Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การพัฒนาระบบกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำฯ - อ.ทศพล

รายงานวิจัย-การพัฒนาระบบกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำฯ - อ.ทศพล

Published by E-books, 2021-03-02 03:48:05

Description: รายงานวิจัย-การพัฒนาระบบกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำฯ-ทศพล

Search

Read the Text Version

แรงงานนอกระบบเป็นผู้มีหน้าท่ีในการดูและสถานที่ทางานและสภาพแวดล้อมในการทางาน967 ด้วยตนเอง ตั้งแต่ข้ันตอนเริ่มแรกในการทางานไปตลอดถึงการดูและสถานท่ีทางาน เช่น การศึกษาคู่มือการ ข้อ 4 สิทธิใด ๆ ท่ีลูกจ้างพุงได้รับจากนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทางาน ให้แรงงานนอกระบบพึงได้รับการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาในด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการทางานจากหน่วยงานของรฐั ทีม่ หี นา้ ทด่ี งั กล่าวด้วย ทั้งน้ี เท่าท่ีไม่ขดั หรือแย้งตอ่ กฎหมาย กฎ ประกาศ และระเบียบที่เก่ียวขอ้ ง 967 ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง แนวปฏิบัติด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ ทางานสาหรบั แรงงานนอกระบบ ขอ้ 5 ขอ้ 5 แรงงานนอกระบบมีหนา้ ท่ีดาเนินการเพ่ือใหส้ ถานท่ีทางานมีสภาพการทางานและสภาพแวดล้อมในการทางาน ทีป่ ลอดภยั และถกู สขุ ลกั ษณะ ดังนี้ (1) ศึกษาคู่มือการใช้งาน ข้อแนะนา ข้อควรระวัง รวมถึงอันตรายเก่ียวกับการทางานก่อนเข้าทางาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสถานท่ีทางาน เช่น อาคารสถานท่ีทางาน เครื่องมือ เคร่ืองจักร อุปกรณ์ เคร่ืองยนต์ ยานพาหนะ ความร้อน ของ ร้อน ความเยน็ สารเคมี กรด ด่าง ฝนุ่ เสียงดงั ประกายไฟ เป็นต้น (2) ก่อนเริ่มการทางานทุกครั้ง ต้องตรวจสอบอุปกรณ์ เครื่องมือ เคร่ืองยนต์ เคร่ืองจักร สายไฟฟ้า หรือสิ่งอ่ืนใดที่ใช้ ในการทางาน หากพบว่ามีการชารุดเสียหายหรือบกพร่องซ่ึงอาจทาให้เกิดอันตรายจากการทางาน ให้รีบปรับปรุงแก้ไข หรือซอ่ มแซม โดยชา่ งผูช้ านาญ หรือหยุดการใช้งานทันที (3) จัดวางและจัดเก็บอุปกรณ์ในการทางานให้เป็นระเบียบและเหมาะสม เช่น การจัดวางสายไฟ การจัดวางสารเคมี โดยแยกจากทีพ่ ักอาศยั เป็นตน้ (4) มขี ้ันตอนและวิธกี ารทางานที่ปลอดภยั ในงานที่ปฏิบตั ิอยู่ และให้ปฏบิ ตั ติ ามอย่างเคร่งครดั (5) ติดป้ายเตือนอันตรายที่เหมาะสม เช่น ป้ายเตือนอันตรายจากสารเคมี เคร่ืองจักร ของร้อน การลื่นไถล ไฟฟ้า เป็นตน้ (6) สวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลท่ีได้มาตรฐานท่ีเหมาะสมกับสภาพและลักษณะของงาน เช่น การใส่ปล๊ักอุดหูขณะทางานสัมผัสเสียงดัง ใส่ถุงมือถ้าต้องทางานสัมผัสสารเคมีหรือสิ่งสกปรก ใส่แว่นตาเพื่อป้องกันเศษ วัสดุสิ่งของกระเด็นเข้าตา ใส่หน้ากากกรองอากาศป้องกันการสูดดมฝุ่นหรือสารเคมี ใส่รองเท้าบู๊ทยางในขณะทางานในท่ี ช้นื แฉะ สวมหมวกกันนอ๊ คหรือคาดเขม็ ขัดนริ ภัยในขณะขบั ขี่ เป็นต้น รวมท้ังดูแลรักษาอปุ กรณ์ดังกลา่ วใหส้ ามารถใชง้ านได้ ตลอดระยะเวลาทางาน (7) มีการป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น ควัน และสารเคมีต่างๆ และหลีกเล่ียงการสัมผสั โดยตรง หากหลีกเลี่ยงไมไ่ ด้ ต้องใชอ้ ุปกรณค์ มุ้ ครองความปลอดภัยสว่ นบคุ คลที่เหมาะสมกับลกั ษณะงาน (8) มีแสงสว่างเพียงพอและเหมาะสมต่อการทางาน เช่น ไม่ต้องเพ่งสายตาในการทางานมากเกินไป แสงสว่างต้องไม่ จ้าจนต้องหยีตา เปน็ ต้น (9) มีเวชภัณฑ์และยาที่จาเป็นเพื่อปฐมพยาบาลเบ้ืองต้นในจานวนที่เพียงพอ สาหรับการทางานที่มีความเส่ียง เช่น ของร้อน สารเคมี อบุ ตั เิ หตจุ ากของมีคมหรอื เครื่องจักร เปน็ ต้น (10) มีเครื่องป้องกันอันตรายสาหรับเคร่ืองจักร เช่น ที่ครอบป้องกันอันตรายส่วนที่เคลื่อนท่ีได้ของเครื่องจักร อปุ กรณ์ป้องกนั อันตรายจากการกระเด็นของวสั ดหุ รอื ประกายไฟ เป็นต้น (11) จัดสถานที่และท่าทางการทางานเพื่อลดความเมื่อยล้า เช่น มีที่พักขาในการยืนทางาน ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงหลัง เปลย่ี นท่าทางระหวา่ งการทางานท่เี คล่อื นไหวซ้าๆ มรี ะยะหา่ งระหวา่ งแขนกับช้นิ งานหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดการ เออ้ื มแขน ปรบั ท่ีน่ังหรอื อุปกรณค์ วบคมุ การขบั ขีย่ านพาหนะใหเ้ หมาะสม เป็นต้น (12) มีการหยุดพักระหว่างการทางานที่เหมาะสมตามสภาพของการทางาน เช่น มีเวลาพักอย่างน้อยหน่ึงช่ัวโมง เม่ือ ทางานตดิ ต่อกนั มาแล้วไม่ไมเ่ กนิ สีช่ ว่ั โมง เปน็ ต้น (13) มีน้าดื่มสะอาด และมีสถานที่รับประทางอาหารแยกต่างหากจากบริเวณที่ทางาน รวมถึงดูแลห้องน้าห้องสว้ มให้ สะอาดและเพยี งพอต่อจานวนคน 4 - 51

ทางาน การตรวจสอบอุปกรณ์การทางาน หรือการสวมใส่เครอื่ งมือที่เหมาะสมและไดม้ าตรฐาน การมีเวชภณั ฑ์ ท่ีจาเป็นเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น การจัดสถานที่และท่าทางการทางานเพ่ือลดความเม่ือยล้า จัดให้มีน้าด่ืม และหอ้ งนา้ ที่สะอาดและเพยี งพอตอ่ จานวนคน รวมถึงการจดั ใหม้ ที างหนไี ฟท่ีเหมาะสมกับสถานท่ดี ว้ ย นอกจากนี้ แรงงานนอกระบบยังมีหน้าที่ต้องส่งเสริมการรักษาความปลอดภัยและโรคจากการทางาน ด้วย968 เช่น การงดสูบบุหรี่ในท่ีทางาน การตรวจสุขภาพประจาปี อย่างน้อยปีละ 1 คร้ัง การออกกาลังกาย การล้างมือกอ่ นรับประทานอาหาร หรอื การคัดแยกขยะ เป็นตน้ 4.4. สิทธิในการรวมกลุม่ กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กาหนดสิทธิในการรวมกลุ่มของลูกจ้างไว้ใน พระราชบัญญัติแรงงาน สมั พันธ์ พ.ศ.2518 โดยเป็นกฎหมายท่กี าหนดแนวทางการปฏิบัตติ ่อกันระหว่างบุคคล 2 ฝา่ ย คอื ฝา่ ยนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง เพื่อให้บุคคลทั้ง 2 ฝ่ายได้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน สามารถเจรจาต่อรองและทาข้อตกลงใน เรื่องสิทธิ หน้าท่ี และผลประโยชน์ในการทางานร่วมกันได้ รวมทั้งกาหนดวิธีการระงับข้อขัดแย้งหรือพิพาท แรงงานท่เี กิดขนึ้ ใหย้ ตุ ิลงโดยรวดเร็ว และดว้ ยความพอใจของทงั้ 2 ฝ่ายใหม้ ากทีส่ ุด969 อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับน้ีใช้บงั คับเฉพาะกบั นายจ้างและลูกจ้างในทกุ ประเภทกิจการ ซ่ึงไม่รวมถึง แรงงานอิสระหรอื แรงงานนอกระบบ ทาใหแ้ รงงานนอกระบบไม่สามารถรวมกลุ่มกันเพอื่ ตอ่ รองกบั ผูว้ ่าจ้างได้ (14) ไม่ทางานที่มีวัตถุดิบหรือสารเคมีท่ีไม่รู้จักหรือไม่ทราบอันตรายท่ีแท้จริง เช่น ไม่มีฉลากกากับสารเคมี ไม่ระบุ แหลง่ ผลิตหรอื ช่อื ผผู้ ลิต เป็นต้น (15) ไม่ทางานท่ีมีวัตถุดิบ อุปกรณ์หรือเคร่ืองจักรที่มีความเสี่ยงมากกว่าที่จะควบคุมได้ เช่น วัตถุไวไฟปริมาณมาก วตั ถรุ ะเบดิ สารกอ่ มะเรง็ เครอ่ื งจกั รขนาดใหญ่ ภาชนะทม่ี คี วามดนั สงู เปน็ ตน้ (16) ในกรณีมีผู้ปฏิบัติงานเป็นจานวนมากในสถานที่ทางานที่มีผนังกั้นทุกด้าน จัดให้มีทางหนีไฟหรือทางออกฉุกเฉิน อย่างนอ้ ยสองทาง หากสถานท่ีมคี วามเส่ียงต่อการเกิดเพลงิ ไหม้ ใหม้ ถี ังดบั เพลงิ ทีม่ ีมาตรฐานเพือ่ ใชใ้ นการดบั เพลงิ ขัน้ ตน้ 968 ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่ือง แนวปฏิบัติด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ ทางานสาหรับแรงงานนอกระบบ ขอ้ 6 ข้อ 6 แรงงานนอกระบบมีหน้าที่ดาเนินการส่งเสริมการปฏิบัติเพ่ือทาให้ปราศจากอุบัติเหตุและโรคจากการทางาน ดังนี้ (1) งดสูบบุหร่ีในสถานท่ีทางาน หรือกาหนดสถานท่ีสูบบุหรี่และท่ีทิ้งบุหร่ีให้แยกต่างหากจากผู้ปฏิบัติงาน และมีการ สง่ เสรมิ การงดสูบบุหร่ี สรุ า และสารเสพตดิ (2) มีการตรวจสุขภาพประจาปี อยา่ งน้อยปลี ะ 1 ครัง้ (3) มีกจิ กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพ เช่น การออกกาลังกาย การรณรงค์รับประทางอาหารทสี่ ะอาดและปรุงใหส้ กุ เป็นตน้ (4) มีการล้างมอื ก่อนรบั ประทานอาหารทุกครั้ง และทาความสะอาดรา่ งกายทนั ทีหลังเลกิ การทางาน (5) มีการคดั แยกและเกบ็ ขยะจากการทางาน และกาจดั ตามขอ้ ปฏบิ ตั ิของท้องถิน่ 969 เกษมสันต์ วลิ าวรรณ. (2556). คาอธบิ ายกฎหมายแรงงาน (พมิ พค์ รั้งที่ 20). กรงุ เทพฯ: วญิ ญูชน.น.235. 4 - 52

4.5. สิทธิดา้ นภาษีอากร สาหรบั ลูกจา้ งหรอื แรงงานอสิ ระ เม่อื ได้รบั “สินจ้าง” เปน็ คา่ ตอบแทนการทางาน ย่อมถอื ได้วา่ มี “เงนิ ได้” หรือ “เงินไดพ้ ึงประเมิน”970 ที่ต้องนามาคานวณเพ่ือใชใ้ นการย่ืนเสียภาษีตามท่ีกฎหมายกาหนด ทั้งน้ีเพื่อ เป็นการบรรเทาภาระของประชาชน กฎหมายได้กาหนดให้ผู้มีเงินได้สามารถหัก “ค่าใช้จ่าย” และ “ค่า ลดหยอ่ น” ได้ก่อนท่ีจะชาระภาษี ทั้งน้ี เงนิ ไดพ้ ึงประเมนิ ทจ่ี ะตอ้ งนามาคานวณเพอ่ื เสยี ภาษนี ั้น ถกู แบ่งออกเป็น 8 ประเภท971 คือ ประเภทท่ี 1 คือ เงินได้เนอ่ื งจากการจา้ งแรงงาน ประเภทท่ี 2 คือ เงนิ ไดเ้ นอ่ื งจากหน้าที่หรอื ตาแหน่งงานท่ที า หรอื การรับทางานให้ ประเภทท่ี 3 คือ เงนิ ไดจ้ ากคา่ แหง่ กดู๊ วิลล์ คา่ สทิ ธิ (Royalty) และเงนิ ปี ประเภทที่ 4 คอื เงนิ ไดจ้ ากเงินลงทนุ ประเภทท่ี 5 คอื เงนิ ไดเ้ น่ืองจากการให้เชา่ ทรัพย์สนิ ผดิ สัญญาเชา่ ซอ้ื หรือการซือ้ ขายเงนิ ผ่อน ประเภทที่ 6 คือ เงนิ ไดจ้ ากวชิ าชพี อสิ ระ ประเภทท่ี 7 คือ เงนิ ไดจ้ ากการรับเหมาทง้ั ค่าแรงและคา่ ของ ประเภทท่ี 8 คือ เงินได้จากการประกอบธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอน่ื ๆ นอกจากทร่ี ะบุไว้ในประเภทที่ 1 ถงึ 7 อย่างไรก็ตาม สาหรับผู้มีเงินไดท้ ่ียังไม่มีสามีหรือภริยา กฎหมายกาหนดให้ตอ้ งยื่นรายการเก่ียวกับเงิน ได้ถึงประเมินท่ีตนได้รับในปีภาษีท่ีล่วงมาแล้ว เมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท และ 120,000 สาหรับผู้มีเงินได้ เฉพาะเงินได้จากสัญญาจ้างแรงงานประเภทเดียวเกิน 120,000 บาท และสาหรับผู้มีเงินได้ที่มีสามีหรือภริยา และมีเงินได้เกิน 120,000 บาท หรือผู้มีเงินไดท้ ่ีมีสามีหรือภริยาและมีเงินไดเ้ ฉพาะเงินไดท้ ี่ไดเ้ น่ืองจากการจ้าง แรงงาน ประเภทเดียวเกิน 220,000 บาท จะต้องย่ืนรายการเก่ียวกับเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี972 ท้ังนี้ 970 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 39 “เงินได้พึงประเมิน” หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดน้ี เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวม ตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอ่ืนที่ได้รับซ่ึงอาจคานวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทน ให้สาหรับเงินได้ประเภทตา่ งๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย 971 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 40 972 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 56 (1), (2), (3), (4) มาตรา 56 ให้บุคคลทุกคน เว้นแต่ผู้เยาว์ หรือผู้ท่ีศาลส่ังให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ ย่ืน รายการเก่ียวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว พร้อมทั้งข้อความอ่ืนๆ ภายในเดือนมีนาคมของ ทกุ ๆ ปี ตามแบบที่อธิบดกี าหนดตอ่ เจ้าพนกั งานซง่ึ รัฐมนตรแี ต่งต้งั ถ้าบุคคลน้นั (1) ไมม่ ีสามีหรอื ภรยิ าและมเี งินได้พึงประเมินในปีภาษีทลี่ ว่ งมาแลว้ เกนิ 60,000 บาท (2) ไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเฉพาะตามมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเกิน 120,000 บาท 4 - 53

เงินได้ของสามีและภรรยานั้น ในปัจจุบันกฎหมายได้กาหนดให้ต่างฝ่ายต่างมีหน้าท่ีต้องย่ืนรายการเกี่ยวกับเงิน ได้พึงประเมินท่ีตนได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว โดยสามารถเลือกท่ีจะยื่นรายการภาษีรวมกันหรือแยก ยน่ื กไ็ ด้973 เงินได้ท้ัง 8 ประเภทข้างต้นนี้มีความแตกต่างกันตามแหล่งที่มาของเงินได้ ส่งผลถึงเรื่องการหัก ค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และยังมีความสาคัญเกี่ยวกับการเสียภาษีในเรื่องอ่ืนๆ อีกด้วย ซ่ึงสามารถอธิบายได้974 ดังตอ่ ไปน้ี ค่าใช้จ่าย เป็นต้นทุนหรือเงินที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซ่ึงเงินได้ โดยเงินได้พึงประเมินท่ีจะนาไปคานวณ ภาษีน้นั ในเบื้องตน้ จะตอ้ งนามาหักค่าใชจ้ า่ ยออกกอ่ น เวน้ แต่จะเขา้ ข้อยกเวน้ ตามกฎหมาย975 ซึ่งเมื่อกฎหมาย กาหนดให้เงินได้ของภริยาไม่ถือเป็นเงินได้ของสามี ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างสามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายสาหรับเงิน ได้ของตนเองได้976 ค่าลดหย่อน เป็นส่ิงที่รัฐกาหนดขึ้นมาเพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ โดยเมื่อผู้มีเงินได้ได้หัก ค่าใช้จ่ายแล้วก็สามารถนาเงินได้ท่ีเหลือนั้นมาหักค่าลดหย่อนได้อีก977 ดังน้ี ค่าลดหย่อนจึงแบ่งออกได้เป็น 10 ประเภท ดงั นี้ 1. ค่าลดหยอ่ นผู้มีเงินได้ ผูม้ ีเงินไดม้ ีสทิ ธหิ ักลดหยอ่ นสว่ นตวั ได้ 60,000 บาท978 (3) มสี ามหี รอื ภรยิ าและมีเงินไดพ้ งึ ประเมนิ ในปภี าษที ี่ลว่ งมาแล้วเกนิ 120,000 บาท หรือ (4) มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีท่ีล่วงมาแล้วเฉพาะตามมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเกิน 220,000 บาท 973 ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ฉ วรรคหนง่ึ มาตรา 57 ฉ ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยาน้ัน ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีหน้าท่ียื่นรายการเก่ียวกับ เงนิ ไดพ้ งึ ประเมนิ ที่ตนได้รบั ในระหว่างปีภาษีท่ีล่วงมาแลว้ ตามมาตรา 56 ในกรณที ี่เงนิ ได้พึงประเมินไมอ่ าจแยกได้อย่างชัด แจ้งว่าเป็นของสามีหรือภริยาแต่ละฝ่ายจานวนเท่าใด ให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของสามีและภริยาฝ่ายละกึ่งหนึ่ง เว้นแต่ เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) สามีและภริยาจะแบ่งเงินได้พึงประเมินเป็นของแต่ละฝ่ายตามส่วนท่ีตกลงกันก็ได้ แต่ รวมกันต้องไม่น้อยกว่าเงินได้พึงประเมินท่ีได้รับ ถ้าตกลงกันไม่ได้ ให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของสามีและภริยาฝ่ายละก่ึง หนึ่ง 974 ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม. (2558). คาสอนวิชากฎหมายภาษีอากร (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ: สานักอบรมศึกษากฎหมายแห่ง เนตบิ ณั ฑิตยสภา. น.173 975 เร่อื งเดยี วกัน, น.277. 976 เรอ่ื งเดยี วกนั , น.288. 977 เรอ่ื งเดียวกัน, น.289. 978 ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (1) (ก) (1) ลดหยอ่ นให้สาหรับ (ก) ผู้มเี งนิ ได้ 60,000 บาท 4 - 54

2. ค่าลดหย่อนคู่สมรส ผู้มีเงินได้มีสิทธินาคู่สมรสมาหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท979 แต่คู่สมรสนั้น ต้องเป็นคู่สมรสท่ีชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่สามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้สามารถหักคา่ ลดหย่อนรวมกนั ได้ไม่เกนิ 120,000 บาท980 3. ค่าลดหย่อนบุตร ผู้มีเงินได้มีสิทธินาบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภรรยาของผู้มีเงินได้ มาหักลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ท้ังนี้ สาหรบั บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแตค่ นท่ี 2 เป็นต้นไปทเ่ี กิดในหรือหลังปี พ.ศ.2561 สามารถหกั ลดหย่อนบตุ ร ได้เพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท และในกรณีท่ีเป็นบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมายสามารถนามาหัก ลดหยอ่ นก่ีคนกไ็ ด้เท่าจานวนบุตรจรงิ กรณีเปน็ บุตรบุญธรรมจะสามารถนามาหกั ลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน และ ในกรณีท่ีมีท้ังบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม การนับจานวนบุตรจะนับเฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยู่ ตามลาดับอายุสูงสุดของบุตร โดยให้นับรวมท้ังบุตรที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับการลดหย่อนด้วย หากครบ 3 คนไป แล้ว จะใช้สิทธิหักลดหย่อนบุตรบุญธรรมไม่ได้ แต่หากยังไม่ครบ 3 คน ก็จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรบุญ ธรรมได้อีกจนครบ 3 คน บตุ รที่จะนามาหักลดหย่อนไดน้ ้ัน ต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปบี ริบูรณ์ และยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรอื ช้ันอุดมศึกษา หรือซ่ึงเป็นผู้เยาว์ หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ใน ความอปุ การะเลย้ี งดู และบุตรน้นั ต้องมเี งินไดใ้ นปภี าษที ี่ลว่ งมาแล้วไมเ่ กิน 30,000 บาท ด้วย981 979 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ข) (1) ลดหย่อนให้สาหรบั (ข) สามหี รือภริยาของผูม้ ีเงนิ ได้ 60,000 บาท 980 ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (2) (2) ในกรณที ่สี ามภี ริยาต่างฝา่ ยต่างมีเงนิ ได้ การหกั ลดหยอ่ นตาม (1) (ก) และ (ข) ใหห้ กั ลดหย่อนรวมกนั ได้ 120,000 บาท 981 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ค) (1) ลดหย่อนให้สาหรบั (ค) บตุ ร (1) บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ หรือบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ คนละ 30,000 บาท และสาหรับบตุ รชอบด้วยกฎหมายตงั้ แตค่ นทสี่ องเป็นต้นไปที่เกิดในหรือหลงั ปี พ.ศ.2561 ให้หักลดหยอ่ นได้เพิม่ อีกคน ละ 30,000 บาท โดยในการนบั ลาดับบุตร ให้นบั ลาดบั ของบุตรทุกคนไม่ว่าจะมชี ีวิตอยูห่ รือไม่กต็ าม (2) บุตรบุญธรรมของผู้มเี งินได้ คนละ 30,000 บาท แต่รวมกนั ต้องไมเ่ กนิ 3 คน ในกรณีผู้มีเงินได้มีบุตรท้ัง (1) และ (2) การหกั ลดหย่อนสาหรับบุตร ให้นาบุตรตาม (1) ท้ังหมดมาหกั ก่อน แล้วจึงนา บุตรตาม (2) มาหกั เว้นแต่ในกรณีผู้มีเงินได้มีบุตรตาม (1) ที่มีชีวิตอยู่รวมกันเป็นจานวนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะนาบุตรตาม (2) มาหกั ไม่ได้ แต่ถ้าบุตรตาม (1) มีจานวนไม่ถึงสามคนให้นาบุตรตาม (2) มาหักได้ โดยเมื่อรวมกับบุตรตาม (1) แล้วต้อง ไม่เกินสามคน การนับจานวนบุตร ให้นับเฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยู่ตามลาดับอายุสูงสุดของบุตร โดยให้นับรวมท้ังบุตรท่ีไม่อยู่ในเกณฑ์ ไดร้ ับการหกั ลดหย่อนด้วย การหักลดหย่อนสาหรับบุตร ให้หักได้เฉพาะบุตรที่มีอายุไม่เกินย่ีสิบห้าปี และยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้น อุดมศึกษา หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์ หรือศาลส่ังให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในความอุปการะ เล้ียงดู แต่มิให้หักลดหย่อนสาหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ตั้งแต่ 30,000 บาทข้ึนไป โดย เงินไดพ้ งึ ประเมนิ น้ันไม่เข้าลกั ษณะตามมาตรา 42 4 - 55

4. คา่ ลดหยอ่ นกรณฝี ากครรภ์และคลอดบตุ ร ผมู้ เี งินไดห้ รอื คสู่ มรสทไี่ ดจ้ า่ ยค่าฝากครรภแ์ ละคา่ คลอด บตุ รให้แก่สถานพยาบาลสามารถหักค่าลดหยอ่ นไดต้ ามจานวนท่จี ่ายจริงแตไ่ มเ่ กนิ 60,000 บาทต่อครรภ9์ 82 ซ่งึ ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรน้ีหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลอัน เน่ืองมาจากการต้ังครรภ์และคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจและรับฝากครรภ์ ค่าบาบัดทางการแพทย์ ค่ายา และค่าเวชภัณฑ์ ค่าทาคลอด และค่ากินอยู่ในโรงพยาบาล ท้ังน้ี ไม่ว่าทารกที่คลอดจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ ตาม983 5. ค่าลดหย่อนเบ้ียประกันชีวิต ผู้มีเงินไดม้ ีสิทธิหักเบย้ี ประกันชีวิตที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท มาหักลดหย่อน ท้ังนีเ้ ฉพาะกรมธรรม์ทมี่ ีกาหนดเวลาตง้ั แต่ 10 ปีข้ึนไป และไดท้ าประกันไวก้ ับบริษทั ทป่ี ระกอบ กิจการในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ในกรณีท่ีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีประกันชีวิต และความเป็นสามีภริยาไดม้ ี อยู่ตลอดปภี าษี ผู้มีเงินไดส้ ามารถนาเบ้ยี ประกันมาหักลดหย่อนไดใ้ นฐานะเบีย้ ประกันท่ีจา่ ยสาหรับการประกนั ชวี ติ ของสามหี รอื ภรยิ า ตามเกณฑข์ ้างต้น984 6.ค่าลดหย่อนเงินสะสมท่ีจ่ายเข้ากองทุนสารองเล้ียงชีพ ผู้มีเงินได้มีสิทธินาเงินสะสมที่จ่ายเข้า กองทนุ สารองเล้ยี งชพี มาหักลดหย่อนภาษไี ดต้ ามจานวนท่จี ่ายจริง แตไ่ ม่เกนิ 10,000 บาท และสามหี รอื ภรรยา ก็สามารถนาเงินสะสมดังกล่าวมาหักลดหย่อนได้สาหรับเงินสะสมของสามีหรือภริ ยาท่ีจ่ายเข้ากองทุนตาม เกณฑ์ขา้ งตน้ 985 982 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับท่ี 33) เรื่องกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข เพ่ือการยกเว้น ภาษเี งนิ ได้ สาหรับเงินได้เทา่ ทจี่ ่ายเปน็ คา่ ฝากครรภแ์ ละค่าคลอดบตุ ร ขอ้ 2 ข้อ 2 การยกเว้นภาษีเงินได้สาหรับเงินได้เท่าท่ีผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสได้จ่ายเป็นค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรให้แก่ สถานพยาบาลตามจานวนทจี่ ่ายจริง แต่ไมเ่ กนิ 60,000 บาท 983 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับท่ี 33) เร่ืองกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข เพื่อการยกเว้น ภาษเี งินได้ สาหรับเงินได้เทา่ ทีจ่ า่ ยเป็นค่าฝากครรภ์และคา่ คลอดบตุ ร ขอ้ 1 “ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดข้ึนจากการรักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากการ ตั้งครรภ์และคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจและรับฝากครรภ์ ค่าบาบัดทางการแพทย์ ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์ ค่าทาคลอด และค่ากนิ อยูใ่ นสถานพยาบาล ท้งั น้ี ไมว่ ่าทารกทค่ี ลอดจะมีชวี ิตรอดหรอื ไม่ 984 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ง) (ง) เบี้ยประกันภัยท่ีผู้มีเงินได้จ่ายไปในปีภาษีสาหรับการประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ ตามจานวนท่ีจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ท้ังนี้ เฉพาะในกรณีท่ีกรมธรรม์ประกันชีวิตมีกาหนดเวลาต้ังแต่สิบปีข้ึนไป และการประกันชีวิตนั้นได้เอา ประกันไว้กับผรู้ บั ประกันภยั ท่ีประกอบกจิ การประกนั ชวี ิตในราชอาณาจกั ร ในกรณีที่สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิต และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้หกั ลดหย่อนได้ด้วย สาหรบั เบ้ียประกันท่ีจ่ายสาหรับการประกนั ชวี ิตของสามีหรือภริยานนั้ ตามเกณฑใ์ นวรรคหนงึ่ 985 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ช) (ช) เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสารองเล้ียงชพี ซงึ่ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขท่ีกาหนดโดยกฎกระทรวง ตามมาตรา 65 ตรี (2) ตามจานวนท่ีจา่ ยจรงิ แตไ่ มเ่ กนิ 10,000 บาท ในกรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสารองเล้ียงชีพตามวรรคหน่ึง และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ ตลอดปีภาษี ให้หักลดหย่อนได้ด้วยสาหรับเงินสะสมของสามีหรือภริยาที่จ่ายเข้ากองทุนสารองเลี้ยงชีพนั้นตามเกณฑ์ใน วรรคหน่ึง 4 - 56

7. ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซ้ือ เช่าซื้อ หรือสร้างท่ีอยู่อาศัย ผู้ประกันตนท่ีได้จ่ายดอกเบี้ย เงินกู้ยืมให้แก่ธนาคารหรือสถานบันการเงินอ่ืน ๆ สาหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซ้ือ หรือสร้างที่อยู่อาศัย สามารถนาดอกเบี้ยท่จี า่ ยมาหักลดหย่อนได้ แต่ไม่เกิน 10,000 บาท986 8. ค่าลดหย่อนเงินสมทบที่จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม ผู้มีเงินได้มีสิทธินาเงินสมทบที่ได้จ่ายเข้า กองทุนประกันสังคมมาหักลดหย่อนได้ตามจานวนที่จ่ายจริง และสามีหรือภรรยาก็สามารถนาเงินสะสม ดังกล่าวมาหกั ลดหยอ่ นได้สาหรบั เงนิ สมทบของสามีหรือภรยิ าท่ีจา่ ยเขา้ กองทุนตามเกณฑข์ า้ งต้น987 9. ค่าลดหยอ่ นการอปุ การะเล้ยี งดูบิดา มารดาของผมู้ เี งินได้ ซ่ึงรวมถึงบิดามารดาของสามีหรอื ภริยา ของผู้มีเงินได้ คนละ 30,000 บาท โดยบุคคลดังกล่าวต้องมีอายุ 60 ปีข้ึนไป มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ และอยใู่ นความอุปการะของผูม้ เี งนิ ได้นนั้ 988 10. คา่ ลดหย่อนการอปุ การะเล้ยี งดคู สู่ มรส บดิ า มารดา บุตรชอบด้วยกฎหมาย หรอื บตุ รบุญธรรม ของผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสซ่ึงเป็นคนพิการหรือคนทุพพลภาพ ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อุปการะเล้ียงดูคู่สมรส บิดา มารดาของตนหรือคู่สมรส บุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือบุตรบญุ ธรรมของตนหรือคู่สมรส หรือบุคคลท่ีผู้มีเงินได้ เป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ มีรายได้ไม่ เพียงพอแก่การยังชีพ และอยู่ในความอุปการะเล้ียงดูของผู้มีเงินได้ มีสิทธินาบุคคลดังกล่าวมาหักลดหย่อนได้ คนละ 60,000 บาท ทั้งน้ี หากบุคคลที่ผู้มีเงินได้อุปการะน้ีเป็นบุตรบุญธรรม ผู้มีเงินได้จะหักลดหย่อนได้ใน ฐานะบุตรบญุ ธรรมเพียงฐานะเดียว989 986 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ซ) (ช) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ผู้มีเงินได้จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอ่ืน บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง สาหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซ้ือ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย โดยจานองอาคารท่ีซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้นตาม จานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีอธิบดีกาหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศ ในราชกิจจานเุ บกษา อาคารดงั กล่าวให้หมายความรวมถึงอาคารพรอ้ มท่ีดินด้วย 987 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ฌ) (ฌ) เงินสะสมทผ่ี ู้ประกนั ตนจ่ายเขา้ กองทุนประกันสงั คมตามกฎหมายวา่ ด้วยการประกนั สังคม ตามจานวนทจ่ี า่ ยจรงิ ในกรณีท่ีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ซึ่งเป็นผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามวรรคหนึ่ง และความ เป็นสามีภริยาได้มีอยูต่ ลอดปีภาษี ให้หกั ลดหย่อนได้ด้วยสาหรับเงนิ สมทบของสามีหรือภริยาท่ีจา่ ยเข้ากองทุนประกันสงั คม ดังกล่าวตามเกณฑ์ในวรรคหนงึ่ 988 ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (1) (ญ) (ญ) ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้คนละสามหม่ืน บาท โดยบคุ คลดังกล่าวตอ้ งมีอายุหกสิบปีขึ้นไป มรี ายได้ไม่เพียงพอแกก่ ารยังชีพ และอยใู่ นความอุปการะเล้ียงดูของผู้มีเงิน ได้ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขท่ีอธบิ ดปี ระกาศกาหนด 989 ประมวลรษั ฎากร มาตรา 47 (1) (ฎ) (ฎ) ค่าอุปการะเล้ียงดูบิดามารดา สามีหรือภริยา บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้ บิดามารดา หรือบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ หรือบุคคลอื่นที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ คนละหกหมื่นบาท โดยบุคคลดังกล่าวต้องเป็นคนพิการซึ่งมีบัตรประจาตัวคน พิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นคนทุพพลภาพ มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การ ยังชีพ และอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข รวมท้ังจานวนคนพิการและ คนทพุ พลภาพในความอปุ การะเล้ยี งดูของผ้มู ีเงินได้ทอ่ี ธบิ ดปี ระกาศกาหนด 4 - 57

11. ค่าลดหย่อนเงินบริจาคพรรคการเมือง ผู้มีเงินไดส้ ามารถนาเงนิ บริจาคดังกล่าวมาหักลดหย่อนได้ ตามจานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันไม่เกิน 10,000 บาท990 นอกจากน้ี เมื่อผู้มีเงินได้ได้หักลดหย่อนตามข้อ 1 – 6 แลว้ มเี งินไดเ้ หลอื เท่าใด กส็ ามารถหักลดหย่อนได้อกี โดยหกั ในอตั ราเท่ากบั จานวนท่บี รจิ าค แต่ต้องไมเ่ กนิ รอ้ ย ละ 10 ของเงินที่เหลือน้ัน สาหรับเงนิ บรจิ าคดงั ต่อไปน้ี991 11.1 เงินท่บี ริจาคแกส่ ถานพยาบาลและสถานศกึ ษาของทางราชการ 11.2 เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือสถานพยาบาลและ สถานศกึ ษา ทัง้ นี้ ตามท่ีรฐั มนตรีประกาศกาหนดในราชกจิ จานุเบกษา จากสิ่งท่ีได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้รับจ้างที่มีเงินได้สามารถนาค่าลดหย่อนเหล่านี้มาใช้ในการ คานวณภาษไี ด้ โดยคา่ ลดหย่อนที่ผ้รู บั จา้ งจะสามารถนามาใชเ้ มอื่ สมรสหรือมบี ุตรน้ันมีท้ังส้นิ 6 กรณี คอื 1. คา่ ลดหย่อนส่วนตวั จานวน 60,000 บาท 2. คา่ ลดหยอ่ นคู่สมรส จานวน 60,000 บาท 3. ค่าลดหยอ่ นบุตร จานวน 30,000 บาท และเพม่ิ อกี 30,000 บาทสาหรบั บุตรคนทสี่ องเป็นต้นไป 4. ค่าลดหยอ่ นฝากครรภ์และคลอดบุตรตามที่จา่ ยจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท 5. คา่ เลย้ี งดูพ่อแมต่ นเองและพ่อแมค่ สู่ มรส คนละ 30,000 บาท 6. คา่ ลดหยอ่ นผูพ้ ิการหรือทุพพลภาพ จานวน 60,000 บาท 4.6 สทิ ธกิ ารรักษาพยาบาล แรงงานรับจ้างอิสระสามารถเลือกเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ผ่านทางสิทธิหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ หรือสิทธิ 30 บาท และสทิ ธปิ ระกันสงั คม992 การหกั คา่ ลดหยอ่ นสาหรับบุตรบญุ ธรรม ใหห้ กั ได้ในฐานะบุตรบญุ ธรรมเพยี งฐานะเดยี ว 990 ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (1) (ฏ) (ฏ) เงนิ ทบ่ี รจิ าคแก่พรรคการเมอื ง หรอื เงนิ ทรัพยส์ ิน หรอื ประโยชนอ์ นื่ ใดท่ีใหเ้ พ่ือสนบั สนุนการจัดกจิ กรรมระดมทุน ของพรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองตามจานวนท่ีจ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกินหน่ึง หมน่ื บาท ทง้ั น้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขทีอ่ ธิบดปี ระกาศกาหนด 991 ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (7) (7) เม่ือได้หักลดหย่อนตาม (1) (2) (3) (4) (5) หรือ (6) แล้ว เหลือเท่าใดให้หักลดหย่อนได้อีกสาหรับเงินบริจาค ดังตอ่ ไปน้ี โดยให้หักไดเ้ ท่าจานวนท่บี ริจาคแต่ตอ้ งไมเ่ กินรอ้ ยละ 10 ของเงนิ ท่เี หลือนัน้ (ก) เงินทีบ่ รจิ าคแกส่ ถานพยาบาลและสถานศกี ษาของทางราชการ (ข) เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศกึ ษาอน่ื นอกจากทก่ี ล่าวใน (ก) ทัง้ นี้ ตามท่รี ัฐมนตรปี ระกาศกาหนดในราชกิจจานเุ บกษา 992 สานักงานหลักประกันสขุ ภาพแหง่ ชาติ (สปสช.). (2560). หลักประกนั สุขภำพ 10 เร่ืองควรรู้. กรุงเทพฯ: สานักงาน หลกั ประกนั สุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). น.6. 4 - 58

สาหรบั สทิ ธิหลักประกนั สขุ ภาพแห่งชาติ หรอื ที่นิยมเรยี กกนั ในช่อื “สทิ ธิ 30 บาท หรือ สิทธบิ ัตรทอง” นั้น มีสานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ภายใต้การกากับดูแลของรัฐมนตรี ทาหน้าที่บริหาร กองทุนให้เป็นไปตามระเบยี บที่คณะกรรมการหลกั ประกันสุขภาพแห่งชาติกาหนด โดยสิทธิน้ีประชาชนคนไทย ท่ีมีเลขประจาตัวประชาชน 13 หลัก และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานอื่นของรัฐ มีสิทธิลงทะเบียน เลือกหน่วยบริการประจา เพื่อใช้สิทธิเข้ารับบริการสาธารณสุขโดยจ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลและได้รับยา คร้งั ละ 30 บาท ซงึ่ ผใู้ ชส้ ทิ ธหิ ลกั ประกันสขุ ภาพ จะได้รบั ความคมุ้ ครองดังตอ่ ไปนี้ 1. การเสริมสรา้ งสุขภาพ และการป้องกนั โรค 2. การตรวจ การวนิ จิ ฉยั การรักษาพยาบาล ตง้ั แต่โรคทั่วไป เชน่ โรคหวัด ไปจนถงึ โรคทีม่ ีคา่ ใช้จ่ายสูง เช่น เบาหวาน มะเร็ง ไตวายเรอื้ รัง โรคหวั ใจ ฯลฯ รวมถึงการฟ้นื ฟสู มรรถภาพตามขอ้ บ่งชี้ทางการแพทย์ด้วย 3. การคลอดบุตร ผู้ใช้สิทธสิ ามารถใช้สิทธิได้ไม่จากัดจานวนครั้ง 4. บรกิ ารทันตกรรม 5. ค่ายาและเวชภัณฑ์ ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ และยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงตามประกาศของ คณะกรรมการหลกั ประกันสขุ ภาพแห่งชาติ 6. คา่ อาหารและคา่ หอ้ งสามญั ระหว่างพักรักษาตัว 7. การจัดการสง่ ต่อ เพอื่ การรกั ษาระหวา่ งหนว่ ยบรกิ าร 8. บริการแพทย์แผนไทย ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ได้แก่ ยาสมุนไพรหรือยาแผนไทย การนวดเพ่ือ การรกั ษา การอบหรอื ประคบสมนุ ไพรเพ่ือการรกั ษา การฟ้นื ฟสู ุขภาพแม่หลังคลอด 9. บรกิ ารฟ้นื ฟูสมรรถภาพดา้ นการแพทย์ ให้แก่ คนพิการ ผสู้ ูงอายุ และผู้ที่จาเป็นต้องไดร้ ับการฟนื้ ฟู ส่วนสิทธิประกันสังคม มีสานักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมทา หน้าท่ีดูแลระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้ประกันตน โดยผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการ รกั ษาพยาบาลไดท้ ่โี รงพยาบาลทเ่ี ลอื กลงทะเบียนได้โดยไมต่ อ้ งเสียคา่ ใช้จา่ ย และหากต้องหยุดงาน ผปู้ ระกนั ตน ก็จะมีสิทธไิ ด้รับเงนิ ทดแทนการขาดรายไดใ้ นอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่ผู้ประกันไดร้ ับ เป็นเวลาคร้ังหนึ่งไม่ เกิน 90 วัน และในหน่ึงปีปฏิทินต้องไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่เป็นการเจ็บป่วยเร้ือรัง ผู้ประกันตนจึงจะมีสิทธิ ได้รบั เกิน 180 วนั แต่ไมเ่ กนิ 365 วนั 993 ดว้ ย 993 พระราชบญั ญัตปิ ระกนั สังคม พ.ศ.2533 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง มาตรา 64 ในกรณีที่ผู้ประกันตนประสบอนั ตรายหรือเจบ็ ปว่ ยอันมิใช่เน่ืองจากการทางาน ใหผ้ ู้ประกันตนมีสิทธิได้รับ เงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้าง ตามมาตรา 57 สาหรับการท่ีผู้ประกันตนต้องหยุดงานเพ่ือการ รักษาพยาบาลตามคาสั่งของแพทย์คร้ังหนึ่งไม่เกินเก้าสิบวัน และในระยะเวลาหน่ึงปีปฏิทินต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน เวน้ แต่การเจบ็ ป่วยด้วยโรคเรอ้ื รงั ตามทก่ี าหนดในกฎกระทรวง ก็ใหม้ ีสทิ ธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เกินหนึ่งร้อยแปด สบิ วนั แต่ไม่เกนิ สามร้อยหกสบิ ห้าวัน 4 - 59

ตารางท่ี 4.1 เปรียบเทยี บสทิ ธติ า่ งๆ ระหวา่ งลูกจา้ งและผ้รู ับจา้ งแรงงานอิสระ ที่ สิทธ/ิ สิทธิประโยชน์ ลูกจา้ ง 1. ด้านความมัน่ คง 1.1 ความแนน่ อนในการทางาน - ลูกจ้างจะได้รับค่าจ้างตามจานวนแล กาหนดไว้ในสัญญา และนายจ้างไม่สาม ตามอาเภอใจได้ หากฝา่ ฝนื นายจ้างจะต้อ 4 - 60 1.2 คา่ ตอบแทนท่ีเปน็ ธรรม - กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กาหนดใ ค่าตอบแทนการทางานให้แก่ลูกจ้าง 4 4-

ผูร้ บั จา้ ง ละระยะเวลาตามท่ี - ผ้รู ับจา้ งจะไมไ่ ดร้ ับค่าจา้ งจนกวา่ จะทางานเสรจ็ สนิ้ มารถเลิกจ้างลูกจ้าง - ผู้ว่าจ้างมีสิทธิลดสินจ้าง หรืออาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้ องจ่ายคา่ ชดเชย โดยไม่จาเป็นต้องรอให้ถึงกาหนดส่งมอบงานช้ินนั้น และไม่ ตัดสทิ ธิผ้วู ่าจ้างในการเรยี กค่าเสียหายจากผรู้ บั จ้างดว้ ย - แต่หากผู้ว่าจ้างไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ว่าจ้างอาจ มอบหมายงานนั้นให้บุคคลอ่ืนทาแทนเพ่ือให้งานเสร็จทัน ตามเวลาที่กาหนดในสัญญาก็ได้ โดยผู้ว่าจ้างต้องบอกกล่าว ให้ผู้รับจ้างทราบล่วงหน้าและให้ผู้ว่าจ้างแก้ไขภายในเวลาอนั สมควรก่อน และเม่ือล่วงเลยระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้วา่ จ้าง จึงสามารถมอบหมายงานน้ันใหบคุ คลอ่นื ทาแทนได้ โดยผู้รับ จา้ งจะต้องเปน็ ผูอ้ อกคา่ ใชจ้ ่ายทัง้ หมด *สังเกต: ภายใต้สัญญาจ้างทาของ กฎหมายไม่ได้ให้สิทธิการ บอกเลิกสญั ญาให้แกผ่ ู้รับจา้ ง ให้นายจ้างต้องจ่าย - ผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างทาของจะได้รับค่าตอบแทนการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ทางานเป็นรายชน้ิ หรือตามผลสาเร็จของงาน กล่าวคือ หากผู้ รับจ้างไม่ทางาน หรือทางานไม่เสร็จ ผู้รับจ้างก็จะไม่ได้รับ 60

ประเภท คือ (1) คา่ จ้าง (2) ค่าทางานลว่ ในวันหยดุ และ (4) ค่าลว่ งเวลาในวนั หยดุ - กล่าวได้ว่า แม้ในวันท่ีลูกจ้างทางานล ทางาน ลูกจ้างก็ยังมีสิทธิได้รับค่าทางาน ภายใตเ้ งือ่ นไขทก่ี ฎหมายกาหนด 1.3 ประกันสังคม - มสี ิทธิไดร้ ับประโยชนท์ ดแทนทง้ั 7 กรณ (1) กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอ 4 - 61 ทางาน (2) กรณีคลอดบุตร (3) กรณีทพุ พลภาพ (4) กรณตี าย (5) กรณสี งเคราะห์บตุ ร (6) กรณชี ราภาพ (7) กรณีวา่ งงาน 4-

วงเวลา (3) ค่าทางาน สินจ้าง และยังอาจถูกผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาโดยท่ีผู้รับจ้าง ดให้แก่ลูกจ้าง ต้องเปน็ ผ้อู อกคา่ ใชจ้ ่ายและค่าเสยี หายทเ่ี กิดขน้ึ ดว้ ย ล่วงเวลา หรือไม่ได้ - และเม่อื ผูร้ ับจ้างไดส้ ่งมอบงานให้แกผ่ ู้วา่ จ้างแล้ว หากความ ล่วงเวลาและค่าจ้าง เสียหายหรือความชารดุ บกพร่องนั้นได้ปรากฏขึ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันส่งมอบ ผู้ว่าจ้างสามารถเรียกค่าเสียหายจากผู้ รบั จา้ งได้ - ท้ังนี้ การการฟ้องเรียกค่าจ้างทาของมีกาหนดอายุความ 2 ปี นบั แตว่ ันที่ผู้วา่ จ้างไดร้ ับมอบงาน ณี คือ - มีสทิ ธไิ ด้รบั ประโยชน์ทดแทนสงู สุดเพยี ง 5 สทิ ธิ คือ อันมิใช่เนื่องจากการ (1) กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการ ทางาน (2) กรณที ุพพลภาพ (3) กรณีตาย (4) กรณสี งเคราะห์บตุ ร (5) กรณีชราภาพ สงั เกต: เฉพาะผรู้ บั จ้างทไ่ี มเ่ คยเป็นลูกจ้างมาก่อน 61

4 - 62 2. สวัสดิการในการทางาน - มสี ิทธไิ ด้รบั เงินทดแทน จากกองทนุ เงิน 3. สภาพการจา้ ง อนั ตราย เจ็บปว่ ย หรือสญู หายอนั เน่อื งม 4. สิทธใิ นการรวมกลุ่ม - ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรง 5. สทิ ธิการรกั ษาพยาบาล การจ้างทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เวลาทา ทางานในวนั หยดุ และการทางานลว่ งเวล ปฏบิ ตั ิตามเง่อื นไขและกฎเกณฑ์ท่กี ฎหมา - ได้รับความคุ้มครองจาก “พระราชบัญ อาชีวอนามัน และสภาพแวดล้อมในการ ซ่ึงกาหนดให้นายจ้างมีหน้าท่ีต้องดูแลคว ทางานให้แก่ลูกจา้ ง - ได้รับความคุ้มครองจาก “พระราชบัญ พ.ศ.2518” ท่ีให้สิทธิแก่ลูกจ้างในการร ข้อเรยี กรอ้ งของตนต่อนายจา้ ง - มีสิทธิการรักษาพยาบาลตามสิทธิห แห่งชาติ หรอื สทิ ธปิ ระกนั สังคม 4-

นทดแทน เม่ือประสบ - ไมม่ สี ทิ ธไิ ด้รบั เงินทดแทน มาจากการทางาน งงานเกี่ยวกับสภาพ - ไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานเก่ียวกับสภาพ างาน เวลาพัก การ การจ้าง เนื่องจากเป็นการทางานภายใตส้ ัญญาจ้างทาของซ่ึง ลา ซ่ึงนายจ้างจะต้อง มุ่งไปท่ีผลสาเร็จของงานเป็นสาคญั ายกาหนด - ได้รับความคุ้มครองจาก “ประกาศกรมสวัสดิการและ ญญัติความปลอดภัย คุ้มครองแรงงาน เรื่อง แนวปฏิบัติด้านความปลอดภัย อาชี รทางาน พ.ศ.2554” วอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานสาหรับแรงงาน วามปลอดภัยในการ นอกระบบ” ซ่ึงกาหนดให้ผู้รับจ้างมีหน้าท่ีจัดและดูและ สถานที่ทางานให้มีสภาพการทางานที่ปลอดภัยและถูก สขุ ลักษณะ ญญัติแรงงานสัมพันธ์ - ไมม่ ีสิทธิในการรวมกลมุ่ รวมกลุ่มเพ่ือกาหนด หลักประกันสุขภาพ - มีสิทธิการรักษาพยาบาลตามสิทธิหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ หรือ สิทธิประกนั สังคม 62

4 - 63

บทที่ 5 บทวิเคราะห์ระบอบกฎหมาย และมาตรการของรัฐไทยเกยี่ วกบั แรงงานรับจา้ งอสิ ระ จากการวิเคราะห์กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตของแรงงานรับจ้างอิสระ (Freelancer) รวมถึงความ พยายามแก้ไขปัญหาดังท่ีกล่าวมาแล้วใน 5 มิติทั้งที่ประสบความสาเร็จและล้มเหลวในกรณีศึกษาจากประเทศ ต่างๆ ไปจนถึงการทบทวนสถานภาพความรู้ของความก้าวหน้าท่ีเก่ียวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวทั้ง 5 มิติ คณะวิจัยสามารถสะท้อนให้เห็นปัญหาสาคัญที่เกิดข้ึนจากการปรับตัวไม่ทันของระบอบกฎหมายที่เก่ียวข้อง ออกเป็นดงั น้ี 5.1. ระบอบกฎหมายคมุ้ ครองแรงงานและสวัสดกิ ารสังคม กฎหมายคุ้มครองแรงงานตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมั พันธใ์ นการจ้างงานแบบ นายจ้างกับลูกจ้าง ใน ยุคอุตสาหกรรมหนักที่จะต้องมีสถานประกอบการชัดเจนและมีความสัมพันธ์ในเชิงบังคับบัญชาในการทางาน แตภ่ าวการณ์บริหารจัดการธรุ กิจและออกแบบระบบกระจายความเส่ียงลดตน้ ทุนของภาคการผลิตและบริการ ในศตวรรษที่ 21 ได้สลายลักษณะความสัมพันธ์ของการระบบความสัมพันธ์ทางแรงงานแบบสายพานการผลิต ในโรงงาน ไปสู่การกระจายงานออกเป็นชิ้นๆส่วนๆแล้วติดตอ่ ส่งรับงานกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ต นายจ้างได้ โอกาสใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสื่อสารเปลี่ยนความสัมพนั ธ์ทางกฎหมายของนายจ้างกับลูกจ้างในสถาน ประกอบการ ไปเป็นการจ้างเหมาช้ินหรือจ้างยืดหยุ่นในลักษณะการจ้างทาของ แปรสภาพนิติสัมพันธ์ตาม กฎหมายจ้างแรงงานเดิมไปสู่ การผูกพนั กันด้วยสญั ญาของผวู้ ่าจา้ งกบั ผรู้ บั จา้ ง อนั เปน็ ตดั ความสัมพันธ์เชิงสทิ ธิ หน้าที่ระหว่าง “นายจ้าง” กับ “ลูกจ้าง” ซึ่งได้ส่งผลสืบเนื่องกว้างขวางดังได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้า อันทาให้ คนทางานที่เป็นแรงงานรับจ้างอิสระอยู่ในภาวะเส่ียงด้อยสิทธิสูง หน้าที่อันน้อยลงของนายจ้างเจ้าของทุน โดยเฉพาะบรรษัทได้สรา้ งความมง่ั คง่ั ผ่านผลประกอบการดีขน้ึ เพราะสามารถลดต้นทุนและความเส่ียงออกไปให้ แรงงานรบั จ้างอิสระแบกรบั เอาเอง เปน็ สาเหตสุ าคัญที่ถา่ งความเหล่อื มล้าในสงั คมใหเ้ พิ่มมากขึ้นไปอีก ดังน้ัน การจัดการกับรูปแบบความสัมพันธใ์ นการทางานเพอื่ ให้แรงงานรับจ้างอิสระได้รับการคุ้มครองสิทธิในประเด็น ต่างๆจึงเปน็ เรื่องทีจ่ าเป็นยิง่ ในศตวรรษท่ี 21 ระบอบกฎหมายที่เน้นไปท่ีการพิสูจน์สิทธิหรือให้สิทธิเฉพาะแรงงานท่ีเข้าสู่ระบบการทางานตามท่ี กาหนด รวมถึงการใหส้ วัสดิการทีแ่ ตกต่างกนั ระหว่างแรงงานท่ที างานในระบบสถานประกอบการมนี ายจ้าง กบั แรงงานรับจ้างอิสระที่ไม่มีนายจ้างและสถานประกอบการตามระบบความสัมพันธ์แรงงานดั้งเดิม ก็สะท้อนให้ เห็นถึงปัญหาด้ังเดิมของระบอบกฎหมายที่สร้างบทบัญญัติและเง่ือนไขมากเกินไปจนทาให้กลุ่มเสี่ยงเข้าไม่ถึง สิทธิตามกฎหมายเพราะต้องเผชญิ กับข้อจากดั ตามตัวบทกฎหมาย การตีความของเจ้าพนักงานของรัฐ ไปจนถงึ การตีความจากดั สิทธิโดยองคก์ รทใ่ี ชอ้ านาจรฐั 5-1

ย่ิงไปกว่าน้ันการเปล่ียนคนทางานเต็มเวลาให้ออกไปสู่ชีวิตที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงว่าจะมีงานหรือไม่มี งานในบางช่วงเวลา หรือกลายเป็นคนไม่มีงานทาถาวรอันเน่ืองมาจากการแทนท่ีด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ก็เป็น ระเบิดเวลาท่ีพร้อมจะทาให้ความเหลื่อมล้าขยายเพิ่มในอนาคตอันใกล้จนทาให้ประชาชนบางส่วนอยู่ในภาวะ ความยากจนอย่างเร้ือรังและคุณภาพชีวติ ตกต่าสุ่มเสี่ยงทจี่ ะเกิดความขัดแย้งทางสังคมในอนาคตอันใกล้ หาก การจัดสวัสดกิ ารสังคมยังผูกติดอยู่กับการทางาน ไม่ยอมรับว่ามนุษย์สามารถมีชวี ิตท่ีมีคุณภาพมีศักดศ์ิ รีได้หาก ไม่ได้ทางานท่ีระบบตลาดต้องการ ก็ยิ่งไปซ้าเติมปัญหาให้รุนแรงข้ึนได้อีก ดังน้ันการตระเตรียมความพร้อม ของรัฐในการรองรับคนท่ีมิได้ทางานซึ่งระบบตลาดต้องการ หรือคนท่ีมิไดท้ างานท่ีได้รับค่าตอบแทน จึงเปน็ สิ่ง ที่รัฐต้องคิดท่ามกลางความกดดันของภาวะสังคมสูงอายุที่กาลังมาถึง รัฐไทยจะให้คุณค่ากับคนที่อยู่ดูแล ครอบครวั ตนเองอย่างไร รฐั ไทยจะดแู ลเด็กทีเ่ กิดในครอบครัวทไี่ มม่ ีงานทาเช่นไร ไปจนถึงคนที่ผลิตความรู้ งาน ศิลปะ หรือทากิจกรรมทางการเมืองและกิจกรรมเพ่ือสังคม แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากระบบตลาด จะมีชีวิต รอดอยไู่ ด้อยา่ งไรในศตวรรษท่ี 21 ในสังคมอารยะอื่นเริ่มมีการแสวงหาทางออกที่จะรองรับปัญหานี้ในระยะยาวบา้ งแล้วในหลายลกั ษณะ โดยส่ิงท่ีพบจากการทบทวนวิจัย ก็คือ การสร้างหลักประกันรายได้ข้ันพื้นฐานให้กับมนุษย์ในยุคดิจิทัลเพ่ือฝ่า ข้ามความเหล่ือมล้าท่ีลัทธิเสรีนิยมใหม่ถ่างให้กว้างขึ้น โดยได้พูดถึงต่อไปในบทท่ีว่าด้วยแนวทางแก้ไขปัญหา ความเหลือ่ มลา้ ในศตวรรษที่ 21 5.2. ระบอบกฎหมายทีต่ ้ังอยู่บนคณุ ค่าของ “การทางานทผี่ ลิตมูลคา่ ในตลาดทุนนยิ ม” การให้คุณค่าแก่แรงงานเฉพาะคนท่ีทางานบนพื้นฐานของ “งาน” ที่ต้องมีนายจ้างในระบบ ตลาดแรงงานถือว่าเป็นแกน่ กลางปัญหาของระบอบกฎหมายเกีย่ วกับสภาพการทางานและหลกั ประกันสุขภาพ กล่าวคือ ผู้ท่ีจะได้รับการรักษาภายใต้ระบบสวัสดิการแรงงานจะต้องเป็นผู้ท่ีทางานกับนายจ้างซ่ึงเป็น ผู้ประกอบการตามระบบสัญญาจ้างแรงงานเสียก่อน เงื่อนไขท่ีจะเข้าสู่การบาบัดต้งั อยู่บนความเจ็บป่วยทางจิต อย่างร้ายแรงเรื้อรังจนมิอาจทางานได้เป็นปกติ จึงจะสามารถลาพักรับการรักษาได้ ส่วนแรงงานรับจ้างอิสระ ซึ่งจะได้รับการรักษาตามกฎหมายสวัสดิการแรงงานก็ต้องมีความสามารถหาเงินมาจ่ายสมทบในระบบ ประกันสงั คมได้เสยี ก่อน จึงจะสามารถใช้สวัสดิการได้ ดังนั้นงานทม่ี ีนายจ้างผู้ประกอบการตอ้ งการจ่ายเงินใน ระบบสัญญาจ้างแรงงาน หรืองานรับจ้างอิสระที่ได้เงินเท่านั้น ท่ีระบอบกฎหมายปจั จุบนั นับว่าเป็น “งาน” ท่ีมี คณุ ค่าเพยี งพอจะได้รบั การดูแลสุขภาพจิตใจจากระบบประกันสขุ ภาพแรงงาน ถ้าแรงงานรับจ้างอสิ ระไม่อยู่ในระบบสัญญาจ้างแรงงานกับผู้ประกอบการ หรือไม่มีเงินจากการรับจ้าง มากพอ ก็ต้องใช้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐที่มีปัญหาพื้นฐานในเรื่องความเพียงพอต่อความต้องการ ของผู้มีปัญหาท้ังยังมีคุณภาพในการดูแลปัญหาต่างกันไปตามปริมาณงานที่แต่ละพื้นที่ซ่ึ งประชาชนนั้นมี ภูมิลาเนาเข้าใช้สิทธิ อันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเม่ือมีอาการหนักแล้วมากกว่าบริการด้านสุขภาพเชิง ป้องกนั 5-2

ยิ่งไปกว่าน้ันการหาวิธีแก้ไขให้ผู้ป่วยให้หายเจ็บไข้เพื่อผลักดันกลับเข้าไปสู่ตลาดแรงงานอีกคร้ังยังเป็น การยืนยันว่า “คุณค่าของคน” อยู่ที่ผลของงานท่ีสามารถนับได้เป็นตัวเงินตามตรรกะของตลาดทุนนิยมอย่าง ชัดเจน งานอีกจานวนมากที่ไม่ถูกนับว่าเป็นงานไม่อาจทาให้แรงงานรับจ้างอิสระมีความสามารถเข้าถึงบริการ ด้านสาธารณสุขกายและใจได้ เช่น การอยู่บา้ นดูแลผ้สู งู อายุในครอบครัว หรอื การผลติ ความร้สู าธารณะในพื้นท่ี ไซเบอร์ การทากิจกรรมสาธารณะประโยชน์ทางสังคมหรือการเมืองเพื่อความเปลี่ยนแปลง ล้วนไม่ถูกนับเป็น งานทจี่ ะได้รับสวัสดกิ ารแรงงานเพราะไมม่ นี ายจ้าง ไร้สถานประกอบการ และไมท่ าเงินจนไมอ่ าจจ่ายเงนิ สมทบ เข้าระบบกองทุนประกันสังคม แม้สังคมอาจจะชื่นชมแต่ก็ไม่มีมาตรการใดๆท่ีออกมารองรับความจาเป็นต่างๆ ในชีวติ ของผูค้ นท่ใี ชช้ ีวิตอย่างมคี ณุ ค่าต่อสงั คมและครอบครัวแตไ่ ม่ผลิตมลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ในตลาด ใ น กรณีเลวร้ายท่ีสุดระบอบกฎหมายปจั จุบนั ไม่ยอมรับการผักผอ่ นอยู่เฉยอนั สืบเนื่องมาจากอาการเจบ็ ป่วยทางใจ เรื้อรังจากการทางานหนกั หรอื ความกดดันสารพดั รปู แบบทผ่ี ูค้ นในศตวรรษที่ 21 ตอ้ งเผชิญอยู่ การแก้ปัญหาชวี ติ ส่วนตัวของคนในศตวรรษท่ี 21 ซง่ึ ตอ้ งต่อสู้กับความเปลีย่ วเหงาและการแข่งขันท่ีสูง ต่อเน่ืองตลอดเวลา โดยมองว่าผู้คนท่ีอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือวิตกจริตเป็นโรคด้วยการวินิจฉัยด้วยความรู้ทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์อันมีรูปธรรมของการแก้ปัญหาที่การรักษาด้วยยา แต่ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นสาเหตุของความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า ย่อมเป็นอวิชชาที่ขัดขวางการแสวงหาแนว ทางแกไ้ ขปัญหาความเหลื่อมล้าอย่างตรงจดุ เพราะได้เบี่ยงเบนปญั หาสังคมให้กลายเปน็ ปัญหาทางวทิ ยาศาสตร์ สขุ ภาพ อนั เปน็ การหลกี เลย่ี งมิใหส้ ังคมมองเหน็ ปัญหาความด้อยสทิ ธิของแรงงานรบั จ้างอิสระที่เกดิ จากระบอบ กฎหมายทล่ี ้าสมยั ไม่รองรับปัญหาจากระบบเศรษฐกจิ ทีส่ ร้างความเส่ียงใหเ้ กดิ ข้ึนในชีวติ แรงงานรบั จา้ งอิสระ 5.3. ระบอบกฎหมายทีไ่ ม่สง่ เสริมสวัสดกิ ารสงั คมเพ่ือการเจริญพนั ธ์ุ การวางระบอบสวัสดิการสังคมและครอบครัวโดยมิคานึงถึงความเปลี่ยนแปลงของลักษณะการทางาน ในยุคดิจิทัลซ่ึงแรงงานมี่พฤติกรรมการทางานท่ีเปล่ียนไป การถูกบังคับให้กลายเป็นแรงงานรับจ้างอิสระมีชวี ิต แขวนอยู่บนรายได้ต่อชิ้นงานน้ันบีบให้คนทางานมากข้ึน แต่มีความมั่นคงในรายได้และการมีงานทาต่อเน่ือง น้อยลง ส่งผลต่อการสร้างดุลยภาพระหว่างการทางานและการใช้ชีวิต อันมีนัยยะสาคัญต่อการตัดสินใจสร้าง ครอบครัว หรือมีลูกของแรงงานรับจ้างอิสระท่ีอยู่ในระบบการจ้างยืดหยุ่น ขาดแคลนรายได้ประจาและด้อย สิทธิในระบบหลักประกนั แรงงาน การใช้ชีวิตช่วงต้นของการทางานท่ีอยู่ในวัยเจริญพันธ์ุอยู่บนความเส่ียงสูงไร้ความแน่นอนน้ันย่อมเป็น อุปสรรคสาคัญต่อการตัดสินใจสร้างครอบครัวและมีบุตรธิดาเพราะเต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่อความไม่ แนน่ อนของอนาคต เน่ืองจากแรงงานรับจา้ งอสิ ระส่วนใหญ่ มกั ไมม่ ีอานาจตอ่ รอง ไมม่ ีเสรีภาพในการทาสัญญา มาเท่าใดนัก โดยเฉพาะแรงงานรบั จ้างอิสระทีเ่ ปน็ แรงงานรับจ้างหน้าใหม่ เป็นวัยรุ่น หรือเพิ่งเข้าสตู่ ลาดรับจ้าง งาน ต่างจาก แรงงานรับจ้างอิสระหน้าเก่า ที่มีอายุ มีประสบการณ์ มีความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายมากพอท่ีจะ ต่อรองกับผวู้ ่าจา้ ง เพอ่ื ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากท่ีสดุ ได้ 5-3

อีกท้ัง ในกลไกการตลาด แรงงานรับจ้างอิสระหน้าใหม่ แม้จะมีความสุขดกี ับการทางานอย่างอสิ ระแต่ หลายคร้ังพวกเขาอาจต้องยอมสละผลประโยชน์และอานาจต่อรองลง เช่น การลดค่าตอบแทน แล้วเพ่ิมรายได้ ดว้ ยการรับงานมากขึ้นจนชีวิตส่วนตัวถูกกลืนกินให้เป็นเวลางานเสียหมด ทั้งน้ีเพื่อให้ตนเองสามารถเข้าแข่งใน ตลาดแรงงานรบั จา้ งอสิ ระได้ และ แรงงานรบั จา้ งอสิ ระหน้าใหมอ่ าจไม่มคี วามต่อเน่ืองในการทางาน เพราะอาจ ถูกผู้ว่าจา้ งปฏเิ สธไมม่ อบงานตอ่ ได้เสมอ ความรู้สึกเสี่ยงท้ังหมดของกลุ่มแรงงานรับจ้างอิสระล้วนตัง้ อยู่บนตรรกะท่ีวา่ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่อาจ บันดาลสุข นั่นหมายความว่าแรงงานภายใต้ระบอบกฎหมายสวัสดิการสังคมไทยน้ันไม่อาจวางใจได้ว่าหากตน ไม่มีงานทาจะสามารถดูแลตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้ เนื่องจากแรงงานรับจ้างอิสระไม่มีสิทธิ ได้รับเงินทดแทนการว่างงาน ไม่มีสวัสดิการสังคมสาหรับคนวัยทางานท่ีว่างงาน ไปจนถึงการขาดไร้สวัสดิการ คุณภาพดีทสี่ ามารถดแู ลชวี ิตของบุตรธิดาทเ่ี กิดข้นึ มา หลกั ประกันสทิ ธิของบุคคลในลักษณะครอบคลมุ ความจาเปน็ ในชีวิตอยา่ งรอบด้านและสนบั สนนุ ให้คน ทุกคนในครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีแม้ไม่มีงานทา จึงเป็นส่ิงสาคัญอย่างยิ่งในการลดความรู้สึกไม่มั่นคงในหมู่ ประชาชนอนั จะสง่ ผลดตี ่อการสร้างความม่นั ใจใหผ้ ู้คนในสงั คมพรอ้ มท่ีจะมคี รอบครัวและมีทายาทต่อไป 5.4. ระบอบกฎหมายป้องกันการผกู ขาดตลาดและการรวมกล่มุ ของแรงงานรบั จา้ งอสิ ระ กฎหมายป้องกันผูกขาดวางอยู่บนการส่งเสริมให้มีผู้แข่งขันในตลาดมากรายเพ่ือเพ่ิมโอกาสให้ผู้ผลิต และให้บรกิ ารจานวนมากแข่งกันเสนอสินค้าและบริการท่มี คี ุณภาพในราคาประหยัดที่สดุ แก่ผบู้ รโิ ภค อย่างไร ก็ดีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ได้สร้างความท้าทายด้านเศรษฐกิจในศตวรรษท่ี 21 ที่มองเห็นได้ง่ายท่ีสุดในยุค เศรษฐกิจดิจิทัล ไดแ้ ก่ เศรษฐกิจแบง่ ปนั หรือ sharing economy ที่มันได้เข้ามาเปล่ียนแปลงลักษณะของงาน แรงงานรับจ้างอิสระพ่ึงพาเศรษฐกิจแบ่งปันเป็นอย่างมาก ซ่ึงสามารถสร้างโอกาสให้ผู้คนจานวนมากสามารถ ติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเพื่อประโยชน์ซ่ึงกันและกันในระบบเศรษฐกิจโดยก้าวข้ามพรมแดนทาง อธิปไตยซ่ึงเป็นข้อจากัดในระบอบกฎหมายเดิม แต่ก็ได้สร้างปัญหาใหม่ต่อการนิยาม “ตลาด” เมื่อไม่อาจใช้ หลักตลาดภูมิศาสตร์ เพราะปัจจุบนั จะต้องพิจารณาตลาดดจิ ิทัลในสภาพทเ่ี ชื่อมโยงเข้าสู่แพลตฟอร์มระดบั โลก ท่ีใหญ่ผู้ผลิต ตัวกลางและผู้บริโภคเช่ือมถึงกันหมด จึงมีความจาเป็นต้องสร้างระบอบกฎหมายใหม่ข้ึนให้ สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของธุรกรรมออนไลน์ การประเมินอานาจเหนอื ตลาด ไมค่ วรใชเ้ กณฑส์ ว่ นแบ่งตลาด เพราะการหาขอบเขตของตลาดทาไม่ได้ ควรหันมาใชเ้ กณฑ์อนื่ ๆ มาประกอบ เชน่ ศกั ยภาพในการแข่งขัน มคี ู่แข่งหรือไม่ มคี วามเปน็ ไปได้ท่ีจะเกิดการ แข่งขันได้หรือไม่ เพราะในปัจจุบันหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดนผูกขาดด้วยเจ้าของแพลตฟอร์มน้อยราย และแนวโน้มทางธุรกิจที่มีการรวมธุรกิจของผู้ประกอบการที่เคยแข่งขันกันจนเหลือผู้ประกอบการเพียงราย เดยี ว จนกลายเป็นผมู้ อี ทิ ธิพลเหนอื ตลาดแต่เพียงผู้เดยี วไมเ่ อ้ือใหเ้ กดิ การแข่งขัน เสีย่ งตอ่ การใช้อานาจบิดเบอื น กลไกตลาด เพราะผ้บู ริโภคและผใู้ ห้บริการล้วนไม่มอี านาจตอ่ รองกบั เจา้ ของแพลตฟอร์มอกี ต่อไป 5-4

ความยุ่งยากอีกประการ คือ หากรัฐหรือสมาคมผู้รับจ้างอิสระสามารถรวมตัวกันขึ้นสร้างแพลตฟอร์ม ใหม่ๆขึ้นมาแข่งขันกับผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดเดิมก็จะเป็นการดีต่อการแข่งขัน เพราะเป็นการเพิ่มคู่แข่งขัน ส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการให้มีคุณภาพแต่ราคาประหยัด แต่กลับมาการตีความท่ีสุ่มเส่ียงต่อการ ส่งเสริมสิทธิของแรงงานรับจ้างอิสระเนื่องจากมีการนิยามว่าผู้รับจ้างถือเป็นผู้ประกอบการรายย่อยท่ีจ้างงาน ตนเอง มิใช่แรงงาน หากปล่อยให้ผู้ประกอบการรายย่อยรวมตัวกันข้ึนจะถือเป็นการรวมตัวททที่ทาลายการ แขง่ ขนั ความกังวลดังกล่าวเกิดผลกระทบต่อขบวนการของกลุ่มแรงงานรับจ้างอิสระในการรวมตัวกันกาหนด เพดานค้าจ้างข้ันพื้นฐานหรือภาระงานท่ีเหมาะสม โดยมีการกล่าวอ้าวว่าการรวมกลุ่มเข้าลักษณะกันรวมตัวกนั กาหนดราคาในตลาด ซ่ึงอาจขัดต่อหลักการแข่งขันด้านราคาหรือกีดกันมิให้ผู้ประกอบการรายอ่ืนเข้าสู่ตลาด หากเกิดการตีความในทิศทางดังกล่าวย่อมกระทบต่อความพยายามในการรวมตัวกันของกลุ่มแรงงานรับจ้าง อิสระเพื่อกาหนดสัญญามาตรฐานขั้นต่า ดังน้ันจึงสุ่มเส่ียงว่าจะตีความไปในลักษณะการมองว่าแรงงานรับจ้าง อิสระไม่ใช่แรงงานแต่เป็นผู้ประกอบการ และไม่ยอมให้แรงงานรับจ้างอิสระรวมตัวขึ้นเปน็ สหภาพหรือสมาคม ด้วยการอ้างเรอ่ื งการผูกขาดเช่นว่า ส่วนการคาดหวังใหภ้ าครัฐเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสร้างแพลตฟอรม์ ให้กับกลมุ่ แรงงานรับจ้างอสิ ระเข้า แข่งขันในตลาดก็ยังต้องรอความพร้อมของภาครัฐ และสุ่มเส่ียงต่อการต่อต้านจากภาคเอกชนว่าได้ดึงภาครัฐ เข้ามาสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันตามกลไกตลาดเสรี ด้วยการอ้างว่ารัฐควรทาหน้าที่เพียง กากับดแู ล มคิ วรเขา้ มาดาเนินการเองในตลาด 5.5. ระบอบกฎหมายทรพั ย์สนิ ในยคุ ดจิ ิทัลกับการแยง่ ยดึ ทุกสรรพส่งิ ให้เปน็ ของบรรษทั ลัทธิเศรษฐกิจการเมืองในประเทศไทยได้ประกอบสร้างระบอบกรรมสิทธ์ิตามกฎหมายข้ึนบนพ้ืนฐาน ของการแบ่งแยกลักษณะความเป็นเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภทหลัก นั่นคือ ทรัพย์สินของรัฐ กับ ทรัพย์สินของเอกชน แม้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2540 เริ่มมีการสร้างความคิดเร่ือง “สิทธิ ชุมชน” ขึ้นมาเป็นทางเลือกของการสร้างระบอบกรรมสิทธ์ิเหนือทรัพย์สินที่ให้ชุมชนถือครองร่วมกันเพ่ือใช้ ประโยชน์และอนุรักษ์แต่ก็ยังมีภาครัฐเป็นผู้กุมอานาจในการกาหนดวิธีการเข้าถึงสิทธิของชุมชนและขอบเขต การใช้สิทธิของชุมชน การไร้ซ่ึงพลวัตรทางความคิดในการสร้างระบอบกรรมสิทธ์ิใหม่ๆขึ้นมารองรับความ เปลีย่ นแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกจิ ของรฐั ไทยยอ่ มสร้างความดอ้ ยสิทธิให้กบั ผู้ใชอ้ ินเตอรเ์ น็ตจานวนมาก ระบอบกฎหมายท่ีไม่ยอมรับความเป็นเจ้าของในข้อมูลหรือทรพั ย์สินในโลกเสมือนของผูใ้ ช้อินเตอร์เน็ต ได้สร้างผลสะเทือนอย่างลึกซ้ึงกว้างขวางในสานึกของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่เป็นแรงงานรับจ้างอิสระ เนื่องจาก ปรมิ าณข้อมลู ทแ่ี รงงานรบั จ้างอสิ ระผลติ ขน้ึ บนโลกไซเบอรผ์ า่ นการเล่นเกมส์ยามพักผอ่ นหย่อนใจ หรอื การผลิต เน้ือหาต่างๆในโลกไซเบอร์ ไปจนถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท้ังหลาย ได้ 5-5

กลายเป็นขุมทรัพย์ท่ีบรรษัทเจ้าของแพลตฟอร์มหรือเจ้าของเทคโนโลยีสามารถยึดครองเอาทรัพย์สินใหม่ๆ เหล่านี้ไปโดยมไิ ด้ตัดสินใจร่วมกบั ผ้ใู ชว้ า่ จะแบง่ ปันผลประโยชน์กันอยา่ งไร การรับรองสิทธิในทรัพย์สินบนโลกเสมือนของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นแรงงานรับจ้างอิสระผู้เช่ือมโยง กับระบบส่ือสารดิจิทัลอย่างเข้มข้นย่อมเป็นจุดเร่ิมต้นของการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เน่ืองจากเมื่อ ระบอบกฎหมายสร้างความเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินเหล่านี้ในลักษณะ ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Property) ท่ีต้ังอยู่บนความยุติธรรมระหว่างเจ้าของแพลตฟอร์มกับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตท่ีมองว่าทรัพย์สินในโลก เสมือนเปน็ ระบอบกรรมสทิ ธร์ิ ่วม (Common Property) ทีต่ อ้ งมีการแบ่งปันผลประโยชนร์ ว่ มกัน มใิ ช่ปลอ่ ยให้ เกิดการยึดครองทุกสรรพสิ่งบนแพลตฟอร์มให้กลายเป็นทรัพย์สินเอกชน (Private Property) ของบรรษัท เจ้าของเทคโนโลยแี ตเ่ พยี งผเู้ ดียว เม่ือแรงงานรับจ้างอิสระได้สิทธิในการเป็นเจ้าของร่วมเหนือทรัพย์สินดิจิทัลในโลกเสมือนแล้ว ก็จะ นาไปสู่การสร้างระบบแบ่งปันผลประโยชน์จากเจ้าของแพลตฟอร์มมาสู่ผู้ใช้ ทาให้เกิดความคุ้มครองสิทธิใน ทรัพยส์ นิ แก่แรงงานรับจา้ งอิสระในยคุ ดจิ ิทัลผู้มีส่วนร่วมผลติ ทรพั ย์สนิ ในโลกดจิ ทิ ลั ปริมาณมหาศาล ผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนตัวท่ีแรงงานรับจ้างอิสระได้รับแบ่งปันจากเจ้าของแพลตฟอร์มจะ กลายเป็นรายได้ท่ีรัฐสามารถจัดเก็บภาษีมาเป็นงบประมาณในการจัดทาบริการสาธารณะเพื่อสนับสนุนสิทธิใน คุณภาพชีวติ ที่ดีของแรงงานรับจา้ งอิสระ และยังอาจเป็นงบประมาณในการทาโครงการประกันรายไดพ้ ้นื ฐาน ให้กับประชาชนได้ เนื่องจากทรัพย์สินในโลกเสมือนมีมูลค่าทางการตลาดสูงข้ึนเร่ือยๆจากการใช้งานใน อินเตอร์เน็ตที่มากข้ึนเรื่อยๆ และถือเป็นมาตรการท่ีต้ังอยู่บนความเป็นธรรมเพราะเป็นการนารายได้จาก แรงงานรับจ้างอิสระผู้มีส่วนร่วมในการสร้างทรัพย์สินในโลกเสมือนมาสร้างหลักประกันให้กับแรงงานรับจ้าง อสิ ระทง้ั ในฐานะผ้บู ริโภคในโลกไซเบอร์หรอื ผู้ผลิตทางานผ่านอนิ เตอรเ์ นต็ ก่อนท่ีจะนาเสนอนโยบายใหม่ ๆ ท่ีอาจเป็นทางเลือกทางรอดในการลดความเหล่ือมล้าท่ีเกิดข้ึนต่อ กลุ่มแรงงานรับจ้างอิสระท่ีอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในศตวรรษท่ี 21 ที่ถาโถมเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่าง รุนแรงตามพลงั ของลทั ธิเสรินยิ มใหม่ที่ไหลบ่าผ่านเทคโนโลยดี จิ ิทัลโลกาภิวฒั น์ จาต้องสารวจสถานการณข์ อง รัฐไทยในการสร้างมาตรการรองรับปัญหาหรือพยายามสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพ้ืนฐานเพื่อประกันคุณภาพ ชีวิตให้กับประชาชนในลักษณะการคุ้มครองถ้วนหน้ามากน้อยเพยี งไรเสยี ก่อน แล้วจึงนาเสนอทางเลือกต่างๆที่ อาจนามาปรบั ใช้ได้กบั รฐั ไทยต่อไป 5.6. นโยบายของรัฐบาลไทยทีเ่ กยี่ วข้องกบั การพัฒนาสิทธิแรงงานรบั จ้างอิสระ รัฐบาลของพลเอกประยทุ ธ์ จันทรโ์ อชา มีเปา้ หมายหลักคือ ประเทศไทย 4.0 หรอื ยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉล่ียทั่วประเทศเพื่อให้หลุดพ้นจากประเทศที่มีรายได้ปาน กลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง โดยการเชื่อมโยงระบบข้อมูลสวัสดิการรายบุคคล และการพัฒนาระบบ การ ให้บริการสวัสดิการที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน องค์กรชุมชน ธุรกิจ หรือ 5-6

องค์กรประชาสังคม เพื่อให้สามารถพัฒนาระบบสวัสดิการถ้วนหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุม ค่าใช้จ่ายไม่ให้เป็นภาระทางการคลังมากเกินไป ส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการออมและการลงทุนระยะยาว เพื่อเพ่ิมความสามารถในการพ่ึงตนเองทางเศรษฐกิจของประชาชนทุกกลุ่มด้วยมาตรการทางภาษีและอ่ืน ๆ ตลอดจนส่งเสริมให้แรงงานทัง้ ในระบบและนอกระบบเข้าสูร่ ะบบประกนั สังคมอย่างทั่วถึง994 การปฏิรูปประเทศถูกกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญกับทั้งมีคณะปฏิรูปประเทศร่างรูปแบบส่งต่อให้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ตามพระราชบญั ญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2560 ครอบคลุมการปฏิรูป ประเทศให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติท้ังด้านเศรษฐกิจและสังคม995 โดยได้ปรับระบบโครงสร้างงบประมาณ สมดลุ กับโครงการท่เี ชือ่ มโยงกับยุทธศาสตร์ โดยเนน้ ความรว่ มมอื เชิงบูรณาการรว่ มกันให้เกดิ “โครงการประชา รัฐ” เปน็ หวั ใจในการพฒั นาระหวา่ ง “ภาครัฐกบั ภาคเอกชน” แต่ก็เป็นทน่ี า่ สงั เกตวา่ มิได้มขี อ้ ตกลงระหวา่ งภาค ธุรกจิ กบั คนทางานรับจ้างอิสระ รัฐบาลให้ความสาคัญกับการยกระดับสวัสดิการให้แก่คนยากจนที่มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาท จนถึง 100,000 บาท ตอ่ ปี ซึง่ มกี ารลงทะเบียนผูม้ รี ายไดน้ ้อยไวถ้ งึ มากกว่า 14 ล้านคน หรือ ประมาณร้อยละ 20 ของ ประชากรท้งั ประเทศ996 ซงึ่ เปน็ การใหแ้ บบบงั คับพลเมืองลงทะเบียนแสดงความจนล่วงหน้า นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับท่ี 1 (พ.ศ. 2558 – 2560) โดยมีวิสัยทัศน์ : มุ่งส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจเพ่ือการ พัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน โดยการรวมพลังของทุกภาคส่วน ทั้งน้ียุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อ สังคมของภาคธุรกิจท่ีเก่ียวข้อง คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 3 การส่งเสริมการพัฒนาที่ย่ังยืนของภาคธุรกิจ และ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การรวมพลงั เพือ่ พัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมและสร้างความมัน่ คงของมนษุ ย์ โดยการเชิญชวนให้ ภาคธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายไทยและพันธกรณีทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่เท่านั้น997 โดยมิได้ลง รายละเอียดที่เก่ียวข้องกับคนทางานรับจ้างอิสระ เพียงแต่พูดในภาพรวมว่าจะสร้าง “ความเป็นธรรมและลด ความเหล่อื มล้า” อย่างไรก็ดีในยุคน้ีระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังมิได้มีการกาหนดนิยาม “คนทางานรับจ้างอิสระ” (Freelancer) ให้ปรากฏตัวตนข้ึนอย่างชัดเจนเพ่ือให้อยู่ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างย่ังยืนมีหลักประกันสิทธิ ตามกฎหมายแต่อย่างใด จึงมิได้มีการเสนอนโยบายและมาตรการท่ีมุ่งแก้ปัญหาให้คนกลุ่มน้ีแบบครบวงจร ออกมาเปน็ มาตรการทมี่ ีสทิ ธติ ามกฎหมายเปน็ พน้ื ฐาน (Human Rights Based Approach) 994 ยทุ ธศาสตร์ชาติ (2561-2580). ขอ้ 4.1.5. ราชอาณาจักรไทย ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเม่ือเดือน ตุลาคม .2561. หน้า 40. 995 รัฐธรรมนญู แห่งราชอาญาจักรไทย พศ..2560 มาตรา 65 996 วิชัย พยัคฆโส .(2560). “นโยบาย ”.ประชานิยมที่ตอบโจทยค์ นจน ”รฐั สวสั ดกิ าร“สยามรฐั สบื ค้นจาก https://siamrath.co.th/n/22684 997 คณะกรรมการส่งเสรมิ การจัดสวัสดกิ ารสังคมแห่งชาติ .ยทุ ธศาสตร์การส่งเสรมิ ความรับผดิ ชอบตอ่ สังคมของภาคธุรกจิ ฉบับ ท่ี 1 (พ .ศ.2558 – 2560) 5-7

5.7. นโยบายของพรรคการเมอื งไทยเกย่ี วกบั สทิ ธแิ ละสวัสดกิ ารของคนทางานในสงั คมดิจทิ ัล หากลองเปรียบสถานการณห์ ลังการครองอานาจของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ทีจ่ ะเกดิ การเลือกตัง้ ทั่วไปในวนั ที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 โดยสารวจนโยบายของพรรคการเมืองท่ีเกยี่ วข้องกับสทิ ธคิ นทางานรบั จา้ ง อิสระจะพบว่าแนวทางส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะการให้เงินเพ่ือยังชีพในระดับต่าสุดเพ่ือมิให้เกิดภาระทาง งบประมาณแต่อาจไมค่ รอบคลมุ ความจาเป็นพน้ื ฐานในชวี ิตโดยปรากฏแคมเปญของ 5 พรรคใหญ่ท่ีมีอานาจใน การกาหนดนโยบายรัฐ ดงั ตอ่ ไปน้ี 998 - พรรคพลังประชารัฐ สานตอ่ นโยบายและโครงการของรฐั บาลทหาร คสช. ดังปรากฏในหัวข้อกอ่ นหน้า และประกาศขยายสทิ ธิ “บัตรสวสั ดิการแห่งรัฐ” เพิม่ สวสั ดกิ ารกลมุ่ เสีย่ งตา่ งๆ เชน่ คนชรา คนยากจน คนพิการ และสตรีต้ังท้องจนคลอดช่วยเลี้ยงดูบุตรถึง 6 ขวบ นอกจากน้ียังให้แนวทางว่าจะสวัสดิการ แก่ผู้ใช้แรงงานและอาชีพรับจ้าง แต่ยังไม่ปรากฏชัดว่าหมายรวมถึง “แรงงานรับจ้างอิสระ” ในยุค ดจิ ทิ ลั ทร่ี ัฐต้องการผลักดันวาระ ประเทศไทย 4.0 หรือไม่ - พรรคภูมิใจไทย มาในทิศทางของเสรีนิยมใหม่ คือ นโยบายเปล่ียนกัญชาและธุรกิจบนดิจิทัล แพลตฟอร์มท่ีเคยผิดให้ถูกกฎหมาย ส่งเสริมการ Work/Study from Home เรียนและทางานท่ีบ้าน เพ่ิมสัปดาห์ละ 1 วัน ส่งเสริมการเรียนแบบออนไลน์ เรียนฟรีตลอดชีวิต สร้างโครงการหมอประจา บ้านโดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นกลไกหลัก จะเห็นว่าพรรคเน้นนโยบายสร้างรายได้ประชาชน เพ่อื ดูแลตนและครอบครัวมากกวา่ การสรา้ งหลักประกนั สทิ ธใิ หก้ ับประชาชน - พรรคประชาธิปัตย์ ใชน้ โยบาย \"ประกันรายไดค้ นไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง\" ให้เบ้ียผู้ยากไร้ขั้นตา่ 800 บาท/เดือน ประกนั รายไดเ้ กษตรกร ประกันรายไดแ้ รงงาน 1.2 แสนบาท/ปี ซงึ่ นโยบายสดุ ท้ายมคี วาม ใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมาย “คนทางานรับจ้างอิสระ” มากท่ีสุด แต่จาต้องเข้าสู่การแสดงให้เห็นแหล่ง รายไดว้ ่ามีไมถ่ งึ ข้นั ต่ากอ่ น จึงจะมสี ิทธไิ ดร้ ับเงินประกนั รายไดใ้ หค้ รบ 1,000 บาทตอ่ เดือน - พรรคเพ่ือไทย มีนโยบาย เพิ่มพลังผู้สูงอายุ เพิ่มเบี้ยยังชีพ สร้างงาน แปลงประสบการณ์เป็นทุน ตั้ง หวยออมทรัพย์ มีเงินออมพร้อมลุ้นรางวัล เพ่ิมพลังสตรี เพ่ิมประสิทธิภาพกองทุน กองทุนบานาญไม่ ต่ากว่า 3,000 บาท/เดือน ค่าจ้างข้ันต่ากว่า 300 บาท/วัน สร้างอาชีพ ให้ค่าตอบแทนคณะกรรมการ สตรีหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรคยุคใหม่ พัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เรียนฟรี จริง 15 ปี ซึ่งเป็น แนวทางใหส้ ิทธิเฉพาะเรอ่ื งและเพิม่ ศักยภาพแรงงานมากกวา่ การให้หลกั ประกันสิทธิแบบครอบคลมุ - พรรคอนาคตใหม่ ประกาศ “ไทยเท่าเทียม สวสั ดิการถ้วนหน้าครบวงจร” เพิ่มสิทธิลาคลอดเป็น 180 วัน เพิ่มเงินเลี้ยงดูบุตร 0-6 ขวบเป็น 1,200 บาท เมื่อเข้าสู่วัยเรียนเด็กจะได้เรียนฟรีและมีคุณภาพ โดยมีเงินอุดหนุนเยาวชนอายุ 18-22 ปี จานวน 2,000 บาทเมื่อเข้าสู่วัยทางาน เพ่ิมเงินยังชีพคนชรา 998 นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆสามารถสบื ค้นได้ในชอ่ งทางอนิ เตอรเ์ น็ตของเวบ็ ไซตข์ า่ ว ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆมไิ ด้ ออกมาปฏิเสธข้อเทจ็ จริงที่ปรากฏอย่ใู นเวบ็ ไซต์ข่าวเหล่านี้ อาทิ : https://www.posttoday.com/politic/news/582161, http://longtunman.com/13215, https://hilight.kapook.com/view/183676, https://www.bbc.com/thai/thailand-47330424 เปน็ ต้น 5-8

เป็น 3 เท่า คือ 1,800 บาท/เดือน เพ่ิมงบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็น 4,000 บาท/ปี ขยายสิทธิ ประกันสังคมครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ซ่ึงพรรคนี้ได้มีการพูดถึงกลุ่ม “แรงงานนอกระบบ” แตย่ ัง เป็นในลักษณะการให้เงินสวัสดิการและสิทธิบางประการมากกว่าการให้หลักประกันสิทธิอย่าง ครอบคลมุ จากข้อเท็จจริงข้างต้นจะเห็นว่าแนวทางหลักที่พรรคการเมืองเสนอน้ันอยู่บนพื้นฐานกา รให้สิทธิบางประการ โดยคานึงถึงความเป็นไปได้ทางงบประมาณ มากกว่า การสร้างหลักประกันสิทธบิ นพ้ืนฐานของความจาเป็นใน การดารงชพี ทกุ มติ ิแบบรัฐสวสั ดกิ ารหรือหลักประกนั รายไดข้ ้ันพนื้ ฐานตามกฎหมาย พรรคต่างๆท่ีเสนอสารพัดนโยบายจ่ายเงิน อาจจะต้องคิดอย่างจริงจังว่า คนไทยต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึง จะพอดารงชีพขั้นพ้ืนฐานต่าสุดได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Minimum Basic Income) แล้วจะเลือก แนวทางประกันความเส่ียงช่วงขาดแคลนรายได้ ด้วยการจ่ายเงินรายได้ขั้นพื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) หรือ รัฐจะจ่ายเติมเพิ่มให้ผู้มีรายได้ต่ามีเพียงพอตามมาตรฐาน (Guaranteed Basic Income) ก็ สามารถตัดสินใจร่วมกันในวิถีทางของรัฐสภาและการเมืองได้ อย่างไรก็ดี การจ่ายตามรายละเอียดปลีกย่อย หรือแผนปฏิบัติการในลักษณะว่าจะแยกคนเป็นประเภทนั้น ประเภทนี้ เพ่ือให้เข้าเกณฑ์นี้ เกณฑ์น้ัน อาจจะ นาไปสู่ปัญหาคลาสสิคดั้งเดิมของรัฐไทย คือ ระบบราชการและการแจกแจงของนักนิติอักษรศาสตร์ท่ีสร้าง เกณฑ์จานวนมากจนกลายเป็นกีดกันสิทธิเลือกประติบัติต่อบุคคล และการตกหล่นของคนที่เข้าไม่ถึงสิทธิด้วย ความด้อยประสิทธภิ าพของการบรหิ ารงานภาครฐั 5.8 สรุปนโยบายและมาตรการของรัฐไทย จากผลการศึกษาทั้งในเชิงกระบวนการของการเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้รองรับสิทธิของกลุ่ม เส่ียงกลับพบว่า นักกฎหมายและนักยุทธศาสตร์ฝ่ายบรรษัทได้พยายามขยับรูปแบบการจ้างงานให้หลุดไปนอก กรอบภาระหน้าที่การคุ้มครองสิทธิแรงงานตามกฎหมายไปเร่ือยๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างเหมาช่วง จ้างงาน ยืดหยุ่น เปิดบริษัทลูกมาในลักษณะการจัดหางานเพ่ือให้เกิดสัญญาย่อยๆ ไปจนถึงการเปล่ียนสัญญาจ้าง แรงงานให้กลายเป็นสัญญาจ้างทาของ เพ่ือไม่ให้เกิดความสัมพันธ์ฉันท์นายจ้าง-ลูกจ้าง และทาให้คนทางาน หลุดออกไปจากหลักประกันทางสังคมทั้งหลาย นอกจากนี้กฎหมายป้องกันการผูกขาดก็ยังมิได้เปิดโอกาสให้ แรงงานรายย่อยรวมตวั กันเป็นกลุ่มวิสาหกิจเข้าส่ตู ลาดแขง่ ขันกับบรรษัทขนาดใหญ่ และในท้ายทีส่ ุดผลผลติ ใน โลกดจิ ิทัลของพลเมืองเน็ตทั้งหลายอย่างข้อมูลและสินทรัพย์เสมือนก็ถูกแปลงให้กลายเป็นทรัพย์สินของบริษัท เจ้าของแพลตฟอร์ม ส่วนการปรับตัวของภาครัฐก็อยู่ในลักษณะหลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาในแต่ละประเด็นอย่าง ตรงไปตรงมา งานวิจัยพบว่าพรรคการเมืองต่างๆและรัฐบาลใช้วิธีเล่ียงไปสร้างหลักประกันคุณภาพชีวิตข้ันต่า อันเป็นการแก้ปัญหาท่ีปลายทางในลักษณะของการอุดหนุนรายได้แทนแต่ก็ยังอยู่ในลักษณะการเลือกให้ตาม อาเภอใจโดยมิได้มีจุดอ้างอิงว่ารายได้มากน้อยเพียงไรที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้จริงและ สามารถแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้าได้ และต้องมีมาตรการในเชิงปฏิบัติเช่นไรในการผลักดันโครงการพัฒนา สิทธขิ องแรงงานรับจา้ งอสิ ระอยา่ งเปน็ รปู ธรรม 5-9

ในบทถดั ไปจะได้นาเสนอถงึ หลกั การทฤษฎีเกย่ี วกับการพัฒนาอย่างย่ังยนื ทค่ี รอบคลุมสทิ ธขิ องแรงงาน รับจ้างอิสระเพื่อการลดความเหล่ือมล้าในสังคม โดยแสดงให้เห็นถึงแนวทางต่างๆที่มีความเป็นไปได้ทาง กฎหมายและสามารถนามาใชเ้ ป็นมาตรการลดผลกระทบจากความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ซ่ึงสังคมไทยกาลัง เผชญิ หนา้ อยู่ในปจั จบุ นั และอาจตอ้ งฝา่ ฝนั ยง่ิ ขนึ้ ไปอีกในยคุ ถดั ไป 5 - 10

บทที่ 6 ทางเลือกและข้อเสนอในการลดความเหลือ่ มล้าอนั เนือ่ งมาจากความทา้ ทาย ในศตวรรษท่ี 21 ในบทนี้จะนำเสนอทฤษฎีและหลักกำรทำงกฎหมำยท่ีอำจนำมำประยุกต์ใช้ผลักดันระบอบกฎหมำย เพื่อลดควำมเหล่ือมล้ำต่อกลุ่มแรงงำนรับจ้ำงอิสระอันเน่ืองมำจำกควำมเปลี่ยนแปลงทำงเศรษฐกิจและ เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 โดยมีประเด็นสำคัญท่ีต้องกล่ำวถึง คือ กำรลดผลกระทบด้ำนลบที่เกิดจำกกำร พัฒนำตำมแนวทำงของลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่มุ่งเน้นให้เกิดกำรพัฒนำที่เป็นประโยชน์กับคนบำงกลุ่มแต่สร้ำง ผลเสียให้คนบำงกลุ่ม ควำมเจริญก้ำวหน้ำในลักษณะไม่สมดุล (Imbalance Growth) นั้นต้องได้รับกำร ปรับเปลี่ยนให้กระจำยผลประโยชน์ไปสู่คนกลุ่มท่ีเสียประโยชน์มำกข้ึน และมีมำตรกำรรองรับผลกระทบร้ำยที่ อำจเกิดขึ้นกับกลุ่มเส่ียง ดังปรำกฏในหลักกำรสร้ำงควำมเจริญท่ัวถึงทุกคน (Inclusive Growth) อันเป็น รำกฐำนสำคัญของกำรพัฒนำอย่ำงยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งมุ่งสร้ำงหลักประกันสิทธิให้กับ กล่มุ เสยี่ งท้ังหลำยท่อี ำจไดร้ บั ผลกระทบจำกกำรพัฒนำอย่ำงไมส่ มดุล 999 ดังน้นั กำรพัฒนำจึงมไิ ดม้ งุ่ ไปที่กำรเพม่ิ ตวั เลขทำงเศรษฐกิจในภำพรวมทอี่ ำจสรำ้ งควำมมั่งคั่งใหค้ นเพยี งบำง กลุ่ม แตก่ ำรพฒั นำตอ้ งตอบสนองพลเมืองและส่งเสริมสทิ ธทิ ำงเศรษฐกจิ และสงั คมของคนทุกกลมุ่ ด้วย1000 6.1. ความเจริญทั่วถึงทุกคน (Inclusive Growth) และสถาบันท่ีทุกกลุ่มมีส่วนร่วม (Inclusive Institution) ควำมเจริญท่ัวถึงทุกคน (Inclusive Growth) คือ กำรให้หลักประกันแก่คนด้อยโอกำสว่ำจะมีโอกำส อย่ำงเท่ำเทียมกับผู้ทรงอิทธิพลทำงเศรษฐกิจกำรเมืองในกำรเข้ำถึงโอกำสทำงเศรษฐกิจ1001 โดยเน้นว่ำต้องมี กำรเพิ่มรำยได้ต่อหวั จำกควำมเตบิ โตทำงเศรษฐกจิ ท้ังจำกกำรเพมิ่ ผลิตผลและโอกำสในกำรจำ้ งงำน รวมทงั้ ต้อง สง่ เสรมิ กำรยกระดบั คุณภำพชีวิตของประชำชนด้วยนโยบำยเชิงรกุ ของรัฐหรือกำรแบ่งปันจำกตวั ตนอื่น1002 ซ่ึง 999 UNU. (2012). Inclusive Wealth Report: Measuring Progress toward Sustainability. Cambridge: Cambridge University Press. 1000 Sachs, I. (2004), Inclusive Development Strategy in an Era of Globalization, Working Paper No. 35, Policy Integration Department. World Commission on the Social Dimension of Globalization. Geneva: International Labour Office. 1001 Ali, I. & Son, H.H. (2007). “Measuring inclusive growth.” Asian Development Review. 24(1). 11–31, p.12. 1002 Chatterjee, S. (2005). “Poverty reduction strategies—lessons from the Asian and Pacific region on inclusive development.” Asian Development Review. 22(1). 12–44. 6-1

ในบริบทของควำมท้ำทำยในศตวรรษที่ 21 นั้นย่อมหมำยถึงบรรษัทเจ้ำของเทคโนโลยีดิจิทัลและกลุ่มทุน เจ้ำของแพลตฟอร์มหรอื ผู้จ้ำงงำนทง้ั หลำย กำรสร้ำงควำมเจริญให้เกิดประโยชน์ทั่วถึงทุกคนจำต้องยืนอยู่บนรำกฐำนของหลักกำร สถำบันที่ทุก กลุ่มมีส่วนร่วม (Inclusive Institution) ซ่ึงเป็นแนวทำงในกำรลดควำมเหล่ือมล้ำและแก้ปัญหำควำมด้อยสิทธิ ของกลมุ่ แรงงำนรบั จ้ำงอิสระน้ีมรี ำกฐำนทำงทฤษฎมี ำจำกงำนสำคัญของหนังสอื Why Nation Fails ซึ่งพัฒนำ มำจำกวิทยำนิพนธ์ปริญญำเอกของ อำรอน อำเซโมกลู นักเศรษฐศำสตร์กำรเมืองนำมอุโฆษที่เสนอวำ่ ประเทศ ท่ีเจริญก้ำวหน้ำเกิดจำกกำรมีสถำบันทำงกำรเมืองท่ีเปิดให้กลุ่มต่ำงๆในสังคมเข้ำมำมีส่วนร่วมทำงกำรเมืองใน กำรจัดสรรทำงเศรษฐกิจ (Inclusive Political Institution) 1003 โดยเขำเสนอว่ำในสังคมต่ำง ๆ มสี ถำบันทำง กำรเมอื งที่มผี ลตอ่ ควำมรงุ่ เรืองหรือลม่ สลำยของสังคมซ่ึงอำจแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื สถำบันท่ีแบ่งแยกและ สูบทรัพยำกรจำกส่วนรวมไปป้อนให้กับกลุ่มอภิสิทธิ์ชน “Extractive Institutions” และ สถำบันที่ทุกกลุ่มมี ส่วนร่วม “Inclusive Institutions” เมื่อวิเครำะห์ควำมท้ำทำยในศตวรรษท่ี 21 ท่ีเกิดจำกกำรผลักดันของ กลุ่มทุนและรัฐท่ีเน้นกำรพัฒนำไปตำมแนวทำงของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ย่อมมีควำมเสี่ยงที่จะเกิดโครงสร้ำงทำง เศรษฐกิจกำรเมืองที่เอ้ือให้เกิดสถำบันท่ีแบ่งแยกฯ (Extractive Institutions) ที่กลุ่มทุนจำนวนน้อยและ ผู้ปกครองที่มำจำกเสียงข้ำงน้อยกุมพลังทำงกำรเมืองและครองอำนำจในกำรจัดสรรทรัพยำกร ออกแบบ ระบอบกำรถือครองทรัพย์สิน ไปจนถึงกำรสร้ำงระบอบกฎหมำยท่ีเก่ียวข้องกับควำมสัมพันธ์ทำงกำรผลิต ระบบกำรแลกเปลี่ยน ไปจนถึงกำรตัดสวัสดิกำรที่ประชำชนพึงมี เพื่อแสวงหำประโยชนให้กับกลุ่มตนและ เครือขำ่ ยด้วยกำรแยง่ ชงิ ทรพั ยำกรมำจำกคนส่วนใหญใ่ นประเทศ ดังน้ันจึงมีควำมจำเป็นในกำรสร้ำงสถำบันทำงกำรเมืองที่เปดิ โอกำสให้กลุ่มต่ำงๆในสังคมเข้ำมำมีส่วน ร่วมในกำรสร้ำงระบอบกำรปกครองหรอื สถำบันเศรษฐกิจกำรเมืองทำงกฎหมำยของรัฐเข้ำมำจัดสรรทรัพยำกร เพื่อสร้ำงควำมเจริญก้ำวหน้ำอย่ำงยั่งยืนโดยจัดให้มีสถำบันท่ีทุกกลมุ่ มีส่วนร่วม (Inclusive Institutions) ที่คน จำนวนมำกเข้ำไปร่วมกำหนดอนำคตของสังคมในกระบวนกำรปกครองและป้องกันกำรแสวงหำผลประโยชน เพ่อื กลมุ่ ของตนและเครอื ขำ่ ย สถำบันทำงสังคมแบบแบ่งแยกฯ (Extractive Institutions) มีลักษณะสำคัญ 3 ประกำรท่ีสอดคล้อง กบั ควำมท้ำทำยในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ 1004 1) มีกำรใช้แรงงำนของคนหมูมำกในกำรผลิตและแสวงหำทรัพยำกรเพ่ือชนช้นั ปกครองทีเ่ ป็นคนสว่ นนอ้ ย 2) เกดิ ควำมลม้ เหลวในกำรปกป้องสิทธิในทรพั ย์สนิ ของบคุ คล (Property rights) ของบคุ คล 3) ไม่อำจสร้ำงแรงจงู ใจทำงเศรษฐกิจเพือ่ กระตุ้นให้เกิดกำรพฒั นำเทคโนโลยใี หม่ 1003 Acemoglu, Daron & Robinson J. A. (2012). Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity and Poverty. London: Profile Books. 1004 Ibid., p. 430. 6-2

ในทำงกลับกันหำกต้องกำรสร้ำงสังคมท่ีสำมำรถพัฒนำไปอย่ำงทั่วถึงและยั่งยืนจำต้องสร้ำงสถำบันที่ ครอบคลุมคนทกุ กลุ่ม Inclusive Institutions ให้เกิดขน้ึ ในรฐั โดยมหี ลกั ประกันในประเดน็ ต่ำงๆ ดังน้ี 1005 1) มีระบอบกำรยอมรบั สทิ ธิในทรพั ยส์ ิน (Property rights) ของประชำชนอยำ่ งถว้ นหนำ้ 2) สง่ เสริมกำรลงทุนด้วยเทคโนโลยใี หม่และเสริมสรำ้ งมูลคำ่ ด้วยดว้ ยทกั ษะ 3) สถำปนำระบอบกฎหมำยท่ฝี กั ใฝฝ่ ำ่ ยใด เปน็ อสิ ระ สำมำรถบังคบั ต่อทกุ คนไดอ้ ย่ำงเสมอภำค 4) รัฐมีบทบำทในเชิงอำนวยควำมสะดวกหรือสนับสนุนระบบแลกเปล่ียนสินค้ำและบริกำร สร้ำงควำม มัน่ คงให้กบั กำรทำธรุ กรรมและบังคบั สัญญำ 5) เปิดโอกำสให้ผู้ประกอบกำรรำยใหม่เข้ำสู่ตลำดได้ ลดกำรผูกขำดทำงกำรค้ำ สร้ำงควำมเป็นธรรมใน กำรแขง่ ขัน 6) ประชำชนมีเสรีภำพในกำรเลือกอำชีพหรือประกอบกำรโดยสำมำรถเข้ำไปมีส่วนร่วมจัดกำรทำง เศรษฐกิจมีระบบท่ีเอ้ือให้ทุกคนแสดงพรสวรรค์ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ และประสบกำรณ์มำสร้ำงโอกำส ทำงเศรษฐกจิ ได เม่ือปรับใช้ทฤษฎีกำรสร้ำงสถำบันทำงกำรเมืองที่คนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม (Inclusive Political Institutions) เพ่ือทำให้เกิดกำรพัฒนำถ้วนหน้ำ (Inclusive Growth) ท่ีเอื้อให้ทุกนในสังคมมีส่วนร่วมแบ่งปัน ควำมเจรญิ กำ้ วหนำ้ ทำงเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ดงั น้ันจำต้องมีกำรปฏริ ปู สถำบันทำงกำรเมืองและระบอบทำง กฎหมำยอย่ำงมิอำจหลีกเล่ียงได้ เพ่ือทำให้เกิดสังคมที่คนทุกกลุ่มได้พัฒนำคุณภำพชีวิต กำรสร้ำงสังคมพหุ นิยม (pluralistic society) ที่ยอมรับกำรมีตัวตนของคนกลุ่มใหม่ๆท่ีเกิดขน้ึ สงั คมให้มศี ักด์ิศรีมสี ิทธิสำมำรถเขำ้ ไปมีโอกำสร่วมตัดสินใจในสถำบันทำงกำรเมืองเพ่ือสร้ำงระบอบกฎหมำยที่รับรองสิทธิของคนกลุ่มต่ำงๆ โดยเฉพำะในยุคศตวรรษที่ 21 ซ่ึงเกิดคนกลุ่มใหม่ปริมำณมหำศำลท่ีอยู่ในสภำวะเส่ียงท่ีจะด้อยสิทธิอย่ำงกลุ่ม แรงงำนรับจ้ำงอสิ ระ (Freelancer) 6.2. กระบวนการท่ีองิ สิทธมิ นุษยชนเป็นพนื ฐาน Human Rights-Based Approach (HRBA) จำกหลักกำรที่เป็นเป้ำหมำยข้ำงต้นนำมำสู่กำรสร้ำงแนวทำงในเชิงปฏิบัติกำรให้เกิดผลลัพธ์ที่สอดรับ กนั นน่ั กค็ อื กำรพัฒนำในแนวทำงของกระบวนกำรทีอ่ งิ สิทธิมนษุ ยชนเปน็ พนื้ ฐำน กระบวนกำรที่อิงสิทธิมนุษยชนเป็นพ้ืนฐำน (Human Rights-Based Approach - HRBA) ต้ังอยู่บน พื้นฐำนกำรตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนท่ีปรำกฏร่องรอยอยู่ในสังคมนั้นๆ ดังปรำกฏในรูปแบบควำมสัมพันธ์เชิง อำนำจระหว่ำง “ผู้ทรงสิทธิ” (Right-holders) กับ “ผู้มีหน้ำที่” (Duty-bearers) ในกำรเรียกร้องให้รัฐผู้มี หน้ำที่ต้องประกันสิทธิใหจ้ ัดมำตรกำรคมุ้ ครองสทิ ธิแกก่ ับบุคคลผทู้ รงสิทธิ เนื่องจำกรัฐมีพนั ธกรณีในกำรเคำรพ 1005 Ibid., p. 74-75, 102-103. 6-3

สิทธิของปจั เจกชนทม่ี อี ยู่ ปกปอ้ งกลมุ่ เสี่ยงมิให้ถูกละเมดิ สิทธิ ไปจนสร้ำงมำตรกำรเสริมเพม่ิ เตมิ สิทธิใหส้ มบูรณ์ ยิ่งๆขึ้นไป ตำมสนธิสัญญำด้ำนสิทธิมนุษยชนที่รัฐไทยผูกพันอยู่ นั่นคือ กติกำสิทธิทำงเศรษฐกิจ สังคมและ วฒั นธรรม นอกจำกรัฐแลว้ องค์กรทม่ี ิใช่รัฐซ่งึ ในกรณีน้ีคือ บรรษัทเอกชนก็ย่อมมีพันธกรณีในกำรไม่ละเมิดสทิ ธิ หรือปฏิสัมพันธ์กับปัจเจกชนคนทำงำนโดยเคำรพซึ่งสิทธิแรงงำนหรือสิทธิมนุษยชนของบุคคลท่ีบรรษัทมี ปฏิสัมพันธ์อยู่ด้วย1006 กล่ำวโดยสรุป กระบวนกำรนี้ได้สร้ำงควำมสัมพันธ์เชิงสิทธิ-หน้ำที่ระหว่ำง คนทำงำน กับ รัฐ/บรรษัท โดยอำศัยผลทำงกฎหมำยเป็นสำยสัมพันธ์เชิงอำนำจท่ีคนทำงำนสำมำรถอ้ำงเอำจำกรัฐและ บรรษัทได้ เม่ือนำเร่ืองกระบวนกำรที่อิงสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐำนมำวิเครำะห์ท่ำมกลำงบริบททำงกำรเมืองซึ่งมี ควำมพยำยำมในกำรก้ำวข้ำมเรื่องประชำนิยมท่ีกลุ่มกำรเมือง พรรคกำรเมือง และรัฐบำลต่ำงๆ นำเสนอ นโยบำยและโครงกำรแจกจำ่ ยและให้ผลประโยชนท์ ำงเศรษฐกจิ กบั ประชำชนตำมอำเภอใจและไม่สมำ่ เสมอ จะ พบข้อสังเกตสำคัญประกำรหน่ึงท่ีพึงพจิ ำรณำ กล่ำวคือ “สิทธิ” น้ันแตกต่ำงจำก “อภิสิทธ์ิ” ในลักษณะที่ สิทธิ น้ันรัฐต้องจัดให้มีแก่บุคคลเป็นกำรสำกลทั่วไปไม่แบ่งแยกระหว่ำงกลุ่มคนด้วยเหตุแห่งควำมแตกต่ำงด้ำน สถำนภำพต่ำงๆที่มีลักษณะเป็นกำรเลือกประติบัติ (Universality) และรัฐห้ำมยกเลิกเพิกถอนหรือพรำกสิทธิ เหล่ำน้ันไปเสียตำมอำเภอใจ (Inalienable) ด้วยเหตุท่ีสิทธินั้นเม่ือมีบทบัญญัติรับรองไว้ในกฎหมำยแล้ว หำก รัฐได้เลิกหลักประกันหรือมำตรกำรที่ส่งเสริมสิทธิเหล่ำนั้นท้ิงเสีย ปจั เจกชนหรือกลุ่มชนท่ีเส่ือมสิทธสิ ำมำรถยก ควำมเสียหำยดังกล่ำวขึ้นเรียกร้องตอ่ รัฐ องค์กรอสิ ระ ไปจนถึงฟ้องร้องต่อศำลให้มีคำพิพำกษำบังคับรัฐให้ต้อง เติมเต็มสิทธิตำมกฎหมำยนั้นให้สมบรู ณ์ (Justiciability of Rights)1007 ต่ำงจำกนโยบำยทำงกำรเมืองของกลุ่ม กำรเมืองหรือพรรคกำรเมืองที่ปรำศจำกบทบัญญัติทำงกฎหมำยรองรับ ซึ่งไม่อำจสร้ำงหน้ำท่ีให้พรรครัฐบำล ต้องทำหรือต้องมีควำมรับผิดจำกกำรไม่ปฏิบัติตำมท่ีหำเสียง เช่น กำรหำเสียงของพรรคกำรเมืองที่จะประกัน รำยได้ข้ันต่ำวันละ 425 บำท อำชีวะ 18,000 บำทต่อเดือน ปริญญำตรี 20,000 บำทต่อเดือน ซึ่งในท้ำยท่ีสุด มิได้มีกำรบรรจุไว้ในนโยบำยรัฐบำลท่ีแถลงต่อรัฐสภำ ยิ่งไปกว่ำนั้นหำกเป็นผลปะโยชน์ในลักษณะอภิสิทธิ์ รัฐบำลจำกกลุ่มกำรเมืองหนึ่งอำจจะมอบให้เพรำะถือเป็นผลงำนตน เม่ือพลัดเปล่ียนอำนำจไปสู่อีกกลุ่ม นโยบำยเหล่ำน้ันก็อำจถูกยกเลิกหรือไม่ไดร้ ับงบประมำณสนับสนุนเช่นเคย โดยไม่มีโครงกำรอื่นมำทดแทนเพอ่ื ประกันสิทธใิ ห้เท่ำเดมิ หรือดีข้ึน ดังนั้นในจึงมีกำรริเร่ิมต้ังแต่กำรสร้ำงแผนยุทธศำสตร์เป้ำหมำยกำรพัฒนำแห่ง สหสั วรรษ (Millennium Development Goals - MDGs) วำ่ จะบรรลุเปำ้ หมำยดว้ ยกระบวนกำรทอี่ ิงสิทธิเป็น พ้ืนฐำนเพื่อก้ำวไปสู่เป้ำหมำยท่ีวำงไว้อย่ำงย่ังยืน มิใช่ปล่อยให้เป็นกำรแย่งชิงทำงกำรเมืองแข่งกันนำเสนอ นโยบำยท่ีเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอโดยไม่ต้องตอบสนองสิทธิมนุษยชนใดๆของประชำชนอย่ำงสม่ำเสมอ ซ่ึงพล วัตรของกระบวนกำรท่ีอิงสิทธิมนุษยชนน้ันได้ขับดันโดยองค์กำรสหประชำชำติในกำรประกำศยุทธศำสตร์กำร พัฒนำอย่ำงยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ออกมำให้รัฐรับไปเป็นแนวทำงบรรลุ เปำ้ หมำยกำรพัฒนำโดยใชก้ ระบวนกำรท่ีมีควำมเปน็ ประชำธปิ ไตยและสิทธมิ นษุ ยชน 1006 Jonsson, U. (2010). A HUMAN RIGHTS-BASED APPROACH TO DEVELOPMENT AND DEVEVLOPMENT PROGRAMMING BASED ON CAPACITY DEVELOPMENT. Tanzania: The Owls. p. 1. 1007 Ibid., p. 2. 6-4

จุดเร่ิมต้นของกระบวนกำรที่อิงสิทธิมนุษยชนสำมำรถสืบย้อนไปในปี ค.ศ.1997 ซ่ึงสหประชำชำติได้ ปฏิรูปองค์กำรท้ังระบบรวมไปถึงปรับปรุงกำรทำงำนขององค์กรชำนัญพิเศษและองค์กรภำยใต้สหประชำชำติ ทั้งหมดให้ใช้กระบวนกำรท่ีอิงสิทธิมนุษยชนเป็นแนวทำงทำงำนทั้งในองค์กรตนเอง1008และผลักดันวำระต่ำงๆ ออกไปสู่กำรบูรณำกำรขององค์กรท้ังหลำย1009 เร่ือยไปจนถึงกำรออกนโยบำยสำหรับสร้ำงควำมร่วมมือด้ำน กำรพัฒนำกับองค์กรอื่นหรือกำรปฏิบัติของรัฐสมำชิกในระยะต่อมำ จนกลำยเป็นเอกสำรควำมเข้ำใจร่วมกัน ระหวำ่ งองค์กรภำยใต้สหประชำชำตดิ ำ้ นควำมรว่ มมอื ในกำรพฒั นำตำมแนวทำงกระบวนกำรทอี่ ิงสิทธมิ นุษยชน เป็นพื้นฐำน (Common Understanding among UN Agencies on a Human Rights-Based Approach to Development Cooperation) ดังปรำกฏรำยละเอยี ดดงั น้ี 1010 1) โครงกำรพัฒนำ นโยบำย และควำมช่วยเหลือทำงเทคนิคท้ังหลำยควรส่งเสริมให้เกิดหลักประกัน สิทธมิ นุษยชนท่ีเข้มข้นข้ึนดังท่ีบทบญั ญตั ิของปฏิญญำสำกลว่ำด้วยสิทธมิ นุษยชนและตรำสำรสทิ ธิ มนุษยชนท้ังหลำยกำหนดไว้ 2) มำตรฐำนที่ปรำกฏอยู่ในปฏิญญำสำกลว่ำด้วยสิทธิมนุษยชนและตรำสิทธิมนุษยชนต้องถูกนำมำ เปน็ แนวทำงในกำรสร้ำงควำมร่วมมือและโครงกำรด้ำนกำรพัฒนำของทกุ ภำคสว่ นและในทุกระยะ ของกระบวนกำรพฒั นำ 3) ควำมร่วมมือด้ำนกำรพัฒนำต้องสร้ำงศักยภำพของผู้ทรงสิทธิให้เรียกร้องสิทธิจำกผู้มีหน้ำท่ีให้ ปฏบิ ัตติ ำมพนั ธกรณที ำงกฎหมำยทผี่ ูกพันอยู่ เอกสำรควำมเข้ำใจร่วมกันดังกล่ำวได้ถูกรับรองโดยสหประชำชำติ ( United Nations Development Group)1011 และมรี ัฐสมำชกิ สหประชำชำตเิ ข้ำรว่ มและนำไปปฏิบัติภำยในประเทศต่อไป เช่น เยอรมนี1012 และ 1008 ลองดูเอกสำรทำงกำรขององค์กรต่ำงๆทผี่ ลักดนั กระบวนกำรทีอ่ งิ สทิ ธมิ นุษยชนเป็นพน้ื ฐำน (HRBA): UNICEF: Guidelines for Human Rights-Based Programming Approach, Executive Directive CF/EXD/1998-04, 21 April 1998; UNICEF: Programme Cooperation for Children and Women from a Human Rights Perspective, Paper to the UNICEF Executive Board Annual Session, June 1999; OHCHR: Human Rights and Poverty Reduction. A Conceptual Framework, UN, New York and Geneva, 2004; UNDP: Integrating Human Rights in Sustainable Human Development, 998; UNDP: Guidelines for Human Rights-Based reviews of UNDP Programmes, October 2002; UNDP: Poverty Reduction and Human Rights, March 2003; UNFPA: A Focus on Population and Human Rights; WHO: Human Rights Day: Advancing the Dialogue on Health and Human Rights, WHO Geneva, December 10, 2002; WHO: 25 Questions and Answers on Health and Human Rights, WHO Geneva 2003; ILO: A Human Rights-Based Approach to Development: The ILO Experience, 2002 1009 UNDP. (2001). Recommendations of Inter-Agency Workshop on Implementing a Human Rights Approach in the Context of the UN Reform. Princeton, NJ, January 24-26, 2001. 1010 UNDP. (2003). Report from the Second Inter-Agency Workshop on Implementing a Human Rights-Based Approach in the Context of UN Reform. Stamford, 5-7 May 2003. 1011 องค์กรทีผ่ ลกั ดัน UNDG ในช่วงแรกก็คอื UNDP, UNICEF, WFP and UNFPA. 1012 GTZ, BMZ and the German Institute for Human Rights. (2009), The Human Rights-Based Approach to German Development Cooperation. Eschborn: GTZ, July 2009. 6-5

สวิสเซอร์แลนด์1013 ดงั จะเห็นว่ำสองประเทศน้ีได้ผลักดนั นโยบำยจำนวนมำกขยำยไปรับรองสิทธขิ องกลุ่มเส่ียง ใหม่ๆท่ีเกิดเพิ่มข้ึนตำมควำมเปล่ียนแปลงของควำมสัมพันธ์ทำงเศรษฐกิจและสังคมท่ีเปล่ียนไป เช่นเดียวกับ ควำมร่วมมือระหวำ่ งประเทศของกลุ่มประเทศก้ำวหน้ำทำงเศรษฐกิจผู้ผลักดันนโยบำยกำรพฒั นำตำมแนวทำง ลัทธิเสรีนิยมใหม่อย่ำง OECD และประเทศพัฒนำแล้วก็ยังกำหนดว่ำกำรพัฒนำหรือกำรปฏิบัติตนขององค์กร ทัง้ หลำยต้องคำนึงถึงผลกระทบดำ้ นสิทธิมนษุ ยชน และตอ้ งสร้ำงมำตรกำรท่สี ง่ เสรมิ สทิ ธมิ นุษยชนดว้ ย1014 ควำมเข้ำใจร่วมกันในกำรพัฒนำด้วยกระบวนกำรที่อิงสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐำนได้ถูกแจกแจง รำยละเอียดเพือ่ นำไปใช้สร้ำงนโยบำย โครงกำร และปฏิบตั ิกำรทงั้ หลำยได้ตำมแนวทำงดังต่อไปนี้ 1015 1) กำรใชส้ ิทธิมนษุ ยชนเป็นมำตรฐำน โดยวำงสิทธทิ งั้ หลำยไว้เป็นเป้ำหมำยในกำรพฒั นำ เชน่ สิทธใิ นกำร เขำ้ ถงึ ปจั จัยพนื้ ฐำนในกำรดำรงชีวิตอยำ่ งมีคุณภำพของประชำชน เพ่ือเปน็ ผลลัพธแ์ หง่ กำรพฒั นำ แลว้ ใช้กระบวนกำรผลักดันไปให้ถึงเป้ำหมำยตำมสิทธิที่รับรองไว้ในกฎหมำย เช่น สิทธิในกำรรวมกลุ่ม รวมตัวเปน็ สมำคมสหภำพ เสรีภำพในกำรแสดงออก สิทธใิ นกำรเขำ้ ถงึ ขอ้ มลู ขำ่ วสำร โดยกระบวนกำร ท้ังหลำยต้ังอยู่บนหลักควำมเสมอภำค ไม่เลือกประติบัติ กำรมีส่วนร่วมและครอบคลุมกลุ่มเส่ียง รวมถึงหลกั ควำมรับผิดและนติ ิธรรม ดังจะกล่ำวถงึ ต่อไป 2) หลักควำมเสมอภำค ไม่เลือกประติบัติ กำรสร้ำงนโยบำยพัฒนำและกำรปฏิบัติตำมนั้นต้องวำงอยู่บน พื้นฐำนของกำรไม่กีดกันบุคคลใดออกไปด้วยเหตุแห่งควำมแตกต่ำงทำงเช้ือชำติ ศำสนำ อุดมกำรณ์ ทำงกำรเมือง เพศสภำวะ ควำมพิกำร สถำนะทำงเศรษฐกิจและสังคม ดังท่ีสนธิสัญญำสิทธิมนุษยชน ท้ังหลำยต่อต้ำนไว้แล้ว รวมถึงกลุ่มเสี่ยงใหม่ๆที่เกิดตำมบริบททำงเศรษฐกิจและสังคม เช่น แรงงำน ข้ำมชำติ แรงงำนผู้ติดเช้ือโรคติดต่อ ไปจนถึงคนทำงำนท่ีถูกผลักให้หลุดออกไปจำกหลักประกันสิทธิ แรงงำน 3) กำรมีส่วนร่วมและครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง ต้องมีกระบวนกำรที่ส่งเสริมกำรมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ท้ังหลำยตั้งแต่ผู้ทรงสิทธิไปจนถึงผู้มีหน้ำท่ีในกำรร่วมกันกำหนดกระบวนกำรพัฒนำและสร้ำ ง เปำ้ หมำยว่ำจะนำไปสผู่ ลลพั ธ์ใดซึ่งสำมำรถตอบสนองตอ่ สทิ ธพิ ลเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรมและ กำรเมืองของปัจเจกชนทั้งหลำย โดยปรำศจำกกำรทำให้คนบำงกลุ่มกลำยเป็นชำยขอบของนโยบำย พัฒนำ 4) หลักควำมรับผิดและนิติธรรม ผู้มีหน้ำที่ (Duty-bearers) มีควำมรับผิดทำงกฎหมำยหำกไม่อำจ ประกันสิทธิมนุษยชนให้กับผู้ทรงสิทธิได้ ดังน้ันจึงต้องจัดสรรทรัพยำกรหลำกรูปแบบเพื่อบรรลุ 1013 SDC. (2006). SDC’s Human Rights Policy: Towards a Life in Dignity. Realising rights for poor people. Berne: SDC, 2006. 1014 OECD/DAC. (2007). Action-Oriented Policy Paper on Human Rights and Development. 1015 Piron, L.-H. & O’Neil, T. (2005). A Synthesis and Analysis of Donor Experiences with Human Rights- Based Approaches to Development and Integrating Human Rights into Development Programming. ODI. August 2005. 6-6

เป้ำหมำยกำรพัฒนำ เช่น งบประมำณ บุคลำกร ไปจนถึงกำรสร้ำงสภำวะแวดล้อมท่ีเอื้อต่อกำร ตรวจสอบโดยส่ือ อันมีส่วนผลักดันให้เกิดกำรสร้ำงมำตรกำรสนับสนุนสิทธิอย่ำงโปร่งใส และมีกลไก บังคับตำมสิทธทิ ่ีสำมำรถเยียวยำปจั เจกชนท่ีเสียหำยจำกกำรไม่ได้รับสิทธิ และสร้ำงควำมรับผิดให้กับ ผู้มีหน้ำที่ซ่ึงไม่ปฏบิ ัติตำมกฎหมำยไมว่ ำ่ จะเป็น รฐั หรือบรรษทั เอกชน ในช้ันศำล1016 กล่ำวโดยสรุป กระบวนกำรท่ีอิงสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐำน Human Rights-Based Approach (HRBA) ได้ สร้ำงสะพำนเชื่อมโยงระหว่ำง ทฤษฎีกำรพัฒนำและสร้ำงสถำบันที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ( Inclusive Growth/Institution) เข้ำกับนโยบำยกำรพัฒนำอย่ำงย่ังยืน (Sustainable Development) เพื่อทำให้เกิด หลักประกันที่เข้มแข็งไม่ว่ำจะมีควำมเปล่ียนแปลงทำงกำรเมืองอย่ำงใดรัฐก็ ยังมีหน้ำท่ีพ้ืนฐำนในกำรให้ หลักประกันสิทธิมนุษยชนแก่ประชำชน เช่นเดียวกับต้องพยำยำมสร้ำงควำมรับผิดและหน้ำที่ให้กับบรรษัท เอกชนในกำรประกันสิทธิให้กับปัจเจกชน มิใช่กำรแสวงหำแนวทำงผลักคนทำงำนให้หลุดออกจำกควำม คุ้มครองสิทธโิ ดยกฎหมำย กำรผลักดันนโยบำยแก้ปัญหำควำมเหล่ือมล้ำด้อยสิทธิของแรงงำนรับจ้ำงอิสระจึงจำเป็นต้องใช้ กระบวนกำรท่ีอิงสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐำนเป็นแนวทำงในกำรผลักดันมำตรกำรต่ำงๆ ท่ีจะนำเสนอใน รำยละเอียดต่อไป ไม่ว่ำจะเป็นกฎหมำยแรงงำนท่ีขยำยไปคุ้มครองสิทธิผู้รับจ้ำงทำของ หรือกำรสร้ำง หลกั ประกันรำยได้ขนั้ พ้ืนฐำนถ้วนหน้ำ 6.3. ทางเลอื กในการสร้างหลกั ประกนั สทิ ธิใหแ้ กแ่ รงงานรบั จ้างอิสระเพือ่ ลดความเหลอื่ มลา้ กำรพัฒนำสิทธิแรงงำนรับจ้ำงอสิ ระ (Freelancer) ต้องยึดโยงกับหลักกฎหมำยสำคัญเรื่องกำรประกนั สิทธิของแรงงำนอันมีสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐำน (Human Rights-Based Approach – HRBA) ไว้ เพื่อเป็น รำกฐำนทำงกฎหมำยในกำรอำ้ งสิทธแิ ละเสนอให้ภำครัฐสร้ำงมำตรกำรบังคับตำมสิทธอิ ย่ำงเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ กำรประกันรำยได้รูปแบบต่ำงๆ เช่น หลักประกันรำยได้ข้ันพ้ืนฐำน (Guaranteed Basic Income - GBI) กำร จ่ำยเงินรำยได้ข้ันพื้นฐำน Universal Basic Income – UBI) เพ่ือเป็นกำรประกันสิทธทิ ำงเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรม ของคนยุคดจิ ิทัลท่ีอยู่ในควำมเส่ียงมีกำรจ้ำงงำนไม่มั่นคง เกิดช่วงขำดแคลนเงินเป็นคร้ังครำว รึอำจ วำ่ งงำนและขำดรำยได้เป็นกำรถำวร หรือกำรป้องกันมิให้ภำครัฐเพิกเฉยละเลยไม่ใส่ใจต่อกลยุทธ์ของบรรษัท เอกชนที่พยำยำมผลักแรงงำนออกจำระบบกำรจ้ำงงำนเดิม ด้วยรูปแบบสัญญำจ้ำงเหมำ หรือกำรจ้ำงงำน ยืดหยุ่นรูปแบบต่ำงๆ ดังปรำกฏหลักกำรคัดกรองแบบเกณฑ์ ABC ของมลรัฐแคลิฟอร์เนียท่ีนำมำพิจำรณำว่ำ แรงงำนเหมำช่วงน้ันยังอยู่ในควำมสัมพันธ์ลูกจ้ำง-นำยจ้ำงกับบรรษัทหลัก แม้ว่ำตนจะถูกผลักออกไปอยู่ใน บรรษัทเหมำช่วงอ่ืนแล้วก็ตำม เพื่อแก้ปัญหำกำรหลบเลี่ยงหน้ำท่ีและควำมรับผิดตำมกฎหมำยแรงงำนของ ผู้ประกอบกำรที่ตอ้ งมีต่อลูกจ้ำง ไม่ว่ำจะเปน็ กำรสร้ำงบทบัญญัตกิ ฎหมำยให้แรงงำนรับจ้ำงอสิ ระย้อนกลับไป รับสิทธิแรงงำนดุจเดียวกับลูกจ้ำงได้ หรือกำรได้รับกำรประกันสิทธิในรำยได้ข้ันพ้ืนฐำนผ่ำนสวัสดิกำรของรัฐ 1016 Sida. (2006). Current Thinking on the Two Perspectives of the PDG. Sida: POM Working Paper 2006: 4. 6-7

ย่อมต้องอำศัยพื้นฐำนสิทธิตำมกฎหมำยอย่ำงแข็งแรงชัดแจ้ง เพ่ือใช้อ้ำงต่อรัฐได้อย่ำงยั่งยืน ก้ำวข้ำมควำม เปล่ียนแปลงทำงกำรเมืองข้ัวต่ำงๆ เพรำะสิทธิตำมกฎหมำยเป็นส่ิงที่ผูกพันรัฐทุกรัฐ เว้นแต่จะยกเลิกกฎหมำย ท้ิงเสีย ซ่ึงเป็นไปได้ยำกเพรำะสิทธิทำงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เป็นรำกฐำนของเร่ืองน้ี เป็นสิทธิตำม กติกำสำกลว่ำด้วยสิทธิทำงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights – ICESCRs) ท่ีรัฐไทยเป็นภำคีในระบบขององค์กำรสหประชำชำติ ที่ยำกต่อกำร ถอนตัวจำกสนธิสัญญำเช่นว่ำเพรำะสนธิสัญญำดำ้ นสทิ ธมิ นษุ ยชนขน้ั พ้นื ฐำน ท้ังน้ีนักสิทธิมนุษยชนท่ีปฏิบัติงำนด้ำนสิทธิทำงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ต้องระมัดระวังเร่ือง มุมมองของบคุ คลภำยนอกไปจนถึงหน่วยงำนภำครัฐและเอกชนไปจนถึงรัฐบำลว่ำ อำจเข้ำใจผิดคิดว่ำเร่ืองกำร ประกันสิทธขิ องแรงงำนอันมสี ทิ ธิมนุษยชนเป็นพน้ื ฐำน (HRBA) ทเี่ สนอไปนั้นเปน็ กจิ กรรมสงั คมสงเครำะห์แบบ ให้ทำนกำรกุศล (Charity or Arbitrary Given) หรือเป็นกำรให้แบบนโยบำยประชำนิยมทำงกำรเมือง (Political Populism Policy) โดยวำงอยู่บนอำนำจในกำรเลือกให้บำงกลุ่มบำงประเด็นตำมอำนำจทำงกำร เมือง ซ่ึงแท้จริงมิใช่ แต่เร่ืองกำรประกันสิทธิของแรงงำนอันมีสิทธิมนุษยชนเป็นพ้ืนฐำน (HRBA) เป็นกำรให้ หลักประกันสิทธิพื้นฐำนขั้นต่ำสุดในกำรดำรงชีวิตอย่ำงมีศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ในยำมตกทุ กข์ได้ยำกชีวิตต่ำ กว่ำมำตรฐำนต่ำงหำก โดยรัฐจำเปน็ ต้องรบั รองสทิ ธิให้หลักประกันบนพืน้ ฐำนของพันธกรณีทำงกฎหมำย เลือก ประตบิ ัติต่อกลมุ่ บคุ คลใด หรือจะไมใ่ ห้ตำมอำเภอใจ เสียมิได้ เพรำะสิทธิเหลำ่ นสี้ รำ้ งขอ้ อ้ำงอิงทำงกฎหมำยให้ ประชำชนเจ้ำของสิทธิเรียกร้องได้ในช้ันศำล บังคับเอำกับฝ่ำยนิติบัญญัติและฝ่ำยบริหำรเรื่อยไปจนถึงเจ้ำ พนกั งำนฝ่ำยปกครองลงไปทุกระดบั ได้ กำรสร้ำงหลักประกันสิทธิของคนทำงำนรับจ้ำงอิสระที่อยู่ในระบบกำรจ้ำงงำนท่ีไม่มั่นคงนั้นต้องมุ่ง แก้ปญั หำหลักใน 2 ประเดน็ คือ 1.กำรสร้ำงหลักประกันสิทธไิ ม่วำ่ จะนำยจ้ำงจะปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญำจ้ำง เชน่ ไรก็ตำม 2.ตอ้ งเป็นหลกั ประกันทำงกฎหมำยท่คี รอบคลมุ คุณภำพชีวิตทุกมติ ขิ องคนทำงำน ดงั นั้นหลกั กำร ท่ีสำมำรถนำมำรองรับปัญหำเช่นว่ำก็คือ กำรพัฒนำท่ีครอบคลุมถึงกลุ่มเส่ียง (Inclusive Development) ซึ่ง เป็นหลักสำคัญของเป้ำหมำยกำรพฒั นำอย่ำงยง่ั ยืนท่ปี ระชำคมโลกและรัฐไทยได้ใหพ้ ันธสญั ญำว่ำจะดำเนนิ กำร ไปให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ทำงเลือกเชิงรูปธรรมในกำรพัฒนำมำตรกำรเพื่อประกันสิทธิให้กับกลุ่มแรงงำนรับจ้ำงอิสระเพ่ือลด ควำมเหลือ่ มล้ำ สง่ เสรมิ กำรเขำ้ ถงึ สิทธมิ ีหลำกหลำยรปู แบบด้วยกนั ตัง้ แตก่ ำรดงึ ใหแ้ รงงำนรับจ้ำงอสิ ระท่ถี กู ทำ ให้กลำยเป็นผู้รับจ้ำงทำของ ย้อนกลับเข้ำมำอยู่ในควำมสัมพันธ์แบบลูกจ้ำงนำยจ้ำงได้รับสิทธิแรงงำนตำม ระบบกฎหมำยแรงงำนท่ีมีอยู่เดิม ไปจนถึงกำรสนับสนุนรำยได้เพื่อยกระดับคุณภำพชีวิตให้ได้มำตรฐำน หรือ กำรสร้ำงหลกั ประกนั รำยได้ข้ันพ้นื ฐำนถว้ นหน้ำ ขอ้ เสนอเหลำ่ นั้นได้แก่ 1) กำรใช้ผู้จัดกำรนักกฎหมำยอำชพี มำเปน็ ตวั แทนในกำรต่อรองเรยี กร้องสิทธิ 2) กำรสรำ้ งกลุ่ม สมำคม สหพันธ์ ทม่ี ีตวั แทนเจรจำหรือนักกฎหมำยองคก์ รเจรจำให้ 3) รฐั กำหนดรูปแบบควำมสมั พนั ธด์ งึ แรงงำนรับจำ้ งอสิ ระกลบั เขำ้ สรู่ ะบบกฎหมำยแรงงำน 6-8

4) กำรหำเส้นกำหนดรำยได้พ้ืนฐำนที่เพียงพอต่อกำรดำรงชีพอย่ำงมีศักด์ิศรี (Minimum Basic Income – MBI) 5) กำรเสริมรำยได้ประชำชนให้ถงึ มำตรฐำนท่ีรฐั ให้หลกั ประกันไว้ (Guaranteed Basic Income – GBI) 6) กำรสร้ำงหลกั ประกนั รำยได้ให้แก่แรงงำนรบั จำ้ งอิสระอยำ่ งถว้ นหน้ำ (Universal Basic Income – UBI) โดยในทำงเลือกแต่ละรูปแบบมีหลักกำรและแนวทำงในเชิงนโยบำยและปฏิบตั ิ รวมถึงควำมเป็นไปได้ ในกำรดำเนนิ กำร ดงั ต่อไปน้ี 1) การใชผ้ จู้ ดั การหรือนกั กฎหมายอาชีพมาเป็นตัวแทนในการต่อรองเรยี กร้องสิทธิ จำกกำรศึกษำรูปแบบของแนวทำงแก้ไขปัญหำเรื่องสิทธิของคนทำงำนท่ีเคยใช้แก้ปัญหำควำมด้อย สิทธิได้ประสบควำมสำเร็จน้ันจะมีแนวทำงของอำชีพอิสระเดิมท่ีเคยทำไว้อย่ำงมีประสิทธิผล นั่นคือ ระบบกำร จัดจ้ำงผู้จัดกำรหรือนักกฎหมำยอำชีพขึ้นเป็นตัวแทนของเหล่ำศิลปินและนักกีฬำอำชีพท่ีสำมำรถเป็นตัวแทน จัดหำงำน แบ่งปันรำยได้และผลประโยชน์ต่ำงๆให้กบั คนทำงำนจนขยบั สถำนะทำงเศรษฐกจิ และสังคมไดส้ งู จน นำ่ สนใจเป็นอย่ำงมำก อยำ่ งไรกด็ ีพบวำ่ เหล่ำนกั กีฬำหรือศิลปินอำชพี ท่มี ีตัวแทนต้องเป็นแรงงำนข้นั สงู ฝีมือพเิ ศษแตกตำ่ งจำก แรงงำนท่วั ไป มอี ำนำจตอ่ รองกับนำยจ้ำงเองอยมู่ ำกแล้ว กำรจ้ำงผูจ้ ดั กำรหรือนกั กฎหมำยมำเป็นตัวแทนเป็น เพียงกำรลดภำระในกำรเจรจำต่อรองหรือกำรหำมืออำชีพมำดำเนนิ กระบวนกำรดำ้ นสญั ญำหรือระงบั ขอ้ พพิ ำท โดยตัวนักกีฬำศลิ ปนิ ไมต่ อ้ งเสียสมำธใิ นกำรทำงำน ข้อจำกัดอีกประกำร คือ ส่วนแบ่งรำยได้ที่เกิดจำกกำรใช้แนวทำงนี้มำจำกสัดส่วนของค่ำจ้ำงของ ตัวแทน ทนำยควำม ท่ีในต่ำงประเทศหรือประเทศไทยจะมีอัตรำท่ีค่อนข้ำงสูง เช่น ส่วนแบ่งผลประโยชนท่ี แรงงำนเหล่ำน้ีได้รับจะถูกแบ่งให้ตัวแทนไม่ต่ำกว่ำ 30% หำกแรงงำนมีรำยได้สูงมำกกำรเหลือผลประโยชน์ 70% ก็เป็นตัวเลขท่ีเหล่ำนักกีฬำศิลปินคนดังรับได้ แต่หำกเป็นแรงงำนรับจ้ำงอิสระก็ถือว่ำเป็นกำรสูญเสีย รำยไดส้ ุทธใิ นปรมิ ำณมหำศำล ควำมเป็นไปได้ที่ แรงงำนรับจ้ำงอิสระ จะเลือกแนวทำงนี้จึงอยู่ท่ีควำมสำมำรถในกำรจ่ำยเงินให้ ตัวแทน โดยอำจจะปรับเปล่ียนเป็นกำรจ้ำงเมื่อจะมีกำรทำสัญญำคร้ังใหญ่ หรือใช้เมื่อมีข้อพิพำทเกิดข้ึนแล้ว ดังน้ันจึงเป็นทำงเลือกท่ีเกิดข้ึนได้ยำกสำหรับแรงงำนรับจ้ำงอิสระท่ีมีรำยได้ต่ำและอัตรำรำยได้ต่อชิ้นงำนน้อย โดยเฉพำะในตลำดแรงงำนประเภททมี่ ีกำรแขง่ ขนั สงู มกี ำรตดั รำคำกันเองในหมู่แรงงำน นอกจำกน้ียังมีปัญหำแอบแฝงเรื่องข้อมูลในตลำดตัวแทนที่ไม่สมมำตร แรงงำนต้องเส่ียงในกำรเลือก ผู้จัดกำรหรือนักกฎหมำยที่ไม่มีควำมสำมำรถหรือหลอกลวง ไปจนถึงข้ันผิดจริยธรรมในแง่ของกำรหักหลัง 6-9

แรงงำนไปสร้ำงประโยชน์ให้ฝ่ังผู้ว่ำจ้ำงได้เช่นกัน หำกไม่มีระบบคัดกรองหรือประเมินตัวแทนที่แรงงำนเข้ำถึง ข้อมูลได้อยำ่ งโปรง่ ใสและสะดวก ทำงเลือกน้สี ำมำรถนำไปปฏิบตั ิได้ทนั ทไี ม่ต้องมกี ำรเรยี กร้องจำกภำครัฐ ไม่ต้องมีนโยบำยอะไรเพมิ่ เติม แตก่ เ็ ปน็ กำรผลกั ภำระในกำรดำเนินกำรยอ้ นกลับไปท่ีตัวแรงงำนท้ังหมด ซ่ึงกเ็ ปน็ ปัญหำในเร่ืองควำมเหล่ือมล้ำ เพมิ่ เตมิ คือ แรงงำนรบั จำ้ งอสิ ระทม่ี รี ำยไดน้ อ้ ยกจ็ ะเลือกแนวทำงนใี้ นกำรแกป้ ัญหำใหต้ ัวเองไมไ่ ด้ 2) การสร้างกลุ่ม สมาคม สหพนั ธ์ ท่มี ตี ัวแทนเจรจาหรือนกั กฎหมายองคก์ รเจรจาให้ เม่ือกำรจ้ำงตัวแทนรำยบุคคลเป็นสิ่งท่ีมีต้นทุนในกำรดำเนินกำรสูง กำรสร้ำงเครือข่ำยแรงงำนรับจ้ำง อิสระที่มีสภำพปัญหำร่วมโดยตั้งอยู่บนควำมเช่ือใจ ไว้วำงใจในหมู่แรงงำนก็อำจเป็นแนวทำงในกำรแบ่งปัน ทรพั ยำกรรว่ มกันเพอ่ื ร่วมแกป้ ัญหำท่กี ลมุ่ แรงงำนรบั จ้ำงอสิ ระเผชิญอยูใ่ นท้งั วงกำร แนวทำงนี้ต้องเร่ิมจำกกำรมีเครือข่ำยท่ีสำมำรถรวมกันเป็นองค์กร โดยอำจมีกำรลงทุนร่วมกันในกำร สร้ำงระบบประสำนงำนภำยในเครือขำ่ ย หรอื ประสำนงำนระหวำ่ งเครือขำ่ ยกบั ภำครัฐหรือองคก์ รพฒั นำเอกชน ด้ำนสิทธิแรงงำน หรืออำจมีกำรจัดตั้งสมำคม สมำพันธ์ สหพันธ์ ขึ้นมำเป็นองค์กรตัวแทนของเครือข่ำย แล้ว สมำชิกมีกำรจำ่ ยค่ำบำรุงอุดหนุนองคก์ ร สร้ำงกองทุนขน้ึ มำเพอ่ื บริหำรจัดกำรปญั หำขององค์กร โดยแนวทำงน้ีสำมำรถให้องค์กรคัดเลือกตัวแทนที่เป็นผู้จัดกำร ทนำย มืออำชีพที่มีประสบกำรณ์และ ผลงำนเป็นท่ียอมรับขององค์กร แรงงำนได้ใช้ประโยชน์จำกตัวแทนท่ีผ่ำนกำรตรวจสอบควบคุมและมีควำม เชี่ยวชำญในประเดน็ สทิ ธิแรงงำนรับจ้ำงอิสระอย่ำงแท้จริง อย่ำงไรก็ดีธรรมชำติของ แรงงำนรับจ้ำงอิสระในประเทศชำยขอบระบบทุนนิยมโลกตำมที่ได้ศึกษำไว้ ในเน้ือหำบทที่ 2 และ 3 สะท้อนวำ่ มีสภำพปัญหำในหมู่แรงงำนรับจ้ำงอสิ ระเองอยู่แล้วในเร่ืองกำรรวมกลุ่มกัน ขึ้นเป็นองค์กร หรือกำรสร้ำงเครือข่ำยร่วมกัน เน่ืองจำกลักษณะของกำรแสวงหำงำน หรือธรรมชำติของเนื้อ งำน ทำให้แรงงำนรับจ้ำงอิสระแต่ละคนแย่งงำน ตดั รำคำกันเองจนมีควำมหวำดระแวงคลำงแคลงใจกันสูงมำก รวมไปถึงไม่อยำกมีพ้นื ท่ีร่วมกันในกำรทำงำนเพรำะเกรงว่ำจะมีกำรลอกงำน ทำให้วฒั นธรรมกำรรวมกลุ่มต่อสู้ เพ่อื สทิ ธิรว่ มกนั ต่ำ ยิ่งไปกว่ำน้ันกำรเกิดคำถำมว่ำองค์กรจะเร่ิมจัดตั้งโดยใครก็เป็นปญั หำเนื่องจำกแรงงำนรับจ้ำงอิสระมี ชวั่ โมงกำรทำงำนท่ียำวนำน และมีชว่ งงำนยุ่งหรือว่ำงงำนท่ีขัดขวำงกำรทำกิจกรรมรวมกลุ่มโดยสภำพเป็นจริง อยู่แล้ว กำรมีข้อสงสัยว่ำใครจะหล่อเล้ียงตัวแทน ทนำย และองค์กร ด้วยวิธีกำรเช่นไรก็ล้วนแต่ต้องอำศัย ประสบกำรณแ์ ละควำมชำนำญในกำรจดั ต้ังองค์กรแรงงำนท้งั ส้ิน ในท้ำยท่ีสุดก็ต้องเผชิญกับกลยุทธ์ของนำยทุนและบรรษัทผู้ว่ำจ้ำงท่ีมุ่งทำลำยกำรสร้ำงองค์กรแรงงำน ปญั หำกำรแทรกซึมและย่อยสลำยองค์กรดว้ ยกำรส่งคนเข้ำมำแฝงตัวหำข้อมูล ไปจนถึงขัดขวำงกำรทำงำนของ องคก์ รกต็ ้องอำศัยกำรทำงำนจดั ต้งั อยำ่ งเขม้ แขง็ และรเู้ ทำ่ ทนั สถำนกำรณส์ งู 6 - 10

ควำมเป็นไปได้จึงอยู่ท่ีควำมสำมำรถในกำรสร้ำงขบวนกำรขับเคลื่อนแรงงำนรับจ้ำงอสิ ระ อำจจะเป็น กำรสนับสนุนของภำครัฐในเบื้องตน้ ตั้งทุนประเดิม หรือแรงงำนรับจ้ำงอสิ ระจะมีกจิ กรรมร่วมกนั เพ่อื สรำ้ งพน้ื ท่ี ร่วมในกำรแลกเปลี่ยนข้อมูลแล้วยกระดับข้ึนเป็นเครือข่ำยประสำนงำนหรือองค์กรถำวรในลักษณะสมำคมของ แต่ละงำน แล้วขยำยเป็นสมำพันธ์ร่วมจัดต้ังโดยแรงงำนรับจ้ำงอิสระหลำยๆกลุ่มก็เป็นไปได้ เพ่ือสร้ำงองค์กร ขน้ึ มำเปน็ ตัวแทนในกำรแก้ปญั หำควำมเหลือ่ มล้ำทแี่ รงงำนรบั จ้ำงอสิ ระตอ้ งเผชญิ 3) รัฐกา้ หนดรูปแบบความสมั พันธ์ดงึ แรงงานรบั จา้ งอิสระกลับเขา้ สรู่ ะบบกฎหมายแรงงาน แนวทำงนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักกฎหมำยและกำรแก้ไขปัญหำจำกภำครัฐหรือเทคโนแครต กล่ำวคือ มี ลักษณะกำรว่ิงไล่อุดช่องว่ำงกฎหมำยลดปัญหำท่ีเกิดข้ึนจำกกำรหลบเลี่ยงบทบัญญัติกฎหมำยของผู้ว่ำจ้ำง กล ยุทธข์ องกลุ่มทุนบรรษัทข้ำมชำติท่ีมีนักกฎหมำยจ้ำงประจำในองค์กรหรือที่ปรึกษำทำงกฎหมำยภำยนอกรำคำ แพงเพ่ือคิดค้นแนวทำงใหม่ๆในกำรลดต้นทนุ ขจัดควำมเสี่ยงด้วยวธิ ีกำรหลกี เลีย่ งกฎหมำยแรงงำนที่รัฐออกมำ ไล่ตำมพฤติกรรมในกำรบริหำรจดั กำรทเ่ี ปลี่ยนไปเรอื่ ยๆ ในปัจจบุ ันสภำพปัญหำในตลำดแรงงำนงำน คือ กำรบรหิ ำรจัดกำรแบบลีนหรือกำรเปลย่ี นกำรจ้ำงงำน ประจำจำนวนมำกให้กลำยเปน็ กำรจ้ำงเหมำช่วง ต้ังบริษัทนำยหน้ำย่อยบังหน้ำ สับงำนเป็นส่วนๆ กระจำยไป ยิ่งแรงงำนท่ีเชื่อมโยงผ่ำนระบบดิจิทัลย่ิงทำได้งำ่ ยเพรำะไม่ต้องใช้พนื้ ท่ีสถำนประกอบกำรร่วมอยู่แล้ว แรงงำน แยกกันไปทำงำนที่บ้ำนหรือสถำนที่อื่นตำมควำมถนัด และบรรษัทอำจต้ังบริษัทนำยหน้ำขึ้นมำเพ่ือติดต่อ ประสำนงำนหรอื จำ้ งงำนแทนบรรษทั ใหญ่ ตัวอยำ่ งกำรแก้ปญั หำในแนวทำงน้ี คอื สร้ำงกฎหมำยและกลไกใหมๆ่ ขนึ้ มำรองรับปญั หำ เช่น ตัวอยำ่ ง ของมลรัฐแคลิฟอรเ์ นยี ท่ี รัฐบำลท้องถนิ่ และสภำออกกฎหมำยที่สรำ้ งกำหนดใหมว่ ่ำ บรษิ ัทแม่จะไมม่ ีหน้ำทตี่ ำม ควำมสมั พนั ธ์ฉันท์ นำยจำ้ ง-ลกู จำ้ ง กับแรงงำน เมือ่ A – แรงงำนไม่อยู่ภำยใตก้ ำรบังคับบญั ชำส่ังกำรงำนโดยบรรษัทแม่ท่ีทำงำนให้ B – งำนทที่ ำไม่อยใู่ นขอบเขตภำรกจิ หลักของบริษัทแม่ C – แรงงำนน้ันได้ทำงำนให้กับบริษัทนำยหน้ำ/ย่อย อยู่เป็นประจำ แยกขำดจำกบริษัทแม่ โดยที่ บริษัทย่อยน้ันมีกำรดำเนินกิจกำรอยู่ในภำคธุรกิจนั้นอย่ำงอิสระชัดเจนไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทแม่ที่ แรงงำนไปปฏิบัตงิ ำน และบริษัทยอ่ ยน้ันไดต้ ดิ ต่อสมั พันธ์กับองคก์ รธุรกิจอื่นอย่ำงเปน็ เอกเทศ อย่ำงไรก็ตำมแนวทำงนี้ยังคงมีปัญหำเบ้ืองต้นในกำรบังคับใช้แก้ปัญหำโลกำภิวัฒน์ไม่ต่ำงกับปัญหำในประเด็น สิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนของบรรษัท นั่นคือ เรื่องเขตอำนำจศำลในกำรบังคับกฎหมำย กับ บรรษัทข้ำม ชำติ ยง่ิ แรงงำนรับจ้ำงอิสระทำงำนโดยเชือ่ มต่อกบั ผู้วำ่ จ้ำงผ่ำนอินเตอร์เน็ต ก็เป็นกำรง่ำยสำหรับผ้จู ้ำงงำนท่ีจะ ย้ำยตลำดแรงงำนออกจำกประเทศท่ีมีมำตรฐำนคุ้มครองแรงงำนสูง ไปสู่ประเทศท่ีมีมำตรฐำนแรงงำนต่ำและ แรงงำนไมร่ วมกลุ่มกนั ดงั ปรำกฏสถำนกำรณ์เหล่ำนป้ี ระเทศกำลังพฒั นำทเ่ี ป็นกลุม่ ประเทศทุนนยิ มชำยขอบ 6 - 11

กำรเลือกแนวทำงน้ีเพ่ือแก้ไขปัญหำแรงงำนจึงเหมำะกับประเทศหรือตลำดท่ีมีแรงงำนศักยภำพสูง ผู้ว่ำจ้ำงไม่อำจย้ำยงำนไปให้แรงงำนไร้ฝีมือในประเทศอ่ืนได้ง่ำย หำไม่แล้วก็เป็นเพียงกำรสร้ำงพื้นท่ีบังคับใช้ สิทธิอย่ำงเข้มงวดในพื้นที่หน่ึง แล้วบรรษัทก็จะเคล่ือนย้ำยปัญหำและวิกฤตของทุนนิยมไปยังภูมิภำคอื่น เฉก เช่นปญั หำอน่ื ในยุคโลกำภวิ ัฒน์ 4) การหาเส้นก้าหนดรายได้พืนฐานท่ีเพียงพอต่อการด้ารงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี (Minimum Basic Income – MBI) จำกทำงเลือกที่เสนอไป 3 แนวทำงข้ำงต้นจะเห็นถึงข้อจำกัดสำคัญที่เกิดขึ้นเก่ียวกับกฎหมำยแรงงำน และสวัสดิกำรจำกกำรทำงำน น่ันคือ มีควำมพยำยำมของบรรษัทและกลุ่มทุนในกำรหลบเลี่ยงบทบัญญัติของ กฎหมำยท่ีทำให้ตนต้องจ่ำยอันเป็นกำรเพ่ิมต้นทุนทำให้เกิดกำรย้ำยหนีหรือใช้ประโยชน์จำกเทคโนโลยีสื่อสำร เคล่ือนย้ำยงำนออกจำกดินแดนที่มีกฎหมำยเข้มข้น ส่วนภำครัฐก็จะทำหน้ำท่ีเพียงกำกับควบคุมแต่ยังมิได้ พิจำรณำเร่ืองกำรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของพลเมืองอย่ำงรอบด้ำนและให้ถ้วนหน้ำโดยไม่มีอุปสรรคทำง กฎหมำยในกำรเขำ้ ถึงสิทธิ ดงั นั้นจึงอำจเสนอทำงเลือกให้รฐั คำนึงถึงควำมเปน็ จรงิ ในชีวิตของมนุษย์ในกำรดำรงชีพอย่ำงมีศักด์ิศรี ควำมเป็นมนุษย์ อันเป็นกำรขยำยควำมคุ้มครองให้ครอบคลุมสิทธิด้ำนตำ่ งๆของปจั เจกชนให้มีคุณภำพชีวติ ท่ีดี โดยไม่ยึดติดอยู่ที่กำรทำงำนหรือมีงำนทำเพรำะถือว่ำบุคคลทุกคนเป็นมนุษย์หรือพลเมือง ว่ำ เส้นมำตรฐำน ต่ำสุดในกำรดำรงชีพอย่ำงมีศักดิ์ศรี อยู่ที่จุดใด เพ่ือพัฒนำมำตรกำรและสวัสดิกำรทั้งหลำยให้ถึงขั้นต่ำที่เป็น เส้นมำตรฐำนในกำรดำรงชีวติ ควำมยำกของแนวทำงนี้อยู่ท่ีแรงงำนรับจ้ำงอิสระ องค์กรธุรกิจ และรัฐ ต้องเข้ำสู่กระบวนกำรเจรจำ และประนีประนอมจนอยู่ในจุดทย่ี อมรับวำ่ “คุณภำพชีวติ ที่ดีของประชำชน” ถือเป็นสวัสดิกำรของคนในสังคม ที่พงึ ไดร้ บั ไมว่ ่ำจะได้โดยกำรทำงำน หรือสวสั ดกิ ำรสงั คมแก่ประชำชนทวั่ ไป เพรำะคุณภำพชวี ิตท่ีดนี ำไปสู่ควำม พร้อมในกำรผลิตสินค้ำและบริกำรที่ดีในอำณำเขตรัฐน้ัน ไปจนถึงลดปัญหำสังคมและอำชญำกรรมอื่นๆท่ีเกิด จำกควำมยำกลำบำกทำงเศรษฐกจิ ของประชำชน กำรแสวงหำเส้นมำตรฐำนต่ำสุดในกำรดำรงชีพได้อย่ำงมีศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ (Minimum Basic Income – MBI) สำมำรถกระทำได้โดยอ้ำงองิ กบั บทบญั ญัติทำงกฎหมำยท่ผี ูกพนั รฐั ไทยอยูท่ ้ังปฏิญญำสำกลวำ่ ดว้ ยสิทธิมนษุ ยชนและกตกิ ำสทิ ธทิ ำงเศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม นนั่ ก็คือ กำรแปลงสทิ ธมิ นษุ ยชนท้ังหลำย ในกฎหมำย ให้กลำยเป็น ดัชนีช้ีวัดในเชิงนโยบำยและกำรจัดสรรทรัพยำกรงบประมำณในกำรจัดทำบริกำร สำธำรณะและสวัสดิกำร โดยทำรำยละเอียดสิทธิต่ำงๆท่ีกฎหมำยรับรองแล้วคำนวณแปลงเป็นตัวเลขทำง เศรษฐกิจท่ีประชำชนจะเข้ำถึงสิทธนิ ั้นได้ เช่น สิทธดิ ้ำนอำหำรกี่บำท สิทธใิ นกำรเข้ำถึงกำรศึกษำกี่บำท โดยใน บำงสิทธทิ ี่รัฐมีมำตรกำรรับรองสิทธิเชน่ ว่ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณเป็นตัวเลขก็ไดถ้ ้ำหำกประชำชนสำมำรถ เขำ้ ถงึ เปน็ กำรท่ัวไปอยู่แล้ว เช่น สทิ ธิในบรกิ ำรสำธำรณสขุ ถ้วนหน้ำ เปน็ ตน้ 6 - 12

แต่ปัญหำใหญ่ท่ีขัดขวำงโครงกำรในลักษณะนี้ คือ กลุ่มกำรเมืองท่ียึดครองอำนำจในกำรกำหนด นโยบำยหรือทำกำรศึกษำหำเส้นมำตรฐำน มักเลือกเฉพำะบำงสิทธิบำงเรื่องข้ึนเป็นนโยบำยหำเสียงกับบำง กลุ่มเป้ำหมำยเท่ำน้ัน เพื่อหวังควำมนิยมหรือคะแนนเสียงตอบแทนจำกกลุ่มเป้ำหมำยท่ีเลือกจัดนโยบำยและ งบประมำณให้ สภำวะแบ่งประชำชนออกเป็นกลุ่มผลประโยชน์ย่อยๆ มีลักษณะเบี้ยหัวแตก จะสลำยเป็น วธิ ีกำรแบ่งแยกพลเมือง/มวลชน ให้กลำยเปน็ กลมุ่ ผลประโยชน์ทีย่ ดึ โยงกับกลมุ่ กำรเมือง ควำมขัดแย้งระหว่ำงประชำชนนี้ยังเป็นเหตุบ่มเพำะให้เกิดควำมรู้สึกอยุติธรรม ไร้ควำมเป็นธรรมทำง สังคมจนแรงงำนรับจ้ำงอิสระที่ไม่อยู่ในเป้ำหมำยโครงกำร หรืออยู่ในเป้ำหมำยโครงกำรบำงเร่ือง มีควำมเห็น และเป้ำหมำยไม่ลงรอยกัน บ่อนทำลำยควำมสำมำรถในกำรรวมกลุ่มภำยในภำคกำรผลิตเดียวกัน หรือพิพำท ข้ำมภำคกำรผลิต อันเนื่องมำจำกควำมเหล่ือมล้ำทำงนโยบำยที่ไม่ตอบสนองตอ่ ควำมจำเป็นพน้ื ฐำนของมนุษย์ ทกุ คนแม้จะไม่ได้เปน็ กลมุ่ คะแนนเสยี งทำงกำรเมอื งของผมู้ ีอำนำจจดั สรรทรัพยำกร 5) การเสริมรายได้ประชาชนให้ถึงมาตรฐานท่ีรัฐให้หลักประกันไว้ (Guaranteed Basic Income – GBI) หำกกำรดำเนินกำรในหัวข้อก่อนหน้ำน้ีสำเร็จจนมีตัวเลขที่เป็น “เส้นมำตรฐำนตำ่ สดุ ในกำรดำรงชีพได้ อย่ำงมีศักดศ์ิ รีควำมเป็นมนุษย์” แล้วก็มีทำงเลือกทภี่ ำครัฐจะดำเนินกำรเพื่อให้ประชำชนมรี ำยไดไ้ ม่ตำ่ กว่ำเส้น มำตรฐำนนัน้ 2 วิธี คอื 1) กำรเสริมรำยได้ประชำชนให้ถึงมำตรฐำนท่ีรฐั ให้หลกั ประกันไว้ (Guaranteed Basic Income – GBI) และ 2) กำรสร้ำงหลักประกันรำยได้แก่แรงงำนรับจ้ำงอสิ ระอย่ำงถ้วนหน้ำ (Universal Basic Income – UBI) ในแนวทำงแรกกำรเสริมรำยได้ประชำชนให้ถึงมำตรฐำนท่ีรัฐให้หลักประกันไว้ (GBI) จะเป็นกำร กำหนดว่ำพลเมืองของรัฐที่มีรำยไดไ้ ม่ถึงเส้นมำตรฐำนจะได้รับกำรอุดหนุนรำยไดเ้ พิ่มเติมจำกรำยได้ท่ีตนหำมำ จนกว่ำจะถึงเส้นมำตรฐำนท่ีกำหนดไว้เป็นประกัน โดยรัฐอำจจำกำหนดเงื่อนไขเพ่ิมเติมได้อย่ำงหลำกหลำย เช่น จะให้ใคร ด้วยเง่ือนไขอะไร วิธีกำรให้เป็นเช่นไร หรือต้องมำลงทะเบียนพิสูจน์สิทธิ พิสูจน์รำยได้อย่ำงไร ก่อนที่จะไดร้ บั เงินในแตล่ ะช่วงเวลำ ปัญหำท่ีเก่ียวข้องกับบริบทรัฐหรือตลำดไทยท่ีจะตำมมำอย่ำงแน่นอน คือ คนไทยหรือแรงงำนในประ ประเทศกำลังพัฒนำ มักมีรำยได้จำกหลำยช่องทำง โดยเฉพำะรำยได้นอกระบบควบคุมกำกับของภำครัฐท่ี สำมำรถวิเครำะห์ตัวเลขไดอ้ ย่ำงชัดเจน จึงเปน็ ปญั หำว่ำจะเอำรำยได้ชุดไหนมำคำนวณเทียบกับเส้นมำตรฐำน และรฐั มีควำมสำมำรถในกำรตรวจพิสจู นร์ ำยได้ของประชำชนที่มอี ย่หู ลำกหลำยได้หรือไม่ แตส่ ิ่งท่ีน่ำกังวลซงึ่ เคยเกิดขนึ้ แลว้ คือ ระบบกำรบังคับให้ลงทะเบยี นและแจกแจงข้อมลู พื้นฐำนในชวี ิต ของแรงงำนรับจ้ำงอสิ ระ ทำให้ประชำชนตอ้ งสละสิทธิในควำมเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนบุคคล ท่ำมกลำงระบอบ กำรปกครองท่ีอำจมีข้อกังวลเก่ียวกับกำรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนข้ันพื้นฐำนในยุคดิจิทัลที่เพิ่มศักยภำพในกำร สอดส่องของภำครัฐ เช่น กำรบังคับให้เปิดบัญชีและใช้แอพลิเคชั่นท่ีรัฐกำหนดและไม่อนุญำตให้มีกำรใช้ 6 - 13

ช่องทำงกำรเงินนอกจำกที่ได้สำแดงไว้กับรัฐเท่ำน้ัน กลำยเป็นกลยุยทธ์ในกำร ยื่นหมู ย่ืนแมว โดยท่ีไม่รู้ว่ำ สดุ ทำ้ ย ข้อมูลขั้นพื้นฐำนจะเอำไปทำอะไร! ยิ่งไปกว่ำน้ันหำกวำงระบบลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิแล้วย่อมต้องตำมมำด้วยกระบวนกำรคัดกรอง แบบ รัฐรำชกำรเอกสำร ซ่ึงประชำชนจำนวนมำกท่ีปัญหำเร่ืองเอกสิทธิและสถำนะบุคคลก็จะมีปัญหำเพ่มิ เติมในกำร เขำ้ ถึงสิทธดิ ังกลำ่ ว กลำยเป็นควำมเหลอื่ มล้ำซ้ำเติมต่อผู้มีปัญหำด้ำนสถำนภำพทำงกฎหมำย นอกจำกน้ีกำรจัดสรรงบประมำณท่ีใช้ในแต่ละปีแต่ละช่วงเวลำมีควำมผันผวนตำมสภำวะเศรษฐกิจ กล่ำวคือ ในช่วงเศรษฐกิจขำลงแรงงำนรับจ้ำงอิสระก็จะมีงำนน้อยรำยได้ทำให้รัฐต้องจัดสรรงบประมำณ อุดหนุนเพมิ่ เยอะ แต่รฐั กอ้ ยใู่ นภำวะยำกลำบำกในกำรแสวงหำรำยได้จำกภำษที มี่ ตี วั เลขทำงเศรษฐกิจถดถอย 6) การสร้างหลักประกันรายได้แก่แรงงานรับจ้างอิสระอย่างถ้วนหน้า (Universal Basic Income – UBI) ในกำรวิจัยเอกสำรและกำรประชุมกลุ่มย่อยภำยใต้งำนวิจัยได้พบข้อสังเกตสำคัญที่สอดคล้องกัน ประกำรหน่ึง คือ แรงงำนรับจ้ำงอิสระไม่ต้องกำรให้รัฐและบุคคลอื่นมำยุ่งกับชีวิตส่วนตัว ย่ิงต้องไปเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลพิสูจน์ควำมยำกจนต่อรัฐให้รู้สึกด้อยศักดิ์ศรีก็ย่ิงอยำกหลีกเลี่ยง จึงมีควำมเห็นไปในทิศทำง ตอบรับกับข้อเสนอแบบ กำรสร้ำงหลักประกันรำยได้แก่แรงงำนรับจ้ำงอิสระอย่ำงถ้วนหน้ำ (Universal Basic Income – UBI) ที่จ่ำยเงินจำนวนหน่ึงเป็นกำรประกันรำยได้พ้ืนฐำนต่ำสุดไปเลยโดยไม่ต้องมำสำแดงรำยได้ ทุกๆเดือน เงินจำนวนนี้จะช่วยในข่วงท่ีขำดแคลนได้ดีมำกเม่ือเทียบกับระบบกฎหมำยสวสั ดิกำรแรงงำนที่มีอยู่ เพรำะกำรเข้ำประกันตนตำมมำตรำ 40 ของพระรำชบญั ญัติประกันสงั คมฯ ผู้ประกันตนจะไม่ได้รบั เงินทดแทน ในกรณี \"ว่ำงงำน\" (แรงงำนรับจ้ำงอิสระที่ไม่มีนำยจ้ำง/สถำนประกอบกำร) ซึ่งแรงงำนรับจ้ำงอิสระต่ำงเห็น ตรงกันว่ำ หำกเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดเป็นแรงจูงใจให้เข้ำสู่ระบบประกันสังคมตำมมำตรำ 40 เพรำะสิ่งที่ แรงงำนรับจ้ำงอิสระต้องกำรมำกที่สุด ก็คือ เงินทดแทนช่วงว่ำงงำน หรือก็คือ ช่วงขำดแคลนเงิน จำกกำร ว่ำงงำนนั่นเองเพรำะจะเกิดช่วงนี้แรงงำนจะสภำวะยำกจนไม่สำมำรถจับจ่ำยใช้สอยสิ่งอุปโภคบริโภคขั้น พ้ืนฐำนได้เลย (Absolute Poverty) หำกมีหลักประกันในลักษณะรำยได้ขั้นพื้นฐำนเป็นเบำะรองรับอยู่ก็จะ ช่วยแบ่งเบำควำมเดือดร้อนไดม้ ำก หลักกำรพัฒนำที่ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงได้คลี่คลำยออกมำเป็นข้อเสนอเชิงหลักประกันสิทธิของ คนทำงำนรับจ้ำงอิสระ ในรูปแบบกำรสร้ำงหลักประกันรำยได้ข้ันพ้ืนฐำน (Universal Basic Income – UBI) อันมหี ลักกำรพื้นฐำนดังตอ่ ไปน้ี 1017 1) หลกั ประกันรำยไดข้ ้นั พ้นื ฐำนเปน็ กำรจำ่ ยเงินให้กบั ผู้บรรลุนติ ิภำวะทุกคน (Universal) 2) หลกั ประกันรำยได้ข้ันพน้ื ฐำนเปน็ กำรให้เพื่อสนองควำมจำเป็นพน้ื ฐำนในชวี ติ (Adequate) 1017 Arthur, D., (2016). Basic Income: A Radical Idea Enters the Mainstream. Australia: Parliament of Australia. 6 - 14

3) เกณฑก์ ำรใหม้ ไิ ดม้ ีกำรต้ังเงอ่ื นไขและกำรพิสจู นใ์ ดๆเก่ียวกับกำรทำงำน (Unconditional) หลักกำรและแนวปฏิบัติของเร่ือง กำรสร้ำงหลักประกันรำยได้แก่แรงงำนรับจ้ำงอิสระอย่ำงถ้วนหน้ำ (Universal Basic Income – UBI) ประกอบไปดว้ ย1018 1) มีกำรประกันรำยได้ตำมเส้นมำตรฐำนต่ำสุดในกำรดำรงชีพได้อย่ำงมีศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ (Guaranteed Floor) 2) มีกำรแจกจ่ำยรำยได้ให้เป็นประจำตำมระยะเวลำท่ีชัดเจนแน่นอน เช่น รำยปี รำยไตรมำส รำยเดือน รำยสปั ดำห์ (Regular Payments) 3) เป็นกำรจ่ำยเงินสดไม่ว่ำจะให้เป็นเงินหรือโอนเป็นเงินดิจิทัลที่มีสภำพคล่องสำมำรถใช้จ่ำยได้ทันทีไม่ ตอ้ งไปผ่ำนกระบวนกำรเพ่ิมเตมิ อน่ื ๆ (Cash) 4) ส่งมอบเงินให้กับปัจเจกชน มิใช่กำรให้กับกลุ่มองค์กร สถำบัน ชุมชนใดๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อกำรเก็บ ค่ำธรรมเนยี มหรอื ทจุ รติ (Individual) 5) กำรให้โดยไม่มีเงื่อนไขแลกเปล่ียนในลักษณะเส่ือมสิทธิหรือเพ่ิมภำระหน้ำที่แก่ประชำชนเพิ่มเติม (Unconditional) 6) บคุ คลเข้ำถึงสิทธิในกำรไดร้ ับรำยไดพ้ ื้นฐำนน้ีเป็นกำรท่ัวไป มิต้องมีสถำนภำพทำงเศรษฐกิจและสังคม เป็นพเิ ศษแตกตำ่ ง และมีข้อเสนอในบำงประเทศวำ่ ท่ำมกลำงเศรษฐกิจแบบโลกำภิวัฒน์ แรงงำนต่ำง ด้ำวและครอบครัวของเขำก็อำจเข้ำถึงสิทธินี้ได้โดยไม่ถูกเลือกประติบัติ แต่บำงประเทศก็เสนอว่ำจัด ให้กับคนชำติทุกคน (Universal) แม้ข้อเสนอเก่ยี วกบั กำรประกันรำยไดข้ ้นั พื้นฐำนน้ีจะมิใช่ขอ้ เสนอใหม่ทำงเศรษฐกจิ กำรเมือง แต่ได้รับ กำรบรรจุเป็นวำระสำคญั ของหลำยรัฐมำกขึ้นตำมควำมเปลี่ยนแปลงของภำวะควำมเปล่ียนแปลงทำงเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีโลกท้ังกำรจ้ำงงำนที่ไม่มั่นคงและควำมเสี่ยงไร้งำนถำวรจำกเทคโน โลยีซ่ึงจะส่งผลกระทบทำง สังคมอย่ำงรุนแรง โดยรูปแบบและวิธีกำรให้หลักประกันรำยได้ขั้นพื้นฐำนมีหลำยตัวแบบขึ้นอยู่กับทำงเลือก ของรัฐบำล ภมู ภิ ำค หรอื ประชำคมทำงเศรษฐกจิ ทอ่ี ำจมีนโยบำยรว่ มกันในประเดน็ ขำ้ งต้น นโยบำยแบบ UBI น้ีต่อยอดจำก MBI และลบจุดอ่อนของ GBI โดยจะจ่ำยเงินในจำนวนท่ีแรงงำน รับจ้ำงอสิ ระสำมำรถดำรงชพี อยู่ได้อยำ่ งมศี ักดิ์ศรี โดยรัฐจะจัดสรรงบประมำณตำมจำนวนประชำกรที่เข้ำเกณฑ์ โดยสำมำรถจัดเตรียมงบประมำณเป็นปริมำณเงนิ ไดช้ ดั เจนทงั้ จำนวนเงนิ ท่ีให้รำยบุคคล และงบประมำณรวมท่ี จ่ำยท้ังหมด ลดควำมกังวลของพลเมืองในเร่ืองกำรเสียข้อมูลส่วนบุคคลและควำมเป็นส่วนตัวไปกับระบบจด ทะเบยี นและมิตอ้ งผ่ำนกระบวนกำรคัดกรองใดๆทจี่ ะทำให้สญู เสียสทิ ธิไปด้วยวิธกี ำรเชงิ เทคนิค 1018 Alston, P., (2017). Universal Basic Income as a Social Rights-based Antidote to Growing Economic Insecurity. New York: Law School, New York University. p.5-8. 6 - 15

ย่ิงไปกว่ำน้ันรัฐที่เลือกใช้แนวทำงนี้อำจไม่ต้องจ่ำยใช้เงินงบประมำณมำกอย่ำงที่กังวลในกำรทำให้ ประชำชนดำรงชพี อย่ำงมคี ณุ ภำพครอบคลมุ สทิ ธขิ ั้นพื้นฐำนทุกสิทธิ เน่อื งจำกรัฐสำมำรถสร้ำงหลักประกันสทิ ธิ บำงอย่ำงไว้รองรับประชำชนเป็นกำรท่ัวไปโดยไม่ต้องจ่ำยเป็นเงินให้ประชำชนถือไว้ในมือ เช่น รักษำฟรี เรียน ฟรี เป็นต้น อันเป็นกำรลดภำระกำรจ่ำยเงินตรงแก่แรงงำนรับจ้ำงอิสระได้ โดยรัฐสำมำรถจัดสรรงบประมำณ และใช้จ่ำยอย่ำงมีประสิทธิภำพเพื่อพัฒนำสวัสดิกำรข้ันพื้นฐำนที่มีอยู่เดิม เช่น บริกำรสำธำรณะด้ำนคมนำคม และโทรคมนำคม เป็นต้น อย่ำงไรก็ดีข้อเสนอน้ียังต้องมีกำรศึกษำวิจัยเพ่ิมเติม เนื่องจำกมีข้อถกเถียงเรื่องคนได้เงินแล้วจะไม่ ทำงำน จะไม่ผลิตสินค้ำ ไม่บริกำรอะไร หรือไปถึงขั้นสงสัยว่ำประชำชนจะขี้เกียจใช้ชีวิตด้วยเงินท่ีรัฐจ่ำยให้แต่ ไม่เป็นประโยชน์ใดๆเลยแก่สังคม รวมถึงข้อโตแ้ ย้งว่ำอำชญำกรรมทำงเศรษฐกิจมิได้เกิดจำกเง่ือนไขบีบค้ันทำง เศรษฐกจิ กำรจำ่ ยเงนิ แบบ UBI มไิ ดม้ ผี ลลดควำมรุนแรงในสังคม อย่ำงไรก็ตำมประเด็นที่ขำดไปเสียมิได้ คือ สภำพกำรจ้ำงงำนและควำมปลอดภัยในกำรทำงำนท่ี พบว่ำคนทำงำนอยู่ในภำวะเสี่ยงภัยจำกกำรทำงำนต่อเนื่องยำวนำนและควำมเครียดกังวลสะสมอันส่งผล กระทบต่อสุขภำพกำยและสุขภำพจิต ก็ต้องได้รับกำรพิจำรณำในรำยละเอียดและสร้ำงข้อเสนอแนะเพ่ือ ปรับปรุงกฎหมำยเกย่ี วกบั สภำพกำรทำงำนให้ดยี ่งิ ข้นึ กำรนำหลักประกันรำยไดข้ ้ันพ้ืนฐำนมำปรับใชเ้ พือ่ รองรับปัญหำคนทำงำนรับจ้ำงอสิ ระในประเทศไทย จึงเป็นอีกหน่ึงทำงเลือกท่ีจำเป็นต้องถกเถียงท้ังในเชิงหลักกำรและนโยบำย เน่ืองจำกรูปแบบกำรจ้ำงงำนไม่ มนั่ คงที่ได้กลำ่ วไวจ้ ะกลำยเปน็ รปู แบบกำรทำงำนหลกั ท่คี รอบคลมุ ชวี ิตคนในสงั คมเป็นจำนวนมำก เช่นเดยี วกับ ควำมต้องกำรในแง่ของนโยบำยทำงกำรเมืองท่ีจะมีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกต้ังจำนวนมำกต้องกำรเห็นแนว ทำงแกไ้ ขปัญหำให้ตนและคนในครอบครวั ท่ชี วี ิตแขวนอยู่ในระบบดังกล่ำวอยำ่ งเป็นรปู ธรรม 6 - 16

บทที่ 7 บทสรุป และขอ้ เสนอแนะ บทสรปุ ความเหลือ่ มล้าทเี่ กดิ ขึนกับกลมุ่ แรงงานรับจ้างอิสระไดส้ ะท้อนใหเ้ ห็นความเสย่ี งต่อกลุ่มผดู้ ้อยสิทธิจาก ผลกระทบของความท้าทายในศตวรรษท่ี 21 แสดงให้เข้าใจวิถีการผลิตที่เปล่ียนไปความสัมพันธ์ในระบบการ จ้างงานท่ีปรับไปตามดจิ ิทลั แพลตฟอรม์ และบริบทของการขับเคล่ือนโดยลัทธิเสรนี ยิ มใหม่ ยงั ผลใหเ้ กิดการปรบั ความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไพศาล เช่น การจ้างงานที่ไม่มั่นคง การอยู่ในภาวะต่อรองได้น้อย การเข้าไม่ถึง สวัสดิการหลักประกันสุขภาพ ไม่อาจรวมตัวกันจัดตังสหภาพเพื่อต่อรองหรือนิติบุคคลที่เข้าแข่งขันกับบรรษัท ข้ามชาติ และถูกแย่งชิงสิทธิในทรัพย์สินดิจิทัลที่ตนมีส่วนผลิตอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ดีกฎหมายท่ีเป็น เคร่ืองมือส้าคัญในการประกันสิทธิของกลุ่มเสี่ยงในความท้าทายมิติต่างๆ อาทิ การมีงานและรายได้ที่มั่นคง สามารถสรา้ งครอบครวั มที ายาทได้ เขา้ ถงึ หลกั ประกนั สขุ ภาพกายและจิต มโี อกาสในการแขง่ ขันในตลาดดิจิทัล รวมถึงเป็นเจ้าของทรัพย์สินท่ีเกิดขึนโลกไซเบอร์ ยังไม่ได้รับการปฏิรูปให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง ย่อมท้าให้ แรงงานอิสระรวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดดิจิทัลตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเส่ียงท่ีจะด้อยสิทธิสืบเนื่อง จากกฎหมายยังมไิ ด้ให้หลักประกันทชี่ ดั เจนม่นั คง จากการวิเคราะห์กฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตของแรงงานรับจ้างอิสระ (Freelancer) รวมถึงความ พยายามแก้ไขปัญหาดังท่ีกล่าวมาแล้วใน 5 มิติทังท่ีประสบความส้าเร็จและล้มเหลวในกรณีศึกษาจากประเทศ ต่างๆ ไปจนถึงการทบทวนสถานภาพความรู้ของความก้าวหน้าที่เก่ียวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวทัง 5 มิติ คณะวิจัยสามารถสะท้อนให้เห็นปัญหาส้าคัญที่เกิดขึนจากการปรับตัวไม่ทันของระบอบกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง ออกเปน็ ดงั นี 1. ระบอบกฎหมายคุม้ ครองแรงงานและสวัสดกิ ารสังคม กฎหมายคุ้มครองแรงงานตังอยู่บนพืนฐานของความสมั พันธ์ในการจ้างงานแบบ นายจ้างกับลูกจ้าง ใน ยุคอุตสาหกรรมหนักท่ีจะต้องมีสถานประกอบการชัดเจนและมีความสัมพันธ์ในเชิงบังคับบัญชาในการท้างาน แต่ภาวการณ์บริหารจัดการธรุ กิจและออกแบบระบบกระจายความเสี่ยงลดตน้ ทุนของภาคการผลิตและบริการ ในศตวรรษที่ 21 ได้สลายลักษณะความสัมพันธ์ของการระบบความสัมพันธ์ทางแรงงานแบบสายพานการผลิต ในโรงงาน ไปสู่การกระจายงานออกเป็นชินๆส่วนๆแล้วติดตอ่ ส่งรับงานกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ต นายจ้างได้ โอกาสใชค้ วามก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่ือสารเปล่ียนความสัมพนั ธท์ างกฎหมายของนายจ้างกับลูกจ้างในสถาน ประกอบการ ไปเป็นการจ้างเหมาชินหรือจ้างยืดหยุ่นในลักษณะการจ้างท้าของ แปรสภาพนิติสัมพันธ์ตาม กฎหมายจ้างแรงงานเดิมไปสู่ การผูกพนั กันดว้ ยสญั ญาของผู้ว่าจ้างกับผรู้ บั จ้าง อันเปน็ ตดั ความสัมพันธ์เชงิ สทิ ธิ หน้าที่ระหว่าง “นายจ้าง” กับ “ลูกจ้าง” ซ่ึงได้ส่งผลสืบเนื่องกว้างขวางดังได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้า อันท้าให้ คนท้างานที่เป็นแรงงานรับจ้างอิสระอยู่ในภาวะเสี่ยงด้อยสิทธิสูง หน้าท่ีอันน้อยลงของนายจ้างเจ้าของทุน โดยเฉพาะบรรษทั ได้สร้างความมง่ั คง่ั ผ่านผลประกอบการดีขึนเพราะสามารถลดตน้ ทนุ และความเส่ียงออกไปให้ แรงงานรบั จ้างอสิ ระแบกรบั เอาเอง เป็นสาเหตุสา้ คัญที่ถ่างความเหลอ่ื มล้าในสังคมใหเ้ พ่ิมมากขึนไปอีก ดังนัน 7-1

การจัดการกับรูปแบบความสัมพันธใ์ นการท้างานเพ่อื ให้แรงงานรับจ้างอิสระได้รับการคุ้มครองสิทธิในประเด็น ตา่ งๆจึงเป็นเรื่องที่จ้าเป็นยง่ิ ในศตวรรษที่ 21 ระบอบกฎหมายที่เน้นไปที่การพิสูจน์สิทธิหรือให้สิทธิเฉพาะแรงงานที่เข้าสู่ระบบการท้างานตามท่ี กา้ หนด รวมถงึ การใหส้ วสั ดิการที่แตกตา่ งกันระหวา่ งแรงงานทท่ี ้างานในระบบสถานประกอบการมนี ายจา้ ง กบั แรงงานรับจ้างอิสระที่ไม่มีนายจ้างและสถานประกอบการตามระบบความสัมพันธ์แรงงานดังเดิม ก็สะท้อนให้ เห็นถึงปัญหาดังเดิมของระบอบกฎหมายที่สร้างบทบัญญัติและเง่ือนไขมากเกินไปจนท้าให้กลุ่มเส่ียงเข้าไม่ถึง สทิ ธติ ามกฎหมายเพราะต้องเผชิญกับข้อจ้ากดั ตามตัวบทกฎหมาย การตคี วามของเจ้าพนักงานของรัฐ ไปจนถึง การตคี วามจ้ากัดสทิ ธิโดยองค์กรที่ใชอ้ ้านาจรฐั ย่ิงไปกว่านันการเปลี่ยนคนท้างานเต็มเวลาให้ออกไปสู่ชีวิตท่ีต้องอยู่กับความเส่ียงว่าจะมีงานหรือไม่มี งานในบางช่วงเวลา หรือกลายเป็นคนไม่มีงานท้าถาวรอันเน่ืองมาจากการแทนท่ีด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ก็เป็น ระเบิดเวลาท่ีพร้อมจะท้าให้ความเหลื่อมล้าขยายเพ่ิมในอนาคตอันใกล้จนท้าให้ประชาชนบางส่วนอยู่ในภาวะ ความยากจนอย่างเรือรงั และคุณภาพชีวิตตกต่้าสมุ่ เส่ียงที่จะเกิดความขัดแย้งทางสังคมในอนาคตอันใกล้ หาก การจัดสวสั ดิการสังคมยังผูกติดอยู่กับการท้างาน ไม่ยอมรับว่ามนุษย์สามารถมีชีวิตท่ีมีคุณภาพมีศักด์ิศรีได้หาก ไม่ได้ท้างานที่ระบบตลาดต้องการ ก็ย่ิงไปซ้าเติมปัญหาให้รุนแรงขึนได้อีก ดังนันการตระเตรียมความพร้อม ของรัฐในการรองรับคนที่มิไดท้ ้างานซ่ึงระบบตลาดตอ้ งการ หรือคนท่ีมิได้ท้างานท่ีได้รับค่าตอบแทน จึงเปน็ ส่ิง ที่รัฐต้องคิดท่ามกลางความกดดันของภาวะสังคมสูงอายุท่ีก้าลังมาถึง รัฐไทยจะให้คุณค่ากับคนท่ีอยู่ดูแล ครอบครวั ตนเองอย่างไร รฐั ไทยจะดแู ลเดก็ ที่เกิดในครอบครัวท่ีไม่มีงานท้าเช่นไร ไปจนถึงคนทผ่ี ลติ ความรู้ งาน ศิลปะ หรือท้ากิจกรรมทางการเมืองและกิจกรรมเพื่อสังคม แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากระบบตลาด จะมีชีวิต รอดอย่ไู ด้อยา่ งไรในศตวรรษท่ี 21 ในสังคมอารยะอ่ืนเร่ิมมีการแสวงหาทางออกท่ีจะรองรับปัญหานีในระยะยาวบ้างแล้วในหลายลกั ษณะ โดยสิ่งที่พบจากการทบทวนวิจัย ก็คือ การสร้างหลักประกันรายได้ขันพืนฐานให้กับมนุษย์ในยุคดิจิทัลเพ่ือฝ่า ข้ามความเหลื่อมล้าทลี่ ทั ธเิ สรนี ยิ มใหม่ถา่ งให้กว้างขนึ 2. ระบอบกฎหมายทต่ี ั้งอยูบ่ นคณุ ค่าของ “การทางานท่ผี ลติ มูลค่าในตลาดทนุ นยิ ม” การให้คุณค่าแก่แรงงานเฉพาะคนท่ีท้างานบนพืนฐานของ “งาน” ท่ีต้องมีนายจ้างในระบบ ตลาดแรงงานถือว่าเป็นแก่นกลางปญั หาของระบอบกฎหมายเกี่ยวกบั สภาพการทา้ งานและหลกั ประกันสขุ ภาพ กล่าวคือ ผู้ที่จะได้รับการรักษาภายใต้ระบบสวัสดิการแรงงานจะต้องเป็นผู้ที่ท้างานกับนายจ้างซ่ึงเป็น ผู้ประกอบการตามระบบสัญญาจ้างแรงงานเสียก่อน เงอื่ นไขท่ีจะเข้าสู่การบ้าบดั ตงั อยู่บนความเจ็บป่วยทางจิต อย่างร้ายแรงเรือรังจนมิอาจท้างานได้เป็นปกติ จึงจะสามารถลาพักรับการรักษาได้ ส่วนแรงงานรับจ้างอิสระ ซ่ึงจะได้รับการรักษาตามกฎหมายสวัสดิการแรงงานก็ต้องมีความสามารถหาเงินมาจ่ายสมทบในระบบ ประกันสังคมไดเ้ สียก่อน จึงจะสามารถใช้สวสั ดิการได้ ดงั นันงานที่มนี ายจ้างผู้ประกอบการตอ้ งการจ่ายเงนิ ใน ระบบสัญญาจ้างแรงงาน หรืองานรับจ้างอสิ ระท่ีไดเ้ งนิ เท่านัน ที่ระบอบกฎหมายปจั จุบนั นับว่าเปน็ “งาน” ที่มี คณุ ค่าเพียงพอจะได้รับการดแู ลสุขภาพจติ ใจจากระบบประกันสุขภาพแรงงาน 7-2

ถ้าแรงงานรับจ้างอิสระไม่อยู่ในระบบสัญญาจ้างแรงงานกับผูป้ ระกอบการ หรือไม่มีเงินจากการรบั จา้ ง มากพอ ก็ต้องใช้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐที่มีปัญหาพืนฐานในเร่ืองความเพียงพอต่อความต้องการ ของผู้มีปัญหาทังยังมีคุณภาพในการดูแลปัญหาต่างกันไปตามปริมาณงานที่แต่ละพืนที่ซ่ึงประชาชนนันมี ภูมิล้าเนาเข้าใช้สิทธิ อันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเมื่อมีอาการหนักแล้วมากกว่าบริการด้านสุขภาพเชิง ป้องกัน ยิ่งไปกว่านันการหาวิธแี ก้ไขให้ผู้ป่วยให้หายเจ็บไข้เพ่ือผลักดนั กลับเข้าไปสู่ตลาดแรงงานอีกครังยังเป็น การยืนยันว่า “คุณค่าของคน” อยู่ท่ีผลของงานท่ีสามารถนับได้เป็นตัวเงินตามตรรกะของตลาดทุนนิยมอย่าง ชัดเจน งานอีกจ้านวนมากท่ีไม่ถูกนับว่าเป็นงานไม่อาจท้าให้แรงงานรับจ้างอิสระมีความสามารถเข้าถึงบริการ ด้านสาธารณสุขกายและใจได้ เชน่ การอยู่บ้านดแู ลผู้สูงอายุในครอบครัว หรือการผลิตความรู้สาธารณะในพืนท่ี ไซเบอร์ การท้ากิจกรรมสาธารณะประโยชน์ทางสังคมหรือการเมืองเพื่อความเปลี่ยนแปลง ล้วนไม่ถูกนับเป็น งานท่ีจะไดร้ ับสวสั ดิการแรงงานเพราะไมม่ ีนายจา้ ง ไรส้ ถานประกอบการ และไมท่ ้าเงินจนไม่อาจจา่ ยเงินสมทบ เข้าระบบกองทุนประกันสังคม แม้สังคมอาจจะช่ืนชมแต่ก็ไม่มีมาตรการใดๆท่ีออกมารองรับความจ้าเป็นตา่ งๆ ในชีวิตของผคู้ นทีใ่ ช้ชีวิตอย่างมคี ณุ คา่ ตอ่ สงั คมและครอบครวั แตไ่ ม่ผลติ มลู ค่าทางเศรษฐกจิ ในตลาด ใ น กรณีเลวร้ายที่สุดระบอบกฎหมายปัจจุบันไมย่ อมรับการผกั ผอ่ นอยู่เฉยอันสืบเน่ืองมาจากอาการเจ็บป่วยทางใจ เรอื รังจากการทา้ งานหนักหรอื ความกดดนั สารพัดรปู แบบทผี่ ู้คนในศตวรรษที่ 21 ต้องเผชิญอยู่ การแก้ปญั หาชีวิตส่วนตัวของคนในศตวรรษท่ี 21 ซง่ึ ตอ้ งตอ่ สกู้ บั ความเปล่ยี วเหงาและการแข่งขันที่สูง ต่อเนื่องตลอดเวลา โดยมองว่าผู้คนท่ีอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือวิตกจริตเป็นโรคด้วยการวินิจฉัยด้วยความรู้ทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์อันมีรูปธรรมของการแก้ปัญหาที่การรักษาด้วยยา แต่ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมท่ีเป็นสาเหตุของความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า ย่อมเป็นอวิชชาที่ขัดขวางการแสวงหาแนว ทางแก้ไขปัญหาความเหลอื่ มล้าอยา่ งตรงจดุ เพราะได้เบยี่ งเบนปัญหาสังคมใหก้ ลายเปน็ ปัญหาทางวทิ ยาศาสตร์ สุขภาพ อันเป็นการหลกี เล่ยี งมใิ หส้ ังคมมองเหน็ ปัญหาความด้อยสทิ ธขิ องแรงงานรับจ้างอสิ ระทเ่ี กดิ จากระบอบ กฎหมายทล่ี ้าสมยั ไม่รองรบั ปญั หาจากระบบเศรษฐกจิ ทส่ี ร้างความเส่ยี งให้เกดิ ขนึ ในชีวติ แรงงานรับจา้ งอิสระ 3. ระบอบกฎหมายทไ่ี มส่ ง่ เสรมิ สวสั ดกิ ารสังคมเพอื่ การเจริญพนั ธุ์ การวางระบอบสวสั ดิการสังคมและครอบครัวโดยมิค้านึงถึงความเปล่ียนแปลงของลักษณะการท้างาน ในยุคดิจิทัลซึ่งแรงงานมี่พฤติกรรมการท้างานท่ีเปล่ียนไป การถูกบังคับให้กลายเป็นแรงงานรับจ้างอิสระมีชีวิต แขวนอยู่บนรายได้ต่อชินงานนันบีบให้คนท้างานมากขึน แต่มีความม่ันคงในรายได้และการมีงานท้าต่อเน่ือง น้อยลง ส่งผลต่อการสร้างดุลยภาพระหว่างการท้างานและการใช้ชีวิต อันมีนัยยะส้าคัญต่อการตัดสินใจสร้าง ครอบครัว หรือมีลูกของแรงงานรับจ้างอิสระที่อยู่ในระบบการจ้างยืดหยุ่น ขาดแคลนรายได้ประจ้าและด้อย สิทธิในระบบหลกั ประกันแรงงาน การใช้ชีวิตช่วงต้นของการท้างานที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์อยู่บนความเส่ียงสูงไร้ความแน่นอนนันย่อมเป็น อุปสรรคส้าคัญต่อการตัดสินใจสร้างครอบครัวและมีบุตรธิดาเพราะเต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่อความไม่ แน่นอนของอนาคต เน่ืองจากแรงงานรับจ้างอิสระส่วนใหญ่ มักไมม่ อี ้านาจต่อรอง ไม่มีเสรภี าพในการท้าสัญญา มาเท่าใดนัก โดยเฉพาะแรงงานรับจา้ งอิสระทีเ่ ป็นแรงงานรับจ้างหน้าใหม่ เป็นวัยรุ่น หรือเพ่ิงเข้าสู่ตลาดรบั จ้าง 7-3

งาน ต่างจาก แรงงานรับจ้างอิสระหน้าเก่า ที่มีอายุ มีประสบการณ์ มีความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายมากพอที่จะ ต่อรองกบั ผ้วู า่ จ้าง เพ่ือใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ก่ตนเองมากทีส่ ดุ ได้ อกี ทัง ในกลไกการตลาด แรงงานรับจ้างอิสระหน้าใหม่ แม้จะมีความสุขดกี ับการท้างานอย่างอิสระแต่ หลายครังพวกเขาอาจต้องยอมสละผลประโยชน์และอ้านาจต่อรองลง เช่น การลดค่าตอบแทน แล้วเพ่มิ รายได้ ดว้ ยการรับงานมากขึนจนชีวิตส่วนตัวถูกกลืนกินให้เป็นเวลางานเสียหมด ทังนีเพ่ือให้ตนเองสามารถเข้าแข่งใน ตลาดแรงงานรับจา้ งอิสระได้ และ แรงงานรบั จ้างอิสระหนา้ ใหม่อาจไมม่ ีความต่อเน่อื งในการทา้ งาน เพราะอาจ ถกู ผู้วา่ จ้างปฏิเสธไมม่ อบงานตอ่ ไดเ้ สมอ ความรู้สึกเส่ียงทังหมดของกลุ่มแรงงานรับจ้างอสิ ระล้วนตังอยู่บนตรรกะท่ีวา่ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่อาจ บันดาลสุข นั่นหมายความว่าแรงงานภายใต้ระบอบกฎหมายสวัสดิการสังคมไทยนันไม่อาจวางใจได้ว่าหากตน ไม่มีงานท้าจะสามารถดูแลตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้ เน่ืองจากแรงงานรับจ้างอิสระไม่มีสิทธิ ได้รับเงินทดแทนการว่างงาน ไม่มีสวัสดิการสังคมส้าหรับคนวัยท้างานท่ีว่างงาน ไปจนถึงการขาดไร้สวัสดิการ คุณภาพดที สี่ ามารถดูแลชวี ติ ของบตุ รธดิ าทเ่ี กดิ ขึนมา หลักประกันสิทธิของบคุ คลในลักษณะครอบคลุมความจ้าเป็นในชีวิตอยา่ งรอบด้านและสนับสนนุ ให้คน ทุกคนในครอบครัวมีคุณภาพชีวิตท่ีดีแม้ไม่มีงานท้า จึงเป็นสิ่งส้าคัญอย่างยิ่งในการลดความรู้สึกไม่ม่ันคงในหมู่ ประชาชนอนั จะส่งผลดตี ่อการสรา้ งความม่นั ใจใหผ้ ู้คนในสงั คมพรอ้ มท่ีจะมคี รอบครัวและมีทายาทต่อไป 4. ระบอบกฎหมายปอ้ งกันการผูกขาดตลาดและการรวมกลมุ่ ของแรงงานรับจา้ งอสิ ระ กฎหมายป้องกันผูกขาดวางอยู่บนการส่งเสริมให้มีผู้แข่งขันในตลาดมากรายเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิต และให้บริการจ้านวนมากแขง่ กันเสนอสนิ คา้ และบริการท่ีมคี ุณภาพในราคาประหยัดท่สี ุดแก่ผ้บู รโิ ภค อย่างไร ก็ดีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ได้สร้างความท้าทายด้านเศรษฐกิจในศตวรรษท่ี 21 ที่มองเห็นได้ง่ายท่ีสุดในยุค เศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ เศรษฐกิจแบ่งปัน หรือ sharing economy ที่มันได้เข้ามาเปล่ียนแปลงลักษณะของงาน แรงงานรับจ้างอิสระพึ่งพาเศรษฐกิจแบ่งปันเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถสร้างโอกาสให้ผู้คนจ้านวนมากสามารถ ติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเพ่ือประโยชน์ซ่ึงกันและกันในระบบเศรษฐกิจโดยก้าวข้ามพรมแดนทาง อธิปไตยซ่ึงเป็นข้อจ้ากัดในระบอบกฎหมายเดิม แต่ก็ได้สร้างปัญหาใหม่ต่อการนิยาม “ตลาด” เมื่อไม่อาจใช้ หลักตลาดภูมิศาสตร์ เพราะปจั จุบันจะตอ้ งพจิ ารณาตลาดดิจิทัลในสภาพท่ีเชื่อมโยงเขา้ สู่แพลตฟอร์มระดบั โลก ที่ใหญ่ผู้ผลิต ตัวกลางและผู้บริโภคเชื่อมถึงกันหมด จึงมีความจ้าเป็นต้องสร้างระบอบกฎหมายใหม่ขึนให้ สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของธรุ กรรมออนไลน์ การประเมนิ อ้านาจเหนือตลาด ไม่ควรใช้เกณฑ์สว่ นแบง่ ตลาด เพราะการหาขอบเขตของตลาดท้าไม่ได้ ควรหนั มาใช้เกณฑ์อื่น ๆ มาประกอบ เชน่ ศกั ยภาพในการแข่งขัน มคี แู่ ขง่ หรอื ไม่ มีความเปน็ ไปได้ท่ีจะเกิดการ แข่งขันได้หรือไม่ เพราะในปัจจุบันหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดนผูกขาดด้วยเจ้าของแพลตฟอร์มน้อยราย และแนวโน้มทางธุรกิจที่มีการรวมธุรกิจของผู้ประกอบการท่ีเคยแข่งขันกันจนเหลือผู้ประกอบการเพียงราย เดยี ว จนกลายเป็นผ้มู ีอทิ ธพิ ลเหนอื ตลาดแตเ่ พยี งผู้เดยี วไมเ่ ออื ให้เกดิ การแข่งขนั เส่ยี งตอ่ การใชอ้ ้านาจบิดเบอื น กลไกตลาด เพราะผูบ้ รโิ ภคและผใู้ หบ้ ริการล้วนไม่มีอ้านาจตอ่ รองกับเจ้าของแพลตฟอร์มอกี ต่อไป 7-4

ความยุ่งยากอีกประการ คือ หากรัฐหรือสมาคมผู้รับจ้างอิสระสามารถรวมตัวกันขึนสร้างแพลตฟอร์ม ใหม่ๆขึนมาแข่งขันกับผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดเดิมก็จะเป็นการดีต่อการแข่งขัน เพราะเป็นการเพิ่มคู่แข่งขัน ส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการให้มีคุณภาพแต่ราคาประหยัด แต่กลับมาการตีความท่ีสุ่มเส่ียงต่อการ ส่งเสริมสิทธิของแรงงานรับจ้างอิสระเนื่องจากมีการนิยามว่าผู้รับจ้างถือเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่จ้างงาน ตนเอง มิใช่แรงงาน หากปล่อยให้ผู้ประกอบการรายย่อยรวมตัวกันขึนจะถือเป็นการรวมตัวททที่ท้าลายการ แขง่ ขนั ความกังวลดังกล่าวเกิดผลกระทบต่อขบวนการของกลุ่มแรงงานรับจ้างอิสระในการรวมตัวกันก้าหนด เพดานค้าจ้างขันพนื ฐานหรือภาระงานที่เหมาะสม โดยมีการกล่าวอ้าวว่าการรวมกลุ่มเข้าลักษณะกันรวมตัวกัน ก้าหนดราคาในตลาด ซ่ึงอาจขัดต่อหลักการแข่งขันด้านราคาหรือกีดกันมิให้ผู้ประกอบการรายอ่ืนเข้าสู่ตลาด หากเกิดการตีความในทิศทางดังกล่าวย่อมกระทบต่อความพยายามในการรวมตัวกันของกลุ่มแรงงานรับจ้าง อิสระเพื่อก้าหนดสัญญามาตรฐานขันต้่า ดังนันจึงสุ่มเส่ียงว่าจะตีความไปในลักษณะการมองว่าแรงงานรับจ้าง อสิ ระไม่ใชแ่ รงงานแต่เป็นผู้ประกอบการ และไม่ยอมให้แรงงานรับจ้างอิสระรวมตัวขึนเป็นสหภาพหรือสมาคม ด้วยการอ้างเรือ่ งการผูกขาดเชน่ วา่ สว่ นการคาดหวังใหภ้ าครัฐเข้าแทรกแซงตลาดเพือ่ สร้างแพลตฟอรม์ ให้กับกลุ่มแรงงานรับจา้ งอิสระเข้า แข่งขันในตลาดก็ยังต้องรอความพร้อมของภาครัฐ และสุ่มเส่ียงต่อการต่อต้านจากภาคเอกชนว่าได้ดึงภาครัฐ เข้ามาสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันตามกลไกตลาดเสรี ด้วยการอ้างว่ารัฐควรท้าหน้าท่ีเพียง ก้ากบั ดูแล มคิ วรเข้ามาด้าเนินการเองในตลาด 5. ระบอบกฎหมายทรพั ย์สนิ ในยุคดิจทิ ัลกับการแย่งยดึ ทกุ สรรพส่ิงให้เป็นของบรรษัท ลัทธิเศรษฐกิจการเมืองในประเทศไทยได้ประกอบสร้างระบอบกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายขึนบนพืนฐาน ของการแบ่งแยกลักษณะความเป็นเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภทหลัก น่ันคือ ทรัพย์สินของรัฐ กับ ทรัพย์สินของเอกชน แม้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2540 เร่ิมมีการสร้างความคิดเรื่อง “สิทธิ ชุมชน” ขึนมาเป็นทางเลือกของการสร้างระบอบกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์สินท่ีให้ชุมชนถือครองร่วมกันเพ่ือใช้ ประโยชน์และอนุรักษ์แต่ก็ยังมีภาครัฐเป็นผู้กุมอ้านาจในการก้าหนดวิธีการเข้าถึงสิทธิของชุมชนและขอบเขต การใช้สิทธิของชุมชน การไร้ซึ่งพลวัตรทางความคิดในการสร้างระบอบกรรมสิทธ์ิใหม่ๆขึนมารองรับความ เปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยแี ละเศรษฐกจิ ของรฐั ไทยย่อมสร้างความด้อยสิทธใิ ห้กบั ผู้ใชอ้ ินเตอรเ์ นต็ จ้านวนมาก ระบอบกฎหมายที่ไมย่ อมรับความเป็นเจ้าของในขอ้ มลู หรือทรัพยส์ นิ ในโลกเสมอื นของผใู้ ช้อินเตอร์เน็ต ได้สร้างผลสะเทือนอย่างลึกซึงกว้างขวางในส้านึกของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตท่ีเป็นแรงงานรับจ้างอิสระ เนื่องจาก ปรมิ าณข้อมลู ทแี่ รงงานรบั จา้ งอิสระผลิตขึนบนโลกไซเบอร์ผ่านการเล่นเกมส์ยามพกั ผ่อนหย่อนใจ หรอื การผลติ เนือหาต่างๆในโลกไซเบอร์ ไปจนถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทังหลาย ได้ กลายเป็นขุมทรัพย์ท่ีบรรษัทเจ้าของแพลตฟอร์มหรือเจ้าของเทคโนโลยีสามารถยึดครองเอาทรัพย์สินใหม่ๆ เหลา่ นไี ปโดยมิได้ตัดสินใจร่วมกับผใู้ ช้วา่ จะแบ่งปันผลประโยชนก์ นั อยา่ งไร การรับรองสิทธิในทรัพย์สินบนโลกเสมือนของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตซ่ึงเป็นแรงงานรับจ้างอิสระผู้เช่ือมโยง กับระบบสื่อสารดิจิทัลอย่างเข้มข้นย่อมเป็นจุดเร่ิมต้นของการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เน่ืองจากเมื่อ 7-5

ระบอบกฎหมายสร้างความเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินเหล่านีในลักษณะ ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Personal Property) ที่ตังอยู่บนความยุติธรรมระหว่างเจ้าของแพลตฟอร์มกับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่มองว่าทรัพย์สินในโลก เสมือนเป็นระบอบกรรมสิทธ์ิร่วม (Common Property) ทต่ี อ้ งมกี ารแบง่ ปนั ผลประโยชน์ร่วมกัน มิใช่ปล่อยให้ เกิดการยึดครองทุกสรรพสิ่งบนแพลตฟอร์มให้กลายเป็นทรัพย์สินเอกชน (Private Property) ของบรรษัท เจ้าของเทคโนโลยีแตเ่ พยี งผ้เู ดียว เมื่อแรงงานรับจ้างอิสระได้สิทธิในการเป็นเจ้าของร่วมเหนือทรัพย์สินดิจิทัลในโลกเสมือนแล้ว ก็จะ น้าไปสู่การสร้างระบบแบ่งปันผลประโยชน์จากเจ้าของแพลตฟอร์มมาสู่ผู้ใช้ ท้าให้เกิดความคุ้มครองสิทธิใน ทรพั ย์สนิ แกแ่ รงงานรบั จ้างอิสระในยคุ ดจิ ิทัลผู้มีส่วนรว่ มผลิตทรพั ย์สินในโลกดิจิทลั ปริมาณมหาศาล ผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนตัวท่ีแรงงานรับจ้างอิสระได้รับแบ่งปันจากเจ้าของแพลตฟอร์มจะ กลายเป็นรายไดท้ ี่รัฐสามารถจัดเก็บภาษีมาเปน็ งบประมาณในการจัดท้าบริการสาธารณะเพ่ือสนับสนุนสิทธิใน คุณภาพชีวิตท่ีดีของแรงงานรับจ้างอิสระ และยังอาจเป็นงบประมาณในการท้าโครงการประกันรายได้พืนฐาน ให้กับประชาชนได้ เน่ืองจากทรัพย์สินในโลกเสมือนมีมูลค่าทางการตลาดสูงขึนเรื่อยๆจากการใช้งานใน อินเตอร์เน็ตที่มากขึนเร่ือยๆ และถือเป็นมาตรการท่ีตังอยู่บนความเป็นธรรมเพราะเป็นการน้ารายได้จาก แรงงานรับจ้างอิสระผู้มีส่วนร่วมในการสร้างทรัพย์สินในโลกเสมือนมาสร้างหลักประกันให้กับแรงงานรับจ้าง อิสระทังในฐานะผู้บรโิ ภคในโลกไซเบอร์หรอื ผู้ผลิตทา้ งานผ่านอนิ เตอร์เนต็ จากผลการศึกษาทังในเชิงกระบวนการของการเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้รองรับสิทธิของกลุ่ม เสี่ยงกลับพบว่า นักกฎหมายและนักยุทธศาสตร์ฝ่ายบรรษัทได้พยายามขยับรูปแบบการจ้างงานให้หลุดไปนอก กรอบภาระหน้าท่ีการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามกฎหมายไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างเหมาช่วง จ้างงาน ยืดหยุ่น เปิดบริษัทลูกมาในลักษณะการจัดหางานเพ่ือให้เกิดสัญญาย่อยๆ ไปจนถึงการเปล่ียนสัญญาจ้าง แรงงานให้กลายเป็นสัญญาจ้างท้าของ เพ่ือไม่ให้เกิดความสัมพันธ์ฉันท์นายจ้าง-ลูกจ้าง และท้าให้คนท้างาน หลุดออกไปจากหลักประกันทางสังคมทังหลาย นอกจากนีกฎหมายป้องกันการผูกขาดก็ยังมิได้เปิดโอกาสให้ แรงงานรายย่อยรวมตัวกันเป็นกลุ่มวสิ าหกิจเข้าสู่ตลาดแขง่ ขันกบั บรรษัทขนาดใหญ่ และในท้ายที่สุดผลผลิตใน โลกดิจิทัลของพลเมืองเน็ตทังหลายอย่างข้อมูลและสินทรัพย์เสมือนก็ถูกแปลงให้กลายเป็นทรัพย์สินของบริษัท เจ้าของแพลตฟอร์ม ส่วนการปรับตัวของภาครัฐก็อยู่ในลักษณะหลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาในแต่ละประเด็นอย่าง ตรงไปตรงมา งานวิจัยพบว่าพรรคการเมืองต่างๆและรัฐบาลใช้วิธีเล่ียงไปสร้างหลักประกันคุณภาพชีวิตขันต้่า อันเป็นการแก้ปัญหาท่ีปลายทางในลักษณะของการอุดหนุนรายได้แทนแต่ก็ยังอยู่ในลักษณะการเลือกให้ตาม อ้าเภอใจโดยมิได้มีจุดอ้างอิงว่ารายได้มากน้อยเพียงไรที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้จริงและ สามารถแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้าได้ และต้องมีมาตรการในเชิงปฏิบัติเช่นไรในการผลักดันโครงการพัฒนา สิทธขิ องแรงงานรบั จา้ งอิสระอยา่ งเปน็ รปู ธรรม ทฤษฎีและหลักการทางกฎหมายท่ีอาจน้ามาประยุกต์ใช้ผลักดันระบอบกฎหมายเพ่ือลดความเหล่ือม ล้าต่อกลุ่มแรงงานรับจ้างอสิ ระอนั เน่ืองมาจากความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 7-6

โดยมีประเดน็ ส้าคัญที่ต้องกล่าวถึง คือ การลดผลกระทบด้านลบท่ีเกิดจากการพฒั นาตามแนวทางของลัทธิเสรี นิยมใหม่ท่ีมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาท่ีเป็นประโยชน์กับคนบางกลุ่มแต่สร้างผลเสียให้คนบางกลุ่ม ความ เจรญิ ก้าวหน้าในลักษณะไมส่ มดุล (Imbalance Growth) นนั ตอ้ งได้รับการปรบั เปล่ียนให้กระจายผลประโยชน์ ไปสู่คนกลุ่มที่เสียประโยชน์มากขึน และมีมาตรการรองรับผลกระทบร้ายท่ีอาจเกิดขึนกับกลุ่มเส่ียง ดังปรากฏ ในหลักการสร้างความเจริญท่ัวถึงทุกคน (Inclusive Growth) อนั เป็นรากฐานส้าคัญของการพัฒนาอย่างย่ังยืน (Sustainable Development) ซึ่งมุ่งสร้างหลักประกันสิทธใิ ห้กับกลุ่มเสี่ยงทังหลายท่ีอาจได้รับผลกระทบจาก การพัฒนาอย่างไม่สมดุล ดังนันการพัฒนาจึงมิได้มุ่งไปที่การเพิ่มตัวเลขทางเศรษฐกิจในภาพรวมท่ีอาจสร้าง ความมั่งค่ังให้คนเพียงบางกลุ่ม แต่การพัฒนาต้องตอบสนองพลเมืองและส่งเสริมสิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม ของคนทกุ กล่มุ ดว้ ย การสร้างหลักประกันสิทธิของคนท้างานรับจ้างอิสระท่ีอยู่ในระบบการจ้างงานที่ไม่ม่ันคงนันต้องมุ่ง แก้ปญั หาหลักใน 2 ประเดน็ คือ 1.การสร้างหลักประกันสิทธิไม่ว่าจะนายจ้างจะปรับเปล่ียนรูปแบบสัญญาจ้าง เช่นไรก็ตาม 2.ต้องเป็นหลักประกันทางกฎหมายท่ีครอบคลุมคุณภาพชีวิตทุกมิติของคนท้างาน ดังนัน หลักการท่ีสามารถน้ามารองรับปัญหาเช่นว่าก็คือ การพัฒนาท่ีครอบคลุมถึงกลุ่มเส่ียง (Inclusive Development) ซ่ึงเป็นหลักส้าคัญของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ประชาคมโลกและรัฐไทยได้ให้พันธ สัญญาวา่ จะดา้ เนินการไปให้บรรลุวัตถุประสงค์ ข้อเสนอแนะ ความเหลื่อมล้าที่น้ามาสู่ผลการศึกษาวิจัยนี คือ ระบอบกฎหมายในประเทศไทยที่เป็นอยู่ อาทิ ชุด กฎหมายแรงงานและประกันสังคม กฎหมายสวัสดิการและหลักประกันสุขภาพ กฎหมายครอบครัว กฎหมาย แข่งขันทางการค้า และกฎหมายทรัพย์สิน เป็นต้น ซ่ึงกฎหมายเหล่านีมิได้ก้าหนดขอบเขตการคุ้มครองสิทธิ ให้กับแรงงานรับจ้างอิสระ รวมถึงไม่เปิดโอกาสให้มีการรวมกลุ่มเพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือ เรียกร้องสทิ ธิตอ่ รัฐร่วมกันในฐานะสหภาพแรงงาน หรือสมาคมผู้ประกอบการรายยอ่ ยในประเด็นต่างๆ ตกเปน็ กลุ่มเส่ียงผู้ด้อยอ้านาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนโดยลัทธิเสรีนิยมใหม่ ดังนันจึงมีความ จ้าเป็นท่ีจะต้องศึกษาหาระบบความสัมพันธ์ใหม่ที่จะช่วยลดความเหล่ือมล้าในสังคม และสร้างความเป็นธรรม ให้เกิดขึนอย่างมั่นคงผ่านการปฏิรูประบอบกฎหมายที่เก่ียวข้องกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 เพื่อเป็น หลักประกันสิทธิให้แก่กลุ่มเส่ียงผ่านระบอบกฎหมายที่ อันจะน้าไปสู่การพัฒนาหลักประกันสิทธิใหม่ๆแก่กลุ่ม เส่ียงให้ได้รับการคุ้มครองท่ามกลางความท้าทายท่ีเกิดจากความเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีและแรงกดดันจาก ลัทธิเสรนี ิยมใหม่ ทางเลือกเชิงรูปธรรมในการพัฒนามาตรการเพื่อประกันสิทธิให้กับกลุ่มแรงงานรับจ้างอิสระเพื่อลด ความเหลื่อมล้า ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ตังแต่การดึงให้แรงงานรับจ้างอิสระท่ีถูก ท้าให้กลายเป็นผู้รับจ้างท้าของ ย้อนกลับเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์แบบลูกจ้างนายจ้างได้รับสิทธิแรงงานตาม ระบบกฎหมายแรงงานที่มีอยู่เดิม ไปจนถึงการสนับสนุนรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ได้มาตรฐาน หรือ การสร้างหลักประกนั รายได้ขนั พืนฐานถว้ นหนา้ ขอ้ เสนอเหลา่ นันไดแ้ ก่ 1) การใชผ้ จู้ ัดการนักกฎหมายอาชพี มาเปน็ ตัวแทนในการตอ่ รองเรียกรอ้ งสทิ ธิ 7-7

2) การสร้างกลุม่ สมาคม สหพนั ธ์ ทม่ี ตี วั แทนเจรจาหรอื นกั กฎหมายองคก์ รเจรจาให้ 3) รฐั ก้าหนดรปู แบบความสมั พนั ธด์ ึงแรงงานรับจา้ งอสิ ระกลับเข้าสูร่ ะบบกฎหมายแรงงาน 4) การหาเส้นกา้ หนดรายได้พนื ฐานทีเ่ พียงพอตอ่ การด้ารงชีพอยา่ งมีศกั ดศ์ิ รี (Minimum Basic Income – MBI) 5) การเสรมิ รายไดป้ ระชาชนให้ถึงมาตรฐานทีร่ ฐั ให้หลักประกันไว้ (Guaranteed Basic Income – GBI) 6) การสร้างหลักประกันรายได้ให้แก่แรงงานรับจ้างอิสระอย่างถ้วนหน้า (Universal Basic Income – UBI) ในการวิจัยเอกสารและการประชุมกลุ่มย่อยภายใต้งานวิจัยได้ค้นพบข้อสังเกตส้าคัญที่สอดคล้องกัน ประการหนึ่ง คือ แรงงานรับจ้างอิสระไม่ต้องการให้รัฐและบุคคลอ่ืนมายุ่งกับชีวิตส่วนตัว ย่ิงต้องไปเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลพิสูจน์ความยากจนต่อรัฐให้รู้สึกด้อยศักด์ิศรีก็ย่ิงอยากหลีกเลี่ยง จึงมีความเห็นไปในทิศทาง ตอบรับกับข้อเสนอแบบ การสร้างหลักประกันรายได้แก่แรงงานรับจ้างอิสระอย่างถ้วนหน้า (Universal Basic Income – UBI) ท่ีจ่ายเงินจ้านวนหน่ึงเป็นการประกันรายได้พืนฐานต่้าสุดไปเลยโดยไม่ต้องมาส้าแดงรายได้ ทุกๆเดือน เงินจ้านวนนีจะช่วยในข่วงท่ีขาดแคลนได้ดีมากเมื่อเทียบกับระบบกฎหมายสวัสดิการแรงงานท่ีมีอยู่ เพราะการเข้าประกันตนตามมาตรา 40 ของพระราชบัญญตั ิประกนั สงั คมฯ ผู้ประกันตนจะไมไ่ ด้รับเงินทดแทน ในกรณี \"ว่างงาน\" (แรงงานรับจ้างอิสระท่ีไม่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ) ซึ่งแรงงานรับจ้างอิสระต่างเห็น ตรงกันว่า หากเป็นเช่นนีก็ไม่มีเหตุผลใดเป็นแรงจูงใจให้เข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 40 เพราะสิ่งที่ แรงงานรับจ้างอิสระต้องการมากท่ีสุด ก็คือ เงินทดแทนช่วงว่างงาน หรือก็คือ ช่วงขาดแคลนเงิน จากการ ว่างงานน่ันเองเพราะจะเกิดช่วงนีแรงงานจะสภาวะยากจนไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยสิ่งอุปโภคบริโภคขัน พืนฐานได้เลย (Absolute Poverty) หากมีหลักประกันในลักษณะรายได้ขันพืนฐานเป็นเบาะรองรับอยู่ก็จะ ช่วยแบง่ เบาความเดอื ดรอ้ นไดม้ าก หลักการพัฒนาท่ีครอบคลุมกลุ่มเส่ียงได้คลี่คลายออกมาเป็นข้อเสนอเชิงหลักประกันสิทธิของ คนท้างานรับจ้างอิสระ ในรูปแบบการสร้างหลักประกันรายได้ขันพืนฐาน (Universal Basic Income – UBI) อนั มหี ลักการพืนฐานดงั ต่อไปนี 1) หลักประกนั รายได้ขนั พนื ฐานเปน็ การจ่ายเงนิ ให้กับผู้บรรลุนิตภิ าวะทกุ คน (Universal) 2) หลกั ประกันรายไดข้ ันพืนฐานเป็นการให้เพ่อื สนองความจา้ เป็นพนื ฐานในชวี ติ (Adequate) 3) เกณฑก์ ารให้มิได้มกี ารตงั เงือ่ นไขและการพิสจู น์ใดๆเก่ยี วกับการท้างาน (Unconditional) หลักการและแนวปฏิบัติของเรื่อง การสร้างหลักประกันรายได้แก่แรงงานรับจ้างอิสระอย่างถ้วนหน้า (Universal Basic Income – UBI) ประกอบไปดว้ ย 1) มีการประกันรายได้ตามเส้นมาตรฐานต้่าสุดในการด้ารงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Guaranteed Floor) 7-8