารและเศรษฐกิจของไทย รวมถึงการให้ทุนเพื่อสร้างสาธารณูปโภคขั้น พื้นฐานของไทย เช่น ถนนมิตรภาพ (สร้าง 2498 เสร็จ 2501) เป็นต้น20 สหรัฐอเมริกาได้แผ่อิทธิพล เข้ามาในประเทศไทยอย่างสาคัญ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงระยะเวลา พ.ศ. 2498-2500 เป็น เวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามกับคณะรัฐประหาร โดยแนวนโยบาย ดาเนนิ งานของประเทศได้พยายามปรบั ให้เข้ากับระบอบประชาธปิ ไตยมากข้ึน นับตั้งแต่ภายหลงั จากท่ี จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ไปเยือนตา่ งประเทศ พักอยู่ท่ีสหรัฐอเมริกาถึง 3 สัปดาห์ และเดินทางไปใน 16 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทยสยาม พ.ศ. 2475 - 2500, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตาราสังคมศาสตร์และ มนษุ ยศาสตร์, 2551), หน้า 457 – 458. 17 จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นบุคคลที่ก้าวขึ้นมาดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกในช่วงระยะเวลา พ.ศ. 2481 – 2487 โดย ขณะนั้นมีการกาหนดนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่สมัยของ “การสร้างชาติ” ที่มีความเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมซึ่งยังอยู่ ภายใตแ้ นวความคดิ ประชาธิปไตยของผู้ก่อการในปี พ.ศ. 2475 แต่ภายหลงั เม่ือได้เข้าร่วมสงครามร่วมกับญี่ปุ่น (ช่วงระยะเวลา พ.ศ. 2485 – 2487) แนวทางการสร้างชาติได้เปลี่ยนไป โดยใช้วิธีการสร้างและปลูกฝังความคิดชาตินิยมที่ต้องยึดถือในตัวบุคคลหรือ “ลัทธิผู้นา” อันมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นศูนย์กลางของลัทธิ อย่างไรก็ตาม จอมพล ป. พิบูลสงครามต้องอาลาจากตาแหน่ง นายกรัฐมนตรีด้วยแผนการที่จะเคลื่อนย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานครฯ ไปสู่เพชรบูรณ์และพุทธบุรีมณฑลสระบุรี จากการที่ รัฐสภาไม่ไว้วางใจ จนทาให้ต้องลาออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันท่ี 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2487. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติ การเมืองไทยสยาม พ.ศ. 2475 - 2500, หนา้ 189, 375. 18 ชาญวิทย์ เกษตรศริ ิ, ประวัติการเมอื งไทยสยาม พ.ศ. 2475 - 2500, หน้า 470 -471. 19 สายชล สัตยานุรักษ์ ,10 ปัญญาชนสยาม เล่ม 2 ปญั ญาชนหลังการปฏิวัติ 2475, (กรงุ เทพฯ : โอเพ่น โซไซต้ี, 2557), หน้า 98. 20 เร่อื งเดียวกัน, หน้า 483. 63

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 ประเทศอื่นๆ เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาถึงประเทศไทยจึงได้มีการรณรงค์ \"ประชาธิปไตย\" ทั้งยังนาคาขวัญประชาธิปไตยของอเมริกาว่า \"การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อ ประชาชน\" มาใช้ด้วย21 แนวนโยบายการทางานของรัฐบาลในขณะนั้น ได้เร่งรัดแผนการปกครองใหม่ที่ต้องการ กระจายอานาจไปสู่ประชาชน เลิกระบบราชการที่เป็น “ขุนน้าขุนนาง” แต่ข้าราชการจะต้องรับใช้ ประชาชน และวิพากษ์วิจารณ์ระบบ “ศักดินา” ว่าทาให้ประเทศไทยล้าหลังและข้าราชการห่างเหิน จากประชาชน ซึ่งรัฐบาลต้องการที่จะทาลายระบบดังกล่าวให้หายไป และเปลี่ยนระบบศักดินาไปสู่ การปกครองที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน มุ่งสู่ความเจริญ ผ่านการกระจายอานาจจากส่วนกลาง ไปสู่ส่วนภูมิภาคในรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นและการเลือกตั้ง22 จึงทาให้เกิดการร่างกฎหมาย ฉบับต่าง ๆ ทตี่ อบสนองต่อนโยบายของรฐั บาลจานวนมาก ด้านช่วงชีวิตของ หยุด ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้รับตาแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้ง แรกเมื่อ พ.ศ. 2481 – 2487 นั้นเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับ หยุด เริ่มเข้ารับราชการในคณะกรรมการ กฤษฎีกา สานักนายกรัฐมนตรี ดารงตาแหน่งข้าราชการวิสามัญชั้นโท พ.ศ. 2480 และไต่เต้าขึ้นมา ตามลาดับในสายงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาจนถึงได้รับตาแหน่งในฐานะรักษาการในตาแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และในปี พ.ศ. 2488 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็น กรรมการร่างกฎหมายเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2496 จึงได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตาแหน่งเลขาธิการ คณะกรรมการกฤษฎีกา23 ในระหว่างการดารงตาแหน่งกรรมการร่างกฎหมาย หยุด ยังคงมีบทบาท หน้าที่อื่นที่สาคัญ เช่น พ.ศ. 2492 เป็นคณะกรรมการเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตย, พ.ศ. 2494 เป็น กรรมการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, พ.ศ. 2495 เป็นกรรมการประจา สานักวัฒนธรรมทางระเบียบประเพณี และรองประธานกรรมการสาขาทางเนติธรรม และ พ.ศ. 2498 เป็นกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ 24 เป็นต้น จะเห็นได้ว่าบทบาทดังกล่าวล้วนเป็นตาแหน่งที่ได้ ทางานสัมพันธ์กับรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งสิ้น ซึ่ง หยุด ได้เข้าไปเป็นกรรมการสาคัญ 21 เร่อื งเดียวกนั , หนา้ 488. 22 ณัฐพล ใจจริง, การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491 – 2500), (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญารัฐศาสตรดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวชิ ารฐั ศาสตร์, คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2552), หน้า 164. 23 “อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศาสตราจารย์ หยุด แสงอุทัย ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริ นทราวาส”, วนั ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2523, หนา้ 2- 3. 24 “อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศาสตราจารย์ หยุด แสงอุทัย ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริ นทราวาส”, หน้า 4-5,8. 64

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบบั ท่ี 2 ของรัฐบาลและอีกด้านหนึ่งก็ยังดารงตาแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาอันมีหน้าที่ในการร่าง กฎหมายให้เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลเช่นกนั นับตั้งแต่ พ.ศ. 2495 เป็นต้นมา หยุด ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการยกร่างกฏหมาย กรรมการ พิจารณาร่างกฎหมายและกฎหมายจานวนมาก อาทิ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ร่างพระราชบัญญตั ิระเบยี บข้าราชการพลเรือน รา่ งพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล ร่างพระราชบัญญัติพรรคการเมือง ร่างพระราชบัญญัติแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล ประมวล กฎหมายการเลือกต้ัง หรือการเข้าเป็นกรรมการแก้กฎหมายเก่าให้เป็นประชาธิปไตยและเหมาะสมแก่ สมัยปจั จบุ ัน หรือเข้าเป็นอนุกรรมการพจิ ารณาเรื่องเสรภี าพในการพูดในทส่ี าธารณะ เป็นตน้ 25 การทางานเป็นกรรมการร่างกฎหมายนั้น หยุด ได้อธิบายแนวทางการร่างกฎหมายไว้อย่าง ชัดเจนว่า \"ร่างกฎหมายมาจากนโยบายของรัฐบาล ซึ่งนามาจากกาหนดนโยบายของพรรค การเมืองที่สนับสนุนนรัฐบาลน้ัน ๆ เพราะฉะน้ันการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรี ย่อมหมายถึงการเปล่ียนแปลงนโยบาย และอาจทาให้มีผลเป็นการยกเลิก กฎหมายหรือแก้ไขเพ่ิมเติมกฎหมายให้สอดคล้องกบั นโยบายของคณะรฐั มนตรชี ุด ใหม่ บุคคลซ่ึงมีหน้าท่ีร่างกฎหมายจะต้องพยายามร่างกฎหมายให้ตรงกับหลักการซึ่ง คณะรัฐมนตรีหรือกระทรวงทบวงกรมมอบหมายให้ ในการนี้คณะรัฐมนตรีหรือ กระทรวงทบวงกรมที่มอบหมายให้ยกร่างกฎหมายอาจมอบรายละเอียดบาง ประการมาพร้อมด้วยหลักการก็ได้ รายละเอียดท่ีได้รับมอบหมายมานี้ย่อมผูกมัด ผยู้ กร่างกฎหมายให้ผิดไปจากหลกั การและรายละเอยี ดท่ีมอบหมายไม่ได้\"26 นอกจากบทบาทการเป็น “มือกฎหมาย” ให้กับรัฐบาลแล้ว ยังพบว่า หยุด เองได้ตอบสนอง ต่อนโยบายของรัฐบาลด้านการเผยแพร่วัฒนธรรมและเผยแพร่หลักการประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน ในช่วง พ.ศ. 2495 ทางรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีแนวทางเผยแพร่ประชาธิปไตยผ่าน วารสารรัฐสภาสารที่ออกโดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ฉบับปฐมฤกษ์ออกครั้งแรกเมื่อ ธันวาคม พ.ศ. 2495 มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือเผยแพร่ระบอบเสรีประชาธิปไตย เพื่อเสนอข่าวสารวิชาการใน 25 เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ 8-9. 26 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ 12. 65

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 วงงานของรัฐสภาและอื่น ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ และปลูกฝังให้ประชาชนได้มีโอกาสศึกษา เรียนรู้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพื่อให้ตระหนักถึงสิทธิและร่วมมือในการปกครองและ อานาจอธิปไตยของตนตามรัฐธรรมนูญได้อย่างถกู ต้อง27 แนวทางเน้ือหาของวารสารฉบับแรกได้มีการพูดถึงระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก ไม่ว่า จะเป็นเรื่องผู้ยืนบนจุดประชาธิปไตย ความเป็นมาของรัฐสภาไทย ไพร่ฟ้าหน้าใส หรือ ประชาธิปไตย เมื่อ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว เป็นต้น ซึ่งหนึ่งในผู้เขียนบทความในวารสารฉบับแรกนี้พบว่า หยุด ได้มีส่วน เข้าร่วมเป็นผู้เขียนบทความคนหนึ่งผ่านบทความเร่ือง \"พรรคการเมือง\" อันเป็นบทความที่อธิบายและ วางหลักพรรคการเมืองโดยศึกษาเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ทั้งมีคาอธิบายบทบัญญัติเรื่องพรรค การเมืองด้วยการเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 และได้เกริ่นถึง กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองในประเทศไทยซึ่งอยู่ในระหว่างการร่างโดยได้กล่าวถึงหลักการกว้าง ๆ ของพรรคการเมอื งซึ่งถอื เปน็ การโฆษณาการบญั ญตั กิ ฎหมายเร่ืองนี้ในอีกทางหน่ึง28 นับตั้งแต่การเขียนบทความลงในวารสารรัฐสภาสารฉบับแรกของ หยุด ยังพบว่า ได้มีการ เขียนอธิบายต่อกฎหมายฉบับต่าง ๆ จานวนมาก อาทิ การเขียนอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495, การเขียนอธิบายหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย, คาอธิบายพระราชบัญญัติเทศบาล, คาอธิบายพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499, คาอธิบาย พระราชบัญญัติพรรคการเมือง นอกจากนี้ ยังมีการเขียนอธิบายถึงหลักการต่าง ๆ ในระบอบ ประชาธิปไตย เช่น พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย หลักความเสมอภาคเท่าเทียม หลัก เสรีภาพในการแสดงความคดิ เห็น หลักการเลอื กต้งั เปน็ ตน้ เมื่อพิจารณาถึงการเขียนบทความในวารสารรัฐสภาสารของ หยุด ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น สามารถสะท้อนให้เห็นการกระทาที่ต้องการจะเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนในอีกทางหนึ่ง ผ่านการ เขียนเรื่องราวการเผยแพร่ประชาธิปไตยในรูปแบบนิทานประชาธิปไตย ผ่านบทความชื่อว่า \"ความรู้ เบื้องต้นเกี่ยวกับประชาธิปไตย\" ซึ่งมีลักษณะเป็นการสมมุติตัวละครบิดาและบุตร และนาประเด็น ตา่ งๆ อันเกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธปิ ไตยเข้ามา เพื่อสามารถให้ประชาชนตระหนักถึงสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจาซึ่งได้มีการจาลองสถานการณ์และสอดแทรกคาอธิบายหลักการต่าง ๆ ใน 27 จอมพล ป. พิบูลสงคราม, “คาขวัญของท่านนายกรัฐมนตรี”, รัฐสภาสาร, ปีที่ 1 เล่มที่ 1 ธันวาคม 2495, (พระนคร : โรงพิมพ์ การรถไฟฯ, 2495) หน้า จ. 28 หยดุ แสงอทุ ยั “ ,พรรคการเมือง ,”รฐั สภาสาร ,ปีท่ี 1 เล่มท่ี 1 ธันวาคม 2495, (พระนคร : โรงพมิ พ์การรถไฟฯ, 2495), หน้า 29 - 30. 66

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ปที ่ี 11 ฉบับท่ี 2 ระบอบประชาธิปไตยเข้าไป ทั้งนี้ หยุด ได้เขียนอธิบายเหตุผลในการเขียนบทความดังกล่าวเกี่ยวกับ \"ความร้เู บอื้ งต้นเกยี่ วกบั ประชาธปิ ไตย\" ตอนแรก วา่ \"เน่ืองด้วย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในตาแหน่งประธานกรรมการสภา วัฒนธรรมแห่งชาติ ได้แสดงความประสงค์ท่ีจะช่วยอธิบายประชาธิปไตยแก่ ประชาชนให้ยิ่งขึน้ ข้าพเจ้าจงึ ขอเล่าเปน็ นทิ านเปรียบเทียบดังต่อไปน้ี …\"29 โดยเนื้อหาของบทความเรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประชาธิปไตย ได้ถูกแบ่งออกเป็น จานวนทั้งสิ้น 34 ตอน30 เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเสมอภาค สิทธิการแสดงความคิดเห็นโดยเสรี ความมีขันติธรรม การทางานของรัฐบาล หลักการแบ่งแยกอานาจ หรือกระทั่งการอธิบายเรื่องสัญชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเขียนอธิบายถึงความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายต่างๆ ที่ออกมาในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่น \"ความรู้เกี่ยวกับเทศบาลสาหรับ ประชาชน\" ซง่ึ หยุด ได้เขียนอธิบาย ว่า \"ด้วยท่านนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า สมควรที่จะมีการบรรยายความรู้ เกีย่ วกับเทศบาลสาหรบั ประชาชนข้นึ และไดม้ ีคาส่งั ให้สานักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาดาเนินการเกี่ยวกับเร่ืองน้ี การบรรยายถึงความรู้เกยี่ วกับเทศบาลตาม คาส่ังของท่านนายกรัฐมนตรนี ี้ย่อมเป็นประโยชน์สองประการ คือ ประการแรก ถ้าประชาชนรู้จักเทศบาลดีข้ึนประชาชนก็จะได้ร่วมมือกับกิจการของเทศบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลจนกระท่ังกิจการของ เทศบาลอันเป็นกิจการของประชาชนอยา่ งแท้จริง ส่วนประโยชน์ประการที่สอง ก็คือ ถ้าประชาชนเข้าใจกิจการของเทศบาลดีเพียงใด ประชาชนก็จะเข้าใจการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยดีเพียงนั้น เพราะระบอบ 29 หยุด แสงอุทัย, “ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับประชาธิปไตย”, รัฐสภาสาร, ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 21 ธันวาคม 2498, (พระนคร : โรงพิมพ์ รับพมิ พ,์ 2498), หน้า 9. 30 หยุด แสงอุทัย, “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประชาธิปไตย (ตอนที่ 34)”, รัฐสภาสาร, ปีที่ 5 ฉบับที่ 36 28 สิงหาคม 2500, (พระ นคร : โรงพิมพ์รับพิมพ์, 2500), หน้า 9. บทความชิ้นนี้เป็นชิ้นสุดท้ายที่ได้รับการตีพิมพ์ก่อนที่จะมีการรัฐประหารของจอมพล สฤษด์ิ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2500 เนื้อหาใจความได้จาลองสถานการณ์ความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันตาม หลักประชาธิปไตยกับความเคารพนับถือบุคคลที่สมควรเคารพ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยได้มีการให้เสรีภาพในการแสดงความ คดิ เหน็ แต่การแสดงความคดิ เห็นน้ันจะตอ้ งเคารพและรบั ฟังความคิดเหน็ ของบุคคลอื่น ๆ ด้วยเชน่ กนั 67

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 เทศบาลและระบอบการปกครองละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างที่สุด ถ้าเข้าใจ ระบอบการปกครองของรัฐดีก็เข้าใจระบอบเทศบาลดีและถ้าเข้าใจระบอบ เทศบาลดีก็เขา้ ใจระบอบการปกครองของรัฐดี\"31 การทาหน้าท่ีเผยแพรค่ วามเป็นประชาธิปไตยของ หยดุ ดังกล่าว ยังได้สอดคล้องกบั แนวทาง ของรัฐบาลที่กาหนดให้มีนโยบายส่งเสริมด้านวัฒนธรรม และวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย หรือ วัฒนธรรมทางเนติธรรม หรือนิติธรรม32 ในช่วงระยะเวลา พ.ศ. 2495 เช่นกัน โดยกาหนดให้มีสภา วัฒนธรรมแห่งชาติ33 ข้ึนเพื่อทาหน้าที่ ศกึ ษาค้นคว้า ดัดแปลงเผยแพร่วัฒนธรรมแห่งชาติให้เหมาะสม กบั กาลสมัย โดยมีการตั้งคณะกรรมการสาขาทางนิติธรรม34 เป็นกรรมการสาขาหนึ่งที่อยู่ในกากับของ สานักวัฒนธรรมทางระเบียบประเพณี นอกจากนี้ หยุด ได้เข้าเป็นกรรมการประจาสานักวัฒนธรรมทางระเบียบประเพณี และรอง ประธานกรรมการสาขาทางเนติธรรม รวมถึงกรรมการพิจารณาวางระเบียบส่งเสริมวัฒนธรรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 เป็นกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ในปี พ.ศ.2498 และเป็นกรรมการสภาวัฒนธรรม แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2500 35 บทบาทการเป็นกรรมการดังกล่าวของหยุด ได้ส่งผลให้เขามีหน้าที่ในการ กากับวางแผนและต้องปฏิบัติตามนโยบายของรฐั ซึ่ง หยุด ได้ถูกแต่งต้ังให้เป็นคณะกรรมการสาขาทาง 31 หยุด แสงอุทัย, “ความรู้เกี่ยวกับเทศบาลสาหรับประชาชน”, รัฐสภาสาร, ปีที่ 4 ฉบับที่ 9 7 กุมภาพันธ์ 2499, (พระนคร : โรง พิมพ์รบั พิมพ,์ 2499), หนา้ 9 32 จอมพล ป. พิบูลสงคราม (ประธานสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ) ได้อธิบายการกาหนดให้มีวัฒนธรรมทางเนติธรรมว่า “ ฯลฯ และให้ เกิดวฒั นธรรมอีกสาขาหนึง่ เป็นสาขาทสี่ องคอื ถ้าเขาได้ปฏิบัตติ ัวตามตวั บทกฎหมายซ่งึ ได้ออกมาและขอประทานย้าอกี ครงั้ หนึ่ง คือ วา่ การได้ตราพระราชกาหนดกฎหมายข้ึนนั้น ก็เพราะเหตุว่าบุคคลจานวนหน่ึงได้ละเว้นเสียซึ่งไม่ปฏิบัติตามวฒั นธรรมหรอื ศลี ธรรม ... จึงเกิดเปน็ กฎหมายขึ้น และถ้าทุกคนได้ปฏิบัติตามตวั บทกฎหมายของชาติบ้านเมืองท่ีตราเอาไว้ ทั้งในสมัยกอ่ นและสมัยปัจจุบัน โดยครบถ้วน ก็เชื่อว่าประชาชนของเราก็บังเกิดการมีวัฒนธรรมโดยสมบูรณ์..” และเพื่อสนองความประสงค์ของประธานสภา วัฒนธรรม สานักวัฒนธรรมทางระเบียบประเพณีจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการสาขาเนติธรรมขึ้น รายละเอียดโปรดดู “อนุสรณ์งาน พระราชทานเพลิงศาสตราจารย์ หยุด แสงอุทัย ม.ปช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส”, วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2523, หน้า 282. 33 โปรดดู พระราชบัญญัติ วฒั นธรรมแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2485 แก้ไขเพ่ิมเตมิ ฉบบั ที่ 2 พ .ศ.2486, มาตรา 9. 34 โปรดดู พระราชบญั ญัติ วฒั นธรรมแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2485 แกไ้ ขเพ่ิมเติม ฉบับท่ี 2 พ .ศ.2486, มาตรา 11. 35 “อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศาสตราจารย์ หยุด แสงอุทัย ม.ปช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริ นทราวาส”, วนั ท่ี 19 เมษายน พ.ศ. 2523, หน้า 6,8 และ 10. 68

วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบบั ท่ี 2 นิติธรรม โดยหนึ่งในหน้าท่ีหลัก คือ การเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจทางกฎหมายให้กับประชาชน โดย แปลงภาษาทางกฎหมายใหเ้ ป็นภาษาทเี่ ข้าใจง่ายแตย่ ังคงความหมายเดมิ ไว้36 การปฏิบัติหน้าที่ของหยุดในฐานะคณะกรรมการสาขาทางนิติธรรม เห็นได้จากบทบาทการ ทางานเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายให้กับประชาชน โดย หยุด รับผิดชอบให้ความรู้ด้านกฎหมาย อาญาท่ีจะนามาอ่านทางวิทยุกระจายเสียงของกรมประชาสัมพันธ์ทุกคืนวนั อังคารและเช้าวนั อาทติ ย์37 รวมถึงการจัดให้มลี ะครทางวิทยซุ ึ่งเป็นเน้ือเรื่องเดียวกันกับบทความท่ีปรากฏในวารสารรฐั สภาสาร ซึ่ง มีเนื้อหาเป็นการสมมติเหตุการณ์โดยมีตัวละครหลักเป็นบิดาและบุตรสนทนากันเรื่องของหลักการ ประชาธปิ ไตย38 เปน็ ต้น อนั เป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล โดย หยุด ได้อธบิ ายไวด้ งั น้ี ว่า “คณะกรรมการสาขาทางเนติธรรม ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้า (หยุด แสงอุทัย – ผ้เู ขยี น) เป็นผู้รับผดิ ชอบเผยแพร่กฎหมายอาญา โดยเห็นว่าข้าพเจ้าได้สอนวิชา กฎหมายน้ีในสถานการศึกษาชั้นสูงถึง 4 แห่ง บทความกฎหมายอาญาสาหรับ ประชาชนท่ีจะบรรยายในวันน้ี และในทุกเช้าวันอาทิตย์จะได้พยายามเขียนให้ งา่ ย ๆ เพื่อให้ประชาชนทไี่ ม่มคี วามรู้ในทางกฎหมายเลยเขา้ ใจกฎหมายอาญาได้ ทั้งนี้เพ่ือสนองความประสงค์ของท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ท่ีจะให้งานของ คณะกรรมการสาขาเนติธรรมในด้านนี้ ได้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากท่ีสุด ...”39 นอกจากการให้ความรู้ทางกฎหมายกับประชาชนแล้วพบว่า หยุด ได้เขียนบทความ เกย่ี วกับ“วฒั นธรรมทางเนติธรรมกบั รัฐสภา” โดยได้อธบิ ายถงึ ความสาคัญ วา่ “ในคาแถลงนโยบายของรัฐบาล เม่ือวันท่ี 3 เมษายน 2495 ณ สภา ผู้แทนราษฎร พระที่นั่งอนันตสมาคม จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเกี่ยวกับวัฒนธรรมไว้ใน ข้อ 3 ว่า “รัฐบาลน้ีจะส่งเสริมการวัฒนธรรม 36 รายละเอยี ดโปรดดู, เร่ืองเดยี วกนั , หน้า 283. 37 หยุด แสงอุทัย, คาบรรยายกฎหมายอาญาสาหรับประชาชน (ทางวิทยุกระจายเสียง), (พระนคร: สานักพิมพ์รวมสาส์น, 2496), หน้า 3. 38 หยุด แสงอทุ ัย, คาถาม-คาตอบ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย : พรอ้ มทัง้ คาแปลเป็นภาษาอังกฤษธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจักร 2502, (กรงุ เทพฯ : สันติสุข, 2503). 39 เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ 6. 69

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 ทัง้ ในทางคติธรรม นติ ิธรรม วัตถธุ รรม และสหธรรมให้เป็นประเพณีประจาชาติ ยิ่งขึ้น” ซ่ึงเป็นการแสดงว่ารัฐบาลปัจจุบันได้เล็งเห็นความสาคัญของการ ส่งเสริมวัฒนธรรมท้ัง 4 สาขา คือ คติธรรม นิติธรรม วัตถุธรรม และสหธรรม แตผ่ เู้ ขียนเหน็ ว่า ลาพังแต่รัฐบาลฝา่ ยเดียวย่อมจะส่งเสริมวัฒนธรรมทัง้ 4 สาขา น้นั ไม่สาเร็จพร้อมบรู ณ์ไดด้ ี จาตอ้ งอาศัยความรว่ มมอื ของสภาผู้แทนราษฎรอีก ด้วย เพราะในการส่งเสริมวัฒนธรรมน้ีจาเป็นต้องอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ อยู่บ้าง เพราะจาเป็นที่จะต้องกาหนดความประพฤติของบุคคล เพื่อให้เป็นไป ในทางที่ดีงาม นอกจากน้ันแล้วสภาผู้แทนราษฎร ซ่ึงเป็นสถาบันอันสาคัญของ รัฐธรรมนูญ ก็จะต้องกระทาตนให้เป็นเย่ียงอย่างในวัฒนธรรมที่ดีแก่ประชาชน อกี ดว้ ย”40 จะเห็นได้ว่าการให้เหตุผลของหยุด ที่ปรากฏในหลายบทความข้างต้นนั้น ล้วนเกี่ยวกับ กฎหมายความรู้ทางประชาธิปไตย และบทบาทการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายในด้านต่าง ๆ รวมถึง หน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ของ หยุด ในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามซึ่งมี ลักษณะเป็น \"มือกฎหมาย” ทาหน้าที่ร่างกฎหมายให้ตรงกับหลักการที่รัฐบาลต้องการ ซึ่งความคิด เช่นน้ีไดส้ ะท้อนให้เห็นถึงการทางานของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมถึงบทบาทข้าราชการประจาด้วย เช่นกัน จนทาให้ดูราวกับว่า หยุด ได้กลายเป็น “เครื่องมือ” หนึ่งซึ่งรัฐบาลสามารถกาหนดบทบาท หน้าที่ และมีคาสั่งให้ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะผ่านการร่างกฎหมาย หรือการให้เขียนบทความใน ลักษณะที่รณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจต่อระบอบประชาธิปไตย ผ่านการสร้างนิทาน ประชาธิปไตยอันสอดคล้องกบั แนวทางการสร้างเสริมประชาธิปไตยตามนโยบายของรฐั บาลในช่วงเวลา น้นั ขณะเดยี วกนั ก็ทาให้เห็นความสมั พันธ์ระหว่างผู้บังคบั บัญชาและข้าราชการประจาทจ่ี าต้องปฏิบัติ ตามคาส่ังของผู้บงั คบั บัญชา ตามท่ี หยุด ได้อธบิ ายหน้าท่ีของข้าราชการประจาไวอ้ ย่างชัดเจนว่า “...ข้าพเจ้ายังไม่ได้เข้าถึงพุทธรรมอย่างปัจจุบัน ข้าพเจ้าหงุดหงิดและราคาญใจ เป็นอันมาก ผู้ใหญ่บางคนตาหนิข้าพเจ้าว่าทาไมรัฐบาล (รัฐบาลจอมพล ป. พิบูล สงคราม-ผู้เขียน) ใช้ให้ร่างกฎหมายอะไรก็ร่างกฎหมายให้หมด ข้าพเจ้าตามใจ รัฐบาลมากเกินไป บางท่านก็ว่าเป็นนักกฎหมายทาไมไม่ร่างกฎหมายอย่างนัก 40 หยุด แสงอุทัย, “วัฒนธรรมทางเนตธิ รรมกบั รฐั สภา”, รัฐสภาสาร, ปีที่ 1 เล่มที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2496, (พระนคร : โรงพิพม์พานิช ศภุ ผล, 2496), หน้า 115. 70

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบบั ท่ี 2 กฎหมาย ท้ัง ๆ ท่านเองก็ไม่มีความรู้ในทางกฎหมายเลย ข้าพเจ้าได้แต่ตอบว่า ขา้ พเจ้าเป็นข้าราชการประจา... ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการวิจารณ์ข้าพเจ้าไปในทางไม่ดี ของประชาชน และหนังสือพิมพน์ ้เี ป็นเพราะบุคคลดังกล่าวยังไม่มคี วามเข้าใจดใี น ระบอบประชาธิปไตย ข้าพเจ้าไม่เหน็ มีประเทศไหนทเ่ี ขาวิจารณข์ ้าราชการประจา ไปในทางที่ไม่ดี เพราะเขารู้วา่ ข้าราชการประจาต้องเป็นกลางในทางการเมือง รับ ใช้รัฐบาลทุกรัฐบาลท่ีผลดั เปล่ียนกันบรหิ ารราชการแผ่นดินตามเสยี งข้างมากของ ราษฎรในประเทศตามท่ีปรากฏจากผลของการเลือกตั้งท่ัวไปโดยสุจริต และเป็น หน้าที่ของรฐั บาลทุกรัฐบาลท่ีจะปกป้องข้าราชการประจาของตนจากการวิจารณ์ ทีไ่ มช่ อบ ถ้าประชาชนและหนงั สือพมิ พ์ยังคงวิจารณ์ขา้ ราชการประจาในทางท่ีไม่ ดีอยู่ ก็เท่ากับยุยงให้ข้าราชการฝ่าฝืนคาสั่งของรัฐบาลและรัฐบาลจะบริหาร ราชการแผ่นดินไปได้โดยราบร่ืนได้อย่างไร... และสมมติว่าข้าพเจ้าจะได้ลาออก จากตาแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่ือหรือว่าจะไม่มีนักกฎหมายอ่ืน เชน่ รองเลขาธิการที่จะไมด่ าเนนิ การอย่างเดียวกับขา้ พเจา้ ”41 จากการศึกษาดังกล่าว ทาให้เห็นถึงบทบาทการรับราชการของ หยุด ในช่วงระยะเวลา พ.ศ. 2495 – 2500 การทาหน้าที่ดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่แบบ “ข้าราชการประจา” ท่ี ตอ้ งรับใช้รัฐบาลด้วยความซ่ือสัตย์ สุจริต ปฏิบัติตามแนวนโยบายของรัฐ และไม่อาจแสดงความเห็นท่ี ขัดแย้งกับแนวนโยบายของรัฐบาลได้ ด้วยเหตุที่ว่ารัฐบาลมาจากความต้องการของประชาชน จึงมี หน้าที่ต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ฉะนั้นข้าราชการประจาจึงจะต้องปฏิบัติให้ สอดคล้องกับนโยบายและคาสั่งของรัฐบาลในขณะนั้น ด้วยแนวความคิดเช่นนี้ทาให้ หยุด ณ ช่วงเวลา น้ันกลายเป็นกลไกสาคัญของรัฐบาลท่ีทาหน้าที่ร่างกฎหมายมาบังคับใช้ตามความต้องการของรัฐ และ หากพิจารณาถึงร่างกฎหมายแต่ละฉบับที่ถูกร่างขึ้นมานั้น อาทิ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง หรือ พระราชบัญญัติเทศบาล ต่างก็สะท้อนความต้องการที่จะสร้างและกระจายความเป็นประชาธิปไตย ให้กับประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยให้ เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตยในทางนโยบายของกฎหมายหรือ การประชาสัมพันธ์นับต้ังแต่ พ.ศ. 2495 กลับสวนกับข้อเท็จจริงทางการเมอื ง ที่ว่าสถานการณ์ทางการ 41 หยดุ แสงอทุ ยั “ ,การร่างกฎหมาย ,”วารสารนติ ศิ าสตร์ ,ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 วนั ท่ี 25 ธนั วาคม 2515, หน้า 110 – 111. ศูนย์ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สืบค้นเม่ือวันท่ี 1 มนี าคม พ .ศ.2561, http://tulawcenter.org/knowledge/content/141 . 71

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 เมืองช่วง พ.ศ. 2495 – 2498 ถือเป็นช่วงที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามใช้อานาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในการปราบปรามจับกุมคุมขังกลุ่มต่อต้านอย่างเข้มงวด42 จึงทาให้การดาเนินนโยบายของรัฐกับ ข้อเทจ็ จริงในทางปฏิบตั ิมคี วามขดั แยง้ กนั อย่างมาก อยา่ งไรกต็ าม รฐั บาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถบริหารประเทศจนถึง พ.ศ. 2500 จึงได้ถูกรัฐประหารจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เม่ือวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2500 การรัฐประหารครั้ง นี้ได้ส่งผลต่อบทบาทความเป็นมือกฎหมายประจารัฐบาลของ หยุด อย่างมีนัยยะสาคัญ โดยหัวข้อ ต่อไปจะแสดงให้เห็นถึงการถูกลดบทบาทความเป็นมือกฎหมายลง และแสดงให้เห็นถึงบทบาทความ เปน็ “อาจารยก์ ฎหมาย” ของ หยุด ทเ่ี รมิ่ มีบทบาทเพม่ิ ข้นึ 3. “บทบำทของหยุด แสงอทุ ัยหลังกำรรัฐประหำรในปี พ.ศ. 2500” ภายหลังจากที่รฐั บาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ถกู รัฐประหาร โดยจอมพลสฤษด์ิ ธนะ รัชต์ ในช่วงระยะเวลานับตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหารมีการเปลี่ยนรัฐบาล สลับกับการกระทา รฐั ประหารเสมอท้ังมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหลายชุด43 โดย หยดุ ยังคงรับราชการสังกัดคณะกรรมการ กฤษฎีกาและปฏิบัติหนา้ ท่ีขา้ ราชการประจาเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องจนถงึ รัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติ ขจร โดยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2501 – 2511 หยุด ได้ทาหน้าที่เป็นกรรมการ อนุกรรมการ หรือ คณะกรรมการร่างกฎหมายหลายฉบับ ท่ีเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐในขณะนั้น ๆ อาทิ ผู้แทนของ สานักนายกรฐั มนตรีไปรว่ มประชุมพิจารณาเก่ียวกบั รา่ งสนธสิ ญั ญาทางไมตรแี ละความสัมพันธร์ ะหวา่ ง ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา อนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ที่ดิน, กรรมการจัด 42 สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, ‘แผนชงิ ชาติไทย’ วา่ ด้วยรัฐ และการตอ่ ต้านรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม, พิมพ์คร้ังที่ 3, (กรุงเทพฯ : พี เพรส, 2553), หนา้ 326. 43 ภายหลังการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว โดยมี นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อดาเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และเพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ ภายหลังการเลือกต้ังพรรครัฐบาลซึ่งมนี ายพจน์ สารสิน เป็นผู้นาพรรค ได้รับคะแนนสงู สุดแต่กลับไม่ยอมรบั ตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี จึงทาให้เกิดความระส่าระส่ายและรัฐสภาจึงได้เลือกจอมพลถนอม กิตติขจรขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี กระทั่งในวันท่ี 19 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพลถนอม ได้ลาออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรี และในวันท่ี 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กระทา การรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งโดยดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งอสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ทาให้จอมพลถนอม กิตติขจร เขา้ มารับนายกรฐั มนตรี จนถึง พ.ศ. 2512 อ้างองิ จาก ทักษ์ เฉลมิ เตยี รณ, “การเมืองระบบพอ่ ขุนอปุ ถัมภแ์ บบเผด็จการ (Thailand: The Politics of Despotic Paternalism)”, พมิ พ์คร้ังท่ี 2, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หน้า 172- 180. และ สถาบนั พระปกเกล้า, “ถนอม กติ ตขิ จร (จอมพล)”, สืบค้นเมือ่ วันที่ 29 ตลุ าคม 2561, http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title= ถนอม_กติ ตขิ จร_(จอมพล) 72

วารสารนิตสิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบับท่ี 2 ทด่ี ินแห่งชาติ44, กรรมการในคณะกรรมการพจิ ารณาปรบั ปรุงประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณความอาญา, กรรมการในคณะกรรมการการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง, กรรมการ พิจารณาชาระสะสางประมวลกฎหมาย45 เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทั่วไปของ หน่วยงานกฤษฎีกาที่ทาหน้าที่พิจารณากฎหมายตามที่รัฐบาลกาหนด แต่กลับไม่มีบทบาททางรัฐสภา ที่โดดเด่นดังเช่นเดิม จึงทาให้บทบาทความเป็น “มือกฎหมาย” ประจารัฐบาลไม่เด่นชัดเหมือนเช่น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม กระทั่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2511 หยุด จึงออกจากราชการเพื่อรับ บานาญเหตสุ งู อายุ ดา้ นบทบาทความเปน็ อาจารย์มหาวิทยาลัยของ หยดุ เริ่มข้ึนใน พ.ศ. 2492 โดยเป็นอาจารย์ สอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์เรื่อยมา46 รับหน้าท่ีสอนในวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายการเลือกตั้ง กฎหมายอาญา เป็นต้น โดยจะสอนเพียงปีละหนึ่งรายวิชา ควบคู่ไปกับการ ทางานเป็นข้าราชการประจา กระทั่งปี พ.ศ. 2501 ได้เข้าเป็นอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และต้ังแต่ปี พ.ศ. 250647 จึงเพ่ิมรายวชิ าการสอนมากข้นึ จากเพียงหนึ่งรายวิชาเป็นสามรายวิชา ท้ังรับ หน้าที่การเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย รวมถึงเป็นอาจารย์ควบคุมการทาวิจัยและการสอบวิทยานิพนธ์ เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 251648 ทั้งยังได้ก้าวไปสู่เกียรติในทางนิติศาสตร์สูงสุด โดยได้รับพระราชทาน ปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ทั้งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และใน พ.ศ. 2516 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชบัณฑิตในสานักธรรมศาสตร์และการเมือง ประเภทสังคมศาสตร์ สาขานติ ิศาสตร์49 เมื่อเปรียบเทียบบทบาทการทางานในฐานะข้าราชการประจาของหยุด แล้ว จะเห็นได้ถึง ความต่างในช่วงรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมา จนถึงรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจรว่า หยุด ได้มีบทบาทในฐานะการเป็นอาจารย์มากยิ่งขึ้นโดย สงั เกตไดจ้ าก การเข้ามามีบทบาทการเปน็ อาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 และเพิ่มรายวิชาสอนให้มากขึ้นใน พ.ศ. 2506 อันสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มบทบาทความเป็น 44 “อนสุ รณง์ านพระราชทานเพลิงศาสตราจารย์ หยุด แสงอทุ ัย ม.ปช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรหุ น้าพลบั พลาอศิ ริยาภรณ์ วดั เทพศิริ นทราวาส,” วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2523, หน้า 11. 45 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ 12. 46 เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ 21. 47 เรื่องเดียวกัน, หนา้ 23. 48 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ 20 -26. 49 เร่อื งเดียวกนั , หนา้ 26. 73

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 “อาจารย์กฎหมาย” มากเสียยิ่งกว่าการเป็น “มือกฎหมาย” ของรัฐบาล จึงทาให้บทบาทมือกฎหมาย ของ หยุด ไดถ้ ูกหลงลืมและไม่ได้รับความสาคัญในฐานะอดีตผู้รา่ งกฎหมาย ดังคาเปรยจาก หยดุ เองท่ี สะท้อนถึงบทบาทที่มีต่อการแสดงความคดิ เห็นเพื่อหวังจะใหร้ ่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 เป็นกฎหมาย ท่ีสะท้อนเจตน์จานงของประชาชนก็แต่กลับถูกติติง แม้ว่าเขาจะเคยร่างรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับแล้ว กต็ าม อันสะท้อนถึง “ขาลง” ตอ่ บทบาทมือกฎหมายอยา่ งชดั เจน “...มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาขอสัมภาษณ์ว่า ข้าพเจ้าเองมีความคิดเห็นอย่างไร ขา้ พเจ้าคิดว่า ถ้าข้าพเจ้าออกความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ (ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511-ผู้เขียน) ก็อาจเป็นประโยชน์แก่สภาร่างรัฐธรรมนูญบ้าง เพราะอย่าง นอ้ ยข้าพเจา้ ก็เคยรว่ มมืออย่างใกล้ชิดในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 และฉบับ 2495 แต่เม่ือหนังสือพิมพ์ฉบับน้ันตีพิมพ์คาให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ได้มีผู้ใหญ่ใน รัฐบาลขณะน้ันได้ตาหนิข้าพเจ้าว่า เป็นข้าราชการไม่ควรวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าอยากวิจารณ์ก็ลาออกจากการเป็นข้าราชการประจาเสียก่อน ซ่ึงแม้จนบัดน้ี ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจในฐานะประชาชนพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งอยากจะให้รัฐธรรมนูญ สมบูรณจ์ ะวิจารณ์ไมไ่ ด้ ในเมื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทัว่ ไปวจิ ารณไ์ ด้”50 หากพิจารณาบทบาทของ หยุด ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ภายใต้รัฐบาลจอม พล ป. พิบูลสงคราม หยุด ถือเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสาคัญอย่างมากในการเข้ามาเป็นส่วนเสริมเพื่อ ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ผ่านการเป็นผู้สร้างกฎหมายจานวนมากที่ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐ แต่เมื่อบริบททางการเมืองเปลี่ยนแปลง จะพบว่า บทบาทการขับเน้นนโยบายด้านประชาธิปไตยท่ีเคย กระทาเมื่อรัฐบาลเดิมแผ่วเบาลงไป อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ความคิดด้านประชาธิปไตยของ หยุด ได้ปรากฏอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของตาราเรียน หรือคาอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นช่วงเวลา ที่เขามีบทบาท “อาจารย์กฎหมาย” อย่างเข้มข้นมากขึ้น และกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในกฎหมายไทย ทาให้ในระยะเวลาต่อมา ปัญญาชนหัวก้าวหน้าจึงหันกลับไปศึกษาคาอธิบายทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ และหยิบยกคาอธิบายบางแง่มุมของ หยุด และจัดกลุ่มให้เป็นนักกฎหมายที่ชื่นชอบต่อระบอบ 50 หยุด แสงอุทัย, “การร่างกฎหมาย”, วารสารนิติศาสตร์, ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 วันที่ 25 ธันวาคม 2515, หน้า 78, ศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สบื คน้ เมอ่ื วนั ที่ 1 มนี าคม พ.ศ. 2561, http://tulawcenter.org/knowledge/content/140. อย่างไรก็ตาม บทความชิ้นนี้มีความสับสนต่อเร่ืองระยะเวลาท่ีตีพิมพ์เนื่องจาก วารสารนิติศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 บทความการร่าง กฎหมายของ หยุด แสงอทุ ยั ระบุวา่ “ตอ่ จากเล่ม 1 ตอน 2 กนั ยายน 2512” ตามท่รี ะบุไว้ใน หนา้ 106. 74

วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปีท่ี 11 ฉบับที่ 2 ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในหัวข้อต่อไปจะเป็นการศึกษาที่แสดงถึงความเห็นอีกด้านหน่ึงของหยุด อนั มลี ักษณะประนปี ระนอมตอ่ ระบอบอานาจนิยม 4. “กำรรบั รองควำมชอบธรรมของกำรรัฐประหำร” ตามที่ได้กล่าวมาข้างตน้ แล้วว่า การเข้าสู่อานาจนายกรฐั มนตรีของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ครั้งที่สองนี้เกิดจากการรัฐประหารที่นาโดยจอมพล ผิณ ชุณหะวัณ ที่จี้ให้นายควง อภัยวงศ์ออกจาก ตาแหน่งนายกรัฐมนตรี การรัฐประหารครั้งนี้ยังกลายเป็นการวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการรัฐประหาร ในประเทศไทย เนื่องจากกองบัญชาการทหารแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1551 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 โดยใจความแล้วสรุปได้ว่าหากเกิดการรัฐประหารที่แม้ไม่เป็นไปตาม กระบวนการตามรัฐธรรมนูญ แต่หากคณะรัฐประหารสามารถกุมอานาจการปกครองประเทศได้สาเร็จ และพระมหากษัตริยท์ รงลงพระปรมาภิไธยให้ตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นก็แสดงว่าการรัฐประหารนั้น เสร็จสมบูรณ์ และคณะรัฐประหารได้กลายเป็นรัฐาธิปัตย์ซึ่งมีความชอบธรรมในการบริหารราชการ บา้ นเมือง52 ภายหลังการรัฐประหาร คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ารับตาแหน่ง นายกรัฐมนตรี จนกระท่ังวนั ที่ 29 พฤศจิกายน 2494 ได้เกดิ การรัฐประหารตวั เองของจอมพล ป. พิบูล สงคราม ซึ่งการรัฐประหารตัวเองครั้งนี้ได้มีการประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชั่วคราว โดยมีคณะ ผู้บริหารประเทศช่ัวคราวเปน็ ผู้ลงนามประกาศให้จอมพล ป. พิบลู สงครามเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่มี พระบรมราชโองการจากพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวแต่อย่างใด ทั้งมีการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ 51 “แถลงการณ์ฉบับที่ 15”, “หนังสือพิมพ์เกียรติศักดิ์ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2490 ได้กล่าวถึงปัญหาในระหว่างที่เกิด รัฐประหาร กล่าวคือ การลาออกของรัฐบาลเก่าและการเข้ามาของรัฐบาลใหม่ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกิดข้ึนในกรณีรัฐประหารทุก กรณี การกระทารัฐประหารนั้นในขน้ั แรกเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายท่ีใช้อยู่ปัจจุบนั แต่เมื่อได้กระทารฐั ประหารสาเร็จ จนผู้กระทาได้เข้าครองอานาจอันแท้จริงในรัฐแล้ว ผู้กระทาการรัฐประหารก็เป็นรัฐาธิปัตย์ มีอานาจเลิกล้มรัฐธรรมนูญและ กฎหมายที่ใช้อยู่ได้ และอาจออกรัฐธรรมนูญและกฎหมายใหม่ได้ บรรดาการกระทาที่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ใช้ อยู่เดิมย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อไป ฉะนั้นเมื่อคณะทหารได้ก่อรัฐประหารสาเร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ขอพระราชทานให้ตรา รัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับเดิมย่อมเป็นอันเลิกล้มไป โดยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีชุดเก่าซึ่งแต่งตั้งโดยอาศัยตาม รัฐธรรมนญู เดิมกต็ ้องหมดไปด้วย ไม่จาเป็นจะต้องใหค้ ณะรัฐมนตรีชุดเดิมต้องลาออก ฉะนั้นในกรณีนี้จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยอาศัยอานาจตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทีเดียว และขอได้โปรดเข้าใจเพ่ิมเติมด้วยว่ามิใช่แต่คณะรัฐมนตรี เท่านั้นที่หมดไปในตัว แม้แต่สถาบันต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญเดิม เช่น พฤฒสภา และสภาผู้แทนก็เป็นอันเลิกล้มไปในตัวด้วย เหมือนกัน” อ้างใน นิฐิณี ทองแท้, “สถาบันพระมหากษัตริย์กับกระบวนการสร้างรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีว่าด้วยการ รฐั ประหาร”, วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์, ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 2/2555 กรกฎาคม – ธนั วาคม, หนา้ 56. 52 เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ 57. 75

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 แต่กลับไม่มีการลงพระปรมาภิไธยจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่างจากการ รัฐประหารครั้งที่ผ่านมาที่ให้ความสาคัญกับการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี หรือการ ประกาศใช้รฐั ธรรมนูญ53 ทั้งนี้ ใน พ.ศ. 2496 ได้ปรากฏคาพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเหตุการณ์รัฐประหาร วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ในเชิงการรับรองสถานะและความชอบธรรมของคณะรัฐประหาร โดยคา พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 45/2496 มีเน้อื หาว่า “ศาลฎีกาพิจารณาแล้วใน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารได้ยึดอานาจการปกครอง ประเทศไทยได้เป็นผลสาเร็จ การบริหารประเทศชาติในลักษณะเช่นนี้ คณะ รัฐประหารย่อมมีอานาจที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไขยกเลิก และออกกฎหมายตาม ระบบแห่งการปฏิวัติเพื่อบริหารประเทศชาติต่อไปได้มิฉะน้ันประเทศชาติอาจจะ ตงั้ อยดู่ ้วยความสงบไม่ได้ ดังนัน้ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ชัว่ คราว) พ.ศ. 2490 จึงเป็นกฎหมายอันสมบูรณ์ จาเลยจึงเป็น ร.ม.ต.ว่าการ กระทรวงการคลงั โดยชอบ” 54 นอกจากการยืนยันความชอบธรรมของการรัฐประหารที่ปรากฏในคาพิพากษาของศาลฎีกา แล้ว หยุด ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นยืนยันความชอบธรรมผ่านการแปลคาพิพากษาของศาลฎีกา เยอรมนั ไว้ท้ายคาพิพากษาฎีกาท่ี 45/2496 ว่า “คาพิพากษาฉบับน้ี เป็นตัวอย่างอันดีท่ีจะพิจารณาวา่ ศาลยุติธรรมจาต้องรับรอง ผลของการปฏิวัติหรือรัฐประหารซึ่งทาได้สาเร็จ และผู้กระทาได้กลายเป็นผู้มี อานาจอันแท้จริงในรัฐอย่างแน่นอน โดยท่ีการรัฐประหารเม่ือ พ.ศ. 2490 มี ลักษณะอย่างเดียวกับการปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1918 หลังสงครามโลกคราวแรก ผู้เขียน ( หมายถึง หยุด แสงอุทัย) จึงขอโอกาสนี้แปลคาพิพากษาศาลฎีกา เยอรมัน เพื่อเปน็ การเทยี บเคียงดังต่อไปน้ี 53 เรอ่ื งเดียวกนั 54 รายละเอียดโปรดดู “คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 45/2496”, สืบค้นเม่ือวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, https://deka.in.th/view- 51212.html. 76

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ปีท่ี 11 ฉบบั ท่ี 2 ... อานาจของรัฐใหม่อันเกิดข้ึนโดยการปฏิวัติน้ี ในทางรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธไม่ ยอมรับรองหาได้ไม่เพราะการผิดต่อกฎหมายในการก่อให้เกิดการปฏิวัติข้ึนนนั้ หา เป็นการขัดแย้งกับอานาจนั้นแต่ประการใดไม่เพราะการชอบด้วยกฎหมายแห่ง การก่อให้เกิดขึ้นย่อมไม่ใช่คุณลักษณะอันเป็นสาระสาคัญของอานาจรัฐแต่อย่าง ใดเลย รัฐไม่อาจดารงอยู่ได้โดยปราศจากอานาจของรัฐ ทันทีท่ีอานาจเก่าได้ถูก ขจัดให้หมดไปทันใดนั้นอานาจใหม่ซึ่งสามารถกระทาการได้สาเร็จย่อมเข้ามา แทนท่ีอานาจเก่า วิถีทางแห่งการปฏิวัติได้แสดงด้วยว่าอานาจใหม่ได้เกิดข้ึนอย่าง ผู้ครอบครองรัฐ ภายหลังที่อานาจเก่าได้ถูกทาลายลงไปแล้ว และยังดารงอยู่ใน การคล่คี ลายจัดสรรอย่างม่นั คง ... รัฐบาลของประชาชน (คือรัฐบาลปฏิวัติ) ได้ดาเนินการสาเร็จทุกหนทุกแห่ง และสามารถขจดั กลุ่มของประชาชนทขี่ ัดขนื โดยอาศัยปจั จัยแหง่ อานาจท่ีรฐั บาลนี้ มีอยู่ได้สาเร็จเด็ดขาด เท่านีก้ ็เป็นอันเพียงพอที่อานาจที่รัฐบาลนีม้ ีอยู่อย่างแท้จริง จะได้รบั รองจากกฎหมาย”55 การเทียบเคียงคาพิพากษาของศาลเยอรมันเพื่อนามาอธิบายกับคาพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2496 นี้ เป็นคาอธิบายท่ี หยุด อธิบายให้เห็นว่าหากคณะรัฐประหารสามารถที่จะยึดอานาจสาเร็จ จะกลายเปน็ ผู้มีอานาจแท้จริงในการบริหารประเทศ จึงทาให้รฐั ธรรมนูญจาเป็นท่ีจะต้องให้การรับรอง คณะรฐั ประหารไปโดยปรยิ าย และเพ่ือที่จะทาความเข้าใจการให้เหตุผลการรับรองอานาจคณะรัฐประหารอย่างแท้จริงนั้น ผู้ศึกษาได้พบว่า หยุด ได้สร้างคาอธิบายทางรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการ “ปฏิวัติ” และ “รัฐประหาร” รวมถึงการรับรองความชอบธรรมของคณะรัฐประหารในตาราทางรัฐธรรมนูญหลายเล่ม ซึ่งล้วนเป็น คาอธิบายที่น่าสนใจที่มักจะพบเจอในคาอธิบายทางรัฐธรรมนูญที่ผลิตข้ึนในช่วงเวลาที่ประเทศไทยถูก ปกครองโดยคณะรัฐประหาร ดังน้ี คาอธิบายทใ่ี หค้ วามหมายของการปฏวิ ัติ “หมายถึงการเปล่ยี นแปลงรัฐบาล โดยการใชก้ าลังบงั คับ การปฏิวตั ทิ ุกคร้ังจึงเป็น การผิดกฎหมาย แต่ถ้าทาสาเร็จจนถงึ ได้เปน็ เจ้าของอานาจอธิปไตยในรัฐ ส่งิ ทีผ่ ิด 55 สมชาย ปรีชาศิลปกุล, “การปรองดองกับอานาจนิยมของนักนิติศาสตร์ไทยกระแสหลัก”, ฟ้าเดียวกนั , ปีที่ 9 ฉบับท่ี 1 มกราคม – มนี าคม, พ.ศ. 2544, หนา้ 146. 77

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 กฎหมายก็กลายเป็นสิ่งท่ีชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้ทาการปฏิวัติสาเร็จมีอานาจ ใหร้ ฐั ธรรมนูญใหมไ่ ด้ และกอ่ ตงั้ สถาบันต่าง ๆ ใน ทางรัฐธรรมนูญเช่นประมุขแห่ง รัฐ สภานิติบัญญัติและศาลข้ึนใหม่ และย่อมอยู่ท่ีเจตน์จานงของผู้ทาการปฏิวัติ สาเร็จที่จะเลิกล้างรัฐธรรมนูญเดิมทั้งหมดหรือแต่บางส่วน และอยู่ท่ีเจตน์จานง ของผู้ทาการปฏิวัตสิ าเรจ็ ท่จี ะเลิกใช้กฎหมาย ที่บญั ญตั อิ ยู่ก่อนหนา้ ปฏิวตั ิเพียงใด หรือไม่ ในกรณีที่ไม่เลิกใช้กฎหมายท่ีใช้อยู่ก่อนหน้าปฏิวัติ กฎหมายนั้นก็คงใช้ บงั คบั ได้ เพราะถอื วา่ เป็นกฎหมายของรัฐ ซึง่ เป็นรัฐอันเดยี วกับรฐั ก่อนหน้าปฏิวัติ นนั้ เอง หาใชก่ ฎหมายของรฐั บาลไม.่ ..”56 นอกจากนี้ หยุด ยังได้อธิบายเกี่ยวกับอานาจในการเกิดรัฐธรรมนูญไว้ในตารารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2500 วา่ “รัฐธรรมนูญ ย่อมเกิดได้ 2 ประการ คือ 1. เกดิ โดยการตัดสินใจฝา่ ยเดียวของผูท้ ม่ี อี านาจใหร้ ัฐธรรมนูญได้ 2. เกดิ โดยการตกลงระหวา่ งผทู้ ี่มอี านาจให้รัฐธรรมนูญ ในขอ้ 1 รัฐธรรมนญู ที่เกิดจากการตดั สินใจฝ่ายเดยี วของผู้มีอานาจใหร้ ัฐธรรมนูญ หมายความถึงในขณะที่รัฐธรรมนูญนั้นผู้ให้รัฐธรรมนูญเป็นผู้มีอานาจฝ่ายเดียวที่ จะให้รฐั ธรรมนญู ซึง่ อาจเปน็ โดย ... ข. ฝ่ายท่ีทาการปฏิวัติหรือรัฐประหาร กระทาการปฏิวัติ สาเร็จโดยเข้าครอง อานาจในรัฐ จึงได้ให้รฐั ธรรมนูญแก่ราษฎรการให้รัฐธรรมนญู โดยวิธีนเ้ี กิดจากการ ตดั สนิ ใจฝ่ายเดยี วของผูท้ ่ีมีอานาจใหร้ ัฐธรรมนูญ”57 56 หยุด แสงอุทัย, คาถาม-คาตอบ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย : พร้อมท้ังคาแปลเป็นภาษาอังกฤษธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจักร 2502, (กรุงเทพฯ : สันติสุข, 2502),หน้า 7-8. ทั้งนี้ หยุด ได้ชี้แจงความแตกต่างของคาว่า “ปฏิวัติ” และ “รัฐประหาร” ว่า “ผู้เขียนเห็นว่าควรจะถือว่า รฐั ประหาร เป็นการปฏิวัตปิ ระเภทหน่ึงซ่ึงผู้กระทาการรัฐประหารใช้เครื่องมือของรัฐ ที่มีอยู่แลว้ เช่น นายทัพนายกองใช้กองทหารเขา้ ยึดอานาจการปกครอง”, เรอ่ื งเดียวกัน,หนา้ 13-14. 57 หยุด แสงอุทัย, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐธรรมนูญทั่วไป, (พระนคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2500), หน้า 197 – 198. 78

วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปที ่ี 11 ฉบบั ที่ 2 และเมื่อพิจารณาถึงประเด็น “การชอบด้วยกฎหมายของรัฐธรรมนูญ” ที่แม้รัฐธรรมนูญ ฉบับนั้นเกิดขึ้นจากการประกาศใช้ของคณะรัฐประหารก็ตาม หยุด ได้อธิบายถึงประเด็นนี้ไว้ในตารา รฐั ธรรมนูญไว้อย่างนา่ สนใจว่า “... ได้กล่าวมาแล้วว่า การชอบด้วยกฎหมายของรัฐธรรมนูญไม่ได้หมายความว่า รัฐธรรมนูญนั้นจะต้องบัญญัติไว้โดยวิถีทางที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ โดยวิถีทาง รัฐธรรมนูญในกรณีที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือในกรณีให้ใหม่โดยผู้มีอานาจให้ รัฐธรรมนญู ฉบับนนั้ เพราะจะเปน็ สิ่งทีน่ ่าขันทจ่ี ะให้รฐั ธรรมนญู ฉบับหนึง่ ยงั คงอยู่ ใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่เลิกใช้แล้ว นอกจากน้ีรัฐธรรมนูญย่อมไม่ใช่ รัฐธรรมนูญที่ชอบด้วยกฎหมายโดยอาศัยเหตุท่ีรัฐธรรมนูญใหม่ได้ยกเลิก รัฐธรรมนูญเก่า เพราะถ้าเป็นดังน้ันในกรณีท่ีไม่มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญเดิม รัฐธรรมนูญก็จะยังคงใช้บังคับได้อยู่ต่อไปอีก จริงอยู่บางทีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บัญญัติข้ึนถูกต้องตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญฉบับเก่า แต่การบัญญัติขึ้นโดย วิถีทางท่ีถูกต้องนี้ไม่เก่ียวกับปัญหาท่ีว่ารัฐธรรมนูญน้ันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ย่อมอาศัยการมีอานาจอันแท้จริงของผู้ให้รัฐธรรมนูญและการยอมรับรอง อานาจน้ันโดยท่ัว ๆ ไป ไม่ว่าการยอมรับรองนั้นจะเป็นไปโดยสมัครใจหรือไม่ ฉะน้ันการท่ีจะมาพิจารณาในขณะน้ีว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ฉบับ 2490 และฉบับ 2492 เป็นรัฐธรรมนูญท่ีชอบด้วย กฎหมายหรือไม่จึงไม่มีความหมายเพราะได้มกี ารรับรองอานาจน้ีโดยท่ัว ๆ ไปอยู่ แลว้ ...การชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยนัน้ เกิดจากความคิด ท่ีว่ารัฐกค็ ือเอกฐานในทางการเมืองของราษฎร ฉะนั้นรัฐจะมีการปกครองระบอบ ใดจึงอยู่ที่เจตน์จานงของราษฎรท่ีอิสระความจริงเจตน์จานงของราษฎรในการที่ จะให้รัฐธรรมนูญน้ันย่อมไม่ผูกพันกันกับแบบพิธี และอาจแสดงออกโดยทางอ่ืน นอกจากการเลือกตง้ั สมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐธรรมนูญหรอื สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ ได้”58 58 เรื่องเดยี วกนั , หนา้ 204 – 206. 79

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 จะเห็นได้ว่า หยุด ได้สร้างคาอธิบายทางรัฐธรรมนูญ59 เกี่ยวกับการรัฐประหารเอาไว้อย่าง ชัดเจน ตั้งแต่การใช้อานาจปฏิวัติที่เป็นการบังคับใช้อานาจในทางที่ไม่ชอบโดยกฎหมาย ซึ่งหากการ ปฏิวัตินั้นสาเร็จลุล่วง คณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารก็มีอานาจที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม ต่อไป หรือล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดย รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะต้องผ่านการยอมรับและรับรองอานาจนั้นโดยท่ัวไป ซ่ึงวิธีการในการรบั รอง อานาจนั้นไม่จาเป็นต้องเกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจของประชาชน หรือการแสดงออกผ่านการ เลือกต้ัง หรือการแสดงประชามติ เพียงแต่คณะรัฐประหารสามารถสยบกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นดว้ ยลงได้ การ รฐั ประหารและการประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญท่ีมาจากรัฐประหารก็จะกลายเป็นกฎหมายทรี่ ับอานาจการ รัฐประหารไว้โดยชอบแลว้ ดังตวั อย่างที่ หยุด ได้อธบิ ายวา่ “รัฐธรรมนูญอาจเกิดขึ้น โดยฝ่ายที่ทาการปฏิวัติหรือรัฐประหารสาเร็จโดยเข้า ครองอานาจในรัฐ และมีอานาจในการให้รัฐธรรมนูญ ในกรณีน้ีรัฐธรรมนูญย่อม เกิดขึ้นจากการตดั สินใจฝ่ายเดียวของฝ่ายที่ทาการปฏิวัติหรือรัฐประหารนั้น เช่น คาสงั่ คณะปฏิวัติ ฉบบั ท่ี 3 ในเรอ่ื งนีเ้ ม่ือมีการปฏิวัติหรอื รัฐประหารเกดิ ข้ึนใหม่ ๆ ก็เป็นฐานะในทางข้อเท็จจริงไปก่อน ต่อเม่ือระยะเวลาผ่านไปเร็วบ้างช้าบ้าง อานาจของผู้ที่ทาการปฏิวัติ หรือผู้ทารัฐประหารก็เป็นอานาจอันแท้จริงและเป็น ที่รับรองกันท่ัวไปในรัฐและเม่ือนั้นก็ถือว่าการทาปฏิวัติและรัฐประหารสาเร็จ บริบรู ณ์ ผทู้ าการปฏิวตั ิหรอื รัฐประหารจงึ มีอานาจใหร้ ฐั ธรรมนูญ”60 การสร้างคาอธิบายที่ประนีประนอมต่อระบอบอานาจนิยมของหยุด อาจอนุมานได้ว่าเขา ได้รับอิทธิพลจากการที่ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศเยอรมันซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาของศตวรรษที่ 20 ซึ่ง การศึกษานิติศาสตร์ขณะนั้นตกอยู่ภายใต้กระแสความคิดแบบสานักกฎหมายบ้านเมือง (legal 59 หยุด แสงอุทยั ได้ให้คาอธิบายเกยี่ วกับการรับรองอานาจของคณะรัฐประหารปรากฏในตาราคาอธิบายรัฐธรรมนูญหลายเล่ม อาทิ หยุด แสงอุทัย, รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐธรรมนูญท่ัวไป, (พระนคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2500), หน้า 197 – 198, 204 - 206, หยุด แสงอุทัย, คาถาม-คาตอบ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย : พรอ้ มทั้งคาแปลเปน็ ภาษาองั กฤษธรรมนูญ การปกครองราชอาณาจักร 2502, (กรุงเทพฯ : สันติสุข, 2502),หน้า 7-8, 74, 77 – 79., หยุด แสงอุทัย, คาบรรยายกฎหมาย รฐั ธรรมนูญของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 11 – 12, 14. และ หยดุ แสงอุทัย, คาอธิบายธรรมนูญปกครองราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2515, (กรุงเทพฯ : นิตบิ รรณการ, 2515), หน้า 166 - 167. 60 หยดุ แสงอทุ ยั , คาอธิบายธรรมนูญปกครองราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2515, หนา้ 166 - 167. 80

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ปที ่ี 11 ฉบบั ท่ี 2 Positivism) ที่ก่อตัวขึ้นช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา61 เน้นการศึกษาเฉพาะหลักการทางกฎหมายที่มี ลักษณะเป็นนิติศาสตร์โดยแท้ ที่ไม่คานึงถึงประวัติศาสตร์ เน้นเฉพาะตาราและตัวบทซึ่งมีผลทาให้ นิติศาสตร์เป็นวิชาที่บริสุทธ์ิและเป็นอิสระจากทุกอย่าง ไม่ว่าจะประวัติศาสตร์ หรือศีลธรรม จึงทาให้ การอธิบายของหยุด มีลักษณะผ่อนปรนไปตามเนื้อหาและหลักการของกฎหมายที่อยู่ภายใต้ระบอบ การปกครองแบบรัฐประหาร นอกจากนี้ การสร้างคาอธิบายต่อธรรมนูญการปกครองของหยุด ได้เทียบเคียงคาอธิบาย รัฐธรรมนูญทั่วไปจากหนังสือคาสอนรัฐธรรมนูญของศาสตราจารย์ คาร์ล ชมิตต์ (Carl Schmitt)62 และหากพิจารณาถึง “ทฤษฎีรัฐธรรมนูญ” ของคาร์ล ชมิตต์ จะพบว่า รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจากการ ตัดสินใจทางการเมืองเพียงฝ่ายเดียวของผู้ทรงอานาจสถาปนาหรือผู้ที่สามารถยึดอานาจสูงสุดได้ใน ช่วงเวลานั้น จึงทาให้มีอานาจในการให้หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ โดยการตัดสินใจที่ปรากฏออกมาใน รูปแบบรัฐธรรมนูญย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตจานงของผู้ทรงอานาจสถาปนา และความสมบูรณ์ของ รัฐธรรมนูญนั้นย่อมจะไม่มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใดที่จะต้องมาอนุญาต หรือให้ความชอบธรรมอีก เพราะรัฐธรรมนูญที่เกิดจากผู้มีอ านาจสถาปนารัฐธรรมนูญย่อมสมบูรณ์โดยตัวเอง 63 จึงทาให้อิทธิพลของคาร์ล ชมิตต์ ปรากฏในคาอธิบายอธิบายทางรัฐธรรมนูญของหยุด ในช่วงที่มีการ ปกครองภายใต้คณะรัฐประหาร ฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อใดที่เกิดการรัฐประหาร เราจึงพบเห็น คาอธิบายในลักษณะดังกล่าวของหยุด ปรากฏขึ้น นอกจากนี้การสร้างคาอธิบายที่อยู่ภายใต้ฐาน ความคิดแบบคาร์ล ชมิตต์ ยังคงฝังรากลึกลงในการสร้างคาอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญซ่ึงปรากฏผ่าน คาอธิบายของนักกฎหมายส่วนใหญ่ของสังคม ที่มีลักษณะประนีประนอมและยอมรับต่อระบอบ อานาจนิยม และมีแนวโนม้ ว่ากระแสความคดิ เชน่ นยี้ ังคงอยูก่ บั สังคมไทยในเวลาน้ีเช่นกนั 5. บทสรุปและขอ้ เสนอแนะ บทความชิ้นนี้เลือกที่จะนาเสนอ หยุด แสงอุทัย ในด้านที่ต่างออกไปจากภาพลักษณ์ของ “อาจารย์กฎหมาย” ตามที่อยู่ในความเข้าใจของนักศึกษากฎหมาย และภาพลักษณ์ท่ีถูกสร้างขึ้นจาก ปญั ญาชนหัวก้าวหน้า เพ่ือแสดงให้เห็นบทบาท “มือกฎหมาย” ที่เป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาลซ่ึงมีหน้าที่ 61 ปรีดี เกษมทรพั ย,์ นติ ิปรัชญา, พมิ พ์ครงั้ ที่ 7 (กรงุ เทพฯ : คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หนา้ 254. 62 หยุด แสงอทุ ยั , คาอธบิ ายธรรมนญู การปกครองราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2515, (กรุงเทพฯ : นิติบรรณาการ, 2515), หนา้ ข. 63 ปิยบุตร แสงกนกกลุ , รฐั ธรรมนญู ประวตั ศิ าสตรข์ อ้ ความคิด อานาจสถาปนาและการเปลี่ยนผา่ น, (นนทบุรี : ฟ้าเดียวกนั , 2559), หนา้ 31-32. ทง้ั นสี้ งั เกตว่า การให้คาอธิบายของหยุด แสงอทุ ยั ที่มตี ่อ “การชอบด้วยกฎหมายของรฐั ธรรมนญู ” มีความคล้ายคลึง กับคาอธบิ ายของคารล์ ชมิตต์ อย่างมาก 81

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 ต้องปฏิบัติงานตามแนวทางนโยบายของผู้นาประเทศในแต่ละช่วงเวลานั้น ทั้งยังได้ทาการศึกษา คาอธิบายทางรัฐธรรมนูญในด้านที่ประนีประนอมต่อระบอบอานาจนิยม ด้วยวิธีการศึกษาแบบ “กฎหมายคือการเมอื ง” ท่ีสะท้อนใหเ้ ห็นอุดมการณ์หรอื อิทธิพลบางอย่างที่ถกู แฝงไวใ้ นบทเรียน ตารา ทางกฎหมาย หรือการแสดงความเห็นทางกฎหมายของอาจารย์กฎหมายเอง การศึกษานี้ทาให้เห็นว่า หยุด แสงอุทัย ต่างก็เป็นนักกฎหมายท่ีแม้จะมีการถูกสร้างภาพลักษณ์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาให้เป็น ผู้ที่ศรัทธาและยึดมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยเพียงด้านเดียว แต่ยังมีอีกด้านหนึ่งของความคิดที่ต้อง โอนอ่อนตามกฎหมายของคณะรัฐประหาร แม้ หยดุ จะใหเ้ หตุผลวา่ การอธิบายในลักษณะดังกล่าวเป็น การอธิบายอย่างเป็นกลางและเป็นไปตามหลักวิชาก็ตามซึ่งก็ได้สะท้อนถึงอิทธิพลที่ได้รับมาจาก แนวคดิ แบบ “ปฏิฐานนยิ ม” ท่ีเมื่อผู้ใดขึน้ เป็นรฐั าธปิ ัตย์กย็ ่อมมีอานาจในการจะออกกฎหมายนั้น และ ส่งผลให้ข้าราชการอันเป็นกลไกการทางานของรัฐจะต้องปฏิบัติหน้าที่และเชื่อฟังต่อคาสั่งนั้น ๆ การศึกษาถึงบุคคลผู้มีอิทธิพลในกฎหมายไทยนี้ อาจสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของนักกฎหมาย ส่วนมากในประเทศไทย ที่ยึดมั่นและสร้างอธิบายตามตัวบทกฎหมาย โดยเชื่อว่าเป็นการกระทาที่ถูก หลกั วิชา มีความบริสุทธิ์ และเป็นกลาง ซ่ึงกระแสแนวคิดน้ียงั คงปรากฏอยู่ในความคดิ ของนกั กฎหมาย กระแสหลักในปัจจุบนั เช่นกนั อย่างไรก็ตาม มุมมองที่มีต่อ หยุด แสงอุทัย ที่ผู้เขียนเลือกนาเสนอขึ้นมานี้เป็นเพียงการ แสดงให้เห็นถึงด้านที่ต่างไป และอาจมีอีกหลายมุมมองที่ยังไม่ได้มีการศึกษา การศึกษาอุดมการณ์ ความคิดของอาจารย์กฎหมายที่มีอิทธิพลต่อกฎหมายไทย ยังคงเป็นอีกช่องว่างหนึ่งที่ไม่ได้ถูกศึกษา มากนัก แต่กลับเป็นช่องว่างที่มีอิทธิพลและส่งผลต่อความคิดของนักศึกษากฎหมายอย่างมาก การ หวนกลับมาศึกษาความคิดของผู้เป็นอาจารย์จึงอาจเป็นแนวทางหนึ่งที่อาจช่วยทาให้เกิดความเข้าใจ ตอ่ ระบบความคิดของนักกฎหมายไทยได้เช่นกัน 82

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบับท่ี 2 References อนสุ รณ์งานพระราชทานเพลงิ ศาสตราจารย์ หยุด แสงอุทยั ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหนา้ พลับพลาอิศริยา ภรณ์ วัดเทพศิรนิ ทราวาส [Memorial book for funeral of Professor Yoot Saeng-Uthai”, on 19 April 1980 at Mennah PubplaIssariyaporn Tepsirintaravas temple]. (in Thai) “คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 45/2496” [The Supreme Court decision No. 45/1953]. Deka. Accessed February 12, 2018. https://deka.in.th/view-51212.html. (in Thai) “ถนอม กิตติขจร (จอมพล)” [Thanom Kittikachorn (Marshal)]. King Prajadhhipok’s Institute. Accessed October 29, 2018. http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ถนอมกิตติขจร_(จอมพล). (in Thai) Charnvit Kasetsiri. ประวตั ิการเมืองไทยสยาม พ.ศ. 2475 – 2500 [A Political History of Thailand Siam 1932 – 1952]. Bangkok: the Foundation for the Promotion of Social Sciences and Humanities Textbooks Project, 2008. (in Thai) Gen. Por Piboonsongkharm. “คาขวญั ของท่านนายกรัฐมนตรี” [Motto of the Prime Minister]. Parliament Journal, Year 1 No. 1 December 1952. Pranakorn : Karn rod fire Pubish. (1952). (in Thai) Nattapoll Chaiching, “ความชอบด้วยระบอบ”: ววิ าทะว่าด้วยอานาจของ “รฏั ฐาธิปัตย์” นาคาอธิบาย กฎหมายรัฐธรรมนูญ (2475-2500) [the Legitimacy of the System”: the Controversial ideas on Sovereignty and the Constitutional Explanation (1932 – 1957)]. Art and Culture Magazine 28, No. 03 (2007). (in Thai) Nattapoll Chaiching. “ประวัติศาสตร์การเมืองวา่ ด้วยหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ : การต่อสู้ ระหว่างนักกฎหมายไทย 2 สานกั ” [The Political History on the article of the King in the Constitution: the confrontation between the two groups of Thai legal intellectuals]. Same Sky 6, No. 3 (2008). (in Thai) Nattapoll Chaiching. การเมืองไทยสมยั รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ูลสงครามภายใต้ระเบยี บโลกของสหรัฐอเมรกิ า (พ.ศ. 2491 – 2500) [Thai Politics in Phibun’s Government under the U.S. World Order (1948 – 1957)]. The Degree of Doctor of Philosophy Program in Political Science, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University. 2009. (in Thai) 83

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 Nattapoll Chaiching. ขอฝนั ใฝ่ในฝันอันเหลือเช่ือ ความเคลอ่ื นไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวตั ิสยาม (พ.ศ. 2475 – 2500) [“To Dream the Impossible Dream”: the movement of anti-Siam revolution (1932-1957)]. Nontraburi: Same Sky Book, 2013. (in Thai) Nithinee Thongtae. “สถาบันพระมหากษัตรยิ ก์ บั กระบวนการสร้างรัฐธรรมนูญจารีตประเพณวี ่าด้วยการ รฐั ประหาร” [Thai monarch and the process of creating customary constitution on coup d’etat]. CMU Journal of law and Social Sciences 5, No. 2 (2012). (in Thai) Pridee Kasemshep. นติ ปิ รัชญา [Philosophy of Law]. Bangkok: Faculty of Law, Thammasart University, 2005. (in Thai) Priyabutr Saengkanokkul. ในพระปรมาภไิ ธย ประชาธิปไตยและตุลาการ [In the name of His Majesty the King Rama IX” and Judiciary]. Bangkok: Openbooks, 2009. (in Thai) Priyabutr Saengkanokkul. รัฐธรรมนญู : ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อานาจสถาปนา และการเปลย่ี นผ่าน [Constitution: Intellectual History, Power of Establishment and Transition]. Nontraburi: Same Sky, 2016. (in Thai) Saichon Satayanuruk. 10 ปญั ญาชนสยาม เล่ม 2 ปัญญาชนหลงั การปฏวิ ัติ 2475 [10 Siamese Intellectuals vol. 2: The Post-1932 Revolution Intellectuals].Bangkok: Open Society, 2014. (in Thai) Somchai Preechasinlapakun. “การปรองดองกับอานาจนิยมของนกั นิติศาสตร์ไทยกระแสหลัก” [The Harmony with the power of the mainstream Thai Lawyer]. Same Sky 9, No.1 (2001). (in Thai) Suthachai Yimprasert. ‘แผนชงิ ชาติไทย’ ว่าด้วยรัฐ และการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม [Collusion Plan, State, and Insurgency in Thailand under the era of Por Phibunsongkhram]. Bangkok : P-press, 2010. (in Thai) Thak Chaloemtiarana. การเมอื งระบบพ่อขุนอุปถมั ภแ์ บบเผดจ็ การ [Thailand: The Politics of Despotic Paternalism]. Bangkok: Thammasart Publish, 2005. (in Thai) Thongchai Winichakul. ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยเู่ หนือการเมือง [Monarchical Democracy]. Nontraburi: Same Sky, 2013. (in Thai) 84

วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปที ี่ 11 ฉบบั ที่ 2 Worajet Pakeerat. “เสวนา เรื่อง สถาบันพระมหากษัติย์กบั รัฐธรรมนูญ” [Conference on the Monarchical Institution and Constitutions]. Prachatai. Accessed January 30, 2018. https://prachatai.com/journal/2008/07/17284. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “การร่างกฎหมาย” [To Draft the Laws]. Thammasat Law Journal 1, No. 2, December (1972). (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “ความรู้เกย่ี วกับเทศบาลสาหรับประชาชน” [The Introduction to Municipalities for Citizens]. Parliament Journal 4, No. 9, February 1956. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “ความรเู้ บ้ืองต้นเกีย่ วกบั ประชาธปิ ไตย (ตอนที่ 10)” [Introduction to Democracy (Part 10)]. Parliament Journal 4 No. 29, July 1956. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “ความรูเ้ บื้องต้นเกยี่ วกับประชาธปิ ไตย (ตอนท่ี 34)” [Introduction to Democracy (Part 34)]. Parliament Journal 5, No. 36, August 1957. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “ความรู้เบื้องต้นเก่ยี วกบั ประชาธิปไตย” [Introduction to Democracy”. Parliament Journal 4, No. 3, December 1955. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “พรรคการเมือง” [The Political Party], Parliament Journal 1, No. 1, December 1952. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. “วัฒนธรรมทางเนติธรรมกับรัฐสภา” [The Culture of the Rule of law and the Parliament]. Parliament Journal 1, No.4, March 1953. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. คาถาม-คาตอบ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย : พรอ้ มท้ังคาแปลเป็นภาษาองั กฤษ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร 2502 [Questions and Answers on Thai Constitutions (with English translation version of the 1956 Constitution)]. Bangkok: Santhisuk, 1956. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. คาบรรยายกฎหมายรัฐธรรมนูญของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [The Introduction to Constitutional Law by Faculty of Political Science, Thammasat University]. Bangkok: Thammasat University, 1972. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. คาบรรยายกฎหมายอาญาสาหรับประชาชน (ทางวิทยุกระจายเสยี ง) [Criminal Law for Citizens (via radio broadcasting)]. Pranakorn: Ruamsarn Pubish, 1953. (in Thai) 85

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 Yoot Saeng-Uthai. คาอธิบายธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2515 [The Introduction to the Constitution of Thailand B.E. 1972]. Bangkok: Nitibannakarn, 1972. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai. รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย และรัฐธรรมนญู ทั่วไป [Thai Constitutions and the General Constitutions]. Pranakorn: Thammasart University, 1957. (in Thai) Yoot Saeng-Uthai.คาอธิบายรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และธรรมนญู การ ปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ว่าดว้ ยพระมหากษัตรยิ ์ [The Introduction to the 1968 Constitution and the 1972 Charter for Governance]. Bangkok: Winyuchon, 2008. (in Thai) 86

วารสารนิตสิ ังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปีท่ี 11 ฉบบั ท่ี 2 รัฐธรรมนูญไทยกับความหลากหลายทางเพศ Thai Constitution and Sexual Diversity อารยา สุขสม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา 160 หมู่ 4 ถนนกาญจนวนิช ตาบลเขารูปช้าง อาเภอเมอื ง จังหวดั สงขลา 90000 Araya Sooksom Faculty of Humanities and Social Sciences, Songkhla Rajabhat University, 160, Moo 4, Tambon Khoa-Roob-Chang, Muang District, Songkhla 90000 e-mail : [email protected] Received 10 July 2018, Revised 5 December 2018, Accepted 10 December 2018 บทคัดย่อ บทความนี้มุ่งศึกษา 1) เหตุผลและความจาเป็นของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม บุคคลท่ีมีความหลากหลายทางเพศ และ 2) การปรับใช้หลักการห้ามเลือกปฏิบัติเพื่อคุ้มครองกลุ่ม บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในองค์การสหประชาชาติ รวมถึงแนวทางปฏิบัติของต่างประเทศ และประเทศไทย โดยเป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะการทบทวนวรรณกรรมและการ วิเคราะห์เอกสาร ท้ังนี้เพ่ือแสวงหาแนวทางการตีความรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองกลุ่มบุคคลท่ีมีความ หลากหลายทางเพศในประเทศไทยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผลจากการศึกษาพบว่า แนวคิดเรื่อง ความหลากหลายทางเพศเกิดจากการยอมรับว่าเพศของมนุษย์มิได้ยึดโยงกับเพศสรีระอีกต่อไป หากแต่มีความเชื่อมโยงกับวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศซ่ึงมีความหลากหลายแตกต่างกัน ต่อมา องค์การสหประชาชาติได้นาเรื่องวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศมาใช้เป็นศูนย์กลางในการให้ความ คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศภายใต้หลักการห้ามเลือกปฏิบัติ ดว้ ยเหตุนีร้ ัฐสมาชิกจึงมีหนา้ ที่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณดี ังกล่าว ในบางประเทศจึงได้กาหนดใหว้ ถิ ีทาง เพศและอัตลักษณ์ทางเพศเป็นส่วนหนึ่งในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศไทยอาศัยการตีความหลักการห้ามเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งเพศให้ครอบคลุมถึง 87

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 วิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ซ่ึงการคุ้มครองจะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นอยู่กับความรู้ความ เขา้ ใจเก่ยี วกบั เรื่องความหลากหลายทางเพศของผ้บู งั คบั ใช้กฎหมายเป็นสาคญั คาสาคญั : ความหลากหลายทางเพศ วถิ ีทางเพศ อตั ลักษณ์ทางเพศ รัฐธรรมนูญ Abstract This article aimed to study 1) the reason and need to protect the human rights of LGBTI and 2) the implementation of non-discrimination principle to protect the human rights of LGBTI in international law, including foreign and Thai law. This article applies the qualitative research method by reviewing literatures and analyzing relating materials. This is to enhance efficiency in the interpretation of constitution for protect the human rights of LGBTI. The study revealed that sexual diversity is not linked to the sex of human, but linked to the sexual orientation and gender identity, which based on the diversity. It has become the center of protection to human rights of LGBTI in United Nations under the principle of non-discrimination based on sexual orientation and gender identity. They also require the member states to compliance to legal obligations according to the international human rights principles. In some member states, the sexual orientation and gender identity were determined as a part of the provision in the constitution. Meanwhile, mostly member states including Thailand implement the provision in the constitution, the non-discrimination principle based on sex, to protect the human rights of LGBTI. Therefore, the efficiency in the interpretation of constitution for protect the human rights of LGBTI depends on the knowledge about sexual diversity of the law enforcement officer Key words: Sexual diversity, Sexual orientation, Gender identity, Constitution 88

วารสารนิตสิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปที ี่ 11 ฉบับที่ 2 1. บทนา ปัจจุบันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ1 เป็นปัญหา สาคัญท่ีเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและแพร่หลายไปทั่วโลก สาเหตุสาคัญของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนหน่ึงเป็นผลมาจากการตีตราสถานะทางสุขภาพของบุคคลเหล่านี้2 ทาให้กลุ่มบุคคลที่มีความ หลากหลายทางเพศต้องประสบปัญหาการใช้ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติจากสังคมอย่าง กว้างขวาง กล่าวคือ ในแง่ของการใช้ความรุนแรงซ่ึงนามาสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น โดยทั่วไป มักเป็นการใช้ความรุนแรงเพราะเหตุแห่งความเกลียดชังต่อกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกลียดชังต่อบุคคลรักเพศเดียวกันและบุคคลข้ามเพศ (Homophobic and transphobic violence) และเป็นเหตุสาคัญที่นาไปสู่ “การก่ออาชญากรรมเพราะเหตุแห่งความ 1 กลุ่มบุคคลท่ีมีความหลากหลายทางเพศ หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายในวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ อนั ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันหรือมีอัตลักษณ์หรือความสัมพันธ์แบบบุคคลรักเพศเดียวกัน (Same-sex behaviour, Identities or Relations) ได้แก่ หญิงรักหญิง (Lesbian) ชายรักชาย (Gay) และบุคคลรักสองเพศ Bisexual) กลุ่มบุคคลท่ีมีอัต ลักษณ์ทางเพศที่ไม่สอดคล้องกับเพศสภาพตามกาเนิด (Non-binary gender identities) ได้แก่ บุคคลข้ามเพศ (Transgender) และบางครง้ั ยงั รวมถึงกลุ่มบุคคลท่มี คี วามซับซ้อนในวิถที างเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ได้แก่ บุคคลอินเตอร์เซก็ (Intersex person) ในทางระหว่างประเทศจงึ รู้จกั กลุ่มบคุ คลทม่ี คี วามหลากหลายทางเพศในอีกชือ่ หนึง่ วา่ “กลุ่ม LGBTI” รายละเอียดเพม่ิ เติมโปรดดูใน Human Rights Council, Report of the Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights, Discriminatory laws and practices and acts of violence against individuals based on their sexual orientation and gender identity, A/HRC/19/41, 17 November 2011, para.5. 2 การกาหนดสถานะทางสุขภาพของกลุ่มบุคคลท่ีมีความหลากหลายทางเพศ เป็นไปตามบัญชีจาแนกทางสถิติระหวา่ งประเทศของ โรคและปัญหาสุขภาพท่ีเก่ียวข้องขององค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 10 (International Statistical Classification of Diseases and Related Health Problems, Tenth Revision : ICD-10) โดยในปีค.ศ. 1990 องค์การอนามัยโลกได้ถอดการเป็นบุคคลรักเพศ เดียวกันและบคุ คลรกั สองเพศออกจากการเป็นผู้มคี วามผิดปกติทางจติ และพฤติกรรมแล้วโดยเหน็ วา่ เป็นแต่เพียงความแตกต่างของ วถิ ที างเพศเท่าน้ัน ในขณะท่ีการเป็นบุคคลข้ามเพศและการเปน็ บคุ คลอินเตอรเ์ ซก็ ยังถือว่าเป็นความผิดปกติดา้ นอัตลักษณท์ างเพศ ซงึ่ จัดอย่ใู นกลุ่มของความผิดปกติทางจิตและพฤตกิ รรม อย่างไรก็ตาม การบัญชีจาแนกทางสถิติระหวา่ งประเทศของโรคและปญั หา สขุ ภาพท่ีเกี่ยวข้องครง้ั ท่ี 11 (ICD-11) ซ่ึงกาลังจะเกิดข้ึนในปีค.ศ. 2017-2018 มีแนวโน้มว่าองค์การอนามัยโลกจะดาเนินการถอด เรื่องความผิดปกติด้านอัตลักษณ์ทางเพศออกจากการเป็นโรคหรือความเจ็บปว่ ยทางจิตโดยการใช้คาว่า “ภาวะของการมีเพศสภาพ ไม่สอดคล้องกับเพศตามกาเนิดในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธ์ุ (Gender Incongruence of Adolescence and Adulthood (GIAA))” ภายใต้หมวดใหม่ท่ีชื่อว่า “เงื่อนไขที่เก่ยี วข้องกบั สุขภาพทางเพศ (Conditions Related to Sexual Health)” ใน ICD-11 แทนการ ใช้คาว่าความผิดปกติด้านอัตลักษณ์ทางเพศ (GID) ซ่ึงการระบุเช่นนี้จะทาให้บุคคลข้ามเพศและบุคคลอินเตอร์เซ็กสามารถเข้าถึง สิทธิด้านสุขภาพได้โดยไม่ต้องถูกตีตราว่าเป็นผู้มีความผิดปกติด้านอัตลักษณ์ทางเพศอีกต่อไป รายละเอียดเพ่ิมเติมโปรดดูได้ใน Health Policy Project, Asia Pacific Transgender Network, United Nations Development Programme. Blueprint for the Provision of Comprehensive Care for Trans People and Trans Communities, (Washingtion, DC: Future Group, 2015), 33. 89

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.11 No. 2 เกลียดชัง (Hate crime)” เช่น การฆาตกรรม การลักพาตัว การข่มขืน การล่วงเกินทางเพศ การ ลิดรอนเสรีภาพของบุคคลโดยอาเภอใจ ฯลฯ รวมถึง “การใช้คาพูดเพื่อสร้างความเกลียดชัง (Hate speech)” ต่อกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยการใช้ความรุนแรงดังกล่าวอาจเกิดขึ้น ภายในครอบครัวหรือจากสังคมของบุคคลเหล่านั้น3 ในแง่ของการใช้ความรุนแรงเฉพาะตัวบุคคลจะ พบว่าในกรณีหญิงรักหญิงหรือหญิงรักสองเพศ มักเกิดขึ้นในรูปแบบของการข่มขืนเพ่ือแก้ไขให้บุคคล เหลา่ น้ีกลบั มามีวิถีทางเพศที่ถูกตอ้ ง (Corrective rape of lesbians) กรณีชายรักชายหรือชายรักสอง เพศมักถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ทางทวาร (Non-consensual anal examinations) เพ่ือพิสูจน์ถึง การเป็นบุคคลรักเพศเดียวกัน ส่วนการใช้ความรุนแรงกรณีบุคคลข้ามเพศมักถูกบังคับให้เข้าสู่ กระบวนการรักษาทางการแพทย์โดยการผ่าตัดแปลงเพศ (Gender reassignment surgery) หรือทา หมัน (Sterilization) โดยไม่สมัครใจ ท้ังนี้เพื่อให้มีสิทธิได้รับการรับรองทางกฎหมาย สาหรับกรณี บุคคลอินเตอร์เซ็ก ต้องถูกบังคับให้ต้องทาการผ่าตัดเพ่ือเลือกเพศโดยท่ีไม่มีค วามจาเป็น (Unnecessary medical or surgical treatment) โดยส่วนใหญ่มักเกิดข้ึนกับเด็กท่ีเป็นอินเตอร์เซ็ก ซง่ึ ไม่อาจใหค้ วามยินยอมแก่การกระทาดังกล่าวได้4 นอกจากนั้น การละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มบุคคลท่ีมีความหลากหลายทางเพศยังเกิด จากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมจากสังคมและระบบกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากการตีตราว่ากลุ่ม บุคคลท่ีมีความหลากหลายทางเพศเป็นผู้มีความผิดปกติ ทาให้บุคคลกลุ่มน้ีต้องถูกเลือกปฏิบัติอย่าง กว้างขวางจากสังคมอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเกิดข้ึนจากการอธิบายถึงสถานะทางสุขภาพของกลุ่ม บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในตาราเรียนหรือหลักสูตรการศึกษาว่าเป็นผู้ที่มีความเบี่ยงเบน หรือมีความผิดปกตทิ างจิต ส่งผลทาให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดและมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อกลุ่ม บุคคลท่ีมีความหลากหลายทางเพศซ่ึงเกิดขึ้นทั้งในสถาบันการศึกษาและสถานท่ีทางาน รวมถึง สถานพยาบาลท่ใี ห้บรกิ ารด้านการแพทย์ซงึ่ บ่อยคร้ังพบว่าบคุ คลกลุ่มนี้ไดร้ ับการปฏิบัติตลอดจนไดร้ ับ บริการทางการแพทย์ที่ไม่เป็นมิตรและไม่สอดคล้องกับตามความต้องการอันมีลักษณะเฉพาะของ บุคคลเหล่าน้ัน นอกจากนั้นยังมีการนากฎหมายบางเร่ืองมาใช้บังคับเพื่อจับกุมหรือควบคุมตัวกลุ่ม บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ท้ังน้ีกลุ่มบุคคลท่ีได้ผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติจากสังคม มากที่สุดน่ันก็คือบุคคลข้ามเพศเน่ืองจากเป็นบุคคลที่มีการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศชัดเจนมาก 3 Office of the High Commissioner for Human Rights, Born Free and Equal: Sexual Orientation, Gender Identity and International Human Rights Law, (New York and Geneva: United Nation, 2012), 14-15. 4 Human Rights Council, Report of the Independent Expert on protection against violence and discrimination based on sexual orientation and gender identity, Vitit Muntarbhorn, A/HRC/35/36, 19 April 2017, para.14. 90

วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปีท่ี 11 ฉบับท่ี 2 ท่ีสุด ในขณะท่ีบุคคลกลุ่มอ่ืนๆ ได้จะรับผลกระทบก็ต่อเมื่อตนเองเปิดเผยวิถีทางเพศหรืออัตลักษณ์ ทางเพศของตนออกมาให้สังคมได้รบั รเู้ สียก่อน หากพจิ ารณาปญั หาการเลอื กปฏิบัตติ ามลักษณะเฉพาะของบุคคล จะพบวา่ การเลือกปฏิบตั ิ ต่อกลุ่มบุคคลรักเพศเดียวกันและรักสองเพศมักเป็นการเลือกปฏิบัติจากกฎหมาย โดยปัจจุบันมี ประเทศต่างๆ อย่างน้อย 76 ประเทศกาหนดให้ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างบุคคลที่มีเพศเดียวกัน เป็นความผดิ ทางอาญาซ่ึงการกาหนดความผิดดังกล่าวได้นาไปสู่การจับกมุ บุคคลทีม่ ีพฤติกรรมรักเพศ เดียวกันเพ่ือดาเนินคดีและลงโทษตามกฎหมาย และมีประเทศอย่างน้อย 7 ประเทศที่กาหนดโทษ ประหารชีวิตสาหรับความผิดดังกล่าวได้แก่ อิหร่าน (Iran) มอริเตเนีย (Mauritania) ซูดาน (Sudan) ซาอุดิอาระเบีย (Saudi Arabia) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) เยเมน (Yemen) และไนจีเรีย (Nigeria)5 นอกจากนั้น กลุ่มบุคคลรักเพศเดียวกันยังถูกการกีดกันหรือปฏิเสธในการ รับรองความสัมพันธ์ทางกฎหมายส่งผลทาให้คู่รักท่ีมีเพศเดียวกันไม่อาจใช้สิทธิในการสมรสและการ กอ่ ตั้งครอบครัว และนาไปสกู่ ารกีดกันหรือไม่ได้รบั สิทธิอ่ืนๆ ตามมา เช่น สิทธิในการรับผลประโยชน์ จากเงนิ บานาญหรือเงินชดเชยจากกองทุนประกันสังคมของค่รู ักท่ีมีเพศเดยี วกนั ในกรณที ี่คูร่ ักฝา่ ยหน่ึง เสียชีวิต เป็นต้น ส่วนการเลือกปฏิบัติกลุ่มบุคคลข้ามเพศ พบว่าในบางประเทศกาหนดให้การแต่งกาย ข้ามเพศเป็นความผิดทางอาญา บ่อยคร้ังท่ีบุคคลเหล่านี้ต้องถูกบังคับให้ทาการรักษาทางการแพทย์ ก่อนการได้รับรองสถานภาพทางกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจอย่างยิ่ง นอกจากน้ันการกีดกันหรือปฏิเสธการรับรองสถานภาพทางกฎหมายยังส่งผลทาให้บุคคลเหล่านี้ต้อง เผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจาวัน รวมถึงการสมัครงาน ท่ีอยู่อาศัย การขอเครดิต กับธนาคารหรือการได้รับผลประโยชน์จากรัฐ หรือเม่ือต้องเดินทางเพ่ือการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ส่วนการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลอินเตอร์เซ็กพบว่าในหลายประเทศมีการบังคับให้บุคคลเหล่านี้ต้องถูก บังคับให้ทาการรักษาทางการแพทย์ โดย “การเลือกเพศ” ตั้งแต่แรกเกิดก่อน ท้ังนี้เพ่ือให้ได้การ รับรองสถานภาพทางกฎหมาย ซ่ึงอาจนาไปสู่การทาหมันรวมถึงการผ่าตัดอวัยวะเพศเพื่อให้มีเพศ ตามปกติเหมือนคนท่ัวไป จะเห็นได้ว่าการกระทาเหล่าน้ีทาให้บุคคลอินเตอร์เซ็กไม่สามารถมีบุตรได้ และสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพทางจิตอยา่ งรา้ ยแรง ลักษณะของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศดังที่ได้ กล่าวมานี้ ล้วนเป็นผลมาจากทัศนคติและความเข้าใจท่ีไม่ถูกต้องของบุคคลภายนอกท่ีมีต่อกลุ่มบคุ คล 5 Michael O’Flaherty and John Fisher, “Sexual Orientation, Gender Identity and International Human Rights Law: Contextualising the Yogyakarta Principles,” Human Rights Law Review 8, no.2 (2008): 210, 208. 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook