100 ปดี ิเทพ อยยู่ ืนยง กัน ผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์ทั้งสองฝ่ายท่ีขับรถยนต์มาชนกันจึงต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเกิด จากยานพาหนะนั้นเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความผิดของผู้เสียหายหรือ ผู้ถูกกระทําละเมดิ มีคาํ พิพากษาฎีกาที่นา่ สนใจดงั ตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2559 จําเลยที่ 10 และ ป. ขับรถเฉี่ยวชนกัน ทําให้ผู้ตายถึงแก่ ความตาย และทําให้ทรัพย์สินของผู้ตายได้รับความเสียหาย ดังนั้นจําเลยที่ 10 และ ป. จึงเป็นผู้ครอบครอง หรือเป็นผู้ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกล โดยผู้ตายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการ ควบคุมหรือครอบครองเครื่องจักรกลที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้วย จําเลยที่ 10 และ ป. จึงต้องรับผิดเพื่อ การเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะนั้นเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความผิดของ ผู้เสยี หายนั้นเอง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 437 วรรคหนึ่ง 5.4.2 ผู้ครอบครองหรอื ควบคมุ ดแู ลยานพาหนะอันเดินดว้ ยกาํ ลังเคร่ืองจักรกล 5.4.2.1 ผคู้ รอบครองยานพาหนะอันเดินด้วยกาํ ลงั เครอื่ งจักรกล “ผู้ครอบครอง” ได้แก่ ผู้ครอบครอบยานพาหนะในระหว่างที่เกิดเหตุ มีคําพิพากษาฎีกาที่ นา่ สนใจดังต่อไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 6249/2541 เจ้าของรถยนต์จะรับผิดหรือร่วมรับผิดในผลแห่ง การ ละเมิดต้องเป็นกรณีที่เจ้าของรถยนต์เป็นผู้กระทําละเมิดคือเป็นผู้ขับด้วยตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 437 วรรคหนึ่ง หรือในกรณีเจ้าของรถยนต์ ต้องร่วมรับผิดกับบุคคลอื่นในผลแห่งการ ละเมิดต้องเป็นกรณีผู้กระทําละเมิดเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของเจ้าของรถยนต์หรือเจ้าของรถยนต์เป็นผู้ ครอบครองรถยนต์ขณะเกิดเหตุโดยเจา้ ของรถยนต์โดยสารไปดว้ ยตามมาตรา 425, 427 และ 437 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5544/2552 ตามข้อ 18 แห่งกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ระบุให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินที่จ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยคืนจากผู้เอาประกันภัยได้ จะต้องเป็นกรณีที่ \"ผู้เอา ประกันภัยจะต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัย\" เท่านั้น ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจําเลยที่ 1 ขับ รถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุโดยจําเลยที่ 2 เป็นตัวการ จ้าง วาน ใช้ และไปประสบเหตุ แต่ในทางนําสืบไม่ ปรากฏว่าจําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภยั ได้เป็นตัวการจ้าง วาน ใช้ให้จําเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์คัน ดังกล่าวและเกิดเหตุรถชนกัน ดังนี้แม้จําเลยที่ 2 จะเป็นเจ้าของรถ แต่เมื่อจําเลยที่ 2 มิได้ควบคุมดูแล รถจักรยานยนต์โดยนั่งไปด้วยขณะเกิดเหตุ จําเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่รถชน และมผี ู้ถึงแก่ความตายและรับอันตรายสาหัสต่อผปู้ ระสบภยั ตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 437 กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ข้อ 18 ที่ให้สิทธิโจทก์เรียกให้ จําเลยที่ 2 ชําระเงินที่จ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยคืนได้แต่โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ที่ประมาทเลินเล่อ
คาํ อธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 101 อย่างร้ายแรงจนทําให้เกิดเหตุรถชนขึ้นตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2540 กรณีผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อไม่ได้เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันดังกล่าวในขณะ เกิดเหตุ ผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่รถยนต์มีคําพิพากษาฎีกา ทีน่ ่าสนใจดังตอ่ ไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3760/2533 แม้จําเลยที่ 1 จะเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุมา และ ได้ให้ ป. ขับก็ตาม แต่เมื่อจําเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ จําเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่รถยนต์ ดังนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 437 ทายาทผู้รับมรดกของผู้ตายต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในความเสียหายที่เกิดข้ึน เนือ่ งจากการกระทาํ ละเมิดของผูต้ าย 5.4.2.2 ผคู้ วบคมุ ดแู ลยานพาหนะอันเดนิ ด้วยกาํ ลงั เคร่อื งจักรกล “ผู้ควบคุม” ได้แก่ บุคคลที่รับผิดชอบให้ยานพาหนะให้เคลื่อนที่ไปและการความรับผิดชอบ ใหร้ ถยนต์เคลอื่ นทไ่ี ปตอ้ งมีอยตู่ ลอดในขณะทร่ี ถยนตเ์ คลื่อนทไี่ ป มีคาํ พิพากษาฎีกาทน่ี ่าสนใจดังตอ่ ไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3076/2522 เจ้าของรถเมาสุรานอนหลับอยู่ในรถยนต์ เพื่อนของ เจา้ ของรถขับรถไปธรุ ะของเพือ่ น รถชนผ้อู นื่ เจ้าของไม่ใช่ผู้ครอบครองรถหรอื ควบคมุ รถตาม มาตรา 437 5.4.2.3 ความเสียหายต้องเกดิ จากยานพาหนะ “ความเสียหายต้องเกิดขึ้นในขณะที่ยานพาหนะอันเกิดด้วยกําลังเครื่องจักรกล” ถ้าความ เสียหายไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่ยานพาหนะอันเดินด้วยกําลังเคร่ืองจักรกลแล้ว ก็อาจไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม วรรคแรก แต่อาจเข้าหลักเกณฑ์ตามวรรคสอง (ทรัพย์อันตราย) (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2474, 1300- 1315/2499 และ 1292/2524) 5.4.2.4 ขอ้ แกต้ วั ยกเวน้ ความรบั ผิด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคแรกตอนท้าย “เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า การเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง” ผู้ครอบครองหรือผู้ ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกลต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงเหตุสุดวิสัย (มาตรา 8) หรือ เหตุเพราะความผิดของผู้เสียหายเอง (เช่น กระโดดมาให้รถชนหรือพุ่งตัวมาให้รถทับ) หากพิสูจน์ไม่ได้ผู้ ครอบครองหรอื ผูค้ วบคุมดูแลยานพาหนะอันเดนิ ดว้ ยกาํ ลังเคร่อื งจกั รกลกต็ ้องรับผิด
102 ปีดิเทพ อยูย่ ืนยง 5.5 ความรบั ผดิ ของผคู้ รอบครองหรือควบคุมทรพั ย์อันตราย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง “ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึง ผู้มีไว้ในครอบครองของตนซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพหรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้หรือ โดยอาการกลไกของทรพั ย์นั้นด้วย” มาตรา 437 วรรคสองกําหนดให้ผู้ครอบครอง “ทรัพย์อันตราย” จะต้องรับผิดในความ เสยี หายท่ีเกดิ จากทรัพย์อันตราย ซง่ึ ทรัพย์อนั ตราย มี 3 ประเภท ได้แก่ (ก) ทรัพยอ์ นั ตรายโดยสภาพ ทรัพย์อันตรายโดยสภาพ ได้แก่ ทรัพย์ที่โดยสภาพสามารถก่ออันตรายได้เอง (เช่น กระแสไฟฟ้า ดินปืนและนํ้ามันเบนซิน) มีคําพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับวินิจฉัยว่ากระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์ อันตรายและมีแนวคาํ พพิ ากษาหลายฉบับวนิ จิ ฉัยเกย่ี วกับประเด็นผคู้ รอบครองกระแสไฟฟ้า คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2513 (ประชุมใหญ่) สายไฟฟ้าท่ีก่อให้เกิดอันตรายแก่ ช. เป็นสายไฟฟ้าภายในช่วงที่ต่อจากหม้อวัดไฟเข้าไปยังบ้านของ จ. ผู้ขอใช้ไฟ และอยู่ในเขตที่ดินของ จ. และทางเดินที่ ช. เดินไปก็มิใช่ทางสาธารณะเพราะเป็นทางเดินตามคันสวนในที่ดินส่วนบุคคลที่เจ้าของที่ดิน มิได้หวงห้ามกีดกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้เดินผ่านไปมาในที่ของตนดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าสายไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อัน เป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพนั้นอยู่ในความครอบครองของจําเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง จําเลย (การไฟฟ้านครหลวง) จึงไม่ต้องรับผิดสําหรับการตายของ ช. เนือ่ งจากถกู กระแสไฟฟ้าดดู คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2523 จําเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากันเป็นเจ้าของ บ้านที่เกิดเหตุซึ่งจําเลยขึงสายทองแดงเปลือยปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้รอบบ้าน แล้วไม่ดูแลให้สายไฟฟ้า ดังกล่าวอยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นเหตุให้สายไฟฟ้าตกลงมาพาดรั้ว ผู้ตายไปยืนปัสสาวะริมรั้วจึงถูก กระแสไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตายดังนี้ จําเลยได้ชื่อว่าเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของเกิดอันตรายได้โดย สภาพ จะตอ้ งรบั ผดิ เพอ่ื ความเสยี หายอนั เกดิ แต่ไฟฟ้านั้น ส่วนจําเลยที่ 3 เป็นแต่เพียงผู้ดูแลบ้านเท่านั้น แม้ จะเปน็ ผ้วู ่าจ้างใหช้ า่ งไฟฟา้ มาเดนิ สายไฟดังกลา่ วก็ไมใ่ ชผ่ คู้ รอบครองไฟฟา้ นนั้ จึงไมต่ อ้ งรบั ผดิ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2538 กระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้ โดยสภาพเมื่อกระแสไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นที่บ้านของจําเลยทั้งสองจําเลยทั้งสองจึงเป็นผู้มีไว้ในครอบครอง ของตนซึ่งกระแสไฟฟ้าดังกล่าวและต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่กระแสไฟฟ้าลัดวงจรเว้นแต่ จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายตามประมวล
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมดิ 103 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา437วรรคสองจําเลยทั้งสองนําสืบเพียงว่าจําเลยทั้งสองดูแลรักษาสายไฟฟ้า ภายในบ้านให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยอยู่เสมอและเพิ่งเปลี่ยนสายไฟฟ้าภายในบ้านใหม่ขณะเกิดเหตุเพลิง ไหม้ภายในบ้านของจําเลยทั้งสองไม่ได้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าจําเลยทั้งสองไม่ได้กระทําโดยประมาทเลินเล่อและ ไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นได้อย่างไรไม่ทราบดังนี้ข้อนําสืบของจําเลยทั้งสองแสดงไม่ได้เลยว่าเป็นเหตุสุดวิสัย จําเลยท้งั สองจงึ ตอ้ งรับผิด คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5134/2542 เหตุที่เกิดเพลิงไหม้อาคารที่จําเลยที่ 3 เช่ามาจาก จําเลยที่ 1เสียหายและทําให้วัสดุที่ถูกเพลิงไหม้หล่นใส่รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าอาคารที่เกิดเหตุเนื่องจากมี กระแสไฟฟ้าลัดวงจรที่อาคารดังกล่าวโดยสายไฟฟ้าซึ่งมีกระแสไฟฟ้าเดินอยู่นั้นเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิด อันตรายได้โดยสภาพ จําเลยที่ 3 ผู้เช่าผู้มีทรัพย์ดังกล่าวไว้ในครอบครองจึงต้องรับผิดต่อเจ้าของรถยนต์เพื่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าว เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดขึ้นเพราะ ความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2546 การไฟฟ้านครหลวงจําเลยที่ 2 มีวัตถุประสงค์ใน การจําหน่ายพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชน จําเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจําเลยที่ 2 เมื่อกระแสไฟฟ้าที่จําเลยที่ 2 จัดให้มีขึ้นเพื่อจําหน่ายให้แก่ประชาชนเกิดการลัดวงจรเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้ทําให้ทรัพย์สินของโจทก์ เสียหาย จําเลยที่ 2 ผู้ครอบครองกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์ที่เกิดอันตรายได้โดยสภาพ จึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิด ของโจทก์ ผ้ตู อ้ งเสยี หายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง แมจ้ ําเลยที่ 2 นําสบื วา่ ไดด้ ูแลและบาํ รงุ รักษาอปุ กรณ์ไฟฟา้ อยา่ งดแี ลว้ แต่ไม่ได้พิสูจน์วา่ กระแสไฟฟ้าลัดวงจรเกิดแตเ่ หตสุ ุดวิสยั หรือเป็นความผิดของโจทก์ จําเลยที่ 2 จึงไม่พ้นความรับผิด ส่วนจําเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจําเลยที่ 2 ไม่ ต้องรับผดิ เป็นสว่ นตัว เพราะจาํ เลยที่ 1 ไมไ่ ดเ้ ปน็ ผ้คู รอบครองกระแสไฟฟา้ หรือทําให้กระแสไฟฟ้าลดั วงจร (ข) ทรพั ยอ์ ันตรายโดยความมงุ่ หมายที่จะใช้ “ทรัพย์อันตรายโดยความมุ่งหมายที่จะใช้” ได้แก่ ทรัพย์ที่โดยสภาพไม่เป็นอันตราย แต่อาจเกดิ อันตรายเมอ่ื ทรัพยด์ งั กลา่ วถกู นําเอามาใชเ้ พอ่ื ก่ออนั ตราย เชน่ มีด ปนื เป็นตน้ (ค) ทรพั ย์อนั ตรายโดยอาการกลไกของทรัพย์ “ทรัพย์อันตรายโดยอาการกลไกของทรัพย์” ได้แก่ ทรัพย์ที่มีจักรกลหรือกลไกช่วย ขับเคลอ่ื นใหท้ รัพย์น้นั ทํางาน เชน่ มอเตอร์ เครอ่ื งปั่นไฟ เครอ่ื งสูบน้าํ และเครื่องจกั รโรงงาน เป็นต้น
104 ปดี เิ ทพ อยยู่ ืนยง (ง) ข้อแกต้ วั ยกเวน้ ความรบั ผิด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคแรก “เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการ เสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง” (นําเอามาปรับใช้กับกรณี ตามมาตรา 437 วรรคสอง) ผู้ครอบครองทรัพย์อันตรายต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงเหตุสุดวิสัย (มาตรา 8) หรือเหตุเพราะความผิดของผู้เสียหายเอง (เช่น เอานิ้วมาแหย่สายไฟฟ้าแรงสูงเอง) หากพิสูจน์ได้ผู้ ครอบครองทรพั ยอ์ ันตรายก็ไมต่ ้องรบั ผดิ มคี าํ พพิ ากษาฎีกาที่นา่ สนใจดังตอ่ ไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2518 จําเลยที่ 1 รับราชการเป็นตํารวจ มีหน้าที่ขับ รถยนต์ของทางราชการกรมตํารวจจําเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจําเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจําเลยที่ 3 ไปราชการตาม หน้าที่โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถกอ่ นจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ใน สภาพ เรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจําเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่ อ. ขับ ซึ่งมีโจทก์นั่งมาข้างหน้า ด้วย ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจําเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่ง แตกทะลุไปถูกหน้าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถหลุดออกไป ก็เพราะ สปริงขอเกาะฝากระโปรงอ่อนและเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึก ทําให้เบ้าหลวม เนื่องจากใช้มานานจึงเกิดการ เสื่อมสภาพ เมื่อจําเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนลาดยางที่ไม่เรียบ และมีลมพัดแรง จึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทําให้ขอรั้งหลุดออกลมเข้าไปในฝากระโปรงหน้ารถเมื่อ ถูกลมแรง ๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถ ซึ่งเป็นหน้าที่ของจําเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทําให้อยู่ใน สภาพดีเสียก่อนนําไปใช้ และจําเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างใดไม่ ดังนี้เหตุนี้เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุ สุดวิสัยเพราะไม่ใช่กระโปรงหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งแรงเรียบร้อยตามสภาพแล้ว เกิดจากภัยนอกอํานาจซึ่ง ไม่อาจรู้และป้องกันได้ จาํ เลยที่ 1 และที่ 3 จงึ ต้องรับผดิ ชดใช้คา่ เสียหาย คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2518 ผู้ครอบครองดูแลสถานที่เก็บรถยนต์ย่อมรวมถึง สายไฟฟ้าในบริเวณสถานที่นั้น ซึ่งต่อออกมาจากบ้านพักไปยังกริ่งสําหรับบ้านพักด้วยเด็กปีนรั้วเก็บดอกรัก ถูกสายไฟฟ้าเปลือยตกลงมาทับสายไฟฟ้าตาย ไม่มีร่องรอยที่เด็กในวัยนั้นจะคาดคิดว่าจะมีสายไฟฟ้าเปลือย พาดอยู่ไม่เป็นความผิดของเด็กผู้ครอบครองสายไฟฟ้าต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ใหโ้ จทก์ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081/2523 ผู้ที่นํายานพาหนะอันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกล มาใช้ในทางมีหน้าที่ต้องตรวจสอบรักษาเปลี่ยนแก้ให้เครื่องจักรกลอยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงใช้การได้โดย ปลอดภัยเสมอ จําเลยไม่มีพยานแสดงว่าเหตุที่เรียกว่าเบรกแตกไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ แม้จะได้จัดการ ระมัดระวังตามสมควรแลว้ จงึ อ้างเปน็ เหตุสดุ วิสยั ไมไ่ ด้
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมิด 105 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 15670/2553 เหตุสุดวิสัยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 8 หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลที่ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึง คาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและในภาวะเช่นนั้น การที่ฝนตกในขณะเกิดเหตุเป็นเหตุการณ์ปกติ ธรรมชาติและย่อมมีผลให้ถนนลื่นกว่าสภาพปกติธรรมดา หากจําเลยที่ 1เ พียงแต่ใช้ความระมัดระวังเพ่ิม มากขึ้นกว่าปกติ ก็ย่อมจะสามารถควบคุมรถไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก กรณีจึงไม่ อาจถือวา่ เปน็ เหตสุ ดุ วสิ ัยทจ่ี ะทาํ ให้จําเลยทง้ั สองหลุดพน้ ความรบั ผิด
106 ปีดเิ ทพ อยยู่ นื ยง บทที่ 6 คา่ สินไหมทดแทน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 “ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใด เพยี งใดนนั้ ให้ศาลวนิ ิจฉัยตามควรแกพ่ ฤติการณแ์ ละความรา้ ยแรงแหง่ ละเมดิ อน่งึ ค่าสินไหมทดแทนน้นั ได้แก่การคนื ทรัพย์สินอันผ้เู สยี หาย ตอ้ งเสียไปเพราะละเมดิ หรอื ใช้ ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหาย อันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น ด้วย” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วางหลักเกณฑ์เอาไว้ในวรรคแรกเป็นเรื่อง “การกําหนดค่าสินไหมทดแทน” และ วรรคท่ีสองเป็นเรื่อง “นิยามของค่าสินไหมแทน” โดยพิจารณาถึง นิยามความหมายของค่าสินไหมทดแทนจากวิธีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใน 3 กรณีได้แก่ (ก) การคืน ทรัพย์ (ข) การใชร้ าคาทรพั ย์ (ค) การใชค้ า่ เสยี หาย 6.1 การกาํ หนดค่าสินไหมทดแทน (ก) คา่ สนิ ไหมทดแทน “ค่าสินไหมทดแทน” ได้แก่ เงินที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ ทรัพย์สินหรือแก่บุคคลอันเนื่องมาจากการละเมิด (เงินค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหาย อย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น) รวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย (การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหาย ตอ้ งเสียไปเพราะละเมิดหรอื ใช้ราคาทรัพยส์ นิ นัน้ ) ในกรณีที่โจทก์นําสืบไม่ได้ว่าตนได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินเท่าไร ศาลจะเป็นผู้ กาํ หนดให้ตามพฤตกิ ารณ์และความร้ายแรงแหง่ ละเมดิ มคี าํ พิพากษาฎีกาทน่ี ่าสนใจดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2497 ค่าเสียหายฐานละเมิดนั้นเมื่อโจทก์สืบไม่ได้ว่า เสียหายเท่าไรแน่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอํานาจศาลที่จะใช้ดุลยพินิจกําหนดให้ตามที่เห็นสมควรแก่พฤติการณ์ และความรา้ ยแรงแหง่ การละเมิด
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมิด 107 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1497/2554 ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค หนึ่ง บัญญัติหลักเกณฑ์ในการกําหนดค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดว่า...ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดย สถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด...กล่าวคือนอกจากจะ คํานึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับจากการกระทําละเมิดแล้วยังต้องพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ในขณะเกิด เหตุกับความร้ายแรงแห่งการกระทําละเมิดประกอบด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจําเลยที่ 1 กับผู้ตายมี สาเหตุขัดแย้งกันด้วยเรื่องเล็กน้อย แต่จําเลยที่ 1 กลับลุแก่โทสะใช้อาวุธปืนพกยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ด้วยเจตนาฆ่า ทั้งที่ผู้ตายไม่มีอาวุธติดตัว พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กําหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 600,000 บาท โดยคํานึงถึงความเสียหายที่โจทก์ ได้รับประกอบกับพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทําละเมิดของจําเลยที่ 1 จึงเหมาะสมแก่ พฤติการณแ์ หง่ คดีแลว้ (ข) วธิ กี ารกําหนดคา่ สนิ ไหมทดแทน “วิธีการกําหนดค่าสินไหมทดแทน” ได้แก่ วิธีการกําหนดค่าสินไหมทดแทนท่ีศาลจะ เป็นผู้กําหนดใหต้ ามพฤตกิ ารณแ์ ละความร้ายแรงแห่งละเมิด (ค) โดยสถานใด “โดยสถานใด” หมายถึง โดยให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนวิธีไหน อาจจะเป็นคืนทรัพย์สิน แก่ผู้เสยี หายหรอื ใช้ราคาทรัพยส์ นิ นนั้ (ง) เพียงใด “เพยี งใด” หมายถงึ คา่ สนิ ไหมทดแทนทพ่ี งึ จะตอ้ งใช้ เป็นจาํ นวนเงินเทา่ ไร (จ) พฤตกิ ารณแ์ หง่ ละเมดิ “พฤติการณ์แห่งละเมิด” หมายถึง พฤติการณ์เกี่ยวกับการกระทําละเมิดของผู้ กอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หาย (ฉ) ความร้ายแรง “ความร้ายแรง” ไดแ้ ก่ ระดับความรุนแรงและความร้ายแรงของการกระทําละเมดิ ในส่วนของศาลจะเป็นผู้กําหนดค่าเสียหายให้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่ง ละเมิด นนั้ คอื “การใชด้ ลุ พนิ ิจของศาลกาํ หนดคา่ เสียหาย” ซ่งึ ศาลอาจกาํ หนดใหจ้ าํ เลยหรอื ผูก้ ระทาํ ละเมดิ ไดใ้ ชใ้ หต้ ามสมควรแกพ่ ฤติการณแ์ ละความร้ายแรงแหง่ ละเมดิ ศาลอาจใชด้ ลุ พนิ ิจ 3 กรณีด้วยกนั ได้แก่
108 ปีดเิ ทพ อยูย่ นื ยง 6.1.1 การกาํ หนดคา่ เสียหายในเชงิ ลงโทษ \"คา่ สินไหมทดแทนเชิงลงโทษ\" ได้แก่ ค่าสนิ ไหมทดแทนทีเ่ ปน็ ตวั เงิน ซึง่ ศาลกําหนดจาํ นวนค่า สินไหมทดแทนที่เป็นตัวเงินนี้เนื่องมาจากการที่ผู้กระทําละเมิดกระทําการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วการ กระทําทไี่ ม่ชอบดว้ ยกฎหมายของผกู้ ระทําละเมดิ ดังกลา่ วได้เกดิ จากการกระทาํ ด้วยความรนุ แรง การกระทาํ บีบคัน การกระทําอันฉ้อฉล การกระทําการข่มขืนใจ และการกระทําโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ (อ้างอิงจาก คําว่า “Punitive Damage” ใน Black’s Law Dictionary) โดยศาลกําหนดค่าเสียหายเป็นจํานวนมากและ มอบค่าเสียหายเป็นจํานวนมากให้แก่โจทก์เพื่อเยียวยาให้ผู้กระทําละเมิดหรือผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย จ่ายเงินเป็นจํานวนมาก ซึ่งประสงค์จะลงโทษให้ผู้กระทําละเมิดหรือผู้ก่อให้เกิดความเสียหายหลาบจําหรือ เข็ดหลาบ “การกําหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษ” ได้แก่ การที่ศาลกําหนดค่าเสียหายที่เป็นจํานวนมาก และท่วมท้นความเสียหายที่แท้จริงที่โจทก์หรือผู้ถูกกระทําละเมิดได้รับ การกําหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ สูงกว่าความเป็นจริง ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อลงโทษจําเลยให้หลาบจําและป้องปรามไม่ให้ผู้อื่นประพฤติเยี่ยง จาํ เลยอีกในอนาคต มคี ําพิพากษาฎกี าท่ีนา่ สนใจดังตอ่ ไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2475 เดิมศาลพิพากษาจําคุกจําเลยฐานฉุดคร่ากระทําอนาจาร นางสาวเล็ก โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจําเลย 3,000 บา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นที่จําเลยต้อง คดีอาญาจําเลยยังให้การและนําสืบว่านายถมยงค์จําเลยกับนางสาวเล็กเคยลักลอบร่วมประเวณีกัน ซึ่งทวี ความเสียชื่อเสียงเกียรติยศแก่นางสาวเล็กอยู่ชั่วชีวิต จึงให้จําเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเบี้ยทําขวัญให้ โจทก์ 1,500 บาท เพอื่ สมแกเ่ หตทุ เี่ จ้าทกุ ข์ระกาํ ใจเป็นเยย่ี งอย่างสําหรับปอ้ งกนั ไม่ให้กระทาํ ความผดิ ชนดิ น้ี อกี ในภายหน้า 6.1.2 การกาํ หนดค่าเสียหายนอ้ ยกวา่ ความเปน็ จริง “การกําหนดค่าเสียหายน้อยกว่าความเป็นจริง” ได้แก่ การที่ศาลกําหนดค่าเสียหายให้น้อย ไปกว่าความเสียหายที่แท้จริง เพราะ “ผู้เสียหายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย” หรือ “ผู้เสียหายละเลยไม่ บาํ บัดปัดปอ้ งหรอื บรรเทาความเสยี หาย” มคี ําพพิ ากษาฎกี าทน่ี า่ สนใจดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2499 โจทก์นําเจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกโฉนดจําเลยซึ่งมีที่ดิน ติดต่อได้ ฟ้องคัดค้านและว่าจะขอรอสอบเขตเสียก่อน แต่แล้วก็ไม่จัดการอย่างไร โจทก์ร้องขอรังวัดครั้งท่ี สองก็ไปคัดค้านอีก จึงเป็นการกระทําซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหาย ต้องรับผิดฐานละเมิด โจทก์จะแบ่ง ที่ดินขายใช้หนี้จํานอง จําเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนด เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยจํานองนานขึ้น แต่
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมิด 109 โจทก์ละเลยมิได้บอกให้จําเลยรู้ถึงเสียค่าเสียหายอันผิดปกตินี้จึงนับว่าเป็นความผิดของโจทก์ประกอบอยู่ ดว้ ย ศาลยอ่ มอาศยั พฤติการณ์นัน้ ประมาณกาํ หนดลดหยอ่ นคา่ เสียหายลงได้ตามท่ีเห็นสมควร 6.1.3 การกําหนดค่าเสยี หายโดยประมาณ “การกําหนดค่าเสียหายโดยประมาณ” ได้แก่ การกําหนดค่าเสียหายโดยศาลได้ใช้ดุลพินิจ กําหนดค่าเสียหายโดยการประมาณตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด มีคําพิพากษาฎีกาที่ นา่ สนใจดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2497 ค่าเสียหายฐานละเมิดนั้นเมื่อโจทก์สืบไม่ได้ว่าเสียหาย เท่าไรแน่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอํานาจศาลที่จะใช้ดุลยพินิจกําหนดให้ตามที่เห็นสมควรแก่พฤติการณ์และความ ร้ายแรงแห่งการละเมิด 6.2 ค่าสนิ ไหมทดแทนเพ่ือละเมดิ ในกรณีตา่ ง ๆ “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดในกรณีต่าง ๆ” ได้แก่ เงินที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความ เสียหายหรือทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายอันเนื่องมาจากการละเมิดในกรณีต่าง ๆ โดยมุ่งที่จะเยียวยา ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทําละเมิด ทําให้ผู้ถูกกระทําละเมิดที่ได้รับความเสียหายกลับคืนสู่ฐานะ เดมิ เสมือนไม่มีการกระทําละเมิดเกิดขนึ้ หรือกลับคืนไดใ้ กลเ้ คยี งฐานะเดิมมากทสี่ ุด เกีย่ วกับ “ค่าสนิ ไหมทดแทนเพ่อื ละเมิดในกรณตี ่าง ๆ” ประกอบด้วย 6.2.1 กรณีทรพั ย์สนิ เสียหาย “ทรัพย์สินเสียหาย” หมายถึง ทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ดีหรือสังหาริมทรัพย์ก็ตาม ได้รับความเสียหายจากการกระทําละเมิด เหตุนี้เองผู้กระทําละเมิดจําต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพ่ือ ทดแทนความเสียหายแก่ทรัพย์สินหรือต้องคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายอันเนื่องมาจากการละเมิดที่ทําให้ ทรพั ย์สนิ เสียหาย 6.2.1.1 กรณสี ามารถคนื ทรัพยห์ รือใชร้ าคาทรพั ยส์ นิ ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง “อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้นได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหาย อันจะพึง บงั คับใหใ้ ช้เพ่อื ความเสยี หายอย่างใด ๆ อันไดก้ ่อข้ึนน้นั ด้วย” (ก) การคนื ทรัพยส์ ิน
110 ปดี ิเทพ อยู่ยืนยง “การคืนทรัพย์สิน” หมายถึง การติดตามเอาคืนทรัพย์สินจากผู้ที่แย่งการครอบครอง ทรพั ย์สนิ ดงั กลา่ วไป เจา้ ของกรรมสิทธ์ิหรอื ผู้มสี ิทธคิ รอบครองสามารถใชส้ ิทธติ ามมาตรา 438 ได้ (ข) การใชร้ าคาทรพั ย์สนิ “การใช้ราคาทรัพย์สิน” หมายถึง การใช้ราคาอันเป็นมูลค่าที่คิดเป็นเงินได้ ในกรณีที่ ผู้กระทําละเมิดไม่อาจคืนทรพั ย์นั้นให้แกผ่ เู้ สียหาย (ค) ค่าเสียหาย อันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น ดว้ ย อนึ่ง “ค่าเสียหาย อันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น ด้วย” หมายความว่าถ้ามีการคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ไปแล้ว แต่ยังมีความเสียหายคงอยู่หรือยังปรากฎ ความเสียหายอยู่ ผ้เู สียหายหรือผถู้ กู กระทําละเมิดสามารถเรยี กค่าเสียหายได้ (ง) การใชค้ า่ เสยี หาย “การใช้ค่าเสียหาย” หมายถึง การใช้ค่าเสียหายในลักษณะที่เป็นเงินที่ต้องชดใช้แก่ ผู้เสียหายจากการที่ทําให้ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกระทําละเมิดเสียหายได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดตาม มาตรา 420 (จ) ความรับผดิ ท่ไี ม่อาจคืนทรัพย์ไดเ้ พราะอบุ ตั ิเหตุ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 439 “บุคคลผู้จําต้องคืนทรัพย์อันผู้อื่น ต้องเสียไปเพราะละเมิดแห่งตนนั้นยังต้องรับผิดชอบตลอดถึงการที่ทรัพย์นั้นทําลายลงโดยอุบัติเหตุหรือการ คืนทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างอื่นโดยอุบัติเหตุหรือทรัพย์นั้นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุนั้นด้วย เว้น แต่เมื่อการที่ทรัพย์สินทําลายหรือตกเป็นพ้นวิสัยจะคืนหรือเสื่อมเสียนั้น ถึงแม้ว่าจะมิได้มีการทําละเมิดก็คง จะตอ้ งตกไปเป็นอย่างน้ันอยเู่ อง” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 439 ได้วางหลักเกณฑ์ในเรื่อง “ความรับ ผิดที่ไม่อาจคืนทรัพย์ได้เพราะอุบัติเหตุ” ซึ่งในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ผู้กระทําละเมิดได้ชื่อว่า “ผิด นัด” มานับแตเ่ วลาท่มี ีการทําละเมิด อนั เปน็ ไปตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 206 เมื่อมีการทําละเมิดเกิดขึ้น แล้วทําให้ทรัพย์สินเสียหายและแล้วทรัพย์สินที่เสียหาย สามารถคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์สินได้ แต่ต่อมาทรัพย์นั้นถูกทําลายลงโดยอุบัติเหตุ กล่าวคือการคืน ทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างอื่นโดยอุบัติเหตุหรือทรัพย์นั้นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุ เข้าหลักเกณฑ์
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 111 เรื่องการชําระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยตามมาตรา 217 เพราะหากตัวของลูกหนี้ประมาทเลินเล่อทําให้การคืน ทรัพย์ตกเปน็ พน้ วิสยั ลกู หนเี้ องยงั คงตอ้ งรับผิด เคยมคี าํ พิพากษาฎีกาทีน่ า่ สนใจดงั ตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2518 จําเลยใช้คนลักไม้ของโจทก์ไปศาลลงโทษจําเลย แล้วไม้เป็นของกลางอยู่ที่สถานีตํารวจถูกไฟไหม้หมด จําเลยทําละเมิดตั้งแต่วันลักไม้เมื่อจําเลยพิสูจน์ไม่ได้ ว่าแม้จะไมล่ ะเมดิ กย็ ังเสียหายอยนู่ ั่นเองจําเลยต้องรับผิด (ฉ) การเรียกดอกเบี้ยในกรณีทต่ี อ้ งใช้ราคาทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440 “ในกรณีท่ีต้องใช้ราคาทรัพย์อันได้ เอาของเขาไปก็ดี ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันลดน้อยลงเพราะบุบสลายก็ดี ฝ่ายผู้ต้องเสียหายจะเรียก ดอกเบยี้ ในจาํ นวนเงนิ ทีจ่ ะต้องใชค้ ิดต้ังแตเ่ วลาอันเป็นฐานที่ตง้ั แหง่ การประมาณราคานั้นก็ได”้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440 เป็นเรื่อง “การเรียกดอกเบี้ยในกรณีที่ ต้องใช้ราคาทรพั ย์” มาตรานี้วางหลักเกณฑ์ให้คิด “ดอกเบี้ยในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์” ตั้งแต่เวลาอัน เป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้น นั้นก็คือตั้งแต่วันทําละเมิดนั่นเอง สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 206 และมาตรา 224 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เคยมีคําพิพากษาฎีกาท่ี นา่ สนใจดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2518 ค่าเสียหายเพราะละเมิดทําให้บุตรของโจทก์ตาย ต้องบังคับตามมาตรา 443 ไม่มีบัญญัติให้เรียกค่าชอกชํ้าระกําใจด้วย ค่าเสียหายแก่รถยนต์ที่ถูกชนเกิด เพลิงไหม้เสียหายหมดคิดราคาในกรณีนี้ตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคา คือเวลาทํา ละเมดิ กบั ดอกเบย้ี จากเงนิ จาํ นวนน้ัน ไมใ่ ชร่ าคารถในปจั จบุ นั 6.2.1.2 กรณีไม่สามารถคนื ทรพั ยไ์ ด้ ให้ใช้ราคาทรัพย์และคา่ เสียหายอ่ืน ๆ (ก) การใชค้ ่าสินไหมทดแทนให้แกบ่ คุ คลซ่งึ เป็นผคู้ รองทรพั ย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 441 “ถ้าบุคคลจําต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดีหรือเพราะทําของเขาให้บุบ สลายก็ดี เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไปหรือขณะที่ทําให้ บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้น แม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็น
112 ปดี ิเทพ อยยู่ นื ยง เจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตน หรอื มิได้รูเ้ พราะความประมาทเลนิ เลอ่ อย่างรา้ ยแรงของตน” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 441 บัญญัติเอาไว้ในเรื่อง “การใช้ค่า สนิ ไหมทดแทนใหแ้ ก่บุคคลซึ่งเปน็ ผคู้ รองทรพั ย”์ “การใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์” หมายถึง การใช้ค่า สินไหมทดแทนในกรณีที่มีการกระทําให้สังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่นบุบสลาย (หรือชํารุดแตกหัก) เมื่อมี การใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไปหรือขณะที่ทําให้บุบสลาย นั้นแล้ว ผู้กระทําละเมิดอันหลุดพ้นไปจากหนี้ละเมิดนั้น เว้นแต่ในขณะชําระหนี้นั้นรู้อยู่ว่าเข้าไม่ใช่เจ้าของ หรอื รู้ท้ังรวู้ า่ เข้าไม่ใชเ่ จา้ ของแลว้ ไปชาํ ระหน้ี มคี าํ พพิ ากษาฎกี าทน่ี ่าสนใจดงั ต่อไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5515/2538 ผลของมาตรา 441 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ที่บัญญัติให้ผู้ทําละเมิดเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หากว่าได้ใช้ค่า สินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกทําละเมิดนี้เอง ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกทําละเมิดมีสิทธิรับชําระหนี้ค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทําละเมิดได้ แม้กระทั่งผู้ครองสังหาริมทรัพย์นั้นจะไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ก็ตาม เมื่อมีสิทธิที่จะรับชําระหนี้ได้ก็ย่อมมีสิทธิที่ จะทําสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการรับชําระหนี้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจําเลยกับ ส. ย่อมมีผลบังคับได้แม้ ส. จะไม่ใช่เจ้าของ รถยนต์คันที่ขับก็ตามและผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทําให้สิทธิเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ สละแล้วนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะรับ ช่วงสทิ ธิได้ (ข) การใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายและผู้เสียหายได้มีส่วนทําความผิดอย่าง ใดอยา่ งหนงึ่ กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 “ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะ ความผิดอย่างหนึ่ง อย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นําบทบัญญัติ แห่งมาตรา 223 มาใช้ บังคบั โดยอนโุ ลม” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 “ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทํา ความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่าย ผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสําคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้ เกิดขึน้ เพราะฝ่ายไหนเป็นผกู้ ่อยิ่งหยอ่ นกวา่ กันเพียงไร
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 113 วิธีเดียวกันนี้ ท่านให้ใช้แม้ทั้งที่ความผิดของฝ่ายผู้ที่เสียหายจะมีแต่เพียงละเลยไม่ เตือนลูกหนี้ให้รู้สึกถึงอันตรายแห่งการเสียหายอันเป็นอย่างร้ายแรงผิดปกติ ซึ่งลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่อาจจะรู้ได้ หรือเพียงแต่ละเลยไม่บําบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย อนึ่งบทบัญญัติแห่งมาตรา 220 น้ัน ท่านใหน้ ํามาใช้บงั คบั ดว้ ยโดยอนโุ ลม” “ผู้เสียหายได้มีส่วนทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วย” (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 วรรคแรก) ได้แก่ ผู้เสียหายได้มีส่วนกระทําความผิด ไม่ว่า การกระทําความผิดดังกล่าวจะกระทําโดยจงใจก็ดีหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม จนไปก่อให้เกิดความเสียหาย น้ันด้วย มคี ําพิพากษาฎกี าที่นา่ สนใจดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 8794/2547 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 วรรคหนงึ่ เมือ่ โจทกแ์ ละจาํ เลยที่ 1 ตา่ งมีส่วนประมาท การทีฝ่ า่ ยใดฝ่ายหน่งึ จะมี สิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมากน้อยเพียงใดต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟัง เป็นยุติว่า โจทก์เป็นฝ่ายประมาทมากกว่าจําเลยที่ 1 โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้ จําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของโจทก์ได้ จําเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย รถยนต์คันทจ่ี าํ เลยที่ 1 เป็นผขู้ บั จงึ ไม่ต้องรว่ มรับผิดชดใชค้ า่ เสียหายแกโ่ จทก์ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2548 การที่โจทก์และจําเลยจะต้องรับผิดในผลของการ กระทําละเมิดต่อกันเพียงใดนั้น ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 ประกอบด้วย มาตรา 223 ให้ พิจารณาถึงพฤติการณ์ด้วยว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ซึ่งต้องถือเอาการ กระทําละเมิดมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หาได้ถือเอาความเสียหายมากน้อยเป็นเกณฑ์ไม่ เมื่อต่างฝ่าย ต่างทําละเมิดต่อกันและมีส่วนประมาทพอ ๆ กัน โจทก์และจําเลยจึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากกันได้ จําเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยความเสียหายอันเกิดจากรถยนต์คันที่จําเลยเอาประกันภัยไว้ และจะต้องรับ ผิด ก็ต่อเมื่อจําเลยผู้เอาประกันต้องรับผิด เมื่อโจทก์ไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจําเลย จําเลยร่วมจึงไม่ต้อง รบั ผิดชดใช้ ค่าเสียหายให้แกโ่ จทก์เช่นกนั คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2559 การที่โจทก์มอบให้จําเลยที่ 1 ผู้จัดการฝ่ายบัญชี และการเงินของโจทก์เป็นผู้เก็บแบบพิมพ์เช็คและตราประทับของโจทก์ไว้ แล้วจําเลยที่ 1 เป็นผู้เอาแบบ พิมพ์เช็คพิพาทที่มีการปลอมลายมือชื่อของ อ. ผู้มีอํานาจสั่งจ่ายเช็คของโจทก์นําไปเรียกเก็บเงินจากบัญชี ของโจทก์ได้ถึง 43 ฉบับ ในช่วงระยะเวลานาน 3 ปี เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์ละเลยไม่ระมัดระวังในการ เก็บรักษาควบคุมดูแลแบบพิมพ์เช็คพิพาทและตราประทับของโจทก์ รวมทั้งไม่มีมาตรการในการตรวจสอบ เพื่อป้องกันมิให้มีการนําแบบพิมพ์เช็คพิพาทไปปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายแล้วใช้ตราประทับของโจทก์
114 ปดี เิ ทพ อยยู่ นื ยง ประทับลงในเช็คพิพาทนําไปเบิกเงินจากจําเลยที่ 3 แต่อย่างใด ทั้งจําเลยที่ 3 ได้ส่งรายการเดินบัญชีกระแส รายวันของโจทก์ให้แก่โจทก์ทราบทุกเดือน หากโจทก์มีมาตรการตรวจสอบที่ดี ก็จะทราบถึงความผิดปกติ ในการใช้เช็คเบิกเงินออกจากบัญชีของโจทก์และสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาที่รวดเรว็ กว่านี้ แต่โจทก์กลับ ปล่อยปละไม่ตรวจสอบจนเวลาล่วงมาถึง 3 ปี จึงทราบเหตุละเมิดดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิด ความเสียหายด้วย ดังนั้น การกําหนดค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 223 วรรคหนึง่ มาตรา 438 และ 442 “ผู้เสียหายละเลยไม่เตือนให้ผู้ทําละเมิดรู้ถึงอันตราย” (ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 223 วรรคสอง) ได้แก่ ผู้เสียหายละเลยไม่เตือนผู้กระทําละเมิดให้รู้สึกถึงอันตรายแห่งการ เสียหายอันเปน็ อยา่ งร้ายแรงผิดปกติ “ผู้เสียหายละเลยไม่บําบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย” (ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 223 วรรคสอง) ได้แก่ ผู้เสียหายเพียงแต่ละเลยไม่บําบัดปัดป้องหรือบรรเทาความ เสียหายนน้ั 6.2.2 กรณเี กยี่ วกับชวี ติ และร่างกาย ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี หรือแก่ร่างกายก็ดี มาตรา 420 กําหนดผลของการกระทําละเมิดให้ผู้กระทําละเมิดจําต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนเพื่อการนั้น ค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นผลของการกระทําละเมิดที่ผู้กระทําละเมิดต้องเยียวยาให้ ผู้เสียหายจากการกระทําละเมิดกลับคืนสฐู่ านะเดมิ ในส่วนของค่าสินไหมทดแทนในกรณีเกิดความเสียหายแก่ชีวิตหรือทําให้บุคคลอื่นถึงแก่ความ ตาย ไม่ว่าจะโดยจงใจก็ดีหรือโดยประมาทเลินเล่อก็ตาม แต่ถ้าความตายเป็นผลมาจากการกระทําของ ผู้กระทําละเมิดแล้ว ผู้กระทําละเมิดก็ต้องชดใชค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาให้กับทายาทผู้สูญเสีย อาทิ ค่าปลงศพ (มาตรา 443 วรรคแรก) ค่าใช้จ่ายอันจําเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ (มาตรา 443 วรรคแรก) ค่า รักษาพยาบาลก่อนตาย (มาตรา 443 วรรคสอง) ค่าขาดประโยชน์ทํามาหาได้ก่อนตาย (มาตรา 443 วรรค สอง) ค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย (มาตรา 443 วรรคท้าย) และค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอก (มาตรา 445) ในส่วนของค่าสินไหมทดแทนในกรณีเกิดความเสียหายแก่ร่างกายหรืออันตรายแก่กาย ไม่ว่า จะเป็นอันตรายสาหัสหรืออันตรายไม่สาหัส รวมทั้งอันตรายแก่จิตใจ (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 626/2493) อาทิ ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป (มาตรา 444 วรรคแรก) ค่าขาดประโยชน์ทํามาหาได้ระหว่างเจ็บป่วย
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมิด 115 (มาตรา 444 วรรคแรก) ค่าเสียความสามารถประกอบการงาน (มาตรา 444 วรรคแรก) ค่าขาดแรงงานของ บุคคลภายนอก (มาตรา 445) และคา่ เสียหายอยา่ งอน่ื อนั มิใชต่ ัวเงนิ (มาตรา 446) 6.2.2.1 ค่าสนิ ไหมทดแทนกรณีทําให้เขาถึงตาย (ก) คา่ ปลงศพ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคแรก “ในกรณีทําให้เขาถึงตาย นัน้ คา่ สนิ ไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมท้ังคา่ ใชจ้ ่ายอันจาํ เป็นอยา่ งอ่ืน ๆ อกี ด้วย” “ค่าปลงศพ” ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการศพตามประเพณีศาสนาและท้องถิ่น ผู้มี สิทธิเรียกค่าปลงศพได้นั้นก็คือ “ทายาท” ที่มีอํานาจหน้าที่จัดการศพเท่านั้น (มาตรา 1649) ส่วนทายาท เรียกค่าปลงศพได้ตามฐานานุรูปและตามสมควรเท่าที่จําเป็น มีคําพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของ ค่าปลงศพดังต่อไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 14/2517 กรณีผู้ละเมิดขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของ บิดาโจทก์เสียหายและเป็นเหตุให้บิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาโจทก์ ผู้ตายรับรองแล้ว มีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าปลงศพของบิดาโจทก์ผู้ตาย และมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน รถยนต์ของบดิ าโจทก์ท่ถี ูกชนเสียหายน้ันด้วย คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2525 สิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพตาม ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 นั้นได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นทายาท เพราะการปลงศพนั้นเป็นหน้าที่ของทายาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 649 ภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่ทายาท จึงไม่มีสิทธิ เรยี กรอ้ งเอาค่าปลงศพ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2506 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งบัญญัติให้ผู้ทําละเมิดรับผิดใช้ค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย นั้น จะต้อง พิเคราะห์ตามฐานานุรูปของผู้ตาย มิใช่ว่าถ้ามีการใช้จ่ายเงินทําศพตามประเพณีเป็นจํานวนเท่าใดแล้วผู้ทํา ละเมดิ จะต้องรบั ผดิ ท้งั หมด คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4367/2528 เงินจํานวน 3,000 บาทที่จําเลยที่ 3 ช่วยค่าทําศพ ในขณะที่จําเลยที่ 3 มิได้ยอมรับผิดว่าการตายเกิดจากการกระทําละเมิดของจําเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกจ้างของตน และมิได้มอบให้ในฐานะเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่ง แต่เป็นการให้ในลักษณะร่วมทําบุญอันเป็นสํานึกในด้าน
116 ปีดเิ ทพ อยูย่ ืนยง ศีลธรรมและเรื่องการบุญการกุศลของจําเลยท่ี 3 จําเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจะนํามาหักกับจํานวนเงินค่าทํา ศพทโ่ี จทกฟ์ อ้ งเรียกรอ้ งไมไ่ ด้ (ข) คา่ ใชจ้ ่ายอนั จําเป็นเกย่ี วกบั การจดั การศพ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคแรก “ในกรณีทําให้เขาถึงตาย น้ัน ค่าสนิ ไหมทดแทนไดแ้ ก่ ค่าปลงศพ รวมทง้ั คา่ ใชจ้ ่ายอันจาํ เป็นอย่างอ่นื ๆ อกี ดว้ ย” “ค่าใช้จ่ายอันจําเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ” ได้แก่ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เท่าที่จําเป็น เกี่ยวกับการจัดงานศพ ตามฐานานุรูปของผู้ตายหรือสมฐานะของผู้ตาย เช่น ค่าอาคารและเครื่องดื่มแขก ที่มาร่วมงานศพ (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2538) ค่าแจกหนังสืองานศพตามฐานะของผู้ตาย (คํา พิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2516) และค่าทําเจดีย์บรรจุอัฐิผู้ตายตามฐานะของผู้ตาย (คําพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2707/2526) เปน็ ตน้ (ค) ค่ารกั ษาพยาบาลก่อนตาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสอง “ถ้ามิได้ตายในทันที ค่า สินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถ ประกอบการงานนน้ั ดว้ ย” “ค่ารักษาพยาบาล” ได้แก่ เงินค่ารักษาพยาบาลที่ทายาทสามารถฟ้องเรียกเอาจาก ผกู้ ระทําละเมดิ ได้ มีคําพพิ ากษาฎีกาท่นี า่ สนใจดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 806/2533 ผู้ตายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก่อนถึงแก่ ความตาย ทางโรงพยาบาลคิดค่าใช้จ่ายแล้วลดค่ารักษาพยาบาลให้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากผู้ตายเป็นผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน การที่ผู้ตายได้รับการลดค่ารักษาพยาบาลเป็นสิทธิของผู้ตาย ไม่เป็นผลให้ความรับผิดของจําเลย ตอ้ งลดลงไปด้วย จาํ เลยต้องรับผดิ ในค่าเสยี หายส่วนนเี้ ตม็ จํานวน โจทก์ซึ่งเป็นภริยาและบุตรของผู้ตายมีสิทธิเรียกค่าเหมารถพาญาติไปเยี่ยมผู้ตายก่อน ถึงแก่ความตายได้ ค่าฉีดยาศพ ค่าจ้างรถบรรทุกศพ ค่าโลงศพ ค่าจัดงานศพ 5 วันค่าทําบุญครบ 7 วัน หรือ 100 วัน ค่าเลี้ยงพระ ค่าผ้าบังสุกุลค่าติดกัณฑ์เทศน์ เป็นค่าใช้จ่ายอันจําเป็นที่โจทก์มีสิทธิเรียกจากจําเลย ผ้กู ระทําละเมิดได้
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 117 (ง) ค่าเสยี หายทต่ี อ้ งขาดประโยชน์ทาํ มาหาได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสอง “ถ้ามิได้ตายในทันที ค่า สินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถ ประกอบการงานนัน้ ด้วย” “ค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้” ได้แก่ เงินค่าเสียหายเนื่องจากผู้ตายไม่ สามารถไปทํางานได้ ในขณะที่ตอ้ งรกั ษาตัวเป็นชว่ งระยะเวลาหน่งึ กอ่ นถงึ แก่ความตาย ในระยะเวลาทผ่ี ู้ตาย ไม่สามารถไปทํางานได้ย่อมทําให้ขาดประโยชน์ทํามาหาได้ในระยะเวลาดังกล่าว ทายาทจึงย่อมฟ้องเรียก ค่าเสยี หายท่ตี ้องขาดประโยชน์ทํามาหาไดไ้ ด้เพราะถือเปน็ มรดก มีคาํ พิพากษาฎกี าท่นี า่ สนใจดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4352/2550 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า \"ถ้ามิได้ตายในทันทีค่าสนิ ไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหาย ที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย\" ค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานจึงเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ทําละเมิดจําต้องใช้แก่ผู้เสียหายที่ ยังไม่ถึงตายแต่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานเท่านั้น หาใช่ค่าสินไหม ทดแทนที่ผู้ทําละเมิดจําต้องใช้หลังจากผู้เสียหายนั้นถึงแก่ความตายแล้วด้วยไม่ เหตุละเมิดเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2542 โจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2544 โจทก์จึงขาดประโยชน์ทํามาหาได้ เพราะ ไม่สามารถประกอบการงานเป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน 6 วัน จําเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่ โจทก์ตอ้ งขาดประโยชน์ทาํ มาหาไดเ้ ปน็ เงิน 30,300 บาท เทา่ นัน้ (จ) คา่ ขาดไร้อปุ การะตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสาม “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทํา ให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่า สินไหม ทดแทนเพอ่ื การน้นั ” “ค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย” ได้แก่ เงินที่คนที่มีสิทธิได้รับการอุปการะส่งเสีย เลี้ยงดูจากผู้ตายพึงเรียกร้องได้ เนื่องมาจากตนเองมีสิทธิที่จะได้รับอุปการะส่งเลี้ยงดูจากผู้ที่มีหน้าที่จะต้อง ทําการอุปการะเลี้ยงดูที่ถึงแก่ความตาย เช่น สามีภริยาต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน บุตรต้องอุปการะ เลี้ยงดูบิดามารดา บิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์และบิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรทภุ พล ภาพ (และหาเล้ียงตนเองไมไ่ ด)้ เปน็ ต้น มคี าํ พิพากษาฎีกาท่ีเก่ียวกับคา่ ขาดไรอ้ ปุ การะตามกฎหมายดังตอ่ ไปนี้
118 ปีดิเทพ อยยู่ นื ยง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 6393/2551 ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุจํานวนเงินจํากัด ความรับผิด กรมธรรม์ประกันภัยนี้ให้ความคุ้มครองเฉพาะสัญญาข้อที่มีจํานวนเงินจํากัดความรับผิดระบุไว้ เท่านั้น ในข้อสัญญาดังกล่าวไม่ระบุถึงต้องรับผิดในส่วนค่าขาดไร้อุปการะด้วยการที่จําเลยจ่ายเงินไปเห็นได้ ชัดว่าเป็นค่าปลงศพเท่านั้น การจ่ายเงินค่าซ่อมรถก็เป็นค่าเสียหายต่อทรัพย์สินซึ่งค่าเสียหายทั้งสอง รายการนี้ต้องจ่ายตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จําเลยที่ 1 ทําไว้กับจําเลยร่วมเท่านั้น ในการทําละเมิดเป็นเหตุ ให้บุตรของโจทก์ทั้งสองถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิ ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 1563 ไม่ว่าในขณะเกิดเหตุผู้ตายจะได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองจริงหรือไม่ และในอนาคตจะ อุปการะกันหรือไม่ การที่โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจําเลยร่วมที่จําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ขอให้ศาลเรียกเข้ามา นั้น ไม่มีผลเกี่ยวกับจําเลยทั้งห้าเพราะคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จําเลยทั้งห้าชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะตาม กฎหมาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่เป็นการปลดหนี้ให้แก่ จําเลยร่วมอันจะมีผลทําให้จําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 หลุดพ้นจากความรับผิดในส่วนนี้ ทั้งการที่โจทก์ทั้งสอง ทําสัญญาประนีประนอมยอมความกับจําเลยร่วมว่าไม่ติดใจเรียกร้องอะไรอีกนั้น เป็นกรณีเฉพาะการ ประนปี ระนอมยอมความกนั ในเร่อื งค่าซ่อมรถเทา่ นัน้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2552 ค่าขาดไร้อุปการะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสาม นั้น เมื่อปรากฏว่าผู้ตายมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้ง สามตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะดังกล่าว โดยไม่ต้องพิจารณาว่าในขณะนั้น ผู้ตายได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสามหรือไม่ เม่ือพิจารณาถึงอายุของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งขณะเกิดเหตุมี อายุประมาณ 58 ปี และ 34 ปี ตามลําดับแล้ว เห็นว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 มีโอกาสได้รับการอุปการะตาม กฎหมายได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ที่ศาลล่างทั้งสองกําหนดค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์ที่ 2 จํานวน 300,000 บาท และโจทก์ที่ 3 จํานวน 100,000 บาท ถือว่าเหมาะสมแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 1 ขณะเกิดเหตุละเมิดมีอายุ ประมาณ 78 ปี นับว่ามีอายุมากแล้วเมื่อเทียบกับอายุขัยของคนทั่วไป ที่ศาลล่างทั้งสองกําหนดค่าขาดไร้ อุปการะให้เป็นเงินถึง 300,000 บาท นับว่าเป็นจํานวนค่อนข้างสูง จึงเห็นสมควรลดลงบางส่วนโดย กําหนดค่าขาดไรอ้ ุปการะใหโ้ จทก์ท่ี 1 เป็นเงินจาํ นวน 200,000 บาท คําพิพากษาฎีกาที่ 9210/2556 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรค สาม กําหนดให้ผู้ทําละเมิดในกรณีทําให้เขาถึงแก่ความตายรับผิดต่อบุคคลที่ต้องขาดไร้อุปการะเฉพาะที่ ผู้ตายมีหน้าที่อุปการะตามกฎหมายเท่านั้น แต่โจทก์ร่วมเป็นบุตรของผู้ตายกับ ป. ให้การชั้นสอบสวนว่า ผู้ตายกับ ป. ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้ผู้ตายแจ้งการเกิดของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมเป็นบุตรของผู้ตาย และตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าผู้ตายยินยอมให้โจทก์ร่วมใช้ชื่อสกุลอันถือว่าโจทก์ร่วมเป็นบุตรนอกกฎหมายที่
คาํ อธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 119 บิดารับรองแล้วตามมาตรา 1627 ก็ตาม แต่ตามมาตรา 1563 และมาตรา 1564 ที่บัญญัติให้บุตรและบิดา จําต้องอุปการะเลี้ยงดูกันนั้นหมายถึงบุตรและบิดาโดยชอบดว้ ยกฎหมายเทา่ นน้ั ไมม่ บี ทบญั ญตั กิ าํ หนดสทิ ธิ และหน้าที่ให้บิดาจําต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมาย ดังนั้น แม้โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายที่ บิดารับรองแล้วจะเปน็ ทายาทโดยธรรมมีสทิ ธริ ับมรดกของบิดาได้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2255/2515 โจทก์เพิ่งจะได้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของ นายแก้วผู้ตาย ซึ่งเป็นบิดาตามคําสั่งศาล และคดีถึงที่สุดเมื่อนายแก้วได้ตายไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียก ค่าขาดอปุ การะเลยี้ งดจู ากจําเลยฐานละเมิดทที่ าํ ใหน้ ายแก้วบิดาตนถงึ แก่ความตายได้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5937/2539 พ. บิดาโจทก์ที่3ได้หย่าขาดจากผู้ตายและตกลง ให้ผู้ตายเป็นผู้ปกครองโจทก์ที่3ดังนี้ผู้ตายจึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่ โจทก์ที่ 3 ในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ถึงแม้ พ. จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูก็หาทําให้ผู้ตายหมดภาระหน้าที่ต้อง อุปการะเลยี้ งดูและให้การศกึ ษาแกโ่ จทก์ท่ี 3 ไมจ่ ําเลยท่ี 2 จงึ ตอ้ งรบั ผิดในส่วนนี้อยู่ (ฉ) คา่ ขาดแรงงาน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 “ในกรณีทําให้เขาถึงตาย หรือให้ เสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยก็ดี ในกรณีทําให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหาย มีความผูกพันตาม กฎหมาย จะต้องทําการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอก นั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก เพ่อื ทเ่ี ขาตอ้ งขาดแรงงานอนั นนั้ ไปด้วย” “ค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอก” ได้แก่ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อที่เขาต้องขาดแรงงาน กล่าวคือเงินที่บุคคลภายนอกพึงได้เมื่อมีผู้กระทําละเมิดมาทําให้บุคคลภายนอก ขาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายนอกที่เป็นบุคคลในครัวเรือน (เช่น สามี ภริยา) หรือบุคคลภายนอกที่ เป็นบุคคลนอกครัวเรือน (เช่น นายจ้าง) ตัวอย่างเช่น สามีหรือภริยาที่มีหน้าที่เป็นแรงงานในครัวเรือนถูก กระทําละเมิดจนถึงแก่ความตาย ภริยาหรือสามีอีกฝ่ายจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก เพอื่ ท่ภี รยิ าหรือสามีอกี ฝา่ ยต้องขาดแรงงานได้ เป็นตน้ มีคําพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขา ตอ้ งขาดแรงงานดงั ต่อไปน้ี คาํ พิพากษาศาลฎกี าที่ 3983/2528 ลูกจ้างมีความผกู พนั ตามกฎหมายทจ่ี ะตอ้ งทําการ งานให้เป็นคุณแก่ นายจ้างเมื่อลูกจ้างถูกทําละเมิดจนได้รับบาดเจ็บไม่สามารถทํางานให้ นายจ้างได้นายจ้าง
120 ปีดเิ ทพ อยู่ยนื ยง ย่อมขาดแรงงานและมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน จากผู้ทําละเมิด(หรือนายจ้างของผู้ทําละเมิด)โดย คาํ นวณให้เท่ากบั จํานวนเงนิ ทีน่ ายจา้ งชําระให้แก่ลกู จา้ งนน้ั คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2537 แม้ก่อนตายผู้ตายจะมีรายได้จากการขับรถยนต์ สองแถวรับจ้างนํารายได้มาเลี้ยงครอบครัวโจทก์ก็ตาม แต่ขณะถึงแก่ความตายผู้ตายมีอายุเพียง 19 ปี ซึ่ง ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 42 บัญญัติว่าผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถ และมาตรา 49 (2) บัญญัติว่า ผู้ขอใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องมีอายุไม่ตํ่ากว่า 25 ปี บริบูรณ์ ผู้ตายจึงต้องห้าม มิให้ขับรถยนต์สองแถวรับจ้างซึ่งจัดเป็นรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายดังกล่าว การขับรถยนต์สองแถว รับจ้างของผู้ตายถือไม่ได้ว่าเป็นการทํางานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูปตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (3) โจทก์ผู้เป็นมารดาไม่มีสิทธิใช้ผู้ตายซึ่งเป็นบุตรให้ทํางานดังกล่าวฉะน้ัน รายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างจึงมิใช่รายได้ที่เกิดจากการที่ผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายที่ จะต้องทําการงานให้เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในครัวเรือนดังความที่บัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 445 โจทก์จึงเรยี กค่าเสียหายในส่วนน้ไี ม่ได้ 6.2.2.2 ค่าสินไหมทดแทนแกร่ ่างกายและอนามัย (ก) คา่ ใชจ้ า่ ยอันตนตอ้ งเสียไป ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคแรก “ในกรณีทําให้เสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยนั้น ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไปและค่าเสียหายเพื่อการที่เสีย ความสามารถประกอบการงานส้นิ เชงิ หรอื แต่บางส่วน ท้งั ในเวลาปจั จุบันนน้ั และในเวลาอนาคตด้วย” “ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป” ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล (ค่าใช้จ่ายเพื่อการเยียวยาฟื้นฟู ร่างกายให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเท่าที่จําเป็น) (เช่น ค่ารักษา) และค่าใช้จ่ายอันจําเป็นเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาล (ค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนกิจกรรมสนับสนุนการรักษาพยาบาลหรือส่งเสริมการรักษาพยาบาล เท่าทีจ่ าํ เป็น) (เชน่ ค่าจา้ งคนเฝ้าไข้ในยามวิกาล คา่ พาหนะเดนิ ทางไปโรงพยาบาล) ในส่วน “ผู้มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล” ได้แก่ (ก) ผู้ถูกกระทําละเมิดเองกับ (ข) ผู้มีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เช่น บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ หากบุตร ผู้เยาว์ได้ถูกกระทําละเมิดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส บิดามารดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ ย่อมมีหน้าที่รักษาพยาบาล เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรักษาพยาบาลไปแล้ว บิดามารดายจึงมี อํานาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรงได้ (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2512) และ (ค) บริษัทประกันภัย ในกรณีที่บริษัทประกันภัยได้รับช่วงสิทธิจากผู้ถูกกระทําละเมิด แลว้ บรษิ ทั ประกันภัยไปไลเ่ บ้ยี ฟอ้ งเรียกค่ารกั ษาพยาบาลที่ชําระไปลว่ งหนา้ จากผูก้ ระทาํ ละเมดิ
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมดิ 121 มคี ําพพิ ากษาฎีกาทนี่ า่ สนใจเก่ียวกบั ค่ารกั ษาพยาบาลดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2519 แม้โจทก์เป็นข้าราชการได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลบุตร ผู้เยาว์ซึ่งถูกทําละเมิดจากทางราชการแล้ว ก็ยังมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจําเลยผู้ต้องรับ ผิดในผลแห่งการละเมิดอีกได้ เพราะสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินดังกล่าวจากทางราชการ เป็นสิทธิที่รัฐ กําหนดใหแ้ กข่ า้ ราชการ ไมเ่ ก่ียวกบั ความรับผิดของจําเลย คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3345/2538 บิดามารดาโจทก์เดินทางไปเฝ้าดูแลโจทก์ขณะที่โจทก์พัก รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากโจทก์ช่วยตัวเองไม่ได้แพทย์ไม่ให้เคลื่อนไหวเพราะหากหกล้มจะเป็น อัมพาต จําเป็นต้อง มีผู้ดูแล ค่าเดินทางและค่าที่พักที่บิดามารดาโจทก์ใช้จ่ายไป จึงเป็นค่าใช้จ่ายอันจําเป็น ในการรักษาพยาบาลโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ ค่าขาดประโยชน์ที่บิดามารดา โจทก์ไม่ได้ประกอบการงานในระหว่างที่เฝ้าดูแลรักษาโจทก์ มิใช่เป็นค่าเสียหายที่โจทก์พึงเรียกร้องได้จาก ผู้ทําละเมิดต่อโจทก์ ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 444,445 และ 446 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2542 จําเลยที่ 2 ทําการผ่าตัดหน้าอกโจทก์ที่มีขนาดใหญ่ให้มี ขนาดเล็กลงที่โรงพยาบาลจําเลยที่ 1 หลังผ่าตัดแล้วจําเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปทําการผ่าตัดแก้ไขที่คลินิก จําเลยที่ 2 อีก 3 ครง้ั แตอ่ าการไมด่ ขี น้ึ โจทกจ์ งึ ใหแ้ พทยอ์ น่ื ทาํ การรกั ษาตอ่ แมต้ วั โจทกแ์ ละนายแพทย์ ด. ผู้ทําการรักษาโจทก์ต่อจากจําเลยที่ 2 จะไม่สามารถ นําสืบให้เห็นว่า จําเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อในการ ผ่าตัด และรักษาพยาบาลโจทก์อย่างไร แต่เมื่อจําเลยที่ 2 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้านเลเซอร์ ผ่าตัด จําเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์เป็นพิเศษ การที่ นายแพทย์ ด. ต้องทําการผ่าตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่าจําเลยที่ 2 ผ่าตัดมา มีข้อบกพร่องจึงต้องแก้ไขและแสดงว่าจําเลย ที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังในการผ่าตัด และไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ถึงขั้นตอนการรักษา ระยะเวลา และ กรรมวิธีในการดําเนินการรักษา จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นความ ประมาทเลินเล่อ ของจําเลยที่ 2 ถือได้ว่าจําเลยที่ 2 กระทําละเมิดต่อโจทก์ พฤติการณ์ที่โจทก์ติดต่อรักษากับจําเลยที่ 2 ที่ คลินิกและตกลงให้โจทก์เข้าผ่าตัดในโรงพยาบาลจําเลยที่ 1 โจทก์จ่ายเงินให้จําเลยที่ 2 จํานวน 70,000 บาทให้จําเลยที่ 1 จํานวน 30,000 บาท ยังฟังไม่ได้ว่าจําเลยท่ี 1 เป็นนายจ้างหรือตัวการที่ต้องร่วมรับผิด ในส่วนของค่าเสียหายนอกจากส่วนที่มีใบเสร็จแม้โจทก์จะมีอาการเครียด อยู่ก่อนได้รับการผ่าตัดจาก จําเลยที่ 2 แต่เมื่อหลังผ่าตัดอาการมากขึ้นกว่าเดิมความเครียดของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงมาจากการผ่าตัด จําเลยที่ 2 ต้องรับผิด และแม้ไม่มีใบเสร็จมาแสดงว่าได้เสียเงินไปเป็นจํานวนเท่าใดแน่นอน แต่น่าเชื่อว่า โจทก์ ต้องรักษาจริง ศาลเห็นสมควรกําหนดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ สําหรับค่าเสียหายอื่นนั้นเมื่อปรากฏว่า หลังจากแพทย์โรงพยาบาลอื่นได้รักษาโจทก์อยู่ในสภาพปกติแล้ว โจทก์จึง ไม่อาจเรียกร้องเอาค่าสินไหม
122 ปีดิเทพ อย่ยู ืนยง ทดแทนเพื่อความเสียหาย อื่นอันมิใช่ตัวเงิน เหตุละเมิดเกิดวันที่ 12 เมษายน 2537 ต้องฟ้อง ภายใน 1 ปี ครบกําหนดตรงกบั วนั หยุดสงกรานต์วนั ท่ี 12 ถึง 14 เมษายน วันท่ี 15 และ 16 เมษายน 2538 เปน็ วันเสาร์ อาทติ ย์ ราชการหยดุ ทาํ การ โจทก์ยืน่ ฟอ้ ง วนั เปิดทาํ การวันที่ 17 เมษายน 2537 ได้ คดีไม่ขาดอายคุ วาม คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2551 ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเป็นค่าเครื่องรับโทรทัศน์และ ตู้เย็นในห้องพักผู้ป่วยเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อํานวยความสะดวกอันจําเป็นแก่ผู้ป่วยและคนเฝ้าไข้ ทั้ง โรงพยาบาลได้จัดเตรียมไว้ให้ใช้ในห้องอยู่แล้ว ถือเป็นค่าใช้จ่ายอันจําเป็นที่โจทก์ต้องเสียไป จําเลยจึงต้อง รับผดิ ตอ่ โจทก์ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 7317/2553 สิทธิในการรักษาชีวิตและร่างกายของบุคคลนั้นเป็นสิทธิ ที่บุคคลทุกคนมีสิทธิอันชอบธรรมในการเลือกเข้ารักษาชีวิตและร่างกายของตนในโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่ บุคคลนั้นเชื่อว่าสามารถรักษาชีวิตและร่างกายของบุคคลนั้นให้หายเป็นปกติได้โดยเร็ว จําเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่มีสิทธิที่จะบังคับหรือเจาะจงให้โจทก์ที่ 3 จําต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐอันมีค่าใช้จ่ายตํ่า กวา่ โรงพยาบาลเอกชนได้ (ข) คา่ ขาดประโยชนท์ าํ มาหาไดร้ ะหว่างเจบ็ ป่วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคแรก “ในกรณีทําให้เสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยนั้น ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไปและค่าเสียหายเพื่อการที่เสีย ความสามารถประกอบการงานส้นิ เชิงหรือแต่ บางสว่ น ทงั้ ในเวลาปัจจบุ นั นน้ั และในเวลาอนาคตดว้ ย” “ค่าขาดประโยชน์ทํามาหาได้ระหว่างเจ็บป่วย” ได้แก่ ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถ ประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนในเวลาปัจจุบัน เมื่อมีการกระทําละเมิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความ เสียหายแก่ร่างกาย ผู้เสียหายจึงต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลในขณะหนึ่งขณะใด ในช่วงเวลาที่ต้องพัก รักษาตัวนั้นผู้เสียหายไม่สามารถทํามาหาได้ ผู้เสียหายจึงสามารถฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ทํามาหาได้ ระหว่างเจบ็ ปว่ ย ศาลฎีกาเคยวินิจฉยั ในประเด็นดงั กล่าวเอาไว้ดังนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2506 ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายในกรณีละเมิด (อุบัติเหตุ ทางรถยนต์โดยสาร) นั้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาลบาดแผล ค่าประสาทพิการ ค่าสิ่งของที่สูญหายไประหว่าง สลบ แตไ่ มร่ วมถึงคา่ ทีต่ ้องขาดการเรียนแลว้ สอบไลต่ กและค่าเลา่ เรยี นที่เสยี ไป
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 123 (ค) คา่ เสียความสามารถประกอบการงาน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคแรก “ในกรณีทําให้เสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยนั้น ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไปและค่าเสียหายเพื่อการที่เสีย ความสามารถประกอบการงานสิ้นเชงิ หรอื แตบ่ างสว่ น ทง้ั ในเวลาปัจจบุ ันนน้ั และในเวลาอนาคตดว้ ย” “ค่าเสียความสามารถประกอบการงาน” ได้แก่ ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถ ประกอบการงานจากเหตุที่ร่างกายหรือประสาทพิการอย่างสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน ทั้งในเวลาปัจจุบันนั้น และในเวลาอนาคตดว้ ย เชน่ นักเปียโนแขนขาด อาจารย์ลนิ้ ดว้ น และนกั วง่ิ มาราธอนอาชีพขาขาด เป็นต้น มีคําพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคต ดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2519 ในการละเมิดทําให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ผู้ ต้องเสียหายจะเรียกร้องค่าเสียหายอย่างใดได้บ้างมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444,445,และ 446 ซึ่งหาได้ให้สิทธิแก่บิดาที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายเพื่อการที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร ซง่ึ ทพุ พลภาพเพราะถูกกระทําละเมิดต่อไปในอนาคตไม่ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3345/2538 บิดามารดาโจทก์เดินทางไปเฝ้าดูแลโจทก์ขณะที่โจทก์พัก รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากโจทก์ช่วยตัวเองไม่ได้แพทย์ไม่ให้เคลื่อนไหวเพราะหากหกล้มจะเป็น อัมพาต จําเป็นต้อง มีผู้ดูแล ค่าเดินทางและค่าที่พักที่บิดามารดาโจทก์ใช้จ่ายไป จึงเป็นค่าใช้จ่ายอันจําเป็น ในการรักษาพยาบาลโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ ค่าขาดประโยชน์ที่บิดามารดา โจทก์ไม่ได้ประกอบการงานในระหว่างที่เฝ้าดูแลรักษาโจทก์ มิใช่เป็นค่าเสียหายที่โจทก์พึงเรียกร้องได้จาก ผู้ทําละเมิดต่อโจทก์ ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ย์ มาตรา 444,445 และ 446 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2548 ค่าขาดประโยชน์ที่มารดาของเด็กชาย ด. ไม่ได้ ประกอบการงานในระหว่างที่เฝ้าดูแลรักษาเด็กชาย ด. มิใช่ค่าเสียหายที่เด็กชาย ด. พึงเรียกร้องได้ในกรณีที่ มีผู้ทําละเมิดต่อเด็กชาย ด. ทําให้เด็กชาย ด. ได้รับความเสียหายแก่กายหรืออนามัยตาม ประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 444, 445 และ 446 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 67/2539 ค่าเสียหายจากการกระทําละเมิดในกรณีที่ผู้เสียหายได้รับ อันตรายสาหัสและทุพพลภาพได้แก่ค่ารักษาพยาบาลค่าขาเทียมค่าเสียความสามารถในการประกอบการ งานทั้งในปัจจุบันและอนาคตตามมาตรา 444 และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัว
124 ปดี เิ ทพ อยู่ยืนยง เงินตามมาตรา 446วรรคหนึ่ง ได้แก่ ค่าที่ต้องทุพพลภาพพิการตลอดชีวิตต้องทรมานร่างกายและจิตใจ นอกจากน้ีหากทรัพย์สินหายจากการกระทําละเมิดก็มีสิทธิได้รับชดใช้อีกต่างหาก จําเลยที่ 2 และที่ 4 ต่าง ฝ่ายต่างทําละเมิดโดยมิได้ร่วมกันแต่ละฝ่ายจึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์คงรับผิด เฉพาะส่วนของตนเท่านนั้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2539 กรณีโจทก์ถูกทําละเมิดจนต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพ ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในอนาคตค่าจ้างคนขับรถยนต์ตลอดชีวิตค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินกรณีเสียโฉม และเสียบุคลิกภาพค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและค่าทุกข์ทรมานเป็นหนี้อันเกิดแต่มูล ละเมิดซึ่งศาลกําหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมาแล้วตั้งแต่วันทําละเมิดเมื่อโจทก์ฟ้องเรียก ค่าเสียหายเป็นเงินก้อนแม้จะขอค่าเสียหายที่คํานวณในอนาคตเข้ามาด้วยจําเลยก็ต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วัน ทาํ ละเมดิ (ง) คา่ ขาดแรงงานของบคุ คลภายนอก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 “ในกรณีทําให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่ ร่างกาย หรืออนามัยก็ดี ในกรณีทําให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหาย มีความผูกพันตามกฎหมาย จะต้องทําการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขา ตอ้ งขาดแรงงานอันนนั้ ไปด้วย” เช่นเดียวกันกับที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น “ค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอก” แบ่งได้เป็น 3 กรณี คือ (ก) สามีหรือภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายสามารถเรียกค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอกได้ หาก สามีหรือภรรยาอีกฝ่ายถูกทําละเมิดให้เสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายแล้ว สามีหรือภรรยาอีกฝ่ายหนึ่งย่อม ขาดแรงงานในครัวเรือนและสามารถเรียกเอาค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอกจากผู้กระทําละเมิดได้ (ข) บิดามารดาผู้ใช้อํานาจปกครองบุตรสามารถเรียกค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอกได้ หากบุตรถูกทํา ละเมิดให้เสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายแล้ว บิดามารดาผู้ใช้อํานาจปกครองก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าขาด แรงงานของบุคคลภายนอกได้ และ (ค) นายจ้างประเภทอุตสาหกรรมในครัวเรือนสามารถเรียกค่าขาด แรงงานของบุคคลภายนอกได้ หากลูกจ้างถูกทําละเมิดให้เสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายแล้ว โดยในระหว่างท่ี ลูกจ้างได้รับความเสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายแล้ว นายจ้างประเภทอุตสาหกรรมในครัวเรือนกลับไม่ได้รับ แรงงานตอบแทนจากลูกจ้างและนายจ้างดังกล่าวยังต้องเสียค่าใช้จ่ายสําหรับตัวลูกจ้าง นายจ้างประเภท อุตสาหกรรมในครัวเรือนจึงสามารถฟ้องร้องเรียกค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอกได้ มีคําพิพากษาฎีกาท่ี น่าสนใจดังตอ่ ไปนี้
คาํ อธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 125 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2522 โจทก์มิใช่ผู้ถูกทําละเมิด หากเป็นเพียงนายจ้างของผู้ถูก ทําละเมิด เป็นบุคคลภายนอก ที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเอากับจําเลยที่ 1 ท่ี 2 ได้ต้องมี กฎหมายรับรองสิทธิของโจทก์ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้อง (ค่ารักษาพยาบาล ค่าทําศพ ค่าทดแทน และ ค่าชดเชย)ของผู้ถูกทําละเมิดเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างตามคําสั่งของแรงงานจังหวัด ผูกพันกันตาม กฎหมายแรงงานซึ่งเป็นคนละเรื่องกับค่าสินไหมทดแทนที่จําเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์กรณีท่ี ตอ้ งขาดแรงงานในมลู ละเมิด ตามฟ้องของโจทก์ได้ความแล้วว่า โจทก์เป็นนายจ้างของลูกจ้างที่ได้รับอันตรายถึงตายและ บาดเจ็บเพราะการกระทําโดยประมาทของจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทําไปในทางการที่จ้างของจําเลยท่ี 2 โจทก์ต้องขาดแรงงานระหว่างลูกจ้างบาดเจ็บต้องจ่ายเงินเดือนระหว่างลูกจ้างปฏิบัติงานไม่ได้ โรงงาน ต้องหยุดกิจการเพราะขาดแรงงาน ถือได้ว่าโจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ย์ มาตรา 445 แลว้ จาํ เลยท่ี 1 ท่ี 2 จึงตอ้ งรบั ผดิ ในค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5014/2533 ประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้ วินิจฉัยเมื่อเห็นสมควรศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาเหล่านั้นไปได้โดยไม่ต้องย้อนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ ข. เป็นลูกจ้างของจําเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่เอาประกันภัยไว้กับจําเลยที่ 3 ในทางการที่จ้างของ จําเลยที่ 1และที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่ ส.ขับทําให้ส.ได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวไม่ สามารถไปประกอบหน้าที่การงานให้โจทก์ได้ตามปกติ การกระทําละเมิดของ ช. ดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ ต้องขาดประโยชน์จากแรงงานของ ส. ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่ ส. ในระหว่างนั้น โจทก์ ย่อมได้รับความเสียหาย ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจําเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 445 ประกอบด้วยมาตรา 425 และ มาตรา 887 แม้จําเลยที่ 3 จะจ่ายค่าขาดประโยชน์ แรงงานให้ ส. ไปแล้วและระหว่างที่ ส.พักรักษาตัวเนื่องจากถูกรถชนส. มีสิทธิลาป่วยได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ตัด สิทธิโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ส.ที่จะฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงานจากจําเลยอีก โจทก์เป็นผู้ที่ได้รับ ความเสียหายเนื่องจากรถยนต์บรรทุกที่จําเลยที่ 3 รับประกันภัยคํ้าจุนไว้ จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหม ทดแทนจากจําเลยที่ 3 โดยตรง เกิดเหตุละเมิดเมื่อเวลา 20 นาฬิกาเศษของวันศุกร์ ที่ 22กรกฎาคม 2526 ซึ่งเป็นช่วงนอกเวลาราชการ ที่จังหวัดนครสวรรค์ ส. ได้รับบาดเจ็บมากคงไม่สามารถไปรายงานเหตุการณ์ท่ี เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชาทราบได้ในวันนั้นจึงเชื่อว่าโจทก์ซึ่งมีสํานักงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครคงไม่รู้ถึงการ ละเมิด และรู้ตัวจําเลยที่ 2ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันนั้น อย่างเร็วที่สุดโจทก์จะรู้ในวันเปิดทํา การคือวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2526 โจทก์นําคดีมาฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2527 คดีโจทก์จึงไม่ขาด อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 โจทก์มิใช่ผู้ต้องเสียหายโดยตรง แต่เป็นเพียง
126 ปีดิเทพ อยยู่ ืนยง นายจ้างที่ต้องขาดแรงงานไปเท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าจําเลยผิดนัดนับแต่เวลาที่ทําละเมิดและทางนําสืบของ โจทกก์ ็ไม่ปรากฏวา่ จาํ เลยผิดนัดตัง้ แตเ่ ม่ือใด โจทก์จงึ ไม่มีสทิ ธคิ ดิ ดอกเบย้ี กอ่ นฟ้องคดี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 6905/2538 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 445 และ มาตรา 1567 แสดงใหเ้ หน็ ว่าหากบดิ าหรอื มารดาซง่ึ เปน็ ผู้ใช้อํานาจปกครองได้มอบหน้าที่ใหบ้ ุตรทําการงาน อันใดอันหนึ่งในครัวเรือนแล้วปรากฏว่ามีบุคคลใดทําละเมิดต่อบุตรซึ่งมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้อง ทําการงานให้แก่บิดามารดาจนถึงแก่ความตายผู้ทําละเมิดจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าขาดแรงงาน ในครัวเรือนให้แก่บิดามารดาที่ต้องขาดแรงงานนั้นด้วยและการฟ้องเรียกค่าขาดแรงงานดังกล่าวมิใช่การ ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสาม ขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดา มารดาผู้ตายได้ให้ผู้ตายช่วยดําเนินกิจการของบริษัท ว. ที่โจทก์ทั้งสองได้จัดตั้งขึ้นและโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มี อํานาจกระทําการแทนบริษัทแต่บริษัท ว. เป็นนิติบุคคลต่างหากการที่ผู้ตายช่วยดําเนินกิจการของบริษัท ว. จะถือว่าผู้ตายช่วยดําเนินกิจการของโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่และเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสองต้องจ้าง บุคคลภายนอกมาทํางานแทนผู้ตายก็เป็นการจ้างมาทํางานให้แก่บริษัท ว.หากเป็นกรณีที่ต้องขาดแรงงาน บริษทั ว. กค็ อื บคุ คลที่ตอ้ งขาดแรงงานหาใช่โจทก์ทงั้ สองไมโ่ จทก์ทง้ั สองไมม่ ีอาํ นาจฟอ้ งเรียกคา่ ขาดแรงงาน จากจําเลย คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 17950/2557 สําหรับค่าขาดแรงงานไม่ใช่ค่าขาดไร้อุปการะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสาม เมื่อไม่ปรากฏว่าขณะผู้ตายทั้งสองยังมีชีวิตได้ ช่วยดําเนินกจิ การของโจทก์ท่ี 4 โจทก์ท่ี 4 จึงไม่สามารถเรียกค่าขาดแรงงาน (จ) ค่าสินไหมทดแทนอนั มใิ ช่ตวั เงนิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 “ในกรณีทําให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรือ อนามัยก็ดี ในกรณีทําให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่ เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่ สทิ ธนิ ้นั จะไดร้ บั สภาพกันไวโ้ ดยสญั ญาหรือไดเ้ รม่ิ ฟอ้ งคดตี ามสทิ ธิ น้ันแล้ว อนึ่ง หญิงที่ต้องเสียหายเพราะผู้ใดทําผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรมแก่ตนก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้อง ทาํ นองเดยี วกันน”ี้ “ค่าสินไหมทดแทนอันมิใช่ตัวเงิน” ได้แก่ ความเสียหายที่ไม่อาจคํานวณเป็นราคาค่าเงินได้ เช่น ความทนทุกข์ทรมาน การเสียโฉมอย่างถาวร เป็นต้น ส่วนสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความ เสียหายดังกล่าวถือเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายหรือผู้ถูกกระทําละเมิดโดยแท้ จะโอนให้แก่กันไม่ได้ หรอื ไม่ตกทอดเป็นมรดกไปยังทายาท มีคาํ พพิ ากษาฎีกาทีน่ า่ สนใจดังตอ่ ไปนี้
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมดิ 127 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 12498/2558 โจทก์ต้องพิการทางสมองเนื่องจากวัณโรคขึ้นสมองไม่ สามารถช่วยตนเองได้ ค่าสินไหมทดแทนที่จําเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ได้แก่ค่าเสียหายอันไม่ใช่ตัวเงิน ค่า ทุกข์ทรมานกายใจ ค่าทุกข์ทรมานกายใจ ค่าทุกข์ทรมานทางใจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ได้ชําระไปในระหว่างรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลและที่บ้าน ค่ารักษา ตัวตอ่ เนอื่ ง ตลอดจนคา่ จ้างบคุ คลอืน่ ดแู ลซ่ึงคา่ เสยี หายโดยตรงพร้อมดอกเบยี้ อตั รารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี นบั แต่ วันละเมดิ ตามฟ้อง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2552 เมื่อโจทก์ต้องเสียความสามารถในการมองเห็น เนื่องจาก โจทก์เสียตาข้างซ้ายทําให้ไม่สามารถมองภาพได้ละเอียดและกว้างเท่าคนปกติถือว่าเป็นค่าเสียหายอย่างอ่ืน อันมิใช่ตัวเงินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 446 วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ทําละเมิด จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว หาใช่ต้องกําหนดเป็นค่ารักษาพยาบาลไม่ และค่าเสียหายที่โจทก์ต้อง เสื่อมสุขภาพอนามัย ต้องเสียโฉม ได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่าง อนื่ อันมิใช่ตัวเงิน โจทก์มสี ทิ ธิเรยี กไดต้ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 446 วรรคหนงึ่ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 6092/2552 ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย ค่าเสียสมรรถภาพใน การมองเห็นและค่าสูญเสียความสวยงาม ถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ซึ่งโจทก์จึงมีสิทธิ เรียกได้โดยไมต่ อ้ งคาํ นงึ ว่าโจทกป์ ระกอบอาชีพดว้ ยหรอื ไม่ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2580/2544 โจทก์เป็นหญิง รับราชการเป็นอาจารย์ โดยตําแหน่ง หน้าที่ต้องพบปะผู้คนจํานวนมากแต่ต้องเสียบุคลิกภาพ ใบหน้าเสียโฉมเนื่องจากหนังตาแหว่งเห็นตาขาว มากกว่าปกติ ย่อมเป็นความทุกข์ทรมานที่โจทก์รู้สึกได้อยู่ตลอดเวลาตราบจนความเสียโฉมดังกล่าวจะได้รับ การแก้ไข ค่าที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานกับค่าที่โจทก์ต้องสูญเสียบุคลิกภาพตั้งแต่จําเลยผ่าตัดโจทก์จน โจทก์ต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ยม์ าตรา 446 วรรคแรก คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2538 ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตโดย ระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เสียสมรรถภาพทางเพศและไม่สามารถเดินได้กับค่าเสียหาย ที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินทั้งสองกรณีอัน เนอ่ื งมาจากเหตทุ ี่ตา่ งกันจึงแยกจํานวนให้ชดใชต้ ามเหตุทีแ่ ยกออกจากกนั เปน็ แตล่ ะเหตไุ ด้
128 ปีดเิ ทพ อยูย่ ืนยง 6.2.2.3 คา่ สินไหมทดแทนเพ่ือความเสยี หายแก่ช่อื เสยี ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 447 “บุคคลใดทําให้เขาต้องเสียหายแก่ชื่อเสียง เมื่อผู้ต้องเสียหายร้องขอศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นจัดการตามควรเพื่อทําให้ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดีแทนให้ ใชค้ า่ เสยี หายหรอื ทงั้ ใหใ้ ชค้ า่ เสยี หายดว้ ยกไ็ ด้” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 447 เรื่อง “ค่าสินไหมทดแทนของการหม่ิน ประมาททางแพ่งตาม มาตรา 423” เมื่อมีการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทํามาหาได้หรือทางเจริญ ของเขาโดยประการอื่น ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นจัดการตามควรเพื่อทําให้ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดีแทนให้ใช้ ค่าเสียหายหรือทั้งให้ใช้ค่าเสียหายด้วยก็ได้ เป็นเรื่องของดุลพินิจศาลที่จะพเิ คราะห์ถึงพฤติการณ์และความ ร้ายแรงจากการกระทําการหมิ่นประมาททางแพ่ง และวิธีการเยียวยาให้ผู้ถูกกระทําละเมิดหรือผู้เสียหาย กลบั คนื ส่ฐู านะเดมิ มีคําพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนกรณีทําให้บุคคลอื่นต้องเสียหายแก่ ชอื่ เสียงดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2539 การละเมิดชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น บทบัญญัติมาตรา 423 และ 447 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กําหนดให้ผู้กระทําละเมิดชดใช้ค่า สินไหมทดแทนแก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น และศาลอาจสั่งให้ผู้กระทําละเมิด จัดการตามควรเพื่อให้ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดีเท่านั้นที่โจทก์ขอให้เพิกถอนทะเบียนชื่อห้างหุ้นส่วนจํากัด จําเลยที่ 1 เป็นกรณีที่บทบัญญัติมาตราดังกล่าวมิได้ให้ความคุ้มครองไว้ ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ถอน คาํ ขอดังกล่าวได้
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมดิ 129 บทท่ี 7 นริ โทษกรรม “นิรโทษกรรม” ได้แก่ การกระทําละเมิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ซึ่งกฎหมาย ละเมิดทางแพ่งบัญญัติไว้ว่าผู้กระทําละเมิดไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่น การกระทําการป้องกันโดย ชอบด้วยกฎหมาย การกระทําตามคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งกฎหมายยกเว้นให้ผู้กระทํา ละเมิดไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายหรือให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนน้อยกว่าความ เสียหายท่เี กดิ ขึน้ จรงิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักเกณฑ์เรื่อง “นิรโทษกรรม” เอาไว้ในมาตรา 449 ถงึ 452 มีประเดน็ ศกึ ษาดังต่อไปนี้ 7.1 การป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449 วรรคแรก “บุคคลใดเมื่อกระทําการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ดีกระทําตามคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหาย แก่ผู้อื่นไซร้ท่าน ว่าบุคคลนน้ั หาตอ้ งรบั ผดิ ใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนไม่” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือ ของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าไดก้ ระทาํ พอสมควรแกเ่ หตุ การกระทาํ นน้ั เปน็ การปอ้ งกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ผนู้ ั้นไมม่ ีความผดิ ” 7.1.1 กรณมี สี ิทธิในการปอ้ งกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย “สิทธิในการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย” ได้แก่ สิทธิในการกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และ เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากการกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด (เทยี บเคียงกับหลักเกณฑ์มาตรา 68 แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา) กลา่ วอกี นยั หนง่ึ ตอ้ งมกี ารประทษุ รา้ ยอนั ละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดจากการกระทําของบุคคลอื่นและผู้มีสิทธิป้องกันตนดังกล่าวต้องมีสิทธิดังกล่าวอยู่ จึงจะอ้างสิทธิป้องกันตนได้ หรือหากเป็นกรณีของความรับผิดอันเกิดจากทรัพย์และหากเข้าหลักเกณฑ์ตาม
130 ปีดิเทพ อยู่ยืนยง องค์ประกอบของมาตรา 433 หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นตามมาตรา 434 และ 436 แล้ว ก็ย่อมถือว่ามี บคุ คลเป็นผู้กระทํา ผถู้ กู กระทําละเมิดหรือผเู้ สยี หายมสี ิทธปิ อ้ งกนั ตนตามมาตรา 449 7.1.2 กรณีไมม่ ีสทิ ธิในการป้องกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้า “ไม่มีสิทธิป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่แรก” ก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างสิทธิ ป้องกันตนได้ หากไปกระทําละเมิดหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นแล้ว จะมาอ้างสิทธิป้องกันตน โดยชอบด้วยกฎหมายเพือ่ รบั นริ โทษกรรมไม่ได้ มคี ําพิพากษาศาลฎีกาท่ีน่าสนใจดังต่อไปน้ี คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1843/2522 ตกึ ของโจทกแ์ ละจําเลยอยหู่ ่างกนั 2 เมตร 50 เซนตเิ มตร ช่องว่างระหว่างตึกเป็นที่ดินของจําเลย จําเลยจึงชอบที่จะใช้ประโยชน์ในที่ดินของจําเลยได้ การที่ฝาผนังตึก ของโจทก์ชิดกับเขตที่ดินของจําเลยนี้ โจทก์ย่อมคาดหมายได้ว่าฝาผนังตึกของโจทก์ต้องมีสภาพเป็นกําแพง รั้วกั้นเขตที่ดินโจทก์และจําเลย เป็นธรรมดาที่การวางสิ่งของของจําเลยในที่ดินของจําเลยอาจจะไปติดกับฝา ผนังตึกของโจทก์ได้ การที่จําเลยใช้ประโยชน์จากฝาผนังตึกนี้โดยไม่ปรากฏว่าทําให้โจทก์เสียหายประการใด จงึ ไมเ่ ป็นการละเมิดสทิ ธขิ องโจทก์ เมื่อฝาผนังตึกของโจทก์สูงกว่าอาคารของจําเลย จึงเป็นธรรมดาที่นํ้าฝนจากหลังคาและฝา ผนังตึกของโจทก์ย่อมจะไหลลงไปสู่ทรัพย์สินของจําเลย ทําให้ทรัพย์สินของจําเลยเสียหายโจทก์จะต้อง จัดการป้องกันหรือแก้ไข แต่โจทก์มิได้จัดการฉะนั้น การที่จําเลยพอกปูนซีเมนต์เชื่อมหลังคาของจําเลยกับ ผนังตึกของโจทก์จึงเป็นการป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่จําเลย หาใช่จําเลยใช้สิทธิไม่สุจริตมีแต่จะ เกดิ ความเสียหายแก่โจทกป์ ระการใดไม่ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1498-1499/2529 เมื่อจําเลยที่ 6 ทํารั้วปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทาง สาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ท่ี 2 รื้อรั้วที่จําเลยที่ 6 ปิดกั้นออก เพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทําเพื่อป้องกันความเสียหาย โดยชอบด้วยกฎหมายแม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จําเลยที่ 6 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม ทดแทน 7.1.3 การใช้สทิ ธิป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายตอ้ งสมควรแกเ่ หตุ “การใช้สิทธิป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย” ตามมาตรา 449 วรรคแรก ต้องเป็นการใช้สิทธิ กระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายที่ “สมควรแก่เหตุ” หาก “เกินสมควรแก่เหตุ” หรือ “เกินสัดส่วนกับภัยอันตรายที่เกิดขึ้นแล้ว” ก็ไม่ถือว่าเป็นการป้องกันตนโดย
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมิด 131 ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนหากฝ่ายไหนก่อยิ่งหย่อนไปกว่ากันแล้ว “ผู้เป็นต้นเหตุมีส่วนผิด” ก็ต้องแบ่งส่วนรับ ผิดตามมาตรา 442 และมาตรา 223 ด้วย (มาตรา 442 “ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่าง หนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นําบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดย อนุโลม”) คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2492 ในคดีเรียกค่าเสียหายค่าสุกรที่สุกรเข้าไปกินผลไมใ้ นไร่เขา เสียหาย เจ้าของไร่ใช้ปืนยิงสุกรตายนั้น เมื่อปรากฏว่าเจ้าของสุกรปล่อยปละละเลยสุกรเข้าไปในไร่ของเขา บ่อย ๆ เป็นการมีส่วนในการผิดอยู่ด้วย ศาลมีอํานาจลดค่าเสียหายให้ตามสมควร ตาม ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 442 7.2 การกระทําตามคําส่งั ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449 วรรคสอง “ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหม ทดแทนจากผเู้ ป็นตน้ เหตุให้ตอ้ งปอ้ งกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรอื จากบุคคลผู้ให้คาํ สั่งโดยละเมิดนั้นก็ได้” “คําสั่ง” ได้แก่ คําสั่งที่ออกโดยเจ้าพนักงานหรือเจ้าพนักงานเป็นผู้ออกคําสั่ง เป็นคําสั่งทาง ปกครองที่มีสภาพบังคับ ผู้รับคําสั่งไม่ว่าจะเป็นเจ้าพนักงานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็ดีหรือเป็นราษฎรคน หนึ่งก็ดี จะต้องปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว หากไม่ได้ปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าวแล้วเจ้าพนักงานที่เป็น ผู้ใตบ้ ังคับบญั ชาหรือราษฎรคนหนงึ่ คนใดอาจมีความผิด 7.2.1 คาํ ส่งั ทีช่ อบด้วยกฎหมาย “คําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย” คือ คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมายและคําสั่งดังกล่าวมี ความได้สัดส่วนหรือมีความเหมาะสมระหว่างประโยชน์ของรัฐหรือเอกชนรายหนึ่งรายใดพึงได้รับกับ ผลกระทบทเ่ี อกชนอกี รายหน่งึ จะได้รับ 7.2.2 คาํ ส่งั ทไี่ มช่ อบด้วยกฎหมาย “คําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” คือ คําสั่งของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและคําส่ัง ดังกล่าวเป็นการเกินสัดส่วนหรือมีความไม่เหมาะสมระหว่างประโยชน์ของรัฐหรือเอกชนรายหนึ่งรายใดพึง ได้รบั กบั ผลกระทบท่ีเอกชนอีกรายหนึง่ จะได้รบั หากเป็นคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับคําสั่งต้องไม่รู้ว่าคําสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากรู้ว่าคําสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จะมาอ้างนิรโทษกรรมหาได้ไม่ (และอาจต้องร่วมรับผิดตาม
132 ปดี ิเทพ อย่ยู ืนยง มาตรา 432) กล่าวอีกนัยหนึ่งผู้รับคําสั่งต้องเชื่อว่าตนมีหน้าที่จะต้องกระทําหรือเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีหน้าท่ี ตอ้ งกระทาํ มีคาํ พพิ ากษาศาลฎีกาทีน่ ่าสนใจดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2504 โจทก์จําเลยแย่งการครอบครองที่ชายตลิ่งที่นํ้าท่วมถึง นายอําเภอบอกให้โจทก์ยกให้จําเลยเสีย และอนุญาตให้จําเลยล้อมรั้วได้ ต่อมาอีก 2-3 วัน โจทก์เอาต้นนุ่น ไปปลูกในที่พิพาท จําเลยได้ไปร้องต่อนายอําเภออีก นายอําเภอสั่งให้จําเลยถอนได้จําเลยจึงถอนต้นนุ่นทิ้ง ดังนี้ ถือได้ว่าจําเลยกระทําตามคําสั่งของนายอําเภออันชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการเกินสมควร จําเลยจึงไม่ ตอ้ งรับผดิ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยม์ าตรา 449 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5774/2530 การที่จําเลยเข้าไปขุดลอกสระนํ้าซึ่งอยู่ในเขตโฉนดที่ดิน ของโจทก์โดยเข้าใจว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ แม้จะไม่มีความผิดทางอาญา เนื่องจากขาดเจตนา แต่ขณะ เกิดเหตุโจทก์ครอบครองทําประโยชน์อยู่ ทั้งโจทก์ได้ห้ามปรามและยังได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตํารวจมาห้าม ปรามแล้ว จําเลยก็ยังไม่ยอมหยุดกระทําการสูบนํ้าและขุดดินในสระนํ้า ทําให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความ เสียหายถือว่าเป็นการกระทําละเมิดต่อโจทก์ จําเลยที่ 7 เป็นลูกจ้างของกรมชลประทาน ได้ร่วมกระทําการ กับจําเลยอื่นตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเข้าใจว่าเป็นการช่วยเหลือวัด ถือได้ว่ากระทําตามคําสั่งอัน ชอบด้วยกฎหมาย แม้การกระทําของจําเลยที่ 7 ทําให้โจทก์เสียหายจําเลยที่ 7 ก็ได้รับนิรโทษกรรมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 449 วรรคแรก จําเลยที่ 7 ไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้ โจทก์ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2494 ปลัดอําเภอบอกให้กํานันขุดนาจองถนนเพื่อสาธารณะ ประโยชน์เมื่อไม่ปรากฏว่าปลัดอําเภอผู้นั้นมีอํานาจตามกฎหมายที่จะสั่งได้เช่นนั้นและปรากฏว่านาที่ขุดน้ัน เป็นนาของผู้อื่น กํานันขุดทั้งที่รู้ว่าเจ้าของจะเสียหายดังนี้ แม้กํานันจะทําตามคําสั่งปลัดอําเภอ ก็เป็นการ ละเมดิ ตอ่ เจ้าของนาเจ้าของนามสี ิทธิฟ้องกํานันใหท้ าํ ให้พื้นดนิ ดีตามเดิมได้ 7.3 การกระทาํ ดว้ ยความจําเป็นเพ่ือป้องกนั ภัยอนั ตราย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 450 บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือ ทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบําบัดปัดป้องภยันตรายซึ่งมีมาเป็นสาธารณะโดยฉุกเฉิน ท่านว่าไม่จําต้อง ใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน หากความเสยี หายนนั้ ไมเ่ กนิ สมควรแกเ่ หตภุ ยนั ตราย ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบําบัดปัดป้องภยันตรายอันมีแก่ เอกชนโดยฉกุ เฉิน ผูน้ ้ันจะตอ้ งใช้คืนทรพั ย์น้ัน
คาํ อธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมิด 133 ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิของตนหรือของ บุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดย ฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่านี้หาต้องรับ ผิด ใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้นเพราะ ความผิดของบคุ คลน้นั เองแลว้ ท่านว่าจําตอ้ งรับผิดใชค้ า่ สินไหมทดแทนให้” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 บัญญตั วิ า่ “ผูใ้ ดกระทําความผิดดว้ ยความจําเป็น (1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใตอ้ าํ นาจซงึ่ ไมส่ ามารถหลกี เล่ียงหรือขดั ขนื ได้ หรือ (2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธอี นื่ ใดได้ เมือ่ ภยันตรายนัน้ ตนมไิ ดก้ อ่ ให้เกดิ ขึ้นเพราะความผิดของตน ถา้ การกระทํานน้ั ไมเ่ ป็นการเกินสมควรแกเ่ หตุแลว้ ผนู้ ้ันไมต่ ้องรับโทษ” “การกระทําความผิดด้วยความจําเป็น” หมายถึง การกระทําความผิดด้วยความจําเป็น (ก) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ (ข) เพราะเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตน มิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับ โทษ นั้นหมายความว่าการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นนั้นกฎหมายยกเว้นโทษให้ กล่าวอีกนัยหนึ่งการ กระทําความผิดด้วยความจําเป็นนั้นยังคงเป็นความผิดอยู่ เพียงแต่กฎหมายยกเว้นโทษให้ (เทียบเคียง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67) การกระทําด้วยความจําเป็นเพื่อป้องกันภัยอันตราย มีได้ 3 ประการ (ก) ภยันตรายซึ่งมีมา เป็นสาธารณะโดยฉุกเฉิน (มาตรา 450 วรรคแรก) (ข) ภยันตรายอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉิน (มาตรา 450 วรรค) และ (ค) ปอ้ งกันสทิ ธขิ องตนหรือของบุคคลภายนอก (มาตรา 450 วรรค) ก. “ภยันตรายซึ่งมีมาเป็นสาธารณะโดยฉุกเฉิน” (มาตรา 450 วรรคแรก) ได้แก่ ภัยอันตราย ต่อสาธารณะ ไม่ใช่ภัยอันตรายต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด ภัยสาธารณะต่อสาธารณะโดยฉุกเฉินเช่นว่านี้ ผกู้ ระทาํ ไมต่ ้องชดใชค้ า่ สินไหมทดแทน มีคาํ พพิ ากษาศาลฎีกาทนี่ ่าสนใจดังต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2492 จําเลยพาราษฎรไปขุดร่องชักนํ้าในเขตต์นาของโจทก์ ทํา ให้เนื้อที่นาของโจทก์พังเสียหาย แต่จําเลยกระทําเพื่อป้องกันมิให้นํ้าในลําห้วยนํ้าแก่นทําลายฝายหลวงอัน เป็นเหมืองสาธารณะซึ่งจะทําให้เกิดเสียหายแก่นาราษฎรมากมายหลายตําบล ดังนี้ จําเลยหาได้มีเจตนาท่ี จะมิให้โจทก์ครอบครองท่ีพิพาทโดยความปกติสุขแต่ประการใดไม่ หากแต่จําเลยได้กระทําไปเพื่อบําบัด ป้องกันภยันตรายแก่สาธารณะอันแลเห็นอยู่ว่าจะเกิดขึ้นเท่านั้น การกระทําของจําเลยจึงไม่เป็นความผิด
134 ปีดเิ ทพ อยยู่ ืนยง ฐานบุกรุกตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 327 และจําเลยย่อมไม่มีผิดตามมาตรา 328 และการเสียหายที่จะ เกิดขึ้น ย่อมนับได้ว่า เป็นภยันตรายซึ่งมีมาเป็นสาธารณะโดยฉุกเฉิน ซึ่งบุคคลอาจทําบุบสลายหรือทําลาย ทรัพย์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อจะบําบัดปัดป้องภยันตรายนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 450 และการที่จําเลยกระทํานี้ ก็ไม่เกินสมควรแก่เหตุจะว่าจําเลยไม่มีอํานาจที่จะทําได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ การกระทําของจาํ เลยไมเ่ ปน็ ผิดฐานทาํ ให้เสียทรพั ยต์ ามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 324 อกี ดว้ ย ข. “ภยันตรายอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉิน” (ตามมาตรา 450 วรรคสอง) หมายถึง ภัยอันตราย ต่อเอกชนโดยฉุกเฉนิ น้นั แต่ไมใ่ ช่เกิดกบั สาธารณะชน สว่ นทรพั ยน์ ้ันตอ้ งมไิ ดก้ ่อให้เกิดความเสียหาย เมื่อเกิดภยันตรายอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉิน ผู้กระทําต้องใช้คืนทรัพย์ ส่วนการใช้คืนทรัพย์ สามารถจําแนกได้เป็น 2 กรณีด้วยกัน (ก) กรณีทรัพย์บุบสลายทั้งหมดต้องใช้ราคาทั้งหมด (ข) กรณีทรัพย์ บบุ สลายเพยี งบางสว่ น กต็ ้องใช้ราคาเฉพาะสว่ นทบ่ี บุ สลายหรือทาํ ให้สว่ นที่บุบสลายนัน้ กลับคนื ดี ค. “การทําลายทรัพย์เพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของบุคคลภายนอก” (ตามมาตรา 450 วรรคสาม) หมายถึง การทําให้สังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์บุบสลายหรือถูกทําลาย เพราะตัวทรัพย์ นั้นเป็นต้นเหตุหรือตัวทรัพย์นั้นได้ก่อภัยขึ้นเอง ผู้กระทําไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหากได้กระทําไป พอสมควรแก่เหตุ แต่หากได้กระทําไปเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้กระทําต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน มีคํา พพิ ากษาศาลฎีกาท่นี า่ สนใจดังตอ่ ไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2516 ม้าผู้ของโจทก์ตามเข้าไปสัดม้าตัวเมียของจําเลยที่ 1 ที่ใต้ ถุนบ้านของจําเลยที่ 1 ม้าจําเลยที่ 1 ขัดขืนและเตะม้าโจทก์ซึ่งเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจําเลยที่ 1 เสียหาย โดยจําเลยที่ 1 ไม่ได้ยินยอมด้วยถือได้ว่าเป็นภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉิน การที่จําเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้ ไม้ตีม้าของโจทก์โดยจําเลยที่ 1 ขอร้อง นับว่าเป็นการกระทําโดยจําเป็นเพื่อป้องกันสิทธิของจําเลยที่ 1 ซึ่ง จําเลยควรจะใช้ไม้ตีเพียงเท่าที่จะไล่ม้าของโจทก์ออกไปจากเขตบ้านของจําเลยที่ 1 เท่านั้น แต่จําเลย ร่วมกันใช้ไม้ตีม้าของโจทก์บาดเจ็บจนถึงตาย จึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ จําเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่า สนิ ไหมทดแทนแกโ่ จทก์ 7.4 การปอ้ งกนั สทิ ธิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 451 “บุคคลใช้กําลังเพื่อป้องกันสิทธิของตน ถ้า ตามพฤติการณ์จะขอให้ศาลหรือเจ้าหนี้ที่ช่วยเหลือให้ทันท่วงทีไม่ได้และถ้ามิได้ทําในทันใดมีภัยอยู่ด้วยการ ที่ตนจะได้สมดั่งสิทธินั้น จะต้องประวิงไปมากหรือถึงแก่สาบสูญได้ไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่า สนิ ไหมทดแทนไม่
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 135 การใช้กําลังดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าต้องจํากัดเคร่งครัดแต่เฉพาะที่จําเป็นเพื่อจะ บาํ บัดปดั ปอ้ งภยันตรายเทา่ นนั้ ถ้าบุคคลผู้ใดกระทําการดั่งกล่าวมาในวรรคต้น เพราะหลงสันนิษฐานพลาดไปว่ามีเหตุอัน จําเป็นที่จะทําได้โดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลอ่ืน แม้ทงั้ การท่หี ลงพลาดไปน้ันจะมิใชเ่ ปน็ เพราะความประมาทเลินเลอ่ ของตน” “การป้องกันสิทธิของตน” (บางตําราเรียกว่า “การป้องกันสมดังสิทธิ”) หมายถึง การป้องกัน ด้วยการช่วยตัวเองตามสิทธิที่มีอยู่หรือให้สมดังสิทธิที่มีอยู่ หากปล่อยให้เนิ่นช้าไป อาจเป็นเหตุให้ที่สูญส้ิน สทิ ธิดังกลา่ ว เชน่ การใชก้ าํ ลังขับไล่ผบู้ ุกรกุ มคี าํ พพิ ากษาศาลฎีกาทน่ี ่าสนใจดงั ตอ่ ไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2521 รถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์ น้องชายโจทก์เช่าไปขับ รับจ้างชักลากไม้ให้บริษัทจําเลยที่ 3 โดยน้องชายโจทก์ได้เบิกเงินค่าจ้างล่วงหน้าไปจากจําเลยที่ 3 แล้วยัง ชักลากไม้ให้ไม่ครบตามจํานวนเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าไปต่อมาโจทก์ต้องการใช้รถยนต์พิพาท จึงให้น้องชาย โจทก์พาคนไปขับรถยนต์พิพาทไปเสียจากบริษัทจําเลยที่ 3 จําเลยที่ 1 เป็นพนักงานของบริษัทจําเลยที่ 3 มี หน้าที่ควบคุมรถยนต์บรรทุกไม้รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์ ไดไ้ ปขอกําลังตํารวจติดตามไปยึด รถยนต์พิพาทไว้โดยคํานึงอยู่แต่อย่างเดียวว่าน้องชายโจทก์ยังติดค้างหนี้สินบริษัทจําเลยที่ 3 อยู่ ดังนี้ การ กระทําของจําเลยที่ 1 เป็นการกระทําที่มิชอบด้วยกฎหมายและเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ถือว่าเป็นการ ละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทํานั้น เมื่อจําเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจําเลยที่ 3 ได้กระทําละเมิดต่อโจทก์ในระหว่างที่ทําหน้าที่เพื่อประโยชน์ของบริษัทจําเลยที่ 3 จําเลยที่ 3 จึงต้องรับผิด ในความเสียหายซึ่งเกิดจากผลของการละเมิดที่จําเลยที่ 1 ก่อขึ้นในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคลตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 451 ส่วนจําเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้า พนักงานตํารวจได้ติดตามรถยนต์พิพาทไปกับจําเลยที่ 1 และแจ้งให้เจ้าพนักงานตํารวจอีกท้องที่หนึ่งยึด รถยนต์พิพาทไว้ เมื่อปรากฏว่าได้กระทําไปตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยสุจริตใจจึงไม่ต้องรับผิดเป็น สว่ นตัว 7.5 การป้องกันสัตว์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 452 “ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ ของผู้อื่นอันเข้ามาทําความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทนอันจะพึง ตอ้ งใชแ้ ก่ตนได้และถ้าเปน็ การจาํ เปน็ โดยพฤตกิ ารณ์ แมจ้ ะฆา่ สตั วน์ ้นั เสยี ก็ชอบทีจ่ ะทําได้ แต่ว่าผู้นั้นต้องบอกกล่าวแก่เจ้าของสัตว์โดยไม่ชักช้า ถ้าและหาตัวเจ้าของสัตว์ไม่พบผู้ที่จับ สัตวไ์ วต้ ้องจดั การตามสมควรเพอ่ื สบื หาตวั เจา้ ของ”
136 ปีดเิ ทพ อยยู่ ืนยง “การป้องกันสัตว์” หมายถึง การป้องกันไม่ให้สัตว์เข้ามาสร้างความเสียหายแก่ผู้ครอง อสังหาริมทรัพย์ (เป็นผู้มีอํานาจป้องกันสัตว์ตามมาตรานี้ เช่น เจ้าของ ผู้เช่า และผู้อาศัย) ซึ่งทรัพย์ที่ เสียหายเป็นได้ทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ แล้วการป้องกันสัตว์ตามมาตรา 425 ต้องเป็นกรณีที สัตว์เข้ามาทําความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์ ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์จึงสามารถจับและยึดเป็นสัตว์ เอาไว้เป็นประกันค่าสนิ ไหมทดแทนได้ มีคําพพิ ากษาศาลฎกี าท่ีน่าสนใจดงั ต่อไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2492 เจ้าของไร่ได้ใช้ปืนยิงสุกรที่เข้ามากินผลไม้ในไร่ ปรากฏว่า เป็นสุกรบ้านไม่ดุร้าย มีทางที่จะจับกุมโดยละม่อมได้ และตามรูปเรื่องเจ้าของไร่ยิงไปโดยโทสะ จึงไม่เป็นนิร โทษกรรมและตอ้ งรับผิดในค่าสนิ ไหมทดแทน
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 137 บทท่ี 8 อายุความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูล ละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้อง ใชค้ ่าสินไหมทดแทน หรอื เมอ่ื พน้ สบิ ปีนับแตว่ ันทําละเมดิ แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมี กําหนดอายุความทางอาญายาวกว่าทกี่ ลา่ วมาน้ันไซร้ ทา่ นให้เอาอายุความทยี่ าวกว่านน้ั มาบงั คับ” 8.1 อายคุ วามในมูลละเมดิ “อายคุ วาม” ไดแ้ ก่ อายุความฟอ้ งร้องเรยี กคา่ เสยี หายหรอื คา่ สนิ ไหมทดแทนในมลู ละเมิด 8.1.1 อายุความทว่ั ไป ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิด แต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมือ่ พ้นสิบปีนบั แตว่ ันทาํ ละเมิด” “อายุความทั่วไป” ได้แก่ อายุความในการฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดตามมาตรา 448 วรรคแรกซึ่งมาตรานี้ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ “การขาดอายุความ” กล่าวอีกนัยหนึ่งมาตรานี้ได้ระบุ ระยะเวลาของการขาดอายุความ ที่ทําให้ผู้เสียหายหรือผู้ต้องเสียหายทราบถึง “กําหนดเวลาขาดอายุความ” อีกทั้งยังทําให้ทราบต่อไปว่าจะมี “การนับอายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมูลละเมิด” อย่างไรและ “การ ขาดอายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมูลละเมิด” เป็นเช่นไร “กําหนดเวลาขาดอายุความ” ในการเรียก ค่าเสียหายในมูลละเมิดตามมาตรา 448 วรรคแรกประกอบด้วย (ก) ห้ามฟ้อง (ขาดอายุความ) เมื่อพ้น 1 ปี นับแต่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ (ข) หา้ มฟอ้ ง (ขาดอายคุ วาม) เมื่อพ้น 10 ปี นับแต่วันทําละเมดิ
138 ปีดเิ ทพ อยยู่ ืนยง “อายุความ 1 ปี” ได้แก่ กําหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและ รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ถ้าต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด แต่รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน อายคุ วาม 1 ปี กย็ ังไมเ่ ร่ิมนบั คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535 คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์ได้ สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า ไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์ จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัว ผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อกระทรวงการคลังแจ้งความเห็น ของคณะกรรมการสอบสวนหาผรู้ บั ผดิ ทางแพง่ ซง่ึ ตง้ั ขน้ึ โดยคณะรัฐมนตรี ให้โจทก์ทราบว่าจําเลยขับรถโดย ประมาทต้องรับผิดทางแพ่งวันใด จึง ถือได้ว่าโจทก์ทราบเหตุละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ ค่าสินไหม ทดแทนในวันน้นั โจทกฟ์ ้องคดภี ายในหนง่ึ ปี คดีโจทก์จงึ ยงั ไมข่ าดอายคุ วาม คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2543 โจทก์ฟ้องจําเลยเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด จากการที่จําเลยยื่นฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย โจทก์ยื่นคําให้การว่าที่ดินโจทก์อยู่ นอกเขตที่ดินจําเลย มูลละเมิดเกิดจากการที่จําเลยยื่นฟ้องโจทก์เทา่ นั้นการที่ศาลดําเนินกระบวนพิจารณา ต่อมาภายหลังเป็นเพียงผลที่เกิดขึ้นจากการยื่นฟ้องคดีอันเป็นมูลละเมิด มิใช่การกระทําละเมิดต่อเนื่อง จนถึงวันที่จําเลยยื่นคําร้องขอถอนฟ้อง เมื่อโจทก์ยื่นคําให้การแก้คดีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2539 แสดงว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่นั้น โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2540 เกนิ กาํ หนด 1 ปี คดีโจทก์ จึงขาดอายคุ วาม 8.1.2 อายคุ วามอันมมี ลู ความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญารวมอยดู่ ว้ ย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง “แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูล อันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมีกําหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้น ไซร้ ท่านใหเ้ อาอายุความท่ียาวกวา่ น้ันมาบงั คับ” “อายุความอันมีมูลความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญารวมอยู่ด้วย” หมายถึง อายุ ความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมูลละเมิด ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญาและเข้าองค์ประกอบของ กฎหมายอาญาทีจ่ ะต้องรับโทษทางอาญารวมอยู่ด้วย อนั เปน็ ไปตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 448 วรรคสอง ท่ี วางหลักเอาไว้ว่า “อายุความไหนยาวกว่ากัน ให้นําอายุความนั้นมาบังคับใช้” กล่าวคือ (ก) ถ้าอายุความ ละเมิดทางแพ่งยาวกว่า ให้นําอายุความละเมิดทางแพ่งมาบังคับใช้ หรือ (ข) ถ้าอายุความทางอาญายาวกว่า ใหน้ ําอายคุ วามทางอาญามาบังคบั ใช้ มีคาํ พิพากษาศาลฎีกาทนี่ ่าสนใจดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2497 การเรียกร้องค่าเสียหายในฐานละเมิด ในมูลอันเป็น ความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ให้นับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าประมวลกฎหมายแพ่งและ
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 139 พาณิชย์ ตาม มาตรา 448 วรรคสองนั้นหมายความเฉพาะการเรียกร้องจากตัวผู้กระทําผิดหรือผู้ร่วมในการ กระทําผิดโดยเฉพาะมิได้หมายความถึงผู้อื่นที่มิได้มีส่วนร่วม ในการกระทําผิดด้วย(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1, 2, 3/97) คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2540 จําเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหา ร่วมกับพวกบุกรุกตึกแถวพิพาท และทําให้เสียทรัพย์โดยทุบทําลายส่วนต่าง ๆของตึกแถวพิพาทได้รับความ เสียหาย ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีนี้ด้วย คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้าง ว่า จําเลยกระทําละเมิดโดยเข้าไปครอบครองและทุบทําลายตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดี แพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีอาญาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ได้มีคําพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยวินิจฉัย ข้อเท็จจริงว่าจําเลยกระทําผิดตามฟ้องคดีนี้จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคําพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จึงฟังได้ว่าจําเลยเป็นผู้กระทําละเมิดต่อ โจทก์ เมื่อคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา จึง ต้องใช้อายุความทางอาญาซึ่งยาวกว่ามาบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรค สองซึ่งตามบทมาตราที่จําเลยถูกฟ้องว่ากระทําผิดอาญานั้น มีโทษสูงสุดจําคุกไม่เกินห้าปี จึงมีอายุความสิบ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ปัญหาว่าโจทก์เสียหายเพียงใดนั้น เมื่อโจทก์และจําเลยต่างนํา สืบโต้แย้งกันจนไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้เช่นนี้ ศาลย่อมมีอํานาจใช้ดุลพินิจกําหนดค่าเสียหายให้ตามที่ เห็นสมควรได้ จําเลยไม่ได้นํา ส. และ ม. เข้าเบิกความเป็นพยานภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกําหนด ประกอบ กับโจทก์ได้อ้างส่งคําเบิกความของพยานทั้ง 2 ปาก ที่ได้เบิกความไว้ในคดีอายาเป็นพยานต่อศาลซึ่งจําเลย ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องของคําเบิกความดังกล่าวอีกทั้งจําเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าประสงค์จะ สืบพยาน 2 ปากนี้ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าพยานทั้ง 2 ปากเป็นเพียงผู้ที่เช้าไปทํา การรื้อถอนตึกแถวพิพาทของโจทก์มิใช่เป็นผู้ที่ทําการซ่อมแซมตึกแถวพิพาทของโจทก์ มิใช่เป็นผู้ที่ทําการ ซ่อมแซมตึกแถวพิพาทจึงไม่สมควรที่จะนํามาเป็นพยานในการประเมินค่าเสียหาย ทั้งยังเป็นพยานท่ี ฟุ่มเฟือยและไม่จาํ เป็นแกค่ ดีดว้ ย ทศี่ าลชนั้ ตน้ มคี าํ สั่งใหง้ ดสืบพยานจําเลยดังกลา่ วจึงชอบแล้ว คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2550 การเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งให้นับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง นั้นหมายความเฉพาะการเรียกร้องจากตัวผู้กระทําผิดหรือผู้ร่วมในการกระทําผิด โดยเฉพาะ มิได้หมายถึงผู้อื่นที่ไม่ได้ร่วมในการกระทําความผิดด้วย การเรียกร้องค่าเสียหายเอาแก่จําเลยท่ี 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงต้องใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง เม่ือ จําเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า เหตุคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2542 แต่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ในกรณีละเมิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2545 หลังเกิดเหตุเป็นเวลา 3 ปีเศษ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ย่อม
140 ปีดิเทพ อย่ยู ืนยง เป็นการแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้เป็นที่เข้าใจแล้วว่า นับแต่วันเกิดเหตุละเมิดถึงวันฟ้องคดีโจทก์ ขาดอายุความ 1 ปี ไปแล้ว คําให้การของจําเลยที่ 2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดสี าํ หรบั จําเลยท่ี 2 จึงมปี ระเดน็ เร่ืองอายุความ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2553 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ได้บัญญัติในกรณีที่การละเมิดที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และกําหนด อายุความทางอาญายาวกว่าก็ให้เอาอายุความที่ยาวกว่าใช้บังคับ ซึ่งหมายความว่า หากความเสียหายในมูล ละเมิดที่เกิดขึ้นมีความผิดที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ที่เกิดขึ้นด้วย ก็ให้ใช้อายุความท่ียาวกว่า แต่ ก็หมายความถึงการเรียกร้องจากผู้กระทําความผิดหรือผู้ร่วมกระทําความผิดโดยเฉพาะ ไม่หมายความ รวมถึงผอู้ น่ื ทม่ี ิไดร้ ว่ มกระทาํ ความผิดด้วย 8.2 การแบง่ ประเภทอายุความตามการใช้ค่าสินไหมทดแทนเพ่อื ละเมิด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 “ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใด เพยี งใดน้ัน ใหศ้ าลวนิ ิจฉยั ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแหง่ ละเมิด อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือ ใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น ด้วย” “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด” ตามมาตรา 438 แบ่งได้เป็น 3 กรณีด้วยกันได้แก่ (ก) การ คืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด (ข) การใช้ราคาทรัพย์สิน และ (ค) การใช้ค่าเสียหายอัน จะพึงบังคบั ให้ใช้เพ่ือความเสียหายอย่างใด ๆ อนั ได้กอ่ ขึน้ นัน้ ดว้ ย เหตุนี้เองจึงต้องพิจารณาในเรื่องของ “อายุความ” ตามกรณี “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด” ทั้ง 3 กรณีด้วยกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าอายุความอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทได้แก่ (ก) อายุความการคืน ทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด (ข) อายุความการให้ใช้ราคาทรัพย์สิน และ (ค) อายุความ การใช้ค่าเสียหายอนั จะพึงบังคบั ใหใ้ ชเ้ พือ่ ความเสียหายอยา่ งใด ๆ อนั ไดก้ อ่ ขน้ึ น้นั ด้วย 8.2.1 อายุความการคนื ทรัพย์สนิ อันผูเ้ สยี หายตอ้ งเสียไปเพราะละเมิด “อายุความการคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด” ได้แก่ ระยะเวลาท่ี กฎหมายกําหนดให้ใช้สิทธิติดตามเอาคืนของเจ้าของทรัพย์ โดยเจ้าของทรัพย์สามารถใช้สิทธิติดตามเอาคืน ได้เสมอตามมาตรา 1336 โดย (ก) การใช้สิทธิติดตามเอาคืน “ไม่มีอายุความ” และ (ข) การใช้สิทธิติดตาม เอาคืน “ไมอ่ ยู่ในอายคุ วาม” ตามมาตรา 448 มคี ําพิพากษาศาลฎกี าท่นี ่าสนใจดงั ตอ่ ไปนี้
คาํ อธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมิด 141 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 9375/2539 โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจําเลยที่ 6โดย จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องสัญญาให้ที่ดินโจทก์จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แม้โฉนด ที่ดินพิพาทที่โจทก์ได้รับมาจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของจําเลยที่ 7จะเป็นโฉนดที่ดินปลอมแต่เมื่อโฉนดที่ดิน ฉบับหลวงระบุว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมเป็นของโจทก์ ตามกฎหมาย การที่บุคคลอื่นซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทปลอมเป็นโจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท ให้แก่จําเลยที่ 1 แม้จะได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม จําเลยที่ 1ก็ไม่ได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ดังนั้นแม้จําเลยที่ 4และที่ 5 ทําสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจําเลยที่ 1 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งได้ชื่อในสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินพิพาทเป็น ชื่อของจําเลยที่ 4และที่ 5 แล้วก็ตามจําเลยที่ 4 และที่ 5 ก็มิได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเพราะผู้รับโอนย่อม ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 นั้นไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วย อายุความ จําเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382แต่จําเลยที่ 4 และที่ 5 ไม่ได้ให้การสู้คดีไว้ในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะ วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินจําเลยที่ 7ทําการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยที่ 1โดย ประมาทเลินเล่อและได้กระทําไปเนื่องจากการปฏิบัติตามอํานาจหน้าที่อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ดังน้ัน จําเลยที่ 7จึงต้องรับผิดต่อโจทก์แม้ว่ามูลละเมิดจะขาดอายุความแล้วโจทก์ก็มีสิทธิขอให้จําเลยที่ 7 ดําเนินการแก้ไขโฉนดที่ดินสําหรับที่ดินพิพาทให้ถูกต้องเพื่อแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซ่ึง เป็นการทโ่ี จทก์ใช้สทิ ธเิ รียกทรัพยค์ ืนได้ นอกเหนือจากการใช้สิทธิติดตามเอาคืนของเจ้าของทรัพย์ โดยเจ้าของทรัพย์ที่มีกรรมสิทธิใน ทรัพย์สินสามารถใช้สิทธิติดตามเอาคืนได้เสมอตามมาตรา 1336 แล้ว เจ้าของทรัพย์ที่มีกรรมสิทธิใน ทรัพย์สินยังสามารถเรียกร้องให้ “ใช้ราคาทรัพย์” นั้นหรือเรียกร้องให้ “ใช้ค่าเสียหาย”ในมูลละเมิดได้ หาก ผคู้ รอบครองไมไ่ ดค้ รอบครองทรพั ยส์ ินน้นั อีกต่อไป มคี ําพิพากษาศาลฎีกาท่ีน่าสนใจดังตอ่ ไปนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5739/2541 การฟ้องใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน จากบุคคลที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือ ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 นั้น ต้องได้ความว่า ทรัพย์สินนั้นยังอยู่ในความครอบครองของจําเลย เมื่อทรัพย์พิพาทที่จําเลยทั้งสองได้รับมอบมาเพื่อใช้ในการ ถ่ายทอดสดรายการต่าง ๆ ได้สูญหายไปโดย ไม่ปรากฏว่าจําเลยทั้งสองร่วมกันเอาทรัพย์พิพาทไปเป็นของ ตน หรือของบุคคลอื่นโดยมิชอบ แสดงว่าทรัพย์พิพาทไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจําเลยทั้งสอง โจทก์
142 ปีดิเทพ อยยู่ นื ยง จึงไม่มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากจําเลยทั้งสองได้ ทั้งการที่โจทก์ขอให้จําเลยทั้งสองชดใช้ราคานั้นก็ ปรากฏว่าโจทกม์ ิไดฟ้ อ้ งวา่ จําเลยท้งั สองกระทาํ ละเมดิ ตอ่ โจทก์ จาํ เลยทัง้ สองจงึ ไม่ตอ้ งรับผดิ ในส่วนของ “การครอบครองปรปักษ์” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ที่ว่า “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเปน็ เจ้าของ ถา้ เปน็ อสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็น เวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์” หากบุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของเจ้าของกรรมสิทธิใน ทรัพย์สินเอาไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าได้ครอบครองติดต่อกันยังไม่ถึงสิบปี เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ทรงกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงในทรัพย์สินนั้นสามารถใช้สิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินได้ตาม มาตรา 1382 และ 1383 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2508 อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่อง เจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทําละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิดซึ่งโจทก์ย่อมมี สิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383 ในส่วนของ “การแย่งการครอบครองระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน” โดยที่เอกชนทั้งสอง ฝ่าย “ไม่มีกรรมสิทธิ์” ในทรัพย์สินนั้น แต่เป็นการฟ้องแย่งการครอบครองระหว่าง “เอกชนอีกฝ่ายที่มีสิทธิ ครอบครอง” กับ “เอกชนอีกฝ่ายที่ไม่มีสิทธิครอบครอง” ฝ่ายเอกชนที่มีสิทธิครอบครองต้องฟ้องเรียกคืน การครอบครองตามมาตรา 1375 วรรคสองที่วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า “คดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านวา่ ต้องฟอ้ งภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถกู แย่งการครอบครอง” มีคาํ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ีนา่ สนใจดังต่อไปน้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2536 แม้มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเดิมจะมาจากการใช้สิทธิเรียกร้องใน การติดตามเอาทรัพย์คืนจากจําเลยก็ตาม แต่เมื่อศาลอาญาพิพากษาให้จําเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แล้ว การบังคับคดีก็จะต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี โจทก์จึงอ้าง สิทธิเรียกร้องในการติดตามเอาทรัพย์คืน ซึ่งไม่มีอายุความมาใช้หาได้ไม่แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องดําเนินการ บังคับคดีภายในกําหนด 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 การที่โจทก์ขอศาล ออกหมายบังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคําพิพากษาโดยมิได้มีการดําเนินการบังคับคดีตามขั้นตอนให้ ครบถ้วนจนถึงขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พ้นกําหนดสิบปีนับแต่วันมีคําพิพากษา จึงหมดสิทธิบังคับคดีตาม ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 คดนี โ้ี จทก์ฟอ้ งจําเลยใหล้ ม้ ละลายโดยอาศัยมลู หน้ีตาม คําพิพากษา จึงต้องพิจารณาเอาความจริงตาม พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 9 หรือมาตรา 10 ดังท่ี
คําอธบิ าย กฎหมายลกั ษณะละเมิด 143 บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 14 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จําเลยทั้งสอง ชาํ ระหนตี้ ามคาํ พพิ ากษาถึงที่สดุ ในคดีอาญาโจทก์กไ็ ม่มีสทิ ธฟิ อ้ งจําเลยให้ล้มละลายในมูลหน้ีเดียวกนั อกี 8.2.2 อายุความการใหใ้ ชร้ าคาทรพั ยส์ นิ ในส่วนของอายุความ “การให้ใช้ราคาทรัพย์สิน” นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ วางหลักเกณฑเ์ ร่ืองของอายุความเอาไวเ้ ป็นการเฉพาะ อกี ท้ังอายคุ วามตามมาตรา 448 ก็เพยี งกําหนดเอาไว้ เฉพาะในเรื่องของค่าเสียหายใน 3 กรณีเท่านั้น (โปรดดูหัวข้อ 8.1.1) โดยมาตรานี้ “ไม่ได้กําหนด” เอาไว้ใน เรือ่ งการใหใ้ ช้ราคาทรพั ยส์ นิ เอาไว้ ซึง่ มีคําพพิ ากษาศาลฎกี าได้เคยวนิ จิ ฉยั เอาไวใ้ นประเดน็ น้ี คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2504 กรณฟี อ้ งเรยี กใหจ้ าํ เลยคนื ทรพั ย์ ถา้ คนื ไมไ่ ดก้ ใ็ หใ้ ช้ราคา นั้น ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องเอาค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 จึงไม่ถืออายุ ความตามมาตรา 448 น้ัน แมโ้ จทกฟ์ อ้ งเกนิ 1 ปีก็ไมข่ าดอายุความ (ประชุมใหญ่ ครั้งท่ี 33/2504) เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้วางหลักเกณฑ์หรือกําหนดในเรื่องของของอายุ ความ “การให้ใช้ราคาทรัพย์สิน” นั้น จึงต้องนําเอามาตรา 193/30 มาปรับใช้ โดยมาตรานี้ได้บัญญัติเอาไว้ ว่า “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกําหนดสิบปี” ได้มี คาํ พิพากษาศาลฎีกาไดเ้ คยวินิจฉัยเอาไว้ในเร่ืองนี้ คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1760/2548 โจทก์เป็นเจ้าของดิน เมื่อจําเลยขุดเอาดินไปโดยไม่มีสิทธิ โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จําเลยนําดินที่ขุดไปนั้นคืนมาหรือขอให้จําเลยชดใช้ราคาได้ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจําเลย ขุดดินของโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่นแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องขอให้บังคับจําเลยใช้ราคาดินดังกล่าวแก่ โจทก์ได้ เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่ ฟอ้ งเรยี กค่าเสียหายอนั เกดิ แต่มลู ละเมดิ จึงไม่อย่ใู นบงั คบั มาตรา 448 8.2.3 อายุความการใช้ค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ กอ่ ข้นึ นัน้ ด้วย อายุความของค่าเสียหายอาจจําแนกได้ตามหลักเกณฑ์อายุความของมาตรา 438 นั้นก็คือ (ก) ค่าเสียหายในมูลละเมิด ต้องบังคับอายุความตามมาตรา 448 และ (ข) ค่าเสียหายที่ไม่ใช่มูลละเมิด ไม่ต้อง บังคบั อายคุ วามตามมาตรา 448 มตี ัวอยา่ งคาํ พิพากษาศาลฎกี าที่นา่ สนใจดังตอ่ ไปนี้
144 ปดี เิ ทพ อยยู่ ืนยง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2520 ช่างตรีเจ้าพนักงานกรมที่ดินโจทก์รายงานไม่ตรงตาม ความจริงฝ่าฝืนระเบียบ ทําให้เจ้าพนักงานที่ดินสั่งแก้รูปโฉนดที่ดินเจ้าของโฉนดเสียหาย กรมที่ดินต้องรับ ผิดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของโฉนดกรมที่ดินไล่เบี้ยเอาแก่ช่างตรีผู้เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหายได้ อายุความ การไลเ่ บ้ียมี 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 164 ไม่ใช่ชา่ งตรีทาํ ละเมิดตอ่ กรมท่ดี นิ คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 891/2540 รถยนต์เก๋งที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถยนต์ที่จําเลยที่ 2 รับประกันภัยคํ้าจุนพุ่งชนได้รับความเสียหาย โจทก์ได้เสียเงินซ่อมแซมรถยนต์เก๋งไปแล้วจึงขอรับช่วงสิทธิ ของผู้เอาประกันมาฟ้องจําเลยที่ 1ให้รับผิดในฐานะนายจ้างของผู้ขับรถยนต์คันที่ก่อเหตุละเมิดและให้ จําเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยคํ้าจุนดังนั้นการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของจําเลยที่ 1 และที่ 2 จึงแตกต่างกันจําเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะนายจ้างของผู้ทําละเมิด ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ส่วนจําเลยที่ 2จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกัน วินาศภัยมีอายุความ2 ปี นับแต่วันวินาศภัย ตามมาตรา 882 วรรคแรก อายุความฟ้องจําเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถแยกออกจากกันได้ เมื่อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 บัญญัติให้เรื่องอายุ ความเป็นคุณหรือเป็นโทษเฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น ฉะนั้น การฟ้องร้องให้จําเลยที่ 1 รับผิดในฐานะนายจ้าง ของผู้ทําละเมิดขาดอายุความ1 ปี จึงย่อมเป็นคุณเฉพาะแต่จําเลยที่ 1 ไม่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องให้จําเลย ที่ 2 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัยซึ่งมีอายุความ 2 ปีนับแต่วันวินาศภัยคดีนี้ความรับผิดตามสัญญา ประกันวินาศภยั เกิดขึ้นเมื่อวันท่ี 24 ตุลาคม 2536 โจทก์ฟอ้ งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2537เป็นการฟอ้ งภายใน เวลา 2 ปี นับแตว่ นั วนิ าศภัยการฟ้องร้องจําเลยท่ี 2 จงึ ไมข่ าดอายุความ
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 145 บรรณานกุ รม กําธร พันธุลาภ. กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย หนี้ ลาภมิควรได้ และละเมิด. พระนคร: มหาวิทยาลัย วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2495. จิ๊ด เศรษฐบุตร. หลักกฎหมายแพ่งลักษณะละเมิด. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : โครงการตําราและเอกสาร ประกอบการสอน คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ 2553. จิตติ ติงศภัทิย์. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียงมาตรา ว่าด้วยจัดการงานนอกสั่ง ลาภมิ ควรได้ ละเมิด บรรพ 2 มาตรา 395-452. กรุงเทพฯ: กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, 2557. เพ็ง เพ็งนิติ. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ: สํานักอบรมศึกษากฎหมาย แหง่ เนตบิ ัณฑติ ยสภา, 2545. ________. คําอธิบาย (ฉบับย่อ) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย ละเมิด และพ.ร.บ.ความรับผิด ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : สํานักอบรมศึกษากฎหมาย แห่งเนตบิ ณั ฑติ ยสภา, 2555. พจน์ ปุษปาคม. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยล์ กั ษณะละเมิดแกไ้ ขเพิม่ เติม พ.ศ. 2509. พระ นคร, โรงพมิ พ์ไทยมิตรการพิมพ,์ 2509. ________. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะละเมิด (ไทย ญี่ปุ่น เยอรมัน และฝรั่งเศส). พระ นคร, โรงพมิ พส์ ํานักทาํ เนยี บนายกรฐั มนตร,ี 2510. ________. ละเมดิ . กรงุ เทพฯ : สํานักอบรมศึกษากฎหมายแพง่ เนติบณั ฑิตสภา, 2530. ไพจิตร ปุญญพันธุ์. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิด. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ : นิตบิ รรณการ, 2551. พิชัย นิลทองคํา และภาสกร ญาณสุธี. ละเมิด ลาภมิควรได้ จัดการงานนอกสั่ง และ พ.ร.บ. ความรับผิดทาง ละเมดิ ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539. กรงุ เทพฯ : บริษัทอฑตยา มิเล็นเนยี ม จํากัด, 2548.
146 ปีดิเทพ อยยู่ นื ยง ภทั รศักดิ์ วรรณแสง. หลักกฎหมายละเมิด. พิมพค์ ร้ังท่ี 7. กรงุ เทพฯ : วิญญชู น, 2546. ณัฐพงศ์ สมพนั ธ.ุ์ กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ เลม่ 2 หนี้ ละเมิด. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพเ์ ดอื นตลุ า, 2560. ทวเี กยี รติ มนี ะกนษิ ฐ. กฎหมายเบื้องต้นทางธรุ กิจ. กรุงเทพฯ : สาํ นกั พิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2555. เทพวิทุรพหุลศรุตาบดี, พระยา. กฎหมายลักษณะละเมิด รวมหมายเหตุท้ายคําพิพากษาฎีกาของ พระยา เทพวทิ ุรพหลุ ศรตุ าบดี ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. เสนยี ์ ปราโมช ศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย. กรุงเทพฯ: โครงการตําราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ 2556. ประจักษ์ พุทธิสมบัติ. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิดและจัดการงานนอกสั่ง. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ศรสี มบตั ิการพิมพ์ จาํ กดั , 2538. ประพันธ์ ทรัพย์แสง. คู่มือนักศึกษากฎหมายวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอก สง่ั ลาภมคิ วรได้ (กฎหมายแพง่ ลกั ษณะมูลหนี้ 2). พระนคร, โรงพมิ พอ์ ักษรสาสน,์ 2515. ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้. พิมพค์ รง้ั ที่ 1. กรงุ เทพฯ : วญิ ญูชน, 2539. ประภาศน์ อวยชัย. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 2 มาตรา 194 ถึงมาตรา 452 หนี้ สัญญา จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ละเมิด พร้อมด้วยย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษาฎีกา ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 ถึง 2528. กรงุ เทพฯ, เนตบิ ัณฑิตยสภา, 2528. รังสรรค์ แสงสขุ . คูม่ ือละเมิด จดั การงานนอกส่ัง ลาภมคิ วรได้. กรงุ เทพฯ, มหาวิทยาลัยรามคําแหง, 2520. วงษ์ วรี ะพงศ์. คําอธิบายลักษณะละเมดิ . พมิ พค์ รั้งท่ี 2. พระนคร, โรงพมิ พ์อักษรสารการพมิ พ,์ 2514. วารี นาสกุล. คําอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้. กรุงเทพฯ : จริ รชั การพิมพ,์ 2553. วชิ า มัน่ สกลุ . สรปุ วิชากฎหมายละเมดิ . พมิ พ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : วิญญชู น, 2537. วชิ า มหาคุณ. หลักกฎหมายละเมิด ศกึ ษาจากคําพิพากษาฎกี า. กรุงเทพฯ : นติ บิ รรณาการ, 2523.
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมดิ 147 ศักดิ์ สนองชาติ. คําอธิบายโดยย่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิดและความรับผิดทาง ละเมิด ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรงุ เทพฯ: นิติบรรณาการ, 2547. ศนันท์กรณ์ (จําปี) โสตถิพันธุ์. คําอธิบายกฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้. พิมพ์ ครง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ : วญิ ญูชน, 2553. สนิท สนั่นศิลป์. คําอธิบายหลักกฎหมายว่าด้วยละเมิด : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 5 มาตรา 420-452 ประกอบคําพิพากษาศาลฎีกา พ.ศ. 2535-2544. กรุงเทพฯ : สูตรไพศาล, 2545. สมบูรณ์ ชัยรัตน์, พ.อ. คําอธิบายกฎหมายแพ่งว่าด้วยละเมิด : ความรับผิดเพื่อละเมิด ค่าสินไหมทดแทน นิรโทษกรรม จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 2 ลกั ษณะ 5 มาตรา 420-452. กรุงเทพฯ : สูตรไพศาล, 2543. สมพร พรหมหติ าธร. กฎหมายแพ่งวา่ ดว้ ยละเมิด. พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. กรุงเทพฯ: นิตธิ รรม, 2546. สมศักด์ิ เอี่ยมพลับใหญ.่ เกร็ดกฎหมายแพง่ และพาณิชย์. พิมพ์คร้ังที่ 6. กรงุ เทพฯ : บัณฑติ อกั ษร, 2555. สิริพงศ์ สันทัดพร้อม, พ.ต.ท. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด. พิมพ์ครั้งที่ 1. นครปฐม : ภมู กิ ารพิมพ,์ 2554. สุชาติ รุ่งทรัพยธรรม. ย่อหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย หนี้ ละเมิด พร้อมคําพิพากษาฎีกาที่สําคัญ. กรุงเทพฯ: อินเตอรบ์ ุคส์, 2547. สุษม ศุภนิตย์. คําอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะการจัดงานนอกสั่งและลาภมิควรได้. พมิ พค์ ร้ังที่ 6. กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2556. เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว. กฎหมายอังกฤษว่าด้วยลักษณะสัญญาและละเมิด. พระนคร : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์และการเมอื ง, 2479. ________. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 2 ว่าด้วยจัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ละเมิด และ นิรโทษกรรม คัดจากหนังสือนิติกรรมและหนี้ พิมพ์ พ.ศ. 2479. พระนคร: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2502.
148 ปดี เิ ทพ อยยู่ นื ยง ________. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์พิศดาร (มาตรา 423) กล่าวหรือไขข่าว (ทําให้เสียหายแก่ ชื่อเสียง, เกียรติคุณ, ทางทํามาหาได้, ทางเจริญของบุคคลอื่นๆ. พระนคร: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ 2502. องอาจ เจ๊ะยะหลี. คําอธิบายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยลักษณะละเมิด. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรงุ เทพฯ : สูตรไพศาล, 2558. อํานวย เขียวขํา. หมิ่นประมาททางแพ่ง: ศึกษาเฉพาะเหตุที่ทําให้ไม่ต้องรับผิด. กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ 2532.
คําอธบิ าย กฎหมายลักษณะละเมิด 149 ประวตั ผิ เู้ ขยี น ช่ือ-นามสกุล ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ปีดเิ ทพ อยู่ยนื ยง เป็นบตุ รของ รองศาสตราจารย์วิวฒั น์ชัย อยยู่ ืนยง อาจารย์ สตั วแพทยห์ ญิงวมิ ล อยยู่ นื ยง วนั -เดอื น-ปี เกิด วันท่ี 14 สิงหาคม 2524 สถานที่เกิด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กรุงเทพมหานคร สถานท่ีอยูป่ ัจจุบนั เลขท่ี 22 หมู่ 1 ซอยลาดปลาเคา้ 27 ถนนลาดปลาเคา้ ตาํ บล จรเขบ้ ัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 10230 ตาํ แหน่งหน้าทีก่ ารงาน พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ (ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์) สถานท่ีทาํ งานปจั จบุ นั คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ เลขท่ี 239 ถนนหว้ ยแก้ว ตาํ บลสุเทพ อําเภอเมอื ง จงั หวดั อีเมล์ เชยี งใหม่ 50200 เบอรโ์ ทรศพั ท์ (มือถอื ) [email protected] 0949756635
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152