Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งฯ - อ.ไพสิฐ

รายงานวิจัย-การศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งฯ - อ.ไพสิฐ

Published by E-books, 2021-03-02 06:30:17

Description: รายงานวิจัย-การศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งฯ-ไพสิฐ

Search

Read the Text Version

บทที่ 5 สรปุ ผลการศกึ ษา จากการศึกษาผลการดําเนินงานโครงการสรางความเขมแข็งกลไกเครือขายยุติธรรมชุมชน โดยการ มีสวนรวมของชุมชนและเครือขายยุติธรรมชุมชน จังหวัดตรัง สามารถนําผลการศึกษาดังกลาวมาสรุปและ วิเคราะหไดใน 3 หัวขอ ไดแก ความหมายของยุติธรรมชุมชน ยุติธรรมชุมชนในเชิงกระบวนการ และ ยตุ ธิ รรมชุมชนในเชงิ องคความรู ซ่งึ มรี ายละเอียดดังตอไปนี้ 5.1 ความหมายของยตุ ธิ รรมชมุ ชนจากปฏิบัตกิ ารในพ้ืนท่ีจงั หวัดตรงั คณะผูวิจัยมีความพยายามที่จะตอบคําถามเกี่ยวกับ ความหมายของคําวา “ยุติธรรมชุมชน” ในทัศนะ ของชุมชนวามีความหมายอยางไร แตเ นื่องจากดวยขอจํากัดของขอมูลระยะเวลา และวิธีการศึกษาวิจัยจึงทํา ใหยังไมสามารถตอบคําถามดังกลาวไดอยางชัดเจน แตอยางไรก็ตาม เปนความพยายามเบื้องตนของ คณะผูวิจัยท่ีตองการจะสรุปสิ่งที่นาจะเปนองคประกอบของคําวา “ยุติธรรมชุมชน” โดยประมวลมาจาก ขอ มลู ในการประชุมเพ่อื ถอดบทเรยี นดงั น้ี 5.1.1 ความหมายของคาํ วา “ยุตธิ รรมชุมชน” ในทศั นะของชุมชน หมายถึง - การสรางความเปนธรรม การสรางความเสมอภาค 10 - การเขาไปจัดการกับ “สถานการณ” ความขัดแยง ไมใหลกุ ลาม - การเขา ไปปรบั ความสมั พันธร ะหวา งฝา ยตางๆ ใหม1 1 - การสรา งระบบในการใหค วามเปนธรรมในเบ้อื งตนท่ีชุมชนสามารถเขา ถงึ ได12 - กระบวนการสรางความเปนธรรมใหเกิดขน้ึ ในชมุ ชน - กระบวนการแกป ญ หาของชมุ ชนโดยชุมชนมสี วนรว ม - เปนกลไกเบ้อื งตน ทอ่ี ํานวยความเปน ธรรมใหค นในชุมชน - การทําดวยวิธีการใดก็ไดใหเกิดความเปนธรรมในชุมชน และไมใชเฉพาะเรื่องความขัดแยง เพยี งเร่อื งเดยี ว เปนทกุ ปญหาท่มี ีในชมุ ชน - การยุติปญหาและกอใหเกิดความเปนธรรมในชุมชน โดยชุมชนเปนผูแกปญหาภายในชุมชน เอง และทาํ ใหเ กิดความเปนธรรม ความพงึ พอใจทุกฝา ยโดยจะตอ งอยูภ ายใตกติกาของชุมชนน้นั ๆ 10 เปน การสะทอนทางความคดิ ของพ้ืนทต่ี าํ บลเกาะลบิ ง ตําบล เกาะสุกร และตําบลคลองชีลอม 11เปนการสะทอนทางความคิดของพื้นท่ตี าํ บลวังครี ี 12เปนการสะทอนความคดิ จากการพูดคยุ กับพนื้ ท่ตี ําบลนาโยง 44

- ยุติธรรมชุมชนเปนเหมือนร้ัวในการปองกันปญหาของชายแดน สังคม ชุมชน โรงเรียน และ ครอบครวั เปนเกราะปอ งกันในชุมชน การใหความหมายดังท่ีกลาวมามีพัฒนาการในการใหความหมายท่ีแตกตางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซ่ึงในระยะเริ่มโครงการ เขาใจวายุติธรรมชุมชนคือ “การไกลเกลี่ย” แต ณ ขณะน้ีความหมายของคําวา “ยุตธิ รรมชุมชน” มคี วามหมายไปถงึ หนา ที่ในการดแู ลความเปนธรรมในชุมชนดว ย 5.1.2 เปา หมายของยุตธิ รรมชมุ ชนจากทศั นะของชุมชน จากการศึกษาบันทึกกรณีความขัดแยง และจากการเขาไปสังเกตการณแบบมีสวนรวมใน ระหวา งขบวนการพฒั นาศกั ยภาพของอาสาสมัคร อาจจะสรปุ เปาหมายของยตุ ธิ รรมชมุ ชนไดด งั ตอ ไปนี้ ก. มุงการเขาไปแกไขสถานการณปญหา ในระดับตางๆ (ระดับผูกอความขัดแยง ระดับคูกรณี และในระดบั ชมุ ชน) ข. มงุ ปอ งกันการขยายผลของความขดั แยง ค. มงุ เนนการใหโ อกาสแกผ ทู ีเ่ ปนสาเหตุของความขดั แยง หรอื ผกู ระทาํ ความผิด ง. มุงเนน การปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรม จ. มงุ เนน การฟน ความสัมพันธท ี่ดีใหกลับคืนมาสูคูกรณแี ละชมุ ชน ฉ. มงุ เนน การพัฒนาระบบการสง ตอเพ่อื การฟน ฟูผูกระทาํ ความผิด ซึ่งจากท่ีกลาวมาแมจะยังไมมีความชัดเจนในความหมายของคําวา “ยุติธรรมชุมชน” ก็ตาม แตก ็เปน การตง้ั คําถามเพื่อการศกึ ษาวจิ ยั ตอไป 5.2 กระบวนการของชมุ ชนและองคก รเครือขา ยยตุ ิธรรมชุมชน งานศกึ ษานี้ใชหนวยของศนู ยยุติธรรมชุมชนระดับตําบลเปน หนวยในการศึกษาวิเคราะห โดยมีประเด็น สาํ คญั ๆ ท่คี นพบจากการศกึ ษาดงั น้ี 5.2.1 ยุตธิ รรมชุมชนในเชิงกระบวนการ งานพฒั นาศนู ยยุตธิ รรมชมุ ชนเร่ิมตน จากการสรางกระบวนการรวมกันระหวางทีมสนับสนุนซ่ึง ประกอบดวย สกว.ทองถ่ิน จ.ตรัง และกรมคุมครองสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงภาควิชาการโดยรวมกัน กําหนดหลักเกณฑของชุมชนท่ีจะเขารวมโครงการฯวาจะตองไดรับการสนับสนุนจากองคกรปกครอง ทองถ่ิน และจะตองไมมีความขัดแยงในทางการเมือง (ในระหวางการเมืองทองถิ่นดวยกันเอง และระหวาง การเมืองทองถิ่นกับการปกครองทองท่ี) เง่ือนไขดังกลาวนี้เปนการคัดกรองชุมชนท่ีมีทุนในทางสังคมใน ระดับหน่ึงท่ีสาํ คญั อยา งยงิ่ สาํ หรบั การเกดิ กระบวนการในการพฒั นาระบบงานยตุ ิธรรมชุมชน 45

ซ่ึงกระบวนการพัฒนางานยุติธรรมชุมชนในกรณีพื้นที่จังหวัดตรัง เริ่มตนที่กระบวนการทํางาน ทางความคิด ซึ่งแตกตางไปจากงานพัฒนาที่ไดรับการสนับสนุนจากภายนอกชุมชนทั่วไป และกระบวน ความคิดทเ่ี ปน องคป ระกอบสําคัญหน่ึงคือการสงเสริมใหสมาชิกของชุมชนใชกระบวนการวิจัยทองถิ่น (แม ไมเต็มรูปแบบ) มาใชเปนเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพของการทํางานของชุมชน และเสริมดวยความรู ความเขาใจในแนวคิดและหลักการของยุติธรรมชุมชน โดยไมไดใชกระบวนการครอบงําทางความคิดมา กําหนดวา “ยุติธรรมชุมชน” จะตองประกอบดวยองคประกอบท่ีมีลักษณะเปนสูตรสําเร็จ หากแตการทํา ความเขาใจประเด็นเรื่องยุติธรรมชุมชน ชุมชนท่ีเขารวมโครงการทีมสนับสนุนไมวาจะเปนพ่ีเลี้ยงจาก ทีม สกว.ทองถ่ิน จ.ตรัง บุคลากรจากสวนราชการในระดับจังหวัด และกรมคุมครองสิทธิและเสรีภาพ รวมถึง ภาควิชาการไดร ว มกนั เรียนรไู ปพรอ มๆ กนั และพรอ มกนั นนั้ แตละฝา ยตางกเ็ รยี นรแู ละปรบั บทบาทของแต ละฝายเขาหากันและกัน ในลักษณะที่หนุนเสริมกัน โดยมีเปาหมายรวมกัน ผลจากกระบวนการดังที่กลาว มา ทาํ ใหม ศี นู ยยุตธิ รรมชุมชนในระดับตาํ บลท่ีเกดิ พัฒนาการทีม่ ีความเขมแข็งกาวหนาและเกิดการยกระดับ การทํางานมากมายในหลายๆ ศูนย และมีการขยายตัวทางความคิดออกไปยังพ้ืนท่ีใกลเคียงและที่เคยมาใช บริการ จากการประเมินศูนยยุติธรรมชุมชนในบางพ้ืนที่คร้ังลาสุด13 สามารถที่จะสรุปบทเรียนเปน ประเด็นๆ ดังน้ี (1) พฒั นาการของเครือขา ย ในระดบั ตางๆ ก. วงจรของพฒั นาการภายในเครือขา ย ในพื้นท่ีระดับตําบลตอนเร่ิมตนดําเนินการ แตละพ้ืนที่มีอาสาสมัครท่ีเปนตัวแทนจาก แตล ะพื้นที่เขา มารว มผลกั ดนั ใหเ กดิ การจัดตั้งระบบการไกลเกลี่ยขอพิพาทใหเกิดข้ึนในแตพื้นที่ ซ่ึงจากการ ติดตามประเมินในแตละพ้ืนที่ท้ังโดยการพูดคุย สัมภาษณ สังเกตการณแบบมีสวนรวม และศึกษาจาก เอกสารรายงานความกาวหนาการดําเนินการ สามารถที่จะสรุปภาพรวมสิ่งท่ีเกิดขึ้นจากกระบวนการพัฒนา เครอื ขายในลกั ษณะเปนวงจรสลบั กลับไปมา ดงั น้ี 1. ระยะการกอต้งั เครือขาย-เรยี นร-ู สรางระบบงานยตุ ิธรรมชมุ ชน ในทุกๆ พื้นที่เริม่ ตนจากการตง้ั กลุม ซ่งึ โดยพืน้ ฐานเดิมของแตละพ้ืนท่ีมีความพรอม ท่ีไมเหมอื นกัน และยงิ่ เม่อื ตอ งผานกระบวนการจัดทําระบบฐานขอมลู ประวัตคิ วามขดั แยง ทเี่ กดิ ข้ึนในพื้นท่ี โดยจะตองมีการเรียบเรียง ลําดับเหตุการณ และจดบันทึก ซ่ึงเปนเทคนิควิธีและกุศโลบายใหอาสาสมัคร เรียนรูวิธีการในการจัดการกับขอมูลที่มีอยูในพ้ืนที่ เพ่ือใหเห็นศักยภาพของอาสาสมัครแตละคนวามี ความสามารถในการจัดการความขัดแยงได และท่ีสําคัญหากสามารถที่จะเปล่ียนแปลงวิธีการทํางานในการ ไกลเกลี่ยจากเดมิ ทจ่ี ดั การความขัดแยง เสร็จแลว กถ็ อื วาจดั การหรือทาํ หนาที่เสรจ็ แลว ใหไปสกู ารทาํ งานแบบ ใชก ระบวนการวิจัยชุมชนเขามาเสริมและตอยอดการทํางาน โดยการจัดระบบการไกลเกล่ียใหมใหเกิดเปน 13ขอ มลู จากการลงพนื้ ท่ีจงั หวัดตรังระหวา งวันที่ 22‐25 กมุ ภาพนั ธ 2555   46

ระบบ มีการจัดประชุมปรึกษาหารือในลักษณะของการทํางานเปนทีม มีการวางแผน มีการเตรียมความ พรอม มีการวิเคราะหส ภาพความขัดแยง ฯลฯ และในขณะดําเนนิ การไกลเกลี่ยความขดั แยง อาสาสมคั รตอ ง ทาํ การบนั ทกึ กระบวนการ ผล เนอ้ื หาความขัดแยง เทคนิควิธีท่ีนํามาใช ฯลฯ จนกระทั่งดําเนินการเสร็จสิ้น รวมตลอดถึงภายหลังทีม่ กี ารสรุปการดาํ เนินการของอาสาสมคั รทผ่ี า นมาแตล ะชวงระยะเวลา จากการติดตามผลจากพ้ืนที่ตางๆในสวนที่เก่ียวกับการจัดการความขัดแยงใน ระดับพื้นฐานในแตละพื้นที่สามารถที่จะจัดการความขัดแยงในเบ้ืองตนไดซึ่งถือวาเปนขั้นแรกของการเปน อาสาสมัครยุติธรรมชุมชน และจากการศึกษารายงานการจัดการความขัดแยงที่เปนบันทึกการดําเนินงาน ของอาสาสมัคร14 ในแตละพื้นท่ีจะพบวาอาสาสมัครบางคน หรือในบางพื้นที่การทํางานรวมกันของ อาสาสมัคร มีเทคนิควิธี และสามารถเห็นถึงพัฒนาท่ีกาวหนาในการไกลเกลี่ย มีการนําเอาเครื่องมือตางๆ รวมถึงเทคนิควิธีท่ีเกิดจากการสั่งสมประสบการณมาใชในการไกลเกล่ียและการยุติขอพิพาทขอพิพาท ภายในชุมชน และในหลายๆศูนยยุติธรรมชุมชนที่ดําเนินการมาระยะหนึ่งจนเปนที่ยอมรับของชุมชน ก็ อาจจะมีบคุ คลภายนอกชุมชนมาใชบ ริการ 15 และหลังจากที่มกี ารดาํ เนินงานมาแลว ชว งระยะเวลาหน่ึงพบวา ในแตล ะพืน้ ที่เรมิ่ ทีจ่ ะเปน ท่รี ูจักของชมุ ชน เกิดความไววางใจ หนวยงานภาครัฐเรมิ่ ใหค วามสนใจ ภายใน กลมุ อาสาสมัครเองก็เริ่มที่จะมีระบบการทํางานที่เปนระบบ (ตามแบบของชุมชน)มากข้ึน มีการบันทึกมาก ข้นึ แมจะไมท ุกกรณีทมี่ กี ารไกลเ กลีย่ 2. ระยะการปรับปรงุ โครงสรางของเครอื ขา ย- และวางระบบการทาํ งาน ภายหลงั จากที่เริ่มเกิดระบบงานในการไกลเกล่ียระงับขอพิพาท ประกอบกับภายใน กลมุ อาสาสมัครมีความเขาใจและมีความชัดเจนในเปาหมายในเบ้ืองตน โดยมีทีมสนับสนุนเขาไปหนุนชวย เปนระยะ ทําใหเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสรางและกระบวนของการทํางานในลักษณะของอาสาสมัคร (ซ่ึง ตองมีการจัดสรรเวลา การปรับเปลี่ยนบทบาท การสรางความเขาใจรวมกันท้ังภายในครอบครัว และใน ระหวา งอาสาสมัครดว ยกนั และท่สี ําคญั คือตอชุมชน) พฒั นาการในระยะนี้จะเกดิ ขนึ้ ไปพรอ มๆ กบั การวางระบบการทํางานอาสาสมัครซ่ึง ในแตล ะคนมปี ระสบการณท ี่ไมเ ทา กนั และแตกตางกัน มีอํานาจ (ทั้งในทางกฎหมาย และโดยประเพณี) ที่ ไมเทากัน ดังนั้นการจัดทีม การต้ังเปาเพ่ือพัฒนาระบบโดยอาศัยประสบการณในการไกลเกล่ีย และการ ปองกันไมใหเกิดปญหาซํ้าหรือรุนแรงในอนาคตจึงถือวาเปนของขั้นตอนท่ีมีความสําคัญอยางย่ิง ทั้งนี้ เน่ืองจากข้ันตอนดังกลาวนี้หากมีการวางระบบงานท่ีดี (ซึ่งอาจจะเกิดข้ึนโดยการวางแผนท่ีดี หรือเกิดจาก ประสบการณท ีไ่ ดจ ากการปฏิบัติ) ก็จะทําใหเกิดระบบของกระบวนการยุติธรรมที่ทําหนาที่ในการไกลเกล่ีย 14รายงานการดําเนินงานของอาสาสมัครดงั กลา ว สามารถที่จะขอดรู ายละเอียดไดทศ่ี ูนยย ุติธรรมชุมชนในแตละตําบล แตเ น่ืองจาก ลกั ษณะของการบันทึกเปนการบันทึกเพอ่ื ทบทวนความจําของอาสาสมัคร ดงั นัน้ การนาํ ขอ มลู บันทกึ การจัดการความขัดแยง ดงั กลา ว จงึ มีขอ จํากดั ในแงของความเทย่ี งของขอมูล แตกม็ ีฐานะเปน ขอ มูลปฐมภูมิที่ดที สี่ ดุ ที่ไดจ ากศูนยยุตธิ รรมชุมชนในแตละพื้นท่ี 15รายละเอยี ดปรากฏในภาคผนวก 47

ระงับขอพิพาทข้ึนในชุมชนดังน้ัน หากในขั้นตอนน้ีหากอาสาสมัครยุติธรรมชุมชนไดมีโอกาสที่จะ ดําเนินงานอยางตอเนื่องก็จะทําใหศูนยท่ีจัดตั้งขั้นมามีความยั่งยืน (ทั้งนี้ไมไดหมายความวาจะตองมีความ ขัดแยงภายในชุมชนมาใหอาสาสมัครฝกประสบการณตลอดเวลา) แตจากการติดตามศูนยยุติธรรมชุมชน จากพ้ืนที่ตางๆ แตละพื้นที่มักจะมีกิจกรรมภายในศูนยอยางตอเน่ือง ซ่ึงอาจจะเปนการประชุมประจําเดือน ภายในเครือขายอาสาสมัคร ในบางพื้นท่ีเปนการประชุมรวมกับกํานัน ผูใหญบาน และรวมถึงนายก อบต. เปนตน ในระยะดงั กลา วนีเ้ อง ในบางศูนยฯ ที่ระบบการทํางานเร่ิมมีความชัดเจน ก็เริ่มท่ีจะ มีความคิดในการที่จะหาอาสาสมัครเขามาเสริมการทํางานและเร่ิมมีความคิดท่ีจะทําใหศูนยเกิดความ ตอเน่ือง แตในบางพื้นที่ดวยเง่ือนไขของการเปล่ียนแปลงของระบบการเมืองทองถ่ิน ก็อาจจะเกิดภาวะ ชะงกั ในดานการขยายอาสาสมคั รหรือการทํางานของศูนย แตไมไดหมายความวางานพื้นฐานในการทําการ ไกลเกลี่ยจะยุติลง งานในดานการไกลเกลี่ยก็ยังคงดําเนินการอยางตอเนื่อง และผลจากการดําเนินการของ ศูนยท ีท่ ําใหความขัดแยง ท่ีเกดิ ขนึ้ ในพ้นื ทไ่ี ดรับการจัดการโดยกลไกภายในชมุ ชนเอง จากการศึกษาเชิงเปรียบเทียบระหวางรายงานการไกลเกลี่ยประกอบกับการเขาไป เยี่ยมศูนยในพื้นที่ตางๆ ทําใหพบวา สถานการณความขัดแยงไมไดเปนสถานการณท่ีรุนแรงข้ึนหรือเปนที่ กังวลของชุมชนอีกตอไป การมีกลไกการไกลเกล่ียข้ึนภายในชุมชนและอาสาสมัครยุติธรรมชุมชนได แสดงบทบาทใหการอํานวยความเปนธรรมใหเกิดขึ้นและสามารถท่ีจะประสานไมใหความขัดแยงขยายตัว ออกไปทําใหชุมชนเกิดความเช่ือมั่น เกิดความไววางใจ และสามารถท่ีจะอยูรวมกันภายในชุมชน กระบวนการที่เกิดข้ึนภายในชุมชนดังกลาวเปนเหตุการณที่ทําใหเกิดการรับรูและเกิดสํานึกรวมกันเกี่ยวกับ กลไกใหมที่จะเปนที่พึ่งภายในชุมชนในการจัดการตนเองของชุมชน ดังจะเห็นไดจากในบางพ้ืนที่ท่ีการ ดําเนินการของศูนยยุติธรรมชุมชนดําเนินการไปไดเปนอยางดี ชุมชนเร่ิมเขามารวมในกระบวนการโดยการ ชวยแจงขาวเกยี่ วกบั สถานการณความขัดแยงใหแกศ นู ยย ุตธิ รรมชุมชนใหเขาไปชวยแกไข หรือในบางกรณี ชมุ ชนจะใหคําแนะนําใหคูกรณีที่มีความขัดแยงใหเขาไปใชบริการศูนยยุติธรรม และที่นาสนใจเปนอยางย่ิง ก็คือ ผลจากการดําเนินงานของศูนยยุติธรรมชุมชนในบางพ้ืนที่ซ่ึงมีการประสานความรวมมือกับหนวยงาน ภาครัฐในระดับตางๆ ท้ังในระดับตําบล ระดับอําเภอ ระดับจังหวัด การจัดการขอพิพาทในบางกรณีท่ีสวน ราชการจะตองเขามาเก่ียวของก็เกิดพัฒนาการในลักษณะที่เปนการดําเนินการวมกันในลักษณะตางๆ ที่เปน ประโยชนท้ังตอภาครัฐ ชุมชน ผูท่ีไดรับผลกระทบหรือไดรับความเสียหาย และรวมถึงผูกอใหเกิดความ เสยี หาย ดว ย 3. ระยะการใชป ระโยชน- และการตอ ยอด ดังท่ีกลาวไวต้ังแตตนแลววา การดําเนินการในการจัดตั้งศูนยยุติธรรมชุมชนของพ้ืนท่ี จังหวัดตรัง มีเปาหมายอยูท่ีการเพิ่มศักยภาพใหแกอาสาสมัคร และศักยภาพประการสําคัญท่ีทีมสนับสนุน ท้ังในสวนของ สกว.ทองถิ่น จ.ตรัง ก็ดี กรมคุมครองสิทธิฯ ก็ดี ภาควิชาการก็ดี เห็นพองตองกันคือ การ 48

เพ่ิมศักยภาพในการเรียนรูใหกับอาสาสมัครในการทํางาน ทั้งในดานการจัดกระบวนการภายในของ คณะทํางานและของศูนย การจัดการกับระบบงานที่จะตองพัฒนาเทคนิค วิธีการ ทีม ความรูสําหรับใชใน การจัดการกับขอพิพาท ระบบการปรับปรุงวิธีการทํางานท่ีจะตองทําอยางตอเน่ือง ซึ่งผูเขารวมโครงการ รบั รแู ละเขา ใจกจิ กรรมตา งๆ เหลานภ้ี ายใตคําวา “งานวิจยั เพื่อทองถน่ิ ” ผลทเี่ กิดขึน้ จากกระบวนการดงั กลาว สามารถสรปุ ไดดงั นี้ 1. ทําให “ความรู” ที่ชาวบานสรางและชาวบานรับรู เกิดข้ึนในระดับพ้ืนท่ีและเปนความรูที่ ตอบสนองตอความตองการของสมาชิกภายในชุมชน เปนประโยชนทั้งทางตรงและทางออมตอทองถิ่น เปนประโยชนท งั้ เฉพาะหนา (แกไขความคับขอ งใจจากความขดั แยง) และเปนประโยชนในระยะยาว 2. บนกระบวนการทํางานจริงจังอยางตอเนื่อง นอกจากเกิดการเรียนรูกันภายในกลุม และระหวาง กลุมตางพื้นที่แลว ยังเปนที่จับตามองภายในชุมชน ซึ่งในระยะแรกอาจจะเปนเพียงแครับรู แตไมเปนท่ี สนใจ แตสําหรับผูที่ไดรับการชวยเหลือ (ไมวาจะเปนผูเสียหาย ผูกอใหเกิดความเสียหาย ผูไดรับ ผลกระทบจากความขัดแยง) และหนวยงานภาครัฐท่ีเก่ียวของก็จะเริ่มเขาใจ และหากกระบวนดังกลาว ดาํ เนนิ การอยา งตอ เนอ่ื งและคอ ยเปด ใหผ ทู ่ีสนใจเขา มารว ม ก็จะเปนกระบวนการเรียนรูภายในชุมชน ท่ีมิได จบลงท่ีการออกไปไกลเกล่ียแลวจบลงตรงการไกลเกลี่ยเทาน้ัน การเรียนรูในระดับดังกลาวเปนเร่ืองสําคัญ และเปนโอกาสที่จะตอยอดขยายผล ซ่ึงแตกตางไปโดยสิ้นเชิงจากกระบวนการจัดการขอพิพาทโดยกระแส หลกั และ/หรอื โดยการทํางานแบบราชการท่ีมงุ ผลสําเร็จของการไดทํางาน แตไมเคยทํางานเสร็จตามความ ตอ งการของชมุ ชน 3. ผลจากการเรียนรอู ยางตอเนื่องและจริงจังดังกลาว ทําใหคอยๆ พัฒนาความเปนระบบ ความเปน กลไกโครงสรางใหเกิดข้ึน แตท่ีสําคัญจะตองเริ่มตนท่ีจะตองมีกระบวนการในการทํางานมาแลวในระดับ หนงึ่ กระบวนการและกลไกดงั กลาวนี้แตกตา งจากวธิ ีการของราชการทีใ่ ชวิธกี ารสั่งการใหเกดิ ขนึ้ และจาก การศึกษาการดําเนินงานของศูนยฯ แมศูนยฯดังกลาวจะซอนอยูบนโครงสรางของการปกครองทองท่ีใน บางสวน และซอนอยูบนโครงสรางขององคกรปกครองทองถ่ินในบางดาน แตจากการศึกษากลับพบวา ศูนยท่ีประสบความสําเร็จ (อยางนอยๆ ในปจจุบัน) ไมไดเปนศูนยฯ ที่ใชโครงสรางหรือกลไกของ โครงสรางระบบรัฐท่ีมีอยูในพื้นท่ี แตอาสาสมัครมักจะเลือกที่จะแยกออกมา (แตก็ไมปฏิเสธการอุดหนุน ชวยเหลือ) วิธีการเชนน้ีสามารถท่ีจะตีความไดวาเพ่ือตองการรักษาความเปนกลางซึ่งเปนหัวใจสําคัญท่ีสุด ประการหน่ึงของการทํางานในการจัดการความขัดแยง การเกิดกลไกท่ีเหมาะสมเชนน้ีเทากับเปนการสราง ระบบงานขึ้นมาภายในชุมชนเอง และเปนระบบงานที่จะเอ้ือตอการทํางานไดดีขึ้น และยังสามารถขยาย ภารกิจไปยังงานอื่นๆ ได และจากผลที่เกิดขึ้นท้ังสามประการขางตน ในบางพื้นที่ “ ความเปนศูนยฯ ” ความเปนระบบราชการ (การมีปาย, การมีบัตรอาสาสมัคร) จึงไมมีความหมายและความสําคัญอีกตอไป แต ศูนยฯท่ีชุมชนอยากเห็น คือ ศูนยฯ ท่ีทําหนาที่เปนเหมือนเซเวนอีเลฟเวนของชาวบาน ซ่ีงเม่ือมีความ เดอื ดรอ นจากขอพิพาทขนึ้ เม่อื ใด ศูนยฯ ยุตธิ รรมชุมชนสามารถเปน ท่พี ึ่งพงิ ได 49

และโดยกระบวนการทํางานของศูนยยุติธรรมชุมชนในข้ันนี้ (หลังจากที่มีการจัดระบบการ ดําเนินงานภายในที่เปนระบบท่ีเหมาะสมแลว) เปนขั้นของการตอยอดและใชประโยชนจากความเขมแข็ง และจากศักยภาพของอาสาสมัครที่มีความชํานาญ ความรู และเทคนิค จากการปฏิบัติจริงๆ การนําความรู จากบทเรยี นท่ีไดจากประสบการณตรงและยกระดับไปสูการใชประโยชนในรูปแบบตางๆ ขึ้นอยูกับชุมชน ที่เขา รว มโครงการวาจะออกแบบและนําองคความรซู ง่ึ เปน ผลที่เกดิ ขึ้นจากการปฏิบัติจริงไปขยายผลอยางไร ดวยวิธกี ารแบบไหน เชน จากความขดั แยง ทเ่ี กดิ ข้นึ มากๆ บอ ยๆ ท่เี กดิ จากสตั วเ ลยี้ งในบางชุมชนสามารถที่จะนําไปสกู ารออก กฎกตกิ าเกีย่ วกับการสตั วเล้ียงท่ีกาํ หนดใหเ จาของสตั วต องดูแลสตั วที่ตนเล้ยี งอยางไร จากปญหาเรื่องการลักทรัพย นอกจากจะมีการสรางระบบในการปองกันและเฝาระวังอาชญากรรม นําไปสูการวเิ คราะหสาเหตุปญ หาแลว ไปแกไขท่ีตนเหตุ จากปญ หาเรอ่ื งการระบาดของยาเสพติด ทําใหเ กิดระบบการทาํ งานรว มกันระหวางศูนยอาสาสมัคร ยตุ ิธรรมชุมชนกับโรงเรยี น เจาพนกั งานสอบสวน เกิดระบบเฝาระวังเพอื่ ปองกนั ปญหายาเสพติด จากปญหาของเยาวชนและวัยรุนในพื้นที่ นําไปสูการจัดการแกปญหาของเยาวชนในระดับชุมชน แบบครบวงจร มีการรวมกันทํางานจากหลายๆ ฝายรวมถึงครอบครัว และมีการเสนอวิธีการแกปญหาโดย วิธกี ารใหเ ด็กเยาวชนเขา มามสี วนรวมรับผิดชอบงานของสวนรวม เชน มอบใหวัยรุนเขามาเปนผูรับผิดชอบ ในการจดั ระเบยี บในงานของชมุ ชน ภายใตก ารมอบหมายของผใู หญบา น ฯลฯ ข. บทบาทของทีมสนับสนนุ สกว. ภาควิชาการ หนวยงานภาครัฐในระดับพื้นที่ ระดับกรม พรอ มดวยขา ราชการทีท่ ํางานกงึ่ นักวจิ ยั การจัดต้ังเครือขายยุติธรรมชุมชนจังหวัดตรังเกิดขึ้นภายใตโครงการเสริมสราง อาสาสมคั รของกรมคุมครองสิทธแิ ละเสรภี าพ กระทรวงยตุ ิธรรม โดยใชการทาํ งานวจิ ัยเพอ่ื ทองถ่ิน โดยการ สนับสนุนความรวมมือระหวางกรมคุมครองสิทธิและเสรีภาพกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ฝาย วิจัยเพอ่ื ทองถ่นิ เปน ระยะเวลา 2 ป มกี ารดําเนนิ กจิ กรรมตามท่อี อกแบบไวในโครงการ โดยมกี ิจกรรมหลกั ๆ ทเี่ ปน การเสริมศักยภาพในการดําเนนิ การของอาสาสมคั ร ดงั ตอไปนี้ 1. การเตรียมความพรอ มทมี วิจัย เปนการเตรียมทีมที่จะเขาไปทํางานกับชุมชน การเตรียมความพรอมในลักษณะทีม วิจัยดังกลาวเปนเรื่องที่สําคัญที่จะทําใหโครงการไดรับการยอมรับและเกิดความยั่งยืน มีการจัด มีทีมวิจัยใน พ้ืนที่ มีผูท่ีจะทําหนาที่เปนพี่เลี้ยงและเปนที่ปรึกษา มีการส่ือสารทําความเขาใจกับทีมวิจัยในระดับตางๆ อยา งตอเนื่องเพ่ือนาํ ไปสกู ารจัดเวทีชีแ้ จงกับชุมชนในพ้ืนที่ ซ่ึงจะเห็นไดวามีวิธีการท่ีแตกตางไปจากการนํา โครงการเขา ไปสูช ุมชนของระบบราชการ 2. การจัดเวทีชี้แจงโครงการตอชุมชน เพ่ือแนะนําทีม และขอความรวมมือในการเก็บ ขอ มูล 50

3. การรวบรวมและบนั ทกึ ขอ มูลการจัดการปญ หาความขดั แยงในชุมชน กระบวนการในการเก็บรวบรวมขอมูลการจัดการความขัดแยงโดยชุมชนมีเปาหมาย เพ่ือตองการใหชุมชนเขาใจสภาพของชุมชนของตนเอง และประเมินศักยภาพในการจัดการความขัดแยง ของชุมชน 4. การเรียบเรียงขอมลู และการชวยกันตรวจสอบขอมูล เพอ่ื ตอ งการท่ีจะเปล่ียนฐานขอ มลู ที่อยใู นรปู ของความทรงจาํ มาเปน รปู แบบเอกสาร ท่เี รยี นรแู ละสงตอกนั ได 5. การวิเคราะหขอมูล ซ่ึงถือวา เปน ขน้ั ตอนทสี่ าํ คัญในการสรางภาพรวมความขัดแยงที่ ชุมชนจะเขาไปจัดการในพ้ืนท่ีของตน ใหชุมชนเห็นและเขาใจวิธีการท่ีเคยดําเนินการมาโดยมีกรอบในการ วิเคราะหใ นเร่ือง 5.1 เน้ือหาความขัดแยงและการจัดการปญหาความขัดแยง สาเหตุ ความสัมพันธของ คกู รณี วิธีการไกลเ กลีย่ ผลการจัดการ จดุ ท่ีส้ินสุดความขัดแยง (ในชมุ ชน ในช้นั ตํารวจ-อาํ เภอ ในช้ันศาล) 5.2 สังเคราะหความรูท่ีอาสาสมัครไดรับจากศึกษาการจัดการความขัดแยงที่โดยมี แนวทางการสังเคราะหเพ่ือตรวจสอบจํานวนปญหาความขัดแยงท่ีเกิดขึ้น ประเภทของความขัดแยง สาเหตุ หลักๆ ของความขัดแยง/แนวทางการยุติความขัดแยง/ผลของการยุติความขัดแยง และในฐานะของศูนย ยตุ ิธรรมชุมชนจะเรยี นรแู ละหาแนวทางการแกไขอยางไร แนวทางการทํางานของศูนยฯ ท่ีเปนรูปธรรมของ การแกป ญ หาจะทําอยา งไร มีการเปรยี บเทียบจาํ นวนรอยละของความขดั แยงท่ีไปยุติในชั้นศาล สถานีตํารวจ หรืออําเภอ กับเรื่องท่ียุติในชุมชน ทําการเปรียบเทียบจุดดี-จุดดอยของการจัดการปญหาความขัดแยงโดย กระบวนการของชุมชนและกระบวนการของยุติธรรมกระแสหลัก ความคุม คาคุมทนุ ในแตล ะวธิ ี 6. การนาํ เสนอขอ มลู ผลการวเิ คราะหใ นระดบั หมบู า น โดยมีเปา หมายทตี่ องการประชาสัมพันธศนู ยฯ และนําเสนอขอมูลการจัดการปญหา ความขัดแยงที่ไดจากการเก็บรวบรวมทั้งหมด ตลอดจนนําเสนอกรณีศึกษาแกชาวบานท่ีเปนกลุมเปาหมาย คือ เปนผูท่ีมีขอพิพาทในชุมชน ชาวบานท่ีสนใจ เจาหนาที่จากหนวยงานที่เกี่ยวของในพ้ืนท่ีไดแก อบต. สายตรวจประจําตําบล นอกจากนี้ยังมีเจาหนาท่ีจากหนวยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม อาทิ สํานักงาน คมุ ประพฤติจังหวัดตรงั สาํ นกั งานยุติธรรมจังหวดั ตรัง รวมถึงทนายความเขารว มดว ย 7. การนําเสนอขอมลู ผลการวิเคราะหร ะดับตาํ บล เพื่อตองการที่จะประชาสัมพันธการทํางานของศูนย การสื่อสารกับหนวยงาน ภาครัฐท่ีเก่ียวของกับการจัดการความขัดแยงทั้งหนวยงานในพ้ืนที่ และหนวยงานในสังกัดกระทรวง ยุติธรรม เจาหนาที่จากหนวยงานอ่ืนๆ เชน นายอําเภอ ผูกํากับการสถานีตํารวจ หนวยงานที่ชุมชนอยาก ทราบขอมูล หรือท่ีเก่ียวของกับความขัดแยงท่ีเกิดขึ้น เชน กองทุนสงเคราะหสวนยาง หัวหนาที่ดินอําเภอ ฯลฯ มารวมในเวที ผลพลอยไดจากเวทีดังกลาวเปนการเสริมความมั่นใจใหแกอาสาสมัคร ส่ือสารสราง ความตระหนักใหแกห นว ยงานภาครัฐ 51

8. การนําเสนอผลการดําเนินงานในเวทรี ะดบั จังหวัด เปาหมายของการจัดเวทีในระดับจังหวัดตองการท่ีจะใหแตละพ้ืนท่ีแลกเปล่ียนผล การดําเนนิ งานในแตล ะพ้ืนที่ มีเวทีใหกับสวนราชการในระดับจังหวัด ระดับกรม ภาควิชาการ และตัวแทน จากพื้นที่แลกเปล่ียนประสบการณ การจะเช่ือมโยงสานตอโครงการฯกับนโยบายในระดับกรมและ กระทรวง มีการจัดนิทรรศการนําเสนอผลงานของแตละพื้นท่ี มีการนําเสนอผลการสังเคราะหชุดความรูท่ี ได เพอื่ นําไปเปน รูปแบบในการขยายผลการทํางานในพ้ืนท่อี ืน่ จากการดําเนินการของศูนยอาสาสมัครยุติธรรม และจากรายงานกรณีการไกลเกล่ียขอพิพาทที่ เกิดข้ึนในพื้นท่ีดําเนินการจํานวนหนึ่ง สามารถท่ีจะเห็นถึงบทบาทความรวมมือในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอยางยิ่งกับเจาหนาท่ีของสวนราชการที่เก่ียวของ โดยรูปแบบของการเขามามีสวนในการ ดําเนนิ งานที่สามารถประมวลไดจ ากพน้ื ท่ปี ฏบิ ัตกิ ารดังตอ ไปนี้ 1. การเขามาสนับสนุนการดําเนินการของอาสาสมัครยุติธรรมตามท่ีอาสาสมัครยุติธรรมรองขอ เชน กรณชี า งรงั วดั ท่เี ขา มาชว ยชี้แนวเขตทด่ี ิน หรอื มารายงานผลการดําเนินการตามขอ รองเรียน 2. เจาพนักงานตํารวจ และเจาพนักงานสอบสวนในความผิดคดีอาญาที่เขามามีสวนในการ ไกลเกลี่ยใหขอพิพาทสามารถมีขอยุติ และในขณะเดียวกันเจาพนักงานตํารวจนอกจากจะชวยในการไกล เกลี่ยแลว เจาพนักงานตํารวจยังเขา มาชว ยปอ งกนั ปญหาไมใ หเกิดขึน้ ซาํ้ เปนตน 3. เจาพนกั งานทีด่ ิน เขามามสี ว นในการใหขอมูล/ช้ใี หเ ห็นปญ หาขอจํากัด 4. เจาหนาที่ของสํานักงานกองทุนสงเคราะหการทําสวนยาง เขามาชวยแกปญหาโดยการออก ขอ บังคบั และแนวปฏิบตั ใิ นการปลกู ตน ยางท่ีจะไมเกดิ ความขดั แยง กัน 5. นายอําเภอ เขามาชวยในการไกลเกลี่ยในปญหาท่ีเกินจากความสามารถท่ีอาสาสมัครจะ ดําเนินการได 6. ผูอํานวยการโรงเรียนในพ้ืนท่ีนําอาสาสมัครยุติธรรมชุมชนใหเขาไปชวยแกไขปญหาการ มั่วสุมของเดก็ นักเรียน 7. การมีชองทางในการติดตอระหวางอาสาสมัครในระดับพื้นที่กับหนวยงานของกระทรวง ยตุ ธิ รรม ท้งั ในระดบั จงั หวดั ( ยตุ ธิ รรมจังหวัด) และในระดับกรม เพื่อประสานแนวทางในการแกไขปญหา ในการทาํ หนา ทใ่ี นการไกลเ กลีย่ ของอาสาสมัคร ฯลฯ ซึ่งภายใตกระบวนการทํางานอยางตอเนื่องและใกลชิดแบบน้ี ทําใหชุมชนเกิดการปรับเปลี่ยน ทัศนะในการมองบทบาทของขาราชการท่ีเปล่ียนไปจากเดิม เห็นขอจํากัดของตัวขาราชการที่อยูในพ้ืนที่ ขณะเดียวกันภายใตโครงการนี้มีการทดลองสรางขาราชการที่เขารวมดําเนินการกับชุมชนในฐานะนัก ปฏิบัติการทางสังคมในการเสริมสรางศักยภาพของชุมชน (ซ่ึงยังมิไดประเมินผลอยางจริงจัง แตชุมชนให การตอบรับ ใหความรว มมือรกั ใครเ อ็นดู เหมอื นเปนขา ราชการในอดุ มคติของชมุ ชน ) 52

ค. บทบาทของชุมชน-และประชาชนที่ไดร บั บรกิ าร ความสําเร็จของงานยุติธรรมชุมชนอยูท่ีอาสาสมัครไดรับการยอมรับจากชุมชน และ ชุมชนเห็นประโยชนและคุณคาการดําเนินงานของศูนยยุติธรรมชุมชน ดังนั้น การยอมรับของชุมชนจึง ไมไดอยูที่ผูท่ีทําหนาที่ในการระงับขอพิพาทเปนผูที่มีอํานาจหรือบารมีเทานั้น หากแตอยูท่ีการกระทํา วิถปี ฏิบตั ทิ ่ีดีของอาสาสมคั ร ตลอดจนความเปน ธรรมท่ีคกู รณีไดรับจากการไกลเกลี่ยของอาสาสมคั ร บทบาทของชุมชนนอกจากจะยอมรับใหเกิดกลไกการระงับขอพิพาทใหเกิดข้ึนใน ชุมชนแลว จากการศึกษาศูนยอาสาสมัครชุมชนที่ประสบความสําเร็จ โดยสามารถท่ีจะทําใหความขัดแยง ลดลงได บทบาทของชุมชนในพ้ืนท่ีท่ีสถานการณความขัดแยงลดนอยลงเชนน้ีนอกจากชุมชนจะยอมรับ กลไกดงั กลา วแลว ชมุ ชนยงั ทาํ หนา ทเี่ ขามาหนนุ ชว ยการทาํ งานของอาสาสมัคร ในลักษณะของการชวยให ขอมูลเกี่ยวกับความขัดแยงท่ีมีอยู หรือที่เกิดขึ้น หรือที่กําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทําใหอาสาสมัครสามารถที่จะ เขาไปชว ยไกลเ กล่ียลดการขยายตัวของผลทางดานของความขดั แยงทจ่ี ะเกิดขึน้ ตอชมุ ชนลง (2) การขยายตวั ของยตุ ธิ รรมชุมชน ก. ความสนใจของพื้นท่ีตาํ บลใกลเคยี ง ในชวยระยะเวลาเกือบๆ หาปท่ีผานมากระบวนการในการพัฒนาเก่ียวกับงานยุติธรรม ชุมชนในพ้ืนที่จังหวัดตรัง ผานการปรับเปล่ียนนโยบายและแนวทางการทํางานมามากมาย หากแตในพื้นท่ี จังหวัดตรังตามท่ีไดรับโอกาสจากกรมคุมครองสิทธิและเสรีภาพ ยอมใหมีการทดลองเดินงานยุติธรรม ชุมชนทีอ่ อกแบบการทํางานท่ีมีลักษณะพิเศษ มีภาคีความรวมมือจากหลากภาคสวน ทั้งที่ใหการสนับสนุน อยา งเต็มที่ ท้งั ทีพ่ ยายามเขามาหนุนเสริม ใหการชวยเหลือ จนกระทั่งเปนกําลังใจ มีกระบวนการเช่ือมโยง กับภาคสวนตางๆ ในระดับนโยบายก็แวะเวียนเขามาใหกําลังใจเปนระยะ ฯลฯ ทั้งหมดดังท่ีกลาวมาน้ี ใน ระดับชุมชนทองถิ่นดวยกัน กลายเปนสิ่งที่ถูกจับตามอง และย่ิงมีเสียงชื่นชมปากตอปาก มีผูมาใชบริการ แลวรูสึกไดถึงความทุกขจากความขัดแยงท่ีถูกปลดเปลื้องออกไป ทําใหเกิดการเปล่ียนแปลงทางความคิด ของผูนําที่อาจจะมารับแนวทางวิธีการเพื่อไปพัฒนาตอในพ้ืนที่ของตน เพราะเม่ือเห็นแลววาเกิดประโยชน ตอชุมชน และเกิดประโยชนและเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทํางานในฐานะผูนําที่ทําหนาที่เนนใน ทางการปกครอง เนนการแกไขปญหาท่ีนับวันจะเพิ่มทวีมากข้ึนนําไปสูการทํางานเชิงรุก เนนการปองกัน ปญหา การพัฒนาศักยภาพ การกระจายงาน และท่ีสําคัญคือการไดผูที่จะเขามาชวยในการแบงเบาภาระใน การทํางานท่ีเคยรวมศูนยทุกอยางไมอยูกํานัน ก็ผูใหญบาน หรือนายก อบต. หรือสมาชิก อบต. ซ่ึงใน ปจจุบันพ้ืนท่ีตําบลรอบตําบลท่ีมีการตั้งศูนยฯ ที่มีผูนําท่ีทันสมัย รวมถึงชุมชนทองถิ่นท่ีทํางานในเชิง เครือขายในประเดน็ อน่ื ท่ีอยใู นพน้ื ที่จงั หวดั ใกลเ คยี งก็มีความสนใจติดตอ มาเพ่อื ขอเขามาศึกษาเรียนรูวิธีการ ของศูนยย ุติธรรมชมุ ชนในจงั หวดั ตรังตามทไ่ี ดด าํ เนนิ การมา 53

ข. การใชบ ริการของประชาชนท่ีอยูน อกพ้ืนที่ เนื่องจากความเปนชุมชนไมไดถูกตัดขาดดวยเขตการปกครอง แตชุมชนต้ังอยูบนฐาน ของเครือญาติ และการจัดความสัมพันธในเชิงวัฒนธรรมในรูปแบบตางๆ ดังน้ัน เม่ือเกิดความขัดแยงและ ไดรับการชวยเหลือเยียวยา มีกลไกท่ีคอยชวยแกไขความทุกขใจได และสามารถเขาถึงไดงาย จึงเปนเรื่อง สามญั ประจําชุมชนท่ีมีการนําเอาเร่ืองดังกลาวมาพูดกัน ดังนั้น ในกรณีที่เกิดความขัดแยงขึ้นนอกพื้นที่และ ในพื้นท่นี นั้ ไมม ผี ูท ี่ทาํ หนา ท่เี หมือนกบั อาสาสมัครยตุ ธิ รรมชมุ ชน ผูทเ่ี กีย่ วขอ งกับความขัดแยงโดยออมท่ีอยู ในพื้นท่ีท่ีมีการจัดตั้งศูนยฯก็จะเปนผูขอความชวยเหลือใหไปชวยไกลเกล่ีย หรือทางผูท่ีไดรับผลกระทบ จากความขัดแยงโดยตรงท่ีอยูนอกพ้ืนท่ีอาจจะเขามาติดตอศูนยโดยตรงเพื่อขอใหไปชวยดําเนินการ ไกลเกลี่ย ซง่ึ เร่มิ มีการรองขอเชนนี้ในจาํ นวนท่เี พ่มิ ขนึ้ (3) การยกระดบั งานยุตธิ รรมชมุ ชน แมการเรมิ่ ตนงานยตุ ธิ รรมชุมชนจะเร่มิ ตน โดยมเี ปาหมายเพื่อจัดการกบั ความขดั แยง และ กลาวใหถึงท่ีสุดก็เพื่อประโยชนของภาครัฐและของกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักท่ีไมสามารถรองรับ กับคดีทุกๆ คดีที่จะตองเขาสูกระบวนพิจารณาของศาล แตในที่สุดเม่ือมีการดําเนินการจัดการความขัดแยง โดยชุมชน ดวยกลไกที่สรางขึ้นภายใตงานวิจัยทองถ่ิน ซ่ึงดําเนินการอยูบนระบบฐานขอมูล ความรู และ การมีสวนรวมทั้งจากภายในชุมชน ทีมวิชาการ หนวยงานภาครัฐในพ้ืนท่ี และเปนไปดวยความ ตรงไปตรงมา โดยมีเปาหมายท่ีตองการทําใหผูที่ไดรับความเดือดรอนจากความขัดแยงทั้งทางตรงและ ทางออมไดรับการเยียวยา มีกระบวนการทางสังคมทําใหสํานึกในการกระทํา ไดรับการใหอภัย และไดรับ โอกาสที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซ่ึงเทากับวางานยุติธรรมชุมชนนอกจากจะชวยลดความขัดแยงแลว ยัง เปนการเพ่ิมทุนทางสังคมใหแกชุมชน ดังนั้น ชุมชนที่มีความขัดแยงไมมากและสามารถที่จะจัดการและ ฟนฟูความสัมพันธใหกลับคืนมาได จึงเปนชุมชนที่มีความพรอมในการท่ีจะพัฒนาไปในทางดานอื่นท่ี ชุมชนอยากจะดําเนินการ ซึ่งบทบาทของอาสาสมัครยุติธรรมก็ตองตอบสนองความตองการดังกลาว ท้ังน้ี คงตองกาํ หนดขอบเขตภารกิจใหชัดเพอ่ื มิใหไปขัดแยงกับบทบาทของตําแหนงอืน่ ๆ ทอ่ี ยใู นชุมชน 5.2.2 ยุติธรรมชมุ ชนในเชงิ “ องคความรู ” ในงานศึกษาน้ีแมไมไดมีวัตถุประสงคหลักเพื่อการถกเถียงในทางทฤษฎีทางวิชาการ แตเพ่ือ สรางความชัดเจนในความหมายของคําตางๆ ที่มาขยายคําวา “ยุติธรรม” ไมวาจะเปนคําวา “ยุติธรรม ทางเลือก” “ยุติธรรมเชิงสมานฉันท” “ยุติธรรมชุมชน” หรือแมกระท่ังคําใหมอีกคําท่ีเสนอเขามาในงานน้ี คือ “ยุติธรรมเชิงความรวมมือ ” ทั้งนี้ เพื่อไมตองการใหกรอบความหมายของคําที่แตละฝายเขาใจ (ท่ีไม ตรงกัน) ทําใหเกิดอุปสรรคตอการเคล่ือนงาน แตในทางตรงกันขาม ในงานถอดบทเรียนนี้ตองการท่ีจะ เสนอขอเท็จจริงและผลที่เกิดข้ึนจากการดําเนินการรวมกันของฝายตางๆ แลวนําไปสูผลที่สามารถจัดการ ความขัดแยงระหวางคูกรณีได (ดีกวาระบบที่มีอยู) เกิดผลกระทบในเชิงบวกในดานตางๆ ตอชุมชน เกิด 54

กลไกทชี่ ุมชนชวยกันออกแบบ คิดเสนอองคประกอบ คิดกิจกรรมภารกิจและใชประโยชนตามสมควร เกิด การขยายตัวของกระบวนการทํางาน ซึ่งหากใชเกณฑการเจริญเติบโตมาวัดก็จะพบวากลไกดังกลาวเขาไป เปนสวนหนึ่งของชุมชนและท่ีสําคัญในระดับชุมชนและผูที่เกี่ยวของไดเรียนรูบทเรียนท่ีสําคัญๆ หลาย ประการท่ีเกิดจากการปฏิบัติมากกวาการอานขอมูลและทึกทักเอาวาเปนความรู ดังน้ันจากการถอดบทเรียน ครัง้ น้ี ขอ มลู ท่ีไดดงั กลาวสามารถสะทอนกลบั ไปยงั องคค วามรเู กี่ยวกบั “ความยุติธรรม” ไดอ ยา งไรบาง (1) ยตุ ิธรรมชุมชนในฐานะบทสะทอนแนวคิดของระบบกระบวนการยุติธรรม (Reflexivity of Justices SystemConcept ) จากงานศึกษาในเชิงการถอดประสบการณของงานการสรางเครือขายยุติธรรมชุมชน จงั หวัดตรัง ทาํ ใหเห็นมุมทเ่ี ปนการสะทอนกลับไปยังแนวคิดของระบบกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักที่ เปนทางการในปจจบุ นั ในประเด็นเชิงแนวคดิ ทส่ี ําคัญหลกั ๆ ดงั ตอไปนี้ ก. การที่ชุมชนลุกขึ้นมาแสดงศักยภาพในการจัดการและสามารถจัดการไดเปนที่พอใจ แกผูท่ีเกี่ยวของทุกๆ ฝายของความขัดแยง ซ่ึงแตเดิมเปนบทบาทของภาครัฐที่สั่งการจากระบบรวมศูนย (Centralization) ในชั้นตางๆ และทําใหอํานาจในการจัดการกับความขัดแยงของชุมชนลดลงหรือหายไป และไปอยูท่กี ลไกรัฐในระดับอําเภอ จังหวัดและในระดับชาติแทน แตจากขอเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นในพื้นที่ศูนย ยุติธรรมตามโครงการในจังหวัดตรังสะทอนภาพใหเห็นถึงวิธีการจัดการความขัดแยงในอดีตและศักยภาพ ปจ จุบันวาชุมชน (ท่ีมีการเตรียมความพรอมแลว) สามารถท่ีจะจัดการความขัดแยงไดและสามารถจัดการได เปนอยางดี ดังนั้นหากรัฐซึ่งมีนโยบายท่ีชัดเจนอยูแลว มาสงเสริมสนับสนุนใหชุมชนปฏิบัติไดจริงในพ้ืนที่ ของชุมชน (Local – Community Base) แทนท่ีจะเปนแบบส่ังการก็จะทําใหความหมายของคําวา “ความ ยุติธรรม” มีโอกาสทีจ่ ะเตมิ เตม็ มากข้นึ โดยประชาชน ชุมชน สามารถทีจ่ ะเขา ถงึ ไดจ รงิ ๆ ข. จากระบบมาตรฐานเชิงเดี่ยว ( Single standardization) ไปสูระบบพลวัตร ( Dynamic ) วธิ ีการแกไขเยียวยา ดวยเหตุท่ีระบบกฎหมายไทยเปนระบบประมวลกฎหมาย เจาพนักงานใน กระบวนการยุติธรรมมีทางเลือกไมมากนักท่ีจะใชอํานาจตามกฎหมาย ดังนั้น ผลที่เกิดข้ึนก็คือในบางครั้ง เจาพนักงานในกระบวนการยุติธรรมจึงมักจะหาทางเล่ียงกฎหมายเพื่อความเปนธรรม และบนความเปน มาตรฐานเชิงเดียวแบบรวมศูนยเชนน้ี จึงทําใหนับวันกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักตองเผชิญวิกฤติ ศรัทธา แมในบางดานของระบวนการยุติธรรมจะปรับตัวผอนคลายลงไปบางก็ตาม แตก็ยังไมเกิดการ เปลี่ยนแปลงเทาท่ีควรเพราะระบบราชการพยายามดึงกลับไปสูความเปนมาตรฐานเดียว และใน ขณะเดียวกันก็เกิดชองทางการเรียกรับผลประโยชนเพราะเจาพนักงานสามารถตั้งเร่ืองคดีใหเขามาตรฐาน หรือต่ํากวาเกณฑท่ีกฎหมายจะจัดการได แตในกรณีของการจัดการความขัดแยงของชุมชนดวยเหตุที่ไมติด อยูกับเกณฑมาตรฐานทางกฎหมายมาตัง้ แตต น ดงั นั้น จึงทําใหวิธกี ารในการจัดการกบั ความขัดแยง และการ นึกถึงมาตรการและวิธีการในการแกไ ขเยียวยาจึงนึกถึงความพอเหมาะพอควร ความเปนไปไดในความเปน 55

จริงในทางปฏิบัติ ความสมเหตุสมผล (ตามฐานคิดของชุมชน) และความยุติธรรมในทัศนะของชุมชนใน การยุติความขัดแยง ซึ่งแมจะดูเหมือนวาไมมีหลักเกณฑท่ีคงเสนคงวา มีความแตกตางกันในแตละความ ขัดแยง สภาพเชนน้ีเปนสภาพท่ีพบเห็นไดโดยทั่วไปในการจัดการความขัดแยงและการระงับขอพิพาท ซึ่ง ก็มีลักษณะเชนเดียวกับการใชอํานาจของศาลในคดีที่เด็กและเยาวชนเปนผูกระทําความผิด หรือในคดี ความผดิ การใชค วามรุนแรงในครอบครวั ทใ่ี หอํานาจศาลในการกาํ หนดมาตรการทเี่ หมาะสมได ค. จากผูเชี่ยวชาญในการทางคดี (Expertise)ไปสูการเปนนักจัดการความเปนธรรมใน ระดับชมุ ชน (Community Justices Management) เมอ่ื ยุตธิ รรมชมุ ชนเปน เรอ่ื งของชมุ ชน ซึง่ ตางจากกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักที่ บทบาทอยูท ี่นักกฎหมายเปนผูกมุ กระบวนการทง้ั หมด ดงั น้นั กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลักจึงตั้งอยูบน อํานาจและการแสดงบทบาทของนักกฎหมาย และเนนหนักไปในทางเทคนิคทางคดีมากกวาการคนหา ความจริง เพราะมีกรอบของกฎหมายวิธีพิจารณาความและกฎหมายพยานหลักฐาน รวมถึงขอจํากัดของ เวลาทต่ี องทุม เทในการดาํ เนนิ คดี ซง่ึ สภาพเชน น้ีมโี อกาสในความผิดพลาด และการเสย่ี งท่ไี มสามารถเขาถึง ความเปนธรรมสงู มาก ในขณะท่ีวิธีการซึ่งอาสาสมัครยุติธรรมชุมชนนํามาใชในการไกลเกล่ียจัดการกับขอ พิพาท มวี ธิ ีการท่ีหลากหลายในการคนหาความจริง รวมถึงสามารถรับรูประวัติพฤติกรรมของผูท่ีเกี่ยวของ ซ่งึ เปน ขอ เทจ็ จรงิ ที่สาํ คัญทจี่ ะนําไปสูก ารพิจารณาทางออกของปญหาความขัดแยงและวิธีการในการเยียวยา ที่เปนธรรม รวมถึงยังสามารถท่ีจะติดตาม เฝาระวัง ประคับประคองโดยการใชกลไกในระดับชุมชน ทองถิ่นเปนผูดําเนินการ ดังน้ัน ความเปนธรรมจึงไมไดเปนเร่ืองของนักกฎหมายเหมือนกับที่สังคมเขาใจ และคาดหวงั แตเ พียงฝายเดียว แตยังมีอีกหลายๆ ฝายที่จะตองเขามาเกี่ยวของเขามารวมรับผิดชอบ และเมื่อ มีหลายๆ ฝายเขามารับผิดชอบจึงไมควรท่ีจะเปนเรื่องผูเชี่ยวชาญ แตตองมีกระบวนการในการบริหาร จดั การใหเกิดการบรู ณาการหรือเกิดความรวมมือในการทํางาน (2) การขามพน “กบั ดักทางความคิด” ก. ในระดบั ชมุ ชน กระบวนการเคล่อื นงานยุติธรรมชุมชนโดยใชง านวจิ ัยเปน ตัวขบั เคลื่อนทําใหสามารถ ตอบคําถามตางๆ ท่ีเกิดขึ้น ทั้งคําถามท่ีเปนเปาหมายสุดทายของการทํางานและคําถามที่เกิดข้ึนในระหวาง การดําเนินงานในแตละขั้น การมีโอกาสเขาไปแลกเปลี่ยนในการดําเนินงานท่ีตัวแทนสวนราชการมารวม อยูดวย สามารถทําใหเกิดความเขาใจในมุมการทํางานของภาครัฐวาไมไดมีคําตอบใหแกทุกๆ เร่ือง มี ขอจํากัด มีปญหาเร่ืองขั้นตอน ความลาชา การท่ีมีหนวยงานภาครัฐเขารวมในการแกปญหา จัดการความ ขดั แยงรวมกบั อาสาสมัครยตุ ธิ รรมชมุ ชนเปน ระยะทําใหเกดิ ความเขา ใจ ความเหน็ ใจ การไดร ับทราบขอมูล โดยตรงจากหนว ยงาน และท่ีสําคญั ทาํ ใหเหน็ โอกาสและทางออกของปญหา ท่ีจะนํามาใชในการระงับหรือ จดั การกับขอพิพาท 56

ดังนั้น จากเดิมที่นอกจากไมใหความรวมมืออยางจริงใจแลว ยังปฏิเสธ ตอตาน แต ภายใตกระบวนการทํางานแบบยุติธรรมชุมชน แทนที่จะเปนการตอตานไมใหความรวมมือดังเชนแตกอน กลับทําใหชุมชนคอยๆ ตั้งคําถามและเรียนรู ซ่ึงในปจจุบันบางชุมชนอยูในระดับของการเขารวมกับ หนวยงานของรฐั และอีกหลายๆ พ้นื ท่กี าํ ลังจัดการใหเกิดการประสานความรว มมือ ข. ในทางวิชาการ ในโลกวิชาการสมัยใหมและวิชาการในยุคหลังสมัยใหม ขอถกเถียงที่เปนประเด็น แรกๆ ท่นี าํ ขึ้นมาถกกัน คือ คาํ นิยาม ซ่งึ อาจจะกลา วไดว า เมื่อใดก็ตามท่มี กี ารขดี เสนคํานยิ าม เม่ือนั้นจะเกิด ปญหาข้ึนมาโดยทนั ที เพราะเสนคาํ นิยามที่มีการตีกรอบแบงกันเชนน้ัน เปนกับดักทางความคิดเพราะเปน การถกเถียงกันในลักษณะที่มีความเปนนามธรรมสูงมาก แตการเร่ิมจากปรากฏการณจริงทําใหเห็น รายละเอียดของการปฏิบัติ ตัวละคร ผูแสดง บริบทของระบบ อารมณทาที ทัศนะ ความรูสึก ฯลฯ องคประกอบเหลา นีจ้ ะชว ยทําใหขา มพน กบั ดกั ทางความคดิ ทค่ี รอบงาํ ทศั นะของนักวชิ าการได งานศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของภาคประชาชนในกระบวนการยุติธรรมดังเชนกรณี งานวิจัยน้ี นอกจากจะชวยตอบคําถามในเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องกระบวนการยุติธรรมทางเลือก กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท แลว โดยนัยของโครงการดังกลาวยังเปนการขยายพรมแดนความรู ในทางนิติศาสตรใหสามารถเปนทางออกใหกับสังคมในทามกลางการเปล่ียนแปลงอยางรวดเร็ว มีคําถาม ใหมๆ ที่ทาทายสติปญญาของนักเรียนกฎหมาย ทาทายความรูมีมีอยูในองคกรทางกฎหมายตางๆ รวมถึง มหาวิทยาลยั ทมี่ กี ารเรียนการสอนทางดานนิติศาสตร ดวย และนอกจากน้ัน ยังตองใชความรูที่เปนการขาม ศาสตรต างๆ อกี ดว ย ดังจะเห็นไดจากการไมติดยึดอยูกับแนวคิดทฤษฎีอยางตายตัว จึงทําใหเกิดการพัฒนา ทางแนวคิดที่เก่ียวกับการมีสวนรวมและบทบาทของภาคประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ดังเชน ใน ปจ จบุ ันมขี อ เสนอแนวคดิ ใหมท ี่เก่ยี วกับกระบวนการยุติธรรมท่ีเปดโอกาสใหประชาชน ชุมชนเขามามีสวน รวม ซ่ึงไมไดมีเพียงแนวคิดเร่ือง ยุติธรรมทางเลือก ยุติธรรมเชิงสมานฉันท เทาน้ัน แตไปสูอีกแนวคิดคือ แนวคิดเร่ือง กระบวนการยุติธรรมเชิงความรวมมือ (Collaborative Justices) ดังที่กลาวถึงไวเพียงเบ้ืองตน ในสวนทวี่ า ดวยแนวคิดท่เี กย่ี วขอ ง (3) ยุตธิ รรมชมุ ชนจงั หวัดตรงั ในเชิงคณุ คา นอกจากขอถกเถียงท่ีทําใหเกิดคุณูปการตอแวดวงวิชาการแลว ควรท่ีจะกลาวถึงคุณคา ในเชิงองคความรูท่ีการพัฒนาขึ้นโดยบทบาทของชุมชนในฐานะท่ีเปนตัวกระทําและผูแสดงหลัก นอกจาก จะเกิดความรูท่ีเหมาะสม ตอบสนองและเสริมการทํางานขององคกรชุมชนทองถิ่นในการจัดการความ ขดั แยง แลว โดยผลของกระบวนการดังกลาวจากการปฏิบัติทําใหเกิดระบบและการจัดโครงสรางองคกรใน การทํางานการจัดการความขัดแยง ซึ่งเปนการเสริมพลังใหกับชุมชนทองถ่ินในการที่จะจัดการกับปญหา ตนเอง และขยายผลการจัดการ จากการจัดการกับปญหาที่เปนการลดทอนศักยภาพและความเขมแข็งของ 57

ชุมชนไปสูการจัดการโดยการสรางบรรยากาศใหเกิดความรวมมือกันข้ึนในชุมชน และใชพลังในการ จดั การปญ หา(ท่ีลดลง)ไปสกู ารพัฒนา ในแงมุมทางวิชาการ การไดมีโอกาสเขาไปสังเกตการอยางมีสวนรวม งานยุติธรรม ชุมชนชวยสรางคําอธิบายใหเกิดความเขาใจในวิธีคิดของชาวบานในฐานะอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน ดังตอไปน้ี ก. การลงมือดําเนินการในการไกลเกลี่ยของอาสาสมัครเปนการเปดพื้นท่ีใหฝายตางๆท่ี เก่ียวของกับความขัดแยงไดมีโอกาสในการแลกเปลี่ยนมุมมองทัศนคติซึ่งกันและกัน การเขามารวมใน กระบวนการไกลเกลี่ยที่คอยๆ ดึงแตละภาคสวนเขามารวมรับรู และแสวงหาทางออกที่เหมาะสมและเปน ธรรมเปนการสรางประสบการณรวมกันอยางหน่ึง ดังน้ัน หากภายในชุมชนสามารถมีสวนรวมใน ประสบการณดังกลาวและแบงปนประสบการณกัน ประสบการณรวมดังกลาวจะนําไปสูการสรางสํานึก รวมกนั ในการสรางความเขาใจรว มกันเกีย่ วกบั ความเปนธรรม ซึ่งเปนทัศนะเร่ืองความเปนธรรมในมิติท่ีมา จากชุมชน ซึ่งในบางคร้งั อาจจะแตกตางจากมุมมองของกฎหมาย แตในบางครั้งก็ตรงกันกับหลักความเปน ธรรมในทางกฎหมายเพียงแตตองใชวิธีการในการอธิบายจากมุมที่แตกตางกัน และท่ีนาสนใจความเปน ธรรมในทัศนะของชุมชนในบางคร้ังก็มีความละเอียดเหมาะสมกับบริบทของชุมชนทองถ่ิน ซ่ึง กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั ไมสามารถทจี่ ะดาํ เนนิ การใหไ ด ข. วิธกี ารท่ีทําใหค าํ แนะนําหรือขอยุตใิ นการจดั การความขดั แยงเกดิ ผลบังคบั และไมข ัดตอ ความเปนทางการของระบบราชการ ขอโตแยงในทางวิชาการกฎหมายแบบรัฐนิยมด้ังเดิมที่มักจะปฏิเสธตั้งแตความมี สถานะในทางกฎหมายของ “ชมุ ชน” ซ่งึ สงผลตอการใชอ าํ นาจของชุมชน การกระทําใดท่ีชุมชนสามารถทํา ไดและการกระทําใดที่ชุมชนไมสามารถทําได ฯลฯ ดังนน้ั จึงมกั จะมคี วามคิดเหน็ ทัง้ ทางตรงและทางออมที่ ทําใหการผลักดันเร่ืองยุติธรรมชุมชนโดยดําเนินการผานทางระบบราชการมักจะไปเปนไปดวยความลาชา ถูกบิดเบือนใหไปในทิศทางอื่นที่กลายเปนอุปสรรคตอขบวนการชุมชน จากการเขาไปสังเกตวิธีการ ดําเนินงานของอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน ประเด็นท่ีนาสนใจในทางกฎหมายคือ ทําอยางไรที่จะทําให คําแนะนําหรือขอยุติความขัดแยงมีสภาพบังคับกันไดจริงๆ และในขณะเดียวกันก็เปนท่ียอมรับของระบบ ราชการ จากการศกึ ษาวิธกี ารดาํ เนินงานของอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน จะโดยทราบในผลทางกฎหมายจาก การดําเนินดวยวิธีการดังกลาวหรือไมก็ตาม แตก็สามารถเห็นถึงวิธีการที่ละมุนละมอมตอระบบราชการก็ โดยการจัดองคประกอบของศูนยอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน โดยใหมีกํานัน ผูใหญบาน เปนองคประกอบ ของศนู ย และดว ยวิธีการจดบนั ทึกภายใตก ารกระทําของกํานัน หรือผูใหญบาน ก็ทําใหคําส่ังหรือคําแนะนํา ดังกลาวมีความเปนทางการข้ึนตามอํานาจของกฎหมายลักษณะปกครองพ้ืนท่ี และการดําเนินการโดยการ ใชกระบวนการไกลเกลี่ยท่ีดึงผูท่ีเกี่ยวของเขามารวมในการแสวงหาทางออก ซึ่งเทากับเปนการใช กระบวนการทางสังคมในการทําใหคําสั่งหรือคําแนะนํามสี ภาพบังคบั ไดจ รงิ ในทางสังคม ซ่ึงมิไดเปนคําส่ัง จากรัฐ 58

วิธีการท่ีชุมชนนํามาใชในการไกลเกล่ียดังกลาวหากมองในแงมุมทางวิชาการที่ ศึกษาเก่ียวกับภูมิปญญาทองถิ่นแสดงใหเห็นถึงขบวนการและความพยายามในการ “ปรับปรน”ของชุมชน ที่ทําใหความคิดความตองการสอดรับกับระบบท่ีเปนทางการเทาท่ีชุมชนสามารถท่ีจะปรับปรนได แต ในทางตรงกันขา ม สําหรับกลไกของทางราชการในระดับภาพรวมใหญมีการปรับเปลี่ยนท่ีใหสอดคลองกับ ความตองการของประชาชนในระดับท่ีนอยมาก แตในระดับเจาหนาท่ีผูปฏิบัติงานในระดับพื้นท่ีเร่ิมเห็น การปรบั เปล่ยี นท่ีมรี ปู แบบทหี่ ลากหลายมากข้ึน 59

เอกสารอางอิง กาญจนา แกวเทพ. เครื่องมอื การทาํ งานแนววัฒนธรรมชุมชน. กรงุ เทพฯ : สภาคาทอลิกแหง ประเทศ ไทยเพ่ือ การพัฒนา, 2536. กิตติพงษ กิตยารักษ. กระบวนการยตุ ิธรรมเชิงสมานฉันท : ทางเลอื กใหมส าํ หรบั กระบวนการยุติธรรมไทย. กรงุ เทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั , 2545. จุทารตั น เออ้ื อาํ นวยและคณะ. กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉนั ท : การคืน \"อํานาจ\" แกเหยี่ออาชญากรรม และชมุ ชน. กรงุ เทพฯ : สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั , 2545. ปาริชาณี วลยั เสถยี ร และคณะ. กระบวนการและเทคนคิ การทาํ งานของนักพฒั นา. กรุงเทพฯ : โครงการเสริมสรา ง การเรียนรเู พ่ือชุมชนเปนสขุ (สรส.), 2546. พฒั นา กิตอิ าษา. ทองถน่ิ นิยม. กรุงเทพฯ : กองทนุ อนิ ทรส มเพื่อการวจิ ยั ทางมานุษยวิทยา, 2546. สธุ ิวงศ พงษไพบูลย. “ภมู ิปญ าชาวบา นภาคใต” ทกั ษณิ คดี. 4 (3) : 33-42 ; ก.พ - ก.ค. 2540. อภชิ ัย พันธเสน. พฒั นาชนบทไทย:สมุทยั และมรรค ตอนท่1ี แนวคดิ ทฤษฏี ภาพรวมของการพัฒนา. กรงุ เทพฯ: มลู นธิ ภิ มู ปิ ญ ญา และสํานกั งานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั , 2539. อภิชัย พนั ธเสน. “สถาบันอุดมศกึ ษากับเครือขายการเรยี นร:ู แนวคิดทางทฤษฎี และประสบการณ” วารสารการศกึ ษา แหง ชาติ. 24(21) : 10-14; ธันวาคม 2532 – มกราคม 2533. อานันท กาญจนพันธ.ุ มิตชิ มุ ชน วธิ ีคิดทองถน่ิ วา ดวย สิทธิ อํานาจ และการจัดการทรพั ยากร. กรุงเทพฯ : สาํ นักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั , 2544. เอกวิทย ณ ถลาง. ภมู ปิ ญ ญาชาวบานสภี่ าค : วถิ ชี ีวิตและกระบวนการเรียนรขู องาวบาน ไทย. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2540. อทุ ัย ดลุ ยเกษมและอรศรี งามวทิ ยาพงศ. ภาพการศึกษากบั ชุมชน : กรอบแนวคิดและขอ เสนอในการศกึ ษาวิจยั . กรงุ เทพฯ : สํานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจัย, 2540. David R. Karp and Todd R. Clan . Community Justice : A conceptual Framework. Criminal Justice 20002 volume 2 : 323-368. David R. Karp . Community Justice : An emerging field. Rowman & Littlefield Publisher . Inc. 1998 60   

การวเิ คราะห์การจดั การความขดั แย้งพนื้ ทตี่ าํ บลวงั ครี ี 1. กรณคี วามขดั แย้งแบ่งตามประเภท ประเภทความขดั แย้ง ความถี่ ความถี่ผลการไกล่เกลย่ี หมายเหตุ พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย ทาํ ร้ายร่างกาย 9 โดยชุมชน กระแส ยงั ไม่มี สร้างความรําคาญ/รับ ประพฤตผิ ดิ ต่อประเพณคี รอบครัว ชู้ 6 ซื้อของโจร/ววั สาว หลกั ข้อสรุป กระโดดชนรถ/พกพา ทด่ี นิ และทรัพย์สิน อาวุธ/ทาํ ให้รับความ อบุ ัตเิ หตุ 63 0 อบั อาย ทะเลาะววิ าท ทาํ ให้เสียทรัพย์ สัตว์เลยี้ ง ลกั ทรัพย์ 60 0 ฉ้อโกง ยาเสพตดิ 25 20 2 3 ขัดแย้งกบั ภาครัฐ 66 0 0 อนื่ ๆ เช่น พกปื น จับผดิ คน บุกรุกยาม 33 0 0 วกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้างสถานการณ์ รับ 22 18 4 0 ซื้อของโจร สร้างความรําคาญ ทาํ ให้ 22 0 0 ได้รับความอบั อาย 11 0 0 11 0 0 รวม 54 1 0 80 67 10 3 2. แนวคดิ ยุตธิ รรมชุมชน ทส่ี ะท้อนจากความเชื่อทใ่ี ช้ในการตัดสินของผ้ไู กล่เกลย่ี ตําบลวงั ครี ี  ความขดั แยง้ ควรถูกจดั การในชุมชนมากกว่าเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม ดงั น้นั ความขดั แยง้ ท่ี เกิดข้ึนส่วนใหญ่ ผไู้ กล่เกลี่ยจะพยายามทุกวิถีทางเพ่ือไม่ใหเ้ ร่ืองเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม ไม่ว่าจะเจรจา กบั คู่กรณีเพ่ือไม่ใหม้ ีการแจง้ ความ หรือเจรจากบั เจา้ หนา้ ที่เพ่ือขอไกล่เกล่ียกนั เองก่อน หากจดั การไม่ได้ จึงคอ่ ยส่งต่อเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม ซ่ึงบางคร้ังถกู จดั เป็นทางเลือกสุดทา้ ย ก   

 ความสัมพนั ธ์สามารถช่วยในการจดั การความขดั แยง้ ได้ โดยเฉพาะความสัมพนั ธ์ภายใน ครอบครัวหรือเครือญาติ ซ่ึงกรณีความขดั แยง้ ของตาํ บลวงั คีรีพบว่า ผไู้ กล่เกล่ียจึงนาํ เร่ืองความสมั พนั ธ์มา ใชใ้ นการจดั การความขดั แยง้ ในหลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่ o การไกล่เกล่ียโดยการหยิบยกเรื่องความสัมพนั ธ์ของคู่กรณี เช่น การอา้ งถึงความเป็ นพ่ี นอ้ ง เครือญาติ เพอื่ นบา้ น เพอื่ ขอความเห็นใจจากคู่กรณี o การใชค้ นในครอบครัวหรือเครือญาติไปช่วยทาํ หนา้ ที่ไกล่เกลี่ย ยกตวั อยา่ งกรณีเรื่องปิ ด ถนน ผไู้ กล่เกลี่ยใชว้ ธิ ีการคุยกบั ลูกของคู่กรณีที่ปิ ดถนน เพ่อื ใหล้ ูกไปคุยกบั ผเู้ ป็นพอ่ หรือ กรณีปลูกไมล้ ้าํ แดน คู่กรณีท่ีปลูกล้าํ แดนไม่ยอมรับผลการไกล่เกล่ีย ผไู้ กล่เกลี่ยจึงเปล่ียน มาทาํ ความเขา้ ใจกบั ภรรยาและลูกขท่ีชวนเขา้ มาร่วมเป็ นพยาน เพื่อให้ท้งั สองไปช่วย เจรจากบั คูก่ รณีอีกที o สร้างสัมพนั ธ์ที่ดีระหว่างคู่กรณีก่อนจะดาํ เนินการไกล่เกล่ีย หากเป็ นความขดั แยง้ กรณีทาํ ร้ายร่างกาย หรืออุบตั ิเหตุที่มีผบู้ าดเจบ็ ผไู้ กล่เกลี่ยจะพาคู่กรณีไปเยยี่ มผบู้ าดเจบ็ เพ่ือแสดง ความขอโทษ เพอ่ื ใหเ้ กิดความสมั พนั ธท์ ่ีดีระหวา่ งกนั ก่อนท่ีจะมีการไกล่เกล่ีย  กฎหมายเป็ นเพียงองคป์ ระกอบหน่ึงท่ีใชใ้ นการไกล่เกลี่ย แต่ไม่ใช่ท้งั หมด แมว้ ่าการจดั การ ความขดั แยง้ บางเร่ืองผูไ้ กล่เกลี่ยจะนาํ หลกั กฎหมายมาใช้ แต่บางเร่ืองก็ให้ความสําคญั กบั องคป์ ระกอบ อื่นๆ มากกว่า เช่น สถานะของคู่กรณี (เป็ นเยาวชนไม่มีรายได้ กาํ ลงั เรียนหนงั สือ) ผลกระทบท่ีจะเกิด ข้ึนกบั คู่กรณี (อนาคตของเยาวชนท่ีกระทาํ ผิดเป็ นเยาวชน อนาคตของผูก้ ระทาํ ผิดท่ีเป็ นรับราชการ) ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคูก่ รณี  ให้ความสาํ คญั กบั ผลการไกล่เกล่ีย คือ ความขดั แยง้ ถูกยุติ คลี่คลาย หรือไดข้ อ้ สรุปตามความ คาดหวงั ของผไู้ กล่เกล่ีย ดงั น้นั ผไู้ กล่เกล่ียจะพยายามจะหาวิธีการไกล่เกลี่ยต่างๆ เพ่ือทาํ ใหเ้ กิดผลดงั กล่าว ยกตวั อยา่ งกรณีเรื่องท่ีดิน ผไู้ กล่เกลี่ยจะหาวิธีการต่างๆ ในการกาํ หนดแนวเขตใหไ้ ดข้ อ้ ยตุ ิท่ีคู่กรณียอมรับ ซ่ึงบางกรณีวธิ ีการไกล่เกล่ียขดั แยง้ กบั หลกั กฎหมาย เช่น การบิดเบือนขอ้ เทจ็ จริงเพือ่ ใหผ้ เู้ สียหายไดร้ ับการ เยียวยา ยกตวั อย่าง การสลบั รถคนั เกิดเหตุกบั รถคนั อ่ืนเพ่ือใหไ้ ดร้ ับความคุม้ ครองจาก พรบ. (กรณีรถคนั เกิดเหตุไม่มี พรบ.) การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยการเจรจากับเจ้าหน้าท่ีตาํ รวจเพ่ีอขอ เปล่ียนตวั ผตู้ อ้ งหาท่ีเป็นครูเป็นบุคคลอื่น โดยทาํ ประวตั ิใหม่  คนผิดควรไดร้ ับโอกาสมากกว่ารับโทษ โดยคณะกรรมการศูนยฯ์ มองว่า คนผิดทุกคนควร ไดร้ ับโอกาสในการปรับปรุงตวั เองมากกวา่ ที่จะตอ้ งไปรับโทษ เนื่องจากเชื่อวา่ กระบวนการจดั การในแบบ ก   

ยุติธรรมชุมชนจะช่วยให้คนท่ีกระทาํ ผิดไดป้ รับปรุงตวั เองไดด้ ีกว่าท่ีจะตอ้ งเขา้ สู่กระบวนการยุติธรรม กระแสหลกั และดว้ ยเง่ือนไขความสัมพนั ธ์เครือญาติของชุมชนวงั คีรีท่ีค่อนขา้ งแน่นแฟ้ น จึงเป็ นส่ิงท่ีมา ช่วยเสริมแนวคิดน้ีให้ชดั เจนข้ึน เนื่องจากคณะกรรมการศูนยฯ์ มองว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ ายผดิ หรือฝ่ ายถูก แต่ทุกคนเป็นพ่เี ป็นนอ้ งเป็นญาติกนั ดงั น้นั หากกระทาํ ผดิ พลาดไปกค็ วรใหโ้ อกาส  ช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยก คณะกรรมการศูนยฯ์ พร้อมที่จะเขา้ ไปช่วยคลี่คลายความขดั แยง้ เมื่อ ไดร้ ับการร้องขอจากในชุมชน โดยไม่สนใจวา่ ผทู้ ี่ร้องขอจะเป็นผกู้ ระทาํ ผดิ หรือผเู้ สียหาย หรือตวั ผกู้ ระทาํ ผดิ จะทาํ ความผดิ ร้ายแรงมาอยา่ งไร (ยกเวน้ ความขดั แยง้ ในเรื่องเกี่ยวกบั ยาเสพติด) เน่ืองจากมีความเชื่อว่า ทุกคนที่ไดร้ ับความเดือดร้อนจากกรณีความขดั แยง้ เขา้ มาตอ้ งไดร้ ับการช่วยเหลือ  หลกั ในการไกล่เกล่ียส่วนใหญ่อยบู่ นหลกั เหตุและผลเป็นพ้ืนฐาน ดงั น้นั วิธีการไกล่เกลี่ยจึงให้ ความสาํ คญั กบั การหาขอ้ มูลดว้ ยวิธีการต่างๆ เช่น ลงดูที่เกิดเหตุ สอบถามจากพยานหรือคู่กรณีท้งั สองฝ่ าย หลกั ความสัมพนั ธ์ท่ีเนน้ การรักษาความสัมพนั ธ์ของคู่กรณี ซ่ึงหลกั การไกล่เกล่ียดงั กล่าวจะสะทอ้ นผา่ น วธิ ีการท่ีผไู้ กล่เกล่ียใช้ เช่น ขอความเห็นใจคู่กรณีอีกฝ่ าย การพาคู่กรณีไปขอโทษหรือยอมรับผดิ การพาไป เยย่ี มผบู้ าดเจบ็  เน้นการเยียวยาความเดือดร้อนที่พอสมควรกับความเสียหาย ท่ีท้งั สองฝ่ ายยอมรับ ไม่เกิด ประโยชน์กบั ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงมากเกินไป มีหลายกรณีที่คู่กรณีมีการเรียกร้องค่าเสียหายมากเกินไป ผไู้ กล่ เกล่ียกจ็ ะช่วยเจรจาต่อรองให้ 3. วเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์เชิงพนื้ ทก่ี บั การจัดการความขดั แย้งของชุมชน ความขดั แยง้ ในพ้ืนท่ีตาํ บลสุโสะส่วนใหญ่เป็นความขดั แยง้ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั วิถีชีวิตของคนในชุมชน ท่ีส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทาํ สวนยางพารา โดยความขดั แยง้ ท่ีมีมากท่ีสุดจึง เป็ นเรื่องเกี่ยวขอ้ งกบั ที่ดินโดยตรง มีท้งั ปัญหาเร่ืองแนวเขตท่ีไม่ชดั เจน หลกั เขตสูญหาย บางปัญหาเกิด จากความโลภท่ีตอ้ งการขยายพ้ืนท่ีการทาํ สวนยาง อนั เน่ืองมาจากยางมีราคาสูง และที่ดินก็มีราคาสูง จึงมี ความพยายามท่ีจะไดม้ าซ่ึงท่ีดินดว้ ยวิธีการมิชอบต่างๆ เช่น การชิงแดน การรุกล้าํ บุกรุกท่ีดินส่วนบุคคล และสาธารณะ นอกจากเร่ืองท่ีดินการทาํ สวนยางของชุมชนยงั เก่ียวโยงกบั ปัญหาความขดั แยง้ อื่นๆ ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ เรื่องสตั วเ์ ล้ียงท่ีมกั จะเขา้ มาสร้างความเสียหายให้กบั กลา้ ยางที่ชุมชนไดเ้ พาะไว้ บางกรณีเป็ น ปัญหาซ้าํ ซาก และปัญหาสัตวเ์ ล้ียงจดั เป็ นความขดั แยง้ ที่มีความถี่ในลาํ ดบั ตน้ ๆ ของชุมชน เน่ืองจากใน ชุมชนยงั ไม่มีระบบการจดั การสตั วเ์ ล้ียงท่ีดี ก   

นอกจากน้ีปัญหาสําคญั อีกเรื่องของพ้ืนที่ตาํ บลวงั คีรีคือปัญหาครอบครัวแตกแยกท่ีมาจากการ แต่งงานต้งั แต่อายุยงั น้อย(ขอ้ มูลจากรายงานโครงการวิจยั ) ปัญหาดงั กล่าวไดส้ ่งผลกระทบคุณภาพต่อ เยาวชน จากขอ้ มูลพบว่าปัญหาหลายเรื่องผกู้ ระทาํ ผิดเป็ นเยาวชน อาทิ ปัญหาการลกั ทรัพย์ ปัญหาชูส้ าว (หนีมาอยดู่ ว้ ยกนั ต้งั แต่อายยุ งั นอ้ ย) ทะเลาะววิ าท และทาํ ร้ายร่างกาย สาํ หรับชุมชนตาํ บลวงั คีรีโดยปกติจะอาศยั ผนู้ าํ ชุมชนเป็นผใู้ หค้ าํ ปรึกษาและช่วยไกล่เกลี่ยอยแู่ ลว้ ดงั น้นั การจดั การความขดั แยง้ ส่วนใหญ่จึงเป็ นการไกล่เกลี่ยโดยผไู้ กล่เกลี่ยท่ีเป็นผนู้ าํ โดยปัจเจก อาจจะมี บางกรณีท่ีมีองคป์ ระกอบอื่นเขา้ มาร่วมบา้ งแต่กถ็ ือวา่ นอ้ ย 4. วเิ คราะห์ประเภทความขดั แย้งกบั การจดั การโดยชุมชน i. สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั ของพ้ืนที่ตาํ บลสุโสะสรุปได้ 5 สาเหตุ หลกั คือ 1) คู่กรณีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงบ่ายเบี่ยงที่จะเขา้ สู่กระบวนการไกล่เกล่ีย 2) คู่กรณีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงเลือกที่จะจดั การดว้ ยกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั 3) ไม่สามารถทาํ ให้ไดข้ อ้ สรุปที่คู่กรณีท้งั สองฝ่ ายยอมรับร่วมกนั ได้ เช่น กรณีท่ีผไู้ กล่ เกลี่ยพยายามเสนอแนวทางการแกไ้ ขขอ้ พิพาทเรื่องแนวเขต แต่มีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงไม่ยอมรับ 4) คู่กรณีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงไม่ปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลงที่ไดไ้ กล่เกลี่ยกนั ไว้ เช่น กรณีท่ีตกลงกนั ไวว้ ่าจะไม่มีการฟันหวั นาเพ่ิม แต่มีฝ่ ายท่ีไม่ปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลง หรือกรณีท่ี อบต.ไดเ้ ขา้ ไปตกั เตือนมิให้ คู่กรณีถมคลอง แต่กย็ งั ไม่หยดุ ดาํ เนินการ 5) คู่กรณีกระทาํ ความผดิ ซ้าํ ซอ้ น ไม่แสดงถึงความสาํ นึก เช่น กรณีเมาอาละอาดที่ร้านคา ราโอเกะ ซ่ึงมีการไกล่เกลี่ยและตกั เตือนไปแลว้ แต่คู่กรณีก็ยงั คงกระทาํ ความผิดซ้าํ อีกหลายคร้ัง เจา้ ของ ร้านจึงทนไม่ไหวตดั สินใจเขา้ แจง้ ความดาํ เนินคดี 6) คู่กรณีฝ่ ายท่ีกระทาํ ผิดหลบหนี หรือไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการในการไกล่เกลี่ย เนื่องจากเป็ นความขดั แยง้ ท่ีค่อนขา้ งรุนแรง เป็ นคดีท่ีไม่สามารถยอมความได้ ดงั น้ันการมาขอความ ช่วยเหลือจากผไู้ กล่เกลี่ยในภายหลงั จึงมีลกั ษณะเป็นการต่อสูใ้ นกระบวนการยตุ ิธรรมแทน ii. ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง ก   

หวั ขอ้ น้ีขอแยกวิเคราะห์เป็น 2 กรณี ดงั น้ี 1) บทบาทชุมชนก่อนส่งเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม -รับฟังและใหค้ าํ แนะนาํ ปรึกษาแก่คูก่ รณีก่อนจะเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม (คูก่ รณีอีก ฝ่ ายแจง้ ความดาํ เนินคดีไวแ้ ลว้ ) -สืบสวนและหาหลกั ฐานเพอื่ หาตวั ผกู้ ระทาํ ผดิ และเขา้ จบั กมุ ร่วมกบั เจา้ หนา้ ที่ (คดีลกั คาบิวรถจกั รยานยนต)์ -เจรจาไกล่เกลี่ยกบั คูก่ รณีเพอ่ื ยตุ ิความขดั แยง้ เมื่อไม่เป็นที่ยตุ ิเรื่องจึงเขา้ สู่ กระบวนการยตุ ิธรรม หรือบางกรณีไกล่เกลี่ยจนกระทงั่ ความขดั แยง้ ยตุ ิแลว้ แต่ต่อมาเม่ือมีการกระทาํ ผดิ ซ้าํ จึงมีการแจง้ ความดาํ เนินคดี 2) บทบาทชุมชนในกระบวนการยตุ ิธรรม กรณีที่ความขดั แยง้ เขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม นบั ต้งั แต่มีการแจง้ ความดาํ เนินคดี ผู้ ไกล่เกลี่ยจะมีบทบาทหลายลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี -นาํ คู่กรณีอีกฝ่ายเขา้ มอบตวั และบางกรณีช่วยประกนั ตวั ออกมาดว้ ย -เป็นคนกลางเจรจาไกล่เกล่ียกบั ฝ่ ายของคู่กรณีที่แจง้ ความเพ่ือประนีประนอมยอม ความ หรือบางกรณีกเ็ จรจากบั ผเู้ กี่ยวขอ้ งในกระบวนการยตุ ิธรรมเพอื่ หาทางช่วยเหลือในดา้ นคดี ยกตวั อยา่ งเร่ืองโคน่ ไม้ อบจ. หลงั จากถูกแจง้ ความผไู้ กล่เกล่ียพาไปเจรจากบั นายก อบจ. โดยนายกฯ เกรงใจผไู้ กล่เกล่ียจึงไม่เอาเร่ือง แต่ขอใหช้ ดใชค้ า่ โค่นตน้ ไม้ หลงั จากน้นั ศาลกต็ ดั สินใหร้ อลงอาญา -ติดตามความคืบหนา้ ในการดาํ เนินคดี iii. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาที่โดดเด่น  วธิ ีการการจดั การความขดั แยง้ ของชุมชนที่สะทอ้ นมิติชุมชน กรณี ความขัดแย้งเรื่ องขว้างกระจกบ้าน เกิดจากผู้กระทําผิดต้องการนํา โทรศพั ทม์ ือถือไปจาํ นาํ เพ่ือนาํ เงินไปซ้ือยาเสพติด แต่ถูกปฏิเสธ จึงเกิดความไม่พอใจและขวา้ งปิ นใส่กระ จกประตูบา้ นผเู้ สียหาย ผชู้ ่วยผใู้ หญ่บา้ นไดร้ ับแจง้ จากผเู้ สียหายจึงไดป้ ระสานสายตรวจประจาํ ตาํ บลและ แม่ของผกู้ ระทาํ ผดิ มาเจรจาไกล่เกลี่ย นอกเหนือจากการตกลงต่อรองค่าเสียหายจนเป็นท่ีพอใจของท้งั สอง ฝ่ ายแลว้ ท้งั หมดยงั ไดร้ ่วมกนั วเิ คราะห์ปัญหาจากเรื่องดงั กล่าว โดยวิเคราะห์ตวั ผกู้ ระทาํ ผดิ วา่ ติดยาเสพติด สภาพแวดลอ้ มที่เป็ นแหล่งแพร่ยาเสพติด สภาพครอบครัว จนไดข้ อ้ สรุปร่วมกนั ว่าสาเหตุสาํ คญั น่าจะมา ก   

จากสภาพแวดลอ้ ม ทุกฝ่ ายจึงตกลงร่วมกนั ว่าแทนท่ีจะส่งผูก้ ระทาํ ผิดไปรับโทษในสถานพินิจ แต่จะ ช่วยกนั เฝ้ าระวงั และสงั เกตพฤติกรรมของผกู้ ระทาํ ผดิ อยา่ งใกลช้ ิดแทน ส่งผลใหผ้ กู้ ระทาํ ผดิ มีพฤติกรรมที่ ดีข้ึน  กรณียตุ ิธรรมกระแสหลกั ส่งกลบั ใหช้ ุมชนจดั การ กรณีดกั ทาํ ร้ายคู่กรณี ฝ่ ายผเู้ สียหายไดเ้ ขา้ แจง้ ความ ส่วนพ่อของผูก้ ระทาํ ผิดไดม้ า ขอให้ผูใ้ หญ่บ้านไปช่วยเจรจากับผูไ้ กล่เกลี่ยเพ่ือขออย่าเอาเร่ือง ผูใ้ หญ่จึงไปเจรจากับญาติของ ผไู้ ดร้ ับบาดเจ็บเพื่อขอไม่ให้เอาเร่ือง เน่ืองจากผกู้ ระทาํ ผิดทาํ ไปดว้ ยความเมา และไดไ้ ปเจรจากบั ร้อยเวร เพื่อขอไม่ใหม้ ีการดาํ เนินคดี โดยอา้ งวา่ ไดท้ าํ การไกล่เกล่ียกบั คู่กรณี และไดข้ อ้ สรุปวา่ จะไม่มีการเอาเรื่อง ซ่ึงร้อยเวรยอมตามที่ผใู้ หญ่ขอ ทางผใู้ หญ่จึงนาํ เรื่องกลบั เจรจากบั ฝ่ ายผกู้ ระทาํ ผิดเพื่อให้จ่ายค่าเสียหาย ให้กบั ผบู้ าดเจ็บ 5 หมื่นบาท โดยนดั หมายคู่กรณีท้งั สองฝ่ ายไปจ่ายค่าเสียหายท่ีโรงพกั และให้ร้อยเวรทาํ บนั ทึกใหท้ ้งั คู่ลงนามไวเ้ ป็นหลกั ฐาน 5. ศักยภาพของศูนย์ยุตธิ รรมชุมชนเป็ นอย่างไร ศกั ยภาพของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนตาํ บลวงั คีรี สามารถสรุปเป็นเรื่องๆ ไดด้ งั น้ี ก. โครงสร้างและองคป์ ระกอบคณะทาํ งาน โครงสร้างการทาํ งานจริงของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชน เป็นโครงสร้างหลวมๆ มีความสมั พนั ธ์ในการทาํ งานค่อนขา้ งออกไปในเชิงแนวราบ โดย องคป์ ระกอบมีท้งั แกนนาํ ชุมชน ท้งั ที่มีตาํ แหน่งเป็นทางการ อาทิ ผใู้ หญ่บา้ น ส.อบต. และไม่ เป็นทางการ คอื คนในชุมชนท่ีไม่ตาํ แหน่ง ข. การดาํ เนินการไกล่เกล่ีย ความขดั แยง้ ทกุ เร่ืองท่ีทางคณะกรรมการศูนยฯ์ ไดร้ ับแจง้ จะแจง้ ให้ ทางผใู้ หญ่บา้ นไดร้ ับทราบ และนาํ เรื่องมาวเิ คราะห์กนั ในกลุ่มคณะกรรมการศนู ยฯ์ ก่อนที่จะ ไปดาํ เนินการไกล่เกล่ีย ซ่ึงจะเนน้ การไกล่เกล่ียเป็นทีม ค. การสนบั สนุนจากหน่วยงาน ศูนยย์ ตุ ิธรรมชุมชนตาํ บลวงั คีรีไดม้ ีการเช่ือมโยงการทาํ งานกบั ของศนู ยฯ์ กบั อบต. โดยมีคณะกรรมการศูนยฯ์ บางคนไดเ้ ขา้ ไปเป็น ส.อบต. และ อบต.เองก็ ไดจ้ ดั สรรงบประมาณเพ่ือสนบั สนุนการทาํ งานของศูนยฯ์ นอกจากน้ี ศูนยฯ์ เองยงั ไดม้ ีการ เชื่อมโยงการทาํ งานของหน่วยงานอ่ืนๆ เช่น การเชื่อมโยงกบั งานของศนู ยค์ รอบครัว กระทรวง ก   

ง. การยกระดบั การทาํ งานของศนู ยฯ์ ศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนตาํ บลวงั คีรีไดพ้ ฒั นาการจดั การความ ขดั แยง้ จากความขดั แยง้ ในรูปแบบปัจเจก(เป็นคู่กรณี) เป็นการจดั การความขดั แยง้ ที่เป็นเร่ือง สาธารณะ ที่คนในพ้นื ที่ตอ้ งเขา้ มาจดั การร่วมกนั ซ่ึงปัจจุบนั ศนู ยฯ์ อยรู่ ะหวา่ งการดาํ เนินการ ขบั เคลื่อนเรื่องการจดั การป่ าของชุมชน จากศึกษาขอ้ มลู การจดั การความขดั แยง้ ที่ไดม้ ีการบนั ทึก พบวา่ ส่วนใหญ่สะทอ้ นศกั ยภาพการ จดั การความขดั แยง้ ในเชิงปัจเจกบุคคลมากกวา่ แต่จากการลงพ้ืนท่ีพบวา่ ในปัจจุบนั การจดั การความ ขดั แยง้ ของศูนยฯ์ ไดพ้ ฒั นามาเป็นการจดั การความแยง้ ในรูปแบบการทาํ งานเป็นทีม อยา่ งไรกต็ าม ใน ภาพรวมของศนู ยย์ ตุ ิธรรมยตุ ิธรรมชุมชน สามารถสรุปเป็นศกั ยภาพภาพรวมไดด้ งั น้ี  มีความรู้ ไดแ้ ก่ ความรู้ดา้ นกฎหมาย ท้งั ในเชิงข้นั ตอนกระบวนการทางกฎหมาย เน้ือหาสาระ ของกฎหมายท่ีนาํ มาใชใ้ นการไกล่เกล่ีย และความรู้เก่ียวกบั บริบทพ้นื ท่ี  มีทกั ษะ จากขอ้ มูลสะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ ผไู้ กล่เกลี่ยมีทกั ษะที่หลายดา้ น อาทิ ทกั ษะในการดา้ นการ เจรจา การหาขอ้ มูล การประสานงานบุคคลหรือหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ ง(กรณีที่ตอ้ งอาศยั คนอ่ืนมาช่วยไกล่ เกล่ีย)  ไดร้ ับการยอมรับ ซ่ึงผทู้ าํ หนา้ ที่ไกล่เกลี่ยในตาํ บลสุโสะมีท้งั ผนู้ าํ ที่เป็นทางการและไม่เป็น ทางการ แต่ท้งั สองแบบต่างกไ็ ดร้ ับการยอมรับจากท้งั คนในชุมชนและหน่วยงานใหม้ าทาํ หนา้ ที่ไกล่เกลี่ย โดยคุณลกั ษณะเฉพาะของผไู้ กล่เกลี่ยท่ีทาํ ใหเ้ กิดการยอมรับ อาทิ มีตาํ แหน่ง(ที่คนใหก้ ารยอมรับ) เป็นผู้ บารมี มีความเป็นกลาง มีความรู้ความสามารถ  เป็นผกู้ วา้ งขวาง เป็นท่ีรู้จกั และรู้จกั คนเยอะ ซ่ึงช่วยในดา้ นการประสานขอความช่วยเหลือจาก คนหรือหน่วยงานที่จะดึงมาช่วยในการไกล่เกลี่ย เช่น ผนู้ าํ ต่างพ้นื ที่ หน่วยงานยตุ ิธรรมในระดบั ต่างๆ  ความสมั พนั ธก์ บั ชุมชน คณะกรรมการศนู ยฯ์ ค่อนขา้ งมีความสมั พนั ธท์ ี่ดีกบั คนในชุมชน เนื่องจากบริบทของตาํ บลวงั คีรีมีความสมั พนั ธ์เครือญาติท่ีคอ่ นขา้ งเหนียวแน่น คณะกรรมการศูนยฯ์ จึง มองการทาํ หนา้ ท่ีในลกั ษณะการช่วยเหลือเก้ือกลู กนั ในฐานะคนในชุมชนดว้ ยกนั ก   

การวเิ คราะห์การจดั การความขดั แย้งพนื้ ทตี่ าํ บลสุโสะ 1. กรณคี วามขัดแย้งแบ่งตามประเภท ประเภทความขัดแย้ง ความถี่ ความถผี่ ลการไกล่เกลยี่ หมายเหตุ พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย ทาํ ร้ายร่างกาย 6 โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป ประพฤติผดิ ต่อประเพณคี รอบครัว ชู้ 18 สาว 15 0 ทด่ี ินและทรัพย์สิน อุบตั เิ หตุ 17 1 0 ทะเลาะววิ าท ทาํ ให้เสียทรัพย์ สัตว์เลยี้ ง ลกั ทรัพย์ 36 28 8 0 ฉ้อโกง 10 9 1 0 ยาเสพติด 14 12 2 0 ขดั แย้งกบั ภาครัฐ 26 18 8 0 อน่ื ๆ เช่น พกปื น จับผดิ คน บุกรุกยาม 11 5 4 2 วกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้างสถานการณ์ รับ 52 3 0 ซื้อของโจร สร้างความรําคาญ ทาํ ให้ 66 0 0 ได้รับความอบั อาย 41 5 0 พกปื น / จับผดิ รวม คน / บุกรุกยาม วกิ าล 136 100 34 2 2. แนวคดิ ยตุ ิธรรมชุมชน ทส่ี ะท้อนจากความเชื่อทใี่ ช้ในการตดั สินของผ้ไู กล่เกลย่ี ตาํ บลสุโสะ  ความขดั แยง้ ควรถูกจดั การในชุมชนมากกว่าเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม ดงั น้นั ความขดั แยง้ ท่ี เกิดข้ึนส่วนใหญ่ ผไู้ กล่เกล่ียจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ใหเ้ รื่องเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม ไม่ว่าจะเจรจา กบั คู่กรณีเพื่อไม่ให้มีการแจง้ ความ หรือเจรจากบั เจา้ หนา้ ที่เพ่ือขอไกล่เกลี่ยกนั เองก่อน หากจดั การไม่ได้ จึงค่อยส่งต่อเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม ซ่ึงบางคร้ังถูกจดั เป็นทางเลือกสุดทา้ ย  กฎหมายเป็ นเพียงองคป์ ระกอบหน่ึงในการไกล่เกลี่ย แต่ไม่ใช่ท้งั หมด แมว้ ่าการจดั การความ ขดั แยง้ บางเรื่องผูไ้ กล่เกล่ียจะนาํ หลกั กฎหมายมาใช้ แต่บางเรื่องก็ให้ความสําคญั กบั องคป์ ระกอบอื่นๆ ข   

มากกวา่ เช่น ฐานะของคูก่ รณี (ยกตวั อยา่ งกรณีเร่ืองอุบตั ิเหตุ ฝ่ ายที่ไม่ผดิ ตอ้ งมาดูแลฝ่ ายผดิ ท่ีฐานะยากจน) ผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนกบั คู่กรณี (กรณีผกู้ ระทาํ ผดิ เป็นเยาวชน เป็นขา้ ราชการ) นิสัยของคู่กรณี (เพ่ือเลือก วิธีการไกล่เกลี่ยท่ีเหมาะสม)  ให้ความสาํ คญั กบั ผลการไกล่เกลี่ย คือ ความขดั แยง้ ถูกยตุ ิ คล่ีคลาย หรือไดข้ อ้ สรุปตามความ คาดหวงั ของผไู้ กล่เกล่ีย ดงั น้นั ผไู้ กล่เกล่ียจะพยายามจะหาวิธีการไกล่เกลี่ยต่างๆ เพื่อทาํ ใหเ้ กิดผลดงั กล่าว ซ่ึงบางกรณีวธิ ีการไกล่เกลี่ยขดั แยง้ กบั หลกั กฎหมาย เช่น การบิดเบือนขอ้ เทจ็ จริงเพอ่ื ใหผ้ เู้ สียหายไดร้ ับการ เยียวยา(กรณีอุบตั ิเหตุท่ีคู่กรณีไม่มี พรบ.) การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยการวิ่งเตน้ ให้อามิส เพอื่ ใหผ้ กู้ ระทาํ ผดิ ไม่ตอ้ งถกู ดาํ เนินคดีหรือไดร้ ับการลดหยอ่ นโทษ  หลกั ในการไกล่เกล่ียส่วนใหญ่อยบู่ นหลกั เหตุและผลเป็นพ้ืนฐาน ดงั น้นั วิธีการไกล่เกล่ียจึงให้ ความสาํ คญั กบั การหาขอ้ มูลดว้ ยวิธีการต่างๆ เช่น ลงดูท่ีเกิดเหตุ สอบถามจากพยานหรือคู่กรณีท้งั สองฝ่ าย แต่กม็ ีหลกั อ่ืนๆ ที่ใชป้ ระกอบ เช่น หลกั มนุษยธรรมท่ีเนน้ การช่วยเหลือคนท่ีดอ้ ยกว่า หลกั ศาสนา(เร่ืองนิ กะฮ)์ หลกั ความสมั พนั ธ์ที่เนน้ การรักษาความสัมพนั ธ์ของคู่กรณี ซ่ึงหลกั การไกล่เกลี่ยดงั กล่าวจะสะทอ้ น ผา่ นวิธีการที่ผไู้ กล่เกลี่ยใช้ เช่น ขอความเห็นใจคู่กรณีอีกฝ่ าย การพาคู่กรณีไปขอโทษหรือยอมรับผิด การ พาไปเยยี่ มผบู้ าดเจบ็  เน้นการเยียวยาความเดือดร้อนที่พอสมควรกับความเสียหาย ท่ีท้งั สองฝ่ ายยอมรับ ไม่เกิด ประโยชน์กบั ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงมากเกินไป มีหลายกรณีที่คู่กรณีมีการเรียกร้องค่าเสียหายมากเกินไป ผไู้ กล่ เกล่ียก็จะช่วยเจรจาต่อรองให้แมไ้ ม่มีการร้องขอ และบางกรณีเมื่อความเดือดร้อนไดร้ ับการเยียวยาแลว้ ก็ ไม่ไดม้ ีการเอาเรื่องเอาความ หรือบางกรณีไม่มีการสืบสาวหาผกู้ ระทาํ ผดิ ดว้ ยซ้าํ เช่นกรณีจ่ายค่าไถ่ใหโ้ จร ลกั ววั 3. วเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์เชิงพนื้ ทก่ี บั การจดั การความขดั แย้งของชุมชน (ลกั ษณะพนื้ ท่ี ลกั ษณะ ชุมชนเมือง ชนบท หรือกง่ึ เมืองกงึ่ ชนบท ศาสนา วถิ ีชีวติ ลกั ษณะคดี ฯลฯ) ความขดั แยง้ ในพ้ืนที่ตาํ บลสุโสะส่วนใหญ่เป็นความขดั แยง้ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั วิถีชีวิตของคนในชุมชน ท่ีส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทาํ สวนยางพารา และการผลิตกลา้ ยางเพ่ือส่งขาย โดยความขดั แยง้ ที่มีมากท่ีสุดจึงเป็นเร่ืองเก่ียวขอ้ งกบั ที่ดินโดยตรง ซ่ึงมีท้งั กรณีที่ดินส่วนบุคคลและท่ีดิน ของรัฐ สําหรับกรณีที่ดินส่วนบุคคลจะเป็ นเรื่องปัญหาแนวเขตที่ไม่ชดั เจน เอกสารหลกั ฐานไม่ชดั เจน (เป็ นที่ สค.1)ความเขา้ ใจผดิ เร่ืองแนวเขต การรุกล้าํ บุกรุก ท้งั ที่เกิดจากความต้งั ใจและไม่ต้งั ใจ ส่วนกรณี ข   

ที่ดินท่ีเป็ นของรัฐ เน่ืองจากตาํ บลสุโสะถือเป็ นพ้ืนท่ีท่ีมีทรัพยากรป่ าชายเลนท่ีสมบูรณ์กินพ้ืนที่หลาย หม่บู า้ น ดงั น้นั ความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึนกจ็ ะเป็นความขดั แยง้ กบั รัฐในเร่ืองการบุกรุกป่ าชายเลนเพ่ือขยายพ้ืนท่ี ทาํ สวนยาง การทาํ สวนยางของชุมชนยงั เกี่ยวโยงกบั ปัญหาความขดั แยง้ อื่นๆ ไดแ้ ก่ ความขดั แยง้ เรื่องสตั วเ์ ล้ียง ที่มกั จะเขา้ มาสร้างความเสียหายให้กบั กลา้ ยางท่ีชุมชนไดเ้ พาะไว้ บางกรณีเป็ นปัญหาซ้าํ ซากท่ีนาํ ไปสู่ ความขดั แยง้ ที่บานปลาย เน่ืองจากในชุมชนยงั ไม่มีระบบการจดั การสัตวเ์ ล้ียงท่ีดี ความขดั แยง้ อนั เกิดจาก การถูกฉอ้ โกงจากนายทุนท่ีมาว่าจา้ งใหช้ ุมชนรับจา้ งผลิตกลา้ ยาง และจากการท่ีคนในชุมชนเป็นมุสลิมถึง ร้อยละ 85 ดงั น้นั จึงการนาํ หลกั ศาสนามาใชใ้ นการจดั การความขดั แยง้ บางเร่ือง ท่ีเห็นไดช้ ดั คือกรณีชาย หญิงที่หนีมาอยดู่ ว้ ยกนั ในการไกล่เกล่ียกจ็ ะมีการอา้ งถึงหลกั ศาสนา(เร่ืองนิกะ)เพื่อใหค้ ู่กรณีไดก้ ลบั มาทาํ สิ่งที่ถกู ตอ้ งตามประเพณีและหลกั ศาสนา เน่ืองดว้ ยตาํ บลสุโสะเป็นพ้ืนที่ที่มีเศรษฐกิจคอ่ นขา้ งดี มีสภาพบริบทความเป็นเมืองสูง ดงั น้นั กรณี ท่ีมีความขดั แยง้ เกิดข้ึนจึงมกั จะจบดว้ ยการเรียกร้องคา่ เสียหายในวงเงินท่ีคอ่ นขา้ งสูง 4. วเิ คราะห์ประเภทความขดั แย้งกบั การจัดการโดยชุมชน i. สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั ของพ้ืนท่ีตาํ บลสุโสะสรุปได้ 5 สาเหตุ หลกั คือ 1) คู่กรณีฝ่ ายท่ีกระทาํ ผิดหลบหนี หรือไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการในการไกล่เกล่ีย เน่ืองจากเป็นความขดั แยง้ ที่คอ่ นขา้ งรุนแรง หากเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั ก็มกั จะเป็นคดีที่ไม่ สามารถยอมความได้ ไดแ้ ก่เร่ืองฆ่าคนตาย พยายามฆ่า ลกั ทรัพย์ ยาเสพติด เมื่อกระทาํ ผิดแลว้ ผกู้ ระทาํ ผดิ จึงมกั หลบหนี ผเู้ สียหายจึงมกั ขอความช่วยเหลือจากเจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจแทน 2) คู่กรณีฝ่ ายหน่ึงฝ่ ายใดเช่ือมน่ั ในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั มากกว่า ดงั น้นั เมื่อ เกิดความขดั แยง้ ข้ึนจึงเลือกที่จะดาํ เนินคดีทนั ที โดยไม่มีการแจง้ มายงั ผทู้ าํ หนา้ ท่ีไกล่เกลี่ย แมม้ ีบางกรณีท่ี คู่กรณีอีกฝ่ ายตอ้ งการไกล่เกลี่ย แต่เม่ือคู่กรณีอีกฝ่ ายแจง้ ความดาํ เนินคดีไปแลว้ จึงตอ้ งไปต่อสู้กันใน กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั แทน ข   

3) ผไู้ กล่เกลี่ยเป็ นเจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจ (ไม่มีผไู้ กล่เกลี่ยท่ีเป็ นชุมชน) ยกตวั อย่างกรณีความ ขดั แยง้ เรื่องอุบตั ิเหตุ เมื่อเจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจมาถึงที่เกิดเหตุแลว้ ไม่มีผไู้ กล่เกลี่ย เจา้ หนา้ ที่จะทาํ หนา้ ท่ีเป็ นผู้ ไกล่เกล่ียเอง ซ่ึงกรณีน้ีเรื่องมกั จะไปจบที่โรงพกั เพ่อื ตกลงคา่ เสียหายและเสียคา่ ปรับ 4) เป็ นความขดั แยง้ ท่ีค่อนขา้ งรุนแรง เช่น เป็ นการปลน้ ที่อุกอาจ (ปลน้ เป็ นทีม มีอาวุธ ครบมือ) ฆ่าคนตายหรือพยายายามฆ่า จึงตอ้ งอาศยั เจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจใหค้ วามช่วยเหลือในการติดตามจบั กมุ ผกู้ ระทาํ ผดิ ซ่ึงเมื่อติดตามตวั ไดก้ ม็ กั ถูกจบั ดาํ เนินคดีในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั โดยทนั ที 5) เป็ นความขดั แยง้ ที่เจา้ หนา้ ท่ีเขา้ จบั กุมขณะกาํ ลงั ทาํ ความผิด เป็ นความผดิ ซ่ึงหนา้ ท่ีมี พยานหลกั ฐานครบถว้ น ซ่ึงเม่ือจบั กมุ ไดท้ างเจา้ หนา้ ท่ีกม็ กั จะส่งดาํ เนินคดีทนั ที ยกตวั อยา่ งกรณีการบุกรุก ตดั ไมใ้ นพ้ืนท่ีป่ าชายเลน ลอ้ มจบั โจรปลน้ รถบสั ii. ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง หวั ขอ้ น้ีขอแยกวเิ คราะห์เป็น 2 กรณี ดงั น้ี 1) บทบาทชุมชนก่อนส่งเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม -รับฟังและใหค้ าํ แนะนาํ ปรึกษาแก่คูก่ รณีก่อนจะเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม (คูก่ รณีอีก ฝ่ ายแจง้ ความดาํ เนินคดีไวแ้ ลว้ ) -กรณีความขดั แยง้ ท่ีเป็นภยั ตอ่ สงั คมและชุมชน เช่นกรณียาเสพติด ผไู้ กล่เกล่ียจะทาํ หนา้ ที่ประสานความร่วมมือกบั เจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจเพื่อใหข้ อ้ มูลในการช้ีเป้ าและวางแผนจบั กมุ 2) บทบาทชุมชนในกระบวนการยตุ ิธรรม กรณีที่ความขดั แยง้ เขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรม นบั ต้งั แต่มีการแจง้ ความดาํ เนินคดี ผู้ ไกล่เกล่ียจะมีบทบาทหลายลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี -นาํ คู่กรณีอีกฝ่ายเขา้ มอบตวั และบางกรณียงั ช่วยประกนั ตวั ออกมา -เป็นคนกลางเจรจาไกล่เกล่ียกบั ฝ่ ายของคูก่ รณีที่แจง้ ความเพือ่ ประนีประนอมยอม ความ หรือบางกรณีกเ็ จรจากบั ผเู้ กี่ยวขอ้ งในกระบวนการยตุ ิธรรมเพอ่ื หาทางช่วยเหลือในดา้ นคดี บางกรณี ผไู้ กล่เกล่ียยงั ไดท้ าํ หนา้ ที่ไกล่เกล่ียร่วมไปกบั เจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจ -บางกรณีผไู้ กล่เกลี่ยไดร้ ่วมเป็นพยาน iii. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาท่ีโดดเด่น ข   

 วธิ ีการการจดั การความขดั แยง้ ของชุมชนท่ีสะทอ้ นมิติชุมชน กรณีความขดั แยง้ เรื่องที่ดิน เนื่องจากผรู้ ับเหมาโครงการของ อบต.ไดข้ ดุ ลอกร่องน้าํ เขา้ ไปในที่ดินของชาวบา้ นคู่กรณี มีการขดุ ตน้ ยางออกไป 3-5 ตน้ ซ่ึงกระทาํ โดยพลการและมาจากความ เขา้ ใจผดิ จากเจา้ ของท่ีดินขา้ งเคียงที่มาช่วยช้ีแนวเขต ทาํ ใหช้ าวบา้ นเจา้ ของท่ีดินเกิดความไม่พอใจ มาร้อง ทุกขก์ บั อบต. ทาง อบต. และญาติของคู่กรณีเจา้ ของท่ีดินไดพ้ ยายามเขา้ มาไกล่เกลี่ยแต่ไม่สาํ เร็จ จนมาถึง ผไู้ กล่เกลี่ยคนที่สามซ่ึงเป็ นผใู้ หญ่บา้ นไดล้ งไปดูท่ีเกิดเหตุ ซ่ึงพบว่าผรู้ ับเหมาเป็ นฝ่ ายผิด จากน้นั จึงเริ่ม ไกล่เกลี่ยโดยการพยายามเขา้ หาคู่กรณีด้วยความนอบน้อม อา้ งถึงความเป็ นญาติของผูไ้ กล่เกล่ียและ ผรู้ ับเหมาที่กระทาํ ผิด รับฟังเหตุผลและความทุกขใ์ จอยา่ งใส่ใจ จนคู่กรณีถึงกบั ร้องไห้ เน่ืองจากนบั ต้งั แต่ เกิดเหตุ คู่กรณีเล่าว่ามีแต่คนมาต่อว่า แต่ไม่มีคนรับฟังเหตุผลของแกอยา่ งจริงใจ จนถึงกบั กล่าวว่า หากมี คนมาพูดจาดังเช่นผูไ้ กล่เกล่ีย คงจะไม่มาร้องเรียน จากน้ันจึงพาผูร้ ับเหมามาขอโทษ และอธิบายถึง ประโยชน์ของโครงการท่ีจะมีต่อชุมชนด้วยเหตุและผล และขอโทษและขอให้คู่กรณีให้อภยั ต่อความ ผดิ พลาดดงั กล่าว จนสุดทา้ ยคูก่ รณียนิ ยอมใหโ้ ครงการดาํ เนินต่อไปไดจ้ นแลว้ เสร็จ  กรณียตุ ิธรรมกระแสหลกั ส่งกลบั ใหช้ ุมชนจดั การ กรณีตกลงรับซ้ือตน้ ยางถุง โดยกาํ หนดใหม้ ีการส่งของ 2 คร้ัง ผรู้ ับซ้ือจ่ายเงินมดั จาํ ไวจ้ าํ นวน 2 แสนบาท และรับยางงวดแรกไปแลว้ ต่อมาผรู้ ับซ้ือผดิ สัญญาไม่มารับยางส่วนที่เหลือ และ ฟ้ องศาลเรียกเงินมดั จาํ คืน ศาลนดั คู่กรณีไปพบ ซ่ึงผใู้ หญ่บา้ นไดไ้ ปดว้ ยในฐานะพยาน ศาลพิจารณาแลว้ เห็นว่าเป็ นเรื่องที่น่าจะไกล่เกล่ียกนั ไดจ้ ึงมอบให้ผใู้ หญ่บา้ นเป็ นผไู้ กล่เกล่ีย ผใู้ หญ่บา้ นจึงเจรจาไกล่เกล่ีย กบั ผรู้ ับซ้ือโดยขอคืนเงินมดั จาํ ในวงเงินที่หักค่าใชจ้ ่ายตามท่ีสูญเสียจริงแลว้ เหลือ 7 หมื่นบาท เมื่อทาง คู่กรณีท่ีรับซ้ือตกลง ทางผใู้ หญ่จึงนาํ ขอ้ สรุปที่ไดไ้ กล่เกล่ียไปแจง้ กบั ศาล ศาลเลยให้เซ็นสัญญาตกลงกนั ท้งั สองฝ่ าย เรื่องจึงจบดว้ ยดี 5. ศักยภาพของศูนย์ยุติธรรมชุมชนเป็ นอย่างไร ศกั ยภาพของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนตาํ บลวงั คีรี สามารถสรุปเป็นเรื่องๆ ไดด้ งั น้ี ก. โครงสร้างและองคป์ ระกอบคณะทาํ งาน โครงสร้างของศูนยย์ ตุ ิธรรมชุมชนเป็นโครงสร้าง หลวมๆ โดยองคป์ ระกอบของคณะทาํ งานส่วนใหญ่เป็นแกนนาํ ชุมชนที่มีตาํ แหน่งเป็น ทางการ อาทิ กาํ นนั ผใู้ หญ่บา้ น ข   

ข. การดาํ เนินการไกล่เกล่ีย หากคณะกรรมการไดร้ ับแจง้ ความขดั แยง้ ทางคณะกรรมการท่ีเป็น ผใู้ หญ่บา้ นจะประเมินสถานการณ์ก่อน หากเป็นเร่ืองเลก็ ๆ ท่ีประเมินวา่ สามารถจดั การไดเ้ อง เช่น เร่ืองอุบตั ิเหตุ คณะกรรมการจะจดั การเองทนั ที แต่ถา้ ไม่สามารถจดั การไดเ้ องคนเดียวก็ จะใชว้ ธิ ีการจดั การเป็นทีม หรืออาศยั คนนอกมาช่วยจดั การ จากศึกษาขอ้ มลู การจดั การความขดั แยง้ ที่ไดม้ ีการบนั ทึก และจากการลงพ้นื ท่ี พบวา่ ส่วนใหญ่ สะทอ้ นศกั ยภาพการจดั การความขดั แยง้ ในเชิงปัจเจกบุคคลมากกวา่ การทาํ งานเป็นทีม อยา่ งไรกต็ าม ใน ภาพรวมของศนู ยย์ ตุ ิธรรมยตุ ิธรรมชุมชน สามารถสรุปเป็นศกั ยภาพภาพรวมไดด้ งั น้ี  มีความรู้ ไดแ้ ก่ ความรู้ดา้ นกฎหมาย ท้งั ในเชิงข้นั ตอนกระบวนการทางกฎหมาย เน้ือหาสาระ ของกฎหมายที่นาํ มาใชใ้ นการไกล่เกลี่ย และความรู้เก่ียวกบั บริบทพ้นื ท่ี  มีทกั ษะ จากขอ้ มูลสะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ ผไู้ กล่เกล่ียมีทกั ษะที่หลายดา้ น อาทิ ทกั ษะในการดา้ นการ เจรจา การหาขอ้ มลู การประสานงานบุคคลหรือหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง(กรณีที่ตอ้ งอาศยั คนอ่ืนมาช่วยไกล่ เกล่ีย)  ไดร้ ับการยอมรับ ซ่ึงผทู้ าํ หนา้ ท่ีไกล่เกลี่ยในตาํ บลสุโสะมีท้งั ผนู้ าํ ท่ีเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ แต่ท้งั สองแบบต่างกไ็ ดร้ ับการยอมรับจากท้งั คนในชุมชนและหน่วยงานใหม้ าทาํ หนา้ ที่ไกล่เกลี่ย โดยคุณลกั ษณะเฉพาะของผไู้ กล่เกล่ียที่ทาํ ใหเ้ กิดการยอมรับ อาทิ มีตาํ แหน่ง(ท่ีคนใหก้ ารยอมรับ) เป็นผู้ บารมี มีความเป็นกลาง มีความรู้ความสามารถ  เป็นผกู้ วา้ งขวาง เป็นที่รู้จกั และรู้จกั คนเยอะ ซ่ึงช่วยในดา้ นการประสานขอความช่วยเหลือจาก คนหรือหน่วยงานที่จะดึงมาช่วยในการไกล่เกลี่ย เช่น ผนู้ าํ ต่างพ้ืนที่ หน่วยงานยตุ ิธรรมในระดบั ต่างๆ ข   

การจัดการความขดั แย้งพนื้ ท่ี อาํ เภอบางหมาก 1. กรณีความขดั แยง้ แบ่งตามประเภท ประเภทความขดั แย้ง ความถี่ ความถ่ีผลการไกล่เกลยี่ หมายเหตุ โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย ทาํ ร้ายร่างกาย 1 1 ประพฤติผดิ ตอ่ ประเพณี 99 ครอบครัว ชูส้ าว ที่ดินและทรัพยส์ ิน 25 22 2 1 อุบตั ิเหตุ 76 1 ทะเลาะวิวาท 98 1 1 ทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ สตั วเ์ ล้ียง 33 สหกรณ์ ฉอ้ โกง 73 3 การเกษตร ยาเสพติด 11 ขดั แยง้ กบั ภาครัฐ 1 1 อื่นๆ เช่น พกปื น จบั ผดิ คน บุก รุกยามวกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้าง สถานการณ์ 2. แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชน คืออะไร (ดึงสาระสาํ คญั จากกรณีศึกษาในรายพ้นื ที่ เช่น ความเป็นธรรม เป็นกลางของชุมชน การเอ้ือประโยชน์ การแบ่งปัน การอยรู่ ่วมกนั การช่วยเหลือเก้ือกลู บุญคุณ)  ความเป็นธรรม และความเป็นจริงของชุมชน มากกวา่ หลกั ฐานและหลกั การของ ทางราชการ ท้งั น้ีตอ้ งนาํ มาผสมผสานกนั เพื่อใหเ้ กิดทางออกท่ีดีที่สุดสาํ หรับทุก ฝ่ าย  การใหอ้ ภยั เพอ่ื การอยรู่ ่วมกนั ของคนในชุมชนเดียวกนั  การใชป้ ระโยชนร์ ่วมกนั ของส่วนรวม เอ้ือประโยชนแ์ ก่กนั ค  

 การช่วยเหลือเก้ือกลู กนั ซ่ึงบุญคุณของผไู้ กล่เกลี่ย ทาํ ใหเ้ กิดความเกรงใจ และ ยอมรับการไกล่เกลี่ยโดยง่าย 3. วเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์เชิงพ้ืนท่ีกบั การจดั การความขดั แยง้ ของชุมชน (ลกั ษณะพ้นื ที่ ลกั ษณะชุมชน เมือง ชนบท หรือก่ึงเมืองก่ึงชนบท ศาสนา วถิ ีชีวติ ลกั ษณะคดี ฯลฯ)  การใชศ้ าสนาช่วยไกล่เกลี่ยเยยี วยา o กรณีความขดั แยง้ ยาเสพติด หลงั จากท่ีผกู้ ระทาํ ผดิ ไดร้ ับโทษตามกระบวนการ ยตุ ิธรรมชุมชนแลว้ และจะกลบั มาเสพยาอีก จึงใชผ้ นู้ าํ ทางศาสนาเป็นผไู้ กล่ เกล่ียและใชห้ ลกั ศาสนาในการช่วยผตู้ ิดยาบาํ บดั ยาเสพติดใหก้ ลบั มาเป็นคนดี ของสงั คม  ลกั ษณะคดี o กรณีความขดั แยง้ ส่วนใหญ่เป็นเร่ืองท่ีดิน และการลกั ขโมยทรัพยส์ ิน โดยเรื่อง ท่ีดินเป็นปัญหาเก่ียวกบั เขตแดนที่ไม่ชดั เจน มีการบุกรุก ท้งั ปัจเจก-ปัจเจก และปัจเจก-สาธารณะ โดยส่วนใหญ่กลไกการจดั การโดยชุมชนสามารถ จดั การได้ ส่วนการลกั ขโมยทรัพยส์ ิน ผกู้ ่อเหตุส่วนใหญ่เป็นวยั รุ่นที่ทาํ ไป เพราะความคึกคะนองและตอ้ งการไดเ้ งินไปซ้ือของ จึงทาํ ใหก้ ่อเหตุและหาก ความเสียหายไม่มากกส็ ามารถใชก้ ลไกชุมชนไกล่เกลี่ยได้ หรือยอมถอนแจง้ ความเม่ือไดท้ รัพยส์ ินคืน 4. วิเคราะห์ประเภทความขดั แยง้ กบั การจดั การโดยชุมชน ๑. สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร  คูก่ รณีเป็นคนนอกชุมชน  คู่กรณีเป็นคนมีความรู้และมีเงิน จึงยดึ ศกั ด์ิศรี  คูก่ รณีตกลงกนั ไม่ได้  คูก่ รณีพกอาวธุ เกรงวา่ จะเกิดอนั ตราย  กรณีอุบตั ิเหตุ ตอ้ งแจง้ ความเพอ่ื ใชส้ ิทธ์ิตาม พรบ.  กรณีทะเลาะววิ าท ตอ้ งแจง้ ความเน่ืองจากคา่ เสียหายมีมลู ค่าสูง ๒. ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง ค  

 เมื่อมีการแจง้ ความเกิดข้ึน ผนู้ าํ ชุมชนเห็นวา่ ความขดั แยง้ น่าจะพดู คุยกนั ได้ กจ็ ะ เขา้ ไปช่วยไกล่เกลี่ยจนคู่กรณียอมถอนแจง้ ความ  ประเมินสถานการณ์ความเสียหายและการยอมรับผดิ ของคู่กรณี หากมีแนวโนม้ วา่ จะไม่ยอมปฏิบตั ิตาม จะเสนอใหไ้ ปแจง้ ความ ๓. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาท่ีโดดเด่น เช่น วธิ ีการการจดั การความขดั แยง้ ของชุมชนที่สะทอ้ นมิติ ชุมชน กรณียตุ ิธรรมกระแสหลกั ส่งกลบั ใหช้ ุมชนจดั การ กรณีท่ีสามารถใชส้ ถานการณ์สู่ การวางแผนป้ องกนั ในระยะต่อไป การจดั การความขดั แยง้ เด่นท้งั ปัจเจกและกลุ่ม  ผไู้ กล่เกล่ียกรณีความขดั แยง้ ที่ดิน ดว้ ยสาเหตุเขตแดนไม่ชดั เจน เจา้ หนา้ ที่รังวดั ท่ีดิน มีส่วนช่วยในการไกล่เกล่ียไดม้ าก โดยใชห้ ลกั ฐาน แต่ผนู้ าํ ชุมชนมีส่วนช่วย โดยใชห้ ลกั ความจริงที่มาท่ีไปในอดีต ทาํ ใหผ้ ลการไกล่เกลี่ยไดร้ ับการยอมรับ (กรณีศึกษาท่ี 7)  กรณีความขดั แยง้ อุบตั ิเหตุ เจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจเปิ ดโอกาสใหค้ ู่กรณีตกลงกนั เองโดย ใชก้ ลไกชุมชนช่วย เพ่อื ไม่ตอ้ งเป็นคดีความ (กรณีศึกษาท่ี 9 และ 38)  กรณีความขดั แยง้ กบั ภาครัฐ การไกล่เกลี่ยเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ (กรณีศึกษาที่ 24) 5. ศกั ยภาพของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนเป็นอยา่ งไร เช่น โครงสร้าง องคป์ ระกอบของคณะทาํ งาน วิธีดาํ เนินการไกล่เกล่ีย การยอมรับและใชบ้ ริการของชุมชน การสร้างและพฒั นาทีมงานอาสาสมคั ร ยตุ ิธรรมชุมชน การสนบั สนุนจาก อบต.หรือภาครัฐ ฯลฯ จากกรณีความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ เห็นการทาํ งานร่วมกนั ไกล่เกลี่ยของอาสาสมคั ร แต่ยงั ไม่ ชดั เจนในบทบาทผนู้ าํ ทางการทอ้ งถิ่นกบั บทบาททีมงานศูนยฯ์ เหมือนหรือต่างกนั อยา่ งไร อะไรท่ี ทาํ ใหช้ ่วยเพ่มิ คุณคา่ และมูลคา่ ใหก้ บั ศนู ยไ์ ดบ้ า้ ง เช่น บทบาทชดั เจนข้นึ วธิ ีการไกล่เกล่ียเป็น มาตรฐานมีข้นั ตอนเป็นระบบมากข้ึน การยอมรับและการใชบ้ ริการมากข้ึน ซ่ึงตอ้ งลงพ้ืนที่เกบ็ ขอ้ มูลเพ่มิ เติมอีกคร้ังหน่ึง ค  

การจดั การความขดั แย้งพนื้ ที่ อาํ เภอนาหมืน่ ศรี 1. กรณีความขดั แยง้ แบ่งตามประเภท ประเภทความขัดแย้ง ความถ่ี ความถผี่ ลการไกล่เกลย่ี หมายเหตุ พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป ทาํ ร้ายร่างกาย ประพฤติผดิ ตอ่ ประเพณี 33 ครอบครัว ชูส้ าว ท่ีดินและทรัพยส์ ิน 33 อุบตั ิเหตุ ทะเลาะววิ าท 52 2 1 ทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ สตั วเ์ ล้ียง ฉอ้ โกง 22 18 3 1 ยาเสพติด 64 2 ขดั แยง้ กบั ภาครัฐ 11 อ่ืนๆ เช่น พกปื น จบั ผดิ คน บุก 11 11 2 รุกยามวกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้าง 2 สถานการณ์ 21 1 เขา้ ใจผดิ 64 2 ป้ ายความผดิ สร้าง สถานการณ์ พกปื น ครู- นร. 2. แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชน คืออะไร (ดึงสาระสาํ คญั จากกรณีศึกษาในรายพ้นื ที่ เช่น ความเป็นธรรม เป็นกลางของชุมชน การเอ้ือประโยชน์ การแบ่งปัน การอยรู่ ่วมกนั การช่วยเหลือเก้ือกลู บุญคุณ)  ความถกู ตอ้ ง  เป็นกลาง เป็นธรรม  การช่วยเหลือกนั และกนั  การใหอ้ ภยั ไม่เอาเร่ือง เพราะเป็นญาติ ทาํ ผดิ คร้ังแรก ความเสียหายไม่มาก ง  

 เป็นการใหโ้ อกาสผกู้ ระทาํ ผดิ ไดแ้ กต้ วั  เป็นหนา้ ที่ของผนู้ าํ ในการดูแลชุมชน ช่วยพฒั นาชุมชน ทาํ ใหช้ าวบา้ นอยดู่ ว้ ยกนั อยา่ งสงบ สุข 3. วิเคราะห์ความสมั พนั ธเ์ ชิงพ้ืนท่ีกบั การจดั การความขดั แยง้ ของชุมชน (ลกั ษณะพ้นื ที่ ลกั ษณะชุมชน เมือง ชนบท หรือก่ึงเมืองก่ึงชนบท ศาสนา วถิ ีชีวติ ลกั ษณะคดี ฯลฯ) กรณีความขดั แยง้ เรื่องที่ดินและทรัพยส์ ิน (ลกั ขโมย) มีจาํ นวนมากในพ้ืนท่ีอาํ เภอนาหมื่น ศรี สาเหตุจากเขตแดนไม่ชดั เจน ทาํ ใหเ้ กิดปัญหาตน้ ไมร้ ุกล้าํ ที่ดินบริเวณเขตติดต่อกนั และการแบง่ ผลประโยชนจ์ ากผลผลิตในบริเวณรอยต่อ รวมถึงการขอที่ดินทาํ ถนนสาธารณะ การไกล่เกลี่ยส่วน ใหญ่ชุมชนสามารถไกล่เกลี่ยได้ แต่มีบางกรณีที่เขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั โดยมี สาเหตุ คือ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิบตั ิตามที่กลไกชุมชนตดั สิน เช่น ไม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย กรณีความขดั แยง้ เรื่องสตั วเ์ ล้ียงทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ โดยเฉพาะววั กินยางมีบ่อยมาก ดว้ ย ลกั ษณะการเล้ียงสตั วแ์ บบปล่อย และพ้นื ท่ีส่วนใหญ่ปลกู ยาง ความเสียหายที่เกิดข้ึนไม่มากนกั ทาํ ใหก้ ลไกการไกล่เกล่ียโดยชุมชนจดั การได้ ผลการไกล่เกล่ีย คือ ไม่เอาเรื่องใหอ้ ภยั หรือ จ่าย คา่ เสียหายเป็นป๋ ุยเพอ่ื นาํ ไปบาํ รุงตน้ ยางท่ีเสียหาย หรือ ต่างรับผดิ ชอบความเสียหายท่ีเกิดข้ึนของ ตวั เอง 4. วิเคราะห์ประเภทความขดั แยง้ กบั การจดั การโดยชุมชน ๑. สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร  ไม่ยอมรับ ไมป่ ฏิบตั ิตามการตดั สินของกลไกชุมชน (กรณีศึกษาท่ี 39)  เป็นผกู้ ระทาํ ผดิ ซ้าํ ซาก  ความเสียหายมีความรุนแรง เช่น ฆ่ากนั ตาย และมลู ค่าความเสียหายจาํ นวนมาก  มีกรณีฉอ้ โกงที่ผเู้ สียหายมีความเชื่อต่อกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั ไม่ใช้ กลไกชุมชนไกล่เกลี่ย แต่ผา่ นมา 2 ปี ยงั ไม่มีขอ้ สรุปทางคดี แต่เสียค่าทนาย จาํ นวน 20000 บาท ๒. ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง  ช่วยไกล่เกลี่ยร่วมกนั ตาํ รวจ  เป็นพยาน ง  

 รวบรวมขอ้ มลู ส่งต่อขอ้ มลู หลกั ฐาน ๓. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาที่โดดเด่น เช่น วิธีการการจดั การความขดั แยง้ ของชุมชนท่ีสะทอ้ นมิติ ชุมชน กรณียตุ ิธรรมกระแสหลกั ส่งกลบั ใหช้ ุมชนจดั การ กรณีที่สามารถใชส้ ถานการณ์สู่ การวางแผนป้ องกนั ในระยะต่อไป การจดั การความขดั แยง้ เด่นท้งั ปัจเจกและกลุ่ม  การรักษาสิทธิตามกฎหมาย ในกรณีโรงพยาบาลบกพร่องในการดูแลคนไข้ ทาํ ให้ เด็กในทอ้ งเสียชีวิต ดว้ ยผูเ้ สียหายทราบสิทธิของผูเ้ สียหาย จึงไดย้ ่ืนเร่ืองตาม ข้นั ตอนราชการ และติดตามผลผา่ นการประชุม CEO และผา่ นปลดั อาํ เภอฝ่ าย ปกครองที่ดูแลพ้ืนท่ี รวมท้งั ไดร้ ับคาํ แนะนาํ ของฝ่ ายการเมืองทอ้ งถ่ิน จึงไดร้ ับเงิน ทดแทนค่าเสียหายจาํ นวน 200,000 บาท งวดละ 15 วนั คร้ังละ 100,000 บาท (กรณีศึกษาท่ี 26)  กรณีรายบุคคลที่น่าสนใจ ไดแ้ ก่ ด.ต.ประพนั ธ์ แสงแกว้ มีบทบาทสาํ คญั ในการ ไกล่เกลี่ยในหลายกรณีความขดั แยง้ สามารถทาํ บทบาทผไู้ กล่เกล่ียชุมชน ผู้ ประสานงานที่ดีระหวา่ งกลไกชุมชนกบั ยตุ ิธรรมกระแสหลกั การใหข้ อ้ มูลทาง กฎหมาย การช่วยประสานตอ่ รองลดหยอ่ นคดี การติดตามความคืบหนา้ ของคดี ฯลฯ  เจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจปฏิบตั ิการผดิ พลาดและเกิดความเสียหายแก่ทรัพยส์ ินประชาชน กลไกชุมชนสามารถไกล่เกล่ียจดั การได้ โดยตาํ รวจรับผดิ และรับผดิ ชอบ ค่าเสียหายท่ีเกิดข้ึน (กรณีศึกษาที่ 6)  กรณีความขดั แยง้ อุบตั ิเหตุทาํ ใหค้ ู่กรณีเสียชีวติ มีการแจง้ ความแต่การไกล่เกล่ียจบ ลงดว้ ยการพดู คุยโดยใชก้ ลไกชุมชน และบญุ คุณของผไู้ กล่เกลี่ยท่ีมีต่อผกู้ ระทาํ ผดิ ทาํ ใหเ้ กิดการรับผดิ ชอบแบบพ่ึงพาอาศยั กนั เห็นอกเห็นใจกนั และทาํ ให้ ความสมั พนั ธข์ องคูก่ รณีคงดีเช่นเดิม (กรณีศึกษาท่ี 21)  การเขา้ ไกล่เกล่ียเป็นทีม ทาํ ใหค้ ูก่ รณีเกิดความเชื่อถือ และคิดวา่ ตอ้ งไดร้ ับความ เป็นธรรมอยา่ งแน่นอน การจดั การปัญหากจ็ ะง่ายข้ึน ในความขดั แยง้ ที่ดินเกี่ยวกบั ความไม่ชดั เจนของเขตแดน การใชผ้ ไู้ กล่เกลี่ยที่เป็นผใู้ หญ่บา้ นเพยี งคนเดียวอาจ ไม่สามารถสร้างความเชื่อมนั่ ใหก้ บั คู่กรณีในความเป็นกลางได้ จึงใชก้ รรมการ ศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนจาํ นวน 4 คนช่วยกนั ช้ีแดน โดยมีเง่ือนไขวา่ ถา้ กรรมการศนู ยฯ์ ง  

บอกวา่ ตรงไหนเป็นเขตแดนกใ็ หท้ ้งั สองฝ่ ายยอมรับตามน้นั ทาํ ใหท้ ้งั สองฝ่ าย ยอมรับเงื่อนไขและเขตแดนตามที่กรรมการศูนยฯ์ ดาํ เนินการ (กรณีศึกษาท่ี 47)  การคืนคดีใหช้ ุมชนไกล่เกล่ีย ในกรณีความขดั แยง้ ทาํ ร้ายร่างกายมีการแจง้ ความ ดาํ เนินคดี จึงขอใหค้ นกลางซ่ึงมีความสมั พนั ธเ์ ป็นญาติกบั ท้งั สองฝ่ ายช่วยพดุ คุย ไกล่เกลี่ยต่อรองค่าเสียหายจนเป็นท่ียอมรับของท้งั สองฝ่ าย จากน้นั จึงพาคูก่ รณีไป ใหร้ ้อยเวรสอบปากคาํ เจรจาผลการไกล่เกล่ีย และยอมความกนั ที่โรงพกั โดยมี เจา้ หนา้ ท่ีตาํ รวจเป็นพยาน (กรณีศึกษาที่ 47) 5. ศกั ยภาพของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนเป็นอยา่ งไร เช่น โครงสร้าง องคป์ ระกอบของคณะทาํ งาน วธิ ีดาํ เนินการไกล่เกล่ีย การยอมรับและใชบ้ ริการของชุมชน การสร้างและพฒั นาทีมงานอาสาสมคั ร ยตุ ิธรรมชุมชน การสนบั สนุนจาก อบต.หรือภาครัฐ ฯลฯ การทาํ งานของศูนยย์ ตุ ิธรรมชุมชนของตาํ บลนาหม่ืนศรี ประกอบดว้ ยคณะกรรมการ 20 กวา่ คน ประกอบดว้ ยฝ่ ายปกครอง ฝ่ ายบริหาร และเจา้ หนา้ ท่ีภาครัฐท่ีเกี่ยวขอ้ ง กระจายในทุกหมู่บา้ นมีลกั ษณะการ ทาํ งานเป็นเครือขา่ ย แต่การไกล่เกลี่ยจะเป็นการช่วยกนั ตามความเหมาะสมของกรณีความขดั แยง้ หากความ ขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ กลไกระดบั หมู่บา้ นไม่สามารถจดั การไดจ้ ะส่งต่อเร่ืองมาท่ีศนู ยเ์ พือ่ ร่วมกนั จดั การต่อไป โดย มีเรื่องยาเสพติดเป็นเร่ืองที่ศนู ยจ์ ะไม่ช่วยไกล่เกล่ียซ่ึงเป็นขอ้ ตกลงร่วมกบั ชุมชนก่อนแลว้ มีการไกล่เกล่ีย และจดั การปัญหาเป็นทีม ประกอบดว้ ย ทมี ไกล่เกลยี่ ประกอบด้วย - ผนู้ าํ ทอ้ งถิ่น (นายกอบต. สมาชิก อบต.) - ฝ่ ายปกครองทอ้ งที่ กาํ นนั ผใู้ หญ่บา้ น ผชู้ ่วยฯ - ตาํ รวจ - ผนู้ าํ ตามธรรมชาติ/ผอู้ าวโุ ส - ประชาชนผทู้ ่ีเกิดความขดั แยง้ ผลดขี องการทาํ งานเป็ นทมี ดี คอื 1. คูก่ รณีเกรงใจ 2. ผไู้ กล่เกลี่ยไม่เสียวหลงั 3. จบในชุมชน ง  

4. ชาวบา้ นดีกนั กระบวนการทาํ งานเป็ นทมี 1. ประสานงานในทีม สุมหวั วางแผน จดั การ 2. ดูอารมณ์คู่กรณี (ปล่อยใหอ้ ารมณ์เยน็ ก่อน) 3. ถา้ เป็นเรื่องทะเลาะววิ าทใหด้ าบตาํ รวจเบิกโรง (คนเกรงใจนาย) 4. บางเร่ืองตอ้ งใหจ้ บเร็วเพราะกลวั มีมือท่ี 3 “ระวงั คนแบกโองใหเ้ พ่ือนข้ึน” จุดเด่นของทีมงานยตุ ิธรรมชุมชนของตาํ บลนาหม่ืนศรี จากองคป์ ระกอบของทีมงานท่ีมีเจา้ หนา้ ท่ี ภาครัฐ (ตาํ รวจ) ท่ีเป็นคนพ้นื ที่และมีใจรักในงานยตุ ิธรรมชุมชนร่วมในกระบวนการไกล่เกลี่ย มีส่วนช่วย อยา่ งมากเกี่ยวกบั ความรู้ทางกฎหมาย รู้ขอ้ มูลพ้ืนที่ ประสานงานกบั หน่วยงานในกระบวนการยตุ ิธรรม กระแสหลกั ฯลฯ ผลจากการมีศูนยฯ์ ทาํ ใหม้ ีการประสานงานมากข้ึนท้งั ในพ้นื ที่และนอกพ้นื ท่ี มีความขดั แยง้ และ จาํ นวนคดีลดลง มีการบนั ทึกการไกล่เกลี่ยท่ีเป็นระบบยงิ่ ข้ึน ทีมงานยตุ ิธรรมชุมชนตาํ บลนาหมื่นศรี มองความยงั่ ยนื ของศูนยฯ์ วา่ มีความจาํ เป็นตอ้ งถ่ายทอด ความรู้ความเขา้ ใจงานยตุ ิธรรมชุมชนใหก้ บั ผนู้ าํ รุ่นใหม่ๆ และมีใจในการทาํ งานยตุ ิธรรมชุมชน ควรมีการ ทาํ งานในเชิงการป้ องกนั ร่วมดว้ ย เช่น การใหค้ วามรู้กบั ชาวบา้ น อยา่ งไรกต็ ามยงั เห็นวา่ ทีมงานฯท่ีมี ตาํ แหน่งเป็นผนู้ าํ ทางการมีส่วนช่วยใหเ้ กิดการยอมรับจากชาวบา้ นไดง้ ่าย ง  

การจดั การความขดั แย้งพนื้ ท่ี อาํ เภอนาวง 1. กรณีความขดั แยง้ แบ่งตามประเภท ประเภทความขัดแย้ง ความถี่ ความถ่ผี ลการไกล่เกลยี่ หมายเหตุ บุกรุก โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย ทาํ ร้ายร่างกาย ประพฤติผดิ ต่อประเพณี 11 ครอบครัว ชูส้ าว ท่ีดินและทรัพยส์ ิน 29 28 1 อุบตั ิเหตุ 11 ทะเลาะววิ าท 33 ทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ สตั วเ์ ล้ียง 77 ฉอ้ โกง 1 1 ยาเสพติด ขดั แยง้ กบั ภาครัฐ อื่นๆ เช่น พกปื น จบั ผดิ คน บุก 1 1 รุกยามวกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้าง สถานการณ์ หมายเหตุ : ไม่ใชก้ รณีศึกษาจากการบนั ทึก 1 กรณี เน่ืองจากขอ้ มลู ไม่ชดั เจน 2. แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชน คืออะไร แนวคดิ ยตุ ิธรรมชุมชนที่สะทอ้ นจากความเชื่อท่ีใชใ้ นการตดั สินของผไู้ กล่เกลี่ย คือ ๑. ปัญหาทุกเร่ืองตอ้ งมีทางออก จึงเป็นแรงจูงใจในการไกล่เกลี่ยเมื่อเกิดความขดั แยง้ ๒. ยดึ หลกั เหตแุ ละผลในการตดั สินหรือการไกล่เกล่ีย ๓. ใชค้ วามรู้และความถกู ตอ้ งทางกฎหมายประกอบในการไกล่เกล่ีย ๔. ใชห้ ลกั “วฒั นธรรมชุมชน” การพ่ึงพาอาศยั กนั เห็นอกเห็นใจกนั บนฐานของคนบา้ น เดียวกนั ความเป็นเครือญาติ บุญคุณที่เคยช่วยเหลือกนั ท่ีผา่ นมา และการอยรู่ ่วมกนั ใน ชุมชนต่อไป จ   

๕. ความเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ดงั น้นั การจ่ายค่าเสียหายในหลายกรณีจะอยบู่ นความ พอใจของผเู้ สียหายและความสามารถในการจ่ายไดข้ องผกู้ ระทาํ ผดิ ดว้ ย 3. วิเคราะห์ความสมั พนั ธเ์ ชิงพ้นื ท่ีกบั การจดั การความขดั แยง้ ของชุมชน (ลกั ษณะพ้นื ที่ ลกั ษณะชุมชน เมือง ชนบท หรือก่ึงเมืองก่ึงชนบท ศาสนา วถิ ีชีวิต ลกั ษณะคดี ฯลฯ) ความขดั แยง้ ที่เกิดข้ึนโดยส่วนใหญ่เป็นกรณีท่ีดิน เน่ืองจากก่อนปี 42 ยงั ไม่มีการจดั ทาํ โฉนดที่ดิน ทาํ ใหม้ ีปัญหาเรื่องเขตแดนท่ีไม่ชดั เจนท้งั ระหวา่ งบุคคล หรือบุคคลกบั พ้นื ท่ีสาธารณะ แต่หลงั ปี 42 มีการจดั ทาํ โฉนดท่ีดินเสร็จ ปัญหาเขตแดนและที่ดินจึงลดจาํ นวนลงอยา่ งมาก ความขดั แยง้ กรณีลกั ทรัพย์ ผกู้ ่อเหตุมกั เป็นวยั รุ่น ไม่ไดเ้ ป็นขโมยอาชีพ ทาํ ไปเพราะความ สนุก อยากไดเ้ งินไปเท่ียวเตร่ และบางคนติดยา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และทรัพยส์ ินที่ขโมยมีมลู คา่ ไม่สูงมาก ผลการไกล่เกลี่ยโดยส่วนใหญ่จบลงดว้ ยการชดใชค้ ่าเสียหาย หรือคืนของที่ขโมยมา และ ผเู้ สียหายไม่เอาเรื่อง ใหอ้ ภยั เพราะเป็นลกู หลาน เห็นแก่ผปู้ กครองที่เป็นคนดี ชอบช่วยเหลือสงั คม ตลอดมา หรือ เป็นคนในชุมชนเดียวกนั ความขดั แยง้ กรณีทะเลาะววิ าท ในการไกล่เกลี่ยมีการใชส้ ิ่งเหนือธรรมชาติที่ชุมชนเคารพ มาช่วยเพอื่ ขใู่ หค้ ู่กรณีกลวั และไม่ทาํ ผดิ อีก 4. วิเคราะห์ประเภทความขดั แยง้ กบั การจดั การโดยชุมชน ๑. สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร กรณีการลกั ขโมยข้ียางมีการแจง้ ความดาํ เนินคดี โดยผา่ นการเห็นชอบจากญาติพี่ นอ้ งของผกู้ ระทาํ ผดิ แลว้ เพราะผกู้ ระทาํ ผดิ หนีและไม่ยอมปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลงจากการไกล่ เกลี่ยของชุมชน คือ ชดใชค้ า่ เสียหายตามที่เจา้ ทุกขร์ ้องขอ ทุกฝ่ ายท่ีเก่ียวขอ้ งจึงแจง้ ความ และใหต้ าํ รวจดาํ เนินการนาํ ตวั ผกู้ ระทาํ ผดิ ไปรับโทษตามกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั เพอ่ื ไม่ใหเ้ ป็นตวั อยา่ งกบั คนอื่น อีกท้งั ผกู้ ระทาํ ผดิ เคยถกู สงสยั วา่ เคยลกั เลก็ ขโมยนอ้ ยมา ก่อน ๒. ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง จ   

ชุมชนไดไ้ มก่ ารไกล่เกลี่ยก่อนแลว้ แต่ผกู้ ระทาํ ผดิ ไม่ยอมปฏิบตั ิตามมติของชุมชน ชุมชนจึงแจง้ ความและส่งขอ้ มูลหลกั ฐานท้งั หมดใหต้ าํ รวจเพอื่ ดาํ เนินการต่อไป รวมถึง การเป็นพยานและใหค้ วามร่วมมือในการสอบสวนเพมิ่ เติม ๓. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาท่ีโดดเด่น  วธิ ีการการจดั การความขดั แยง้ ของชุมชนที่สะทอ้ นมิติชุมชน กรณีความขดั แยง้ เร่ืองที่ดินเป็นการขายที่ดินกินแดนที่สาธารณะ ซ่ึงผกู้ ระทาํ ผดิ เป็นคนด้ือไมย่ อมใคร จึงตอ้ งใชผ้ ไู้ กล่เกล่ียหลายคนช่วยกนั ไกล่เกลี่ย ท้งั ผมู้ ีบารมีเป็นท่ี เคารพนบั ถือ และพลงั มวลชน ในท่ีสุดเพอื่ นบา้ นร่วมเห็นพอ้ งตอ้ งกนั กบั ผลการไกล่เกล่ีย คือ วดั ท่ีดินใหม่ใหค้ รบตามท่ีตกลงซ้ือขายโดยไม่กินแดนที่สาธารณะ ในเบ้ืองตน้ ผกู้ ระทาํ ผดิ ไม่ยอมแมว้ า่ เพอ่ื นบา้ นจะเห็นร่วมจนผไู้ กล่เกล่ีย พดู วา่ “ถา้ คุณยงั เป็นคนแบบน้ีคอื ด้ือ ไม่ฟังใคร จาํ ไวเ้ ลยวา่ ต่อไปน้ีหากคุณมีเรื่องหรือมีปัญหา พวกเราท้งั หมดจะไม่ช่วยพดู ถึง แมน้ วา่ เร่ืองมนั จะเป็นจะตายกต็ าม” เป็นการใชแ้ นวทางวฒั นธรรมชุมชน มองการอยู่ ร่วมกนั ตอ้ งการพ่ึงพาอาศยั ช่วยเหลือกนั ในอนาคต (กรณีศึกษาที่ 19)  กรณียตุ ิธรรมกระแสหลกั ส่งกลบั ใหช้ ุมชนจดั การ กรณีความขดั แยง้ เร่ืองที่ดิน มีการปล่อยน้าํ เสีย ซึมผา่ นไปยงั ที่ดินติดกนั ส่งผลให้ ตน้ ยางตาย คูก่ รณีไปแจง้ ความ ผไู้ กล่เกลี่ยและคูก่ รณีจึงไปขอเรื่องที่ตาํ รวจกลบั มาใชก้ ลไก ชุมชนในการไกล่เกล่ีย หาขอ้ ยตุ ิ ชดใชค้ า่ เสียหายตามสมควร ดว้ ยความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือและมีแนวทางแกไ้ ขร่วมกนั ต่อไป (กรณีศึกษา 26) กรณีความขดั แยง้ เรื่องท่ีดิน ผกู้ ระทาํ ผดิ แจง้ เหตุกบั ปลดั อาํ เภอดว้ ยผเู้ สียหายมี ความสมั พนั ธก์ บั ผไู้ กล่เกลี่ยจึงไม่มน่ั ใจความเป็นกลาง จึงไปแจง้ เหตุกบั บุคคลที่มีตาํ แหน่ง สูงกวา่ แตเ่ มื่อปลดั อาํ เภอลงพ้ืนท่ีและหารือกบั ผไู้ กล่เกล่ียในพ้นื ที่กเ็ ช่ือมน่ั กลไกพ้นื ที่และ ส่งเรื่องกลบั ใหผ้ ไู้ กล่เกลี่ยต่อตามแนวทางท่ีกลไกพ้ืนที่เสนอ (กรณีศึกษาที่ 14) กรณีบุกรุก ดว้ ยความเขา้ ใจผดิ กนั จึงมีการยงิ ผบู้ ุกรุก จากน้นั มีการไกล่เกลี่ยและ จดั การดูแลผบู้ าดเจบ็ พดู คุยตกลงกนั ได้ กาํ นนั จึงประสานไปยงั ตาํ รวจขอใหย้ อมรับใช้ กลไกชุมชนในการจดั การความขดั แยง้ ไมต่ อ้ งเป็นคดีความ (กรณีศึกษาท่ี 42) จ   

5. ศกั ยภาพของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนเป็นอยา่ งไร (เช่น โครงสร้าง องคป์ ระกอบของคณะทาํ งาน วิธีดาํ เนินการไกล่เกล่ีย การยอมรับและใชบ้ ริการของชุมชน การสร้างและพฒั นาทีมงานอาสาสมคั ร ยตุ ิธรรมชุมชน การสนบั สนุนจาก อบต.หรือภาครัฐ ฯลฯ)  การสร้างการยอมรับผลการไกล่เกลี่ยเป็นทีม จากกรณีความขดั แยง้ กรณีลกั ขโมยและการทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ มีการใชท้ ีมงานศนู ยย์ ตุ ิธรรม ชุมชนช่วยไกล่เกลี่ย ซ่ึงการไกล่เกล่ียเป็นทีมช่วยเพิ่มน้าํ หนกั การไกล่เกลี่ยใหค้ นหวั ด้ือเกิดการ ยอมรับไดม้ ากกวา่ การไกล่เกล่ียคนเดียว (กรณีศึกษาที่ 24)  การสร้างแนวทางการไกล่เกลี่ยจากกรณีศึกษา จากกรณีอุบตั ิเหตุรถชน ผไู้ กล่เกลี่ยใชต้ าํ แหน่งรับรองสร้างความเช่ือมน่ั กบั ผเู้ สียหาย ทาํ ให้ เรื่องไม่ถึงตาํ รวจ สามารถไกล่เกล่ียและยตุ ิเรื่องไดด้ ว้ ยกลไกของชุมชน จึงทาํ ใหก้ าํ นนั เสนอ แนวทางดงั กลา่ วเป็นแนวทางการจดั การในกรณีอุบตั ิเหตุ โดยใหก้ รรมการศูนยใ์ ชต้ าํ แหน่งรับรอง ไดเ้ ลยเม่ือพบเหตุการณ์แบบน้ี (กรณีศึกษาท่ี 43) จ   

การจัดการความขัดแย้งพนื้ ที่ โคกสะบ้า 1. กรณีความขดั แยง้ แบ่งตามประเภท ประเภทความขดั แย้ง ความถี่ ความถี่ผลการไกล่เกลยี่ หมายเหตุ พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป ทาํ ร้ายร่างกาย ประพฤติผดิ ต่อประเพณี 77 ครอบครัว ชูส้ าว ท่ีดินและทรัพยส์ ิน 33 ร่วมกนั อุบตั ิเหตุ ทะเลาะววิ าท 10 6 4 ทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ สตั วเ์ ล้ียง ฉอ้ โกง 16 14 2 ร่วมกนั ยาเสพติด 44 1 ขดั แยง้ กบั ภาครัฐ 54 1 อื่นๆ เช่น พกปื น จบั ผดิ คน บุก 65 รุกยามวกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้าง - 2 สถานการณ์ - - 2 2. แนวคดิ ยตุ ิธรรมชุมชน คืออะไร แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชนท่ีเห็นไดจ้ ากทศั นคติของผทู้ าํ หนา้ ที่ในการไกล่เกล่ีย ประกอบดว้ ย 1. การดาํ เนินการในการไกลเกล่ียตอ้ งต้งั อยบู่ นความถกู ตอ้ ง อยา่ งพอดี แมจ้ ะมีสิทธิตามกฎหมายแต่ หากเป็นการสมควรกไ็ ม่ถกู ตอ้ ง 2. จะตอ้ งเขา้ ใจในตวั คู่กรณีของความขดั แยง้ โดย พิจารณาตวั คู่กรณีแบบองคร์ วม ไม่พจิ ารณาเฉพาะ ขอ้ เทจ็ จริงของความขดั แยง้ ท้ีเกิดข้ึนตรงหนา้ หรือเท่าท่ีเห็นเท่าน้นั เพอ่ื จะไดน้ าํ เอาพฤติกรรมของ คู่กรณีมาประกอบการพจิ าณา 3. มีการกาํ หนดกติกาในการไกล่เกลี่ยมาใชร้ ะหวา่ งคูค่ วามขดั แยง้ ท่ีจะตอ้ งรับปากตกลงกนั วา่ จะ ปฎิบตั ิตาม 4. ใชห้ ลกั การถอ้ ยที่ถอ้ ยอาศยั ผทู้ ่ีอยใู่ นฐานะท่ีดอ้ ยกวา่ มกั จะไดร้ ับความเห็นอกเห็นใจ ฉ  

5. หา้ มไม่ใหม้ ีการซ้าํ เติมซ่ึงกนั และกนั 3. วเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์เชิงพ้นื ที่กบั การจดั การความขดั แยง้ ของชุมชน (ลกั ษณะพ้นื ที่ ลกั ษณะชุมชนเมือง ชนบท หรือก่ึงเมืองก่ึงชนบท ศาสนา วิถีชีวิต ลกั ษณะคดี ฯลฯ) ความขดั แยง้ ส่วนใหญ่จะเก่ียวขอ้ งกบั การเปล่ียนมือของท่ีดินซ่ึงจะเป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากการ เปลี่ยนมือโดยการตกทอดทางมรดก ประกอบกบั ปัญหาความไม่ชดั เจนในเอกสารสิทธิจึงทาํ ใหเ้ กิดขอ้ พพิ าทกนั ท้งั น้ีเน่ืองจาก และยงั มีปัญหาเรื่องขอ้ ตกลงที่ทาํ กนั ดว้ ยวาจาแลว้ ต่อมาคู่สญั ญาฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงตาย และเม่ือตกทอดมายงั ทายาท ทาํ ใหเ้ กิดการอา้ งคาํ พดู กนั และนาํ ไปสู่ขอ้ พิพาท ความขดั แยง้ รองลงมาสาํ หรับในพ้ืนท่ีน้ีไดแ้ ก่ ขอ้ พิพาทท่ีเก่ียวกบั ประพฤติผดิ ต่อประเพณี ครอบครัว ชูส้ าว ความขดั แยง้ ที่เก่ียวกบั ความเสียหายในตวั ทรัพยท์ ้งั ที่เกิดข้ึนโดยจงใจ เช่น จากการลกั ทรัพย์ การทาํ ใหเ้ สียหายโดยสตั วเ์ ล้ียง การทะเลาะววิ าทเลก็ ๆนอ้ ย ซ่ึงเป็นขอ้ พพิ าททว่ั ไปดงั เช่นในชุมชนพ้นื ที่อ่ืนๆ 4. วเิ คราะห์ประเภทความขดั แยง้ กบั การจดั การโดยชุมชน 4.1 สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร สาเหตุที่ทาํ ใหค้ วามขดั แยง้ เขา้ สู่ยตุ ิธรรมกระแสหลกั เป็นเพราะ ในขณะที่เกิดความขดั แยง้ และ อาสาสมคั รยงั ไม่ไดเ้ ขา้ ไปดาํ เนินการไกล่เกลี่ย การท่ีคู่กรณีอีกฝ่ ายพดู ทา้ ทาย พดู ดูถกู เป็นสาเหตุ ทาํ ใหค้ วามขดั แยง้ ไปสู่กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั 4.2 ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง ในทางปฎิบตั ิเมื่อมีขอ้ พิพาทเกิดข้นึ ส่วนใหญ่ชุมชนจะแจง้ แก่ผนู้ าํ ท่ีเป็นทางการ แต่ยงั ไม่ไปสู่ช้นั คดีความในกระบวนการยตุ ิธรรม ดงั น้นั บทบาทของอาสาสมคั รในแง่น้ีจึงเป็นการช่วย กลนั่ กรองขอ้ พพิ าทไม่ใหไ้ หลไปสู่ระบบกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั ในขณะเดียวกนั เนื่องจากมีอาสาสมคั รในพ้นื ที่ซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานในกระบวนการ ยตุ ิธรรม เช่น เป็นกาํ นนั เป็นตาํ รวจท่ีอยปู่ ระจาํ ป้ อมตาํ รวจในพ้นื ที่ จึงทาํ ใหส้ ามารถใชก้ ลไกของ ชุมชนในระบบกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั โดยสามารถยตุ ิเร่ืองภายในชุมชน 4.3 ตวั อยา่ งกรณีศึกษาที่โดดเด่น กรณีความขดั แยง้ ของผมู้ ีอิทธิพล กลไกกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั นาํ เอากลไกการ ไกล่เกลี่ยขอ้ พพิ าท โดยใชผ้ อู้ าวโุ สในพ้ืนท่ี มาร่วมในพธิ ีด่ืมน้าํ สาบาน เพือ่ ยตุ ิความขดั แยง้ ระหวา่ งกนั ฉ  

กรณีพพิ าทกนั เรื่องการเปิ ดใหม้ ีการจบั ปลาในเขตพ้นื ท่ีอนุรักษข์ องชุมชน โดยผนู้ าํ ของ พ้ืนท่ีซ่ึงอยตู่ ิดกบั เขตพ้นื ท่ีแหล่งน้าํ ที่ชุมชนอนุรักษไ์ วเ้ ปิ ดขายบตั รอนุญาตใหจ้ บั ปลาโดยไม่จาํ กดั เครื่องมือ อาสาสมคั รในฐานะเป็นสมาชิกในชุมชนท่ีเป็นผอู้ นุรักษ์ ไดแ้ จง้ ใหผ้ ใู้ หญ่บา้ น กาํ นนั และนายอาํ เภอ ใหเ้ ขา้ มาช่วยแกไ้ ขปัญหา จนสามารถยตุ ิปัญหาลงไปได้ และจากกรณีความ ขดั แยง้ ดงั กล่าวทาํ ใหเ้ กิดกฎระเบียบของชุมชนเก่ียวกบั การอนุรักษแ์ ละการจบั ปลา ตามคาํ แนะนาํ ของนายอาํ เภอ 5. ศกั ยภาพของศูนยย์ ตุ ิธรรมชุมชนเป็นอยา่ งไร (เช่น โครงสร้าง องคป์ ระกอบของคณะทาํ งาน วธิ ีดาํ เนินการไกล่เกลี่ย การยอมรับและใชบ้ ริการของชุมชน การสร้างและพฒั นาทีมงานอาสาสมคั รยตุ ิธรรม ชุมชน การสนบั สนุนจาก อบต.หรือภาครัฐ ฯลฯ) 5.1การสร้างการยอมรับผลการไกล่เกลี่ยเป็ นทีม จากกรณีความขดั แยง้ กรณีการจบั ปลาในเขตอนุรักษ์ ผทู้ ี่ทาํ หนา้ ที่ในการระงบั ขอ้ พิพาทมีการเปิ ด เวทีใหป้ ระชาชนในฐานะที่เป็นเจา้ ของทรัพยส์ ินร่วมกนั หรือ ในฐานะของสิทธิชุมชนใหเ้ ขา้ มามีส่วนร่วม และยงั สามารถดึงเอาหน่วยงานราชการ ( นายอาํ เภอ)ใหเ้ ขา้ มามีบทบาท (กรณีศึกษาท่ี 36 )หรือดึงเอาเจา้ พนกั งานที่ดิน หรือ นายอาํ เภอใหเ้ ขา้ มาช่วยแกไ้ ข เพราะความขดั แยง้ ท่ีซบั ซอ้ นมาก 5.2การสร้างแนวทางการไกล่เกล่ียจากกรณีศึกษา จากกรณีความขดั แยง้ ที่เก่ียวกบั ขอ้ พพิ าทเรื่องที่ดิน อาสาสมคั รยตุ ิธรรมมีการวางแนวทางในการ จดั การความขดั แยง้ ท่ีน่าสนใจในหลายกรณีเช่น มีการนาํ เอาพยานบุคคลผสู้ ูงอายทุ ่ีสามารถยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จริง มาใชใ้ นการระงบั ขอ้ พพิ าท มีหลงั จากมีความขดั แยง้ เกิดข้ึนจาํ นวนหน่ึงและมีการไกล่เกลี่ยเสร็จไปแลว้ มี การสรุปบทเรียนและมีการออกแบบระบบการจดั การโดยผนู้ าํ ทางการ ( กาํ นนั ผใู้ หญบ่ า้ น) ใหเ้ ขา้ มาช่วยทาํ หนา้ ที่เป็นคนกลางเพอ่ื ป้ องกนั ไม่ใหเ้ กิดความขดั แยง้ เป็นตน้ (กรณีศึกษาท่ี 38) อาสาสมคั รยตุ ิธรรมชุมชนแสดงบทบาทในลกั ษณะที่ทาํ หนา้ ที่เป็นผตู้ ่อรองในกรณีที่มีการเรียกร้อง คา่ เสียหายท่ีสูงเกินสมควรเพอ่ื ใหม้ ีการลดลงมา เพือ่ ใหค้ ู่กรณีอีกฝ่ ายท่ีเป็นผกู้ ่อใหเ้ กิดความเสียหายสามารถ ท่ีจะปฎิบตั ิไดจ้ ริงอยา่ งยตุ ิธรรม ฉ  

การจัดการความขดั แย้งพนื้ ที่ ตําบลเกาะลบิ ง 1. กรณีความขดั แยง้ แบ่งตามประเภท ประเภทความขดั แย้ง ความถี่ ความถี่ผลการไกล่เกลย่ี หมายเหตุ โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย - ทาํ ร้ายร่างกาย 11 ประพฤติผดิ ตอ่ ประเพณี 66 1 บุคคลภายนอกชุมชน ครอบครัว ชูส้ าว ท่ีดินและทรัพยส์ ิน 23 20 3 อุบตั ิเหตุ 33 ลงบนั ทึกประจาํ วนั 1 ราย ทะเลาะววิ าท 76 1 ใชก้ ลไกไกล่เกลี่ยเพอ่ื ใหค้ ดี ยตุ ิ ทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ สตั วเ์ ล้ียง 15 3 11 ฉอ้ โกง 1- 1 ยาเสพติด ขดั แยง้ กบั ภาครัฐ 6- 6 อ่ืนๆ เช่น พกปื น จบั ผดิ คน บุกรุกยามวกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี 8 8 สร้างสถานการณ์ ฯลฯ 2. แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชน คืออะไร (ดึงสาระสาํ คญั จากกรณีศึกษาในรายพ้นื ที่ เช่น ความเป็นธรรม เป็นกลางของชุมชน การเอ้ือประโยชน์ การแบ่งปัน การอยรู่ ่วมกนั การช่วยเหลือเก้ือกลู บุญคุณ) เน่ืองจากเป็นชุมชนท่ีส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ประกอบกบั ผทู้ ี่ทาํ หนา้ ที่ในการไกล่เกลี่ย มกั จะเป็นผนู้ าํ ทางศาสนา ดงั น้นั แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชนจึงต้งั อยบู่ นหลกั คาํ สอน และความเช่ือทาง ศาสนา เป็นหลกั และนอกจากน้นั ยงั ต้งั อยบู่ นหลกั ความเห็นอกเห็นใจกนั ( เนื่องจากเป็นมุสลิม หรือ เป็นพวกเดียวกนั ) ช  

3. วเิ คราะห์ความสมั พนั ธเ์ ชิงพ้นื ที่กบั การจดั การความขดั แยง้ ของชุมชน (ลกั ษณะพ้นื ที่ ลกั ษณะชุมชน เมือง ชนบท หรือก่ึงเมืองก่ึงชนบท ศาสนา วถิ ีชีวิต ลกั ษณะคดี ฯลฯ) ‐ ขอ้ ขดั แยง้ ส่วนใหญ่จะเป็นเร่ืองเกี่ยวกบั แนวเขตท่ีดิน ตน้ ไมร้ ุกล้าํ เขา้ ไปก่อใหเ้ กิด ความ เสียหายแก่อีกฝ่ ายหน่ึง และความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจากสตั วเ์ ล้ียงท่ีไมไ่ ดค้ วบคุมดูแล ‐ เนื่องจากพ้ืนท่ีเป็นเกาะ และบทบาทของผนู้ าํ ทางศาสนายงั คงมีบทบาทสูงเม่ือเปรียบเทียบกบั ผแู้ ทนชุมชนที่ทาํ หนา้ ที่ตามที่รัฐมอบอาํ นาจแลว้ ผนู้ าํ ทางศาสนายงั มีบทบาทสูงจึงทาํ ใหก้ าร ไกล่เกล่ียจึงเป็ นการง่าย 4. วเิ คราะห์ประเภทความขดั แยง้ กบั การจดั การโดยชุมชน 4.1 สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คืออะไร คู่กรณีคิดวา่ ตนเองมีความไดเ้ ปรียบในการต่อสูค้ ดี / คู่กรณีไมม่ น่ั ใจวา่ อีกฝ่ าย จะปฎิบตั ิตามท่ีตกลงไกล่เกลี่ยกนั เนื่องจากเป็นบคุ คลนอกชุมชน 4.2 ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง ฝ่ ายที่ถกู ฟ้ องคดีขอใหอ้ าสาสมคั รช่วยพดู คุยใหม้ ีการถอนฟ้ องหรือยตุ ิการ ดาํ เนินคดี 4.3 ตวั อยา่ งกรณีศึกษาที่โดดเด่น กรณีการไกล่เกลี่ยท่ีน่าสนใจในพ้นื ท่ีเกาะลิบงไดแ้ ก่ กรณีการนาํ หลกั ศาสนามา ปรับใชใ้ นการจดั การทรัพยส์ ินท้งั ที่เป็นทรัพยม์ รดกและไม่ใชท้ รัพยม์ รดก โดยผนู้ าํ ทาง ศาสนาในรูปของคณะกรรมการมสั ยดิ เขา้ มาทาํ หนา้ ท่ีดาํ เนินการใหอ้ ยา่ งเบด็ เสร็จเป็นท่ี พอใจกบั ทกุ ฝ่ าย และไม่มีความขดั แยง้ เกิดข้ึน ( เร่ืองท่ี 38 ) 5. ศกั ยภาพของศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนเป็นอยา่ งไร เช่น โครงสร้าง องคป์ ระกอบของคณะทาํ งาน วิธีดาํ เนินการไกล่เกล่ีย การยอมรับและใชบ้ ริการของชุมชน การสร้างและพฒั นาทีมงานอาสาสมคั ร ยตุ ิธรรมชุมชน การสนบั สนุนจาก อบต.หรือภาครัฐ ฯลฯ เนื่องจาก เป็นชุมชนมุสลิม และส่วนใหญ่อาสาสมคั รเป็นมุสลิมดว้ ยกนั ดงั น้นั การ ดาํ เนินงาน ยงั คงผกู ติดอยกู่ บั ตวั บุคคลเป็นหลกั ไม่วา่ จะเป็นผนู้ าํ ศาสนา หรือเจา้ พนกั งาน ช  

ตาํ รวจที่อยปู่ ระจาํ ท่ีเกาะ ยงั ไม่มีการจดั ระบบอยา่ งจริงจงั เมื่อเปรียบเทียบกบั ความเป็น ศนู ยย์ ตุ ิธรรมตาํ บลอื่น ช  

การวเิ คราะห์การจัดการความขดั แย้งพนื้ ที่ ต.คลองชีล้อม 1. กรณีความขดั แยง้ แบ่งตามประเภท ประเภทความขัดแย้ง ความถ่ี ความถ่ผี ลการไกล่เกลย่ี หมายเหตุ โดยชุมชน กระแสหลกั ยงั ไม่มขี ้อสรุป พยามยามฆ่า ฆ่ากนั ตาย - ทาํ ร้ายร่างกาย 64 2 ประพฤติผดิ ต่อประเพณี 10 5 5 อาสาสมคั รถกู เชิญ ครอบครัว ชูส้ าว ใหไ้ ปไกล่เกล่ียขอ้ พิพาทท่ีเกิดข้ึนขา้ ม พ้นื ท่ี ท่ีดินและทรัพยส์ ิน 27 24 3 อุบตั ิเหตุ 11 ทะเลาะววิ าท 88 ทาํ ใหเ้ สียทรัพย์ สตั วเ์ ล้ียง 77 ฉอ้ โกง 1 1 ยาเสพติด 55 ร่วมกบั ร.ร. ขดั แยง้ กบั ภาครัฐ 7 กรณีรัฐผดิ ไม่มีการ ไกลเ่ กลี่ย /กรณี เอกชนไม่ยอมรัฐ ของใหอ้ าสาสมคั ร ช่วยพดู คุยให้ อ่ืนๆ เช่น พกปื น จบั ผดิ คน บุก 8 5 2 ร่วมกบั ร.ร./ รุกยามวกิ าล ใส่ร้ายป้ ายสี สร้าง สถานการณ์ 2. แนวคดิ ยตุ ิธรรมชุมชน คืออะไร แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชน สะทอ้ นจากบนั ทึกกรณีความขดั แยง้ ที่เป็นความตอ้ งการท่ีจะใหท้ กุ ๆ คนท่ีอยใู่ นชุมชนสามารถอยรู่ วมกนั ไดโ้ ดยมีความรู้สึกท่ีดีต่อกนั ไม่เอาเปรียบกนั ใหโ้ อกาสแก่ผทู้ ี่ทาํ ผดิ พลาดพล้งั ไป และตอ้ งสามารถช้ีผดิ ถกู ใหแ้ ก่ผกู้ ระทาํ ความผดิ ใหส้ ามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซ  

3. วิเคราะห์ความสมั พนั ธเ์ ชิงพ้นื ที่กบั การจดั การความขดั แยง้ ของชุมชน (ลกั ษณะพ้นื ที่ ลกั ษณะชุมชน เมือง ชนบท หรือก่ึงเมืองก่ึงชนบท ศาสนา วิถีชีวิต ลกั ษณะคดี ฯลฯ) ในพ้นื ท่ีตาํ บลคลองชีลอ้ ม เป็นพ้ืนท่ีซ่ึงมีความขดั แยง้ ที่เก่ียวขอ้ งกบั เร่ืองที่ดินทรัพยส์ ิน ซ่ึงส่วน ใหญ่ จะเป็นความขดั แยง้ กนั ในเร่ืองแนวเขตที่ดิน ซ่ึงปัญหาเกิดจากความไม่ชดั เจนของแนวเขต และเกิดจากพฤติกรรมส่วนตวั ที่อยากไดท้ รัพยส์ ินของบุคคลลื่น ปัญหาการประพฤติผดิ ในทางชูส้ าวของเดก็ วยั รุ่น ปัญหาการทะเลาะววิ าท และปัญหายาเสพติด และเน่ืองจากตาํ บลคลองชีลอ้ มเป็นตาํ บลที่อยใู่ นเขตชนบทที่อยใู้ กลก้ บั เขตเมืองในระดบั อาํ เภอ ดงั น้นั จึงมีโครงการของหน่วยงานของรัฐเขา้ มาต้งั ในพ้ืนที่ อาทิเช่น บ่อขยะ โรงทาํ ปูนขาว ดว้ ยสภาพทางเศรษฐกิจ สงั คม และลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ดงั กล่าว จึงทาํ ใหป้ ัญหาความขดั แยง้ ของคลองชีลอ้ มจึงมีสาเหตุและคู่ความขดั แยง้ ท่ีหลากหลาย ดงั น้นั ในแต่ละความขดั แยง้ อาสาสมคั ร ยตุ ิธรรมจึงจาํ เป็นท่ีจะตอ้ งมีเทคนิคประสบการณ์ในการเขา้ ไปเก่ียวขอ้ งและสามารถจดั การความ ขดั แยง้ ท่ีหลากหลาย และตอ้ งอาศยั ชุดความรู้ที่ซบั ซอ้ นข้ึนในการจดั การความขดั แยง้ 4. วเิ คราะห์ประเภทความขดั แยง้ กบั การจดั การโดยชุมชน 4.1 สาเหตุของการส่งต่อความขดั แยง้ เขา้ สู่กระแสหลกั คอื อะไร ความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึนและเขา้ สู่กระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั ส่วนใหญ่เป็นเพราะเป็นความ ขดั แยง้ ที่เกิดข้นึ ระหวา่ งบุคคลภายนอกชุมชน และเป็นเร่ืองที่คูก่ รณีความขดั แยง้ ไมม่ นั่ ใจในกลไก ของยตุ ิธรรมชุมชนวา่ จะใหค้ วามเป็นธรรมได้ หรืออาจจะเป็นกรณีท่ีเป็นคดีที่มีการฟ้ องร้องกนั มา ก่อนที่จะมีการจดั ต้งั อาสาสมคั รยตุ ิธรรมชุมชนข้ึนมาใหท้ าํ หนา้ ที่ในการไกล่เกล่ีย 4.2 ชุมชนทาํ บทบาทอะไรในกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั หรือก่อนส่ง เมื่อมีขอ้ พิพาทเกิดข้ึน ส่วนใหญ่ชุมชนจะแจง้ แก่ผใู้ หญ่บา้ น และผใู้ หญ่บา้ นกจ็ ะเขา้ ไปช่วยไกล่ เกลี่ย และมีหลายๆกรณีที่หน่วยงานภาครัฐ โรงเรียน ร้องขอใหช้ ่วยทาํ หนา้ ที่ในการไกล่เกล่ีย 4.3 ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาท่ีโดดเด่น ในพ้นื ที่ตาํ บลคลองชีลอ้ ม จากบนั ทึกกรณีความขดั แยง้ มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ดงั น้ี กรณีอาสาสมคั รถกู เชิญใหไ้ ปไกล่เกล่ียขา้ มจงั หวดั ซ่ึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงศกั ยภาพของ อาสาสมคั ร ถึงแมจ้ ะเป็นเฉพาะตวั บุคคลกต็ าม การที่อาสาสมคั รยตุ ิธรรมถกู เชิญใหไ้ ปช่วยทาํ การไกล่เกล่ีย ขอ้ พพิ าทขา้ มจงั หวดั ดงั กล่าว ยง่ิ สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงส่ิงที่ขาดหายไปจากกระบวนการยตุ ิธรรมกระแสหลกั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงเง่ือนไขท่ีสาํ คญั อยา่ งหน่ึงเม่ือเกิดความขดั แยง้ คือ ความสามารถในการเขา้ ถึงกลไกในการ ใหค้ วามยตุ ิธรรมท่ีคูก่ รณีสามารถท่ีจะเขา้ ถึงไดง้ ่ายตามความตอ้ งการและเกิดความมน่ั ใจ กรณีปัญหาโรงงานปูนขาว ซ