Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-บริบทในทางสิทธิมนุษยชนของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ - อ.ปีดิเทพ

รายงานวิจัย-บริบทในทางสิทธิมนุษยชนของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ - อ.ปีดิเทพ

Published by E-books, 2021-03-02 06:50:35

Description: รายงานวิจัย-บริบทในทางสิทธิมนุษยชนของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ-ปีดิเทพ

Search

Read the Text Version

รายงานฉบับสมบูรณ์ เร่อื ง บริบทในทางสทิ ธิมนุษยชนของการโอนยา้ ยนักกฬี าฟตุ บอลอาชีพ: การศกึ ษากฎหมายสหภาพยุโรป โดย ปีดเิ ทพ อยยู่ ืนยง ทินกฤต นตุ วงษ์ เสนอต่อ ศูนยย์ โุ รปศึกษาแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย

ก สารบัญ หน้า บทท่ี 1 บทนำ 1 1.1 ท่มี าและความสาคัญของปญั หา 1 1.2 วตั ถปุ ระสงคแ์ ละขอบเขตของโครงการวิจัย 5 1.3 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 5 1.4 ระเบียบวิธีวิจัยและแผนการดาเนินการ 5 บทที่ 2 แนวความคิดพนื้ ฐานวา่ ดว้ ยการโอนยา้ ยนักกีฬาฟุตบอลอาชพี ข้ามสโมสร 7 2.1 ระบบ Retain and Transfer System 9 2.2 Europeanization of the Football Transfer 17 2.3 ระบบ Transfer System ในปจั จุบัน 23 บทท่ี 3 การโอนยา้ ยนักกฬี าฟตุ บอลอาชพี ภายใตน้ โยบายและกฎหมายสหภาพยโุ รป 35 3.1 พฒั นาการของกฎหมายสหภาพยโุ รปเกี่ยวกบั กีฬาและการกีฬา 37 3.2 สนธิสญั ญา Treaty on the Functioning of the European Union 2007 38 3.3 เอกสาร White Paper on Sport 2007 42 3.4 เอกสาร Communication on Sports 2011 46 3.5 เอกสาร Council Resolution on an EU Work Plan for Sport 2017- 48 2020 3.6 อภิปรายนโยบายและกฎหมายสหภาพยโุ รปเก่ียวกับการโอนย้ายนกั กีฬา 49 ฟตุ บอลอาชพี ในบรบิ ทสิทธิมนษุ ยชน บทท่ี 4 วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายสทิ ธิมนุษยชนสหภาพยโุ รปเก่ียวกับการโอนยา้ ย 53 นักกฬี าฟุตบอลอาชีพ 4.1 ประเดน็ EU Free Movement และ Fair Competition 54 4.2 ประเด็นสิทธเิ ด็กและการค้ามนุษย์กบั การโอนยา้ ยนักเตะเยาวชน 62 บทที่ 5 บทสรปุ 73 บรรณานกุ รม 77



1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ท่ีมาและความสำคัญของปัญหา การแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Professional Football) ได้เข้ามามีบทบาทสาคัญในการสร้าง ความบันเทิงหรือเพลิดเพลินให้แก่ผู้ติดตามชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลและสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ให้กับภาคอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคยุโรป (European Football Industries) เช่น สหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และราชอาณาจักรสเปน ผ่านการพัฒนาระบบ (Systems) สาหรับกากับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพให้มีความเป็นบริสุทธิ์ยุติธรรม (Fair Play) และ ควบคุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้กฎเกณฑ์การแข่งขันที่มี มาตรฐานอย่างเดียวกัน (Standards) ทั้งในการแข่งขันระดับประเทศและภูมิภาคยุโรป นอกจากนี้ ยังมีความพยายามพัฒนาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพใน ประเทศภูมิภาคยุโรปให้มีความเป็นอาชีพ (Professionalism) มากขึ้น นั้นหมายความว่าองค์กรกากับ กีฬาฟุตบอล (Football Governing Bodies หรือองค์กร FGBs) ได้แก่ องค์กรกากับการแข่งขันกีฬา ฟุตบอลในระดับต่างๆและควบคุมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่ตนเองเป็นผู้จัดกิจกรรมการแข่งขัน ภายใต้ การกาหนดหลักเกณฑ์กติกาเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในระดับนั้นๆ เช่น สมาคมกีฬาฟุตบอลระดับชาติและบริษัทเอกชนผู้จัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล พึงต้องร่วมกันพัฒนา กฎเกณฑ์ กติกาและข้อบังคับร่วมกันเพื่อให้ผู้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Professional Football Participants) เช่น เจ้าของสโมสรกีฬาฟุตบอล ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตบอล กรรมการผู้ตัดสินกีฬาฟุตบอล นักกีฬาฟุตบอลและผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ต่างต้องเคารพกฎเกณฑ์ กติกาและข้อบังคับร่วมกัน อันนาไปสู่การสร้างเกมการแข่งขันที่มีความเป็นบริสุทธิ์ยุติธรรม โดย ปราศจากการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดข้ึนอันเน่ืองมาจากการ แข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ เช่น ระบบการลงทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Player Registration System) ทาให้สาธารณชนได้ทราบว่านักกีฬาฟุตบอลสังกัดสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพสโมสรใด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างทั้งความบันเทิง ให้กับผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล (เช่น ผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่ติดตามชมการแข่งขันจากการ ถ่ายทอดสด) ในขณะเดียวกันกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปก็ถูกภาคอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอล (เช่น สโมสรกีฬาฟุตบอลและบริษัทเอกชนผู้จัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล) ใช้เป็นช่องทางแสวงหากาไรและ

2 ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก็ย่อมเป็นปัจจัยที่ทาให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปต่างหันมาหา แสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ รวมไปถึงสร้างปรากฏการณ์ทางธุรกิจในหลากลักษณะที่ทาให้เกิดความ เข้มข้นของการแข่งขันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลมากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้องค์กรกากับกีฬา ฟุตบอลหรือองค์กร FGBs ทั้งในระดับชาติและภูมิภาคยุโรป ต่างพยายามอาศัยกลยุทธ์ทางธุรกิจและ กลไกตลาดเพื่อจูงใจให้ผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลหันมาติดตามรับชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพใน ลีก (Leagues) หรือระบบการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่องค์กร FGBs เข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะท่ีเป็นผู้จัดการ แข่งขัน เช่น พรีเมียร์ลีก (Premier League) ท่ีจัดข้ึนโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (Football Association หรือ FA) และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) ที่จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอลยุโรป (Union of European Football Associations หรือ UEFA) เป็นต้น นอกจากนี้ สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Professional Football Club) ที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน กีฬาฟุตบอลอาชีพในลีกภูมิภาคยุโรปเป็นจานวนมากต่างก็พยายามตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ กีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กล่าวคือสภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน (Competitive Environment) ที่สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปต่างพยายามสร้างสโมสรของ ตนให้มีศักยภาพพอที่จะทาการแข่งขันในลีกระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับภูมิภาคยุโรปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ในทานองเดียวกันสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปต่างก็พยายามดิ้นรนให้รักษา ผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลหน้าเก่าและเพิ่มจานวนผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลหน้าใหม่ ให้ยังคงหรือ หันมาติดตามสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพของตน รวมไปถึงพยายามแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจด้วยการ สร้างกาไรจากการขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพของตน อนึ่ง สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอาจได้รับชัยชนะจากการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในลีกภูมิภาคยุโรป ก็ ต้องมีนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Professional Football Players) ที่มีศักยภาพและมีประสิทธิภาพเป็นผู้ลง ทาการแข่งขันในนัดต่างๆ ระหว่างการแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพของตนเอง กับสโมสรกีฬาฟุตบอลต่างสโมสร ซึ่งการได้มาของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพอาจได้มาโดยการจ้างแรงงาน (Employment) ผ่านการทาสัญญาจ้างแรงงาน ที่นักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะลูกจ้างตกลงจะทางาน ให้แก่สโมสรกีฬาฟุตบอลในฐานะนายจ้าง โดยสโมสรกีฬาฟุตบอลตกลงจะให้สินจ้าง (Wages) แก่นักกีฬา ฟุตบอลตลอดเวลาที่ทางานให้ สโมสรกีฬาฟุตบอลที่มีศักยภาพทางธุรกิจ เช่น สโมสรกีฬาฟุตบอลขนาด ใหญ่ ก็สามารถใช้รายจ่ายหรือทุ่มงบประมาณใช้ไปกับการจ่ายเงินเดือนให้กับนักกีฬาฟุตบอล (Spending on Salaries) หรือการจ่ายค่าใช้จ่ายโอนย้ายของนักกีฬาฟุตบอลข้ามสโมสร (Transfer Fees) โดยมี เป้าหมายให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีศักยภาพสูงมีส่วนช่วยให้ได้รับชัยชนะในเกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพของตนเองกับสโมสรกีฬาฟุตบอลต่างสโมสร รวมไปถึงให้ผู้ชมการ แข่งขันกีฬาฟุตบอลหันมาติดตามชมเกมแข่งขันจากสโมสรกีฬาฟุตบอลของตนและดึงดูด ให้ผู้ติดตามชม กีฬาฟุตบอลหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการจากสโมสรกีฬาฟุตบอลของตนหรือจากพันธมิตร ทางธุรกิจของตนมากข้ึน

3 อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้มีการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพอย่างไร้ขีดจากัดโดยที่ปราศจาก ระเบียบแบบแผนแล้ว ย่อมอาจทาให้เกิดการผูกขาดชัยชนะในการแข่งขันเกมกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้ ระบบลีกกับการผูกขาดทางการค้าในอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรฟุตบอลอาชีพรายใหญ่ ซึ่งสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพขนาดใหญ่อาจใช้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนทุ่มรายจ่ายเพื่อแลกกับการ ได้มาซึ่งนักกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีมีศักยภาพสูงสามารถตอบสนอง ต่อความต้องการของผู้ชมกีฬาฟุตบ อลได้ ในทางตรงกันข้ามสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพขนาดกลางและขนาดเล็กอาจมีข้อจากัดด้านเศรษฐกิจย่อมไม่ สามารถทุ่มรายจ่ายของตนให้กับการได้มาซึ่งนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีศักยภาพสูง โดยอาจต้องเลือกใช้ จ่ายในสิ่งที่จาเป็นต่อการอยู่รอดทางเศรษฐกิจมากกว่า ทาให้สโมสรกีฬาฟุตบอลขนาดกลางกับสโมสร กีฬาฟุตบอลขนาดเล็กมีข้อจากัดทางโอกาสที่จะได้ครอบครอบนักกีฬาฟุตบอลที่มีศักยภาพสูงหรือขาด โอกาสที่จะครอบครองนักกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีมีศักยภาพสูง จากปรากฏการแข่งขันทางธุรกิจของสโมสรกีฬาฟุตบอลที่กล่าวมาในข้างต้น องค์กร กากับกีฬา ฟุตบอลในปัจจุบัน (เช่น สมาคมกีฬาฟุตบอลระดับชาติและบริษัทเอกชนผู้จัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล) จึง ได้พัฒนาระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Transfer System) ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ระเบียบและแบบแผนเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอ าชีพหนึ่งไปยัง สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหนึ่ง (transfering from one professional football club to another) เช่น กฎช่องทางการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในพรีเมียร์ลีก (Premier League’s Transfer Window Rules) ซ่ึงอนุญาตให้มีการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ใน สองช่วงเวลาเท่านั้น นั้นก็คือ ช่วงแรก หลังปิดฤดูกาลแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม และช่วงที่สอง ระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 31 มกราคมของทุกปี ต่อมาระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันอาจกลายมาเป็นประเด็นข องการช่วยควบคุมให้การแข่งขันกีฬาฟุตบอล อาชีพให้มีความเป็นบริสุทธิ์ยุติธรรมมากขึ้นและมีการพัฒนาระบบสาหรับกากับธรรมาภิบาลการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอล ผ่านการกาหนดระเบียบและระบบเฉพาะเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลภายใต้กฎระเบียบกติกาเดียวกันภายใต้เกมการแข่งขันที่เป็นสากล เช่น ระเบียบว่าด้วยสถานะและการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Regulations on the Status and Transfer of Players) ของสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (Fédération Internationale de Football Association หรือ FIFA) ว่าด้วยเร่ืองห้ามโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลให้มีการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพอายุต่ากว่า 18 ปี ระเบียบดังกล่าวบังคับใช้อย่างสากล พร้อมกับการพัฒนาระบบบันทึกประวัตินักกีฬาฟุตบอลอาชีพออนไลน์เพื่อใช้สาหรับจัดทาข้อมูลประวัติ เกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลต่างสโมสร (FIFA Transfer Matching System) โดยที่สหพันธ์ นักกีฬาฟุตบอล อาชีพระหว่างประเทศ ( Fédération Internationale des Associations de Footballeurs Professionnels หรือ FIFPro) จะเป็นผู้ถือครองข้อมูลกับมีส่วนในการบริหารจัดการ ข้อมูลจากการจัดทาประวัติเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพและรับพิจารณาข้อร้องเรียนเพื่อ

4 ป้องกันไม่ให้เกิดการอาศัยระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพมาเป็นช่องทางการค้ามนุษย์ในแวดวง กีฬาฟุตบอลระดับนานาชาติและในภูมิภาคยุโรป (human trafficking in football) เป็นต้น ในภูมิภาคยุโรปได้เคยมีคดีสาคัญที่ศาลยุติธรรมยุโรป (European Court of Justice หรือ ศาล ECJ) ได้เคยพิจารณาพิพากษาวางบรรทัดฐานเอาไว้ ได้แก่ คดี Union Royale Belge des Sociétés de Football Association ASBL v Jean-Marc Bosman (1995) C-415/93 (หรือคดี Bosman ruling) ที่ศาลยุติธรรมสุภาพยุโรปได้พิจารณาพิพากษาให้นายฌอง - มาร์ค บอสแมนเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่าง นายฌอง - มาร์ค บอสแมนกับสโมสรี Royal Football Club de Liège ท่ีกาหนดว่าในภายหลังการจ้าง งานแรงงานส้ินสุดลงต้ังแต่ปี 1990 นายฌอง - มาร์ค บอสแมนต้องการการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ จากสโมสรกีฬาฟุตบอล Royal Football Club de Liège (หรือสโมสร RFC Liège) ในประเทศ เบลเยียมไปยังสโมสรกีฬาฟุตบอล Union Sportive du Littoral de Dunkerque (หรือสโมสร USL Dunkerque) แต่สโมสรสโมสร USL Dunkerque ไม่อาจจ่ายค่าธรรมเนียมโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพให้กับสโมสร RFC Liège ตามท่ีได้ทาข้อตกลงการรับโอนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ในเบื้องต้นกับ สโมสร RFC Liège ทาให้นายฌอง - มาร์ค บอสแมนไม่อาจโอนย้ายไปสังกัดสโมสร USL Dunkerque นายฌอง - มาร์ค บอสแมนจึงยังคงต้องผูกพันกับสโมสร RFC Liège ก็มีข้อจากัดห้ามการประกอบอาชีพ นักกีฬาฟุตบอลต่อนายฌอง - มาร์ค บอสแมนให้กับสโมสรอ่ืน รวมไปถึงสโมสร RFC Liège ถือโอกาสกด ขี่ค่าแรงงานและได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในการจ้างแรงงาน ต่อมาศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปจึง พิพากษาคุ้มครองนายฌอง - มาร์ค บอสแมน ในประเด็นเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานสาหรับ แรงงาน (freedom of movement for workers) และเสรีภาพในการเข้าร่วมสมาคม (freedom of association) ศาลสหภาพยุโรปได้วางบรรทัดฐานคุ้มครองเสรีภาพของนักกีฬาฟุตบอลในเสรีภาพในการ เคลื่อนย้ายถิ่นฐาน โดยปราศจากการแทรกแซงหรือลดทอนเสรีภาพดังกล่าวโดยสโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพต้นสังกัด ภายใต้หลักเกณฑ์ของมาตรา 45 แห่งสนธิสัญญาว่าด้วยการทางานของสหภาพยุโรป (Treaty on the Functioning of the European Union หรือ TFEU) นอกจากนี้ แม้องค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรปจะมีการพัฒนาระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพและจัดตั้งกฎเกณฑ์ว่าด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ แต่ก็อาจมีข้อโต้แย้งบางประการ เกี่ยวกับเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน (Freedom of Movement) ของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ เพราะกฎเกณฑ์บางอย่างก็เป็นการจากัดเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย ถิ่นฐานของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ภายใต้ข้อผูกพันทางสัญญาท่ีนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ผูกพันเอาไว้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอันเป็นต้นสังกัด (Contractual Commitment) ซึ่งการทาข้อผูกพันเช่นว่านี้อาจปิดกั้นไม่ให้นักกีฬาฟุตบอลสามารถ เคล่ือนย้ายถิ่นฐานไปทางานยังสโมสรกีฬาฟุตบอลอ่ืนๆได้อย่างเสรี อีกทั้งยังมีกฎเกณฑ์หลายประการที่มี แนวโน้มเป็นไปในทิศทางจากัดเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาค ยุโรป เช่น กฎ UEFA Financial Fair Play ภายใต้ระบบการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นต้น

5 งานวิจัยฉบับนี้ มุ่งเน้นศึกษา ทบทวนและวิเคราะห์แนวความคิดพื้นฐานว่าด้วยการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสรภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนสหภาพยุโรป เพื่อนามาวิเคราะห์ เปรียบเทียบระหว่างการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสรภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนสหภาพ ยุโรป ว่ามีปัญหาทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสรอย่างไร บ้าง อันจะนาไปสู่การสร้างแนวทางการตระหนักแห่งประเด็นสิทธิมนุษยชนของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ร่วมกันระหว่างภูมิภาคยุโรป 1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตของโครงการวิจัย (1) เพื่อศึกษาแนวความคิดพ้ืนฐานว่าด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร (2) เพื่อศึกษาการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและกฎหมายสหภาพยุโรป (3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ 1.3 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ (1) ได้รับทราบแนวความคิดพื้นฐานว่าด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร (2) ได้รับทราบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและกฎหมายสหภาพยุโรป (3) ได้บทวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพ 1.4 ระเบียบวิธีวิจัยและแผนการดำเนินการ สาหรับการกาหนดระเบียบวิธีวิจัยของโครงการน้ี ผู้วิจัยได้ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นแนวทางใน การดาเนินการวิจัย โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เป็นหลักในการเข้าถึง ข้อมูลหรือความรู้ โดยพิจารณาจากสภาพของคาถามและข้อมูลที่ต้องการ โดยการศึกษาจากเอกสารทุก ประเภท เช่น ตารา หนังสือ บทความวิชาการ กฎหมาย คาพิพากษา รวมไปถึงระเบียบ กฎ กติกาของ การกากับกีฬาฟุตบอลต่างๆ ทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ ที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มศึกษาจาก แนวความคิดพื้นฐานว่าด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร ระบบการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและกฎหมายสหภาพยุโรป และวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายสิทธิมนุษยชน สหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ โดยมีแผนการดาเนินการดังตางรางดังต่อไปนี้

6 ขั้นตอนการศึกษา เดือนท่ี 123456 1 จัดทาบทนา 2 ทบทวนและวิเคราะห์แนวความคิดพื้นฐานว่า ด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้าม สโมสร 3 ทบทวนและวิเคราะห์ระบบการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและ กฎหมายสหภาพยุโรป 4 วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายสิทธิมนุษยชน สหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพ 5 บทสรุป

7 บทท่ี 2 แนวความคิดพื้นฐานว่าด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Professional Football Players) เป็นอาชีพแขนงหนึ่งที่ต้องอาศัย ทักษะความรู้และความชานาญในการเล่นกีฬาฟุตบอล ตามความชอบหรือตามความถนัดที่นักกีฬา ฟุตบอลได้ทาการฝึกฝน พร้อมกับสั่งสมประสบการณ์จากการเรียนรู้ทักษะการเล่นกีฬาฟุตบอล1 โดยมี กระบวนการและกลไกมาบ่มเพาะนักกีฬาฟุตบอลในช่วงอายุต่างๆ ให้กลายมาสู่การเป็นนักกีฬาฟุตบอล อาชีพ เช่น ระบบพัฒนานักกีฬาฟุตบอลรุ่นเยาว์ (Youth Systems) ที่สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Professional Football Clubs) อาศัยกระบวนการบ่มเพาะฝึกฝนร่างกายและทักษะการเล่นกีฬา ฟุตบอลให้แก่นักกีฬาฟุตบอลเยาวชน (Youngsters) ในศูนย์ฝึกฟุตบอลเยาวชน (Youth Academies) ของสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงแต่ละแห่ง2 เพื่อเปิดโอกาสให้นักกีฬาฟุตบอลที่มีความแข็งแรง ของร่างกายและมีทักษะการเล่นกีฬาฟุตบอลเพียงพอประกอบกับมีพรสวรรค์ในการเล่นกีฬาฟุตบอล (Talents) สามารถการก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ในอนาคต เป็นต้น นักกีฬาฟุตบอลอาชีพก็เฉกเช่นเดียวกับนักกีฬาอาชีพประเภทกีฬาอื่นๆ ที่สามารถเผชิญกับ สถานการณ์การส้ินสุดสัญญาจ้างกับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัด (Out of Contract)3 หรือมีปัจจัย บางอย่าง (Factors)4 ที่ทาให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพประสงค์ที่จะย้ายตนเองจากสโมสรกีฬาฟุตบอลสังกัด เดิม ไปอยู่ภายใต้สโมสรกีฬาฟุตบอลสังกัดใหม่ ซึ่งสถานการณ์เช่นว่านี้เคยเกิดขึ้นนับแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน ไม่เพียงพบได้ในสโมสรกีฬาฟุตบอลขนาดเล็กถึงขนาดกลางเท่านั้น แม้แต่สโมสรกีฬาฟุตบอล ขนาดใหญ่ก็เผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกันดังเช่นสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปหลายแห่งได้ เผชิญสถานการณ์ดังกล่าว 1 European Club Association. (2013). Study on the Transfer System in Europe. Nyon: European Club Association. 2 Christiaens, J. & Nuytiens, A. (2009). Transfer of Juvenile Offenders to Adult Court in Belgium: Critical Reflections on the Reform of a Moderate Practice. Youth Justice, 9(2), 131-142. 3 Compaire, D., Planas R. A. G. & Wildemann, S. (2009). Contractual Stability in Professional Football: Recommendations for Clubs in a Context of International Mobility. Retrieved August 1, 2019, from http://www.lawinsport.com/pdf/ContStabinProfFoot.pdf 4 Liu, X. F., Liu, Y. L., Lu, X. H.., Wang, Q. & Wang, T. W. (2016). The Anatomy of the Global Football Player Transfer Network: Club Functionalities versus Network Properties. PLoS ONE, 11(6), e0156504.

8 ต่อมาองค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรป (European Football Governing Bodies หรือองค์กร European FGBs) และหน่วยงานด้านการกีฬาในภูมิภาคยุโรป (European Sports Authorities)5 รวมไปถึงสถาบันแบบเป็นทางการอื่นๆ (เช่น ศาลยุติธรรม (Courts of Justice) อันเป็น สถาบันตุลาการในประเทศภูมิภาคยุโรป (European Countries) และศาลยุติธรรมยุโรป (European Court of Justice หรือ ECJ)6 อันสถาบันตุลาการมีสถานะเหนือชาติยุโรป (Supranational)) ได้มีวาง หลักเกณฑ์และพัฒนาระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Transfer System) อันประกอบด้วย ระเบียบและแบบแผนเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหน่ึงไปยัง สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหนึ่ง กระบวนการการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลที่เกิดขึ้นมีส่วนทาให้นักกีฬา ฟุตบอลต้องมีการเคลื่อนย้ายภายในรัฐหรือการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างรัฐ ผ่านการยินยอม ผูกพันย้ายตนเองจากสโมสรกีฬาฟุตบอลที่เคยสังกัดไปยังสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดใหม่หรือยินยอม ผูกพันย้ายตนเองจากสโมสรกีฬาฟุตบอลที่เคยสังกัดไปยังต้นสังกัดเดิมก็ตาม การเคลื่อนย้ายในลักษณะ เช่นนี้จะมีระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม ไม่ว่าจะมีปัจจัยของการเคลื่อนย้ายอย่างไรหรื อด้วยสาเหตุใดก็ ตาม7 การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพถือเป็นกลไกหนึ่งในกระบวนการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ ที่ นาไปสู่การเชื่อมโยงระหว่างมิติต่างๆ ของการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ เช่น หากสโมสรกีฬาฟุตบอล สามารถดึงดูดนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีขีดความสามารถสูงให้เข้ามาเป็นผู้เล่นให้กับสโมสรได้แล้ว นักกีฬา ฟุตบอลที่มีขีดความสามารถสูงดังกล่าวก็จะกลายมาเป็นกาลังสาคัญในการพัฒนาสโมสรกีฬาฟุตบอลหรือ ทาให้ผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลหันมาสนับสนุนสโมสรกีฬาฟุตบอลมากข้ึน เป็นต้น เหตุนี้เอง องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลและหน่วยงานด้านการกีฬาในภูมิภาคยุโรปได้สร้างกลไก รับรองสิทธิและเสรีภาพของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ได้รับการยอมรับและคุ้มครองอันเป็นที่ ยอมรับนับถือขององค์กรกากับกีฬาฟุตบอล (Football Governing Bodies หรือองค์กร FGBs) และ หน่วยงานด้านการกีฬา (Sports Authorities) ของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคยุโรป อีกทั้งบทบาทของ องค์กร FGBs ในหลายประเทศในภูมิภาคยุโรปก็มีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาหลักเกณฑ์ ระเบียบและแบบ แผนเก่ียวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหนึ่งไปยังสโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพหนึ่งก็เป็นปัจจัยประการสาคัญที่ส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาลในกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Football Governance) ภายใต้แนวคิดฐานสิทธิ (Human Rights-Based Approach) ที่มองว่าการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพพึงได้รับการยอมรับจากองค์กร FGBs และหน่วยงานด้านการกีฬา ทั้ง 5 Geeraert, A., Bruyninckx, H. & Scheerder, J. (2012). The governance network of European football: Introducing new governance approaches to steer football at the EU level. International Journal of Sport Policy, 5(1), 1-20. 6 European Parliament. (2019). Sport. Retrieved August 1, 2019, from http://www.europarl.europa.eu/factsheets/en/sheet/143/sport 7 García, B. (2007). UEFA and the European Union: From Confrontation to Cooperation. Journal of Contemporary European Research, 3 (3), 202-223.

9 ภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งพึงได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐและหน่วยงานรัฐที่ส่งเสริม สนับสนุนการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ8 ซ่ึงพัฒนาการการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้มีวิวัฒนาการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาฟุตบอลอาชีพในยุคใหม่ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความตระหนักถึงสิทธิและ เสรีภาพท่ีเกิดข้ึนในแวดวงกีฬาฟุตบอลอาชีพยุโรปและความสาคัญของกีฬาฟุตบอลอาชีพยุคใหม่ในบริ บท ภูมิภาคยุโรปมากข้ึน ในบทที่ 2 จะทาการศึกษาความหมายและพัฒนาการของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพใน ภูมิภาคยุโรป ตัวอย่างการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพบางประเทศในภูมิภาคยุโรป (เช่น ประเทศ อังกฤษ) นโยบายของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ รวมทั้งวิเ คราะห์ปัญหาที่ เกิดขึ้นจากการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในบริบทในทางสิทธิมนุษยชนของการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.1 ระบบ Retain and Transfer System แต่เดิมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 กีฬาฟุตบอลได้ถูกหล่อ หลอมให้มีความเป็นธุรกิจกีฬาฟุตบอล (Football Business) ที่สร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับสโมสร กีฬาฟุตบอล อีกทั้งถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นอุตสาหรรมกีฬาฟุตบอล (Football Industries) ที่สร้าง ผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Football Stakeholders) ในแวดวงกีฬา ฟุตบอล เม่ือกีฬาฟุตบอลเป็นธุรกิจและอุตสาหกรรมที่สร้างกาไรและผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับผู้มีส่วน ได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาฟุตบอล โดยเฉพาะการดาเนินระบบเกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพหรือการ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ องค์กร FGBs บางประเทศในยุโรปเคยเลือก รูปแบบและพัฒนาหลักเกณฑ์ตามความเหมาะสมเพื่อกาหนดกรอบกติกาในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลกากับ (Supervise) ของสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัด ไปพร้อมกับอยู่ภายใต้การควบคุม (Control) ของสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัด โดยท่ีนักกีฬาฟุตบอลต้อง อาศัยความพยายามในฐานะที่เป็นนักกีฬาในการออกแรงใช้พละกาลัง ในการเล่นกีฬาฟุตบอลอาชีพและ ดาเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัด นักกีฬาฟุตบอลอาชีพจะ ได้รับค่าจ้าง (Wage) หรือเงินเดือน (Salaries)9 จากสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดของตน 8 KEA European Affairs & Centre for the Law and Economics of Sport. (2013). KEA – CDES: Study on the economic and legal aspects of transfers of players. Limoges: Centre for the Law and Economics of Sport. 9 Carmichael, F., McHale, I., & Thomas, D. (2011). Maintaining Market Position: Team Performance, Revenue and Wage Expenditure in the English Premier League. Bulletin of Economic Research, 4 (63), 464-479.

10 ดังนั้น องค์กร FGBs บางประเทศในยุโรปจึงพัฒนารูปแบบของการแข่งขันกีฬาฟุตบอลให้มี ความเป็นอาชีพ (Professionalism) มากยิ่งขึ้น10 ซึ่งได้ทาให้เกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลมีความตื่นเต้น เร้าใจและดึงดูดให้ผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลติดตามเกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลมากยิ่งขึ้น ใน ขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะพัฒนาคุณสมบัติที่จาเป็นสาหรับการเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่มีสุขภาพ ร่างกายที่แข็งแรง (Healthy) การเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่มีทักษะ (Skills) การเล่นกีฬาฟุตบอลที่ดี และ การเป็นนักกีฬาฟุตบอลท่ีได้รับการบ่มเพาะส่ังสมประสบการณ์ (Experiences) การเล่นกีฬาฟุตบอลของ แต่ละสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัด นอกเหนือไปจากวินัย มารยาทและจริยธรรมของการเป็นนักกีฬา ฟุตบอล ท่ีนักกีฬาฟุตบอลท่ัวไปพึงมี อีกทั้งองค์กร FGBs ในบางประเทศยังพัฒนาหลักเกณฑ์ ระเบียบและแบบแผนเกี่ยวกับการ แข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬา เช่น สมาคมกีฬาฟุตบอล ( Football Associations) สโมสรกีฬาฟุตบอล (Football Clubs) ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตบอล (Football Coach) นักกีฬาฟุตบอล (Football Players) และผู้ชมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล (Football Spectators) ยอมรับ นับถือและปฏิบัติตาม ซึ่งเม่ือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ภายใต้ การกาหนดกรอบแนวทางปฏิบัติหรือการวางระเบียบกากับเกมการแข่งขันกีฬาเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในแวดวงกีฬาฟุตบอลอาชีพต่างต้องปฏิบัติตามแล้ว ย่อมถือเป็นการพัฒนาการละเล่นกีฬาท่ัวไปให้กลาย ไปสู่การเป็นการละเล่นกีฬาอาชีพผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาฟุตบอลอย่าง เป็นระบบ (System)11 โดยการดาเนินกิจกรรมหรือกลไกภายใต้ระบบกีฬาฟุตบอลอาชีพ ต้องอยู่ในกากับ ดูแลและความควบคุมตามระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันมีองค์กร FGBs ที่สร้าง หลักเกณฑ์และดาเนินกิจกรรมกากับดูแลการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ ทาหน้าที่ควบคุมกิจกรรมกีฬา ฟุตบอลอาชีพ รวมถึงมรรยาทและจรรยาบรรณของผู้เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ กล่าวอี ก นัยหนึ่งองค์กร FGBs มีบทบาทและหน้าที่จัดระเบียบและวางกติกาให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่อยู่ ภายใต้สังกัดของตน ปฏิบัติตามระเบียบและกติกาเพื่อให้การดาเนินกิจกรรมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ดาเนินไปอย่างมีแบบแผน อีกทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาก็ต้องยอมรับและนับถือระเบียบและวาง กติกาท่ีองค์กร FGBs ได้กาหนดเอาไว้ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะท่ีเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาก็จาต้องยอมรับและเคารพ ระเบียบ พร้อมกับปฏิบัติตามกติกาที่องค์กร FGBs ได้กาหนดเอาไว้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนักกีฬา 10 Rossi, G. and Tessari, A. (2014). The professionalisation of the sport agents: Cartels, networks and enterprises within the football industry, 1950s - 2010. The 2014 World Business History Conference, Frankfurt, Germany. Retrieved August 1, 2019, from http://www.worldbhc.org/files/full%20program/A6_B6_ATESSARIGROSSI_WBHCpaper.pdf 11 Poli, R., Besson, R., & Ravenel, L. (2017). Transfer market analysis: tracking the money (2010-2017). (No. 27). Neuchâtel: CIES Football Observatory.

11 ฟุตบอลอาชีพมีความผูกพันภายใต้การจ้าง (Employment) ระหว่างตัวนักกีฬาฟุตบอลอาชีพกับสโมสร กีฬาฟุตบอลต้นสังกัด โดยที่สโมสรกีฬาฟุตบอลมีอานาจบังคับบัญชา (Command) นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ และต้องจ่ายค่าจ้าง (Wages) ให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพตามระยะเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ สโมสรกีฬา ฟุตบอลจึงมีอานาจบังคับบัญชานักกีฬาฟุตบอลในทางการที่จ้าง (Course of Employment)12 ในส่วน ของสโมสรกีฬาฟุตบอลที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในระบบลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ( Football League) ก็ต้องยินยอมผูกพันปฏิบัติตนตามกติกาหรือกระทาการอันไม่ฝ่าฝืนระเบียบที่องค์กร FGBs ใน ฐานะที่เป็นผู้กากับลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลต่างๆ ได้วางหรือกาหนดเอาไว้ โดยองค์กร FGBs มีฐานะ เป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ให้สโมสรกีฬาฟุตบอลที่อยู่ภายใต้ระบบลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลปฏิบัติตาม (Regulators) ส่วนหนึ่งและมีฐานะเป็นผู้มีหน้าท่ีคอยกากับดูแลธรรมาธิบาลให้สโมสรกีฬาฟุตบอลดาเนิน กิจกรรมไม่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ ระเบียบและแบบแผนเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ เม่ือสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้องยินยอมผูกพันปฏิบัติตนตามกติกาหรือกระทาการอันไม่ฝ่าฝืน ระเบียบที่องค์กร FGBs แล้ว ผู้ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรือกากับดูแลของสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพก็ ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่องค์กร FGBs ได้วางหลักเกณฑ์เอาไว้ด้วย โดยนักกีฬาฟุตบอลอาชีพถือเป็นผู้ท่ี อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรือกากับดูแลของสโมสรกีฬาฟุตบอลของสโมสรกีฬาฟุตบอล ก็ต้องปฏิบัติ ตามระเบียบที่องค์กร FGBs ในฐานะที่เป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ในระบบลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่สโมสร กีฬาฟุตบอลที่เข้ามาเล่นในระบบลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลจาต้องปฏิบัติตามด้วย อีกประการหนึ่ง องค์กร FGBs และสโมสรกีฬาฟุตบอลจะควบคุมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้นั้น ก็ย่อมต้องอาศัยระบบการ ขึ้นทะเบียนผู้เล่น (Player Registration System)13 กล่าวคือ ระบบดังกล่าวเป็นระบบที่ให้นักกีฬา ฟุตบอลอาชีพสามารถลงทะเบียน (Register) เป็นผู้เล่นกีฬาฟุตบอลในสังกัดสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ เพียงสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพได้เพียงสโมสรเดียวในแต่ละฤดูการแข่งขัน (Season) ซึ่งนักกีฬาฟุตบอล อาชีพท่ีขึ้นทะเบียนเป็นผู้เล่นในสังกัดสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพใดสโมสรหน่ึงแล้ว จะต้องไม่ไปลงทะเบียน เป็นผู้เล่นกับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอื่นอีกในฤดูกาลเดียวกัน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพที่ขึ้นทะเบียนสังกัดและได้รับอนุญาตจากองค์กร FGBs ที่กากับดูแลลีกการแข่งขันกีฬา ฟุตบอล ระบบเช่นว่านี้เองย่อมเปิดโอกาสให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพสามารถมีอิสระในการเลือกตัดสินใจว่า จะเลือกไปลงทะเบียนเป็นผู้เล่นให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเดิมในฤดูกาลใหม่หรือจะเลือกไป ลงทะเบียนเป็นผู้เล่นให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดใหม่ในฤดูกาลใหม่ เท่ากับว่าระบบนี้ใช้ป้องกัน และอานวยความสะดวกในการตรวจสอบขององค์กร FGBs ว่า นักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ประสงค์จะ ลงทะเบียนเป็นผู้เล่นให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลนั้น ๆ เพื่อขึ้นทะเบียนกับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในการ 12 Siekmann, D. R. (2006). Labour Law, the Provision of Services, Transfer Rights and Social Dialogue in Professional Football In Europe. The Entertainment and Sports Law Journal, 4(1), 5. 13 Pearson, G. (2015). Sporting justifications under EU free movement and competition law: the case of the football ‘transfer system’. European Law Journal, 21 (2), 220-238.

12 แข่งขันภายใต้ระบบลีกที่จะมีขึ้น มีชื่อเป็นผู้เล่นกีฬาฟุตบอลซ้าซ้อนอยู่กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอื่น หรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้าม ซึ่งช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ระบบนี้เองถูกเรียกว่าระบบ Retain and Transfer System14 ระบบ Retain and Transfer System ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในแวดวงกีฬาฟุตบอลของประเทศ อังกฤษในปี ค.ศ. 1885 ซ่ึงกีฬาฟุตบอลได้ถูกนาเล่นในประเทศอังกฤษอันเป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง และกีฬาฟุตบอลยังได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนชาวอังกฤษ จนองค์กร FGBs ของประเทศอังกฤษใน ขณะนั้น ได้แก่ สมาคม British Football Association ได้พยายามพัฒนาระบบ Retain and Transfer System และนาเอาระบบดังกล่าวมาใช้ในระบบลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอล อันเป็นการสนับสนุนให้ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพมีเสรีภาพ (Freedom) ในการตัดสินใจที่จะเล่นกีฬาฟุตบอลให้กับสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพเดิมที่ตนสังกัดอยู่เดิม (Retain) หรือเลือกตัดสินโอนย้ายตนเองไปเล่นกีฬาฟุตบอลให้กับ สโมสรกีฬาฟุตบอลสังกัดใหม่ (Transfer)15 ในขณะเดียวกันระบบเช่นว่านี้ได้ถูกยอมรับนับถือและนาเอา มากาหนดเป็นข้อบังคับ (Restrictions) ซึ่งกาหนดไว้เป็นระเบียบในการปฏิบัติสาหรับสมาชิกที่เข้าร่วม การแข่งขันในระบบลีกของประเทศอังกฤษจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด สาหรับระบบ Retain and Transfer System ให้ความสาคัญต่อเสรีภาพของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่จะเลือกไปเล่นกีฬาฟุตบอล ให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพสโมสรใดสโมสรหนึ่ง ภายใต้ข้อจากัดที่ว่านักกีฬาฟุตบอลอาชีพจะได้รับ อิสระให้เลือกตัดสินโอนย้ายตนเองไปเล่นกีฬาฟุตบอลให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลสังกัดใหม่ก่อนวันเร่ิมต้น ฤดูกาลแข่งขันใหม่ (Start of Season) เท่านั้น ซึ่งหากเป็นช่วงระหว่างฤดูกาลแข่งขันได้ดาเนินขึ้นแล้ว หรือระหว่างในช่วงฤดูกาลแข่งขันกาลังดาเนินอยู่นั้น นักกีฬาฟุตบอลจะขอโอนย้ายตนเองไปเล่นกีฬา ฟุตบอลให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลสังกัดใหม่ในช่วงระหว่างฤดูกาลแข่งขันไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ขึ้นทะเบียนสังกัดและได้รับอนุญาตจากสมาคม British Football Association เท่าน้ัน ระบบ Retain and Transfer System ทางานควบคู่ไปกับระบบการทาสัญญาจ้างนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพรายปี (Annual Contract)16 อย่างสอดคล้องกันและกัน กล่าวคือ ภายหลังจากที่มีการทา สัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพกับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพแล้ว ครั้นเมื่อ ครบกาหนดระยะเวลาสิ้นสุดของสัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพรายปี สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้น สังกัดเดิมอาจเลือกต่อสัญญา (Renew) กับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพหรือเลือกไม่ต่อสัญญา (Non-Renew) 14 Stewart, G. (1986), \"The Retain and Transfer System: An Alternative Perspective\", Managerial Finance, 1 (12), 25- 29. 15 Spartacus Educational. (2016). Transfer System. Retrieved August 2, 2019, from https://spartacus- educational.com/Ftransfer.htm 16 Oxford Universiry Press. (2019). OVERVIEW retain and transfer system. Retrieved August 2, 2019, from https://oxfordindex.oup.com/view/10.1093/oi/authority.20110803100416487

13 กับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพก็ได้ ในทางตรงกันข้ามนักกีฬาฟุตบอลอาชีพอาจเลือกต่อสัญญากับสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมหรือเลือกไม่ต่อสัญญากับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมก็ได้ ซึ่งเป็น การเปิดโอกาสให้ท้ังสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพกับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพมีสิทธิในการเลือกทั้งสองฝ่าย แม้ว่าจะมีช่องทางให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพสามารถย้ายตนเองไปเล่นให้สโมสรกีฬาฟุตบอลต้น สังกัดใหม่ได้ แต่ในช่วงต้นของการนาเอาระบบ Retain and Transfer System มาใช้ ก็ไม่ค่อยมี แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ (financial incentive) ที่ผลักดันให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพย้ายจากสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมไปสังกัดกับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดใหม่17 นั้นก็เพราะใน ค.ศ. 1901 ได้มีการกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นสูง (Maximum Wage) ของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ในอัตรา 4 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ (£4-A-Week Wage Limit)18 เหตุนี้เองอัตราค่าจ้างขั้นสูงที่ถูกกาหนดเอาไว้ภายใต้ระบบลีก การแข่งขันกีฬาฟุตบอลของ Football League ในประเทศอังกฤษในขณะนั้น ไม่เป็นที่จูงใจให้นักกีฬา ฟุตบอลอาชีพยินยอมที่จะย้ายไปสังกัดสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดใหม่เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าจ้างใน อัตราใกล้เคียงกับสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเดิมหรือสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอ่ืนๆ ด้วยข้อจากัดเช่นว่า นี้เองทาให้เกิดนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ยินยอมพร้อมผูกพันรับใช้สโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดอย่าง ยาวนาน (long service) อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1898 ได้เคยมีความพยายามในการต่อสู้เรียกร้องให้มี การกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นสูงของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพของ Football League ขึ้นใหม่ ควบคู่ไปกับ เรียกร้องให้มีการปรับปรุงระบบ Retain and Transfer System ของ Football League มาแล้ว โดย เรียกร้องให้สโมสรกีฬาฟุตบอลเปิดโอกาสให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพเข้ามามีส่วนร่วมในก ารตัดสินใจในการ ทาข้อตกลงระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพเพ่ือยินยอมให้โอนหรือยอมรับโอนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพคน หนึ่งคนใด ผ่านการจัดตั้งและขับเคลื่อนสมาคมสหภาพนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ( Association Footballers' Union หรือ AFU)19 เพื่อรวมตัวเรียกร้องในประเด็นดังกล่าว โดยให้การต่อสู้เรียกร้อง ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานในฐานะนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ จนกระทั้งในปี ค.ศ.1908 ทาง Football League ได้มีการกาหนดค่าโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหนึ่งไปยังอีกสโมสรหนึ่ง โดยกาหนดอัตราสูงสุดเอาไว้ไม่เกิน 350 ปอนด์ (Limit on Fees of £350) นั้นหมายความว่าสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมจะได้รับค่า โอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดใหม่ (สโมสรที่รับโอน) ไม่เกิน 350 ปอนด์ แต่กฎของ Football League ในลักษณะเช่นว่านี้ได้ถูกยกเลิกในภายหลัง นั้นก็เพราะกฎดังกล่าวมี 17 Malcolm, D. (2008). The SAGE Dictionary of Sports Studies. London: SAGE Publishing. 18 English Football League. (2016). Fifty-five years to the day: £20 maximum wage cap abolished by Football League clubs. Retrieved August 3, 2019, from https://www.efl.com/news/2016/january/fifty-five-years-to-the-day- 20-maximum-wage-cap-abolished-by-football-league-clubs/ 19 Spartacus Educational. (2016). Transfer System. Retrieved August 4, 2019, from https://spartacus- educational.com/Ftransfer.htm

14 ช่องว่างและข้อจากัดของขอบเขตการบังคับใช้ เช่น สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมกับสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดใหม่ทาข้อตกลงกัน (Deal) ภายใต้เจตนาท่ีแท้จริงของสโมสรทั้งสองฝ่ายท่ีต้องการ โอนนักกีฬาฟุตบอลที่มีศักยภาพสูง (Star Player) โดยมีค่าโอนย้ายเป็นจานวน 1,000 ปอนด์ แต่เพื่อ หลีกเล่ียงกฎดังกล่าวสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเดิมเลยแถมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพศักยภาพตา่ (Poorly Rated Players) ให้โอนไปด้วยไปในคราวเดียวกันอีก 2 คน เท่ากับว่ามีการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพไปเป็นจานวนถึง 3 คน โดยคิดค่าโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเป็นจานวนเพียง 1,000 ปอนด์ แต่ ต่อมากฎของ Football League ในลักษณะเช่นว่าน้ีได้ถูกยกเลิกในภายหลัง อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1912 ได้เกิดคดีว่าด้วยเรื่องของความชอบด้วยกฎหมายของการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Legality of the League Transfer System) ได้แก่ คดี Kingaby Case (คดี Kingaby v Aston Villa FC (1912)) ซึ่งคดีดังกล่าวข้อเท็จจริงมีอยู่ว่านาย Herbert Kingaby แต่เดิม เป็นนักกีฬาฟุตบอลแบบเล่นให้เป็นงานพิเศษ (Part-Time) กับสโมสร Clapton Orient (นั้นก็คือสโมสร Leyton Orient F.C. ในปัจจุบัน) สโมสรดังกล่าวได้เข้าร่วมการแข่งขันระบบลีกใน Southern League ต่อมาสโมสร Clapton Orient ได้ยอมขายนาย Herbert Kingaby ไปให้กับสโมสร Aston Villa ในปี ค.ศ. 1906 โดยมีค่าโอนย้ายเป็นจานวนเงินถึง 300 ปอนด์ โดยสโมสร Aston Villa ได้ตกลงจ่ายค่าจ้าง ตามอัตราค่าจ้างขั้นสูงของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้เป็นจานวน 4 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หากแต่นาย Herbert Kingaby ไม่สามารถสร้างผลงานจากการเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ ทาให้สโมสร Aston Villa ไม่พอใจกับผลงานของนาย Herbert Kingaby ภายหลังจากที่โอนมาสังกัดสโมสรดังกล่าว สโมสร Aston Villa จึงหาช่องทางในการขายคืน (โดยตั้งราคาค่าโอนย้าย 150 ปอนด์หรือครึ่งราคาของจานวน เงิน 300 ปอนด์อันเป็นราคาที่ซื้อนาย Herbert Kingaby มา) ให้กับสโมสร Clapton Orient หรือ สโมสรอ่ืนๆ แต่นาย Herbert Kingaby กลับไม่ได้รับความสนใจจากสโมสร Clapton Orient อันเป็นต้น สังกัดเดิมหรือสโมสรอื่นๆ เมื่อไม่มีสโมสรใดยินยอมที่จะซื้อนาย Herbert Kingaby และสโมสร Aston Villa ก็หยุดจ่ายค่าจ้างให้กับนาย Herbert Kingaby แล้ว ทาให้นาย Herbert Kingaby ต้องไปสมัคร เป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพสังกัดสโมสร Fulham F.C. แล้วย้ายกลับมาสังกัดสโมสร Clapton Orient อัน เป็นต้นสังกัดเดิม อันเป็นสมาชิกของระบบการแข่งขันลีก Southern League ซึ่ง Southern League ได้หันมาใช้ระบบ Retain and Transfer System เช่นเดียวกันกับลีก Football League ต่อมาสโมสร Aston Villa ได้ทราบว่านาย Herbert Kingaby ย้ายไปเล่นกีฬาฟุตบอลให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอื่น สโมสร Aston Villa จึงอ้างว่านาย Herbert Kingaby ยังคงเป็นนักกีฬาฟุตบอลภายใต้สังกัดสโมสร Aston Villa พร้อมกับเรียกร้อง (Demanded) ค่าโอนย้ายจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่เป็นต้นสังกัด ของนาย Herbert Kingaby ในขณะนั้นเป็นจานวนเงินถึง 350 ปอนด์ เท่ากับว่าการกระทาของสโมสร Aston Villa เป็นการป้องกันไม่ให้นาย Herbert Kingaby ไปเล่นกีฬาฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสรอื่นๆ อีก ครั้นต่อมานาย Herbert Kingaby ได้นาคดีไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมอังกฤษ ภายใต้การสนับสนุน ค่าใช้จ่ายในการดาเนินการทางกฎหมายจากสมาคมสหภาพนักกีฬาฟุตบอลและผู้ฝึกสอน (Association

15 of Football Players’ and Trainers’ Union (หรือสมาคม Players' Union) แต่ด้วยการใช้กลยุทธ์ใน การต่อสู้คดีท่ีผิดพลาด ทาให้ศาลยุติธรรมอังกฤษได้พิจารณายกฟ้องคดีดังกล่าว20 ต่อมาในปี ค.ศ. 1961 สมาคมสหภาพนักกีฬาฟุตบอลอาชีพหรือ AFU ได้ผลักดันให้มีการ ยกเลิกการกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นสูงของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ในอัตราต่อสัปดาห์ ( Abolishing the Maximum Wage)21 เท่ากับว่าเพดานกาหนดอัตราค่าจ้างของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ถูกทาลายลง ทาให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีศักยภาพทางการเงินสามารถยื่นข้อเสนอกาหนดค่าจ้างของนักกีฬา ฟุตบอลได้ตามความพึงพอใจระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพกับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ โดยระบบ Retain and Transfer System ยังคงอยู่ เพียงแต่สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอาจกาหนดอัตราค่าจ้างของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ตามความพอใจของสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ แล้วยังเป็นการสกัดกั้นป้องกัน ไม่ให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพใช้วิธีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ (under-the-table payments)22 เพื่อดึงดูด นักกีฬาฟุตบอลอาชีพให้มาอยู่ภายใต้สังกัดของตน อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1963 ศาล High Court ของประเทศอังกฤษได้เคยพิพากษาในคดี Eastham v. Newcastle United [1964] Ch. 413 ว่าระบบ Retain and Transfer System เป็น ระบบเป็นการจากัดการแข่งขันทางการค้าอย่างไม่สมเหตุสมผล (Uunjustifiable Restraint of Trade หรือ Unreasonable Restraint of Trade) กล่าวคือนาย George Eastham ได้ฟ้องคดีต่อสโมสร Newcastle United ด้วยเหตุว่าระบบ Retain and Transfer System ดังกล่าวได้สร้างข้อผูกพัน ระหว่างนาย George Eastham กับสโมสร Newcastle United สโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเดิม แม้ว่า สัญญาจ้างที่ผูกพันระหว่างนาย George Eastham กับสโมสร Newcastle United สโมสรกีฬาฟุตบอล ต้นสังกัดเดิมได้สิ้นสุดไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากว่าสโมสร Newcastle United สโมสรกีฬาฟุตบอลต้น สังกัดเดิมไม่ยินยอมจ่ายเงินค่าโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอื่น (สโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพท่ีประสงค์จะรับโอนนาย George Eastham)23 ทั้งนี้ ระบบ Retain and Transfer System เป็นระบบที่ถูก Football League สร้างขึ้นและ ออกแบบขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้สโมสรกีฬาฟุตบอลที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าอาศัยความ 20 McArdle, D. (2000). From boot money to Bosman : football, society, and the law. London: Cavendish Publishing. 21 The Telegraph. (2011). How footballers wages have changed over the years: in numbers. Retrieved August 5, 2019, from https://www.telegraph.co.uk/sport/football/competitions/premier-league/8265851/How-footballers- wages-have-changed-over-the-years-in-numbers.html 22 Independent. (2003). David Conn: Hall and Notts dispute 'under the table' deal for player. Retrieved August 5, 2019, https://www.independent.co.uk/sport/football/news-and-comment/david-conn-hall-and-notts-dispute- under-the-table-deal-for-player-82372.html 23 Irving, J. G. (2002). Red Card: The Battle over European Football's Transfer System. University of Miami Law Review, 56, 667-752.

16 ได้เปรียบด้านฐานะทางเศรษฐกิจดึงดูดนักกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีมีศักยภาพให้เข้ามาเล่นกีฬาฟุตบอลอาชีพ ภายใต้สังกัดของตน โดยสโมสรกีฬาฟุตบอลที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ด้อยก็จะเสียเปรียบและไม่อาจ ดึงดูดนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีศักยภาพให้เข้ามาเล่นกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้สังกัดของตนได้ โดย Football League ได้กล่าวอ้างว่าระบบเช่นว่านี้เองมีกลไกเพื่อป้องกันให้แต่ละสโมสรสามารถ ครอบครองนักกีฬาฟุตบอลที่มีศักยภาพทัดเทียมไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบยิ่งหย่อนไปกว่ากันภายใต้ ระบบการแข่งขันของ Football League นั้นหมายความว่าระบบดังกล่าวได้อนุญาตให้สโมสรกีฬา ฟุตบอลต้นสังกัดสามารถเก็บ (Keep) นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ โดยไม่ยอมให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพโอนย้าย ไปยังสโมสรกีฬาฟุตบอลอื่นได้ ผ่านการปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่าโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ( Refusing to Pay) อย่างไรก็ตาม ท่านผู้พิพากษา Wilberforce24 ได้ให้ความเห็นทางกฎหมายในคาพิพากษาคดีน้ี เอาไว้ว่าระบบดังกล่าวไม่ยุติธรรม (Unfair) ต่อนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ประสงค์จะย้ายไปเล่นกีฬาฟุตบอล ให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอื่น ในขณะที่นักกีฬาฟุตบอลอาชีพหมดสัญญาสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ ต้นสังกัดเดิมแล้วและสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมก็ไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้อีกต่อไป อีกทั้งระบบ ดังกล่าวยังให้สโมสรกีฬาฟุตบอลในฐานะที่เป็นนายจ้าง (Employers) มีอานาจต่อรองเหนือนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพในฐานะที่เป็นลูกจ้าง (Employees) ทาให้สโมสรกีฬาฟุตบอลในฐานะที่เป็นนายจ้าง ได้เปรียบและเห็นว่าระบบนี้ดีต่อธุรกิจของตนเอง แต่ระบบนี้กลับไม่ได้เอื้อต่อการคุ้มครองสิทธิของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะที่เป็นแรงงานในอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลประเทศอังกฤษ จากที่กล่าวมาในข้างต้น ระบบ Retain and Transfer System จึงได้ถูกยกเลิกไป (abolished) ด้วยผลของคาพิพากษาคดี Eastham v. Newcastle United [1964] Ch. 413 เม่ือระบบ Retain and Transfer System ได้ถูกยกเลิกไป การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในรูปแบบใหม่จึงเกิด ขึ้นมาในรูปแบบของระบบ Transfer System (โดยตัดคาว่า “Retain” ออกไป ภายใต้เหตุผลที่ว่าศาล อังกฤษไม่ต้องการให้มีการบังคับใช้ระบบที่จากัดเสรีภาพนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Player's Freedom) หรือระบบที่เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพในการโยกย้ายสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอันเป็นสถานที่ทางานของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Obstacle to Freedom of Movement) ดังนั้น ภายใต้ระบบ Transfer System ในรูปแบบใหม่ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพจึงสามารถตกลง เจรจากับสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดได้ หากประสงค์ที่จะโยกย้ายไปสังกัดสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอื่น โดยปราศจากข้อผูกมัดในเรื่องการกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นสูงของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ ( Without the Binds of the Maximum Wage) นั้นหมายความว่าเมื่อสัญญาจ้างหมดอายุลง สโมสรกีฬาฟุตบอล 24 The Telegraph. (2015). How the Bosman revolution changed football for ever. Retrieved August 6, 2019, https://www.telegraph.co.uk/sport/football/competitions/premier-league/12047806/How-the-Bosman-revolution- changed-football-for-ever.html

17 ต้นสังกัดสามารถเลือกต่ออายุสัญญาจ้างกับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ ในขณะที่สิทธิประโยชน์ที่นักกีฬา ฟุตบอลอาชีพได้รับจากการต่ออายุสัญญาจ้างใหม่ จะต้องไม่ต่าไปกว่าสิทธิประโยชน์ที่นักกีฬาฟุตบอล ได้รับจากสัญญาจ้างเดิม เว้นแต่คู่สัญญานั้นก็คือสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพกับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจะตก ลงเอาไว้เป็นอย่างอื่น ในทางตรงกันข้ามสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเลือกที่จะไม่ต่ออายุสัญญาจ้างกับ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพก็จะได้รับสิทธิ (Entitled) ที่จะโอนย้ายตนเองไปสังกัดต่อ สโมสรกีฬาฟุตบอลอ่ืนได้อย่างเสรี (Free Transfer) นอกจากนี้ หลังจากปี ค.ศ.1964 ยังได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อิสระ (คณะกรรมการ Individual Transfer Tribunal) (ในปัจจุบันคณะกรรมการนี้ถูกเรียกว่า คณะกรรมการวินิจฉัยค่าตอบแทนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ หรือคณะกรรมการ Professional Football Compensation Committee (PFCC))25 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระที่ประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กร กากับกีฬาฟุตบอล (Representatives) ในประเทศอังกฤษ (เช่น พรีเมียร์ลีก (Premier League) ฟุตบอล ลีก (Football League) ส มาคมนักกีฬาฟุตบอล อา ชีพ ( Professional Footballers' Association) และสมาคมผู้จัดการลีก (League Managers' Association) เป็นต้น) มาทาหน้าที่และมี บทบาทวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างว่าด้วยเรื่ องค่าตอบแทนระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพและนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ โดยคณะกรรมการดังกล่าวทางานอย่างเป็นอิสระ โดยต้องพิจารณาข้อ พิพาทเก่ียวกับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรมและสมเหตุสมผล จากที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ศาลยุติธรรมของประเทศอังกฤษได้วางบรรทัดฐานโดยตั้งอยู่บน หลักการ 2 ประการ น้ันก็คือ (1) ประการแรก ศาลยุติธรรมอังกฤษได้วางหลักเกณฑ์เพื่อปกป้องเสรีภาพ ของนักกีฬาฟุตบอลในการประกอบอาชีพภายใต้อุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลประเทศอังกฤษ (2) ประการท่ี สอง ศาลยุติธรรมอังกฤษยังได้วางหลักเกณฑ์สัญญาจากัดสิทธิในการประกอบอาชีพของนักกีฬาฟุตบอล อาชีพภายใต้หลัก Restraint of Trade ที่ถือว่าระบบ Retain and Transfer System เป็นการจากัด การแข่งขันทางการค้าอย่างไม่สมเหตุสมผล 2.2 Europeanization of the Football Transfer ระบบ Transfer System ได้ถูกนามาใช้บังคับในการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาค ยุโรปอย่างเป็นที่แพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบการแข่งขันแบบลีกของประเทศที่อยู่ในภูมิภาคยุโรป แต่ยัง รวมไปถึงการแข่งขันระบบลีกระดับภูมิภาคยุโรปอีกด้วย หากทว่าระบบ Transfer System ท่ีบังคับใช้ใน หลายประเทศต่างก็มีข้อจากัดอยู่ในประเด็นที่ว่า แม้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้หมดสัญญากับต้นสังกัดเดิม ไปแล้วก็ตาม แต่หากนักกีฬาฟุตบอลอาชีพประสงค์ที่จะโอนย้ายไปสังกัดยังสโมสรกีฬาฟุตบอลอ่ืน ก็ต้อง 25 Gernon, A. (2018). The Transfer Market: The Inside Stories. London: Pitch Publishing.

18 ให้สโมสรกีฬาฟุตบอลที่ประสงค์จะรับโอนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพนั้น จ่ายค่าธรรมเนียมการโอน ย้าย (Transfer Fee) แก่สโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเดิมเสียก่อน26 แม้ว่าสัญญาจ้างระหว่างสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิมกับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจะได้หมดอายุลงไปแล้วก็ตาม ซ่ึงระบบลีกการแข่งขัน กีฬาฟุตบอลที่ได้นาระบบ Transfer System มาบังคับใช้ก็มักกล่าวอ้างว่าระบบ Transfer System นี้ เอง สามารถป้องกันไม่ให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีสถานะทางเศรษฐกิจดีกว่า (สโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพขนาดใหญ่ที่มีฐานะร่ารวย) อาศัยข้อได้เปรียบทางการเงินของตนทาการฉกตัว ( Stealing) นักกีฬา ฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่า (สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ ขนาดเล็กที่มีฐานะยากจน) ในขณะที่สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าอาจได้ เคยลงทุนใช้ทรัพยากร (Resources) ของตนมาทาการฝึกฝนและอบรมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพรุ่นเยาว์ท่ีมี ศักยภาพหรือนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีพรสวรรค์ เพราะว่าหากปล่อยให้มีการอาศัยความได้เปรียบใน สถานะทางเศรษฐกิจดีกว่าของสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีฐานะร่ารวยกว่ามาเอาเปรียบสโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพที่มีฐานะด้อยกว่าแล้ว ก็อาจจะดูไม่เป็นธรรมต่อสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่มีฐานะด้อยกว่าที่เคย ลงทุนใช้ทรัพยากรที่ตนมีทุ่มเทฝึกฝนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพให้กลายเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีมีศักยภาพ สูงหรือเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพดาวรุ่งเสียเท่าไรนัก ระบบ Transfer System ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายทั่วทั้งภูมิภาคยุโรปผ่านการบังคับใช้ระบบ Transfer System ในระบบการแข่งขันกีฬาฟุตบอลแบบลีกยุโรป (European League) ตั้งแต่ระบบลีก European Cup ในอดีตไปจนถึงระบบลีก UEFA Champions League ในปัจจุบัน (ท่ีจัดขึ้นโดยสหภาพ สมาคมฟุตบอลยุโรป (Union of European Football Associations หรือ UEFA)) ประกอบกับมี กระบวนการยุโรปภิวัตน์ของตลาดการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Europeanization of the Football Transfer Market) ที่สนับสนุนให้เกิดการซื้อขายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพหนึ่งกับอีกสโมสรกีฬาฟุตบอลหนึ่ง (Trade) ในภูมิภาคยุโรป ภายใต้ระบบ Transfer System ย่อมเป็นปัจจัยสาคัญที่สนับสนุนให้เกิดกระบวนการยุโรปภิวัตน์ของตลาดการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพ27 รวมไปถึงความสัมพันธ์ในตลาดการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพถูกเชื่อมโยงระหว่าง นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ สโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดเดิมและสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัดใหม่ (สโมสรที่รับ โอน) นอกจากนี้แล้วการที่ UEFA เป็นองคาพยพหนึ่งของภูมิภาคยุโรปแล้ว ก็จาต้องปฏิบัติตามและ เคารพต่อกฎระเบียบท่ีอยู่ภายใต้สหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) 26 Feess, E. & Muehlheusser, G. (2003). The Impact of Transfer Fees on Professional Sports: An Analysis of the New Transfer System for European Soccer. Scandinavian Journal Of Economics, 1 (105), 139-154. 27 Frick, B. (2007). The Football Players' Labor Market: Empirical Evidence from the Major European Leagues. Scottish Journal of Political Economy, 3 (54), 422-446.

19 อนึ่ง ระบบ Transfer System ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในภูมิภาคยุโรป เป็นปัจจัยสาคัญที่ส่งผลให้ เกิดกระบวนการยุโรปภิวัตน์ของตลาดการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ นั้นก็เพราะระบบดังกล่าวเป็น กระบวนการ (Process) ที่ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนนักกีฬาฟุตบอลในฐานะที่เป็นแรงงานข้ามชาติใน ภูมิภาคยุโรปเดียวกัน28 อีกทั้งยังทาให้เกิดพลวัตรการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจผ่านการจ่ายค่าธรรมเนียม การโอนย้ายจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหน่ึงให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหน่ึง รวมไปถึงทาให้เกิดพล วัตรการขับเคลื่อนทางสังคมท่ีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวง กีฬา (Professional Football Stakeholders) เช่น สมาคมกีฬาฟุตบอล (Football Associations) สโมสรกีฬาฟุตบอล (Football Clubs) ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตบอล (Football Coach) นักกีฬาฟุตบอล (Football Players) และผู้ติดตามชมการแข่งขันกีฬา (Football Fans) ต่างก็อาจมีส่วนมาปฏิสัมพันธ์ หรือช่วยผลักดันให้เกิดกระบวนการยุโรปภิวัตน์ของตลาดการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพผ่านการ ปฏิบัติต่อนักกีฬาฟุตบอลที่สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพได้รับโอนเข้ามายังสโมสรหรือโอนย้ายไปยังสโมสร อื่นในรูปแบบท่ีแตกต่างกันออกไป อีกประการหนึ่ง กฎเกณฑ์ (Rules) ภายใต้ระบบ Transfer System เป็นกลไกสาคัญที่ทาให้ เกิดการบูรณภาพภูมิภาคยุโรป (European Integration) กล่าวคือระบบ Transfer System มุ่งให้ สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพของชาติต่างๆ ในยุโรป ที่เป็นสมาชิกของระบบลีก European Cup ในอดีตไป จนถึงระบบลีก UEFA Champions League ในปัจจุบันได้ปฏิบัติตามภายใต้การสร้างสรรค์ระบบธรร มาภิบาลกีฬาฟุตบอลยุโรป โดยการพัฒนากฎเกณฑ์ของระบบ Transfer System จากผู้จัดการแข่งขัน ระบบลีกยุโรป (ยูฟ่า หรือ UEFA)) มาควบคุมการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพสมาชิก พร้อมกับสร้างระบบ Transfer System สาหรับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพให้มีความเป็นเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทาให้เกิดก ารโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะที่เป็นแรงงานในตลาดกีฬาฟุตบอลยุโรปจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศ หน่ึง ทาให้เกิดการกระจายนักกีฬาฟุตบอลท่ีมีฝีมือและทักษะการเล่นท่ีดีไปในในหลายประเทศในภูมิภาค ยุโรป รวมไปถึงก่อให้เกิดการสร้างรายได้ การเคลื่อนย้ายเงินทุน การสร้างแรงงานทักษะกีฬาฟุตบอล และการแลกเปลี่ยนทักษะการเล่นกีฬาฟุตบอลระหว่างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพด้วยกัน อันเป็นกลไกสาคัญ ให้กีฬาฟุตบอลยุโรปมีพัฒนาการขับเคล่ือนไปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี กฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System เคยเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคทาง กฎหมายบางประการ สาเหตุสาคัญมาจากกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System ขัดหรือแย้งกับ กฎหมายสหภาพยุโรป (European Union Law หรือ EU Law) ในปัจจุบัน (หรือกฎหมายประชาคม ยุโรป (European Community Law หรือ EC Law) เดิม) โดยศาลยุติธรรมยุโรป (European Court 28 Magee, J. & Sugden, J. (2002). ‘“The World at their Feet” Professional Football and International Labor Migration. Journal of Sport and Social Issues, 4 (26), 421-437.

20 of Justice หรือ ECJ)29 ในฐานะที่เป็นศาลสูงในภูมิภาคยุโรปที่ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมตรวจสอบใน เนื้อหาของกฎเกณฑ์หรือบทบัญญัติทางการกีฬา เพื่อไม่ให้ขัดกับเจตนารมณ์หรือวัตถุประสงค์ของ กฎหมายสหภาพยุโรปที่มีผลบังคับใช้ในขณะน้ัน ได้เข้ามามีบทบาทสาคัญท่ีเข้ามาอานวยความยุติธรรมใน ประเด็นที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวกับ กฎหมายสหภาพยุโรปว่าด้วยการเคลื่อนย้ายแรงงานและบริการอย่างเสรี (Free Movement of Workers and Services) อันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอาชีพของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรป ผ่านการพัฒนากฎหมายที่กาเนิดขึ้นจากคาพิพากษาของศาลยุติธรรมยุโรป (Development of ECJ’s Case Law) กล่าวคือศาลยุติธรรมยุโรปได้วินิจฉัยช้ีขาดในประเด็นท่ีเกี่ยวเนื่องกับกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System ที่บังคับใช้อยู่ในขณะน้ันว่าขัดหรือแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรป (กฎหมายประชาคม ยุโรป) อย่างไรบ้าง โดยศาลยุติธรรมยุโรปมีบทบาทในการวางกฎเกณฑ์ในเบื้องต้น ( Preliminary Ruling) ในคาวินิจฉัยชี้ขาดว่าการกระทาใดชอบด้วยกฎหมาย (Legality) หรือการกระทาใดไม่ชอบด้วย กฎหมาย (Illegality) เกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพบ้าง ตัวอย่างเช่นคดี Union Royale Belge des Sociétés de Football Association ASBL v Jean-Marc Bosman (1995) C-415/93 (คดี Bosman Ruling)30 อันเป็นคดีพิพาทในประเด็นเรื่อง เสรีภาพในการเคล่ือนย้ายถิ่นฐานสาหรับแรงงาน (Freedom of Movement for Workers) เสรีภาพใน การเข้าร่วมสมาคม (Freedom of Association)31 และผลโดยตรงที่เกี่ยวกับประเด็นทางกฎหมายใน มาตรา 39 แห่งสนธิสัญญาก่อตั้งประชาคม (Treaty establishing the European Community หรือ สนธิสัญญา TEC) ในอดีต (หรือมาตรา 45 แห่งสนธิสัญญาว่าด้วยการดาเนินงานของสหภาพยุโรป (Treaty on the Functioning of the European Union หรือสนธิสัญญา TFEU) ในปัจจุบัน) โดยนาย Jean-Marc Bosman นักฟุตบอลอาชีพชาวเบลเยียมประสงค์ที่โอนย้ายจากสโมสร Royal Football Club de Liège (สโมสร RFC Liège) ในประเทศเบลเยียมอันเป็นสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิม ไปยังสโมสร Union Sportive du Littoral de Dunkerque (สโมสร USL Dunkerque) ในประเทศ ฝรั่งเศส อันเป็นสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ประสงค์จะรับนาย Jean-Marc Bosman เข้ามาเป็นนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพในสังกัด แต่นาย Jean-Marc Bosman ไม่สามารถย้ายมาสังกัดสโมสร USL Dunkerque ได้ เนื่องจากสโมสร USL Dunkerque ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพให้กับ 29 García, B. (2006). Playing ball: EU regulation of professional football since the Bosman ruling. Retrieved August 7, 2019, https://www.files.ethz.ch/isn/27196/PB_June06_Football.pdf 30 EUR-Lex. (2019). Judgment of the Court of 15 December 1995. Union royale belge des sociétés de football association ASBL v Jean-Marc Bosman, Royal club liégeois SA v Jean-Marc Bosman and others and Union des associations européennes de football (UEFA) v Jean-Marc Bosman (Document 61993CJ0415). Retrieved August 7, 2019, https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/?uri=CELEX%3A61993CJ0415 31 Binder, J. & Findlay, M. ( 2011). The Effects of the Bosman Ruling on National and Club Teams in Europe. Journal of Sports Economics, 13 (2), 107-129.

21 สโมสร RFC Liège ตามที่ได้ทาข้อตกลงการรับโอนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ในเบ้ืองต้นกับสโมสร RFC Liège อีกท้ังสโมสร RFC Liège ยังต้ังจานวนเงินค่าธรรมเนียมโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในอัตราท่ีสูง สโมสร USL Dunkerque จึงไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ในอัตราที่สูงดังกล่าว ผลที่ตามมาทาให้นาย Jean-Marc Bosman ไม่อาจโอนย้ายไปสังกัดสโมสร USL Dunkerque นาย Jean-Marc Bosman จึงคงต้องสังกัดอยู่กับสโมสร RFC Liège อันเป็นสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพต้นสังกัดเดิม อีกท้ังสโมสร RFC Liège ยังได้ห้ามไม่ให้นาย Jean-Marc Bosman เล่นกีฬา ฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสรอื่นอีก พร้อมกับสโมสร RFC Liège ก็ยังไม่ยอมให้นาย Jean-Marc Bosman ลงทาการแข่งขันให้กับสโมสร RFC Liège อันถือเป็นการกระทาในลักษณะกลั่นแกล้งนาย Jean-Marc Bosman รวมไปถึงสโมสร RFC Liège ได้แสวงหาช่องทางกดขี่เงินค่าจ้างและปฏิบัติต่อนาย Jean-Marc Bosman อย่างไม่เป็นธรรมในการจ้างงาน นาย Jean-Marc Bosman จึงได้ฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม สหภาพยุโรป (European Court of Justice) เพื่อขอความเป็นธรรมในประเด็นเกี่ยวกับการจากัดการ แข่งขันทางการค้าอย่างไม่สมเหตุสมผลและเรียกร้องค่าเสียหาย ครั้นต่อมาศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปจึง พิจารณาพิพากษาคุ้มครองนาย Jean-Marc Bosman โดย ศาลสหภาพยุโรปได้วางบรรทัดฐานคุ้มครอง เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพต้องปราศจากการแทรกแซงหรือลดทอน เสรีภาพดังกล่าวโดยสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัด การกระทาของสโมสร RFC Liège ถือเป็นการ กระทาที่ขัดต่อหลักการในมาตรา 39 (1) แห่งสนธิสัญญาก่อตั้งประชาคมหรือสนธิสัญญา TEC (ในอดีต) หรือมาตรา 45 (1) แห่งสนธิสัญญา TFEU (ในปัจจุบัน) ผลของคาพิพากษาฉบับนี้เท่ากับเป็นการวางกฎซึ่งเรียกว่ากฎบอสแมน (หรือกฎ Bosman Ruling) ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการกีฬาฟุตบอลยุโรปต้องปฏิบัติตาม โดยนักกีฬาฟุตบอลทุกคนสังกัด สโมสรกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปได้รับการรับรองหรือคุ้มครองสิทธิในการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพข้ามสโมสร (Right to a Free Transfer) ในขณะที่สัญญาจ้างได้หมดอายุลงแล้ว โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่อยู่ในภูมิภาคยุโรปหรือระหว่าง สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่อยู่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปด้วยกัน (EU Association) กล่าวอีกนัย หนึ่งสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปจะใช้โ อกาสเหนี่ยวรั้งเพื่อสกัดกั้นการโอนย้ายข้ามสโมสร ด้วยความสมัครใจของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพไม่ได้ และสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปก็ไม่ อาจจะเตะถ่วงเพื่อให้กระบวนการการโอนย้ายข้ามสโมสรเนิ่นนานไป เพียงเพราะต้องการต่อรองเก่ียวกับ จานวนเงินค่าธรรมเนียมโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ อีกทั้งผลของคาพิพากษาดังกล่าวยังได้วางบรรทัดฐานในประเด็นการจากัดจานวนผู้เล่น ชาวต่างชาติ (Quotas on the Number of Foreigners) หรืออาจเรียกว่ากฎโควตา (Quota Rules)32 32 Garcia, B. (2016). `He was not alone: Bosman in context'. IN Duval, A. and Van Rompuy, B. (eds.) The Legacy of Bosman. The Hague: TMC ASSER Press.

22 ซึ่งกฎเช่นว่านี้จากัดจานวนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพชาวต่างชาติที่สามารถสังกัดได้ในสโม สรกีฬาฟุตบอล อาชีพในภูมิภาคยุโรป กล่าวในทางเดียวกันกฎดังกล่าวสร้างข้อจากัดจานวนนักกีฬาฟุตบอลที่ไม่ได้มี สัญชาติของประเทศสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ (Restrictions on the Number of Non-Nationals Allowed on Club Teams) กฎเช่นว่าน้ีเคยถูกนามาบังคับใช้ภายในลีกการแข่งขันในประเทศสมาชิกใน สหภาพยุโรปและลีกการแข่งขันของระบบลีกยุโรป UEFA (เช่น การแข่งขัน UEFA Cup (หรือการแข่งขัน UEFA Europa League ในปัจจุบัน) และการแข่งขัน European Cup (หรือการแข่งขัน UEFA Champions League ในปัจจุบัน) แต่ทว่ากฎ Bosman Ruling จากคาพิพากษาศาลสหภาพยุโรปได้วาง หลักเกณฑ์เอาไว้ว่าการจากัดจานวนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพชาวต่างชาติที่สามารถสังกัดได้ในสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรปนั้น ถือเป็นการกีดกันหรือเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม (Discriminated) เพียงเพราะความแตกต่างในเรื่องของสัญชาติ เพราะหากปล่อยให้มีกฎหนึ่งกฎใดมาทาลายเสรีภาพใน การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพชาวต่างชาติข้ามสโมสรหรือกีดกันไม่ยอมให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ชาวต่างชาติโอนย้ายข้ามสโมสรได้แล้ว ก็ย่อมถือว่าเป็นการขัดกับหลักการของสนธิสัญญา TFEU (ใน ปัจจุบัน) กล่าวโดยสรุป ระบบ Transfer System มีบทบาทสาคัญต่อระบบการแข่งขันกีฬาฟุตบอล อาชีพในสหภาพยุโรปเป็นอย่างมาก ทาให้เกิดการโยกย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพหนึ่งไปยังอีกสโมสรหนึ่ง ส่วนหน่ึงสร้างรายได้ให้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีขายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพ อีกส่วนหนึ่งก็ทาให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ซื้อนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ผู้เล่นกีฬาฟุตบอลที่มี ประสิทธิภาพหรือศักยภาพเอาไว้ครอบครอง เพื่อสร้างผลงานให้ทีมสโมสรกีฬาฟุตบอลสู่ความสาเร็จใน อนาคต อีกทั้งนักกีฬาฟุตบอลอาชีพยังเป็นเครื่องมือสาคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมของสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพกับสร้างความตื่นเต้นเร้าใจจากการที่มีผู้เล่นกีฬาฟุตบอลท่ีมีทักษะความสามารถมาลงเล่น ในเกมการแข่งขันในระบบลีก แต่ระบบ Transfer System ก็มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและอุปสรรคใน การดารงเสรีภาพของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในหลายประเด็นด้วยกัน สาเหตุสาคัญมาจากการอาศัย ช่องว่างของกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System ของลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลและข้อผูกพันใน สัญญาจ้างที่นักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ทาเอาไว้กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้นสังกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นปัญหาเก่ียวกับสิทธิในการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร เพราะแท้จริงแล้วสิทธิในการ โอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสรควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย ถ่ินฐานสาหรับแรงงานและยอมรับเสรีภาพในการเข้าร่วมสมาคมของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพทุกคนในฐานะ ที่เป็นแรงงานและนักกีฬาในภูมิภาคยุโรป โดยกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System ที่มุ่งสร้าง มาตรฐานที่เป็นเอกภาพเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหา ประโยชน์เหนือตัวนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ พร้อมกับอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่นักกีฬาฟุตบอล อาชีพในอีกทางหน่ึง ในทางกลับกันกฎ Bosman Ruling ได้สร้างหลักประกันสิทธิในการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร ภายใต้การส่งเสริมเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานสาหรับแรงงานและ

23 เสรีภาพในการเข้าร่วมสมาคมของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในลักษณะเริ่มผ่อนคลายการบังคับกฎเกณฑ์ ภายใต้ระบบ Transfer System ของลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรป ด้วยการสร้างแนว บรรทัดฐานใหม่ที่ประกันสิทธิดังกล่าว 2.3 ระบบ Transfer System ในปัจจุบัน ระบบ Transfer System ในปัจจุบัน ถูกกากับดูแลโดยองค์กรกากับดูแลด้านกีฬาฟุตบอลท้ังใน ระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับชาติ โดยองค์กรดังกล่าวมีการใช้กฎระเบียบในการ จัดระบบ มีข้อกาหนดเกี่ยวกับนักกีฬาฟุตบอล ในการข้ึนทะเบียน การแบ่งประเภท ขั้นตอนการโอนย้าย ช่วงระยะเวลาการโอนย้าย การจ้างงาน การยืมตัว การส่งรายช่ือทีม เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังน้ี 2.3.1 องค์กรกำกับดูแลด้านกีฬาฟุตบอล องค์กรหลัก 3 องค์กร ที่มีผลต่อกฎระเบียบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรป นั่นก็คือ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (Federation International Football Association หรือ FIFA) สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (Union of European Football Associations หรือ UEFA) และ สหภาพ ยุโรป (หรือ EU) ซึ่งปัญหาหลักประการหนึ่งเกี่ยวกับกฎระเบียบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล คือ กฎระเบียบของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และของสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) เป็นไป ตามกฎหมายของสหภาพยุโรปหรือไม่ นอกจากนี้แต่ละประเทศในสหภาพยุโรปเองก็มีกฎหมายท่ีแตกต่าง กัน ซ่ึง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) จะต้องตระหนักถึง (1) สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) โครงสร้างของกีฬาฟุตบอลนานาชาติมีการกากับดูแลเป็นลาดับชั้น โดยมี สหพันธ์ฟุตบอล นานาชาติ (FIFA) อยู่ในลาดับชั้นบนสุด ซึ่งถูกจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1904 ภายใต้กฎหมาย ของสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เกิดโครงสร้างการจัดการกีฬาฟุตบอลในระดับนานาชาติข้ึน และเพื่อให้เกิดการพัฒนาด้านกีฬาฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง สาหรับกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้จัดระบบการกากับ ดูแลกีฬาฟุตบอลที่ครอบคลุม และมีการนาระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลอานาจมาใช้ในการแบ่ง หน่วยงานย่อยที่มีอย่างเหมาะสม ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบ คือ รัฐสภา คณะกรรมการบริหาร เลขาธิการ และคณะกรรมาธิการถาวรและเฉพาะกิจ สาหรับลาดับชั้นถัดลงมาคือ สหภาพสมาคมฟุตบอล 6 ภูมิภาค ได้แก่ สหภาพสมาคมฟุตบอลเอเชีย (Asian Football Confederation หรือ AFC) สหภาพ สมาคมฟุตบอลแอฟริกา (Confederation of African Football หรือ CAF) สหภาพสมาคมฟุตบอล อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน (Confederation of North, Central America and Caribbean Association Football หรือ CONCACAF) สหภาพสมาคมฟุตบอลอเมริกาใต้ (South American Football Confederation หรือ CONMEBOL) สหภาพสมาคมฟุตบอลโอเชียเนีย (Oceania

24 Football Confederation หรือ OFC) และสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) ในแต่ละสหภาพที่ ตั้งขึ้นตามภูมิภาคต่าง ๆ จะมีโครงสร้างการกากับดูแลเช่นเดียวกับ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และสามารถออกกฎระเบียบข้อบังคับแยกต่างหากของตนเองได้ ตราบเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎระเบียบ ของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) นอกจากนี้ สหภาพที่ตั้งขึ้นตามภูมิภาคต่าง ๆ ยังมีหน้าที่กากับ ดูแลสมาคมฟุตบอลระดับชาติท่ีตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน โดยสมาคมฟุตบอลระดับชาติแต่ละแห่งมีอานาจ ในการออกกฎระเบียบแยกต่างหากของตนเองได้ ตราบเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎระเบียบของสหภาพ สมาคมฟุตบอลที่สอดคล้องกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และยังถือว่าสมาคมฟุตบอลระดับชาติ เป็นสมาชิกหนึ่งของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) โดยสมาคมฟุตบอลระดับชาติแต่ละแห่งมีหน้าที่ กากับดูแลสโมสรฟุตบอลต่าง ๆ ท่ีอยู่ภายในชาติของตนตามแต่ระดับของการแข่งขัน เช่น ดิวิชั่น 1 ดิวิช่ัน 2 ดิวิชั่น 3 เป็นต้น และสุดท้ายนักกีฬาฟุตบอลก็อยู่ภายใต้การกากับดูแลของ สโมสรฟุตบอลที่ตนสังกัด อยู่33 (2) สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) ในปี ค.ศ. 2019 สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) กากับดูแลสมาคมฟุตบอลระดับชาติ จานวน 55 ประเทศ โดยบริหารจัดการการแข่งขันฟุตบอลผ่านสมาคมฟุตบอลระดับชาติ และการจัดการ แข่งขันฟุตบอลของตนเอง เช่น การแข่งขันยูฟ่าแชมป์เปียนลีก ยูฟ่ายูโรปาลีก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติ ยุโรป เป็นต้น สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) มีโครงสร้างโครงสร้างการกากับดูแลเช่นเดียวกับ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และมีการใช้ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลโดยประกอบด้วย รัฐสภา คณะกรรมการบริหาร เลขาธิการ และองค์กรบริหารงานยุติธรรม34 (3) สหภาพยุโรป สหภาพยุโรปเป็นผลผลิตของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคยุโรป ประกอบด้วยประเทศจานวน 28 ประเทศ การรวมตัวกันนี้ส่งผลให้เกิดการสร้างและการดาเนินการทาง นโยบายและกฎหมายที่เหนือกว่านโยบายและกฎหมายของแต่ละประเทศสมาชิก โดยสหภาพยุโรปมี องค์กรที่กากับดูแลประชาคมยุโรปอยู่ 5 องค์กร คือ รัฐสภายุโรป สภายุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป ศาล ยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ศาลผู้สอบบัญชียุโรป โดยองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาฟุตบอลมากที่สุดคือ รัฐสภายุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป และศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปถือได้ ว่ามีความสาคัญมากเนื่องจากเป็นที่รวมของตัวแทนผลประโยชน์ของสหภาพยุโรปที่ครบถ้วน และมี อานาจหน้าที่ร่างและเสนอนโยบายและกฎหมายต่อรัฐสภายุโรป และสภายุโรป เพื่อให้ผ่านเป็นนโยบาย และกฎหมายของสหภาพยุโรป เมื่อประกาศใช้นโยบายและกฎหมายแล้ว คณะกรรมาธิการยุโรปก็จะทา 33 Lembo, Christina, (2011) “FIFA Transfer Regulations and UEFA Player Eligibility Rules: Major Changes in European Football and the Negative Effect on Minors” Emory International Law Review 25(1), 541-542. 34 UEFA, (2019) about UEFA, Retrieved August 1, 2019, from https://www.uefa.com/insideuefa/about-uefa/

25 หน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติตามนโยบายและกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป เป็นองค์กรตุลาการสูงสุดของสหภาพยุโรป ที่ทาหน้าที่ให้แน่ใจว่าประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปใช้ กฎหมายของสหภาพยุโรปได้เท่าเทียมกัน รวมถึงทาให้แน่ใจว่ากฎหมายระดับชาติและกฎหมายยุโรป สอดคล้องกับสนธิสัญญาสหภาพยุโรป ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปยังมีอานาจในการระงับข้อพิพาท ทางกฎหมายระหว่างประเทศสมาชิก สถาบัน หน่วยธุรกิจ และบุคคลท่ัวไป อีกด้วย ซ่ึงคาตัดสินของศาล ยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปก็มีผลต่อการบริหารจัดการกีฬาฟุตบอลด้วย 35 2.3.2 กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (1) กฎระเบียบของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ที่เกี่ยวกับสถานภาพและการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอล (2001) ภายหลังจากการมีคาพิพากษาของศาลยุติธรรมสหภาพยุโรป กรณีบอสแมน ใน ค.ศ. 1995 ก็ เกิดการประชุมร่วมกันระหว่าง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) สหภาพ สมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) เพื่อทบทวนและปรับปรุงระบบการโอนย้ายนักฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร ระหว่างประเทศกันหลายครั้ง จนกระท่ังใน ค.ศ. 2001 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ได้ออกระเบียบ ปฏิบัติว่าด้วยสถานภาพและการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล (Regulations on the Status and Transfer of Players) ซ่ึงมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2001 โดยมีระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลใหม่ 5 ประเด็น36 คือ ประเด็นแรก ระเบียบได้กาหนดระยะเวลาการจ้างนักกีฬาฟุตบอลขั้นต่า 1 ปี และไม่เกินกว่า 5 ปี เพื่อเป็นการป้องกันการกาหนดสัญญาจ้างระยะยาวเกินไปของสโมสรฟุตบอล อันจะทาให้สโมสร ฟุตบอลสามารถเรียกค่าชดเชยการโอนย้ายจากนักกีฬาฟุตบอลก่อนท่ีสัญญาเขาจะหมดอายุ และจะส่งผล ทาให้สโมสรฟุตบอลไม่ได้ค่าชดเชยใด ๆ ตามกฎของ บอสแมน แต่หากสัญญาหมดอายุช้าสโมสรฟุตบอล มีสิทธิจะได้รับค่าชดเชยการโอนย้ายในระยะเวลายาวนานกว่า นอกจากนี้ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ต้องการที่จะส่งเสริมความมั่นคงทางสัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอล โดยการกาหนดว่าสัญญาไม่ สามารถยกเลิกสัญญาได้เพียงฝ่ายเดียว ข้อกาหนดนี้อาจจะผูกมัดกับการทาสัญญาครั้งแรกของนักกีฬา ฟุตบอลมากเกินไป สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) จึงกาหนดระยะเวลาของการจ้างตามสัญญาจ้าง นักกีฬาฟุตบอลคร้ังแรกเป็นเวลา 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับอายุของนักกีฬาฟุตบอล ประเด็นที่สอง ระเบียบได้กาหนดช่วงเวลาในการโอนย้ายระหว่างประเทศ หรือเรียกว่า “หน้าต่างโอนย้าย” (transfer windows) ได้ 2 ครั้ง ต่อ 1 ฤดูกาลแข่งขัน โดยครั้งแรกเป็นระยะเวลา 35 Lembo, Christina, (2011) “FIFA Transfer Regulations and UEFA Player Eligibility Rules: Major Changes in European Football and the Negative Effect on Minors” Emory International Law Review 25(1), 543-544. 36 Lembo, Christina, (2011) “FIFA Transfer Regulations and UEFA Player Eligibility Rules: Major Changes in European Football and the Negative Effect on Minors” Emory International Law Review 25(1), 552-555.

26 สั้นๆ ในช่วงกึ่งกลางฤดูกาลแข่งขัน มีช่วงเวลา 4 สัปดาห์ คร้ังท่ีสองเกิดข้ึนหลังฤดูกาลแข่งขันสิ้นสุดจนถึง เริ่มฤดูกาลถัดไป มีช่วงเวลา 12 สัปดาห์ และนักกีฬาฟุตบอลแต่ละคนสามารถโอนย้ายระหว่างประเทศ ได้เพียง 1 ครั้ง ต่อ ฤดูกาลแข่งขันเท่าน้ัน ประเด็นที่สาม ระเบียบได้สร้างระบบการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลที่เชื่อมต่อระหว่างสหพันธ์ ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) กับสมาคมฟุตบอลระดับชาติเพ่ือติดตามการโอนย้าย โดยการกาหนดให้นักกีฬา ฟุตบอลที่ประสงค์จะลงแข่งขันฟุตบอลในรายการต่าง ๆ ที่จัดโดยสมาคมฟุตบอลระดับชาติ จะต้องขึ้น ทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลกับสมาคมฟุตบอลระดับชาติน้ัน ๆ และสมาคมฟุตบอลระดับชาติหน่ึงสามารถข้ึน ทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลจากสมาคมฟุตบอลระดับชาติอื่น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับใบรับรองการโอนย้าย ระหว่างประเทศ จากสมาคมฟุตบอลระดับชาติเดิมของนักกีฬาฟุตบอลก่อน และยังกาหนดให้ การออก ใบรับรองการโอนย้ายระหว่างประเทศห้ามกาหนดเง่ือนไขและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพ่ือคุ้มครองสิทธิการ โอนย้ายของนักกีฬาฟุตบอล ประเด็นท่ีส่ี ระเบียบกาหนดให้การคุ้มครองนักเตะเยาวชนท่ีมีอายุต่ากว่า 18 ปี โดยมี 2 ส่วน คือ (1) สมาคมฟุตบอลระดับชาติท่ีอยู่ในสหภาพยุโรป หรือเขตเศรษฐกิจยุโรป ไม่อนุญาตให้นักเตะเยาวชนท่ี มีสัญชาติอยู่นอกสหภาพยุโรป หรือเขตเศรษฐกิจยุโรป ขึ้นทะเบียนเป็นนักกีฬาฟุตบอล มีข้อยกเว้นข้อ เดียวคือการย้ายมาอาศัยในสหภาพยุโรป หรือเขตเศรษฐกิจยุโรปด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล เช่น พ่อแม่มาทางานในในสหภาพยุโรป หรือเขตเศรษฐกิจยุโรป เป็นต้น (2) นักเตะเยาวชนที่อยู่ใน สหภาพยุโรป หรือเขตเศรษฐกิจยุโรป สามารถโอนย้ายภายในเขตได้ ประเด็นที่ห้า ระเบียบได้กาหนด สภาตัดสินข้อพิพาท (FIFA Dispute Resolution Chamber หรือ DRC) เพื่อจัดการข้อพิพาทเรื่องค่าชดเชย เหตุอันควรทางกีฬา และการละเมิดสัญญา ระบบ อนุญาโตตุลาการนี้ คิดขึ้นโดยปราศจากอคติจากทางฝ่ายนักกีฬาฟุตบอล หรือจากทางสโมสรฟุตบอล เพื่อหาทางแก้ไขข้อพิพาทก่อนขึ้นสู่ศาลในข้อพิพาทระหว่างสโมสรฟุตบอลกับนักกีฬาฟุตบอล นอกจากนี้ ระบบตัดสินข้อพิพาทดังกล่าว ได้คานึงถึงข้อกาหนดท่ีเกี่ยวข้อง กฎหมาย และหรือข้อตกลงในการเจรจา ซึ่งรวมอยู่ในระดับชาติและความจาเพาะของกีฬา ระเบียบยังกาหนดว่าผู้ที่ไม่พอใจในคาตัดสินสามารถ อุทธรณ์ไปยังศาลอนุญาโตตุลาการสาหรับฟุตบอล (Arbitration Tribunal for Football) (2) กฎระเบียบของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ท่ีเก่ียวกับสถานภาพและการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอล (2018) ระเบียบปฏิบัติว่าด้วยสถานภาพและการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล (Regulations on the Status and Transfer of Players) มีการแก้ไขปรับปรุงอีกหลายครั้ง โดยการแก้ไขปรับปรุงครั้งล่าสุดคือ เมื่อ วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ.2017 และมีผลบังคับใช้เม่ือ 1 มกราคม ค.ศ.2018 สามารถแบ่งออกได้ 9 หมวด 7 ภาคผนวก คือ หมวดท่ี 1 บทบัญญัติเบ้ืองต้น หมวดที่ 2 สถานภาพของนักกีฬาฟุตบอล หมวดที่ 3 การ ขึ้นทะเบียนของนักกีฬาฟุตบอล หมวดที่ 4 การรักษาไว้ซึ่งความรับผิดชอบทางสัญญาระหว่างนักกีฬา

27 ฟุตบอลอาชีพกับสโมสรฟุตบอล หมวดที่ 5 อิทธิพลของมือที่สาม และสิทธิ์ขาดในสิทธิทางเศรษฐกิจของ นักกีฬาฟุตบอล หมวดที่ 6 การโอนย้ายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับนักเตะเยาวชน หมวดที่ 7 ค่าตอบแทนการฝึกอบรม และกลไกความเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน หมวดที่ 8 อานาจควบคุม หมวดที่ 9 บทบัญญัติสุดท้าย ภาคผนวก 1 การปล่อยตัวผู้เล่น ภาคผนวก 2 ขั้นตอนควบคุมการทาคาร้องขอขึ้น ทะเบียนนักเตะเยาวชนระหว่างประเทศ ภาคผนวก 3 ระบบการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลออนไลน์ ภาคผนวก 4 ค่าตอบแทนการฝึกอบรม ภาคผนวก 4 กลไกความเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน ภาคผนวก 6 ขั้นตอนควบคุมการใช้สิทธิเรียกร้องค่าตอบแทนการฝึกอบรม และกลไกความเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน ภาคผนวก 7 กฎสาหรับสถานภาพและการโอนย้ายนักกีฬาฟุตซอล37 สาหรับขอบเขตของระเบียบปฏิบัติว่าด้วยสถานภาพและการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล (Regulations on the Status and Transfer of Players) นั้น (ต่อไปนี้จะเรียกว่าระเบียบ RSTP) ถูก ใช้บังคับในระดับโลก และมีผลผูกพันกับเกี่ยวกับสถานภาพของนักกีฬาฟุตบอล สิทธิ์ในการเข้าร่วมการ แข่งขัน และการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลระหว่างสโมสรที่อยู่ต่างสมาคมฟุตบอลกันหรือการโอนย้าย ระหว่างประเทศ ส่วนการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลระหว่างสโมสรที่อยู่สมาคมฟุตบอลเดียวกันหรือการ โอนย้ายภายในประเทศน้ัน จะอยู่ภายใต้การบังคับของระเบียบท่ีประกาศใช้โดยสมาคมฟุตบอลน้ัน ๆ แต่ อย่างไรก็ตาม ระเบียบดังกล่าวจะต้องผ่านการรับรองจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติก่อนประกาศใ ช้ บังคับ38 ระเบียบของสมาคมฟุตบอลระดับประเทศที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพและการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลนั้น จะต้องนาข้อกาหนดของระเบียบ RSTP ในข้อ 2-8, 10, 11, 12bis, 18, 18bis, 18ter, 19 และ 19bis ท้ังหมดบรรจุในระเบียบของสมาคมด้วย โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไข นอกจากน้ีจะต้องกาหนด ระเบียบให้คานึงถึง 3 เรื่องที่สาคัญคือ การธารงไว้ซึ่งความมั่นคงทางสัญญา การชาระเงินที่เคารพ กฎหมายภายในประเทศ ข้อตกลงที่ร่วมเจรจาต่อรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการที่กาหนดไว้ในข้อ 13 - 1739 ในระเบียบ RSTP ได้กาหนดว่า นักกีฬาฟุตบอลมี 2 ประเภท คือ นักกีฬาฟุตบอลสมัครเล่น กับ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ โดยนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจะมีสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรและได้รับ ค่าตอบแทนเท่านั้น นักกีฬาฟุตบอลอื่น ๆ นอกจากนั้น จะถือว่าเป็นนักกีฬาฟุตบอลสมัครเล่น 40 โดย นักกีฬาฟุตบอลทั้ง 2 ประเภท จะต้องขึ้นทะเบียนกับสมาคมฟุตบอลเพื่อเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลใด สโมสรหนึ่ง หากไม่ขึ้นทะเบียนจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันในทุกรายการ การขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล นั้น จะต้องปฏิบัติตามกฎและระเบียบของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติและของสมาคมฟุตบอล และนักกีฬา 37 FIFA, RSTP 2018. 38 FIFA, RSTP 2018, Article 1(1). 39 FIFA, RSTP 2018, Article 1(3). 40 FIFA, RSTP 2018, Article 2.

28 ฟุตบอลแต่ละคนสามารถขึ้นทะเบียนได้ครั้งละ 1 สโมสรเท่านั้น ไม่สามารถขึ้นทะเบียนเพื่อลงแข่งให้ สโมสรซ้อนกันได้ โดยใน 1 ฤดูกาลแข่งขัน นักกีฬาฟุตบอลสามารถโอนย้ายสโมสรฟุตบอลได้มากสุด 3 สโมสร แต่ระเบียบ RSTP กาหนดว่านักกีฬาฟุตบอลมีสิทธิ์ลงแข่งฟุตบอลในแมทช์ทางการได้เพียง 2 สโมสรเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากนักกีฬาฟุตบอลโอนย้ายสโมสรไปยังสโมสรที่เล่นในรายการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติ และรายการฟุตบอลชิงถ้วยต่าง ๆ เดียวกัน จะถูกห้ามแข่งขันให้กับสโมสรหลัง ในรายการน้ัน ๆ41 นอกจากนี้ ระเบียบ RSTP ได้กาหนดระยะเวลาการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลในรอบปี 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง แล้วแต่ที่สมาคมฟุตบอลแต่ละแห่งจะกาหนด โดยการขึ้นทะเบียนครั้งแรกจะเป็นช่วง หลังจากการสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขัน จนถึงช่วงเริ่มฤดูกาลแข่งขันใหม่ ในช่วงเวลานี้จะไม่เกิน 12 สัปดาห์ ส่วนการขึ้นทะเบียนครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในช่วงกึ่งกลางของฤดูกาลแข่งขัน ในช่วงนี้จะไม่เกิน 4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามการกาหนดช่วงการขึ้นทะเบียนของแต่ละสมาคมฟุตบอลจะต้องป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ TMS ไม่น้อยกว่า 12 เดือน ก่อนท่ีจะมีผลใช้บังคับ 42 ในการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล สมาคมฟุตบอลจะต้องกาหนดให้แต่ละสโมสรฟุตบอลออก หนังสือเดินทางนักกีฬาฟุตบอล (Player passport) ให้ โดยระบุสโมสรฟุตบอลที่ที่ได้ขึ้นทะเบียนตั้งแต่ อายุ 12 ปี เป็นต้นไป (เพิ่มรายละเอียดข้อมูลในนั้น)43 ในการยื่นใบคาร้องขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพนั้น จะต้องย่ืนสาเนาสัญญาจ้างของนักกีฬา ฟุตบอลแนบไปด้วย โดยให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ตัดสินใจมีอานาจในการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างของ นักกีฬาฟุตบอลได้ ให้สอดคล้องกับหลักการที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติกาหนด เพื่อเป็นการคุ้มครอง นักกีฬาฟุตบอลแต่ละคน44 ในการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลในสมาคมฟุตบอลที่อยู่ต่างประเทศ จะต้องมีใบรับรองการ โอนย้ายระหว่างประเทศ (International Transfer Certificate) ที่ออกให้โดยสมาคมฟุตบอลเดิม ประกอบการยื่นคาร้องขอข้ึนทะเบียนในสมาคมฟุตบอลใหม่ด้วย การออกใบรับรองการโอนย้ายระหว่าง ประเทศของสมาคมฟุตบอลเดิมนั้น ระเบียบ RSTP กาหนดว่าห้ามระบุเงื่อนไขหรือกาหนดระยะเวลาใด ๆ ในการออกใบรับรอง หากมีการกาหนดจะถือว่าเงื่อนไขเหล่านั้นเป็นโมฆะ และยังกาหนดว่าให้ส่ง สาเนาใบรับรองการโอนย้ายระหว่างประเทศไปที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติเก็บไว้ด้วย ส่วนสมาคม ฟุตบอลใหม่ที่รับขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ มีหน้าที่แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแก่สมาคมฟุตบอล 41 FIFA, RSTP 2018, Article 2. 42 FIFA, RSTP 2018, Article 6. 43 FIFA, RSTP 2018, Article 7. 44 FIFA, RSTP 2018, Article 8.

29 ของสโมสรฟุตบอลที่ทาหน้าที่ให้การฝึกอบรมและให้การศึกษาแก่นักกีฬาฟุตบอลที่อยู่ในช่วงอายุ 12 ปี ถึง 23 ปี ด้วย45 การยืมตัวนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระหว่างสโมสรสามารถทาได้โดยการจัดทาข้อตกลงที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรระหว่างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพกับสโมสรฟุตบอลที่เกี่ยวข้อง โดยการยืมตัวนั้น จะต้องอยู่ ภายใต้ข้อกาหนดเดียวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล รวมถึงข้อกาหนดเกี่ยวกับค่าตอบแทนการ ฝึกอบรม และกลไกความเป็นน้าหนึ่งในเดียวกัน อีกด้วย นอกจากนี้จะต้องมีการยืมตัวนักกีฬาฟุตบอล ในช่วงเดียวกันกับกาหนดระยะเวลาขึ้นทะเบียนที่ในแต่ละสมาคมกาหนดด้วย อย่างไรก็ตาม ระเบียบ RSTP ยังกาหนดอีกว่าเมื่อสโมสรใหม่รับการยืมตัวไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์โอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลไปยังสโมสร ฟุตบอลอ่ืน โดยไม่ได้รับอนุญาตสโมสรฟุตบอลต้นสังกัดและนักกีฬาฟุตบอลเอง46 ระเบียบ RSTP ได้กาหนดเงื่อนไขในกระบวนการทาสัญญาจ้างระหว่างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพกับ สโมสรฟุตบอลไว้ดังน้ี 47 - หากมีคนกลางร่วมเจรจาต่อรองในสัญญาจะต้องระบุชื่อในสัญญาด้วย - สัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพมีระยะเวลาสูงสุดคือ 5 ปี หากมากว่านี้จะได้รับอนุญาตเป็น รายกรณีไป โดยต้องสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศน้ัน ๆ ด้วย - นักเตะเยาวชนที่มีอายุต่ากว่า 18 ปี ห้ามลงนามสัญญาจ้างนักฟุตบอลอาชีพที่มีระยะ เวลานานกว่า 3 ปี - สโมสรฟุตบอลใหม่ที่ประสงค์จะทาสัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ต้องแจ้งสโมสรฟุตบอล ต้นสังกัดด้วยลายลักษณ์อักษรก่อนท่ีจะเข้าไปเจรจากับนักกีฬาฟุตบอล - นักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่เหลือสัญญากับสโมสรต้นสังกัดไม่ถึง 6 เดือน หรือหมดสัญญาแล้ว มี อิสระในการเข้าเจรจาและทาสัญญากับสโมสรฟุตบอลใหม่ - ความสมบูรณ์ของสัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตรวจร่างกาย หรือการได้ใบอนุญาตการทางาน ใน ระเบียบ RSTP มีข้อกาหนดเพื่อคุ้มครองนักเตะเยาวชน48 ดังน้ี - ข้อกาหนดห้ามนักเตะเยาวชนอายุต่ากว่า 18 ปี โอนย้ายสโมสรระหว่างประเทศ โดยระบุว่า “การโอนย้ายนักฟุตบอลระหว่างประเทศ จะได้รับอนุมัติเฉพาะนักฟุตบอลท่ีมีอายุมากว่า 18 ปี เท่านั้น” - ข้อกาหนดยกเว้นการห้าม 3 กรณี ดังน้ี 45 FIFA, RSTP 2018, Article 9. 46 FIFA, RSTP 2018, Article 10. 47 FIFA, RSTP 2018, Article 18. 48 FIFA, RSTP 2018, Article 19.

30 ข้อยกเว้นที่ 1 ผู้ปกครองของนักเตะเยาวชนย้ายไปยังประเทศที่สโมสรฟุตบอลใหม่ตั้งอยู่ ด้วย เหตุผลที่ไม่เช่ือมโยงกับฟุตบอล เช่นผู้ปกครองย้ายไปทางานในต่างประเทศ ข้อยกเว้นที่ 2 การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลภายในขอบเขตของสหภาพยุโรป (EU) หรือเขต เศรษฐกิจยุโรป (EEA) และนักเตะเยาวชนมีอายุระหว่าง 16-18 ปี ในกรณีนี้สโมสรฟุตบอลใหม่ จะต้อง ปฏิบัติตามข้อผูกพันขั้นต่า ดังนี้คือ (1) สโมสรฟุตบอลใหม่จะต้องจัดเตรียมการศึกษาด้านฟุตบอลและ หรือการฝึกซ้อมตามมาตรฐานขั้นสูงแก่นักเตะเยาวชน (2) สโมสรฟุตบอลใหม่จะรับประกันแก่นักเตะ เยาวชน ด้านวิชาการ และหรือ โรงเรียน และหรือ อาชีวศึกษา และหรือการฝึกอบรม ที่นอกเหนือจาก การศึกษาด้านฟุตบอลและการฝึกซ้อม สิ่งนี้จะช่วยให้นักเตะเยาวชนสามารถประกอบอาชีพอย่างอื่น หากต้องหยุดเล่นฟุตบอลอาชีพ (3) สโมสรฟุตบอลใหม่จะจัดเตรียมสิ่งที่จาเป็นเพื่อทาให้มั่นใจว่านักเตะ เยาวชนจะได้รับการดูแลท่ีดีท่ีสุด (มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีกับครอบครัวอุปถัมภ์ หรือในที่พักของสโมสร ฟุตบอล การแต่งตั้งพี่เลี้ยงประจาสโมสรฟุตบอล เป็นต้น) (4) ในการขึ้นทะเบียนนักเตะเยาวชนของ สโมสร สโมสรจะต้องแสดงหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องว่าได้ปฏิบัติตามข้อผูกพันดังกล่าว สาหรับประเทศที่นักเตะเยาวชนอายุ 16-18 ปี สามารถโอนย้ายระหว่างประเทศได้นั้น ใน สหภาพยุโรป มีท้ังหมด 28 ประเทศคือ ออสเตรีย เบลเยียม บัลแกเรีย โครเอเชีย ไซปรัส เช็ก เดน มาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลัตเวีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย สเปน สวีเดน สหราชอาณาจักร และในเขตเศรษฐกิจยุโรปอีก 3 ประเทศ ที่นอกเหนือจาก 28 ประเทศข้างต้น คือ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนส ไตน์ และนอร์เวย์ ข้อยกเว้นที่ 3 นักเตะเยาวชนมีท่ีพักไม่เกิน 50 กิโลเมตร จากชายแดน และสโมสรฟุตบอลที่นัก เตะเยาวชนจะขึ้นทะเบียนในสมาคมฟุตบอลของประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในระยะไม่เกิน 50 กิโลเมตรจาก ชายแดน โดยระยะห่างสูงสุดระหว่างภูมิลาเนาของนักเตะเยาวชนกับสานักงานใหญ่ของสโมสรฟุตบอลจะ ไม่เกิน 100 กิโลเมตร และในข้อยกเว้นดังกล่าว นักเตะเยาวชนจะต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของตนต่อไปและ สมาคมฟุตบอลของท้ัง 2 ประเทศ จะต้องให้ความยินยอมอย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ยังกาหนดอีกว่าข้อกาหนดดังกล่าว จะใช้กับนักเตะเยาวชนที่ไม่เคยขึ้นทะเบียนกับ สโมสรฟุตบอลมาก่อน และไม่ใช่สัญชาติของประเทศที่เขาต้องการไปขึ้นทะเบียนครั้งแรก และนักเตะ เยาวชนคนนั้น จะไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศนั้นต่อเน่ืองมากกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม การโอนย้ายนักเตะเยาวชนระหว่างประเทศและการขึ้นทะเบียนครั้งแรก นั้ น จะต้องผ่านการอนุมัติจากคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะกรรมการสถานภาพนักกีฬา ฟุตบอลเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองนักเตะเยาวชน เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจึงจะ สามารถไปขอใบรับรองการโอนย้ายระหว่างประเทศ หรือการขึ้นทะเบียนครั้งแรกได้ หากฝ่ าฝืนจะถูก ลงโทษโดยคณะกรรมการวินัยตามระเบียบปฏิบัติของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ

31 โรงเรียนฟุตบอล (academy) ทั้งหลาย มีหน้าที่ต้องรายงานนักเตะเยาวชนทุกคนที่อยู่ใน โรงเรียนฟุตบอลแก่สมาคมฟุตบอล และสมาคมฟุตบอลมีหน้าที่เก็บทะเบียนนักเตะเยาวชนเอาไว้ โดยมี รายละเอียดประกอบด้วย ช่ือ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด โรงเรียนฟุตบอลท่ีอยู่49 ค่าตอบแทนการฝึกอบรม สโมสรฟุตบอลใหม่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนการฝึกอบรมให้แก่สโมสร ฟุตบอลที่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมให้แก่นักเตะเยาวชนโดยจะจ่ายให้ต่อเมื่อนักเตะเยาวชนคนนั้นได้ลงนาม สัญญาในฐานะนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ และจะจ่ายให้ในแต่ละครั้งที่มีการโอนย้ายนักฟุตบอลอาชีพจะกว่า อายุ 23 ปี50 กลไกความเป็นน้าหนึ่งในเดียวกัน หากมีการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพก่อนที่สัญญาจ้างจะ สิ้นสุดลง สโมสรฟุตบอลใดก็ตามที่มาส่วนในการให้การศึกษาและให้ฝึกอบรม จะได้รับสัดส่วนของ ค่าตอบแทนท่ีจ่ายให้กับสโมสรเดิมทุกครั้ง51 (3) กฎ homegrown rule ของสมาพันธ์สมาคมฟุตบอลยุโรป นอกเหนือจากการแข่งขันฟุตบอลที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชัดจะแล้ว สโมสรฟุตบอลต่างๆ ยังเข้า ร่วมการแข่งขันในรายการของสมาพันธ์สมาคมฟุตบอลยุโรปด้วย คือ ยูฟ่าแชมป์เปลี่ยนลีก และยูฟ่ายูโร ปาลีก โดยในปี ค.ศ.2005 สมาพันธ์สมาคมฟุตบอลยุโรปกาหนดกฎ homegrown rule และได้ใช้บังคับ ตลอดมา โดยใน Regulations of the UEFA Champions League 2018-21 Cycle 2019/20 Season ได้กาหนดรายละเอียดดังน้ี สโมสรฟุตบอลมีหน้าที่ในการส่งรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลทั้งชุด A และ ชุด B โดยสโมสรฟุตบอล ต้องลงนามให้ทันตรงเวลา และส่งให้สมาคมฟุตบอลระดับชาติเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และส่งต่อให้ สมาพันธ์สมาคมฟุตบอลยุโรป สาหรับรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลต้องระบุชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด เบอร์ และชื่อบนเสื้อฟุตบอล สัญชาติ วันที่ขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล ชื่อและนามสกุลของหัวหน้าผู้ฝึกสอน นอกจากนี้ในรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลต้องยืนยันผลการ ตรวจสุขภาพของนักกีฬาฟุตบอลทุกคนโดยแพทย์ ประจาสโมสรฟุตบอล52 รายชื่อนักกีฬาฟุตบอลชุด A มีจานวนไม่เกิน 25 คน ในจานวนนี้อย่างน้อย 8 คน ต้องเป็น นักกีฬาฟุตบอลที่ได้รับการฝึกฝนในท้องถิ่น (locally trained player) และ ใน 8 คนนี้ เป็น นักกีฬา ฟุตบอลที่ได้รับการฝึกฝนในสมาคมฟุตบอลระดับชาติเดียวกัน ไม่เกิน 4 คน โดยในรายช่ือนักกีฬาฟุตบอล ชุด A ต้องระบุจาแนกให้ชัดเจนว่านักกีฬาฟุตบอลคนไหนมีคุณสมบัติอย่างได หากสโมสรฟุตบอลใดมี 49 FIFA, RSTP 2018, Article 19bis. 50 FIFA, RSTP 2018, Article 20. 51 FIFA, RSTP 2018, Article 21. 52 UEFA, Regulations of the UEFA Champions League 2018-21 Cycle 2019/20 Season, Article 44.01.

32 จานวนนักกีฬาฟุตบอลที่ได้รับการฝึกฝนในท้องถิ่นน้อยกว่า 8 คน จะทาให้จานวนรายช่ือนักกีฬาฟุตบอล ในชุด A ลดลงตามลาดับ 53 นักกีฬาฟุตบอลที่ได้รับการฝึกฝนในท้องถิ่น (locally trained player) มีความหมายทั้ง \"club- trained player\" กับ \"association-trained player\" นักกีฬาฟุตบอลที่ได้รับการฝึกฝนในสโมสรฟุตบอลปัจจุบัน \"club-trained player\" คือนักกีฬา ฟุตบอลที่มีอายุระหว่าง 15 ปี ถึง 21 ปี โดยไม่คานึงถึงสัญชาติและอายุ ซึ่งนักกีฬาฟุตบอลดังกล่าวเคย ขึ้นทะเบียนกับสโมสรฟุตบอลปัจจุบันเป็นระยะเวลา 3 ฤดูกาลแข่งขัน หรือเป็นระยะเวลา 36 เดือน การ นับระยะเวลาจะติดต่อกันหรือไม่ติดต่อก็ได้ 54 นักกีฬาฟุตบอลที่ได้รับการฝึกฝนในสมาคมฟุตบอลระดับชาติเดียวกัน \"association-trained player\" คือนักกีฬาฟุตบอลที่มีอายุระหว่าง 15 ปี ถึง 21 ปี โดยไม่คานึงถึงสัญชาติและอายุ ซึ่งนักกีฬา ฟุตบอลดังกล่าวเคยขึ้นทะเบียนกับสโมสรฟุตบอลหรือสโมสรฟุตบอลอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกสมาคมฟุตบอล ระดับประเทศเดียวกันกับสโมสรฟุตบอลปัจจุบันของเขา เป็นระยะเวลา 3 ฤดูกาลแข่งขัน หรือเป็น ระยะเวลา 36 เดือน การนับระยะเวลาจะติดต่อกันหรือไม่ติดต่อก็ได้ 55 สาหรับรายช่ือนักกีฬาฟุตบอลชุด B สโมสรฟุตบอลสามารถข้ึนทะเบียนไว้ได้จานวนไม่จากัด แต่มี ข้อกาหนดว่าจะต้องเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่มีอายุไม่เกิน 21 ปี และเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่ได้สิทธิ์ลงเล่น ให้กับสโมสรฟุตบอลน้ันๆ มา ไม่ต่ากว่า 2 ปี56 (4) Premier League Rules ข้อกาหนดสาหรับการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล กาหนดว่า ห้ามนักกีฬาฟุตบอลลงเล่นให้ สโมสรฟุตบอลในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก เว้นแต่สโมสรฟุตบอลทาการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลและผ่าน การยืนยันจากคณะกรรมการพรีเมียร์ลีกแล้ว โดยจะมีผลอย่างน้อย 75 นาที ก่อนเริ่มเกมส์แข่งขัน เพ่ือให้ สามารถลงเล่นหลังจากการปิดหน้าต่างโอนย้ายฤดูร้อน และจนส้ินสุดฤดูกาลแข่งขั้น โดยนักกีฬาฟุตบอล คนน้ันจะต้องปรากฏในรายช่ือนักกีฬาฟุตบอลของสโมสรฟุตบอล หรือเป็นนักกีฬาฟุตบอลอายุต่ากว่า 21 ปี การขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้รับการยืนยันทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จาก ลีก57 53 UEFA, Regulations of the UEFA Champions League 2018-21 Cycle 2019/20 Season, Article 44.02. 54 UEFA, Regulations of the UEFA Champions League 2018-21 Cycle 2019/20 Season, Article 44.04. 55 UEFA, Regulations of the UEFA Champions League 2018-21 Cycle 2019/20 Season, Article 44.05. 56 UEFA, Regulations of the UEFA Champions League 2018-21 Cycle 2019/20 Season, Article 44.11. 57 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.1.

33 การเพิ่มรายชื่อและการลบรายชื่อของสโมสรฟุตบอล สโมสรฟุตบอลจะต้องส่งตามแบบฟอร์มที่ กาหนด และจะเป็นผลเมื่อได้รับการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการพรีเมียร์ลีก 58 การ เปลี่ยนแปลงรายช่ือจะทาได้ต่อเมื่ออยู่ในช่วงระยะเวลาการเปิดหน้าต่างโอนย้ายหรือในเวลาอื่น ที่ได้รับ อนุญาตจากคณะกรรมการพรีเมียร์ลีกเท่านั้น 59 นอกเหนือจากแบบฟอร์มและเอกสารที่กาหนดแล้ว สโมสรฟุตบอลจะต้องจัดส่งสัญญาที่ เก่ียวข้องกับตัวนักกีฬาฟุตบอลท้ังหมด เช่น สัญญาท่ีเป็นข้อเสนอสโมสรฟุตบอล สัญญาท่ีเป็นการกาหนด สิทธิในการโอนย้าย สัญญาจ้างนักกีฬาฟุตบอล ส่งให้คณะกรรมการพรีเมียร์ลีกเห็นชอบด้วย ในขั้นตอน การขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล 60 การขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล พรีเมียร์ลีกได้กาหนดไว้ 4 ประเภท คือ นักกีฬาฟุตบอล สมัครเล่น นักกีฬาฟุตบอลท่ีมีสัญญา (นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ) นักกีฬาฟุตบอลที่มีสัญญารายเดือน นักกีฬา ฟุตบอลที่มีสัญญาชั่วคราว (ยืมตัว) ส่วนการขึ้นทะเบียนนักเตะเยาวชนจะถูกกากับดูแลโดย กฎการ พัฒนาเยาวชน แยกออกไปโดยเฉพาะ 61 ใบรับรองการโอนย้ายระหว่างประเทศ (International Transfer Certificate) พรีเมียร์ลีก กาหนดว่า นักกีฬาฟุตบอลที่จะโอนย้ายมาจากสโมสรฟุตบอลที่สังกัดสมาคมฟุตบอลอื่นๆ จะต้องได้รับ การยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากสมาคมฟุตบอลนั้นๆ และได้ออกใบรับรองการโอนย้ายระหว่าง ประเทศให้นักกีฬาฟุตบอลคนดังกล่าวก่อน รวมถึงกรณีการยืมตัวด้วย 62 สิทธิในการทางานในประเทศอังกฤษ ในใบคาร้องของขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลจะต้องมา พร้อมกับหลักฐานที่พรีเมียร์ลีกเรียกให้แสดงว่า นักกีฬาฟุตบอลคนดังกล่าวสามารถทางานในประเทศ อังกฤษได้ และพรีเมียร์ลีกจะไม่ยืนยีนสิทธิในการลงเล่นจนกว่าจะได้รับหลักฐานดังกล่าว 63 หน้าต่างการโอนย้าย พรีเมียร์ลีกกาหนดว่า หน้าต่างโอนย้าย หมายถึง ช่วงเวลา 2 ช่วงเวลาใน 1 ปี ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สโมสรฟุตบอลสามารถขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลใหม่ ขึ้นทะเบียนนักกีฬา ฟุตบอลท่ีโอนย้ายมา และการขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอลท่ีโอนย้ายชั่วคราว หรือการยืมตัว64 สาหรับหน้าต่างการโอนย้ายฤดูร้อนนั้น จะวันสิ้นสุดจะกาหนดไว้ในเวลา 17.00 น. ของวัน พฤหัสบดีสุดท้ายก่อนจะเริ่มฤดูกาลแข่งขัน หรือเป็นวันอื่นๆ ตามดุลยพินิจที่คณะกรรมการพรีเมียร์ลีก 58 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.4. 59 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.6. 60 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.8. 61 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.9. 62 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.11. 63 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article U.13 64 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article V.1.

34 กาหนด ซึ่งจะใช้วันที่สโมสรฟุตบอลส่วนใหญ่เห็นด้วย ส่วนเวลาเริ่มต้นของหน้าต่างการโอนย้ายฤดู ร้อน น้ันกาหนดไว้ 2 แบบ คือ 1) ตอนเที่ยงคืนในวันสุดท้ายของฤดูกาลแข่งขัน หรือ 2) เวลาเท่ียงคืนของวันท่ี นับย้อนหลังจากวันสิ้นสุดข้ึนมา 12 สัปดาห์ แล้วแต่ว่าจะใช้เวลาใด 65 สาหรับหน้าต่างการโอนย้ายฤดูหนาว จะเริ่มต้นขึ้นในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม หรือ ตามวันเวลาอื่นๆ ตามดุลยพินิจที่คณะกรรมการพรีเมียร์ลีกกาหนด และจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม หากเป็นวันทางาน หรือไม่เป็นวันทางานให้เป็นวันทางานแรกหลังจากนั้น ตามเวลาที่คณะกรรมการ พิจารณา 66 นอกเหนือจากช่วงเวลาหน้าต่างการโอนย้ายดังกล่าว คณะกรรมการพรีเมียร์ลีกอาจใช้ดุลยพินิจ อย่างเด็ดขาดได้ ในการที่จะปฏิเสธคาร้องเพื่อขึ้นทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล หรือ ในการอนุญาตให้ขึ้น ทะเบียนนักกีฬาฟุตบอล หากคณะกรรมการเห็นว่าเหมาะสมโดยสามารถกาหนดเงื่อนไขให้สโมสร ฟุตบอลและนักกีฬาฟุตบอลต้องผูกพัน 67 65 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article V.2. 66 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article V.3. 67 Premier League, Premier League Rules in Premier League Handbook Season 2019/20, Article V.4.

35 บทที่ 3 การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและ กฎหมายสหภาพยุโรป ระบบ Transfer System ได้ถูกออกแบบเพื่อรองรับการโยกย้ายถิ่นฐานของนักกีฬาฟุตบอลใน ฐานะที่เป็นนักกีฬาในอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลยุโรป พร้อมกับถูกกาหนดขึ้นเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ าย แรงงานในฐานะที่เป็นแรงงานในตลาดยุโรป68 อีกทั้งระบบ Transfer System ก็ถูกสร้างขึ้นมารองรับ การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะผู้ที่มีทักษะทางการเล่นกีฬาฟุตบอลสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการของ สโมสรกีฬาฟุตบอลต่างๆ ในภูมิภาคยุโรป สโมสรกีฬาฟุตบอลต่างๆ ในภูมิภาคยุโรปจึงยื่นข้อเสนออันเป็น หนทางสู่ความเจริญก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจ สังคมและกีฬา69 ภายใต้การออกแบบระบบ Transfer System ให้เชื่อมโยงกับการลงทุนในนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะที่เป็นทั้งแรงงานและนักกีฬาอาชีพ เช่น การฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอล การพัฒนาทักษะทางการกีฬา และการส่งเสริมความแข็งแรงทางกาย เป็น ต้น การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพส่งผลดีต่อสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีมีศักยภาพทางการเงินและ มีความพร้อมรับนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอื่นเข้ามาทางานหรือประกอบอาชีพ ในสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพของตน เพราะการซ้ือตัวนักกีฬาฟุตบอลศักยภาพและทักษะมาได้น้ัน ย่อมทา ให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพมีโอกาสพัฒนาทีมของตนเพ่ือเป้าหมายชัยชนะในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลกับ ชัยชนะในเกมธุรกิจกีฬาฟุตบอลได้ แต่กระนั้นก็ตามประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในการโอนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสรก็ไม่ถูกให้ความสาคัญเท่าที่ควร ประกอบกับมาตรฐานที่เป็นเอกภาพเกี่ยวกับ การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์เหนือตัวนักกีฬาฟุตบอล อาชีพ พร้อมกับอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดข่ีนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในอีกทางหนึ่ง ภายหลังจากที่ศาลยุติธรรมยุโรปได้พิพากษาคดี Union Royale Belge des Sociétés de Football Association ASBL v Jean-Marc Bosman (1995) C-415/93 (หรือคดี Bosman Ruling) ที่สร้างหลักประกันสิทธิในการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร ภายใต้การส่งเสริมเสรีภาพใน การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานสาหรับแรงงานและเสรีภาพในการเข้าร่ว มสมาคมของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพใน 68 Walters, G. & Rossi, G. (2009). Labour Market Migration in European Football: Key Issues and Challenges. Birkbeck Sport Business Centre Research Paper, 2 (2), 1-163. 69 Poli, R., Besson, R. & Ravenel, L. (2018). Football Analytics The CIES Football Observatory 2017/18 season. Neuchâtel: CIES Football Observatory.

36 ลักษณะที่สร้างกฎเกณฑ์ในระบบ Transfer System ของลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรป รูปแบบใหม่ขึ้นมา70 พร้อมกับผ่อนคลายหรือยกเลิกการบังคับกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบ Transfer System ของลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปในรูปแบบเดิม ย่อมเป็นเคร่ืองยืนยันว่าศาลยุติธรรมยุโรป ได้วางหลักเกณฑ์ไปในเชิงคุ้มครองนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการบังคับใช้กฎเกณฑ์ ในระบบ Transfer System จากสโมสรกีฬาฟุตบอลต้นสังกัด ที่อาศัยช่องแสวงหาประโยชน์หรือหากิน กับความทุกข์ยากของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่ต้องการทางานเล้ียงชีพในตลาดแรงงานยุโรป ในเวลาต่อมาองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรปได้ร่วมกันกาหนดนโยบายและ กาหนดกฎหมายสหภาพยุโรปขึ้นมาหลายฉบับ ที่ไม่เพียงศึกษาและให้ข้อเสนอแนวทางในส่วนของการ ขจัดการเอารัดเอาเปรียบนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในฐานะท่ีเป็นทั้งนักกีฬาอาชีพและแรงงานเท่าน้ัน หากแต่ ยังเสนอแนะมาตรการของสหภาพยุโรปที่ให้ความคุ้มครองนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ทาให้นักกีฬาฟุตบอลที่ ต้องการโอนย้ายข้ามสโมสรไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสโมสรกีฬาฟุตบอลและไม่เป็นเหยื่อของความเป็น เป็นธรรมภายใต้การบังคับใช้ระบบ Transfer System71 อีกประการหนึ่ง ในขณะที่กฎหมายสหภาพ ยุโรปได้วางหลักเกณฑ์ในลักษณะให้ความคุ้มครองนักกีฬาฟุตบอลอาชีพทั้งในฐานะที่เป็นนักกีฬาอาชีพ และแรงงาน สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพบางส่วนในภูมิภาคยุโรปก็ยังหลีกเล่ียงที่จะดาเนินตามนโยบายและ กฎหมายสหภาพยุโรปเก่ียวกับสิทธิมนุษยชนของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ในบทที่ 3 จะทาการศึกษานโยบายและกฎหมายสหภาพยุโรป (EU Law & Policy) ท่ีเกี่ยวข้องกับ การโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ อาทิ (1) พัฒนาการของกฎหมายสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพโดยสังเขป (2) สนธิสัญญา Treaty on the Functioning of the European Union 2007 (3) เอกสาร White Paper on Sport 2007 (4) เอกสาร Communication on Sports 2011 และ (5) เอกสาร Council Resolution on an EU Work Plan for Sport 2017-202072 เพื่อ นาไปสู่ (6) อภิปรายนโยบายและกฎหมายสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพใน บริบทสิทธิมนุษยชนในส่วนสุดท้าย ท้ายที่สุดเนื้อหาในบทที่ 3 นี้จะสร้างข้อสรุปว่าทิศทางของกฎหมายและนโยบายสหภาพยุโรปว่า ด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพมีสาระสาคัญอย่างไรบ้าง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตบางประการ เกี่ยวกับกฎหมายและนโยบายสหภาพยุโรปดังกล่าวว่าอาจมีปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายอย่างไรบ้าง 70 Binder, J. J. & Findlay, M. (2008). The Effects of the Bosman Ruling on National and Club Teams in Europe. Journal of Sports Economics, 13 (2), 107-129. 71 Lee, A. L. (1995). The Bosman Case: Protecting Freedom of Movement in European Football. Fordham International Law Journal, 3 (19), 1255-1316. 72 European Olympic Committees EU Office. (2011). Guide to EU Sport Policy. Brussels: European Olympic Committees EU Office.

37 3.1 พัฒนาการของกฎหมายสหภาพยุโรปเกี่ยวกับกีฬาและการกีฬา กฎหมายสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (EU law relating to the transfer of professional football players between football clubs) เป็นกฎ ระเบียบหรือ ข้อบังคับลายลักษณ์อักษรอันมีที่มาจากองค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรปหรือสถาบันทางการเมืองของ สหภาพยุโรป ซึ่งกฎ ระเบียบหรือข้อบังคับที่ออกมาเพื่อใช้บังคับเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอล อาชีพข้ามสโมสร รวมทั้งคาพิพากษาศาลยุติธรรมยุโรป (หรือ ECJ) ที่องค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรป และสถาบันทางการเมืองขอสหภาพยุโรปใช้ยึดเป็นบรรทัดฐานในการดาเนินงาน (เช่น (หรือคดี Bosman Ruling) แต่เดิมนั้นองค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรปในฐานะที่เป็นผู้จัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพ ระดับภูมิภาคยุโรปหรือสโมสรกีฬาฟุตบอล ได้พยายามสร้างกฎ ระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ให้นักกีฬาฟุตบอลอาชีพผู้ที่มาเข้าร่วมการแข่งขันในระบบลีกยึดถือปฏิบัติหรือให้ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพผู้เข้ามาสังกัดในสโมสรของตนผูกพันปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กาหนดเอาไว้ภายใต้ สัญญาจ้าง แต่ในปัจจุบันองค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรปหรือสถาบันทางการเมืองของสหภาพยุโรปได้ บัญญัติสนธิสัญญาลายลักษณ์อักษรอันมีเน้ือหาสาระสาคัญเกี่ยวกับส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของนักกีฬาและ มีการรับรองคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของนักกีฬา อันเป็นไปตามปรัชญาของการกีฬาสหภาพยุโรปโดยแท้ ที่ว่าการแข่งขันกีฬาและการดาเนินกิจกรรมกีฬาอย่างหนึ่งอย่างใดต้องถือหลักการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Play) และผู้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาต้องยึดมั่นถือมั่นในหลักการมีนา้ ใจนักกีฬา (Sportsmanship) ผ่านการยอมรับนับถือเคารพต่อนักกีฬาหรือผู้เล่นกีฬาฝ่ายตรงกันข้าม พร้อมกับปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กรอบ จริยธรรมจรรยาบรรณในเกมการแข่งขันกีฬา สนธิสัญญาลายลักษณ์อักษรที่บรรจุหลักการเช่นว่านี้มีอยู่ ใน สนธิสัญญา Treaty on the Functioning of the European Union 2007 (หรือสนธิสัญญา Lisbon Treaty) มาตรา 6 และมาตรา 165 (1) (2) ของสนธิสัญญาดังกล่าวได้นาเอาหลักเกณฑ์ทั้ง หลักการแข่งขันท่ีเป็นธรรมและหลักการมีน้าใจนักกีฬามาบรรจุเอาไว้ แล้วตีความแบบขยายความท้ังสอง มาตราน้ีมาสนับสนุนสิทธิเสรีภาพการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภ าคยุโรป อย่างไรก็ตาม โดยอาศัยการตีความตามมาตรา 6 และมาตรา 165 (1) (2) ของสนธิสัญญาลิสบอน หลักเกณฑ์ทั้งสองมาตรานี้สนับสนุนการแข่งขันที่เป็นธรรมและธรรมาภิบาลในแวดวงกีฬายุโรป พร้อม อาศัยการตีความแบบขยายความทั้งสองมาตรานี้มาสนับสนุนสิทธิเสรีภาพการโอนย้ายนักกีฬ าฟุตบอล อาชีพในภูมิภาคยุโรป โดยสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป องค์กรกากับกีฬายุโรปและสโมสร กีฬาฟุตบอลอาชีพในยุโรปได้ให้สิทธินักกีฬาฟุตบอลอาชีพการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพข้ามสโมสร เมื่อนักกีฬาฟุตบอลอาชีพหมดสัญญากับสโมสรต้นสังกัดเดิมและสนับสนุนสิทธิในการเคลื่ อนย้ายถ่ินฐาน อย่างอิสระในฐานะที่นักกีฬาอาชีพดังกล่าวเป็นแรงงาน แต่ทว่าเป็นระยะเวลาสิบเอ็ดปี (นับแต่ สนธิสัญญา Lisbon Treaty บังคับใช้ในปี 2009 มาจนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน) สถานการณ์เกี่ยวกับการ

38 โอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพกลับถูกจากัดด้วยข้อจากัดสิทธิเสรีภาพของนักกีฬาฟุตบอลในอุตสาหกรรม กีฬาฟุตบอลยุโรป เหตุนี้เองหัวข้อต่อไปจึงได้ทบทวนเอกสารทางกฎหมายกีฬาสหภาพยุโรปที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับศึกษาวิเคราะห์ประเด็นเกี่ยวกับทิศทางและนโยบายสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการโ อนย้ายนักกีฬา ฟุตบอลอาชีพ พร้อมกับวิเคราะห์อุปสรรคของการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพว่าด้วยการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ 3.2 สนธิสัญญา Treaty on the Functioning of the European Union 200773 สหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) กาเนิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของหลายประเทศใน ภูมิภาคยุโรป โดยเป้าหมายของการรวมกลุ่มกันนั้นก็เพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ในรูปแบบของสถาบันแบบเหนือรัฐ (Supranational Institution) อีกทั้งยังมีเป้าหมายอีกประการหนึ่งก็ เพื่อส่งเสริมสันติภาพระหว่างประเทศในภูมิภาคยุโรป ทั้งนี้เป็นไปตามการลงนามในสนธิสัญญาก่อตั้ง สหภาพยุโรป (Treaty of the European Union) (หรือเรียกว่าสนธิสัญญามาสทริกท์ (Maastricht Treaty)) สนธิสัญญาฉบับนี้ประกอบด้วยสาระสาคัญที่ว่าต้องการให้สหภาพยุโรปมีการรวมตัวกันทาง เศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการดาเนินการในรูปแบบของตลาดเดียว (Single Market) ในภูมิภาคยุโรป74 ซ่ึงการ ดาเนินการเช่นว่านี้จะขับเคลื่อนไปได้นั้น ก็จาต้องมีสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาท อานาจและหน้าที่ แตกต่างกันออกไป ทั้งในฐานะที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการระดับภูมิภาคยุโรป ได้แก่ รัฐสภายุโรป (European Parliament) คณะมนตรียุโรป (European Council) คณะมนตรีแห่ง ส ห ภ า พ ยุ โ ร ป (Council of the European Union) แ ล ะ ค ณ ะ ก ร ร ม า ธิ ก า ร ยุ โ ร ป (European Commission) รวมไปถึงสถาบันตุลาการของสหภาพยุโรป ได้แก่ ศาลชั้นต้นยุโรป (General Court) และศาลยุติธรรมยุโรป (European Court of Justice หรือ ECJ) ในฐานะที่เป็นองค์กรตุลาการระดับ ภูมิภาคท่ีมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาและมีกลไกตรวจสอบการกระทาอันละเมิดกฎหมายสหภาพยุโรปและ พันธกรณีของสนธิสัญญาต่างๆ (Matters of EU Law) ประเทศสมาชิกต่างๆ ต้องยอมรับอานาจศาล แล้วเมื่อศาลได้ทาคาพิพากษาแล้ว คาพิพากษาก็จะมีผลผูกพันประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป กฎหมายสหภาพยุโรปมีกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ 2 ระดับ ได้แก่ กฎหมายหลัก (Primary Legislation) อันเปรียบเสมือนกฎหมายพื้นฐานของสหภาพยุโรป เช่น สนธิสัญญาฉบับต่างๆ (Treaties) และกฎหมายรอง (Secondary Legislation) อันเปรียบเสมือนเครื่องมืออันมีข้อผูกพันทาง กฎหมายให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตาม (Binding legal instruments) เช่น ข้อบังคับ (Regulations) ข้อกาหนด (Directives) และคาส่ัง (Decisions) อีกทั้งยังมีเครื่องมืออันปราศจากข้อผูกพันทางกฎหมาย 73 EUR-Lex. (2016). Consolidated version of the Treaty on the Functioning of the European Union. Retrieved August 15, 2019, https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/?uri=celex%3A12012E%2FTXT 74 Parrish, R. (2003). Sports law and policy in the European Union. Manchester: Manchester University Press.

39 ให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตาม (Non-binding legal instruments) เช่น ข้อเสนอแนะ(Recommen- dations) และความเห็น (Opinions) เป็นต้น สหภาพยุโรปได้บัญญัติสนธิสัญญาว่าด้วยการทางานของสหภาพยุโรป 2007 (Treaty on the Functioning of the European Union หรือสนธิสัญญา TFEU) (ภายหลังถูกแก้ไขเพิ่มเติมและ ปรับปรุงโดย สนธิสัญญาลิสบอน 2009 (Lisbon Treaty) หรือสนธิสัญญาปฏิรูปสหภาพยุโรป (Reform Treaty))75 ท่ีไม่เพียงเป็นกฎหมายหลักวางหลักเกณฑ์ในเร่ืองการทางานของสหภาพยุโรปเท่านั้น หากแต่ ยังมีบางมาตราที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อส่งเสริมการกีฬาในภูมิภาคยุโรป ตัวอย่างเช่น มาตรา 6 แห่ง สนธิสัญญาดังกล่าวได้วางหลักเกณฑ์ให้อานาจแก่สหภาพยุโรปให้การกระทาการเพื่อสนับสนุน ประสานงานและส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกดาเนินการทานุบารุงวัฒนธรรม พร้อมกับส่งเสริมการศึกษา และการกีฬา อีกทั้งสนธิสัญญาดังกล่าวยังได้บรรจุหลักการส่งเสริมการกีฬาในภูมิภาคยุโรปเอาไว้ใน มาตรา 165 กล่าวคือ มาตรา 165 (1) แห่งสนธิสัญญา TFEU ที่วางหลักเกณฑ์ไว้ว่าสหภาพยุโรปพึงมี ส่วนร่วมส่งเสริมการกีฬาในภูมิภาคยุโรป ในขณะเดียวกันการส่งเสริมการกีฬานั้น ก็จะต้องคานึงถึง ธรรมชาติเฉพาะในแต่ละชนิดกีฬา ซึ่งโครงสร้างของแต่ละชนิดกีฬาอยู่บนฐานแห่งกิจกรรมที่ผู้เข้าร่วม สมัครใจและการทางานส่งเสริมการศึกษาและสังคม และมาตรา 165 (2) แห่งสนธิสัญญา TFEU ได้วาง หลักเกณฑ์ไว้ว่าสหภาพยุโรปพึงจะพัฒนามิติการกีฬาภูมิภาคยุโรป โดยการส่งเสริมความเป็นธรรมและ การเปิดกว้างในการแข่งขันและความร่วมมือทางการกีฬาระหว่างองค์กรผู้รับผิดชอบการกีฬาและโดยการ ปกป้องบูรณภาพทางกายภาพและคุณธรรมของทั้งนักกีฬาชายและนักกีฬาหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักกีฬาเยาวชน76 อนึ่ง หากพิจารณาเนื้อความตามมาตรา 6 แห่งสนธิสัญญา TFEU77 ก็จะพบว่าสหภาพยุโรปมี หน้าที่ผูกพันต้องกระทาการเพ่ือสนับสนุน ประสานงานและส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกดาเนินการส่งเสริม การกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความมั่นใจว่าจะสนับสนุนให้องค์กรกากับ กีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปมีอิสระภาพในการจัดการตนเอง (Autonomy) และเสริมสร้างให้องค์กร กากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปดาเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) รวมไปถึง องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปย่อมมีอานาจดาเนินการออกกฎเกณฑ์มากากับตนเอง (Self-Regulation) เพื่อให้เกิดมาตรฐานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วท้ังภูมิภาค ตลอดจนสร้างแนวปฏิบัติท่ี 75 Parrish, R., García, B. & Siekmann, R. (2010). The Lisbon Treaty and EU Sports Policy. Brussels: European Parliament's Policy Department Structural and Cohesion Policies. 76 European Commission. (2011). Communication from the Commission to the European Parliament, the Council, the European Economic and Social Committee and the Committee of the Regions. Brussels: European Commission. 77 Iskra, K. A. (2019). Fact Sheets on the European Union: Sport. Retrieved August 15, 2019, from http://www.europarl.europa.eu/factsheets/en/sheet/143/sport

40 ดีวิธีปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ท่ีทาให้องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปประสบความสาเร็จตาม เป้าหมายที่กาหนดเอาไว้ จนองค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้ยอมรับนับถือ และสะท้อนความสาเร็จผ่านการจัดทานโยบายและกฎหมายสหภาพยุโรปสาหรับสร้างมาตรฐานทางการ กีฬาฟุตบอลให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวกัน ทั้งนี้การออกกฎเกณฑ์มากากับตนเองและการสร้างแนว ปฏิบัติที่ดีวิธีปฏิบัติที่ดีขององค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรป ก็จาต้องคานึงถึงหรือตระห นักว่า กฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่ดี ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรป น้ันหมายความว่ากฎเกณฑ์และ แนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพขององค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปก็ ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรปด้วย กฎหมายสหภาพยุโรปในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับการโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (EU rules relating to the free movement of sportspeople) อาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขจัดการแข่งขันปราศจากการกีดกันหรือการเลือกปฏิบัติ ( non-discriminatory competitions) โดยกฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพขององค์กร กากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปต้องถูกบัญญัติขึ้น ผ่านการคานึงถึงทั้งมิติความชอบด้วยกฎหมาย (legality) และมิติการเงิน (financing) ควบคู่กันไป78 นอกจากนี้ หากพิจารณาเนื้อความตามมาตรา 165 (1) และ (2) แห่งสนธิสัญญา TFEU ได้วาง หลักเกณฑ์กาหนดให้สหภาพยุโรปสามารถกาหนดมาตรการ (measures) ที่ส่งเสริมและสร้างการมีส่วน ร่วมของประเทศสมาชิกสาหรับสนับสนุนการกีฬายุโรป (และกีฬาฟุตบอลยุโรป) ด้วยการคานึงถึง ธรรมชาติของกีฬาแต่ละชนิด (และธรรมชาติของกีฬาฟุตบอล) ควบคู่ไปกับการคานึงถึงบริบทของ โครงสร้างลาดับชั้นการกากับตนเองขององค์กรกากับกีฬา ภารกิจด้านการศึกษาและสังคม ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้นาเอาหลักเกณฑ์มาตรา 165 (1) และ (2) แห่งสนธิสัญญา TFEU ไปพัฒนาเป็นกฎเกณฑ์ มากากับตนเองและแนวปฏิบัติท่ีดีวิธีปฏิบัติที่ดีขององค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรป อีกทั้งมาตรา 165 (1) และ (2) แห่งสนธิสัญญา TFEU ก็ได้วางหลักเกณฑ์สนับสนุนให้เกิดเสรีภาพในการเดินทาง (Freedom of Movement) อันเป็นเสรีภาพขั้นพ้ืนฐานท่ีสหภาพยุโรปรับรองหรือคุ้มครองเอาไว้ อันเป็น หลักประกันว่านักกีฬาอาชีพ (professionals) และนักกีฬาสมัครเล่น (amateurs) สามารถเดินทางไป ประกอบกิจกรรมกีฬาหรือเดินทางไปประกอบอาชีพนักกีฬาข้ามประเทศได้อย่างเสรี ในทางเดียวกัน มาตรา 165 (1) และ (2) แห่งสนธิสัญญา TFEU ยังได้วางหลักเกณฑ์ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น ซึ่ง หลักเกณฑ์ดังกล่าวสามารถสร้างหนทางน าไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติโดยตรง (direct discrimination) และนาไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติโดยอ้อม (indirect discrimination) ต่อนักกีฬา 78 EUR-Lex. (2018). European dimension in sport. Retrieved August 15, 2019, https://eur-lex.europa.eu/legal- content/EN/TXT/?uri=LEGISSUM%3Aef0025

41 อาชีพ79 เช่น การกาหนดสัดส่วน (โควตา) ของจานวนนักกีฬาฟุตบอลในทีมโดยอาศัยสัญช าติ (quotas based on nationality) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การนาเอาหลักเกณฑ์มาตรา 165 (1) และ (2) แห่งสนธิสัญญา TFEU ไปพัฒนาเป็น กฎเกณฑ์มากากับตนเองและแนวปฏิบัติที่ดีวิธีปฏิบัติที่ดีขององค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรปก็ต้อง คานึงถึงจะต้องคานึงถึงธรรมชาติเฉพาะในแต่ละชนิดกีฬา โดยเฉพาะหากเป็นการสร้างกฎเกณฑ์มากากับ ตนเองและแนวปฏิบัติที่ดีวิธีปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพขององค์กรกากับกีฬา ฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปแล้ว ก็ต้องคานึงถึงจะต้องคานึงถึงธรรมชาติเฉพาะของกีฬาฟุตบอล ( specific nature of football)80 เช่น การกาหนดระยะเวลาแน่นอนสาหรับการโอนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ (use of deadlines for transferring players in football) เป็นต้น จากที่กล่าวมาในข้างต้น สนธิสัญญา TFEU ไม่เพียงช่วยเป็นหลักประกันความเป็นธรรมในแวดวง กีฬาและความมีอิสระในการออกกฎมากากับตนเองขององค์กรกากับกีฬาเท่านั้น หากแต่ยังได้วาง หลักเกณฑ์ประกันเสถียรภาพระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพและนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ไม่ให้สโมสร กีฬาฟุตบอลอาชีพสามารถใช้ช่องทางหนึ่งช่องทางใดมากดขี่ข่มเหงนักกีฬาฟุตบอลอาชีพได้ ในทาง กลับกันนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเองก็ต้องเล่นกีฬาฟุตบอลให้เป็นไปตา มกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมและชอบด้วย กฎหมายกีฬาสหภาพยุโรปตามท่ีผู้จัดระบบลีก (องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลที่จัดการแข่งขันระบบลีก) และ สโมสรกีฬาฟุตบอลได้ร่วมกันกาหนดเอาไว้ สนธิสัญญา TFEU มาตรา 6 กับมาตรา 165 (1) และ (2) ล้วนถูกใช้ไปในแนวทางเดียวกันนั้นคือการใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมและสนับสนุนการเล่นเกมกีฬาและการ ทากิจกรรมกีฬาที่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกระดับชั้น แม้ว่าเนื้อความทั้ง 2 มาตราจะมี วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันก็ตาม โดยเฉพาะมาตรา 165 (1) และ (2) ที่เคยถูกศาลยุติธรรมสหภาพยุโรป ตีความในลักษณะประกันสิทธิและเสรีภาพของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเป็นที่ตั้ง เพื่อขจัดอุปสรรคต่อ เสรีภาพในการโยกย้ายสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพอันเป็นสถานที่ทางานของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ใน ทานองเดียวกันมาตรา 165 (1) และ (2) ก็ถูกนามาใช้เป็นเครื่องมือขจัดการเลือกปฏิบัติโดยตรงอัน เนื่องมาจากกฎกาหนดสัดส่วน (โควตา) ของจานวนนักกีฬาฟุตบอลในทีมโดยอาศัยสัญชาติด้วย ด้วยเหตุ นี้เองรัฐบาลของประเทศสมาชิกหรือองค์กรกากับกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปก็ไม่อาจออกกฎที่ขัดหรือ แย้งกับหลักเกณฑ์ในสนธิสัญญา TFEU มาตรา 6 กับมาตรา 165 (1) และ (2) ได้ ซึ่งแนวโน้มของการ ปรับหลักเกณฑ์ในสนธิสัญญา TFEU มาตรา 6 กับมาตรา 165 (1) และ (2) มาใช้กับระบบ Transfer 79 EUR-Lex. (2016). Free movement of sportspeople in the EU. Retrieved August 16, 2019, https://eur- lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/?uri=LEGISSUM%3Al35002 80 European Commission. (2011). Commission staff working document—sport and free movement— accompanying document to the Communication from the Commission to the European Parliament, the Council, the European Economic and Social Committee and the Committee of the Regions. Brussels: European Commission.

42 System ในยุคใหม่นั้น ก็อาจมีพลวัต (dynamic) ที่ไม่เพียงมีจะผันแปรไปส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพเท่านั้น หากแต่ยังต้องเปล่ียนแปลงไปเพ่ือตอบสนองเป้าหมายทางธุรกิจของสโมสร กีฬาฟุตบอลและความต้องการของลีกการแข่งขันกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ ลักษณะกฎเกณฑ์การโอนย้าย นักกีฬาฟุตบอลอาชีพก็พึงต้องคานึงมิติสิทธิมนุษยชนและมิติทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป 3.3 เอกสาร White Paper on Sport 200781 ในขณะที่สนธิสัญญา TFEU ได้บัญญัติสาระสาคัญเนื้อหาส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพ พร้อมท้ังมีสถาบันตุลาการยุโรปมาตีความปรับใช้ถ้อยคาในสนธิสัญญา TFEU เพื่อ เน้นให้องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพและให้สถาบันทาง การเมืองยุโรปดาเนินการต่างๆ ไม่ขัดต่อสนธิสัญญา TFEU หากแต่สนธิสัญญาดังกล่าวก็ไม่ได้กาหนด สาระสาคัญที่จัดระเบียบธรรมาภิบาลการบริหารองค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรป โดยไม่ได้กาหนด รูปแบบขององค์กรกากับกีฬาฟุตบอลหรือระบบการปกครองตนเองขององค์กรกากับกีฬาในแต่ละชนิด กีฬาเอาไว้ แต่ทว่าสนธิสัญญาดังกล่าวก็มีลักษณะที่เป็นแม่บทของบทบัญญัติและแนวนโยบายด้านการ กีฬาระดับภูมิภาคยุโรป บทบัญญัติกฎหมายรองของสหภาพยุโรปหรือนโยบายสาธารณะด้านการกีฬา ของสหภาพยุโรปใดไม่สามารถขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในสนธิสัญญาดังกล่าวได้ เหตุนี้เองคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission หรือ EC) ในฐานะที่เป็นเป็นสถาบัน ฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรปได้กาหนดแนวนโยบายสาธารณะด้านการกีฬาสหภาพยุโรปที่เป็นลายลักษณ์ อักษรเอาไว้เป็นเอกสารฉบับเดียว อันมีสาระสาคัญที่ปรากฎชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะด้านการ กีฬาสหภาพยุโรปในเอกสารฉบับเดียวนี้เป็นส่วนใหญ่ เสริมเพิ่มเติมประเด็นที่คลุมเครือของสนธิสัญญา TFEU เกี่ยวกับธรรมาภิบาลของการบริหารองค์กรกากับกีฬาฟุตบอลและกรอบที่กว้างในการส่งเสริม คุ้มครองสิทธิเสรีภาพนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ ให้มีความแน่ชัดยิ่งขึ้น เอกสารดังกล่าวได้แก่ เอกสาร White Paper on Sport 2007 เอกสาร White Paper on Sport 200782 ได้แก่ เอกสารข้อแนะนาคณะกรรมาธิการยุโรปของ อันมีเน้ือหาและสาระสาคัญกาหนดทิศทางและวางแนวทางการทางานร่วมกัน ทาให้สถาบันทางการเมือง ยุโรป องค์กรกากับกีฬายุโรป และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยว กับกิจกรรม ทางการกีฬาสหภาพยุโรปและการบริหารองค์กรกากับกีฬาในภูมิภาคยุโรปภายใต้ธรรมาภิบาลกีฬาอัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ประกอบด้วยองค์ความรู้จากทั้งในแง่หลักวิชาการและประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นใน 81 Commission of the European Communities. (2007). White Paper on Sport. Retrieved August 17, 2019, https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:52007DC0391&from=EN 82 EUR-Lex. (2017). White Paper on sport. Retrieved August 18, 2019, https://eur-lex.europa.eu/legal- content/EN/TXT/?uri=LEGISSUM%3Al35010

43 ภูมิภาคยุโรป เพ่ือให้การกีฬาสหภาพยุโรปเป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาล ในขณะเดียวกันเอกสารดังกล่าวยัง ได้เน้นยา้ ให้สถาบันทางการเมืองยุโรป องค์กรกากับกีฬายุโรปและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาก็ต้อง เคารพ (1) กฎหมายสหภาพยุโรป (EU Law) ที่ได้วางหลักเกณฑ์ประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพเอาไว้ จะกระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดขัดหรือแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรปไม่ได้ (2) หลักการกระจายอานาจการบริหารงานของสหภาพยุโรป ( Subsidiarity Principle) ผ่านการ กาหนดการร่วมกันมีบทบาทกาหนดธรรมาภิบาลกีฬาระหว่างสถาบันทางการเมืองยุโรป องค์กรกากับ กีฬายุโรปและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬา (Shared Competence) โดยสหภาพยุโรปพึงเคารพ ธรรมชาติของกีฬาฟุตบอลและการบริหารขององค์กรกากับกีฬาฟุตบอลท่ีเป็นลาดับชั้น ในขณะที่สหภาพ ยุโรปต้องไม่ใช้อานาจแทรกแซงองค์กรกากับกีฬาฟุตบอลหรือรวบอานาจองค์กรกากับกีฬาฟุตบอลเอาไว้ ในขณะเดียวกันสหภาพยุโรปเองก็ต้องเคารพความเป็นอิสระในก ารปกครองตนเองในองค์กรกากับกีฬา ฟุตบอลและ (3) หลักความเป็นอิสระในการบริหารงานขององค์กรกีฬา (Independence of Sports Organisations) ตามที่ถูกจัดตั้งขึ้นให้มีหน้าที่ในการกากับธรรมาภิบาลกีฬาฟุตบอลอาชีพ ใช้กลไกที่ องค์กรมีและอานาจที่องค์กรมีตรวจสอบสมาคมกีฬาฟุตบอลอ าชีพหรือสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพที่อยู่ ภายใต้สังกัดของตน ให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือทาการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ นักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่อาจถูกล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพจากสมาคมกีฬาฟุตบอลอาชีพหรือสโมสรกีฬา ฟุตบอลอาชีพท่ีตนสังกัดได้83 นอกจากนี้ เนื้อหาและสาระสาคัญเอกสาร White Paper on Sport 2007 ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 โครงสร้างหลัก อาทิ โครงสร้างที่ 1 บทบาทต่อสังคมของการกีฬา ( Societal Role of Sport) โครงสร้างที่ 2 มิติทางเศรษฐกิจของการกีฬา (Economic Dimension of Sport) และโครงสร้างที่ 3 การจัดองค์กรของการกีฬา (Organisation of Sport) ผู้เขียนจึงขออธิบายในส่วนของโครงสร้างที่ 1 โครงสร้างท่ี 2 และโครงสร้างท่ี 3 เอาไว้ดังต่อไปนี้84 โครงสร้างที่ 1 ของเอกสาร White Paper on Sport 2007 ได้แก่ บทบาทต่อสังคมของการกีฬา กล่าวคือสหภาพยุโรปเชื่อว่าการละเล่นกีฬาหรือการแข่งขันกีฬามีบทบาทท่ีสาคัญต่อสุขภาพอนามัยส่วน บุคคล การแข่งขันที่เป็นธรรมและความร่วมมือในกีฬาส่วนสาคัญต่อการสร้างรากฐานสังคมในภูมิภาค ยุโรป การสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและความร่วมมือที่นาไปสู่การ แลกเปล่ียนติดต่อสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกีฬา (Sports Organisers) และผู้กาหนดนโยบายกีฬา (Policy Makers) ย่อมเป็นส่วนสาคัญทาให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีและการติดต่อสื่อสารกันในสังคมของคนรุ่นใหม่ท่ัว ทั้งภูมิภาคยุโรป เช่น สหภาพยุโรปมีแนวคิดและโครงการใช้กิจกรรมกีฬาเป็นรากฐานสาคัญในการกาจัด 83 Blackshaw, I. (2007). The 'specificity of sport' and the EU White Paper on sport: some comments. The International Sports Law Journal, no. 3-4, 87. 84 EUR-Lex. (2017). Summary of White Paper on Sport (COM (2007) 391 final). Retrieved August 18, 2019, https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/?uri=LEGISSUM%3Al35010

44 การเหยียดผิว (Racism) และ การเหยียดเชื้อชาติ (Xenophobia) ตลอดจนถึงเสริมสร้างการสนับสนุน ความเสมอภาคทางเพศ (Gender Equality) เป็นต้น โครงสร้างที่ 2 ของเอกสาร White Paper on Sport 2007 ได้แก่ มิติทางเศรษฐกิจของการกีฬา กล่าวคือมิติทางเศรษฐกิจค่อยๆ เข้ามามีบทบาทและความสาคัญในแวดวงกีฬาของภูมิภาคยุโรป ใน ขณะเดียวกันแวดวงกีฬาต่างๆ ต้องคานึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจและรายได้ที่มาจากอุตสาหกรรมกีฬา ผ่านการนาเสนอถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจที่มีต่อการกีฬายุโรป การคานึงถึงมิติย่อมเป็นสิ่งยืนยันได้ ว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ (Best Possible Economic Benefits) จากภาคส่วน กีฬาต่างๆ สามารถส่งอิทธิผลต่อสหภาพยุโรปด้านเศรษฐกิจและชีวิตของพลเมืองในทางบวก ในทาง ตรงกันข้ามหากปราศจากการกาหนดแนวทางหรือนโยบายด้านเศรษฐกิจการกีฬา ก็อาจส่งผลต่อสหภาพ ยุโรปด้านเศรษฐกิจและชีวิตของพลเมืองในทางลบ ตัวอย่างเช่นสหภาพยุโรปมีเป้าหมายต่างๆ ในการ ส่งเสริมเศรษฐกิจในแวดวงกีฬา เช่น การสนับสนุนให้เกิดการป้องกันการผูกขาดทางการค้า ( Antitrust) การควบคุมพฤติกรรมเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ (Merger Control) การปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญหา (Intellectual Property Rights) และการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม (Fair Competition) เป็นต้น โครงสร้างที่ 3 ของเอกสาร White Paper on Sport 2007 ได้แก่ การจัดองค์กรของการกีฬา กล่าวคือสหภาพยุโรปคานึงว่าภาคส่วนกีฬาต่างๆ (เช่น องค์กรกากับกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรป สมาคมกีฬาฟุตบอลอาชีพในประเทศสมาชิกและสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพในประเทศสมาชิก) ต่างก็มี บทบาทสาคัญในการผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลที่ถูกต้อง (Proper Governance) ในการส่งเสริมการ แข่งขันที่เป็นธรรม (Fairness) และรักษาความโปร่งใส (Transparency) สาหรับภาคส่วนกีฬาต่างๆ อีก ท้ังการจัดองค์กรกีฬาที่คานึงถึงธรรมาภิบาล กล่าวอีกนัยหน่ึงการจัดองค์กรกีฬาย่อมต้องคานึงถึงแนวทาง ในการบริหารกิจการขององค์กรกีฬาท่ีดี และองค์กรภายใต้สังกัดหรือนักกีฬาท่ีอยู่ภายใต้สังกัดขององค์กร กีฬาก็ต้องถูกระบบกากับหรืออยู่ภายใต้กลไกการบริหารจัดการองค์กรกีฬาที่ดีด้วย ในขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิก รวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงกีฬาต้องคานึงใคร่ครวญถึงปัญหา สาคัญที่อาจเกิดขึ้นจากการปราศจากธรรมาภิบาลที่เหมาะสม เช่น การต่อต้านการการล้มการแ ข่งขัน (Match-Fixing) การต่อต้านการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา (Anti-doping) การประกันเสรีภาพขั้น พื้นฐานในการโอนย้ายสโมสรกีฬาของนักกีฬาสมัครเล่นและนักกีฬาอาชีพ (Free Movement of Amateur and Professional Sportspeople) และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก (Sexual Exploitation of Children) เป็นต้น จากที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเอกสาร White Paper on Sport 2007 และการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในภูมิภาคยุโรป ภายใต้มิติของกฎหมายสหภาพยุโรปแล้ว ก็ จะพบว่าเอกสารดังกล่าวได้กล่าวว่าการกระทาอันก่อให้เกิ ดการจากัดเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน

45 สาหรับแรงงานในภูมิภาคยุโรป ย่อมเป็นการกระทาที่ขัดต่อหลักเกณฑ์ของมาตรา 39 แห่งสนธิสัญญา Treaty establishing the European Community หรือสนธิสัญญา EC Treaty ในขณะเดียวกันก็ยังมี มาตรา 18 แห่งสนธิสัญญา EC Treaty ที่ได้วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าพลเมืองสหภาพยุโรปทุกคนย่อมมี สิทธิที่จะโยกย้ายถิ่นฐานหรืออยู่อาศัยในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้อย่างเสรี นั้นหมายความว่า นักกีฬาฟุตบอลอาชีพก็ย่อมมีสิทธิที่จะโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อมาเล่นกีฬาฟุตบอลในประเทศสมาชิกสหภาพ ยุโรปอื่นๆ หรืออยู่อาศัยในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ เพื่อใช้แรงงานในฐานะนักกีฬาอาชีพได้ อย่างเสรี ในทางเดียวกันหลักเกณฑ์ของมาตรา 18 และมาตรา 39 ก็ถูกนาเอามาประกอบกับ มาตรา 12 ที่วางหลักเกณฑ์ไว้ว่าห้ามประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปกีดกันหรือเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองเพียงเพราะเหตุ ท่ีมีสัญชาติที่แตกต่างกัน (Discrimination on the grounds of nationality) เหตุนี้เองจึงเท่ากันว่าการ กาหนดสัดส่วนของจานวนนักกีฬาฟุตบอลในทีมโดยอาศัยสัญชาติหรือที่เรียกว่าระบบ Quota เป็นการ กระทาที่นาไปสู่การกีดกันหรือเลือกปฏิบัติต่อนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเพียงเพราะเหตุที่มีนักกีฬาฟุ ตบอล อาชีพมีสัญชาติที่แตกต่างกัน 85 ตัวอย่างเช่น สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ ( Fédération Internationale de Football Association หรือ FIFA) ได้ออกกฎ FIFA 6+5 Rule ขึ้นในปี 2008 จากัดให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพต้องมีนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเป็นผู้เล่นที่อาจได้รับสิทธิให้ เป็นตัวแทน ประเทศอันเป็นที่ตั้งของสโมสรเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในฐานะตัวแทนทีมชาติจานวนข้ันต่า 6 คน (at least six players) โดยการกาหนดสัดส่วนของจานวนนักกีฬาฟุตบอลในทีมในลักษณะเช่นว่าน้ีมีเป้าหมายเพื่อ ต้องการให้สโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพยังคงเอกลักษณ์ของทีมกีฬาฟุตบอลแห่งชาติหรือสโมสรกีฬาฟุตบอล อาชีพในชาติท่ีมีคนในชาติร่วมกันเล่นอยู่ในทีม พร้อมกับต้องการจากัดจานวนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพท่ีเป็น ชาวต่างชาติท่ีมีความสามารถหรือมีพรสวรรค์ไม่ให้อยู่ในทีมหนึ่งทีมใดมากจนเกินไป อันเป็นการลดความ เหลื่อมล้าของการครองจานวนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพที่เป็นชาวต่างชาติระหว่างสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพ ขนาดใหญ่กับสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพขนาดเล็ก ในขณะเดียวกันสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (Union of European Football Associations ห รื อ UEFA) ก็ ไ ด้ อ อ ก กฎ UEFA's Home-Grown Player Rule86 ขึ้นมาในปีเดียวกัน (2008) กาหนดให้สโมสรฟุตบอลอาชีพที่เข้าร่วมการแข่งขันในการแข่งขันลีก UEFA Champions League และลีก UEFA Europa League จากัดจานวนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ท้องถิ่นท่ีได้รับการพัฒนาในท้องถ่ินเป็นจานวนข้ันต่า 8 คน (minimum of homegrown players) จาก นักกีฬาฟุตบอลอาชีพในสโมสรต้นสังกัดที่ได้ลงทะเบียนเข้าแข่งขันลีกดังกล่าวทั้งหมดขั้นสูงสุด 25 คน (maximum 25 players) ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งกฎ FIFA 6+5 Rule และกฎ UEFA's Home-Grown 85 Parrish, et al. (2010). Study on the Equal Treatment of Non-Nationals in Individual Sports Competitions (TENDER NO. EAC/19/2009). Retrieved August 19, 2019, https://ec.europa.eu/assets/eac/sport/library/studies/study_equal_treatment_non_nationals_final_rpt_dec_2010_e n.pdf 86 European Commission. (2008). UEFA rule on ‘home-grown players’: compatibility with the principle of free movement of persons. Retrieved August 19, 2019, https://europa.eu/rapid/press-release_IP-08-807_en.htm

46 Player Rule ขึ้นในปี 2008 ต่างก็เป็นกฎเกณฑ์ที่กีดกันหรือเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองเพียงเพราะเหตุที่มี สัญชาติท่ีแตกต่างกันเช่นกัน อันขัดต่อหลักเกณฑ์ในกฎหมายสหภาพยุโรป เป็นต้น 3.4 เอกสาร Communication on Sports 201187 เอกสาร Communication on Sports 2011 (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเอกสาร Developing the European Dimension in Sport 2011) เป็นเอกสารชี้แจงความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านการกีฬาใน มิติภูมิภาคยุโรป อันเป็นเอกสารสืบเน่ืองมาจากเอกสาร White Paper on Sport 2007 ท่ีไม่เพียงขยาย เนื้อความตามเอกสาร White Paper on Sport 2007 หากแต่ยังให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนาเอา หลักเกณฑ์และข้อเสนอแนะตามเอกสาร White Paper on Sport 2007 สาหรับนาไปสู่ปฏิบัติและการ ดาเนินนโยบายบูรณาการด้านกีฬา เอกสารนี้ไม่ได้จัดพิมพ์มาเพื่อมาแทนที่หลักการในเอกสาร White Paper on Sport 2007 หากแต่จัดทาขึ้นเพื่อเสริมเนื้อหาและขยายความให้แนวคิดในเอกสาร White Paper on Sport 2007 นาไปสู่การปฏิบัติอย่างบรรลุผล ในขณะเดียวกันเอกสาร Communication on Sports 2011 ยังได้กล่าวในประเด็นเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและ กฎหมายสหภาพยุโรป ดังต่อไปนี้ (1) ประเด็นแรก การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานอย่างเสรีและสัญชาติของ นักกีฬา (Free movement and nationality of sportspeople) (หัวข้อ 4.3) และ (2) ประเด็นที่สอง กฎการโอนย้ายนักกีฬาและการดาเนินกิจกรรมของผู้จัดการสิทธิประโยชน์นักกีฬา (Transfer rules and the activities of sport agents) (หัวข้อ 4.4) การสนับสนุนการเคล่ือนย้ายถ่ินฐานอย่างเสรีและสัญชาติของนักกีฬาและการสร้างกฎการโอนย้าย นักกีฬากับการดาเนินกิจกรรมของผู้จัดการสิทธิประโยชน์นักกีฬา ถือเป็นบทบาทสาคัญขององค์กรกีฬา (Sports Organisations) (หัวข้อ 4) ที่ทั้งมีอิสรภาพในการบริหารงานด้วยตนเองและมีอิสระในการออก กฎมาควบคุมตนเอง ท่ามกลางทั้งความแตกต่างในธรรมชาติของกีฬาแต่ละชนิดกีฬา (Natures) และ ความแตกต่างในหลักการทางการกีฬา (Disciplines) ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ย่อมเป็นอุปสรรค ที่ทาให้ต่อการสร้างกฎเกณฑ์เกี่ยวกับธรรมาภิบาลในแต่ละชนิดกีฬาให้เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันทั่วทั้ง ภูมิภาคยุโรป เพื่อขจัดอุปสรรคอันเกิดจากการที่ธรรมชาติของกีฬาแต่ละชนิดกีฬาและหลักการทางการ กีฬามีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป อันอาจก่อให้เกิดปัญหาและ อุปสรรคในการส่งเสริมธรรมาภิบาลของแต่ละชนิดกีฬาในภูมิภาคยุโรปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมาภิ บาลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานอย่างเสรีและการโอนย้ายนักกีฬาข้ามสโมสร สหภาพยุโรปจึงได้ออก เอกสาร Communication on Sports 2011 เพื่อยืนยันและสนับสนุนให้ยึดถือหลักเกณฑ์ในเอกสาร 87 Publications Office of the European Union. (2011). Communication on sport (2011) Developing the European dimension in sport. Retrieved August 19, 2019, https://publications.europa.eu/en/publication-detail/- /publication/db29f162-d754-49bc-b07c-786ded813f71

47 White Paper on Sport 2007 ที่กล่าวถึงความสาคัญของสนธิสัญญา TFEU มาตรา 165 ประกอบกับ เน้นยา้ ให้องค์กรกีฬาในภูมิภาคยุโรปคานึงถึงการปฏิบัติตามกฎหมายสหภาพยุโรปและคานึงถึงความชอบ ด้วยกฎหมายของกฎ (sporting rules) ที่ออกโดยองค์กรกีฬาในภูมิภาคยุโรป กล่าวคือองค์กรกีฬาใน ภูมิภาคยุโรปจะต้องไม่ออกกฎที่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายสหภาพยุโรป พร้อมกับต้องออกกฎท่ีสนับสนุนให้ เกิดการแข่งขันอย่างยุติธรรม ในส่วนประเด็นเกี่ยวกับการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพภายใต้นโยบายและกฎหมายสหภาพ ยุโรป เอกสาร Communication on Sports 2011 (หัวข้อ 4.3) ได้กล่าวทบทวนหลักการในเอกสาร White Paper on Sport 2007 โดยกล่าวเน้นย้าเพิ่มเติมว่าสหภาพยุโรปและองค์กรกีฬาในยุโรปอื่นๆ พึงต้องเคารพต่อหลักการสนธิสัญญา TFEU มาตรา 45 ที่กล่าววางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าเสรีภาพในการ เคลื่อนย้ายถิ่นฐานพึงต้องถูกนาเอามาประยุกต์ใช้กับแรงงานในอุตสาหกรรมกีฬาและนักกีฬาอาชีพด้วย ประกอบกับจะต้องเน้นย้าให้สหภาพยุโรปและองค์กรกีฬาในยุโรปปฏิบัติตามสนธิสัญญา TFEU มาตรา 18 มาตรา 21 และมาตรา 165 ไม่กีดกันหรือเลือกปฏิบัติต่อแรงงานในอุตสาหกรรมกีฬาและนักกีฬา อาชีพเพียงเพราะเหตุที่มีสัญชาติที่แตกต่างกัน ในเวลาต่อมาสหภาพยุโรปเองได้พัฒนาข้อเสนอแนะด้าน เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของแรงงานในภูมิภาคยุโรป เอาไว้ในเอกสาร Reaffirming the free movement of workers: rights and major developments 201088 อันเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้น ในเชิงบวกได้เป็นอย่างดี ทาให้ผู้ปฏิบัติงานส่งเสริมเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของแรงงานใน ภูมิภาคยุโรป เกิดความเข้าใจหลักการที่สาคัญกับแนวคิดที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาการเคลื่อนย้ายถิ่น ฐานของแรงงาน วิธีการที่ปฏิบัติได้ในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของแรงงานสามารถเกิดขึ้นจากแรงงานใน ภูมิภาคยุโรป และการเปิดโอกาสให้ส่งเสริมเสรีภาพแรงงานในภูมิภาคยุโรปนาไปสู่ทัศนคติในเชิงบวกต่อ การรณรงค์ด้านเสรีภาพในการเคล่ือนย้ายถ่ินฐานของแรงงานในภูมิภาคยุโรป ในส่วนประเด็นเก่ียวกับกฎการโอนย้ายนักกีฬาและการดาเนินกิจกรรมของผู้จัดการสิทธิประโยชน์ นักกีฬา เอกสาร Communication on Sports 2011 (หัวข้อ 4.4) ได้กล่าวทบทวนย้าหลักการใน เอกสาร White Paper on Sport 2007 โดยกล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่าคณะกรรมาธิการยุโรปพึงต้อง คานึงถึงความชอบด้วยกฎหมาย (Legality of the Acts) ของการรับจ่ายเงิน (Financial Flow) เนื่องมาจากการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพจากสโมสรกีฬาฟุตบอลอาชีพหนึ่งไปยังอีกสโมสรหนึ่ง (การ ซื้อ/ขายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ) อีกทั้งยังเคยมีการศึกษาจากเอกสาร Study on Sport Agents in the European Union 2009 ของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ได้เปิดมุมมองเกี่ยวกับปัญหาทางกฎหมาย เนื่องมาจากการปฏิบัติงานของผู้จัดการสิทธิประโยชน์นักกีฬา ในขณะที่ผู้จัดการสิทธิประโยชน์นักกีฬ า เป็นผู้ที่ได้รับมอบอานาจให้กระทาการแทนนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในการจัดเตรียมคาขอโอนย้ายจาก 88 European Commission. (2010). Reaffirming the free movement of workers: rights and major developments. Brussels: European Commission.